Thursday, 2 May 2024
พรรคเพื่อไทย

'ณัฐวุฒิ' ลุยหาเสียงช่วย 'ไข่มุก' มั่นใจนั่งเก้าอี้ 'นายก อบจ.กาฬสินธุ์'

'ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ' ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย ลงพื้นที่หาเสียงช่วย 'ไข่มุก เฉลิมขวัญ หล่อตระกูล' ผู้สมัครนายก อบจ.กาฬสินธุ์ ขอชาวกาฬสินธุ์เลือกคนดี มีความสามารถพัฒนาบ้านเมือง มั่นใจคะนนแลนสไลด์เพื่อไทย 'ไข่มุก' นั่งเก้าอี้นายกอบจ.กาฬสินธุ์

10 สิงหาคม 2565 ที่ลานกีฬาเทศบาลตำบลโพน อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์ นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ลงพื้นที่และขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงเลือกตั้ง นายก อบจ.กาฬสินธุ์ ช่วยนางเฉลิมขวัญ หล่อตระกูล หรือไข่มุก ผู้สมัครนายกอบจ.กาฬสินธุ์ เบอร์ 2 หลังศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้จัดการเลือกตั้งใหม่ และจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 14 สิงหาคม 2565 นี้ โดยมีประชาชนใน อ.คำม่วง อ.สามชัย และอ.สหัสขันธ์เข้าร่วมรับฟังกว่า 1,500 คน

จากนั้นเวลา 15.00 น.นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย พร้อมคณะเดินทางไปขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงช่วยนางเฉลิมขวัญ ที่สวนสาธารณะอ่างเลิงซิว อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ โดยมีประชาชนใน อ.กุฉินารายณ์ อ.เขาวง อ.ห้วยผึ้ง และอ.นาคู จ.กาฬสินธุ์เข้าร่วมรับฟังกว่า 2,000 คน


 
นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย กล่าวว่า วันนี้เป็นการแสดงพลัง และขอฉันทามติจากพี่น้องประชาชนชาวกาฬสินธุ์ในการเลือกตั้งนายกอบจ.กาฬสินธุ์วันที่ 14 สิงหาคม 2565 นี้ เพื่อขอโอกาสให้กับ ไข่มุก เฉลิมขวัญ หล่อตระกูล ผู้สมัครนายกอบจ.กาฬสินธุ์ ลูกสาวนายยงยุทธ หล่อตระกูล อดีตนายก อบจ.กาฬสินธุ์ ที่พรรคเพื่อไทยตั้งใจและอยากให้เป็นนายก อบจ.กาฬสินธุ์ เพราะมีความตั้งใจ เป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ มีประประสบการณ์ ซึ่งเป็นการการันตีความมุ่งมั่นตั้งใจของตัวผู้สมัครที่ชื่อไข่มุก เฉลิมขวัญ ซึ่งหากได้เป็นนายกอบจ.จะเป็นไข่มุกเม็ดงาม และเป็นประโยชน์กับชาวจังหวัดกาฬสินธุ์ที่จะพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า อย่างไรก็ตามจากการลงพื้นที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งการเลือกตั้งนายกอบจ.กาฬสินธุ์ครั้งนี้มั่นใจว่าแลนสไลด์ของพรรคเพื่อไทย และพี่น้องชาวกาฬสินธุ์จะให้โอกาสไข่มุกเฉลิมขวัญเข้าไปเป็นนายกอบจ.กาฬสินธุ์อย่างแน่นอน

'คนเพื่อไทย' เย้ย ภท.-ปชป. หยุดโม้กวาด ส.ส.ใต้ แนะ!! ไปทำตามสัญญาที่ให้ปชช. ให้ได้ก่อน

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม นพ.ประสิทธิ์ โกยศิริพงศ์ อดีตนายกฯ อบจ.ภูเก็ต และประธานคณะทำงานโซนภาคใต้ฝั่งอันดามัน พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า จากกรณีที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) และพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ต่างประกาศจะยึดเก้าอี้พื้นที่ภาคใต้ฝั่งอันดามันทั้งหมดนั้น ตนอยากบอกว่า ขอให้ลืมไปได้เลย เพราะในปัจจุบันเท่าที่ทำหน้าที่ประสานงานให้พรรค พท. และลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องนั้น ทำให้ทราบว่า ประชาชนไม่เอาด้วยกับนโยบายกัญชาเสรีของพรรค ภท. ขณะที่พรรค ปชป. ก็ไม่มีผลงานแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้แก่ประชาชนเลย ทำให้กระแสตกลงอย่างต่อเนื่อง

นพ.ประสิทธิ์กล่าวต่อว่า ท่านอย่าเพิ่งพูด หรือคาดหวังไปก่อนโดยเหมารวมเอาเองว่าพี่น้องประชาชนชาวใต้ฝั่งอันดามันจะให้คะแนนเสียงพวกเราให้ท่านเหมือนอดีต เพราะท่านอาจจะผิดหวังได้ วันนี้คนใต้ลำบากกันมาก ราคายางตกลงอย่างต่อเนื่อง หลายครอบครัวเริ่มเป็นหนี้หนัก เมื่อทั้ง ภท. และ ปชป.ประกาศกวาดเก้าอี้ ส.ส. ภาคใต้ ภายใต้ภาวะที่ท่านเป็นรัฐบาล แต่ไม่ได้มีนโยบาย หรือแนวทางที่จะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนชาวใต้ให้กลับมาตั้งหลักได้อีกด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดพี่น้องประชาชนภาคใต้ต้องเลือกท่านกลับมาอีก

'ไข่มุก เพื่อไทย' แลนด์สไลด์ชนะ 'เสี่ยโด่ง' คว้าเก้าอี้ 'นายกอบจ.กาฬสินธุ์'

ผลคะแนนเลือกตั้งนายกอบจ.กาฬสินธุ์อย่างไม่เป็นทางการแลนด์สไลด์ 'ไข่มุก เฉลิมขวัญ หล่อตระกูล' ชนะ 'เสี่ยโด่ง ชานุวัฒน์ วรามิตร' อดีตนายกอบจ.กาฬสินธุ์อย่างถล่มทลายเกือบ 1 แสนคะแนน 

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลการนับคะแนนเลือกตั้งนายกอบจ.กาฬสินธุ์ หลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้มีการเลือกตั้งใหม่ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยเลือกตั้งทั้ง 18 อำเภอนับคะแนนแล้วเสร็จในช่วงเวลา 21.00 น. โดยผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการผลปรากฏว่า เบอร์ 1 นายชานุวัฒน์ วรามิตร ได้ 150,443 คะแนน, เบอร์ 2 นางเฉลิมขวัญ หล่อตระกูล ได้ 249,093 คะแนน และเบอร์ 3 นางเขมจิรา อนันทวรรณ ได้ 13,784 คะแนน

‘แท็กซี่ - เกษตรกร’ สมัครเข้าร่วม ‘ครอบครัวเพื่อไทย’ เชื่อมั่น ‘พรรคเพื่อไทย’ คือ ความหวังประชาชน

ตัวแทน ‘แท็กซี่ - เกษตรกร’ สมัครเข้าร่วม ‘ครอบครัวเพื่อไทย’ เชื่อมั่น ‘พรรคเพื่อไทย’ คือ ความหวังประชาชน ฝากความหวังชนะเลือกตั้ง จัดตั้งรัฐบาล เพื่อผลักดันนโยบายที่ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาประชาชน

(17 ส.ค. 65) ตัวแทนกลุ่มแท็กซี่ทวงคืนความยุติธรรม สมาคมวิชาชีพผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะแท็กซี่ และกลุ่มเกษตรกรไร้ที่ดินทำกิน สมาพันธ์เครือข่ายที่ดินทำกิน จังหวัดสระแก้ว สมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกครอบครัวเพื่อไทย พร้อมยื่นหนังสือต่อ แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยและประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม เพื่อขอให้พรรคเพื่อไทยผลักดันการแก้ไขปัญหาของกลุ่มผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่และปัญหาเรื่องที่ทำกินของเกษตรกร โดยประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมาและเลขาธิการพรรคเพื่อไทย สมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี และ อดิศร เพียงเกษ โฆษกผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ร่วมรับหนังสือ ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะนำข้อมูลที่ได้รับมาไปพิจารณาสู่การแก้ไขปัญหา

‘รองโฆษกเพื่อไทย’ ซัด รัฐล้มเหลว ยิ่งแจกบัตรคนจน สะท้อนบริหารผิดพลาด

‘รองโฆษกเพื่อไทย’ ซัด รัฐล้มเหลวยิ่งแจกบัตรคนจน คนยิ่งจน เหน็บ บริหารผิดพลาดล้มเหลว เอาแต่โทษปี่โทษกลอง แนะ ลงจากตำแหน่งกลับไปอยู่บ้าน อยู่ในที่ชอบ อย่าดันทุรังอยู่ต่อ

เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า อีกไม่กี่วันรัฐบาลเตรียมเปิดให้กดยืนยันสิทธิคนละครึ่งเฟส 5 วงเงิน 800 บาท เริ่มใช้จ่ายวงเงินสิทธิตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน-31 ตุลาคม 2565 ต่อด้วยการเปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือบัตรคนจน หวังช่วยประชาชน แต่เป็นการแจกแบบไร้ทิศทาง เพราะตั้งแต่มีการแจกบัตรคนจนในปี 2561 มีผู้ถือบัตรอยู่ที่ 11.4 ล้านคน ปี 2562 มีผู้ถือบัตรเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 14.5 ล้านคน และในปี 2565 กลับแจกไม่อั้นซึ่งหมายความว่าที่ผ่านมารัฐบาลไม่เคยนำเอาตัวเลขหรือผลลัพธ์ที่ได้จากการแจกบัตรคนจน ไปแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างในระยะยาวเลย ตรงกันข้ามยังภูมิใจในผลงานของตัวเองที่บริหารผิดพลาดล้มเหลว เอาแต่โทษปี่โทษกลอง แต่คนจนในประเทศเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ

'เพื่อไทย' ซัด!! งบกลาโหม 8.5 หมื่นล้านบาท ประเคนกองทัพซื้ออาวุธ แบบไม่เห็นหัวประชาชน

ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ส.ส. พรรคเพื่อไทย ระดมพลอภิปรายขอให้สภาผู้แทนราษฎรปรับลดงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานด้านความมั่นคงในส่วนของหน่วยงานภายใต้กำกับของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมีแนวโน้มในการคุกคามและแทรกแซงประชาชน รวมไปถึงขอให้ปรับลดงบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหม ที่ยังคงมุ่งหน้าในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมหาศาล ซึ่งขัดแย้งกับสถานการณ์ประเทศที่กำลังวิกฤต ประชาชนต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจปากท้องอย่างหนักในขณะนี้

[+พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย]

ในมาตราที่ 7 ซึ่งเป็นงบประมาณรายจ่ายของสำนักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานในกำกับ จะต้องปรับลดลง เนื่องจากนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีหน่วยงานในกำกับอยู่ถึง 27 หน่วยงาน มีงบประมาณรวมถึง 2.2 หมื่นล้านบาท รวมกับงบกลางเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินจำเป็น สำรองจ่ายได้อีก 9.2 หมื่นล้านบาท เป็น 1.1 แสนล้านบาท นอกจากนี้ยังรวมถึงหน่วยงานของ กอ.รมน. ที่เข้าไปล้วงลูกสั่งการหน่วยราชการในอีก 77 จังหวัดอีกด้วย ซึ่งใน 27 หน่วยงานนี้ก็มีบางหน่วยงานที่น่าจะตัดงบประมาณทั้งหมด เช่น สำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์กรมหาชน) เพราะทุกวันนี้ประชาชนก็ถูกหน่วยงานเหล่านี้คุกคามทางไซเบอร์อยู่ ยังไม่นับที่หน่วยราชการต่าง ๆ ที่ถูกล้วงลูกแทรกแซงอีก

[+ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส. มหาสารคาม] 

ในงบประมาณ มาตรา 8 ในส่วนของกระทรวงกลาโหม ได้รับงบประมาณทั้งสิ้น 8.5 หมื่นล้านบาท โดยได้ระบุว่ามีความจำเป็นต้องปรับลด 10% ที่ได้ไปนำไปจัดซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน แต่ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจขนาดนี้ไม่สอดคล้องกับการซื้อเรือดำน้ำที่ไม่มีเครื่องยนต์ นอกจากนี้เครื่องยนต์ที่ทางการจีนต้องไปจัดหาสำหรับเรือดำน้ำที่ไทยตั้งใจจะซื้อต่อนั้น ยังเป็นเครื่องยนต์ที่ไม่มีทหารคนไหนบนโลกเคยใช้มาก่อน

นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหมยังมีความพยายามจะจัดซื้อเครื่องบินรบ F-35A เป็นเครื่องบินใหม่ล่าสุดที่มีนวัตกรรมทางทหารและทางอวกาศที่ล้ำสมัย อย่างไรก็ตามการจัดซื้อเครื่องบินรบที่มียุทโธปกรณ์สูงเช่นนั้นไม่เหมาะสมกับวิกฤตเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน อีกทั้งยังไม่สอดคล้องกับงบประมาณแผ่นดินในเวลานี้ที่ต้องจำกัดจำเขี่ย ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นการตั้งงบประมาณไว้ลอยๆ อย่างไม่จำเป็น เพราะการจะซื้อเครื่องบินรบ F-35A นั้นจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรส สหรัฐอเมริกาเสียก่อน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีวี่แววใดๆ ว่าทางสหรัฐฯ​ จะอนุมัติขายให้

[+ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ส.ส. เชียงใหม่]
ขอปรับลดงบประมาณกระทรวงกลาโหม 10% โดยเฉพาะงบที่จะใช้ในการเช่ารถหรูประจำตำแหน่ง Mercedes-Benz S500 ถึง 30 คัน ประเทศไทยมีนายพลจำนวนที่เยอะเกินกว่าที่จำเป็น หากนับย้อนไป 2561-2563 มีนายพลแต่งตั้งโยกย้ายมากกว่า 10,000 คน เท่ากับ 1 ต่อ 166 นาย ส่งผลให้งบประมาณรายจ่ายสูง อีกทั้งสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมยังมีงบลับจำนวนมาก ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ อีกทั้งการตั้งงบประมาณที่ไม่เกี่ยวข้องกับสายงานและไม่มีความจำเป็น เช่น การตั้งงบไอโอเพื่อโจมตีประชาชนที่มีความเห็นต่าง เป็นต้น

“ตั้งงบซื้ออาวุธทุกปี ถ้าไม่ซื้ออาวุธสักปี ประเทศไทยจะเสียเอกราชให้ใครหรือเปล่าคะ? หรือถ้าไม่ซื้อ ท่านนายกฯ จะตายหรือเปล่า ถ้าท่านนายกฯ จะเป็นจะตาย ดิฉันก็ยอมให้ท่านแล้วค่ะ จะได้เป็นบุญ แต่นี่ไม่ใช่ เพราะงบประมาณเป็นเงินภาษีประชาชน กองทัพที่ใหญ่โต งบประมาณที่เลอะเทอะ ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่ประชาชนกำลังหิวโหย ตั้งงบประมาณไม่เห็นหัวประชาชน จึงขอลดงบประมาณกระทรวงกลาโหม 10% เพื่อไปเพิ่มสวัสดิการและแก้เศรษฐกิจให้แก่ประชาชน”

[+วิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส. เชียงราย]
ขอปรับลดงบประมาณกระทรวงกลาโหมลง 9% ด้วยเหตุผล 2 ประการ

1.) ประเทศไทยมีโครงการทุนพัฒนาศักยภาพนักวิจัยด้านยุทโธปกรณ์เพื่อเพิ่มศักยภาพของกองทัพและการป้องกันประเทศ แต่กองทัพกลับไม่สนับสนุน กองทัพมุ่งแต่จะซื้ออาวุธทำให้เกิดปัญหาเงินไหลออก และประเทศขาดโอกาสในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปัจจุบันการซื้อขายอาวุธระหว่างประเทศได้มีนโยบายการซื้อสินค้าระหว่างประเทศที่ระบุให้ผู้ซื้อและผู้ขายอาวุธจะต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านอาวุธ มีการลงทุนร่วมกันทั้งในภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาทักษะและพัฒนาอาวุธ ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านเราต่างใช้นโยบายนี้ แต่ไม่ทราบว่ากองทัพไทยได้ดำเนินการในเรื่องนี้หรือไม่

'เพื่อไทย' ห่วง 'ประยุทธ์' อยู่เกิน 8 ปี แสดงถึงการยึดติดอำนาจ  จะพาเศรษฐกิจชาติล่มจม ชี้ ความน่าเชื่อถือทางกฎหมาย เป็นเรื่องสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ แนะ มีจิตสำนึกเห็นชาติสำคัญกว่าตัวบุคคล

 

นายพชร นริพทะพันธุ์  กรรมการบริหาร และ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่พรรคร่วมฝ่ายค้านได้ยื่นหนังสือถึงประธานสภาฯ เพื่อพิจารณาส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยในประเด็นครบกำหนด 8 ปีในการดำรงตำแหน่งของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานั้น พลเอกประยุทธ์น่าจะต้องรู้ดีว่า การออกแบบจำกัดเวลาให้ ผู้มีอำนาจ อยู่จำกัดไว้ที่ 8 ปีก็เพื่อ เสถียรภาพ และ ดุลยภาพของประเทศ เกินจากนี้ ระบบราชการจะถดถอย จะยึดติดตัวบุคคล ไม่มีการพัฒนา ลดทอนขีดความสามารถในการแข่งขันซึ่งปรากฏให้เห็นแล้วจากการจัดลำดับความสามารถแข่งขันของ IMD สวิตเซอร์แลนด์ 

อีกทั้ง การออกแบบให้ผู้บริหารในระบบราชการเองก็มีระเบียบวาระในการดำรงตำแหน่ง เช่นปลัดกระทรวง และ อธิบดีก็มีวาระ ที่จำกัดไว้เพื่อไม่ให้เกิดการฝังราก การที่ นายก ยิ่งลักษณ์ ต่อวาระ ผบ ทบ ในช่วง พลเอก ประยุทธ์ เป็น ผบ ทบ เองก็ได้เห็น การปฎิวัติ รัฐประหาร เป็นตัวอย่าง ของผลลัพท์ ที่เกิดจาก การบิดกฎ เพื่อสนองความต้องการ ของบุคคล ทั้งที่สามารถโยกย้ายและควรจะโยกย้ายแล้ว และถ้าทำตอนนั้น ก็จะไม่เกิดการปฏิวัติรัฐประหารแล้ว 

ดังนั้น การที่จะให้ พลเอก ประยุทธ์ อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อ ทั้งๆที่ รัฐธรรมนูญเขียน ไว้ชัดเจน ลึกไปถึง เจตนารมณ์ของ ประธาน กรธ และ สมาชิก ก็บันทึกไว้ชัดเจน ผมเองก็อยู่ในเหตุการณ์ตอนอาจารย์เธียรชัย ณ นคร หนึ่งในคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญมาเล่านายพิชัย นริพทะพันธุ์ เรื่องเจตนาของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่ต้องการให้พลเอกประยุทธ์อยู่เกิน 8 ปี เมื่อกว่า 2 ปีที่แล้ว แต่ก็ยังจะมีความพยายามการกดดันให้ศาลตัดสิน ตามความต้องการของตนนั้น ย่อมส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับการดึงดูดการลงทุนรายใหม่ เพราะกระบวนการยุติธรรม คือรากฐานของความน่าเชื่อถือ เป็น rule of law  ต่างชาติต้องเชื่อได้ว่า ทุกธุรกรรม และ ทุกการลงทุน ต้องได้รับความยุติธรรมจากระบบยุติธรรมในประเทศ แม้กระทั่งนักท่องเที่ยวเองก็ต้องผูกความศิวิไลซ์ของประเทศ กับระบบยุติธรรมของแต่ละประเทศ การกดดันศาลและความพยายามเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบ ความเจริญของประเทศอย่างแน่นอน

'ส.ส.เพื่อไทย' ซัด!! 'ประยุทธ์' ทำประเทศตกต่ำ อยู่มา 8 ปี สร้างปัญหา-ภาระให้ประชาชนเพียบ

นางสาวทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงกรณีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปล่อยให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ปรับเพิ่มค่าเอฟทีอีก 68.66 สตางค์ต่อหน่วย รวมเป็นค่าเอฟทีทั้งสิ้น 93.43 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย ซึ่งพลเอกประยุทธ์ออกมาบอกว่าเห็นขึ้นหลักสตางค์ไม่กระทบประชาชน แต่พลเอกประยุทธ์ต้องไม่ลืมว่าหลักสตางค์ต่อหน่วยก็รวมแล้วเพิ่มขึ้นหลักร้อยบาทต่อเดือนที่ประชาชนต้องควักเงินเพิ่ม 

ส่วนที่บอกว่าให้นึกถึงคำสอนของพุทธเจ้าที่ว่าด้วยอริยะสัจ 4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรร.สคเพื่อหาเหตุแห่งปัญหา ทั้งนี้ประชาชนทั้งประเทศ ยืนยันว่าเหตุแห่งปัญหาประเทศคือตัวพลเอกประยุทธ์ เพราะสร้างสารพัด ปัญหาให้ประชาชนต้องตามไปแก้ ไม่เคยมีแนวคิดมาจากพลเอกประยุทธ์ ที่จะมาแก้ปัญหาให้ประชาชน

‘ทิพานัน’ วอนเพื่อไทย หยุดปั่นกระแส 8 ปี นายกฯทำสังคมสับสน ย้ำปัญหากฎหมายให้ศาล รธน. ตัดสิน เผย ‘บิ๊กตู่’ จัดเอเปคมีแผนดำเนินงานล่วงหน้า หวังสร้างโอกาสและรายได้ตามวาระอายุรัฐบาล ไม่ใช่ข้ออ้างดำรงตำแหน่งต่อ

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ประสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี  กล่าวถึงกรณีที่นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวหานายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ชี้ช่องให้นายกฯ อยู่รักษาการต่อไปว่า สิ่งที่ท่านวิษณุได้ชี้แจงเป็นการตอบคำถามของนักข่าวตามหลักกฎหมายและอธิบายกฎหมายให้เข้าใจได้ง่าย  ส่วนที่นายสมคิดเองเออเองว่าเป็นการชี้ช่องนั้น อาจเป็นเพราะคำตอบตามหลักกฎหมายนั้นไม่ถูกใจนายสมคิดจึงแสดงความไม่พอใจในคำตอบและบิดเบือนความเห็นทางกฎหมายให้สังคมกังขาการรักษาการตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

“การปั่นกระแสสังคมที่อยู่เกิน 8 ปีไม่ได้ ในห้วงเวลานี้ เป็นปัญหาที่ต้องไปตีความตัวบทกฎหมาย ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่เป็นองค์กรอิสระและมีหน้าที่วินิจฉัย ไม่ใช่หน้าที่ของ ส.ส.เพื่อไทยหรือฝ่ายใดที่จะวินิจฉัยตีความให้สังคมสับสน” น.ส. ทิพานัน กล่าว 

น.ส. ทิพานัน กล่าวต่อว่า  ส่วนที่จะให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยไม่ต้องฟังคำวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายจากศาลรัฐธรรมนูญนั้น  แสดงให้เห็นว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทย ไม่ต้องการเคารพกระบวนการยุติธรรมอย่างนั้นหรือ  ยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ที่มีอดีตหัวหน้าพรรค ทั้งนายทักษิณและน.ส.ยิ่งลักษณ์ ละเมิดกระบวนการยุติธรรม เช่น กรณีพยายามติดสินบนตุลาการรวมถึงหลบหนีการดำเนินคดีและการลงโทษคดีทุจริตต่างๆ โดยไม่เคารพกฎหมายใช่หรือไม่

‘หมอชลน่าน’ ฝัน ‘บิ๊กตู่’ ประกาศออกจากตำแหน่งอย่างเท่ ในคืนวันที่ 23 ส.ค. เชื่อคนจะยกย่องเป็นรัฐบุรุษ หากไม่เลือกทางนี้อาจไม่มีที่อยู่ ยันไม่ชงชื่อ ‘อุ๊งอิ๊ง’ เป็นแคนดิเดตนายกฯคนนอก ขอส่งคนในบัญชีก่อน

เมื่อวันที่ 21 ส.ค.เวลา 09.30 น.  ที่โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อาจต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ในส่วนของพรรคเพื่อไทย เหลือเพียง นายชัยเกษม นิติสิริ คนเดียวที่อยู่ในบัญชีนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ว่า หากพล.อ.ประยุทธ์ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกนายกฯตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 และ มาตรา 159 ถ้าเลือกไม่ได้ก็ดำเนินการตามมาตรา 272 ซึ่งพรรคเพื่อไทย ต้องส่งนายกฯ แคนดิเดตที่อยู่ในบัญชีของพรรคฯ แต่ยังไม่ได้ปรึกษาหารือกัน ซึ่งรายชื่อของพรรคเพื่อไทยในขณะนี้มี 3 คน แต่โดยความชอบธรรมแล้ว เมื่ออีก 2 คนไปทำหน้าที่อื่นก็เหลือเพียงนายเกษมเพียงคนเดียว ส่วนความเป็นไปได้ที่พรรคฯจะเสนอรายชื่อนายกฯคนนอกบัญชี กรณีถ้าสภาฯเลือกคนในบัญชีไม่ได้ ไม่ว่าจะเลือกกี่ครั้งก็ไม่ได้ ถึงจะเปิดช่องให้เอาคนนอกบัญชีมาเป็นนายกฯได้ หากเสียง 2 ใน 3 ของสภาฯเห็นชอบก็สามารถเลือกได้ และถ้าเลือกได้ก็จบ แต่ถ้าไม่ได้ก็ต้องเลือกอยู่อย่างนั้น ซึ่งมีความเป็นไป

เมื่อถามว่าหากต้องเสนอนายกฯคนนอกบัญชีพรรคเพื่อไทยเตรียมคนไว้หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่ได้ปรึกษาหารือกัน เพราะเรามีคนในบัญชีเราจึงต้องส่งคนในบัญชีก่อน เมื่อถามย้ำว่าจะมีการเสนอชื่อของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย เป็นแคนดิเดตนายกฯคนนอกหรือไม่ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ไม่น่าจะเหมาะในสถานการณ์อย่างนี้ ส่วนชื่อของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จะเหมาะกับการเป็นนายกฯคนนอกบัญชีหรือไม่ ก็ไม่ใช่หน้าที่ของพรรคเพื่อไทย

เมื่อถามว่านายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ จะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยปมนายกฯ 8 ปี ในวันที่ 22 สิงหาคมตามคำร้องของฝ่ายค้าน เห็นว่าพล.อ.ประยุทธ์ ควรหยุดปฏิบัติหน้าที่เลยหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ในคำร้องของฝ่ายค้านมีคำร้อง 2 เรื่องคือ1.ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นนายกฯของพล.อ.ประยุทธ์ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ และ2.ให้ศาลฯมีคำสั่งให้พล.อ.ประยุทธ์ ยุติการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกฯ ดังนั้นถ้าในวันที่ 22 สิงหาคม สภาฯส่งคำร้องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ซึ่งปกติศาลรัฐธรรมนูญจะประชุมทุกวันพุธ คือวันที่ 24 สิงหาคม สมมุติว่ามีการเตรียมการประชุมในวันที่ 24 สิงหาคม และถ้าศาลตั้งองค์คณะว่าจะรับคำร้องดังกล่าวหรือไม่ เราก็จะรู้ในวันดังกล่าวว่าศาลฯจะสั่งให้พล.อ.ประยุทธ์ หยุดปฏิบัติหน้าที่ตามคำร้องหรือไม่

 นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่าพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯครบ 8 ปีในวันที่ 23 สิงหาคม ดังนั้นในวันที่ 24 สิงหาคมก็ถือว่าเกิน 8 ปีแล้ว และหากศาลฯยังไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็ต้องรอคำวินิจฉัยอีกเดือนครึ่งอาจถึงสิ้นเดือนกันยายนถึงจะมีคำวินิจฉัย สมมุติว่าความเป็นนายกฯของพล.อ.ประยุทธ์ สิ้นสุดลง วันที่ 24 สิงหาคมนี้ และระหว่างที่รอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ในระหว่างนั้นรัฐธรรมนูญคุ้มครองว่าการกระทำใดๆในช่วงนี้ทำได้ไม่มีผลที่จะไปลบล้างการกระทำนั้น ก็เป็นไปได้ที่ศาลฯจะไม่สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างรอคำวินิจฉัย แต่เหตุการณ์ที่เรากลัวคือข้อขัดแย้งทางการเมือง กระแสต่อต้านจะยิ่งแรงขึ้น ถึงตอนนั้นคือจุดวิกฤต อย่าว่าแต่พล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่ในประเทศไทยเลย แต่จะไม่มีที่อยู่ 

“ถ้าผมเป็น พล.อ.ประยุทธ์ ผมจะออกอย่างเท่ที่สุด เย็นวันที่ 23 สิงหาคม ผมจะออกประกาศแถลงการณ์จากสำนักนายกรัฐมนตรี เลยว่า กราบเรียน พี่น้องประชาชน ผมพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผมจะหมดวาระตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในเวลา 24 นาฬิกา ของวันนี้ ขอให้ทางรัฐสภาดำเนินการเลือกตั้งนายกฯคนต่อไปได้ อย่านี้ทุกคนก็จะปรบมือให้ นี่คือมโนธรรมสำนึกความรับผิดชอบ เคารพหลักนิติธรรม แล้ว พล.อ.ประยุทธ์จะอยู่ในใจพี่น้องประชาชน และกลไกลหลังจากนั้นจะดีไม่ดีหรือเลวร้ายค่อยว่ากัน ซึ่งผมฝันว่าพล.อ.ประยุทธ์จะประกาศออกจากตำแหน่งอย่างสง่างามเพราะเป็นทางที่ดีที่สุด สำหรับประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ และสถาบันตุลาการก็รอดตัวไม่ต้องวินิจฉัย” นพ.ชลน่าน 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top