Saturday, 18 May 2024
พรรคก้าวไกล

‘นิด้าโพล’ ชี้!! ‘ก้าวไกล’ เดินเกมพลาด จนชวดตั้งรัฐบาล เพราะไม่ยอมยกเลิกบางนโยบาย-ประมาทเสนอ ‘พิธา’ เป็นนายกฯ

(30 ก.ค. 66) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘ความผิดพลาดของพรรคก้าวไกล’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 24-26 กรกฎาคม 2566 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับข้อผิดพลาดของพรรคก้าวไกลในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อข้อผิดพลาดของพรรคก้าวไกลในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 42.98 ระบุว่า พรรคก้าวไกลไม่ยอมยกเลิกบางนโยบาย เพื่อให้ได้การสนับสนุนเพิ่มขึ้น รองลงมา ร้อยละ 30.46 ระบุว่า พรรคก้าวไกล ไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ ทั้งนั้น ร้อยละ 27.56 ระบุว่า พรรคก้าวไกลสู้เกมการเมืองในสภาไม่ได้ ร้อยละ 11.68 ระบุว่า พรรคก้าวไกลทำตัวปิดกั้นตัวเอง ทำให้ไม่ค่อยมีพันธมิตรทางการเมือง ร้อยละ 10.23 ระบุว่า พรรคก้าวไกลไม่เข้าใจวัฒนธรรมและความเป็นจริงทางการเมืองแบบไทย ๆ

ร้อยละ 9.54 ระบุว่า พรรคก้าวไกลประมาทในการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่พรรคเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี (นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์) ร้อยละ 7.94 ระบุว่า พรรคก้าวไกลสร้างศัตรูทางการเมืองไว้มากในช่วงที่ผ่านมา ร้อยละ 7.86 ระบุว่า ปัญหาจากพฤติกรรมของแฟนคลับ พรรคก้าวไกลทำให้ไม่ได้รับการสนับสนุนในรัฐสภา ร้อยละ 7.56 ระบุว่า พรรคก้าวไกลฟังแฟนคลับของตนเองมากเกินไป ร้อยละ 6.11 ระบุว่า พรรคก้าวไกลหลงไปกับตัวเลข 14 ล้านเสียง และ 151 สส. มากเกินไป ร้อยละ 5.88 ระบุว่า กุนซือ นักวิชาการของพรรคก้าวไกลที่อยู่นอกพรรคฯ ประเมินสถานการณ์ผิดพลาด และร้อยละ 0.53 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ด้านความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง หากพรรคก้าวไกลต้องไปเป็นฝ่ายค้าน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 35.19 ระบุว่า จะมีการชุมนุมใหญ่แต่จะสามารถควบคุมได้ รองลงมา ร้อยละ 24.81 ระบุว่า จะมีการชุมนุมเพียงเล็กน้อยและสามารถควบคุมได้ ร้อยละ 23.66 ระบุว่า จะมีการชุมนุมใหญ่และไม่สามารถควบคุมได้ ร้อยละ 11.99 ระบุว่า จะไม่มีการชุมนุมใด ๆ ร้อยละ 2.90 ระบุว่า จะมีการชุมนุมเพียงเล็กน้อยแต่จะไม่สามารถควบคุมได้ และร้อยละ 1.45 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนถึงความเป็นไปได้ที่การเลือกตั้งครั้งหน้าจะมีพรรคการเมืองใหม่ที่มีลักษณะบุคลากรและวิธีการดำเนินการทางการเมืองคล้ายกับพรรคก้าวไกลเกิดขึ้น แต่มีความประนีประนอมมากกว่า พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 35.88 ระบุว่า ค่อนข้างเป็นไปได้ รองลงมา ร้อยละ 33.89 ระบุว่า เป็นไปได้มาก ร้อยละ 19.54 ระบุว่า เป็นไปไม่ได้เลย ร้อยละ 9.62 ระบุว่า เป็นไปไม่ค่อยได้ และร้อยละ 1.07 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

‘เศรษฐา’ วืดนายกฯ ถ้าไม่ยอมเจ็บ พรรคส้มป่วน ‘ไพร่หมื่นล้าน’ ก้าวพลาด!!

ช่วงวันหยุดยาว ‘เล็ก เลียบด่วน’ ใคร่สรุปสถานการณ์ ด้วยการหมายเหตุสถานการณ์น่าสนใจเพียง 3 เรื่องก็พอจะเห็นภาพใหญ่ทางการเมืองเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลและเรื่องที่เกี่ยวเนื่อง ตามมาครับ...

เรื่องแรก – กรณีการเดินทางของไพร่หมื่นล้าน อดีตหัวหน้าพรรคไปพบ ‘คนแดนไกล’ ที่ฮ่องกง เมื่อ 24-25 ก.ค.ที่ผ่านมา สื่อมวลชนงัดหลักฐานเที่ยวบินชัดเจน พร้อมรายงานผลการเจรจาว่าไพร่หมื่นล้าน ผู้นำทางจิตวิญญาณเจรจาสูตรรัฐบาลว่า… พรรคสอง ก. หรือ ก้าวไกลยอมถอยเป็นฝ่ายค้านและจะโหวตให้พรรคเพื่อไทยเป็นนายกฯ แต่มีเงื่อนไขว่าเพื่อไทยต้องไม่เอาพรรคสองลุง เข้าร่วมรัฐบาล…

งานนี้ถูก ส.ว.ตัวตึง ‘สมชาย แสวงการ’ ออกมาดักคอว่าเป็นสูตร ‘ซ่อนปมซ่อนเงื่อน’ วางแผนให้พรรคก้าวไกลเข้าร่วมรัฐบาลในภายหลัง...

ประการสำคัญยิ่ง งานนี้ผู้นำทางจิตวิญญาณเสียหายชนิดประเมินค่ามิได้ เพราะบรรดานักวิชาการ ปัญญาชน ชนชั้นกลาง รวมทั้งมวลมหาประชาชาวด้อมส้มที่ศรัทธาอุดมการณ์พรรคก้าวไกลเห็นว่าวิธีการดังกล่าวเป็นการเมืองแบบเดิมๆ ดังนั้นขอให้ชายชื่อ ‘ธนาธร’ แถลงด่วนว่าอะไรเป็นอะไร...

เรื่องที่สอง – วันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา เกิดการรัฐประหารเงียบในการประชุมใหญ่สามัญพรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ ‘บิ๊กป้อม’ ขอลาออกจากหัวหน้าพรรค ณ เวลา 08.30 น.ทำให้กรรมการบริหารพรรคชุดเก่าสิ้นสภาพ ต้องล้างไพ่เลือกกันใหม่ได้ ‘บิ๊กป้อม’ เป็นหัวหน้าพรรคเหมือนเดิม แต่เลขาธิการพรรคเปลี่ยนจาก ‘สันติ พร้อมพัฒน์’ เป็น ‘ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า’ ...ไม่แต่เท่านั้นหัวหน้าพรรคป้อมมีคำสั่งทันทีแต่งตั้งน้องชาย ‘พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ’ หรือ ‘บิ๊กป๊อด’ เป็นประธานที่ปรึกษาพรรค

เป็นที่รู้กันว่าสำหรับ ‘บิ๊กป๊อด’ อดีต ผบ.ตร.คนดังนั้นเป็น มาสเตอร์ไมด์ ในพรรคพลังประชารัฐมาโดยตลอด งานนี้เปิดตัวมาอยู่เบื้องหน้า เท่ากับว่าพรรคนี้มี ‘พัชรวาท-ธรรมนัส’ เป็นเพลย์เมกเกอร์ เปิดซุปเปอร์ดีลกับพรรคเพื่อไทย… ถึงขนาดมีข่าวลือลอยลมล่วงหน้าว่ามานานแล้วว่า บิ๊กป๊อดขอนั่งมหาดไทย ผู้กองขอคุมเกษตรฯ…

เรื่องที่สาม – เรื่องการกลับบ้านของทักษิณ ชินวัตร ที่ฮือฮากันไม่เสร็จก็คือ ทันทีที่จอมแฉ ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ โพสต์เฟซบุ๊กว่า “เกมพลิก ทักษิณถอย ยกเลิกกลับไทย สถานการณ์เปลี่ยน” ไม่กี่นาทีหลังเพจกรรมการข่าวเอาไปโพสต์ต่อ… ปรากฏว่า ‘อุ๊งอิ๊ง’ ลูกสาวนายห้างโพสต์สวนทันทีว่า “เพ้อเจ้อ” ซึ่งถ้าแปลความตามนี้ก็หมายถึงว่า คุณอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ยืนยันว่าวันที่ 10 ส.ค.นี้ คุณพ่อทักษิณกลับบ้านแน่…

และนั่นก็ต้อง… ขยายความกันต่อว่าดีลการเมืองเกมใหญ่ก็ยังไม่พลิกไปจากเดิมคือ เพื่อไทยเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล โดยเอาพรรคก้าวไกลออกจากสมการ กำหนดวันโหวตนายกรัฐมนตรีวันที่ 4 ส.ค.นี้

การเมืองในช่วงวันหยุดยาวนี้คือ การเจรจาหาความลงตัว… โดยเฉพาะอย่างยิ่งโจทย์ที่ไพร่หมื่นล้านตั้งไว้ว่าต้อง ‘ไม่มีสองลุง’ ถึงแม้จะฟังดูเพ้อเจ้ออยู่บ้าง แต่ก็ทำเอาพรรคเพื่อไทยปวดหัวอยู่ไม่น้อย เพราะหากเศรษฐา ทวีสิน จะเป็นนายกฯ ต้องกลืนคำพูดที่ว่าไม่เอาพรรคสองลุงของตัวเอง… ต้องยอมเจ็บแต่จบ… แต่ถ้างอแงมากๆ หวยนายกฯ คนที่ 30 อาจจะพลิกไปออกที่ ‘ชัยเกษม นิติสิริ’

สรุปสูตรข้ามขั้ว… ไม่มีก้าวไกล แต่มีพรรคภูมิใจไทยและขั้วเดิมไปเติมแทนยังเป็นทิศทางหลัก… และเป็นไปได้โดยที่พรรคเพื่อไทยต้องยอมเจ็บ ไม่ป๊อดมาก แต่ขณะเดียวกันพรรคสองลุงก็ต้องลดการต่อรองหรือต้องสร้างสภาพเงื่อนไขให้การเมืองเดินหน้าไปได้… ไม่อย่างนั้น อาจทำให้มวลมหาประชาชาวด้อมส้มอันบางเบามีลูกฮึดขึ้นมา… ขอบอก!!

‘กกต.’ จ่อฟ้องเรียกค่าเสียหาย ‘นครชัย’ สส.ระยอง ก้าวไกล เหตุต้องจัดเลือกตั้งใหม่ ชี้!! รู้อยู่แล้วไม่มีสิทธิ แต่ยังฝืนลงสมัคร

(30 ก.ค. 66) สืบเนื่องจากกรณีที่ ‘นครชัย ขุนณรงค์’ หรือ ‘ไอซ์ สส.ระยอง’ พรรคก้าวไกล เขต 3 หลังกกต.ระยองส่งข้อมูล ให้กกต.กลาง หลังพบข้อมูลต้องคดีลักทรัพย์ ช่วงปี 42 - 43 โทษศาลสั่งจำคุก 1 ปี 6 เดือน กระทั่งต่อมา ไอซ์ สส.ระยอง ประกาศลาออก

เกี่ยวกับเรื่องนี้ล่าสุดมีรายงานว่า นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยกรณี นายนครชัย ขุนณรงค์ สส.ระยอง เขต 3 พรรคก้าวไกล มีลักษณะต้องห้ามในการเป็น สส. เนื่องจากเคยเป็นต้องโทษจำคุกในคดีลักทรัพย์ว่า กรณีนี้ ถือเป็นกรณีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10) (เคยต้องคำพิพากษาจนถึงที่สุดในคดีเกี่ยวกับทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา) ที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาการพ้นโทษไว้ ดังเช่นมาตรา 98 (7) (ระบุว่าเคยได้รับโทษจำคุกยังไม่พ้น 10 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง) เนื่องจากกฎหมายกำหนดบทความผิดไว้เป็นการเฉพาะว่า ความผิดในฐานใดบ้างที่ต้องห้ามดำรงตำแหน่ง สส. ดังนั้น หากผู้สมัคร สส.เคยกระทำความผิดตามฐานความผิดที่ระบุไว้ จะถือเป็นลักษณะต้องห้ามการสมัครรับเลือกตั้ง สส.

โดยกรณีดังกล่าวหากเห็นว่าผู้สมัครรู้อยู่แล้วว่า ตนเองไม่มีสิทธิสมัคร แต่มาสมัครรับเลือกตั้ง อาจเข้าข่ายต้องรับโทษทางอาญา ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. มาตรา 151 และอาจต้องรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420

พร้อมกันนี้ นายอิทธิพร ยังกล่าวอีกว่า ตามที่ สส. คนดังกล่าวได้ประกาศทางเฟซบุ๊กส่วนตัวแจ้งว่า จะมีการลาออกจากตำแหน่งในสัปดาห์หน้า จึงคาดว่าจะมีการยื่นหนังสือลาออก และมีผลในช่วงสัปดาห์หน้าเลย

ซึ่งกรณีนี้ กกต.รับทราบเรื่องแล้ว และอยู่ในขั้นตอนที่ส่วนกลางกำลังพิจารณาจัดทำความเห็นเพื่อเสนอต่อ กกต.ต่อไป ซึ่งจะมีประเด็นเรื่องความผิดทางอาญา ตามพ.ร.ป.ว่าด้วย สส. มาตรา 151 รวมทั้งอาจมีการพิจารณาฟ้องคดีแพ่ง เพื่อเรียกค่าเสียหายในการจัดเลือกตั้งใหม่ต่อไป

‘แม่ลีน่า’ ฟาดแรง!! อ้างถูก ‘สส.ก้าวไกล’ โทรมาด่า ลั่น!! วิจารณ์ทุกยุค ‘โทนี่-ปู-ตู่’ แต่ไม่เคยมีใครทำแบบนี้

(4ส.ค. 66) ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่ง ชื่อ ‘nangfar_allstar’ ได้โพสต์คลิปของ ‘ลีนา จังจรรจา’ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ลีน่าจัง’ นักธุรกิจ ทนายความ และพิธีกรหญิงชาวไทย ที่ได้ออกมาแฉหลังจากที่ตนถูก สส.คนหนึ่งของพรรคก้าวไกลโทรศัพท์มาต่อว่า กรณีที่ตนนั้นได้วิพากษ์วิจารณ์พรรคก้าวไกล โดยในคลิปดังกล่าวระบุว่า…

“ปากบอกเป็นประชาธิปไตย แต่พอฉันวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับพรรคก้าวไกล กลับส่ง สส.โทรมาด่าฉัน ด่าทําไม ฉันมีสิทธิ์วิจารณ์ คุณห้ามฉันไม่ได้หรอก ฉันจะพูดไปจนกว่าฉันจะตาย นอกเสียจากว่าพวกคุณจะสาบสูญไป และไม่ได้ลง สส. ไม่มีพรรคการเมืองอะไรเลย หายสาบสูญไปเลยอย่างนี้ ฉันถึงจะไม่พูด ขนาดคุณทักษิณยังหนีไปอยู่ต่างประเทศ 17 ปี ฉันยังพูดถึงเขาทุกวัน คุณยิ่งลักษณ์ฉันก็พูดถึงเขาทุกวัน ทําไมจะพูดไม่ได้ ในเมื่อคุณลงมาสมัคร คุณก็คือบุคคลสาธารณะ อย่าหลงตัวเอง ฉันไม่แปลกใจหรอกที่เด็กๆ สมัยนี้ จะเนรคุณกันหมด เนรคุณพ่อแม่ ไม่เอาพ่อแม่ ด่าพ่อแม่น่ะ”

“แล้วฉันก็วิพากษ์ วิเคราะห์วทุกสภาฯ ทุกรัฐบาล คุณทักษิณ คุณยิ่งลักษณ์เป็นรัฐบาล ฉันก็วิเคราะห์ คุณประยุทธ์เป็นรัฐบาล 9 ปี ฉันก็วิเคราะห์ คุณประยุทธ์ไม่เคยส่งคนมาขู่ฉันเลย พรรคพลังประชารัฐไม่เคยส่ง สส.มาด่าฉัน มาขู่ฉันเลย คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรัฐบาลในยุคของคุณอภิสิทธิ์ พรรคประชาธิปัตย์ฉันก็วิเคราะห์ เพราะฉันทําหน้าที่วิเคราะห์ข่าว ทำอาชีพนี้ของฉันมาตั้งแต่คุณประยุทธ์ปิดสถานีดาวเทียมของคุณเมื่อปี 2557 ทํามาจนถึงจนถึงทุกวันนี้ 9 ปีแล้ว”

“พรรคการเมืองใหญ่โตระดับไหนฉันก็วิเคราะห์หมด ฉันพูดหมด ไม่เคยมีใครมาขู่ฉันเลย… คุณใหญ่โตมาจากไหน?” ลีน่าจัง กล่าวทิ้งท้าย

‘ศิษย์เก่า มธ.’ ค้าน ‘พิธา’ เป่าหูเด็ก มธ.ด้วยตรรกะบิดเบือน แอบอ้าง!! จิตวิญญาณธรรมศาสตร์ ว่าเหมือนวิถีก้าวไกล

‘ศิษย์เก่า มธ.’ ค้าน ‘พิธา’ ร่วมงานปฐมนิเทศ นศ.ใหม่ ‘เกษมสันต์’ ชี้ จิตวิญญาณธรรมศาสตร์ไม่เหมือนวิถีก้าวไกลตามที่อ้าง เพราะไม่เคยสอนให้ก้าวร้าว ก้าวล่วง ‘ทนายมิ้นท์’ เหน็บ “ธรรมศาสตร์ไม่ได้สอนให้โกหกประชาชน” ฟาก ‘ดร.เสรี’ เศร้าใจ อยากรู้ใครเชิญนักการเมืองไปบรรยาย ถามศิษย์เก่า-ศิษย์ปัจจุบัน อาจารย์เกษียณ-อาจารย์ปัจจุบันที่ยังจงรักภักดี พอจะทำอะไรได้บ้าง

เมื่อวันที่ 4 ส.ค. ในเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘Kasemsant AEC’ มีการโพสต์ภาพและข้อความของนายเกษมสันต์ วีระกุล นักวิชาการอิสระ ในฐานะกรรมการศิษย์เก่าคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า…

ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่ มธ.เชิญพิธาไปพูดในงานปฐมนิเทศ นศ.ใหม่ ซึ่งได้มีการกล่าวอ้างว่า “จิตวิญญาณของธรรมศาสตร์เหมือนกับวิถีก้าวไกล”

ในฐานะศิษย์เก่าคนหนึ่ง ขอยืนยันว่า จิตวิญญาณความเป็นธรรมศาสตร์ที่ผมและศิษย์เก่าจํานวนมากก็มีนั้น ต่างจากวิถีก้าวไกลโดยสิ้นเชิง จิตวิญญาณความเป็นธรรมศาสตร์ไม่เคยสอนให้พวกเราก้าวร้าว ก้าวล่วงและพยายามจะเปลี่ยนแปลงสถาบัน หลักของชาติแต่อย่างใด

อีกทั้งพิธาเองยังมีอีกหลายประเด็นที่สังคมสงสัยและกําลังโดนตรวจสอบทั้งในด้านชีวิตส่วนตัว ธุรกิจและการเมือง ดังนั้นพิธาจึงไม่ควรจะเป็นตัวอย่างศิษย์เก่า มธ.ที่ดีจนกว่าจะได้พิสูจน์ตัวเองให้ได้เสียก่อน

ผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์น่าจะตระหนักให้มากกว่านี้ถึงความละเอียดอ่อนของสถานการณ์ทางการเมืองและความมั่นคงของชาติ รวมถึงความอ่อนไหวของอารมณ์และความรู้สึกของ นักศึกษาและประชาชนในปัจจุบัน/ เกษมสันต์ วีระกุล

ขณะที่ น.ส.พวงทิพย์ บุญสนอง หรือ ‘ทนายมินท์’ ทนายความของนักเคลื่อนไหวภาคประชาชน ในฐานะศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘Puangtip Boonsanong’ ระบุว่า…

“ธรรมศาสตร์ไม่ได้สอนให้โกหกประชาชน”

ด้าน ดร.เสรี วงษ์มณฑา อดีตคณบดีวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘ดร.เสรี วงษ์มณฑา’ ระบุว่า…

“วันนี้รู้สึกเศร้าใจมาก เมื่อเห็นเหตการณ์ที่เกิดขึ้นในงานรับเพื่อนใหม่ของธรรมศาสตร์ ที่มีการเชิญพิธาไปเป็นผู้บรรยายให้นักศึกษาปีที่ 1 ฟังหัวข้อบรรยาย ถ้าหากจะพูดให้เป็นแนวทางในการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย กับการเรียนให้ประสบความสำเร็จน่าจะเหมาะกว่า

แต่การเชิญคนที่เป็นนักการเมืองที่มี agenda ทางการเมืองไปบรรยาย มีการทำกิจกรรมที่มีกลิ่นอายการเมือง ด้วยตรรกะผิดๆ บิดเบือนดูไม่เหมาะสม

อยากรู้ว่าใครเป็นคนจัด ใครเป็นคนเชิญ ไม่รู้เลยหรือว่าพิธาเป็นใคร ไม่คิดเลยหรือว่าเมื่อเขามาบรรยาย เขาจะมาพูดอะไรให้นักศึกษาฟัง

หรือจริงๆ รู้ดีว่าพิธาจะมาพูดอะไร และเห็นดีเห็นงามกับเรื่องที่เขาจะพูด กิจกรรมที่เขาจะทำ ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็ต้องบอกว่าศีลเสมอกันจริงๆ

ต้องยอมรับว่าธรรมศาสตร์ช่วงนี้ตกต่ำจริงๆ อาจารย์บางคนกลายเป็นอาจมที่ครอบงำลูกศิษย์ด้วยข้อความที่เป็นเท็จ

ผู้บริหาร ไม่เคยคิดที่จะทำอะไรที่ปกป้องชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยบ้างเลยหรือ กลัวจะถูกตราหน้าว่าไม่เป็นประชาธิปไตยหรือไร

ในฐานะที่เป็นศิษย์เก่าดีเด่น ทั้งของคณะศิลปศาสตร์ และของมหาวิทยาลัย อาจารย์ และคณบดีคณะวารสารศาสตร์ฯ รู้สึกเสียใจยิ่งนัก

อยากถามศิษย์เก่า อาจารย์และข้าราชการเกษียณ ศิษย์ปัจจุบันและอาจารย์ปัจจุบันที่ยังจงรักภักดี เราพอจะทำอะไรบ้างได้ไหม

อย่าให้มหาวิทยาลัยของเราตกต่ำไปกว่านี้เลยนะคะ”

‘พี่เต้’ ชำแหละ ‘รธน.ฉบับคณะก้าวหน้า’ ก๊อปปี้ญี่ปุ่นร่างโดยมะกัน เน้นชงให้ ‘ลด-ยกเลิก-ตัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์’

เมื่อไม่นานนี้ ผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่ง ชื่อ ‘wakeupthailand’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอของ ‘นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์’ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ที่ออกมาพูดถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญของคณะก้าวหน้า โดยในคลิประบุว่า…

“ผมได้มาแล้วครับ ต้นฉบับการแก้ไขรัฐธรรมนูญของคณะก้าวหน้า โดยมอบหมายให้พรรคก้าวไกลเป็นคนดําเนินการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้คล้ายๆ ประเทศญี่ปุ่น คือเอารัฐธรรมนูญฉบับที่สหรัฐอเมริกาให้ประเทศญี่ปุ่นไปทํา มาให้เราใช้ เป็นการลอกแบบรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นมาให้รัฐบาลไทยทํานั่นเองครับ”

“รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี 2560 หมวดที่ 2 พระมหากษัตริย์ ในมาตรา 6 คือ “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดมิได้” อันนี้คือมาตรา 6 ของเก่านะครับ ส่วนในฉบับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดมาตรา 2 ก็คือเขาให้ยกเลิกนะครับ ยกเลิกหมวดพระมหากษัตริย์ทั้งหมดเลย ยกเลิกตั้งแต่มาตรา 6 ถึง 24 แล้วเขียนมาตราใหม่

ในมาตราเก่าคือ “พระมหากษัตริย์ทรงดํารงไว้เป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ กล่าวหาฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ทางใดมิได้” จะขอแก้ไขเป็น “พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทยและทรงเป็นกลางทางการเมือง”

อันนี้คือลอกแบบรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นมาเลย แต่รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นร่างโดยสหรัฐอเมริกานะครับ และอย่าลืมว่าญี่ปุ่นเขาตกเป็นเมืองขึ้นของอเมริกานะครับ มาตรา 8 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ใช้อยู่ตอนนี้คือ “พระมหากษัตริย์ทรงดํารงตําแหน่งจอมทัพไทย” ในรัฐธรรมนูญของฉบับนายปิยบุตรนั้นไม่ได้เขียนไว้ อ่านดีๆ นะครับ ทุกท่านสามารถเข้าไปดาวน์โหลดเอกสารฉบับนี้ได้ที่เพจเฟซบุ๊กของคณะก้าวหน้า หรือสามารถไปดาวน์โหลดได้ที่เฟซบุ๊กส่วนตัวของนายปิยบุตรนะครับ”

“ส่วนมาตรา 7 ในหมวดของการปฏิรูปพระมหากษัตริย์ ในส่วนของฉบับอาจารย์ปิยบุตร ฉบับคณะก้าวหน้า ฉบับก้าวไกล ทั้งหมดคืออันเดียวกัน ซึ่งเขาได้ระบุไว้ว่า “การกระทําของพระมหากษัตริย์ทั้งปวง ที่เกี่ยวกับกิจการของรัฐฯ ต้องได้รับคําแนะนําและความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรี รัฐมนตรีแล้วแต่กรณี” นั่นหมายความว่า ในรัฐธรรมนูญฉบับของปิยบุตร คณะก้าวหน้านั้น บอกว่า “พระมหากษัตริย์ ต้องฟังคําสั่ง สส. ต้องฟังคําสั่งรัฐมนตรี ต้องฟังคําสั่งคณะรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี”

นั่นหมายความว่า รัฐธรรมนูญของฉบับญี่ปุ่น ลอกแบบมาทั้งหมดเลยนะครับ ยกเลิกมาตรา 6 ถึงมาตรา 24 คือหมายความว่า ยกเลิกมาตรา 11 ถึงมาตรา 14 ไปเลย กล่าวคือในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของคณะก้าวหน้านี้ จะไม่มีองคมนตรีแล้ว ยกเลิกองคมนตรีไปทั้งหมดเลยนะครับ และในวรรคสองของมาตรา 7 ของฉบับนายปิยบุตรนั้น คือ ‘ตัดพระราชอํานาจ’ ที่พระมหากษัตริย์ไทย เคยใช้ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 คือการใช้อํานาจผ่านนิติบัญญัติบริหารตุลาการ ตั้งแต่ 2475 จนถึง 2539 แต่พอ 2540, 2550 และ 2560 นั้น พระมหากษัตริย์ทรงใช้อํานาจผ่านนิติบัญญัติบริหารตุลาการ และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญนะครับ เพราะฉะนั้น ฉบับของนายปิยบุตรจะตัดอํานาจในส่วนนั้นทั้งหมดเลยนะครับ”

“ส่วนอีกอันนึง ซึ่งเราไม่เคยมีในรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2475 คือก่อนเข้ารับหน้าที่ พระมหากษัตริย์ต้องปฏิญาณตนในสภาผู้แทนราษฎร คือต้องทําเหมือนกับองค์จักรพรรดิญี่ปุ่นนะครับ ซึ่งองค์จักรพรรดิญี่ปุ่นถูกสหรัฐอเมริกายึดอํานาจไปหมดแล้ว คนละแบบกันกับประเทศไทยนะครับ แต่คนกลุ่มนี้ ไปเรียนเมืองนอกมา พอไปเรียนเมืองเมืองนอก โดยเฉพาะประเทศฝรั่งเศส นิสัยก็จะเหมือนกับพวกจอมพล ป.พิบูลสงคราม, พระยาพหลพลพยุหเสนา, พระยาฤทธิอัคเนย์ หรือนายปรีดี พนมยงค์กันหมดเลย ก็เลยจะเอารัฐธรรมนูญฉบับญี่ปุ่นนี้มาเป็นต้นแบบเพื่อใช้ในประเทศไทยนะครับ”

“ต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า พระมหากษัตริย์ของประเทศไทยนั้น ไม่เหมือนกับพระมหากษัตริย์ของประเทศอื่นๆ ประเทศของเรายังไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นใครเลย ถ้าเราไม่มีล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 แล้วเราจะเหลือแผ่นดินไหม ถ้าเราไม่มีรัชกาลที่ 5 เราคงปกครองด้วยระบอบสาธารณรัฐ เป็นคอมมิวนิสต์ไปแล้วนะครับ เราคงไม่ได้มีประเทศไทยที่เข้มแข็งเหมือนในปัจจุบันนี้”

“พรรคการเมืองแบบพรรคก้าวไกล คือเขาเกิดมาเพื่ออะไร? เพื่ออเมริกาหรือเปล่า? เกิดมาเพื่อดําเนินการตามนโยบายของอเมริกาที่เคยทํากับญี่ปุ่นหรือไม่? การแก้ไขหมวด 1 หมวด 2 และหมวด 15 จะกระทําได้ตามรัฐธรรมนูญนั้น ต้องผ่านการประชามติของประชาชน 65 ล้านคนก่อนนะครับ เพราะว่ามีหลายเรื่องที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงหมดแบบไม่มีชิ้นดีเลยนะครับ”

‘วิษณุ’ ชี้!! หาก ‘ก้าวไกล’ จะเป็นผู้นำฝ่ายค้าน ‘หมออ๋อง’ ต้องไขก๊อกรองประธานสภา

(8 ส.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน เนื่องจากรัฐธรรมนูญระบุห้ามไม่ให้ สส.ในพรรคการเมืองที่มีสมาชิกเป็นรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎรและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรดำรงตำแหน่งดังกล่าว ว่า แม้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลจะถูกหยุดปฎิบัติหน้าที่ แต่ยังไม่ถือว่าพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน จึงยังแต่งตั้งไม่ได้ ตอนนี้ต้องรอให้รู้ก่อนว่า พรรคไหนเป็นพรรคร่วมรัฐบาลบ้าง เนื่องจากผู้นำฝ่ายค้านต้องมาจากพรรคที่ไม่ได้ร่วมรัฐบาล และต้องเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดในฝ่ายค้าน

เมื่อถามถึงกรณีของนายปฏิพัทธ์ สันติภาดา สส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ที่เป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ทำให้พรรคก้าวไกลเป็นผู้นำฝ่ายค้านไม่ได้ เนื่องจากแย้งกับรัฐธรรมนูญ นายวิษณุ กล่าวว่า ถ้าจะต้องเป็นผู้นำฝ่ายค้านก็ต้องลาออกจากตำแหน่งรองประธานสภาฯ

เมื่อถามว่า หากนายพิธาต้องหลุดจาก สส. พรรคก้าวไกลต้องเปลี่ยนหัวหน้าพรรคใช่หรือไม่ นายวิษณุ ยอมรับว่าใช่

เมื่อถามว่า การที่ยังไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ทำให้หลายฝ่ายกังวลเรื่องปีงบประมาณที่จะล่าช้าออกไป นายวิษณุ กล่าวว่า ก็น่ากังวล เพราะปกติในช่วงนี้งบประมาณปี 67 จะเข้าสภาฯ จนกระทั่งจวนจะพิจารณาเสร็จอยู่แล้ว แต่การที่ยังไม่มีรัฐบาลใหม่ ทำให้ไม่มีคนมาทำงบประมาณ และกว่าจะมีรัฐบาลใหม่เข้ามา สมมุติได้รัฐบาลใน ก.ย. กว่าจะทำงบประมาณได้ต้องแถลงนโยบายให้เสร็จก่อน อาจจะอยู่ในช่วงปลายก.ย.หรือต้น ต.ค. แล้วต้องใช้เวลาอีก 1 เดือนในการทำงบประมาณ ทำให้งบประมาณ ปี 67 เข้าสภาประมาณ พ.ย. - ธ.ค. แล้วต้องใช้เวลาอยู่ในสภาอีก 3 เดือน จังหวะนั้นจะพอดีกับการทำงบประมาณในปี 68 ทำให้งบประมาณสองปีซ้อนกัน เมื่อถามว่า มีการประเมินหรือไม่ว่าจะทำให้เกิดความเสียหายมากน้อยเพียงใด นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ เพราะไม่ได้ประเมิน ต้องให้ภาคเอกชนเขาประเมินแล้วกัน

‘ภูมิธรรม’ ปัดขอก้าวไกลช่วยโหวตเลือกนายกฯ มั่นใจ มีเสียงเพียงพอ ลั่น!! ขอให้รอดูผลวันจริง

(10 ส.ค. 66) ที่รัฐสภา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทยไปขอเสียงพรรคก้าวไกลให้ช่วยโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เพราะไม่มั่นใจเสียงสนับสนุนของ สว.ว่าจะได้ตามจำนวนหรือไม่ ว่า…

“ไม่ใช่ครับ เสียงมีพอ พร้อมทุกอย่าง ขอให้รอดูในวันโหวตเลือกนายกฯ ซึ่งต้องรอหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และกำหนดวันประชุมร่วมรัฐสภาอีกครั้ง โดยให้รอดูผลการโหวตในวันนั้น”

เมื่อถามว่าการไปเชิญพรรคก้าวไกล จะทำให้พรรคร่วมรัฐบาลอื่นเกิดความระแวงหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวย้ำว่า ขอให้รอดูผลโหวต

ส่วนกรณีนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความตอบโต้นายภูมิธรรม ด้วยข้อความที่ค่อนข้างรุนแรง ถือเป็นการกระทบกระทั่งกันหรือไม่นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า “ก็เป็นนานาทัศนะของแต่ละคน”

เมื่อถามว่า นางอมรัตน์ยังเป็นน้องที่น่ารักอยู่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า “ก็เหมือนเวลาเราบอกกับเด็กตัวเล็กๆ ว่า น่ารักน่าชัง”

‘สส.โตโต้’ ชงสภาฯ ตั้ง กมธ. สอบสลายม็อบสามนิ้ว สืบหาข้อเท็จจริงกรณี จนท.ใช้กำลังในการควบคุมฝูงชน

(10 ส.ค. 66) นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ ‘โตโต้’ สส.กทม. พรรคก้าวไกล อดีตหัวหน้าการ์ดวีโว่ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า…

“โตโต้ เอาจริง เสนอสภาฯ ตั้ง กมธ.วิสามัญ ตรวจสอบมาตรการสลายการชุมนุมที่ผ่านมา

นายปิยรัฐ จงเทพ ผู้แทนราษฎร เขตพระโขนง บางนา พรรคก้าวไกล ได้ยกร่างญัตติเสนอขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งกรรมาธิการวิสามัญ ชื่อ “คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณามาตรการควบคุมฝูงชน และแสวงหาข้อเท็จจริงการสลายการชุมนุมอัน เนื่องมาจากเหตุการณ์การชุมนุมของเยาวชน นิสิต นักศึกษา และประชาชน ตั้งแต่ พ.ศ. 2563 ถึง พ.ศ. 2565”

โดยวัตถุประสงค์ เพื่อคณะกรรมาธิการชุดนี้จะได้ทำหน้าที่แสวงหาข้อเท็จจริงในกระบวนการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้กำลังสลายการชุมนุมนับครั้งที่ถูกรายงานไว้กว่า 66 ครั้ง อันนำมาสู่การสูญเสีย บาดเจ็บ และมีประชาชนถูกดำเนินคดีนับพันราย

หวังว่าสิ่งที่จะได้นำมาถกแถลงในคณะกรรมาธิการชุดนี้ จะมีทั้งข้อเท็จจริง ข้อมูลเชิงลึก แผนปฏิบัติการ และขั้นตอน มาตรการควบคุมฝูงชนต่างๆ เพื่อให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้บทสรุปร่วมกัน และถอดเป็นรายงานเสนอต่อสภาฯ ต่อไป

การเสนอญัตติตั้ง กมธ. ครั้งนี้อยู่ในขั้นตอนการขอรายชื่อ สส. จำนวน 25 คน เพื่อลงนามสนับสนุน ซึ่งขณะนี้ได้มี สส.พรรคก้าวไกลลงนามครบแล้ว และจะนำเสนอส่งสภาฯ พิจารณาบรรจุญัตติตามขั้นตอนต่อไป”

วิจารณ์สนั่น!! ‘สส.กทม.ก้าวไกล’ ต่อยคู่กรณีกลางร้านอาหาร ก่อนมีคลิปเผยความจริงอีกแง่ จุดเริ่มต้นของเหตุทะเลาะวิวาท

(12 ส.ค. 66) ดร.แทนคุณ​ จิตต์​อิสระ​รักษา​การ​ประธาน​คณะกรรมการ​ส่งเสริม​สิทธิ​มนุษยชน​และ​ความ​เสมอภาค​ระหว่าง​เพศ​พรรค​ประชา​ธ​ิ​ปัตย์​กล่าว​ถึง​กรณี​มีคลิปการก่อเหตุ​ทำร้ายร่างกาย​ประชาชน​ของ สส.กทม.เขต 3 ยานนาวา-บางคอแหลม คือ นายจรยุทธ์​ จตุรพรประสิทธิ์​ และอาจมีอดีต สส.คนดัง อย่างนายปิยะบุตร​ แสงกนกกุล ร่วมในที่เกิดเหตุ​โดยไม่ห้ามปรามด้วยหรือไม่ เป็น​การแสดงให้เห็น​ถึงความด้อย​คุณ​ภาพในการคัดสรรคนมาเป็น​ สส.ของพรรคก้าวไกลที่ผลิตซ้ำเรื่อง​เลวร้าย​ผิดกฎหมาย​ผิดจริยธรรม​อย่างต่อเนื่อง​ไม่ว่างเว้นความกร่าง ก้าวร้าว​ ที่ทำให้สังคมเอือมระอา ทั้งที่กระทำโดยผู้มีตำแหน่ง​ทางการเมือง​และเครือข่ายกลุ่มการเมือง ที่เป็นแขนขาในการเคลื่อนไหว​ ใช้ความรุนแรง​ในต่างกรรมต่างวาระ ยิ่งสะท้อนภาพความตกต่ำของการเมืองไทยที่เน้นการสร้างภาพโดยใช้การตลาดนำการเมือง หลอกลวงเชิงนโยบาย​ ประดิษฐ์​วาทกรรมสวยหรูให้ความหวังประชาชน​ว่า เป็น​คนรุ่นใหม่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง​ให้ประเทศไทย​ไม่เหมือนเดิม แต่เนื้อในเน่าเฟะ

เพิ่มเติมคือ คนเหล่านี้​เต็มไปด้วยการดูถูกดูแคลน​ด้อยค่าผู้อื่นอย่างไร้หลักการเคารพในสิทธิ​เสรีภาพ​ของคนเห็นต่างและเมื่อกระทำความผิดและกลับนิ่งเฉยไม่มีการแสดง​ความรับผิดชอบ​ใดๆต่อสาธารณชน​เสมือน​หนึ่ง​ประชาชน​เป็นของตาย ไม่ต้องเห็นหัวไม่มีความหมายใดๆ ทั้งกรณีการใช้เด็กเยาวชนเป็น​เครื่องมือ​ทางการเมือง สส.ทำร้ายร่างกายผู้หญิง การปล่อยให้มีคนกระทำผิดติดคุกมาสมัคร สส.

และล่าสุดการเมากร่างทำร้ายประชาชน​บาดเจ็บ​อีก โดยหากเชื่อมโยง​พฤติกรรม​ต่างๆ ตั้งแต่มีพรรคก้าวไกลนี้ย่อมเห็น​ได้ชัดว่า ไม่ได้​มีคุณงามความดีใดๆ ต่อสังคม สร้างความแตกแยกและวุ่นวาย​อย่างต่อเนื่อง มุ่งบ่อนเซาะทำลายวัฒนธรรม​ประเพณี​อันดีงามของสังคม​ไทย​ทั้งความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเคารพ​ความกตัญญู​ต่อบุพการี​ผู้มีพระคุณ​ และการรับผิด​ชอบทางการเมือง​เห็นได้จากกรณีแกนนำพรรคบางคนออกมาปฏิเสธ​ไม่รู้จักไม่เกี่ยว​ข้องกับกลุ่มการเมืองที่เคลื่อนไหว​ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไปช่วยเหลือ​สนับสนุน​อยู่​ตลอด

จึงอยากขอเตือนประชาชน​และเยาวชน​ไทยให้ระวังอย่าหลงเชื่อ​ เสพติดและเลียนแบบพฤติ​กรรมความรุนแรง​จากพรรคการเมืองดังกล่าว​เพราะถึงเวลาถูกดำเนินคดี​พวกเขาจะตัดหางปล่อยพวกคุณติดคุกตามลำพังอย่างแน่นอน​ โดยตนจะนำเรื่องดังกล่าว​ไปร้องสอบจริยธรรม​ต่อ ป.ป.ช.ต่อไป

อย่างไรก็ตามจากคลิปที่เป็นประเด็นดังกล่าว ยังมีข้อเท็จจริงอีกด้าน โดยได้มีช่องติ๊กต็อก ชื่อ ‘sparkupdate’ ออกมาบอกเล่าถึงสาเหตุและจุดเริ่มต้นของการทะเลาะวิวาทในครั้งนี้ โดยระบุว่า…

เมื่อวันที่ 11 ส.ค. 66 เวลาประมาณตี 2 มีเหตุรับแจ้งว่าการทำร้ายร่างกายกัน ภายในร้านอาหารย่านเอกมัย 12 เขตวัฒนา กรุงเทพฯ เมื่อตํารวจไปถึงที่เกิดเหตุ ก็พบคู่กรณี 2 ฝ่ายยืนเคลียร์กันอยู่บริเวณหน้าร้าน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ นายจรยุทธ จตุรพรประสิทธิ์ หรือ ‘ต้นกล้า’ สส.ของพรรคก้าวไกล พร้อมกับคู่กรณี โดยทางตํารวจได้เข้าไปพูดคุยทําความเข้าใจ และทั้ง 2 ฝ่ายได้มีการขอโทษกัน โดยไม่ได้ติดใจเอาความ หลังจากนั้นก็ได้แยกย้ายกันไป ไม่ได้เกิดการแจ้งความกันเกิดขึ้นแต่อย่างใด

โดยสาเหตุของเรื่องราวการทะเลาะวิวาททั้งหมด เกิดจากการที่ชายคู่กรณี ได้ใช้เข่ามาโดนที่หลัง และได้เข้ามาบีบที่ต้นคอทางด้านหลังของผู้หญิงที่เป็นเพื่อนของ สส.ต้นกล้า โดยคู่กรณีได้ใช้เข่ามาโดนที่หลังของผู้หญิงอย่างแรง จนทำให้ผู้หญิงคนดังกล่าวทรุดไปที่โต๊ะ ซึ่ง สส.ต้นกล้า ก็พยายามพูดดีๆ และได้ทำการว่ากล่าวตักเตือนไป แต่จากนั้น สส.ต้นกล้าได้ถูกคู่กรณีตบเข้าที่ใบหน้า หลังจากนั้นจึงเกิดความชุลมุนวุ่นวายขึ้น โดยที่สาเหตุคือ สส.ต้นกล้าได้ออกมาปกป้องเพื่อนผู้หญิงที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน จนเกิดเหตุทะเลาะวิวาทกันขึ้น หลังจากนั้น ก็ได้มีการพูดคุย ปรับความเข้าใจกันจนลงตัว

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังคงต้องรอความจริงจากปากผู้อยู่ในเหตุการณ์ต่อไป ส่วนประชาชนจะตัดสินใจเช่นไร ก็ขอให้อยู่บนหลักฐานที่รอบด้านด้วย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top