Wednesday, 21 May 2025
พรรคก้าวไกล

‘อี้ แทนคุณ’ ชี้ ก้าวไกล ตัดหาง ‘หยก’  ปัดให้พ้นตัว ไร้สามัญสำนึกทางสิทธิมนุษยชน

ดร.แทนคุณ จิตต์อิสระ  ประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี  พรรคก้าวไกลแถลงข่าวไม่เกี่ยวทั้งที่กรณี "หยก"  สาเหตุมาจากนโยบายพรรคก้าวไกลที่พยายามปลุกปั่นให้ยกเลิก ชุดนักเรียน เลิกวัฒนธรรมการเคารพครูบาอาจารย์ เลิกเคารพกฎกติกาที่ตนไม่ชอบ จน"หยก" จากเยาวชนบริสุทธิ์กลายเป็น"เหยื่อ"ของความเชื่ออย่างก้าวร้าวสุดโต่งและเมื่อหยกพยายามทำตามสิ่งที่พรรคก้าวไกลได้ปลุกปั่นไว้โดยมีว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกลออกมาเคลื่อนไหวสนับสนุนทั้งการไปถือป้ายที่หน้าโรงเรียนดังกล่าวรวมทั้งการแสดงความคิดเห็นสนับสนุนอย่างเต็มที่แต่พอสังคมสนับสนุนโรงเรียนให้ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดและเท่าเทียมกันโดยตนได้ฟังความคิดเห็นของผู้ปกครองในเรื่องการคงให้ใส่ชุดนักเรียนขึ้นกับความพร้อมแต่ละครอบครัว บางคนห่วงเรื่องความเหลื่อมล้ำ เพราะเด็กไทยชอบถูกเปรียบเทียบ อวดแข่งกันเรื่องยี่ห้อ เรื่องแบรนด์เนม (เห็นและได้ยินกับตัวเองเรื่องการแข่งกันเรื่องยี่ห้อรองเท้า เสื้อผ้า ฯลฯ)   บางคนห่วงเรื่องความปลอดภัย จะแยกแยะอย่างไรคนไหนนักเรียนคนไหนคนนอกโรงเรียนที่เข้ามาปะปนหรือตอนออกนอกโรงเรียน บางคนห่วงเรื่องโฟกัส สมาธิต้องมาคิดทุกวันจะแต่งตัวยังไง.ชุดจะซ้ำกันไหมจะมีรสนิยมไหม ตลกไหม สวยไหม  อายเพื่อนไหม แมชกันไหม เพื่อนล้อไหม

พอหยก โดนสังคมตำหนิมากเข้าเรียกว่า "กระแสตีกลับ" จึงต้องกลับมาดูสิ่งที่พรรคก้าวไกลทำคือ การแถลงการณ์ว่าพรรคตนไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องของ "หยก" เหมือนกับคนมีความสัมพันธ์กันจนมีลูก พอมีลูก ลูกทำผิดตามที่พ่อแม่สอนมา  คนเป็นพ่อแม่กลับตัดห้างทิ้ง และประกาศไม่ใช่ลูกตนเอง

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ในช่วงเลือกตั้งพรรคก้าวไกลรณรงค์เรื่องนี้และกำหนดเป็นนโยบายพรรคอย่างจริงจังและมีการสนับสนุนแกนนำผู้ชุมนุมจนต่อเนื่องมาถึง การกระทำของ "หยก"  ดังนั้นการกระทำของพรรคก้าวไกลจึงถือเป็นการกระทำที่ไร้สามัญสำนึกไร้ความรับผิดชอบต่อเยาวชนและสังคม สะท้อนถึงการกระทำที่เป็นภัยคุกคามต่อสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพอย่างแท้จริง กล่าวคือ มีการปลุกปั่นหลอกลวง ให้หลงเชื่อ และเมื่อเกิดผลกระทบต่อชีวิตเยาวชนที่หลงเชื่อจเป็นเหตุให้ละเมิดกฎหมายบ้านเมืองในหลายเรื่อง  ทั้งมาตรา 112 และกฎหมายอื่นๆ  อันจะกลายเป็นสาเหตุที่บ้านเมืองวุ่นวาย ครอบครัวแตกแยก  เยาวชนก้าวร้าวรุนแรงสุดโต่ง โดยถือว่าสิ่งเหล่านี้คือส่วนขยายของลัทธิคลั่งเสรีภาพที่ก้าวร้าวแบบสุดโต่งนั่นเอง
 

‘วันนอร์’ เผย ไม่กังวลหากประธานสภาอายุน้อย-อ่อนพรรษา เชื่อ!! ‘ก้าวไกล-พท.’ คัดคนมีความสามารถนั่ง ปธ.สภา ได้

วันที่ (20 มิ.ย. 66) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชาติ เข้ารับหนังสือรับรอง ส.ส.จาก กกต. พร้อมกล่าวว่า ขอบคุณ กกต.ที่เร่งประกาศรับรอง ส.ส.ก่อน 60 วัน สำหรับการทำงานของ 8 พรรคร่วม ขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการต่างๆ นั้น ได้เตรียมการในการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลไปมากแล้ว เพื่อเตรียมกำหนดนโยบายร่วมกันในการแก้ไขปัญหาหลายด้าน ส่วนการเลือกประธานสภาและรองประธานสภานั้น เป็นเรื่องของพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยที่จะต้องไปตกลงกัน หลังจากนั้น จึงจะต้องพูดคุยกับ 8 พรรคร่วมรัฐบาลเพื่อรับทราบต่อไป

ส่วนพรรคไหนจะได้เป็นประธานสภาและรองประธานสภานั้น ทั้ง 2 พรรคคงมีตัวบุคคลแล้ว และเชื่อมั่นว่าจะคัดคนที่เข้ามาทำงานเป็นอย่างดี เพราะประธานสภาต้องเป็นประมุขในฝ่ายนิติบัญญัติ อีกทั้งประธานสภาเป็นคนที่มีประสิทธิภาพและมีความรู้ความสามารถ ก็จะทำให้งานของสภาคืบหน้าไปด้วยดี ซึ่งมีงานอีกมากมายในการแก้ไขกฎหมายต่างๆ รวมถึงการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นหน้าที่ของประธานสภาที่เป็นผู้นำ จะดำเนินการให้รวดเร็วได้อย่างไรในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นประชาธิปไตยตามที่ประชาชนต้องการ เชื่อว่าทั้งสองพรรคคงจะคุยเพื่อหาคนที่มีประสิทธิภาพและคุณภาพที่จะนำฝ่ายนิติบัญญัติต่อไป

เมื่อถามว่า ถ้าคนที่จะเป็นประธานสภาอ่อนพรรษาจะเป็นปัญหาในการควบคุมที่ประชุมหรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า อ่อนพรรษาหรือแก่พรรษา ประธานสภาคงจะมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยมาก เพราะอยู่ที่บุคลิกของคนนั้นๆ ที่จะเป็นผู้นำ ซึ่งคนที่จะเป็นประธานสภาทุกคนจะต้องศึกษาข้อบังคับกฎหมายอย่างแม่นยำ และตัดสินบนพื้นฐานในการให้โอกาสสมาชิกแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมามากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันจะต้องรักษาข้อบังคับของสภาฯ ด้วย โดยครั้งหนึ่งนายอุทัย พิมพ์ใจชน เคยเป็นประธานที่มีอายุแค่ 30 กว่าปี ก็สามารถทำหน้าที่นี้ได้เป็นอย่างดี

เมื่อถามถึงโผคณะรัฐมนตรี นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า คงจะต้องพูดกันเป็นขั้นตอนต่อไปหลังจากที่พูดเรื่องประธานสภาจบแล้ว ซึ่งจะต้องจัดตำแหน่งให้ลงตัวเหมาะสมกับกระทรวง และเหมาะสมกับนโยบายที่ 8 พรรคจะมีเพื่อให้ตำแหน่งนั้นทำงานได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อถามอีกว่า พรรคประชาชาติมองกระทรวงไหนไว้แล้วบ้าง นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า พรรคประชาชาติเป็นพรรคเล็ก จะต้องหารือกัน ทั้งนี้ เราจะอยู่ตรงไหนก็ได้ที่เราสามารถขับเคลื่อน ในสิ่งที่เราเห็นว่ามีความสามารถที่จะทำได้ ซึ่งเราเข้าไปทำงานไม่ได้ไปหาผลประโยชน์แต่อย่างใด
 

‘บิ๊กป้อม’ ใจบันดาลแรงแซงโค้ง นับถอยหลัง ‘ก้าวไกล-เพื่อไทย’ แยกทาง!!?

ไทม์ไลน์การเมืองหลังการรายงานตัวของ ส.ส. 500 คนจะเรียบร้อยในวันที่ 28 มิ.ย.นี้ จากนั้นนับไปอีก 15 วัน เป็นรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา คือวันที่ 3 หรือ 4 ก.ค.ที่จะถึงนี้ ถัดไปก็จะเป็นการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเลือกประธานสภาฯ ซึ่งประธานสภาฯจะเป็นประธานรัฐสภา แบบเดียวกับท่านชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาคนล่าสุดนั่นแล…

วันสองวันก่อนดูเหมือนว่า พรรคเพื่อไทยยอมหมอบยกเก้าอี้ประธานสภาให้พรรคก้าวไกลไปแล้ว ส่วนพรรคเพื่อไทยนั้นขอเก้าอี้รองประธานสภา 2 ตัว…

แต่ล่าสุดของล่าสุด กระแสข่าวที่ว่า ‘พ่อมดดำ’ นายสุชาติ ตันเจริญ จากค่ายเพื่อไทยจะถูกเสนอชื่อโดยพรรคพลังประชารัฐก็มาแรงหาทางแซงทางโค้งอยู่เหมือนกัน ไม่สามารถมองข้ามได้…

เรียนท่านผู้อ่าน คุณผู้ฟังว่าพรรคเพื่อไทยในยามนี้นั้น ความคิดแตกเป็นสองสามแนวทางประสาพรรคการเมืองขาลง แต่กระนั้นที่ทุกคนในพรรคเห็นเหมือนกันก็คือ ต้องหนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดทนายกฯ พรรคก้าวไกลให้สุดทาง เพราะแทบทุกคนเชื่อว่าโอกาสที่นายพิธาจะผ่านโหวตได้เป็นนายกฯ นั้นมีน้อยนิด ประมาณ 0.035 เปอร์เซ็นต์ เท่าหุ้นไอทีวีที่นายพิธาเคยถือเท่านั้น…

แต่สำหรับเก้าอี้ประธานสภาฯ คนเพื่อไทยส่วนหนึ่งเห็นว่า ต้องเล่นบท ‘นักเลง’ เอาใจ ‘ด้อมส้ม’ รักษามวลชนหน่อย… ให้ก้าวไกลเอาไป แต่อีกพวกหนึ่งยืนยันว่า ปล่อยไม่ได้ เพราะเก้าอี้ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติสำคัญ ต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับฝ่ายบริหาร ซึ่งในที่สุดพรรคเพื่อไทยต้องเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลแทนก้าวไกลอย่างแน่นอน

ไม่เพียงเท่านั้น บรรดาขาใหญ่เก๋าเกมในพรรคเพื่อไทยรู้ดีว่า เมื่อนายพิธาวืดเก้าอี้นายกฯ ไปแล้ว ก็ไม่มีหลักประกันว่า ‘อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร’ หรือ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ จะได้นั่งเก้าอี้นายกฯ เพราะตราบใดที่ยังกอดคอกับ 8 พรรค ก็มีอยู่แค่ 312 เสียง… โอกาสที่เกมการเมืองจะไถลไปเข้าทางพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ ‘ลุงป้อม’ มีสูงมาก ดังที่เล็ก เลียบด่วน ได้เคยรายงานไว้แล้วหลายครั้ง ซึ่งถึงวันนี้สถานการณ์ก็ยังเป็นเช่นนั้น…

สรุปว่า เก้าอี้ประธานสภาโอกาสที่จะพลิกเป็นของ ‘พ่อมดดำ’ แห่งพรรคเพื่อไทยมีสูงยิ่ง และถ้า ‘บิ๊กป้อม’ ผงาดขึ้นเป็นนายกฯ คนที่ 30 ขณะที่นายสุชาติ ตันเจริญ เป็นประธานสภา อย่างน้อยพรรคเพื่อไทยก็ไม่เสียฟอร์มพรรค 141 เสียง เพราะยังมีเก้าอี้ใหญ่ติดพรรค แต่หากยกเก้าอี้ประธานสภาให้ก้าวไกล โอกาสที่เพื่อไทยจะวืดเก้าอี้ใหญ่ทั้งสองตัวก็มีสูง…

ด้วยเหตุผลดังว่ามา… การเมืองจากนี้ไป พรรคเพื่อไทยก็ต้องฟังเสียงรอบทิศจากมวลสมาชิกมากขึ้น แม้กระทั่งกรณีเก้าอี้นายกฯ วันไหนที่นายพิธาสอบไม่ผ่าน พรรคเพื่อไทยจะเดินเกมอย่างไร? จะผูกขากับพรรคก้าวไกลต่อไป หรือเปิดทางให้พรรคพลังประชารัฐของ ‘ลุงป้อม’ เข้ามาทันทีทันใด หรือจะต่อรองเดินเกมอย่างไร เป็นเรื่องที่น่าจับตายิ่ง…

ประมาณกันว่าแถวๆ วันที่ 5 หรือ 6 ก.ค.นี้ บรรดา ส.ส. 500 คน จะโหวตเลือกประธานสภา ซึ่งจะเป็นการโหวตลับ จากนั้นประมาณวันที่ 13 ก.ค. สมาชิกรัฐสภา 750 คนจะโหวตเลือกนายกฯ ไม่ผิดที่กล่าวกันว่า พลันที่รู้ตัวประธานสภา ก็จะเห็นโฉมหน้านายกฯและรัฐบาลชุดต่อไป…

เพื่อให้เกิดอรรถรส… เล็ก เลียบด่วน เขียน 3 สูตร รัฐบาลแปะข้างฝาไว้ให้เม้าท์มอยกัน

สูตรแรก : พรรคร่วมรัฐบาลประกอบด้วย เพื่อไทย-พลังประชารัฐ-ภูมิใจไทย-ประชาธิปัตย์-รวมไทยสร้างชาติ-ชาติไทยพัฒนา… ‘บิ๊กป้อม’ หรือ ‘เศรษฐา’ เป็นนายกฯ

สูตรที่สอง : 8 พรรคที่กำลังฟอร์มทีม บวกพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์… สูตรนี้ไม่มี ‘ภูมิใจไทย’ บิ๊กป้อมเป็นนายกฯ… สูตรนี้ก้าวไกลต้องยอมเสียสัตย์เพื่ออยู่กับลุง

สูตรที่สาม : พรรคเพื่อไทย พลังประชารัฐ เป็นแกนนำผสมกับอีกหลายพรรค โดยพรรคก้าวไกลแยกทางกับเพื่อไทยไปเป็นฝ่ายค้าน… สูตรนี้ ‘บิ๊กป้อม’ เป็นนายกฯ

ทั้งสามสูตรจะเห็นชื่อ ‘บิ๊กป้อม’ มีลุ้น… ถ้าสุขภาพไม่ไหวก็อาจจะใช้นโยบาย ‘นายกฯ คนละครึ่ง’ แต่ถ้าไหวก็ตีตั๋วยาว สังเกตดีๆ วันที่ไปรายงานตัวเป็น ส.ส.ป้ายแดง จะเห็นลุงป้อมเดินปร๋อแบบ ‘ใจบันดาลแรง’ อีกครั้ง… ก่อนที่จะบินไปอังกฤษ พักผ่อน ดูแลสุขภาพ

ส่วนจะไปพูดคุยกันเรื่อง ‘ดีลลับ’ กับใครหรือไม่… เสาร์นี้ ‘เล็ก เลียบด่วน’ จะมารายงานครับ

‘ติ่ง มัลลิกา’ เปรียบ ‘พิธา’ เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกประชาชน นโยบาย 3,000 บาท ทำไม่ได้จริง ขึ้นค่าแรง 450 บาท ก็ลวงแรงงาน

ติ่ง มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการคนดังนั่งเคลียร์ ทางช่อง 8 เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2566 เกี่ยวกับประเด็น ที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของก้าวไกล ได้เคยหาเสียงไว้ในการที่จะให้เงินผู้สูงอายุ และการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยมีใจความว่า ...

ข้อที่ 1 เขาประกาศเองว่าเขาทำไม่ได้ นโยบาย 3,000 บาท เนื่องมาจากว่าเขาเป็นรัฐบาลพรรคผสม จากนั้นเขาไปดูงบประมาณแล้ว เขาจะต้องไปดึงงบไป เกลี่ยงบมา เขาจะต้องจ่ายเงิน 3,000 บาทให้ คนแก่ 1 คน ทั้งประเทศมีคนแก่ 12 ล้านคน สรุปเขาจะต้องใช้เงิน 6 แสนล้านบาท พิธาหลอกลวงประชาชนหรือไม่ พิธาเป็นยิ่งกว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่
ทำบาปมากที่ไปหลอกคนแก่ทั่วทั้งประเทศไทย ตอนหาเสียงที่ทาบอกว่าสามารถทำได้ภายใน 100 วัน แต่ปัจจุบันบอกว่า 3,000 บาทจะทำได้หลังปี 2570 เท่ากับที่ผ่านมาพิธาหลอกลวงประชาชน

ข้อที่ 2 เงินค่าจ้าง 450 บาท หลอกลวงแรงงาน ทั้งหมดเลย ทั้งแรงงานต่างด้าว ทั้งแรงงานไทย อ้างว่าทำไม่ได้ เพราะเนื่องมาจาก เวลาจะขึ้นค่าแรง 450 บาทนั้น จะต้องไปผ่านคณะกรรมการ 3 ฝ่าย คณะกรรมการ 3 ฝ่ายนั้นเป็นบอร์ดไม่ใช่นายกจะสั่งซ้ายสั่งขวาได้เลย เขาหลอกลวงประชาชน จะมีหรือที่ว่า นักการเมืองอย่างพิธา ที่อยู่คณะกรรมาธิการงบต่างๆนั้นจะไม่รู้เรื่องนี้ เขาจะต้องรู้อยู่แล้วว่าการจะประกาศขึ้นค่าแรงงานนั้นไม่สามารถประกาศได้เลยจะต้องผ่านคณะกรรมการ 3 ฝ่าย ซึ่งคณะกรรมการ 3 ฝ่ายนี้เพิ่งประชุมไปเมื่อปี 2565 ค่าแรง 300 บาทยังไม่ขึ้น นั่นก็แปลว่าถ้าคุณเข้าไปเป็นรัฐบาล 100 วันค่าแรงมันก็ยังไม่สามารถที่จะขึ้นได้อยู่ดี เพราะฉะนั้นสรุปได้ 2 อย่างก็คือข้อ 1 พิธาไม่รู้พิธาไม่มีความรู้ ในเรื่องของกลไกในเรื่องของการบริหารประเทศ หรือข้อที่ 2 ก็คือพิธาเจตนาหลอกลวงประชาชน มัลลิกากล่าวทิ้งท้าย
 

‘เท้ง ณัฐพงษ์’ ว่าที่ รมว.ดีอีเอส ประกาศลั่น 100 วันแรกทำทันที ยุบศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม Fake News

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (เท้ง) ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ประกาศวิสัยทัศน์ในฐานะแคนดิเดต รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ผ่านคลิปความยาวกว่า 8 นาทีบนเพจ เฟซบุ๊กก้าวไกล อารัมภบทวิสัยทัศน์และสิ่งที่อยากทำที่กระทรวงดีอีเอส โดยมีคำพูดขุดรากถอนโคนอย่าง “100 วันแรกทำทันที ยุบศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti–Fake News Center)” 

เมื่อผู้สื่อข่าว นำประเด็นนี้ไปพูดคุยกับ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดีอีเอส ในฐานะผู้ที่ลุยทำงาน ปราบปรามเว็บไซต์ สื่อออนไลน์ ที่หลอกลวงพี่น้องประชาชน โดยนายชัยวุฒิ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า   “จะยุบทำไม รัฐบาลมีหน้าที่ตรวจสอบและแจ้งให้ประชาชนทราบ ศูนย์เฟกนิวส์มีประโยชน์และอยู่มาได้ถึง 3 ปีแล้ว เชื่อว่าไม่มีใครอยากให้ยุบ คนที่อยากยุบ คุณคิดว่าเป็นใครล่ะ ก็คนที่ปล่อยเฟกนิวส์ละมั้ง 5555” นายชัยวุฒิกล่าวกับผู้สื่อข่าวด้วยท่าทีสุขุม

‘สว.คำนูณ’ กางแผน ‘พรรคก้าวไกล’ แก้ไขมาตรา 112 ลดระดับการคุ้มครองสถาบันฯ ครั้งแรกในรอบกว่า 90 ปี

24 มิ.ย. 2566 - นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา(สว.) โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับประเด็น "ประเด็นแก้ไข 112" โดยมีเนื้อหาดังนี้

กำลังจะเปิดรัฐสภาแล้ว จะมีรัฐพิธีไม่เกินวันที่ 3 กรกฎาคม 2566 พรรคก้าวไกลหาเสียงไว้ว่าจะเสนอร่างกฎหมาย 45 ฉบับภายใน 100 วันแรก หรือทันทีที่เปิดรัฐสภา โดยจะเสนอในนามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หนึ่งในนั้นคือร่างกฎหมายแก้ไขมาตรา 112

มาดูภาพรวมกันสั้น ๆ โดยสังเขปสักนิด
อาจจะทำให้พอเข้าใจเหตุผลของผู้คนในฟากฝั่งที่เห็นต่างและคัดค้าน
ตามหลักการที่พรรคก้าวไกลนำเสนอในการหาเสียง ปรากฎทั้งข้อความและแผ่นภาพ ประกอบกับร่างกฎหมายที่เคยยื่นต่อสภาผู้แทนราษฎรเมื่อปี 2562 แต่ไม่ได้รับการบรรจุ จะพบว่าไม่ใช่การแก้ไขกฎหมายทั่วไปมาตราหนึ่งเท่านั้น หากแต่เป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่จะกระทบทั้งระบอบและระบบ

เฉพาะเรื่องหลักคือการคุ้มครององค์พระมหากษัตริย์ ก็ยกเลิก 1 มาตราเพิ่มเติม 4 มาตรา
ยกเลิกมาตรา 112 เพิ่มมาตรา 135/5 - 135/9

สรุปโดยภาพรวมได้ว่าเป็นการลดระดับการคุ้มครองสถานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ขององค์พระมหากษัตริย์ลงมาเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 90 ปีนับตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2475 จากการคุ้มครองเด็ดขาด เป็นการคุ้มครองอย่างมีเงื่อนไข มีทั้งบทยกเว้นความผิด บทยกเว้นโทษ และบทจำกัดผู้ร้องทุกข์

ซึ่งอาจขัดรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 6 อันเป็นบทหลักมาตราแรกของหมวดพระมหากษัตริย์
หรือเสมือนเป็นการแก้รัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์ทางประตูหลัง นี่คือประเด็นหลักที่จะกระทบระบอบ

นอกจากนั้น ยังมีประเด็นแวดล้อมตามมาเป็นการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตราอื่นที่เกี่ยวกับการหมิ่นประมาทและดูหมิ่นบุคคลประเภทอื่นตามมาอีก 2 กลุ่ม 11 มาตราด้วยกัน ยกเลิก 2 เพิ่มเติม 4 แก้ไขเพิ่มเติม 5

ดูหมิ่นเจ้าพนักงานเซึ่งกระทำการตามหน้าที่หลือแค่โทษปรับ
ดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาหรือพิพากษาคดี เหลือแค่โทษปรับ ขัดขวางการพิจารณาคดีหรือพิพากษาของศาล เหลือแค่โทษปรับ หมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา เหลือแค่โทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เหลือแค่โทษปรับไม่เกิน 2 แสนบาท ดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา เหลือแค่โทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท ฯลฯ

เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการคุ้มครองบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยเฉพาะศาลหรือผู้พิพากษาขณะพิจารณาหรือพิพากษาคดี รวมทั้งบุคคลธรรมดา โดยเป็นการลดระดับการคุ้มครองบุคคลทุกประเภทลงจากเดิมด้วยการกำหนดโทษใหม่ที่ต่ำลงมาก ส่วนใหญ่จะเหลือแค่โทษปรับ ยิ่งถ้าในอนาคตนำระบบการคิดโทษปรับตามฐานะทางเศรษฐกิจ (Day-fine) มาใช้ในระบบกฎหมายไทย ผู้กระทำความผิดทีีมีรายได้นัอยหรือไม่มีรายได้จะยิ่งมีข้อต่อสู้ให้ได้รับโทษน้อยลงไปอีก
สังคมไทยจะไม่เหมือนเดิม

พรรคก้าวไกลจัดร่างกฎหมายแก้ไขมาตรา 112 อยู่ในกลุ่มคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ
แน่ละว่าด้านหนึ่ง สิทธิเสรีภาพของคนที่วิพากษ์วิจารณ์บุคคลทุกระดับได้รับการคุ้มครองเพิ่มขึ้น
แต่ในด้านตรงข้าม สิทธิเสรีภาพบุคคลทุกระดับที่ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายรวมทั้งบุคคลธรรมดาที่จะไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่เป็นธรรมกลับได้รับการคุ้มครองลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
จึงมีผู้เห็นต่างในหลักการ คัดค้าน และจะเป็นประเด็นสำคัญในแต่ละเหตุการณ์ทางการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่นี้

สำนักข่าวอิศรา พาไปดูที่ดินแปลงงามของ ‘พิธา’ 14 ไร่ แจ้ง ป.ป.ช. ไว้ราคา 18 ล้าน แต่เพิ่งขายไป หลังยุบสภาฯ แค่ 6.5 ล้าน

24 มิ.ย. 2566 - สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ประเด็นตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกทรัพย์สินในส่วนที่ดิน ตามโฉนดที่ดิน หมายเลข 13543 ต.วังก์พง อ.ปราณบุรี จ.ประจวบฯ เนื้อที่ 14 ไร่ 0 งาน 62.7 ตารางวา มูลค่าปัจจุบัน (ประมาณ) 18,000,000 บาท ของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าที่นายกรัฐมนตรี ที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตอบรับตำแหน่ง ส.ส.ปี 2562

จากการสืบค้นแปลงรูปที่ดินของที่ดินแปลงนี้ ระบุ ตำแหน่งที่ตั้ง ระวาง 4933 I 0074-00 (4000) ตำบลวังก์พง อำเภอปราณบุรี จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่ 14 ไร่ 0 งาน 62.7 ตารางวา ราคาประเมินที่ดิน (กรมธนารักษ์) 1,550 บาทต่อตารางวา ค่าพิกัดแปลง 12.43617271,99.91907531 ซึ่งจำนวนเนื้อที่ดิน ตรงกับเนื้อที่ดินที่เอกสารหลังโฉนดที่ดินตามที่นายพิธาแจ้งต่อ ป.ป.ช. 14 ไร่ 0 งาน 62.7 ตารางวา

โดยในแผนที่ภาพระบุตำแหน่งที่ดินแปลงนี้อยู่ติดถนนสาย 2004 ติดบ้านพักแห่งหนึ่ง ด้านเหนือและด้านตะวันออก ติดคลองวังยาว ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลเบื้องต้นตามที่แสดงผลในเว็บไซต์ของกรมที่ดินเท่านั้น แต่ไม่มีข้อมูลว่า ก่อนถึงมือผู้ถือกรรมสิทธิ์คนสุดท้าย โฉนดที่ดินแปลงนี้ออกเมื่อใดและกระบวนการออกเอกสารสิทธิ์มาจากหลักฐานใด?

ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา ลงพื้นที่ไปตรวจสอบข้อมูลที่ดินแปลงดังกล่าว ในต.วังก์พง อ.ปราณบุรี จ.ประจวบฯ เมื่อเดินทางไปถึงพบว่า เป็นที่ดินติดริมคลองวังยาว และมีถนนตัดผ่าน ในพื้นที่มีการปลูกต้นกล้วยเอาไว้หลายต้น

จากการสอบถามข้อมูลบุคคลในพื้นที่ได้รับแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ เคยมีคนจากกรุงเทพฯเดินทางมาดูที่ดินแปลงนี้แล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้ซื้อ ส่วนเจ้าของที่ดิน ทราบว่า ไม่ได้ลงพื้นที่มาดูแลมาเป็นระยะเวลาประมาณ 5 ปีแล้ว

ขณะที่ นายทหารรายหนึ่งในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงให้ข้อมูลสำนักข่าวอิศราว่า พื้นที่ดินบริเวณนี้ ถูกแบ่งออกเป็นสองแปลง มีถนนที่ตัดผ่านแบ่งที่ดิน ที่ดินฝั่งซ้ายเจ้าของ คือ นายทหารยศนายพล ส่วนที่ดินฝั่งขวาเจ้าของเป็นคนจากกรุงเทพฯ

เมื่อผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา สอบถามนายทหารคนดังกล่าวเกี่ยวกับที่ดินที่ถูกระบุว่ามีเจ้าของเป็นคนกรุงเทพฯว่าเกี่ยวข้องกับนายพิธาหรือไม่

นายทหารรายนี้ กล่าวว่า เคยโทรไปคุยกับผู้ที่ประกาศขายที่ดินฝั่งนั้นแล้ว ขอยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายพิธาแต่อย่างใด และส่วนตัวก็ไม่เคยพูดคุยกับคนที่เกี่ยวข้องกับนายพิธาด้วย นายทหารรายนี้ ยังระบุว่า ให้ลองไปดูนอกบริเวณพื้นที่ เห็นว่ามีประกาศขายที่ดินปักอยู่

ต่อมา ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา ได้สำรวจบริเวณด้านนอกที่ดินแปลงนี้เพิ่มเติม พบว่ามีป้ายขายที่ดินวางอยู่บนพื้นในสภาพชำรุด ระบุขนาดที่ดินเนื้อหา 14-0-62.7 ไร่ เท่ากับขนาดที่ดินที่นายพิธาได้แจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สิน

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา รายงาน ได้ติดต่อไปยังเบอร์โทรที่ถูกระบุบนประกาศขายที่ดินแปลงดังกล่าว ที่มีเลขลงท้ายสามตัวหลังว่า 200 ในระบบแจ้งข้อมูลว่า เป็นเบอร์ของทนายความของคนชื่อว่า 'ทิม'

อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา ได้พยายามสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับกรณีที่ดินแปลงนี้กับนายพิธา บุคคลปลายสายกล่าวว่า "ไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ข้อมูลได้"

ในเวลาต่อมา ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา เดินทางไปติดต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สาขาปราณบุรี ได้รับการยืนยันข้อมูลเบื้องต้นว่า ที่ดินแปลงนี้ เป็นของนายพิธาจริง แต่ได้จดทะเบียนขายที่ดินไปแล้วเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2566 ที่ผ่านมา ในราคา 6.5 ล้านบาท (หลังยุบสภาฯวันที่ 20 มี.ค.2566 ประมาณ 7 วัน)

น่าสังเกตว่า ราคาขายที่ดินแปลงนี้ ต่ำกว่าราคาที่ดิน ที่นายพิธา แจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สิน ต่อสำนักงาน ป.ป.ช. ที่ระบุมูลค่าปัจจุบัน อยู่ที่ราคา 18,000,000 บาท

ขอบคุณข้อมูลจากสำนักข่าวอิศรา

‘ชลน่าน’ เชื่อรัฐบาลข้ามขั้วไม่เกิด  ย้ำดัน ‘พิธา’ นั่งนายกฯ ปัดดีลลับ ‘ลุงป้อม’

เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 27 มิ.ย.66 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมกรรมการบริหารพรรค และประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทยวันเดียวกันนี้ จะมีความชัดเจนถึงขั้นมีรายชื่อออกมาเลยหรือไม่ว่า

เรามีคณะเจรจาที่จะไปคุยกับพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ซึ่งจะหารือกันวันที่ 28 มิ.ย. วันนี้คงยังยกรายชื่ออะไรออกมาก่อนไม่ได้ ต้องรอให้คุยกับพรรคก้าวไกลก่อน ส่วนจะมีมติพรรคหรือไม่นั้น มติพรรคจะเป็นขั้นตอนสุดท้าย แต่เราทราบความต้องการของสมาชิกพรรคที่อยากให้พรรคเพื่อไทย ได้ตำแหน่งประธานสภา ซึ่งคณะเจรจาก็มีข้อเสนออีกมุมหนึ่ง จึงจะนำสองมุมมองนี้มาหารือร่วมกันก่อนไปคุยกับพรรคก้าวไกลว่าทั้งสองพรรคจะมีทางออกอย่างไร

เมื่อถามว่าหากคุยกับพรรคก้าวไกลแล้ว ก่อนโหวตเลือกประธานสภาฯ วันที่ 4 ก.ค. พรรคเพื่อไทยต้องมีการประชุมส.ส.กันอีกครั้งหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ทุกอย่างต้องจบก่อนวันที่ 4 ก.ค. มั่นใจจบได้ด้วยดี แต่ถ้ามีเหตุจำเป็นก็อาจมีการประชุม ส.ส.ก่อนวันที่ 4 ก.ค. และเชื่อวันลงมติเสียงพท.จะไม่แตก
เมื่อถามว่าหากมีการลงมติกันแล้วมั่นใจว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทย.จะโหวตทิศทางเดียวกันใช่หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ตอนนี้เรายังไม่ใช้ที่ประชุมเพื่อลงมติ เพราะการเจรจายังไม่สิ้นสุด หากเอามติพรรคไปเป็นข้อเจรจา การหารือจะลำบาก เราต้องไปฟังคู่เจรจาก่อนว่าจากมุมของพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลเห็นอย่างไร เราคุยกันแบบพรรคร่วมที่จะต้องจับมือร่วมกันไป เรารู้ว่าเราแยกกันไม่ได้ และเราเองก็ไม่มีทางที่จะแยกกันได้ด้วย ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ถูกมัดด้วยอาณัติของประชาชนเช่นนี้จึงแยกยาก ต้องจับมือร่วมกันไปเพื่อทำงานตามที่ประชาชนมุ่งหวัง คือรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชน 

เมื่อถามย้ำว่าไม่ว่าพรรคเพื่อไทย หรือพรรคก้าวไกลได้ตำแหน่งประธานสภาฯไป เสียง 8 พรรคร่วมจะไม่แตกใช่หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือเราต้องจับมือกันไป ส่วนตำแหน่งประธานสภาฯ หรือคณะรัฐมนตรีเป็นเรื่องที่เราต้องคุยกันเพื่อจับมือกันไปอย่างมั่นคง เมื่อถามว่าการจัดตั้งรัฐบาลแบบข้ามขั้วจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนใช่หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ในมุมพท.มั่นใจไม่เกิดขึ้น เกิดขึ้นแต่ในมุมมองของสื่อ

เมื่อถามถึงความกังวลในการเสนอชื่อนายกฯ แข่งของฝ่ายรัฐบาลเดิมในวันโหวตเลือกนายกฯ เมื่อรวมกับเสียงของส.ว.จะได้รัฐบาลเสียงข้างน้อย นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ก็มีความเป็นไปได้เพราะเขามีสิทธิที่จะทำ หากเขาทำเช่นนั้นโอกาสได้นายกฯ สูงมาก เพราะเขามีเสียง 188 บวกกับ ส.ว.250 ก็เกิน 276 เสียง ก็ถือเป็นข้อกังวล แต่หากการโหวตครั้งแรกๆ เขาน่าจะมีความละอาย ไม่เกรงกลัวต่อบาปก็ได้ ดังนั้นเขาน่าจะละอายที่ไม่เสนอชื่อนายกฯ เสียงข้างน้อยมาแข่ง อย่างไรก็ตาม หากเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวขึ้นจริง เรามีหน้าที่รับมือไม่ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น

เมื่อถามว่า ส.ว.บางคนแสดงจุดยืนชัดเจนว่าไม่โหวตเลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯพรรคก้าวไกลเป็นนายกฯ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า คนที่ตัดสินคำนั้นดีที่สุดคือประชาชน เพราะประชาชนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเรื่องนี้ เหตุผลที่เขาจะมีรัฐบาลเสียงข้างน้อย คือเขาเป็นนายกฯ เพื่อยุบสภาฯ และสกัดกั้นไม่ให้ฝ่ายประชาธิปไตยเป็นรัฐบาลเท่านั้น ต้องถามว่าประชาชนเอาหรือไม่ รับได้หรือไม่

เมื่อถามว่า 8 พรรคร่วมรัฐบาลจะประสานกับ ส.ว.ก่อนการโหวตเลือกนายกฯ หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เป็นหน้าที่หลักโดยเฉพาะของพรรคก้าวไกลที่ต้องพูดคุย หาเสียงจาก ส.ว.และ ส.ส.จากพรรคอื่นที่ไม่ได้ประกาศเข้าร่วมรัฐบาล ให้ได้เสียง 376 เสียงเพื่อให้ตั้งรัฐบาลได้ แต่หากพรรคก้าวไกลตั้งรัฐบาลไม่ได้ก็ต้องมีคำตอบให้ประชาชนว่าเป็นเพราะอะไร เขาจะได้หาวิธีการและช่องทางในการตัดสินอนาคตของประเทศได้ว่าเขาจะทำอย่างไร แต่เชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะมีแผนสำรองอยู่ตลอด เราเองในฐานะ 8 พรรคร่วมไม่สามารถพูดได้ว่าเรามีแผนสำรอง เรามีแบบแผนหลักคือจะทำอย่างให้พรรคก้าวไกลเป็นแกนหลักจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ และนายพิธาเป็นนายกฯ คนที่ 30 เท่านั้น

เมื่อถามว่าหากวันนั้นโหวตนายพิธาเป็นนายกฯ ไม่สำเร็จ 8 พรรคร่วมรัฐบาลจะทำอย่างไรต่อ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า“ไม่ใช่ว่าพรรคอันดับ 2 เดินอย่างไร แต่ต้องทั้ง 8 พรรคมาคุยกัน”
เมื่อถามว่าหากเป็นพรรคเพื่อไทย จะสามารถรวมเสียงได้ 376 เสียงหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า “ด้วยความเคารพ ผมพยายามที่จะไม่ตอบคำถามนี้ เพราะผมตอบไม่ได้จริงๆ หากตอบจะกลายเป็นเงื่อนไขที่เราพยายามแย่งจัดตั้งรัฐบาลซึ่งไม่ดี”

เมื่อถามถึงกระแสข่าว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ เดินทางไปประเทศอังกฤษเพื่อดีลลับกับพรรคเพื่อไทย นพ.ชลน่าน กล่าวว่า “ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยยืนยันว่าไม่มีดีลลับ เพราะถ้ามีเขาต้องมาแจ้งผม ซึ่งคนดีลกลับมาแล้ว และในนามหัวหน้าพรรคยืนยันไม่ได้รับการแจ้งเบาะแสเรื่องที่เป็นข่าว โดยสรุปคือเราไม่มีดีลลับ”

เมื่อถามต่อว่าเป็นการดิสเครดิตทำลายพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า แล้วแต่จะมอง เราชินชาแล้วแต่ก็คงไปห้ามไม่ให้มีข้อวิจารณ์ไม่ได้ แต่เรายืนยันว่าจะยึดในวิถีประชาธิปไตยและประชาชนเป็นหลัก

‘ณธีภัสร์’ สิ้นสมาชิกสภาพ ส.ส.ก้าวไกล จากคดีเมาแล้วขับ ด้าน ‘สภาฯ’ แจงจำนวนตัวเลข ส.ส.ล่าสุด เหลือ 499 คน

(27 มิ.ย. 66) ที่รัฐสภา นางพรพิศ เพชรเจริญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ชี้แจงการปรับตัวเลข ส.ส.จาก 500 คน เหลือ 499 คนว่า สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ทำหนังสือถามไปยังศาลอาญามีนบุรี เพราะทราบจากข่าวว่า น.ส.ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ต้องคดีเมาแล้วขับ ซึ่งวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา ทางสำนักงานฯ ได้รับหนังสือจากศาลอาญามีนบุรีแจ้งว่าคดีถึงที่สุดแล้ว ก็เท่ากับสิ้นสมาชิกภาพ ส.ส.แล้ว ตามมาตรา 101 (13)

ดังนั้น จำนวน ส.ส. จึงลดลง ซึ่งทางสำนักงานฯ ได้แจ้งไปทางพรรคก้าวไกล และ น.ส.ณธีภัสร์ ให้ทราบ ซึ่งได้ประสานเป็นการภายในกับ น.ส.ณธีภัสร์ แล้ว ส่วนหนังสือแจ้งทางการจะเป็นวันนี้

ส่วนการเลื่อนบัญชีรายชื่อลำดับถัดไปขึ้นมาแทนนั้น นางพรพิศ กล่าวว่า จะต้องรอให้มีประธานสภา คนใหม่ก่อน และประธานสภา เลื่อนบัญชีของพรรคก้าวไกลขึ้นมาแทน โดยใช้เวลา 7 วัน

นางพรพิศ กล่าวต่อว่า สำหรับความพร้อมในพิธีเปิดประชุมรัฐสภา ในวันที่ 3 ก.ค.นี้ ซึ่งกำหนดการได้ลงมาแล้ว ดังนั้น ในวันที่ 28 มิ.ย.นี้ ทางสำนักงานฯจะแจ้งทุกหน่วยงาน และสมาชิกรัฐสภา เพื่อให้ทราบรายละเอียดในพิธีเปิดประชุมรัฐสภา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯและสมเด็จพระราชินีฯจะเสด็จพระราชดำเนิน ที่โถงรัฐพิธีชั้น 11 อาคารรัฐสภา ในเวลา 17.00 น.

ส่วนการประชุมสภานัดแรกเพื่อเลือกประธานสภาและรองประธานสภา 2 คน นางพรพิศ กล่าวว่า ทางสำนักงานฯ ได้ประสานกับทุกพรรคแล้ว ส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันที่จะมีการประชุมสภานัดแรกในวันที่ 4 ก.ค. เวลา 09.30 น. ยืนยันว่า ทางสภาฯ เราซักซ้อมความพร้อมตลอดเวลาในเรื่องเปิดพิธีประชุมรัฐสภา ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะจะมีบุคคลต่างๆ เข้ามาร่วมงานจำนวนมาก จึงประสานเจ้าหน้าที่สภาฯ ที่ไม่เกี่ยวข้องให้เวิร์กฟรอมโฮม พร้อมขอความร่วมมือกับสื่อมวลชน ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเข้ามาสภาฯ ในวันที่ 3 ก.ค.นี้

ส่วนวันที่ 4 ก.ค.ที่เปิดประชุมสภานัดแรก ทางสภามีความพร้อมในเรื่องของการลงคะแนน และขั้นตอนต่างๆ เพื่อเลือกประธานสภา โดยมีการซักซ้อมกับประธานสภาชั่วคราวที่อาวุโสสูงสุดเรียบร้อยแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับส.ส.บัญชีรายชื่อที่เลื่อนขึ้นมาแทนน.ส.ณธีภัสร์ คือ นายสุเทพ อู่อ้น ซึ่งอยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับที่ 27

‘กลุ่มพิราบขาว’ ยื่นศาล รธน. สอย ‘พิธา’ ปมคุณสมบัติ ด้าน ‘เสรี’ เย้ย มี ส.ว.หนุนนั่งนายกฯ ไม่เกิน 5 เสียง

(27 มิ.ย. 66) ที่รัฐสภา นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำพิราบขาว 2006 ยื่นหนังสือต่อนายสมชาย แสวงการ ส.ว.ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา และนายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว.ในฐานะประธานกมธ.การพัฒนาการเมือง และการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา เพื่อขอให้ ส.ว.ร่วมกันลงชื่อร้องเรียน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล กรณีถือหุ้นสื่อไอทีวี ซึ่งอาจขัด พ.ร.ป.ว่าด้วย ส.ส.มาตรา 42 (3) และกรณีโอนหุ้นให้กับบุคคลอื่นหลังวันเลือกตั้ง อาจเข้าลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) หรือไม่

นายสมชาย กล่าวว่า ประเด็นหุ้นสื่อ ตนขอเรียกร้องให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับนายพิธา และไม่มีปัญหากับการเป็นนายกฯ ส่วนที่เสนอให้ ส.ว.เข้าชื่อเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติของนายพิธานั้น ในความเป็นส.ส.ของนายพิธา ส.ว.ไม่สามารถทำได้ แต่หากเป็นประเด็นของนายกฯ ส.ว.ทำได้

เมื่อถามถึงนายพิธา มั่นใจว่าจะได้รับเสียงโหวตจาก ส.ว.ให้เป็นนายกฯ นายสมชาย กล่าวว่า จากที่ตนพูดคุยกับ ส.ว.ที่ลงคะแนนเลือกตั้งให้พรรคก้าวไกล พบว่าไม่ได้เห็นด้วยกับนโยบายของพรรคก้าวไกล เช่น การแก้ไขมาตรา 112 การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่รวมถึงหมวด 1 หมวด 2 แต่เห็นด้วยกับบางนโยบาย ดังนั้น การลงมติเลือกของ ส.ว.ขอให้มั่นใจในดุลยพินิจ และวุฒิภาวะของ ส.ว.ที่จะพิจารณาในประเด็นสิ่งที่เป็นผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ความสงบสุข

“ส.ว.ไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล หรือคำนึงถึงการเปลี่ยนขั้วอำนาจ เปลี่ยนข้างหรือข้ามขั้วหรือไม่ แต่ประเด็นนายกฯ มีความเกี่ยวข้องกับการตั้งรัฐบาล ต้องพิจารณาสิ่งที่จะไม่ทำให้เกิดความกังวลในความมั่นคงของประเทศ และไม่นำไปสู่ปัญหาความไม่มั่นคง สำหรับบางนโยบายของพรรค พบว่าสุ่มเสี่ยง ดังนั้น ผมขอให้เอาออกเพื่อประโยชน์ของประเทศ” นายสมชาย กล่าว

ด้านนายเสรี กล่าวว่า เรื่องการถือหุ้นของนายพิธา อยู่ระหว่างการตรวจสอบของ กมธ.พัฒนาการเมือง วุฒิสภาอยู่แล้ว และในวันที่ 28 มิ.ย. เวลา 10.00 น. กมธ.จะไปมอบให้กับประธานกกต. ขอทราบความคืบหน้าการตรวจสอบนายพิธา ที่ถูกตรวจสอบตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 151 กรณีรู้ตัวขัดคุณสมบัติ แต่ยังลงสมัครเลือกตั้ง และจะนำหลักฐานการถือครองหุ้นสื่อไอทีวีของนายพิธา และข้อมูลการถือครองที่ดิน 14 ไร่ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ของนายพิธาไปยื่นต่อ กกต. โดยเห็นว่า กกต. ควรส่งเรื่องนี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อนจะมีการเลือกนายกฯ เพื่อเป็นข้อมูลให้กับ ส.ว.ตัดสินใจ

นายเสรี กล่าวว่า หลังจากนี้ ส.ว.จะเข้าชื่อกันตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ส่งเรื่องให้ประธานวุฒิสภา ยื่นเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาคุณสมบัติการเป็นแคนดิเดตนายกฯของนายพิธา ที่ระบุต้องมีคุณสมบัติตามมาตรา 160 ที่ไม่มีลักษณะต้องห้ามการถือครองหุ้นสื่อ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ในฐานะที่ ส.ว.ต้องมีส่วนร่วมเห็นชอบนายกฯ

ดังนั้น เมื่อมีข้อสงสัยเรื่องคุณสมบัติต้องห้ามย่อมยื่นตีความให้ตรวจสอบได้ โดยควรยื่นให้ตรวจสอบก่อนจะโหวตเลือกนายกฯ แต่จะมีผลทำให้การโหวตนายกฯ ต้องยุติก่อนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับประธานรัฐสภาจะพิจารณา หาก กกต.ไม่ยื่นตีความคุณสมบัติของนายพิธา ก่อนโหวตนายกฯ ก็อาจเป็นไปได้ที่ ส.ว.จะเข้าชื่อกันยื่นตีความคุณสมบัติการเป็นแคนดิเดตนายกฯของนายพิธา

ผู้สื่อข่าวถามว่า หาก ส.ว.ยื่นตีความคุณสมบัตินายกฯ ของนายพิธา จะทำให้ปลุกกระแสสังคมออกมาต่อต้านหรือไม่ นายเสรี กล่าวว่า กระแสสังคมคือส่วนหนึ่ง ความถูกต้องคือส่วนหนึ่ง ถ้ากระแสสังคมไม่ถูกต้อง จะยึดอะไรระหว่างความถูกต้องกับกระแส ถ้ายึดแต่กระแสก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้

เมื่อถามว่านายพิธามั่นใจว่ามีเสียง ส.ว.เพียงพอจะโหวตให้เป็นนายกฯนั้น นายเสรีกล่าวว่า หากเสียงมากพอ ก็เป็นนายกฯ ได้เลย แต่ขณะนี้ยังไม่ปรากฏชัดเจนว่า ส.ว.คนใดสนับสนุน นอกจาก 17 คน ที่มีชื่อและหลายคนก็บอกว่าถูกเอาชื่อไปใส่ และหลายคนบอกว่า ถ้าได้เสียงข้างมากจะเลือกให้เป็นนายกฯ แต่ตอนนี้ทุกคนพูดตรงกันว่าถ้าเสียงข้างมาก แล้วยังไปแก้มาตรา 112 ก็จะไม่ลงคะแนนให้

“เท่าที่ทราบตอนนี้มี 5 คน ที่จะโหวตให้ ส่วนตนยืนยันมาตลอดว่าหากมีการแสดงออก หรือมีการกระทำไปในแนวทางที่แก้ไขมาตรา 112 ก็ไม่โหวตให้แน่นอน ดังนั้น การลงมติในครั้งนี้ ถึงไม่เหมือนกับการเลือกนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2562 พร้อมยืนยัน ส.ว.มีอิสระในการตัดสินใจ ไม่มีใบสั่งจากใครนอกจากประชาชน” นายเสรี กล่าว

เมื่อถามว่า หากเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ มาจากพรรคเพื่อไทย จะทำให้สบายใจขึ้นในการโหวตให้เป็นนายกฯ หรือไม่ นายเสรี กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องสบายใจหรือไม่สบายใจ แต่เป็นเรื่องที่ ส.ส.จะไปตกลงกันให้สบายใจ ไปจัดทัพรวบรวมเสียงกันมา เมื่อถึงตอนนั้น ส.ว.จะพิจารณาตามมาตรา 159 คือเลือกบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญ

เมื่อถามย้ำว่า หากแนวโน้มเป็นแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย จะมีภาษีมากกว่านายพิธาหรือไม่ นายเสรี กล่าวว่า ต้องดูว่าเป็นใคร เพราะพรรคเพื่อไทยมี 3 ชื่อ ก็ต้องดูว่าเสนอใคร ส่วนพรรคภูมิใจไทยก็มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค อย่างไรก็ตาม ขณะนี้คงยังตอบไม่ได้ ต้องพิจารณาก่อนว่าบุคคลนั้นเหมาะสมหรือไม่ รวมถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็อยู่ในเกณฑ์เดียวกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top