Wednesday, 21 May 2025
พรรคก้าวไกล

‘เศรษฐา’ รับ!! หนักใจผลโหวต ‘พิธา’ หลังคะแนนต่ำเกินคาด แต่ยืนยันขอหนุนเป็นนายกฯ สุดกำลัง รอ 8 พรรคเคาะเข็นต่อ

(14 ก.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีข้อบังคับการประชุมไม่สามารถเสนอชื่อซ้ำได้ต้องมีการเปลี่ยนชื่ออื่นหรือไม่ ว่า ตนไม่ทราบข้อกฎหมายต้องถามฝ่ายกฎหมายดูก่อน ส่วนผลการโหวตก็มีความหนักใจ และไม่สบายใจ เพราะนึกว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี ตนขอเข้าประชุมกับกรรมการบริหารพรรคก่อน

เมื่อถามว่า หากข้อบังคับมีการให้เสนอชื่อบุคคลอื่นขึ้นมาประกบ จะมีการเสนอชื่อคนของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังไม่ทราบและยังไม่ได้คุยกับใครเลย

เมื่อถามว่าการโหวตครั้งนี้มีอุปสรรคมากมีการเสนอให้ปิดสวิตซ์ ส.ว.เพื่อให้การโหวตนายกฯราบรื่น นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องนี้คุยมานานมากและสุดทางแล้ว คงคุยกันลำบาก คำว่าปิดสวิตซ์ก็ฟังดูไม่ดีเท่าไร แต่เห็นว่าคงลำบากเพราะโหวตครั้งที่ 1 ไปแล้ว คงต้องรอฟังความเห็นจากพรรคร่วม 8 พรรคไปก่อน

เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ว่าจะมีการเสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จากพรรคพลังประชารัฐ เข้ามาแข่งด้วยนายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่ทราบว่าจะมีการเสนอชื่อตรงนี้หรือไม่ แต่หากดูตามคณิตศาสตร์ก็ลำบาก เพราะพรรคมีแค่ 40 กว่าเสียงเอง คิดว่าความเป็นไปได้คงลำบาก

เมื่อถามต่อว่า 8 พรรคร่วมจะเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตพรรคก้าวไกลจนถึงที่สุดหมายความว่ากี่รอบ นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังไม่ทราบต้องรอดูก่อนเพราะคะแนนมารอบแรกต่ำไปหน่อย ขอปรึกษากับกรรมการบริหารพรรคก่อนว่าคิดอย่างไร ซึ่งน่าจะมีความชัดเจนขึ้นหลังจากประชุม 8 พรรคร่วม

เมื่อถามย้ำว่า ควรเสนอชื่อนายพิธา โหวตนายกฯ ต่อหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า กล่าวย้ำว่าต้องขอไปคุยกันก่อน แต่เรายืนยันว่าสนับสนุนนายพิธาเป็นนายกฯ ขอบคุณ 324 เสียง

เมื่อถามว่า มีแนวทางจะไปขอเสียงสนับสนุนจากพรรคขั่วรัฐบาลเดิมให้หนุนโหวตนายกฯ หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องเป็นยุทธศาสตร์ของ 8 พรรคร่วมที่จะคุยกันส่วนตนไม่ได้อยู่ในวงเจรจาคงต้องถามอีกครั้งก่อน

‘ก้าวไกล’ ยื่นร่างแก้ ม.272 คืนอำนาจเลือกนายกฯ ให้ ปชช. ชี้!! เป็นทางออกที่ดีที่สุด เชื่อ!! ‘ส.ส. - ส.ว.’ พร้อมสนับสนุน

(14 ก.ค. 66) ที่รัฐสภา ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล และ พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ส.ส. พรรคก้าวไกล เสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม โดยมี วันมูฮัมหมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นผู้รับเอกสาร สาระสำคัญของร่างคือ การยกเลิกมาตรา 272 ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ให้อำนาจ ส.ว. ร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี

ชัยธวัชกล่าวว่า ส.ส. พรรคก้าวไกลได้เข้าชื่อกันตามรัฐธรรมนูญ เสนอร่างฉบับนี้เพื่อคืนอำนาจในการเลือกนายกฯ ให้แก่ประชาชน เนื่องจากการประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกฯ เมื่อวานนี้ (13 ก.ค.) ปรากฏชัดว่ามี ส.ว.งดออกเสียงถึง 159 คน ไม่มาประชุมอีก 43 คน หลายคนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ประสงค์ใช้อำนาจทำหน้าที่เลือกนายกฯ ขอให้เป็นเรื่องของ ส.ส. ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปจะนำไปสู่ทางตันทางการเมือง

ส.ส.พรรคก้าวไกลในฐานะสมาชิกรัฐสภา จึงเสนอทางออกให้ ส.ว.ในเมื่อท่านไม่ประสงค์จะใช้อำนาจนี้ด้วยความกระอักกระอ่วนใจหรือเหตุผลอื่นใดก็ตาม ในการโหวตพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกฯ ทางนี้จึงจะเป็นทางออกที่ตอบโจทย์ทั้ง ส.ว.ทั้งระบบรัฐสภาของประเทศ ทำให้การเมืองไทยเดินหน้าต่อไปได้ และมีรัฐบาลชุดใหม่โดยเร็วที่สุด

เลขาธิการพรรคก้าวไกลชี้แจงต่อคำถามของผู้สื่อข่าวด้วยว่า คาดว่าระยะเวลาที่รัฐสภาพิจารณาร่างฉบับนี้ ใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ เพราะเสนอแก้ไขเพียงมาตราเดียว และการพิจารณาสามารถดำเนินการคู่ขนานกับการประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกฯ ได้ โดยหลังจากนี้พรรคก้าวไกลจะดำเนินการขอเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.ต่อไป

พร้อมกับย้ำว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญยกเลิก ม.272 ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีการเสนอหลายครั้งในสภาชุดที่แล้ว และ ส.ส. พรรคที่เป็นฝั่งรัฐบาลในเวลานั้น เช่น พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ หรือแม้แต่พรรคพลังประชารัฐ ก็เคยออกเสียงสนับสนุน รวมถึง ส.ว. มากกว่า 60 คนก็เคยเห็นชอบ จึงเชื่อว่าครั้งนี้ไม่น่ามีปัญหา

ทั้งนี้ ได้แจ้งการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ต่อพรรคเพื่อไทยเป็นการเบื้องต้นแล้ว เนื่องจากพรรคก้าวไกลต้องการให้กระบวนการนี้ใช้เวลาสั้นที่สุด จึงไม่สามารถรอให้สมาชิกจากพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลพรรคอื่นๆ มาร่วมเซ็นด้วย ดังนั้น การที่พรรคก้าวไกลยื่นร่างนี้เพียงพรรคเดียว ไม่ได้หมายความว่าพรรคเพื่อไทยและอีก 6 พรรค จะไม่เห็นด้วยหรือขัดข้องแต่อย่างใด

“ในเมื่อ ส.ว.มีมโนธรรมสำนึกว่าท่านไม่สามารถโหวตนายกรัฐมนตรีได้ ดังนั้น เพื่อให้ท่านไม่ต้องทำอะไรที่ขัดกับมโนธรรมสำนึก ก็แก้ไขยกเลิกมาตรานี้เสีย เพื่อคืนอำนาจในการเลือกนายกให้ประชาชน และเมื่อประชาชนตัดสินใจไปแล้ว จะถูกจะผิดอย่างไรท่านก็ไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะท่านอ้างว่าถ้าตัดสินใจก็ต้องรับผิดชอบ ท่านจึงไม่ตัดสินใจ หนทางนี้จึงเป็นการหาทางออกให้ทุกฝ่าย เป็นทางออกที่ดีที่สุด และต้องถามไปยัง ส.ว.หลายท่านที่ได้แสดงออกมาก่อนหน้านี้ว่าตนเองไม่อยากเกี่ยวข้องกับการเลือกนายกฯ ท่านยินดีหรือไม่ที่จะช่วยกันเอาอำนาจของท่านออกไป และคืนอำนาจนี้ให้ประชาชน” ชัยธวัช กล่าว

ด้านประธานรัฐสภากล่าวว่า ขั้นตอนหลังจากนี้จะให้เจ้าหน้าที่สภาตรวจสอบความครบถ้วนถูกต้องของเอกสาร โดยจะดำเนินการโดยเร็วที่สุด เพราะถือว่าเป็นเรื่องด่วน

‘เพื่อไทย’ ค้าน!! ‘ก้าวไกล’ แก้ รธน.272 ชี้ เป็นไปได้ยาก จ่อหารือกับพรรคร่วมรอบ 2 ยังไม่เคาะชื่อ ‘พิธา’ ชิงนายกฯ

เมื่อวันที่ 14 ก.ค. 66 ที่โรงแรมโรสวูด กรุงเทพฯ ตัวแทนพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย (พท.) ได้นัดหารือกันหลังการโหวตชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตพรรคก้าวไกล ไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา โดยมีตัวแทนพรรคก้าวไกล ประกอบด้วย นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรค และ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค ขณะที่พรรคเพื่อไทย ประกอบด้วย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค ใช้เวลาหารือประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที

บรรยากาศที่ประชุมวันนี้เป็นไปได้ด้วยดี โดยได้หารือถึงภาพกว้างประเมินสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในการโหวตเลือกนายกฯ ครั้งที่ 2 วันที่ 19 ก.ค.นี้ โดยมองว่าในที่ประชุมรัฐสภาฯ จะมีการทักท้วงเกี่ยวกับการเสนอญัตติเดิมซ้ำในสมัยประชุมได้หรือไม่ รวมถึงประเมินว่าฝ่ายรัฐบาลเดิมอาจเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ เข้ามาแข่งด้วย ซึ่งวงหารือยังไม่ได้ลงรายละเอียด เพียงแต่อยากประเมินสถานการณ์ให้แต่ละฝ่ายไปหาทางรับมือประเด็นนี้ไว้ล่วงหน้า ส่วนเรื่องที่พรรคก้าวไกลยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 นั้น พรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยเนื่องจากเป็นไปได้ยาก เพราะญัตติดังกล่าวต้องอาศัยเสียง ส.ว.ถึง 84 เสียง มองว่าเวลานี้ควรมุ่งหน้าเรื่องจัดตั้งรัฐบาลกันก่อน

ทั้งนี้ หลังจากนี้ทาง 8 พรรคร่วมรัฐบาลจะนัดหารือกันอีกครั้ง ในวันที่ 18 ก.ค.นี้ เวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา และจะมีการแถลงข่าวให้ทราบอย่างเป็นทางการ

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมยังไม่สรุปว่ายังเสนอชื่อนายพิธา ให้ที่ประชุมรัฐสภาโหวตให้เป็นนายกฯ อีกครั้งหรือไม่ และยังไม่มีการหารือรายชื่อนายกฯ รอบ 2 ว่าจะเป็นในรูปแบบใด เพราะต้องรอความเห็นจากที่ประชุม 8 พรรคร่วมรัฐบาลก่อน ส่วนการโหวตนายกฯ ครั้งที่ 2 พรรคก้าวไกลจะรวบรวมเสียง ส.ว.หรือไม่นั้น ที่ประชุมก็มีการพูดคุยกัน แต่ก็ต้องมาหารือกันอีกครั้งในที่ประชุม 8 พรรคร่วมรัฐบาล

ชำแหละเทคนิคทางการเมืองแบบมวลชน ฉบับ ‘ก้าวไกล’ หากยอมถอย ‘ม.112’ ก็จะไม่มี ‘ปีศาจ’ ไว้ปั่นความเกลียดชัง

(15 ก.ค. 66) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Chaiyan Chaiyaporn’ โดยระบุว่า…

จาก ‘อาจารย์แก้วสรร’ ครับ

การเมืองของก้าวไกล 
เทคนิคของการใช้การเมืองแบบมวลชน คือ ต้องหาเป้าหมายสักอย่างหนึ่ง มาให้ผู้คนร่วมกันเกลียดชังว่า “เป็นต้นตอของความงี่เง่าเฮงซวยของบ้านเมือง”

เป้าหมายนี้ ต้องดูมีฤทธิ์เดช เ_ี้ยได้มากจริง เช่น ถ้าเป็นคอม ก็วาดเป้าหมายเป็นนายทุน เป็นนาซีก็วาดเป็นยิว เป็นชาตินิยมก็เป็นจักรวรรดิ์นิยม

การเมืองของก้าวไกลเดินมาทางนี้ แล้วเลือกเอาสถาบันฯ เป็นปีศาจของความเกลียดชัง ทำให้ดูขลัง จึงลากเป็นมรดก 2475

คนเราพอเกลียดร่วมกันมากๆ ก็เกิดเป็นพวกเป็นม็อบไปในที่สุด การเลิกไม่พูดไม่ชูแก้ ม.112 จะทำให้ขาดการชี้ปีศาจไปในทันที พลังก้าวไกลจะอ่อนยวบลงเลย ให้เขาเลิกไม่ได้เด็ดขาด เพราะเป็นตัวตนของเขา

นี่คือเหตุผลที่ก้าวไกล ไม่มีวิสัยทัศน์ของอนาคตมาโชว์จริงๆ มีแต่ความเกลียดชังร่วมในกองทัพและสถาบันฯ แล้วแถมของชำร่วยทางปัจเจกชนนิยมให้กลุ่มต่างๆ เป็นพิเศษ ทั้งเพศพิเศษ ก_หรี่เสรี เลิกเครื่องแบบนักเรียนฯ

การเมืองวันนี้ เดิมทีระบาดด้วยโลภ จนเกิดนิสัยประชานิยมที่ก้าวไกลมาเติมใหม่

ใหม่จริงแต่ไม่ใช่ ‘ประชาธิปไตย’

แต่เป็น ‘โมหะ’

สองตัวนี้ถึงจุดหนึ่ง ‘โทสะ’ จะเกิดขึ้นในที่สุด

‘โด่ง อรรถชัย’ ชี้!! แก้ ม.112 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ม.6 ชัดเจน แนะ ‘ก้าวไกล’ หยุดฝืน เพราะไม่มีใครหนุนหลังแน่นอน

(16 ก.ค. 66) นายอรรถชัย อนันตเมฆ นักแสดง พิธีกร นักการเมือง และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองชาวไทย อดีตข้าราชการทางการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาพูดเกี่ยวกับประเด็นการแก้มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล ซึ่งมีความขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ที่พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะสูงสุด ผู้ใดจะละเมิดมิได้ โดยนายอรรถชัย ได้กล่าวว่า…

“เรื่องการแก้ไขมาตรา 112 หากจะพูดให้เข้าใจโดยทั่วกัน ความจริงคือ มันไม่มีอยู่จริงในรัฐบาลนี้ คุณจะดื้อรั้นดันทุรังสร้างภาพแก้ไขมาตรา 112 ไปเพื่ออะไร? มันไม่มีจริง เพราะถึงแม้วันนี้คุณจะยื่นเข้าไปในสภาฯ ผมขอถามว่ามันขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ไหม?” 

นายอรรถชัย ยังกล่าวต่อว่า “หากถามว่าแล้วมันขัดกับมาตรา 6 อย่างไร? มาตรา 6 ถ้าหากจะพูดให้ชัดเจน คือ พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะสูงสุด ผู้ใดจะละเมิดมิได้ หากดูฉบับที่พรรคก้าวไกลจะแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ซึ่งจะเปลี่ยนสถานะของพระมหากษัตริย์จากเดิมที่เคยอยู่ ‘หมวดความมั่นคง’ มาอยู่ในหมวดของ ‘คนธรรมดา’ อย่าว่าแต่มาตรา 6 เลยครับ จะโดนมาตรา 112 หรือเปล่า? เพราะว่าคุณลดสถานะของพระมหากษัตริย์ ในทางกฎหมายเหมือนเป็นการหมิ่นพระมหากษัตริย์ก็เหมือนกับโทษคนธรรมดา สิ่งนี้เขาตีความได้นะครับ เพราะฉะนั้น ถึงสามารถพูดได้ว่าเรื่องนี้ขัดกับมาตรา 6 อย่างไร อันนี้ผมไม่ได้พูดเข้าข้างใคร แต่ผมพูดตามเนื้อหาของตัวกฎหมาย ไม่ได้พูดตามใจใคร เพียงแค่กลไกทางกฎหมายมันเป็นเช่นนี้”

“เพราะฉะนั้น คุณคิดว่าการแก้ไขมาตรา 112 มันเหมือนกับการแก้ พรบ.เมาแล้วขับหรือครับ? ไม่ใช่นะ เพราะมาตรา 112 เป็นกฎหมายความมั่นคง และเชื่อมโยงรัฐธรรมนูญ ซึ่งถึงแม้จะมีไม่กี่บรรทัดก็จริง แต่คุณคิดว่าการแก้ไขมีแค่การยกมือแล้วก็ผ่าน และถือว่าจบหรือครับ มันต้องแก้กันไปจนถึงมาตรา 6 แล้วมาตรา 6 อยู่ในไหนล่ะ? ก็หมวดพระมหากษัตริย์ไง คุณจะแก้มาตรา 6 แค่ในรัฐบาลนี้ได้ไหม? ผมรับรองว่าไม่มีใครยอมให้คุณแก้ไขหรอกครับ เพราะการที่คุณจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต้องใช้เสียงของ ส.ว. ถึงแม้ปีหน้าพวกเขาจะหมดวาระ แต่อย่างไรก็ตาม ส.ส.ในสภาฯ วันนี้ถ้าคุณไปแตะหมวดพระมหากษัตริย์ พรรคภูมิใจไทยเขาว่าอย่างไร หรือแม้แต่ 8 พรรคร่วมรัฐบาล หรือพรรคคุณหญิงหน่อยเขาจะว่าอย่างไร ไม่ต้องพูดถึงพรรคเพื่อไทยนะ พรรคเพื่อไทยเฉย ๆ อยู่แล้ว คุณลองคิดดูนะว่า ถ้าคุณไปแก้หมวดพระมหากษัตริย์ คุณจะได้แนวร่วมสักแค่ไหน มันยิ่งใหญ่จริง ๆ เพราะฉะนั้น คุณแก้ไขมาตรา 6 ไม่ได้ และที่ยื่นมาตรา 112 ไปแก้ในสภาฯ แล้วไม่ผ่านครั้งที่แล้วก็ไม่พูดข้อมูลให้หมด ไปโทษคุณชวน หลีกภัยกันบ้าง และยังรวมไปถึงคุณสุชาติ ตันเจริญ พ่อของคุณมดดำอีก แต่จริง ๆ คือมันมาจากคณะกรรมการที่พิจารณากฎหมายของสภาฯ ซึ่งมีหลายคนที่ชี้ลงมาว่าสิ่งนี้ขัดต่อมาตรา 6 ไม่สามารถยื่นเข้าสภาฯ ได้ ไม่เช่นนั้นประธานต้องรับผิดชอบ” นายอรรถชัย กล่าวทิ้งท้าย

‘ช่อ พรรณิการ์’ โต้กลับเสียงคัดค้าน ปม ‘ก้าวไกล’ แตะ ม.112 ชี้!! แค่ข้ออ้างในการไม่หนุนพรรคอันดับ 1 เพราะถูกตัดวงจรคอร์รัปชัน

(16 ก.ค. 66) ผู้ใช้ TikTok บัญชี ‘@canac_nat’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอของ ‘ช่อ พรรณิการ์ วานิช’ ผู้ก่อตั้งคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ได้ออกมาพูดถึงประเด็นการแก้ไข ม.112 และความจงรักภักดี ในหัวข้อ ‘ต่อให้คุณได้เสียงเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่จงรักภักดี เท่ากับ ไม่มีสิทธิ์’  โดยในคลิปได้ระบุว่า…

“คุณกำลังสร้างตรรกะนี้ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยหรือคะ? คุณกำลังจะบอกว่า ต่อให้เป็นพรรคที่มีความชอบธรรมจากประชาชน มีนโยบายมากมายกว่า 300 นโยบาย ที่แม้แต่พวกคุณเองก็ยอมรับว่าเห็นด้วยในหลาย ๆ นโยบาย แต่เมื่อถูกตราหน้าว่า ‘ไม่จงรักภักดี’ คุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นรัฐบาล ในขณะที่คนที่กล้าพูดว่าตัวเองเป็นโจร หรือกล้าที่จะบอกว่าสามารถยิงคนที่ไม่จงรักภักดีได้โดยไม่ผิดกฎหมาย… ‘เป็นโจร แต่จงรักภักดี’ กลับมีที่อยู่ที่ยืนในประเทศนี้ ในขณะที่คนที่มีคุณสมบัติเป็นผู้นำครบทุกอย่างกลับโดนตราหน้าว่า หากคุณไม่จงรักภักดี คุณจะไม่มีที่ยืน คุณกำลังเอาพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนความนิยมเป็นอันดับ 1 ของประเทศ มาชนกับสถาบันฯ หรือคะ คุณทำไปเพื่ออะไร?”

“ข้ออ้างมีหลากหลาย คุณกลัวว่าจะทุจริตคอร์รัปชันไม่ได้ บ้านใหญ่ของคุณอาจถูกทำลาย หรือคุณไม่พอใจในเรื่องของสัมปทานที่อาจจะถูกยกเลิกภายใต้ ‘รัฐบาลก้าวไกล’ ที่ทำงานอย่างโปร่งใส คุณมีหลากหลายเหตุผลที่ไม่อยากจะเลือก ‘คุณพิธา’ และพรรคก้าวไกล แต่คุณไม่กล้าพูดออกมาตรง ๆ เพราะคุณรู้ว่ามันเป็นเหตุผลที่ใช้ไม่ได้ เมื่อถึงเวลาคุณจึงมาอ้างเหตุผลว่า เพราะพรรคก้าวไกลไม่มีความจงรักภักดี หากคุณทำแบบนี้ ขอถามว่า แล้วใครได้ประโยชน์ ใครกันที่เสียประโยชน์? ใครกันแน่ที่กำลังทำลายสถาบันฯ อยู่” 

ช่อ พรรณิการ์ ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า “เรื่องนี้น่ากลัวและน่าตกใจมาก และยังเป็นเกมที่เสี่ยงมาก ที่พวกคุณเอามาเล่นกันเอง ไม่ใช่พรรคก้าวไกลนะคะ”

‘แสนดี’ ขอโทษ ‘พรรคก้าวไกล-ผู้สนับสนุน’ จากใจจริง เผย ยังไม่เข้าใจการเมืองไทยมากพอ ย้ำ ต่อไปจะไตร่ตรองให้ดี

(18 ก.ค. 66) นายแสนปิติ สิทธิพันธุ์ หรือ ‘แสนดี’ บุตรชายของนายชัชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ชี้แจงเพิ่มเติม จากกรณีที่โพสต์อินสตาแกรมส่วนตัว วิพากษ์วิจารณ์พรรคก้าวไกล อย่างดุเดือดนั้น ล่าสุดพบว่า นายแสนปิติ ได้ลบภาพออกจากอินสตาแกรมส่วนตัวทั้งหมด และโพสต์ข้อความระบุว่า…

“เพื่อต่อยอดจากคำขอโทษก่อนหน้านี้ของผม

สิ่งที่ผมทำนั้นไม่สามารถให้อภัยได้และไม่เหมาะสม ผมขอโทษสำหรับการใช้ภาษาที่ไม่สุภาพและหยาบคาย เพื่ออธิบายให้กลุ่มคนบางกลุ่ม

ผมยอมรับว่าการกระทำของผมทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างนับไม่ถ้วน และก่อให้เกิดความเกลียดชัง ผมยอมรับว่าสิ่งที่เขียนไปในวันนี้ได้ทำร้ายผู้คนอย่างไม่อาจแก้ไขได้ ในฐานะบุคคลสาธารณะ

ผมตระหนักดีว่าผมได้ทำให้ทุกคนผิดหวังกับสิ่งที่ได้ทำลงไป และมันขึ้นอยู่กับผมที่จะทำให้ดีขึ้นในฐานะปัจเจกบุคคล

ผมเป็นหนี้บุญคุณอย่างเต็มที่ว่าผมได้รับสิทธิพิเศษและชนชั้นนำอย่างมาก ผมไม่มีประสบการณ์และไม่มีการศึกษาเกี่ยวกับการเมืองไทยหรือการเมืองไทยพอ ไม่เหมาะสมและไม่สมควรอย่างยิ่งที่ผมจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเมือง ทั้งๆ ที่ตัวผมเองก็มีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี แต่ผมไม่มีคุณสมบัติ (Qualified)

ผมจะใช้เวลาในการไตร่ตรองการกระทำและความประพฤติของตัวเอง ในช่วงเวลานี้ ผมจะทบทวนตัวเองถึงวิธีที่ผมจะใช้ประสบการณ์นี้เพื่อเติบโต และเป็นผู้ใหญ่ในฐานะคนหนุ่มสาว ประสบการณ์ของผมแตกต่างจากคนอื่นๆ อย่างมาก ผมได้รับผลประโยชน์และสิทธิพิเศษบางอย่างที่ลดทอนและกีดกันผู้คนและคนหลายกลุ่มชุมชน

ผมได้ประโยชน์และใช้ประโยชน์จากภูมิหลังของตัวเอง เพื่อความก้าวหน้าในสังคม สิ่งนี้บ่งบอกถึงระดับความเหลื่อมล้ำและความเหลื่อมล้ำที่แพร่หลายในประเทศไทย ผมรู้ว่า พรรคก้าวไกล และฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยอื่นๆ กำลังทำเพื่อคนเหล่านี้ และแม้ว่าผมจะคิดเห็นต่างกัน แต่ผมก็เคารพความคิดเห็นของพวกเขา

ตลอดวันที่ผ่านมา ผมได้อ่านความคิดเห็นที่ทำร้ายจิตใจเกี่ยวกับรูปร่างภายนอก (Physical Stature) ความฉลาด และภูมิหลังของผม

ในขณะที่ทุกคนมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นของตัวเอง ผมยอมรับว่านี่คือผลของการกระทำของผมเอง และผมก็ยอมรับสิ่งนี้ ผมต้องแสดงความเห็นอกเห็นใจและมีน้ำใจต่อผู้อื่น ผมยอมรับว่าผมไม่ได้เก่งด้านนี้ แต่ในอนาคต หวังว่าจะใช้สิ่งนี้เป็นโอกาสในการพัฒนาทักษะดังกล่าวเพื่อให้เป็นคนที่รอบรู้และเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

มีบางความคิดเห็นที่เกินเลยมากเกินไป จนถึงขั้นเป็นความเกลียดชังและการเลือกปฏิบัติ ผมจะไม่ขอยุ่งกับพวกเขา ผมขอพูดว่า “ความเกลียดรังแต่จะทำให้เกิดความเกลียดชังเพิ่มมากขึ้น ถ้าให้นึกย้อนถึงตัวผมในฐานะคนๆ หนึ่ง หวังว่าทุกคนคงจะคิดเหมือนกันกัน ว่าเราสามารถปฏิบัติต่อคนอื่นให้ได้ดีขึ้นและอดทนต่อความคิดเห็นที่แตกต่างได้อย่างไร”

รักมาก

แสนดี

‘สหรัฐฯ’ เผยความกังวลต่อสถานการณ์ระบบ กม.ไทย หลัง ‘พิธา-ก้าวไกล’ ส่อโดนเชือดจนอาจชวดเก้าอี้นายกฯ

(18 ก.ค. 66) สหรัฐฯ มีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในระบบกฎหมายของไทย จากความเห็นของนายแมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ในวันจันทร์ (17 ก.ค.) หลังมีคำร้อง 2 คดีแยกกัน เล่นงานเอาผิดกับหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่คว้าเก้าอี้ได้มากที่สุดในศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า รัฐสภาของไทยกำลังเตรียมการสำหรับลงมติรอบ 2 ในวันพุธ (19 ก.ค.) ว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล หัวก้าวหน้า จะได้ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่

ในการโหวตรอบแรกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ความพยายามของนายพิธา ซึ่งต้องการดึงทหารออกจากการเมืองและขุดรากถอนโคนธุรกิจผูกขาด เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ถูกตีตกโดยวุฒิสภาที่ได้รับการแต่งตั้งจากกองทัพ ตามหลังรัฐประหารปี 2014

ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ แทบไม่ส่งเสียงใดๆ เลย เกี่ยวกับสถานการณ์หลังการเลือกตั้งในไทย พันธมิตรทหารเก่าแก่ในภูมิภาคหนึ่งๆ ซึ่งวอชิงตันมีความกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ของจีน

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด เมื่อถูกถามระหว่างแถลงสรุปประจำวันเกี่ยวกับสถานการณ์ในไทย นายมิลเลอร์ ตอบว่า วอชิงตันไม่มีผลลัพธ์ที่ชอบในศึกเลือกตั้งของไทย แต่สนับสนุนกระบวนการหนึ่งที่สะท้อนเจตนารมณ์ของคนไทย

“เราจับตาสถานการณ์หลังการเลือกตั้งใกล้ชิดอย่างมาก ในนั้นรวมถึงพัฒนาการเมื่อเร็วๆ นี้ในระบบกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวล” มิลเลอร์ กล่าว

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ศาลรัฐธรรมนูญของไทยรับคำร้องวินิจฉัยนายพิธา และพรรคก้าวไกล เกี่ยวกับแผนแก้กฎหมายที่ห้ามหมิ่นพระบรมเดชานุภาพสถาบันเบื้องสูง นอกจากนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งยังยื่นคำร้องต่อศาลเดียวกัน ให้พิจารณาคุณสมบัติของนายพิธา เกี่ยวกับการถือครองหุ้นในบริษัทสื่อมวลชนแห่งหนึ่ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายเลือกตั้ง ทั้ง 2 คดี ก่อความกังวลว่าศาลอาจชี้ว่านายพิธา ขาดคุณสมบัติสำหรับดำรงตำแหน่งหรือยุบพรรคก้าวไกล แบบเดียวกับครั้งที่พรรคอนาคตใหม่โดนในปี 2020

เมื่อสอบถามความเห็นเกี่ยวกับความเป็นไปได้เหล่านี้ นายมิลเลอร์ กล่าวว่า “ผมไม่ขอคาดเดาว่าเราจะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่เน้นย้ำว่าสถานการณ์เมื่อเร็วๆ นี้มีความน่ากังวล” 

‘พิธา’ ลุกขึ้นกล่าวอำลา หลัง ศาล รธน. สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ชี้!! ตั้งแต่ 14 พ.ค. ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม

(19 ก.ค. 66) หลัง ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์รับคำร้องวินิจฉัยคุณสมบัติ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากเหตุมีชื่อถือครองหุ้นสื่อบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น พร้อมมีคำสั่งให้นายพิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค.66 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

ในช่วงบ่วยวันเดียวกัน มีหนังสือจาก นายวรวิทย์ กังศศิเทียม ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ส่งถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อแจ้งให้ทราบว่าศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้ถูกร้องหยุดปฎิบัติหน้าที่ ส.ส. ชั่วคราว นับตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2566 จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย

ล่าสุด ที่รัฐสภา นายพิธา ขออนุญาตประธานสภาฯ ลุกขึ้นพูด ระบุว่า ตอนนี้มีเอกสารจากศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ คงจะขออนุญาตพูดว่ารับทราบคำสั่ง และจะปฏิบัติตามจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยเป็นอื่น

นายพิธา กล่าวต่อว่า ขอใช้โอกาสนี้อำลาท่านประธานจนกว่าเราจะพบกันใหม่ และขอฝากเพื่อนสมาชิก ในการใช้รัฐสภาดูแลพี่น้องประชาชน คิดว่าประเทศไทยเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค. 66 ที่ผ่านมา ถ้าเกิดประชาชนชนะมาแล้วครึ่งทาง เหลืออีกครึ่งทาง ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่แต่ขอให้เพื่อสมาชิกทุกคนช่วยกันดูแลประชาชนต่อไป

โดยหลังพูดจบมี ส.ส.จาก 8 พรรค ลุกขึ้นปรบมือให้กำลังใจนายพิธา

‘กัณวีร์’ เผยความรู้สึก หลังศาล รธน. สั่ง ‘พิธา’ หยุดปฏิบัติหน้าที่ ลั่น!! ไม่ยอมแพ้ ขอเคียงข้าง ‘ก้าวไกล’ พร้อมจับมือสู้ไปด้วยกัน

กัณวีร์ พรรคเป็นธรรม เผยความรู้สึก นั่งอยู่ในสภา หลัง ศาลรธน. สั่ง พิธา หยุดปฏิบัติหน้าที่ ปมถือหุ้นไอทีวี ลั่นอย่ายอมแพ้ขวากหนามขวางกั้น

(19 ก.ค. 66) หลังศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์รับคำร้องวินิจฉัยคุณสมบัติ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากเหตุมีชื่อถือครองหุ้นสื่อบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น พร้อมมีคำสั่งให้นายพิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่ส.สตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค.66 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

นายกัณวีร์ สืบแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ เลขาธิการพรรคเป็นธรรม โพสต์ข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ กัณวีร์ สืบแสง Kannavee Suebsang ระบุว่า…

“ตัวผมเองนั่งอยู่ในสภาฯ แต่ความรู้สึกคงไม่ต่างจากพี่น้องประชาชนที่อยู่ด้านนอกครับ

อย่างไรก็ตาม อย่ายอมแพ้กับขวากหนามที่มาขวางกั้นประชาธิปไตยของประเทศไทย และกฏเกณฑ์ที่ถูกสร้างมาเพื่อเอื้อให้กับอำนาจนิยม คนไทยยังต้องการเห็นประชาธิปไตยของประชาชนครับ!! จับมือไปด้วยกัน!! ส่งกำลังใจครับ

ขณะเดียวกัน กัณวีร์ ยังได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ระบุว่า ความสง่างามทางการเมืองไทย คือการเคารพเสียงมติมหาชนและปฏิบัติตามกฎหมาย ตามครรลองระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง

อย่ายอมแพ้กับขวากหนามที่มันมาขวางกั้น การนำพาประเทศชาติให้หลุดพ้นจากพันธนาการที่ฉุดรั้งประชาธิปไตยของประเทศไทย

อย่าหยุดยั้ง เพราะกฏเกณฑ์ระเบียบที่ถูกสร้างมาเอื้อให้กับอำนาจนิยม ที่จะหยุดการพัฒนาประเทศที่มีประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง

ให้กำลังใจ คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หยุดปฏิบัติหน้าที่แค่ชั่วคราว แล้วค่อยกลับมาอย่างสง่างามครับ ประชาชนยังต้องการเห็นประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top