Thursday, 2 May 2024
พรรคเพื่อไทย

'อรุณี' ฟันธง พฤษภาคม 'ประยุทธ์' ชะตาขาด หลังความวัวไม่ทันหายความควายแทรกไม่หยุด

1 ก.พ. 65 - น.ส.อรุณี กาสยานนท์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วันที่ 24 สิงหาคม 2565 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นนายกรัฐมนตรีครบปีที่ 8 ซึ่งถือเป็นการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีที่ยาวนานเทียบเท่ากับจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ที่มาจากการรัฐประหารเมื่อปี 2491 ถือว่านานเกินกว่าที่ประชาชนจะทนไหว

แต่ในเดือนพฤษภาคม ชะตากรรมของพลเอกประยุทธ์ในคราบนักการเมืองสวมเครื่องแบบทหารจะไม่รอด นอกจากพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.เขต 9 หลักสี่-จตุจักร อย่างถล่มทลายแล้ว พรรคพลังประชารัฐยังได้คะแนนต่ำกว่า 3 อันดับแรก จากนี้ไปจะมีเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างที่อาจจะเป็นตัวชี้วัดตัดสินอนาคตทางการเมืองของพลเอกประยุทธ์และองคาพยพว่ากำลังจะถึงเวลาดับลงแล้ว 

น.ส.อรุณี กล่าวว่า ก่อนปิดสมัยประชุมสภาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2565 พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านจะยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลแบบไม่ลงมติต่อประสภาผู้แทนราษฎร ตามมาตรา 152 หรือการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม 2565 รัฐบาลกำลังจะถูกบีบจากทุกทางแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่พลเอกประยุทธ์เข้ามาบริหารประเทศจากการเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร จนถึงปัจจุบัน ไม่มีวันไหนเลยที่ประชาชนจะกินอิ่ม นอนหลับ มีเงินในกระเป๋า มีงานทำ หากดูปัญหาในเดือนมกราคม 2565 เพียงเดือนเดียว มีปัญหาในเชิงสังคม คุณภาพชีวิต ปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง ที่รอการแก้ไขมากมาย

'เพื่อไทย' ไม่ปลื้ม!! กยศ.ใช้ระบบธนาคารเก็บหนี้ แนะพักหนี้ 3 ปี พร้อมดันร่าง กม.ใหม่เอื้อเด็ก

นายวันนิวัติ สมบูรณ์ ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า การดำเนินการที่ผ่านมาของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ถือเป็นโครงการที่ดี แต่วิธีการผิด การที่กองทุน กยศ. นำระบบธนาคารเข้ามาบริหารการกู้ยืมเงินกองทุน เป็นวิธีการที่ผิด เพราะธนาคารจะคิดถึงแต่กำไรขาดทุน และมีการดำเนินการทางกฎหมาย หากมีการผิดนัดชำระหนี้ 

ล่าสุดนักศึกษากลายเป็นจำเลยจำนวนมาก ทั้งๆ ที่พันธกิจของ กยศ. ต้องช่วยนักศึกษาให้สามารถเข้าถึงระบบการศึกษาอย่างทั่วถึง โดยไม่เป็นภาระให้กับผู้ปกครอง นอกจากนี้กองทุน กยศ. มีรายได้จากดอกเบี้ยและค่าปรับ เกือบ 40,000 ล้านบาท เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะเป็นการหากำไรบนคราบน้ำตาผู้ปกครองที่ถูกยึดบ้าน ยึดที่ดินทำกิน นำมาขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ กยศ.

‘ธีรรัตน์’ อัดรัฐ!! ‘ทำติดโควิดจากเบาเป็นหนัก’ เหตุรัฐบริหารจัดการล้มเหลวซ้ำซาก

ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส. กทม. โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในกรุงเทพมหานครและทั่วประเทศยังน่าเป็นห่วง โดยจากการลงพื้นที่ในช่วงที่ผ่านมาพบว่า ประชาชนที่ติดเชื้อโควิด-19 ทุกระดับสี ยังประสบปัญหาในการเข้าสู่ระบบการรักษาหลังรู้ว่าติดเชื้อจำนวนมาก 

การติดต่อหมายเลข 1330 ที่ผู้ป่วยไม่ได้รับการติดต่อกลับอย่างทันท่วงที ประชาชนไม่รับทราบถึงวิธีการดูแลตัวเองในเบื้องต้นและไม่ได้รับยาสามัญ ทำให้อาการติดเชื้อจากเบากลายเป็นหนัก ส่งผลต่อจำนวนเตียงในระบบโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน ที่ต้องกลับเข้าสู่สภาพที่เรียกว่า ‘คัดเคส’ 

ผู้ที่สามารถเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลได้จะต้องมีประกันชีวิตที่ทำไว้กับบริษัทเอกชนเท่านั้น แต่หากจะต้องกักตัวใน Hospitel จะต้องจ่ายมัดจำก่อนเข้าพักถึง 80,000 หมื่นบาท เพื่อกันไว้สำหรับการใช้บริการ เพราะภาคเอกชนไม่วางใจรัฐบาลโดย สปสช. อาจจะไม่มีเงินจ่ายให้กับเอกชนแล้ว

สถานการณ์ผู้ป่วยโควิดไม่สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลรัฐที่เป็นไปแบบ ‘ต่างคนต่างทำ’ มีระบบการ ‘จับคู่’ ที่หน่วยงานภาครัฐ จัดให้ประชาชนในพื้นที่หนึ่ง สามารถเข้ารับการรักษาในคลินิกชุมชนแห่งนั้น แต่ไม่มีระบบการส่งตัวไปยังโรงพยาบาล โดยทั้งหมดไม่ได้มีการประสานกับโรงพยาบาล ทำให้เกิดความสับสนทั้งในส่วนของประชาชนและผู้ปฏิบัติทั้งโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน จนในท้ายที่สุดผู้ป่วยไม่มีสถานที่เข้าพักรักษาตัวจำนวนมาก 

'อนุสรณ์' โดนจวกยับ หลังแขวะ 'ซีพี' ทำไมขายหน้ากาก? ด้านซีพีแจง!! แจกแล้วกว่า 31 ล้านชิ้น พร้อมทำต่อเนื่อง

10 มี.ค. 65 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า เหมือนเคยสัญญาว่าจะทำมาแจก? พร้อมเผยแพร่อินโฟกราฟิก ภาพนายธนินท์ เจียรวนนท์ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (ซีพี) ใต้ภาพมีคำว่า หน้ากาก '7/ 11' แขวนขายทำไม? ไหน 'คำสัญญา' เมื่อเมษา 63 ตั้งโรงงานผลิต แจก 3 ล้านชิ้น/เดือน

หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก เช่น โพสต์แบบนี้ มันบ่งชี้ถึงสติปัญญาที่มีนะครับ / account นี้ท่านอนุสรณ์เล่นเองหรือป่าวค่ะ...รู้สึกผิดหวังมากเลยค่ะ / 1 ใน 50 ที่โทนี่พูดใช่ไหม กินข้าวหรือเปล่า กรุณาใช้สมองคิดสักนิด คุณภาพพรรคก็ตามที่โพสต์ / เขาให้โรงพยาบาล / CPALL สนใจให้ฝ่ายกม.มาดูแลไหมครับ / ผมผิดหวังแบบ 100% เมื่อไหร่พรรคนี้จะหาคนเก่งๆ เข้ามาบ้าง / ตลกมาก พรรคเพื่อไทยอยู่หลังเขา หากิน สร้างเรื่องไปวันๆ หน้ากากโครงการนี้เขาแจกบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาล ตอนที่หน้ากากขาดตลาด และแจกคนด้อยโอกาส ไม่มีเงินซื้อหน้ากาก แจกฟรีมากว่า 2 ปี กว่า 30 ล้านชิ้น ถ้าอยากได้ แสดงหลักฐานว่าด้อยโอกาส ขอไปที่เจ้าสัว น่าจะได้นะ

อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับประเด็นนี้ ทางเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ‘ซีพี’ ก็ได้มีการออกแถลงการณ์ชี้แจงทันที โดยระบุว่า... 

ตามที่ปรากฏในกระแสโซเชียลมีเดีย ได้มีการแชร์ข่าวบิดเบือนเกี่ยวกับการแจกจ่าย หน้ากากอนามัยฟรีของเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสังคม โดยในวันที่ 8 มีนาคม 2565 ผู้ใช้นามว่าในเฟซบุ๊กได้ลง ข้อความและภาพประกอบ ระบุว่า “ใครว่าได้บ้าง !!? มาช่วยกันทวง” พร้อมกับแชร์รูป ที่มีการบิดเบือนว่ามีการนำหน้ากากอนามัยแจกฟรีของเครือซีพีไปจำหน่ายในเซเว่นนั้น ขอยืนยันข้อเท็จจริงอีกครั้งว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความเป็นจริง ซึ่งหน้ากากอนามัยซีพี ยังคงร่วมกับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย แจกฟรี ให้กับบุคลากรทางแพทย์ และกลุ่มเปราะบางต่อเนื่อง โดยแจกจ่ายไปแล้วกว่า 31 ล้านชิ้น และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

“ยุทธพงศ์” แฉ 3ป. - 1 ช. คาดฮั้วประมูลโครงการท่อส่งน้ำฯ ในอีอีซี ให้บริษัทวงษ์สยามฯ แทนบริษัท East Water ยักษ์ใหญ่เรื่องท่อส่งน้ำฯ พร้อมจ่อ ยื่นญัตติซักฟอก 23 พ.ค.นี้ ย้ำ! ต้องทำทันทีกัน “บิ๊กตู่” ยุบสภาหนี พร้อมถามหายาฟาวิพิราเวียร์ หลังชาวบ้านติดโควิดได

ที่พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงว่าการประมูลระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกของกรมธนารักษ์ ซึ่งเป็นท่อส่งน้ำในพื้นที่อีอีซี ที่มีอยู่ 3 เส้นหลักคือเส้นที่ 1 โครงการท่อส่งน้ำดอกกราย - มาบตาพุด - สัตหีบ ที่กรมธนารักษ์ได้จ้าง บริษัท East Water บริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ มาจัดทำบริการโดยสัญญาจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค.2566 เส้นที่ 2 คือโครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล - หนองค้อ และเส้นที่ 3 โครงการท่อส่งน้ำหนองค้อ - แหลมฉบัง (ระยะที่สอง) ซึ่งทั้งหมดนี้มีความไม่โปร่งใสในการประมูลโครงการ

นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า โดยบริษัทที่ชนะประมูลในครั้งนี้ คือ บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด ซึ่งเสนอส่วนแบ่งให้กับรัฐเป็นค่าแรกเข้าเพื่อทำสัญญา (ชำระปีแรก) 1,450 ล้านบาท และส่วนแบ่งรายได้รายปี 21,335 ล้านบาท รวมทั้งหมด 25,693 ล้านบาท ส่วนบริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ บริษัท East Water เสนอค่าแรกเข้าเพื่อทำสัญญา (ชำระปีแรก) 1,550 ล้านบาท และส่วนแบ่งรายได้รายปี 19,755 ล้านบาท รวมทั้งหมด 24,213 ล้านบาท หมายความว่าบริษัท วงษ์สยาม เสนอให้มากกว่า 1,480 ล้านบาท ความน่าเชื่อถือของบริษัท East Water ซึ่งเป็นบริษัทกึ่งของรัฐบาล เพราะการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ถือหุ้นอยู่ 40% และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยถือหุ้นอยู่ 5% รวม 2 หน่วยงานถือหุ้นกว่าประมาณ 46% เพราะหากถือเกิน 50% จะเรียกว่ารัฐวิสาหกิจ ซึ่งอาคารที่ทำการก็ใหญ่โต ส่วนบริษัท วงษ์สยาม อยู่ใน ซ.พหลโยธิน 8 อาคารเล็กๆ แต่ว่าประมูลชนะบริษัท East Water 

นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับ 3 ป. คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะประธานอีอีซี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ในฐานะกำกับแล กปภ. และ 1 ช. คือนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง และเลขาธิการพรรค พลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมการที่ราชพัสดุ ซึ่งไม่ได้เป็นโดยตำแหน่ง เพราะคนที่เป็นจริงๆ คือนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ซึ่งทั้งหมดมีความเกี่ยวโยงกัน 

นายยุทธพงศ์ กล่าวอีกว่า หากบริษัท East Water ไม่ได้ชนะประมูลก็จะเจ๊ง และต้องปิดบริษัท ซึ่งหลังแพ้ประมูลราคาหุ้นตกจาก 8.05 บาท เหลือ 7.40 บาท โดยเมื่อวันที่ 14 มี.ค.2565 นายสันติ ประธานกรรมการที่ราชพัสดุให้บริษัทวงษ์สยามชนะประมูลด้วยมติ 6:3 โดยรายชื่อ 6 คนประกอบด้วย 1.นายสันติ 2.นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมธนารักษ์ 3.ตัวแทนปลัดกระทรวงการคลัง 4.ตัวแทนปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 5.ตัวแทนปลัดกระทรวงกลาโหม และ 6.ตัวแทนปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส่วนรายชื่อ 3 คนที่ค้าน ประกอบด้วย 1.ปลัดกระทรวงมหาดไทย 2.อธิบดีกรมโยธา และ3.อธิบดีกรมที่ดิน ส่วนอีก 3 คนที่เหลือ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ลาเพื่อหนีการประชุม หมายความว่ามติไม่ได้เป็นเอกฉันท์ และมีปัญหา 

นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ดังนั้นในวันพุธ ที่ 23 มี.ค.นี้ ตนจะยื่นเรื่องร้องเรียนต่อนายอาคม ถึงความไม่โปร่งใสของการประมูลโครงการท่อส่งน้ำฯ ที่เปลี่ยนมาให้บริษัท วงษ์สยาม ชนะประมูลแทน เพราะมีการเปลี่ยนทีโออาร์ ทำให้รัฐเสียประโยชน์ คือไปเอาคำว่าบริษัทจะต้องไม่เคยเป็นผู้ทิ้งงานของหน่วยงานของรัฐออก ทุนจดทะเบียนบริษัทจาก 600 ล้านบาท เหลือ 300 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังเปลี่ยนคุณสมบัติสำคัญคือจากเดิมกำหนดไว้ว่าผู้ยื่นข้อเสนอต้องเป็นนิติบุคคลที่มีอาชีพและประสบการณ์ในการประกอบธุรกิจ และบริหารจัดการท่อส่งน้ำ 

โดยเอาคำว่าท่อส่งน้ำออกไป ทั้งที่เป็นสาระสำคัญ อีกทั้งบริษัท วงษ์สยาม ไม่เคยบริหารจัดการท่อส่งน้ำเลย ตรงข้ามกับ บริษัท East Water ที่มีประสบการณ์บริหารท่อส่งน้ำกว่า 30 ปี รายได้ปีละ 5 พันล้านบาท รวม 30 ปีรายได้ 1.5 แสนล้านบาท โดยก่อนหน้านี้ บริษัทวงษ์สยาม ได้ยื่นประมูลโครงการโรงงานผลิตน้ำมหาสวัสดิ์กับการประปานครหลวง มูลค่า 6.4 พันล้านบาท แต่ไม่ผ่านการคัดเลือกคุณสมบัติ แต่กลับมาชนะประมูลโครงการท่อส่งน้ำฯ ที่มีบริษัท East Water เป็นคู่แข่ง จึงเป็นเรื่องที่น่าสงสัย โดยหากมีความผิด นายอาคมต้องรับผิดชอบที่มอบหมายให้นายสันติดูแลเรื่องนี้

จับตา 'เก่ง การุณ' อาจย้ายซบ 'หญิงหน่อย' หลังโพสต์ข้อความเหมือนน้อยใจพรรคเก่า

หรือจะมีการย้ายค่าย? หลังจากหลายสื่อได้มีการตีความคำพูดของ นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ว่าอาจจะมีการเปลี่ยนสังกัดทางการเมือง โดยเจ้าตัวโพสต์เฟซบุ๊ก Karoon Hosakul ระบุว่า... 

ลาก่อนซ่อนกลิ่น ระพินภูไท ตัวใครตัวมัน 50 -งงอ่ะดิ 50+ จะรู้ พร้อมติดแฮชแท็ก #ดอนเมืองไม่ทิ้งกัน #การุณไม่ทิ้งใคร  #ผมไม่เสียใจที่ผมไม่ได้เป็นคนในครอบครัว

ชาวเน็ตติง 'หมอชลน่าน' แสดงออกอย่างไม่สมศักดิ์ศรี หลังโค้งคำนับ 'อุ๊งอิ๊ง' ทั้งที่ตนเป็นหัวหน้าพรรค

ขณะนี้ชาวเน็ตมีการพูดถึงกรณี พรรคเพื่อไทยจัดกิจกรรม "บ้านหลังใหญ่หัวใจเดิม" ที่จังหวัดอุดรธานี เมื่อ 20 มี.ค.ที่ผ่านมา พร้อมได้เปิดรับสมัครสมาชิกเข้าร่วมเป็นครอบครัวพรรคเพื่อไทยผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งในเว็บไซต์ หรือ LINE OA ของพรรคเพื่อไทย

โดยระหว่างที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้ประกาศเปิดตัวนางสาวแพทองธาร ชินวัตร และเมื่อนางสาวแพทองธาร เดินขึ้นไปบนเวที นพ.ชลน่าน ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยได้โค้งคำนับนางสาวแพรทองธาร อย่างนอบน้อมถ่อมตน ก่อนจะเดินลงจากเวที
 

MEET THE STATES TIMES 'เดอะ ดีเบต' | EP.7

📌ร่วมถกประเด็นร้อนในรอบสัปดาห์ ผ่านมุมมองสร้างสรรค์ และคมคิดที่น่าสนใจ ในรายการ Meet THE STATES TIMES ‘เดอะ ดีเบต’

🔥 ในประเด็นร้อน 🔥
1.) ดราม่า​ 'ปุ้มปุ้ย'​ สิทธิส่วนบุคคลในยุคสังคมขี้เผือก
2.) ‘อุ๊งอิ๊ง’ เอฟเฟกต์
3.) ชำแหละ 10 มาตรการช่วยเหลือประชาชน

🔥ไปกับ ‘โบว์ - ณัฏฐา มหัทธนา’ ดำเนินรายการโดย ‘หยก THE STATES TIMES’

ในรายการ Meet THE STATES TIMES ‘เดอะ ดีเบต’ ร่วมถกประเด็นสุด​ Exclusive​ ระหว่าง​ THE​ STATES​ TIMES​ และ​ 'โบว์​ ณัฏฐา'​

Liveสดทุกวันเสาร์ 20.00 น.

.

.

เลือดเย็น! ‘วันชัย’ ซัด ‘ทักษิณ’ ใจเร็วด่วนได้  เตือนระวังทำลายทั้ง ‘พรรค-ลูก-ครอบครัว’

(27 มี.ค. 65) นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิ โพสต์ข้อความเรื่อง "ทักษิณใจเร็วด่วนได้ ทำลายพรรค ทำลายครอบครัว" ระบุว่า

“ทักษิณใจเร็วด่วนได้ ทำลายพรรคทำลายครอบครัว
อย่างที่รู้กันว่าอำนาจและการเมืองเป็นเรื่องโหดร้าย เจ็บปวด สาหัสสากรรจ์ วิบากกรรมอย่างที่เห็นก็เป็นเพราะการเมือง คุณทักษิณและครอบครัวต้องระหกระเหินไม่มีที่จะเดินในประเทศไทย ทั้งญาติพี่น้องลูกหลานหลายต่อหลายคนแม้จะอยู่ในประเทศไทยก็ไม่ค่อยกล้าจะปรากฏตัวสักเท่าใด ต้องอยู่อย่างเงียบๆก็เพราะอำนาจและการเมืองทั้งนั้น ยังไม่เข็ดกันอีกหรือ 7-8 ปีที่ผ่านมานึกว่ากาลเวลาจะเยียวยาแรงอาฆาตให้ลดลงไปได้บ้าง การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองหรือเรื่องอื่นๆก็น่าจะพอทำได้แก้เหงาไปวันๆ แต่ถึงขั้นส่งเองลูกของตัวเองออกมาเล่นการเมืองอย่างเต็มตัวในขณะที่ตัวเองยังรับกรรมอยู่ จะเป็นการแก้กรรมหรือจะเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเพิ่มเข้ามาอีก

“ตอนที่พรรคเพื่อไทยให้หมอชลน่าน ศรีแก้ว เป็นหัวหน้าพรรค ผมยังแอบชื่นชมเลยว่าคนในพรรคเพื่อไทยและคุณทักษิณเก่ง มีสายตากว้างไกล จิตใจกว้างขวาง หมอชลน่านเป็นคนมีฝีมือและฝีปากเหมาะสมกับการเป็นผู้นำพรรคในสถานการณ์นี้ เป็นคนรุ่นกลางๆ รุ่นสูงวัยก็เข้าได้ รุ่นกลางและวัยรุ่นก็ไปด้วยกันได้อย่างเหมาะเจาะพอดี คุณทักษิณเข้าใจเลือกคน ทุกคนกำลังจับจ้องดูความเปลี่ยนแปลงของเพื่อไทยภายใต้การนำของหมอชลน่าน คงจะลดความขัดแย้งสร้างความปรองดอง ประสานความร่วมมือกับทุกฝ่าย สร้างประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง พรรคเพื่อไทยคงเป็นพรรคการเมืองของประชาชน กำลังจะถูกปลดปล่อยจากตระกูลชิน

ถึงขั้น ‘สงครามกลางเมือง’ ! ‘อดีตรองอธิการ มธ.’ เตือนหากได้ ‘นากยกหญิงคนที่ 2’  แล้วแก้ กม. พา ‘พ่อกลับบ้าน’ อาจนำบ้านเมืองวุ่นวาย ซ้ำรอยเดิม

(27 มี.ค.65)  รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Harirak Sutabutr” ระบุว่า...

"เมื่อครั้งพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชาทำรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ในฐานะที่เป็นผู้ร่วมประท้วงรัฐบาลด้วยคนหนึ่ง และไม่เคยเห็นด้วยกับการทำรัฐประหารไม่ว่าครั้งใด แต่ต้องขอบอกตามตรงว่า อดรู้สึกโล่งใจไม่ได้ นั่นเป็นเพราะความเหนื่อยล้า และมองไม่เห็นทางออกอื่นว่าเรื่องจะจบลงได้อย่างไร

เมื่อถูกเรียกให้ไปรายงานตัวที่สโมสรกองทัพบก เทเวศร์ ก็ถามท่านนายพลท่านหนึ่งว่า การทำรัฐประหารครั้งนี้ มีการวางแผนมาก่อนนานแค่ไหน ท่านตอบว่า มีการวางแผนจริง แต่เป็นการวางแผนเพื่อเตรียมพร้อมไว้เป็นทางออกสุดท้าย และท่านยืนยันซึ่งจะเชื่อหรือไม่ก็ตามว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตัดสินใจเดินหน้าเพื่อทำรัฐประหารตามแผนก็เมื่อได้รับคำตอบจากคุณ ชัยเกษม นิติศิริ ผู้ที่รักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นว่ารัฐบาลจะไม่ลาออก ในวันที่เชิญทั้งสองฝ่ายเข้าร่วมเจรจาที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต

ก่อนการทำรัฐประหาร ก็มีข่าวลือ และว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชาจะเป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนั้นไม่อยากเชื่อ ว่าพลเอก ประยุทธ์จะเป็นนายกรัฐมนตรีเอง แต่เมื่อในที่สุดนายกรัฐมนตรีก็คือ พลเอก ประยุทธ์ ก็ยังหวังว่า เมื่อเป็นรัฐบาลจากการรัฐประหาร สามารถเลือกคณะรัฐมนตรีได้โดยไม่ต้องมีโควต้าจากกลุ่มการเมือง รายชื่อคณะรัฐมนตรีน่าจะออกมาดูดี แต่แล้วก็พบว่า แม้จะมีรายชื่อรัฐมนตรีที่มีความรู้ความสามารถอยู่ไม่น้อย แต่ก็เชื่อว่าการเลือกคนมาเป็นรัฐมนตรี น่าจะมีระบบโควต้าด้วย หรือไม่เช่นนั้นก็มีระบบต่างตอบแทนเข้ามาเกี่ยวข้องแน่ เนื่องจากมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่มาเป็นรัฐมนตรีเป็นจำนวนมาก ประหนึ่งว่า หากจบโรงเรียนนายร้อยมาแล้วหรือได้ติดยศนายพลแล้ว จะมีความรู้ความสามารถในการบริหารประเทศได้ทุกเรื่อง

เมื่อถึงเวลาที่ คสช. ยอมให้มีการเลือกตั้ง เพราะไม่สามารถชะลอเวลาให้นานกว่านี้ได้แล้ว ทั้งที่การปฏิรูปประเทศที่เป็นชิ้นเป็นอันมีเพียง รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่จำเป็นในการเลือกตั้งเท่านั้น การปฏิรูปประเทศด้านอื่นๆยังไม่เป็นชิ้นเป็นอันแต่อย่างใด

ก่อนการเลือกตั้งประมาณ 4 เดือน คสช. เห็นท่าทางว่า ในการเลือกตั้งหากปล่อยให้เป็นไปอย่างที่เป็นอยู่ มีโอกาสสูงมากที่พรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลที่ถูกรัฐประหารไปจะได้รับเลือกตั้งกลับมาสู่อำนาจได้อีก จึงตัดสินใจตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ และเพื่อไม่ให้อำนาจเดิมกลับมาได้อีก จึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ชนะการเลือกตั้งให้ได้ รวมทั้งวิธีการเดิมที่พรรคคู่แข่งเคยทำ นั่นคือ การใช้พลังดูดอดีตส.ส.ต่างๆเข้ามาในพรรค คุณสมบัติที่สำคัญคือ มีโอกาสมากที่จะชนะเลือกตั้ง และมีผู้ที่น่าจะชนะการเลือกตั้งอยู่ในมือกี่คน เรื่องความรู้ความสามารถเป็นคุณสมบัติรองลงมา พรรคนี้จึงกลายเป็นที่รวมของนักการเมืองน้ำเน่าไม่น้อยไปกว่าพรรคคู่แข่ง และมาจากที่ต่างๆร้อยพ่อพันแม่ ทำให้เป็นปัญหาที่ทำให้พรรคเกือบแตกอยู่ในขณะนี้

เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเลือกตั้ง มีความรู้สึกว่า ไม่สามารถคาดหวังอะไรจากพรรคการเมืองพรรคดังกล่าวได้ จึงหันไปมองพรรคที่เกิดขึ้นใหม่ ก็พบว่ามีพรรคเกิดใหม่ มีคนรุ่นใหม่ที่มีคุณสมบัติน่าสนใจ มีนโยบายบางนโยบายที่น่าสนใจ แต่ดูบุคลิกของแกนนำแต่ละคนแล้วรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ ยิ่งเวลาผ่านไป ยิ่งเห็นตัวตนของคนในพรรคนี้มากขึ้น ยิ่งแน่ใจว่า พรรคนี้ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีแน่ และยิ่งเห็นผู้ที่มีบทบาทในพรรคมากขึ้นเรื่อยๆก็ยิ่งรับไม่ได้ ทุกคนเหมือนมี DNA ชุดเดียวกัน ทุกคนมีอคติต่อสถาบันพระมาหกษัตริย์ มีอคติต่อทหาร และมีความประสงค์จที่จะปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างน้อยไม่ให้มีบทบาทใดๆเลยในประเทศ อย่างมากคือไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อให้ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน 

แต่แกนนำพรรคทุกคนกลับมีความรู้สึกว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่น ผูกขาดความคิดและความเชื่อ ถนัดในการพูดความจริงเพียงครึ่งเดียวเพื่อโน้มน้าวให้คนเห็นคล้อยตามหรือเพื่อให้ตัวเองดูดี คุณสมบัติเหล่านี้ เมื่อเวลาผ่านไปก็ยิ่งก็เห็นชัดเจนขึ้น ซึ่งไม่ใช่คุณสมบัติของนักการเมืองน้ำดีรุ่นใหม่ที่พึงมี

เมื่อไปดูพรรคการเมืองอื่นๆที่เกิดใหม่ ก็พบว่า มีจำนวนมากที่เกิดจากการแตกตัวของพรรคเก่า ที่มีเจ้านายคนเดียวกัน แตกตัวเพื่อให้ได้ประโยชน์จากระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ พรรคการเมืองเกิดใหม่อื่นๆก็เป็นพรรคเล็กๆที่มองเห็นช่องที่จะได้ ส.ส.จากระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ พรรคเล็กขนาดกลางบางพรรค ถึงแม้ไม่ชัดเจนว่าเกิดจากการแตกตัวของพรรคใหญ่หรือไม่ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเดินตามพรรคใหญ่แบบไม่มีออกนอกแถว จนไม่แน่ใจว่าจะได้รับเงินสนับสนุนจากเจ้านายคนเดียวกันหรือไม่สุดท้ายก็ต้องหันไปเลือกพรรคการเมืองเดิมที่เคยเลือกมาตลอด แต่แล้วก็ต้องผิดหวังกับการกระทำ และแนวความคิดของหลายๆคนในพรรค ทำให้ตั้งใจว่า จะไม่เลือกพรรคนี้อีกแล้วในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าควรจะเลือกพรรคใด

ต้องยอมรับว่า ในประเทศเรา การซื้อเสียงขายเสียงมีจริง และไม่เคยทำให้หมดไปได้ ว่ากันว่า พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่ามีจำนวนส.ส.ที่มากพอที่จะมีอำนาจต่อรองได้บ้าง อย่างน้อยก็ต้องมีเงินเพื่อใช้ในการเลือกตั้งอย่างเดียวไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งการซื้อเสียงไม่สามารถจะทำได้ทุกเขตเลือกตั้งในทุกจังหวัด แต่จากข้อมูลในอดีต สามารถบอกได้ว่า แต่ละเขตในแต่ละจังหวัด เขตใดซื้อเสียงได้มากน้อยแค่ไหน แต่ละเขตต้องใช้เงินเท่าใดจึงจะมีโอกาสสูงที่จะชนะเลือกตั้ง 

นอกจากใช้เงินแล้ว หากมีกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่นสนับสนุนด้วย ก็แทบจะแน่ใจได้เลยว่าจะชนะเลือกตั้งในการเลือกตั้งครั้งหน้า จะอย่างไรการซื้อเสียงก็จะยังคงมีอยู่ พรรคการเมืองเดิมที่เป็นรัฐบาลที่ถูกรัฐประหารไป ยังคงมีสภาพเหมือนเดิมทุกประการ กล่าวคือยังคงมีเจ้าของพรรคเหมือนเดิม คนเดิม นักการเมืองในพรรคยังคงต้องฟังคำสั่งเจ้าของพรรคเหมือนเดิม ยังคงต้องบินไปคุกเข่าขอโน่นขอนี่เหมือนเดิม 

เพราะเจ้าของพรรคสามารถชี้นิ้วให้ใครได้ตำแหน่งไหนในพรรคก็ได้ จะเลือกส่งใครลงสมัครส.ส.ก็ได้ จะมองข้ามหัวหน้าพรรคแล้วส่งลูกสาวมาชิงชัยตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ได้ หัวหน้าพรรคนอกจากไม่หือไม่อือแล้ว ยังโค้งคำนับลูกสาวที่อายุคราวลูกได้อย่างไม่ขัดเขิน ดังนั้นเจ้าของพรรคจึงมั่นใจมากว่าจะชนะเลือกตั้ง และได้กลับบ้านโดยไม่ต้องเดินเข้าคุก


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top