Saturday, 18 May 2024
พรรคก้าวไกล

'พรรคอนาคตไกล' อัปเดตสถานที่ทำการพรรค ย่านถนนสุโขทัย พร้อมยืนยัน!! ไม่เกี่ยวกับพรรคการเมืองใด-ไม่เป็นนอมินีของใคร

(8 ก.ย.66) มีความคืบหน้าพรรคการเมืองน้องใหม่เกิดขึ้นพร้อมกระแสบางพรรคจะถูกยุบพรรค อีกฟากหนึ่งของรัฐบาลเศรษฐา 1 รัฐบาลผสมที่จะมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 ก่อนที่จะบริหารราชการแผ่นดิน เป็นไปตามนโยบายและไม่ขัดต่อยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

อีกฟากหนึ่งกระแสการรวบรวมสมาชิกก่อตั้งพรรคอนาคตไกลพร้อมเตรียมการเลือกตั้งใหญ่สามัญครั้งแรก จะเห็นรูปก่อร่างสร้างตัวเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ที่ชื่อว่า ‘พรรคอนาคตไกล’ แน่นอนการเกิดขึ้นพร้อมกับการตั้งรัฐบาลและอีกฟากฝั่งกระแสยุบพรรค ซึ่งแกนนำผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตไกล ยืนยันว่า ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองใดและไม่เป็นนอมินีของบุคคลใด

ขณะเดียวกัน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ต่างออกมาปฏิเสธว่า พรรคอนาคตไกล ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคก้าวไกลและอดีตพรรคอนาคตใหม่ แต่สิทธิในการตั้งพรรคการเมืองเป็นไปตามกฎหมายพรรคการเมือง

กระแสร้อนแรงของกลุ่มอนาคตไกล ที่จะพัฒนาจดทะเบียนกับนายทะเบียนพรรคการเมือง เป็น

‘พรรคอนาคตไกล’ หากมองในชื่อและโลโก้พรรค สีของโลโก้พรรค ‘อนาคตไกล’ ภาษาไทยตัวย่อ อนก. ภาษาอังกฤษว่า FFT โดยใช้โลโก้พรรคการเมือง เป็นรูปอินฟินิตี้ มีคำว่า ‘อนาคตไกล’ อยู่ในวงล้อม เป็นเส้นสีแดงผสมสีส้ม หมายถึง เป็นพรรคของประชาชน อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน และถูกจุดกระแสโดยปล่อยหนังสือแจ้งเตรียมการจัดตั้งออกมาทั้งผู้ประสงค์ดีและผู้สนับสนุน เป็นการจงใจอย่างยิ่งในทางการเมือง ไม่ต่างจากการโยนหินถามทางในทางการเมืองของนักการเมืองคนรุ่นใหม่ ที่พร้อมจะสู้ในสนามการเลือกตั้งในสมัยหน้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการเจาะลึกพบว่า กลุ่มอนาคตไกลได้ใช้สถานที่ตั้งย่านถนนประวัติศาสตร์ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ย่านถนนสุโขทัย เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร เป็นสถานที่บัญชาการในการกุมบังเหียนของผู้นำระดับสูงของแกนนำพรรคอนาคตไกล ล่าสุดกำลังรีแบรนด์สถานที่ตั้งพรรค สำนักงานใหญ่ ห้องทำงาน ห้องประชุม คืบหน้าไปแล้ว โดยใช้สถานที่ตั้งพรรคการเมืองแห่งหนึ่ง กำลังตกแต่งภายในห้องประชุม เตรียมความพร้อมทุกด้าน ก่อนการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรก

จากการเปิดเผยของแกนนำระดับสูง โดยไม่เปิดเผยชื่อว่า เดิมจะใช้สถานที่อาคารทาวเวอร์แห่งหนึ่ง ย่านสุขุมวิท แต่เนื่องจากผู้บริหารระดับสูงเดินทางไปมาไม่สะดวกเพราะจราจรติดขัด จึงเลือกสถานที่บัญชาการเป็นสถานที่ตั้งพรรคอนาคตไกลแห่งใหม่ ย่านถนนสุโขทัย เขตดุสิต ด้วยความเชื่อในโหราศาสตร์ดวงเมือง ในสถานที่มั่นแห่งใหม่ เป็นมงคลแก่พรรคอนาคตไกล ใกล้สถานที่ราชการ ใกล้ทำเนียบรัฐบาล และใกล้อาคารรัฐสภา สมาชิกพรรค แกนนำ สะดวกเดินทางเข้าพรรค ส่วนเสื้อพรรคได้ออกแบบเสร็จแล้ว อยู่ระหว่างโรงงานผลิตเสื้อเพื่อให้ทันต่อการจัดประชุมใหญ่

‘สาธิต’ ชวน ‘ก้าวไกล’ ไม่สาดโคลน หาเสียงเลือกตั้งซ่อมระยอง หลังพบการปราศรัยบนเวที ‘ด่าเอามัน’ มากกว่า ‘มาหาเสียง’

(9 ก.ย. 66) นายสาธิต ปิตุเตชะ รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘สาธิต ปิตุเตชะ’ กรณีที่มี สส.พรรคก้าวไกล ปราศรัยบนเวที สาดโคลนใส่พรรคคู่แข่ง ในการหาเสียงเลือกตั้งซ่อม สส.เขต 3 จังหวัดระยอง โดยระบุว่า…

มาหาเสียง หรือมาด่าเอามัน

คือแทนที่จะมานำเสนอคุณสมบัติผู้สมัครของตัวเอง ดี เด่น มีผลงานอะไรมา และมีความพร้อมที่จะมาเป็นผู้แทนคนระยอง เขต 3 อ.แกลง อ.เขาชะเมา และมีนโยบาย พัฒนา แก้ไขปัญหาอะไร อย่างไร ให้กับคนระยองเขต 3

แต่ขึ้นเวทีปราศรัย ด่าเอามันอย่างเดียว แขวะไปที่ท่านอนุทิน มท.1 บ้าง เล่นคำบอกว่าหมอบัญญัติ และร้านกาแฟ โรงเลื่อย ซื้อเสียง โดยพูดลอยๆ ไม่ได้มีหลักฐาน และไม่ยื่น กกต.บ้าง ด่ารัฐบาลที่จัดตั้งมีนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีไปแล้วบ้าง

พฤติกรรมแบบนี้ไม่ใช่คนรุ่นใหม่ครับ เป็นแบบเก่าสุดๆ ครับ ถือว่ายังโชคดี ที่ไม่ได้ไปเป็นรัฐบาล หรือนายกรัฐมนตรีนะครับ ถ้าไปเป็นแล้ว เวลาไปเจรจาความเมืองระหว่างประเทศ กับบรรดามหาอำนาจ ผมไม่รู้ว่าประเทศไทยจะมีความเสี่ยงที่จะเสียหายมากน้อยแค่ไหน

ระดมสมอง!! หาเหตุให้ 'หมออ๋อง' ออกจากก้าวไกลอย่างไร้ข้อกังขา ช่วยรักษาไว้ทั้งสองตำแหน่ง 'ผู้นำฝ่ายค้าน-รองประธานสภาฯ'

พลัน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถูกศาลรัฐธรรมนูญ สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ สส.แต่ไม่ได้สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าพรรค ยังเป็นหัวหน้าพรรคต่อไปได้ 

เพียงแต่เมื่อถูกห้ามปฏิบัติหน้าที่ ก็จะเป็นผู้นำฝ่ายค้านไม่ได้ตามกฎหมายกำหนด เพราะผู้นำฝ่ายค้านต้องเป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน (ไม่มีตำแหน่งในฝ่ายบริหาร และสภา) 

เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านไว้ พิธา จึงต้องลาออกจากหัวหน้าพรรคก้าวไกล เพื่อเปิดทางให้เลือก สส.คนใหม่มาเป็นหัวหน้าพรรค จะได้เป็นผู้นำฝ่ายค้าน

แต่ต้องติดต่อกับข้อกำหนดกฎหมาย ผู้นำฝ่ายค้าน จะต้องไม่มีตำแหน่งในสภา เช่น ประธาน หรือรองประธานสภา จะทำอย่างไรกับ หมออ๋อง-ปดิพัทธ์ สันติภาดา ที่นั่งเป็นรองประธานสภาฯ อยู่ในนามพรรคก้าวไกล

“เราต้องรักษาไว้ทั้งสองตำแหน่ง เพราะเราสูญเสียมามากแล้ว” ความคิดหนึ่งแว่บขึ้นมาในสมองของนักการเมืองระดับอ๋อง

ว่าแล้ว จึงน่าจะใช้มติพรรคขับหมออ๋องออกจากพรรค ไปหาพรรคใหม่สังกัด และยังเป็นรองประธานสภาอยู่ได้ หัวหน้าพรรคก้าวไกลคนใหม่ก็เป็นผู้นำฝ่ายค้านได้ด้วย รักษาไว้ทั้งสองตำแหน่ง

เพียงแต่จะหาเหตุผลอะไรมาอธิบายกับสังคมในการขับหมออ๋องออกจากพรรค ในเมื่อหมออ๋องยังไม่ทำผิดอะไรต่อพรรค ไม่ได้ทำอะไรให้พรรคเสียหาย

มีคนพยายามอธิบายว่า ก็อดีตเคยมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อ สส.กลุ่ม รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ต้องการออกจากพรรคพลังประชารัฐ เพื่อตั้งพรรคใหม่ พรรคเศรษฐกิจไทย ก็เสนอให้พรรคมีมติขับพวกเขาออกจากพรรคพลังประชารัฐ และในที่สุดพรรคพลังประชารัฐก็มีมติขับ สส.กลุ่ม รอ.ธรรมนัสออกจากพรรคจริงๆ และไปขับเคลื่อนพรรคเศรษฐกิจไทย

เหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้จึงน่าจะเกิดกับหมออ๋อง-พรรคก้าวไกล เพียงแต่พรรคก้าวไกลต้องหาเหตุหาผลไปอธิบายกับสังคม กับการทำการเมืองแนวสร้างสรรค์ แนวก้าวหน้า แต่การทำแบบที่ว่า เป็นการทำแบบ 'ศรีธนนชัย' เพื่อรักษาไว้ทั้งตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน และตำแหน่งรองประธานสภา

ใครจะเป็นผู้นำฝ่ายค้าน ให้จับตาดูการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ จะเป็นใคร จะเป็นพริษฐ์ วัชรสินธุ์, วิโรจน์ ลักขณาอดิศร, รังสิมันต์ โรม, ศิริกัญญา ตันสกุล หรือไม่หรือจะเป็นใคร

แต่สำหรับหมออ๋อง มีข่าวแพลมออกมาแล้วว่า เมื่อถูกขับออกจากพรรคก้าวไกล ก็จะไปสังกัดพรรคเป็นธรรม หรือไม่ก็พรรคสามัญชน แต่มีความเป็นไปได้กับพรรคเป็นธรรมมากกว่า

ที่มา: นายหัวไทร

‘ฮิวแมนไรท์ฯ’ โดดป้อง ‘ปีใหม่’ ชี้ เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพ หลังถูกศาลเตี้ยคุกคาม จี้!! ‘ก้าวไกล’ อย่าเพิกเฉยต่อการล่าแม่มด

(20 ก.ย. 66) จากกรณี ‘ปีใหม่ ศิริกุล’ โพสต์เฟซบุ๊ก ‘ปีใหม่ ปีใหม่’ ทำจดหมายเปิดผนึกถึง คุณชัยธวัช ตุลาธน รักษาการเลขาธิการพรรคก้าวไกล, นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่ 1, นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ขอความเป็นธรรม และ ขอความคุ้มครองจากการถูกนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ที่ปรึกษารองประธานสภาคนที่1 ถูกคุกคามไล่ล่าแม่มด

นายสุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาประจำประเทศไทยของฮิวแมนไรท์วอตช์ โพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ @sunaibkk ระบุว่า…

‘สิทธิมนุษยชน’ ไม่มีสี ไม่มีฝ่าย #ก้าวไกล @MFPThailand ไม่ควรเพิกเฉยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ #ปีใหม่ ซึ่งละเมิดหลักการเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพที่พรรคยึดถือ การใช้ศาลเตี้ยล่าแม่มดคุกคามกันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และผิดกฎหมาย ถ้าใครได้รับความเสียหายจากสิ่งที่ปีใหม่เขียนก็ควรแจ้งความดำเนินคดีตามสัดส่วนที่เหมาะสม ไม่ใช่ทำแบบนี้ (อ่านรายละเอียดโพสต์ของปีใหม่ขอความเป็นธรรมและความคุ้มครอง >> https://facebook.com/100009093048764/posts/pfbid05yRpUCjxo25WC6WdSQ7C3PMKKgvowJW9t31i8jzA3CfTxGw89ysuMd4Suya9Dabnl/?mibextid=I6gGtw <<)

ฮือฮา!! ‘ป.ป.ช.’ เปิดบัญชีทรัพย์สิน ‘สส.โตโต้’ พบ 3 ปี มีรถยนต์ 5 คัน-ที่ดิน 3 ล้าน-ตึกแถวในเมือง

(22 ก.ย. 66) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีเข้ารับตำแหน่ง สส. เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 66 จำนวน 91 ราย บัญชีที่น่าสนใจในส่วนของ สส.พรรคก้าวไกล โดย นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ ‘สส.โตโต้’ แจ้งว่ามีสถานภาพโสด มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 6,599,577 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 3,410,171 บาท โดยในส่วนของทรัพย์สินประกอบด้วย เงินฝาก 22,577 บาท ที่ดิน 3,000,000 บาท ซึ่งเป็นที่ดินในอำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 2,500,000 บาท เป็นตึกแถว 3 ชั้น ย่านบางพลัด กรุงเทพฯ ยานพาหนะ 1,077,000 บาท

นายปิยรัฐ แจ้งว่า เป็นรถยนต์ 5 คัน ประกอบด้วย
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน ยี่ห้อโฟล์ค ได้มาเมื่อเดือน พ.ย. 2563
- รถยนต์ส่วนบุคคล ยี่ห้อโตโยต้า ได้มาเมื่อเดือน ม.ค. 2564
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ยี่ห้อมินิ รุ่นคูเปอร์ ได้มาเมื่อเดือน มิ.ย. 2566
- รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อโตโยต้า ได้มาเมื่อ ก.ย. 2564
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ไม่เกิน 7 คน ยี่ห้อโตโยต้า ได้มาเมื่อ พ.ย. 2563 จักรยานยนต์ 2 คัน ประกอบด้วยจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่น แอร์เบลด และฮอนด้าคลิก

‘ก้าวไกล’ กังวล ‘อานนท์’ โดนคุก 4 ปี ชี้!! ปัญหาเกิดจาก 112 จ่อยื่นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม-สะสางคดีทางการเมืองทั้งหมด

‘ก้าวไกล’ กังวล ‘ทนายอานนท์’ ถูกตัดสินจำคุก 4 ปี ชี้ ปัญหามาจากการใช้ ม.112 ปิดปากประชาชนคนเห็นต่าง เตรียมยื่นร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรม-สะสางคดีความทางการเมืองทั้งหมดในห้วงความขัดแย้ง เรียกร้อง ‘เศรษฐา’ เดินหน้าบรรเทาการใช้กฎหมายละเมิดสิทธิเสรีภาพ

(26 ก.ย. 66) พรรคก้าวไกลและนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็น กรณีนายอานนท์ นำภา นักเคลื่อนไหว ถูกศาลอาญาตัดสินจำคุก 4 ปี ในคดีความผิดตามมาตรา 112 จากการปราศรัยหมิ่นเบื้องสูง ว่า…

“คดี 112 ของอานนท์ นำภา สะท้อนปัญหาการใช้กฎหมายละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชน ที่รัฐมิอาจเพิกเฉยอีกต่อไป

วันนี้ ศาลอาญา รัชดาฯ ได้พิพากษาจำคุกอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนและนักกิจกรรมทางการเมือง เป็นเวลา 4 ปี ด้วยความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากการปราศรัยเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563

พรรคก้าวไกลกังวลอย่างยิ่งต่อคำพิพากษานี้ เพราะนี่เป็นอีกครั้งที่พลเมืองไทยถูกตัดสินจำคุกจากการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง อันเป็นเสรีภาพที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และการปราศรัยของอานนท์ ก็เป็นการพูดหลักการและเหตุผล ไม่ควรถือเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท และไม่ได้เป็นการแสดงความ ‘อาฆาตมาดร้าย’ ต่อองค์พระมหากษัตริย์

ตลอดเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลทุกรัฐบาลพยายามไม่รับรู้ว่ากฎหมาย 112 มีปัญหา แต่นับวัน ปัญหานี้ยิ่งเด่นชัดขึ้น และการใช้ 112 ปิดปากผู้เห็นต่าง กำจัดศัตรูทางการเมือง กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สังคมเริ่มตั้งคำถามถึงบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์กับการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงวันนี้ พรรคก้าวไกลเชื่อว่าประชาชนจำนวนมากตระหนักดีว่ากฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตความขัดแย้งทางการเมือง แม้ว่าผู้มีอำนาจจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม

รัฐบาลชุดใหม่บอกว่าจะสร้างความปรองดองในสังคม ซึ่งพรรคก้าวไกลเชื่อว่า สังคมไทยไม่สามารถเดินหน้าไปสู่ความปรองดองได้ โดยปราศจากการสร้างความยุติธรรมและทิ้งปมปัญหานี้ไว้ใต้พรม

ดังนั้น การเสนอปรับปรุงแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 จะยังคงเป็นภารกิจของผู้แทนราษฎรก้าวไกล เพื่อหาทางออกจากความขัดแย้งทางการเมืองด้วยกระบวนการทางประชาธิปไตยและกลไกของระบบรัฐสภา และขอยืนยันว่า การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่พรรคเสนอ จะไม่กระทบต่อพระราชสถานะขององค์พระประมุข แต่จะยังส่งเสริมความสัมพันธ์ที่มั่นคงระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนในประเทศไทยอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 จะใช้เวลานาน และไม่ใช่ภารกิจที่จะสำเร็จโดยง่าย หากไม่ได้รับความร่วมมือจากพรรคการเมืองอื่น และถึงแม้จะแก้ได้สำเร็จ ก็ยังมีประชาชนอีกจำนวนมาก ที่ถูกตัดสินจำคุกไปแล้วจากกฎหมายนี้ รวมถึงกฎหมายอื่นๆ ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือกำจัดและปิดปากผู้เห็นต่างกับอำนาจรัฐ เช่น กฎหมายอาญามาตรา 116 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์

เพราะฉะนั้น พรรคก้าวไกลจึงเตรียมยื่นร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมคดีการเมือง เพื่อชำระสะสางคดีความทางการเมืองทั้งหมดในห้วงความขัดแย้งตลอดกว่าทศวรรษที่ผ่านมา โดยมีคณะกรรมการอันประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ ทำหน้าที่พิจารณาหลักเกณฑ์การนิรโทษกรรมอย่างเป็นธรรม

สุดท้าย พรรคก้าวไกลขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ว่าสิ่งที่รัฐบาลสามารถทำได้ทันที เพื่อบรรเทาการใช้กฎหมายละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน คือการออกนโยบายสำหรับคดีการเมืองที่ยังไม่ขึ้นสู่ชั้นศาล ป้องกันไม่ให้มีการฟ้องคดีอย่างมิชอบด้วยกระบวนการและการบังคับใช้โดยใช้กฎหมายที่กลายเป็นการละเมิดเสรีภาพประชาชน ที่ผ่านมา ตำรวจและอัยการมีอำนาจในการพิจารณาสั่งไม่ฟ้องคดี หากเห็นว่าไม่เข้าข่ายความผิดตามกฎหมาย แต่เมื่อเป็นคดีความมั่นคง 112 หรือ 116 ก็มักสั่งฟ้อง ทำให้กลายเป็นภาระของประชาชนที่ต้องเสียทรัพยากรและเวลาต่อสู้ในชั้นศาล

ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่การกระทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือการคืนความเป็นนิติรัฐให้กับประเทศไทย คืนความเชื่อมั่นศรัทธาที่ประชาชนมีต่อระบบตุลาการและทุกสถาบันหลักของประเทศ เพราะความอยุติธรรมต่อคนคนหนึ่ง เท่ากับความอยุติธรรมต่อพลเมืองทุกคน”

‘สุพิศาล’ แนะ ‘นายกฯ’ ดัน ‘บิ๊กรอย อิงคไพโรจน์’ นั่ง ‘ผบ.ตร.’ ชี้!! ยึดตามหลักอาวุโส หากยังเลือกไม่ได้ ให้ใช้วิธีรักษาการแทน

(27 ก.ย. 66) ที่รัฐสภา พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะอดีตผู้บังคับการกองปราบปราม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่วันนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่จะมีการประชุมโดยมีวาระสำคัญ เพื่อเลือกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ว่า นายกฯ มีอำนาจตามมาตรา 77 ของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจแห่งชาติ โดยเลือกรองผบ.ตร. ที่มีอาวุโส ประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถ ในการสืบสวนปราบปราม ซึ่งเป็นมาตราที่บังคับให้นายกฯ ใช้ดุลยพินิจ ในฐานะผู้นำองค์กรในการคัดเลือก

พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวต่อว่า ส่วนปัจจุบันที่มีเหตุการณ์โอนย้ายถ่ายอำนาจของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่เป็นแคนดิเดต ผบ.ตร. แต่มีการตรวจค้นบ้าน และพบว่าลูกน้องมีความเกี่ยวข้องเส้นเงินเว็บพนันออนไลน์นั้น ก็เป็นเรื่องประจวบเหมาะ แต่ไม่เกินคาดเดา เพราะเป็นแคนดิเดตที่คนเฝ้ามองอยู่แล้ว ที่มีการคาดเดาว่านายกฯ จะเสนอ

อย่างไรก็ตาม วันนี้เร็วที่สุดคือการเลื่อนออกไป แต่หากจะพิจารณาต้องชี้แจงเหตุผลของบุคคลที่เลือกมา และหากให้นิ่งที่สุดคือการเลือกหมายเลข 1 จากคุณลักษณะเฉพาะ มองว่าจะไม่มีคลื่นใต้น้ำ

“เชื่อว่าจะเป็นที่ยอมรับของสังคมตำรวจ เพราะ พ.ร.บ.ตำรวจฯ ฉบับนี้ มุ่งเน้นอาวุโส ประสบการณ์ ความรู้ ซึ่งแคนดิเดตฯ คนที่ 1 มีครบถ้วนแน่นอน แต่คนอื่นๆ ก็มี อยู่ที่นายกฯ จะชี้แจงเหตุผลอย่างไร ซึ่งจะมีคณะกรรมการ 6 ตำแหน่งจะเป็นตัวชี้ จากการนำเสนอวิสัยทัศน์ของแคนดิเดต รอง ผบ.ตร. ถ้านำเสนอคนที่มีเหตุผลน้อยที่สุด นายก ก็ต้องชี้แจง และฟันธง” พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าว

เมื่อถามว่า การตั้งผบ.ตร.รอบนี้มีข้อแคลงใจเยอะ ควรต้องเลื่อนการประชุมวันนี้เพื่อเคลียร์ปัญหาก่อนหรือไม่ พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า หากประชุมคงมีผลกระทบในที่ประชุมถึงข้อครหา ดีที่สุดคือชักออกจากบัญชี และพิจารณาแค่ 3 คน แต่ถ้าไม่ชักออกแล้วต้องการดันต่อ ก็เลื่อนการพิจารณาออกไป แต่ก็มีความจำเป็นต้องเอาเบอร์ 1 มารักษาการ แต่ถ้านายกฯ ใช้อำนาจเลือกเบอร์ 4 มารักษาการ ก็จะมีรักษาการยาวเหยียดไม่ผ่านการประชุมของ ก.ตร.

“มีกระแสคลื่นใต้น้ำแน่นอน เพราะมีการเขียนคำร้อง เนื่องจากเบอร์ 1 มีสิทธิฟ้องร้องคณะกรรมการฯ ที่เกี่ยวข้องกับการร้องเรียน ซึ่งใช้เวลา 30 วัน คงรู้ผลแพ้ชนะ” พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าว

เมื่อถามว่า หากมีคลื่นใต้น้ำเป็นไปได้หรือไม่ที่จะได้ ผบ.ตร.ส้มหล่น พล.ต.ต.สุพิศาล หัวเราะ ก่อนกล่าวว่า ก็เป็นไปได้ แต่ตามสิทธิก็ถือว่าไม่ได้ส้มหล่น

เมื่อถามว่า การที่นายกฯ เป็นพลเรือนจะทำให้ตัดสินใจยากขึ้นหรือไม่ พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า เป็นพลเรือนก็ง่ายขึ้น มีความสะดวก ถ้าการพิจารณาไม่ไปตามอาณัติใคร

เมื่อถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังมีโอกาสที่จะได้เป็น ผบ.ตร.ในอนาคตหรือไม่ พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า ถ้ายังอยู่ก็ต้องได้เป็น ครั้งหน้าถ้าตั้งใจทำงาน ไม่มีข้อครหา เขาก็ต้องได้ แต่แน่นอนว่าต้องมีกระบวนการเตะตัดขาอยู่แล้ว เพราะเป็นพวกเหาะเหินเดินอากาศได้

เมื่อถามว่า มองว่าสุดท้ายการประชุมวันนี้จะเป็นอย่างไร พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า ตนอ่านเกมว่าดีที่สุดคือเบอร์ 1 ได้ ยึดตามกฎหมาย ระบบอาวุโส ความรู้ ความสามารถ ผ่านงานสืบสวนสอบสวน เบอร์ 1 จึงน่าจะเหมาะสมที่สุด เพราะอาวุโสกว่าคนอื่นๆ คลื่นใต้น้ำน้อยสุดหรือแทบจะไม่มีเลย เพราะอยู่อีกแค่ปีเดียว

‘รองอ๋อง’ รับ อยากนั่งตำแหน่งสานงานต่อ เพื่อประโยชน์ของ ปชช. โบ้ยถาม ‘ก้าวไกล’ ปมเคาะเลือก ‘ผู้นำฝ่ายค้าน-รองประธานสภาฯ’

(27 ก.ย. 66) ที่รัฐสภา นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีความชัดเจนในตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ว่า ขณะนี้พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ยังไม่ได้นัดหมายกับตนเพื่อพูดคุยเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ เราแค่รับทราบว่ามีการประชุมเรื่องนี้กันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการตัดสินใจทั้งหมดไม่ได้อยู่ที่ตน และต้องฟังทางพรรคก่อน เพราะตนยังเป็นสมาชิกของพรรคก้าวไกลอยู่ เมื่อกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่มีมติอย่างไรก็ต้องมีการพูดคุยกัน

เมื่อถามว่า ทางพรรคมีมติที่จะรับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ จะกระทบกับนายปดิพัทธ์ และต้องตัดสินใจอย่างไร นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า แน่นอน เพราะเราไม่ได้ตัดสินใจทุกอย่างตามอำเภอใจ ทุกอย่างตัดสินใจตามมติพรรค และข้อจำกัดทางรัฐธรรมนูญ ฉะนั้น ต้องหารือกันว่าทิศทางใดดีที่สุดกับประเทศ ไม่ใช่ดีที่สุดแค่ตนเอง

“ผมบอกว่าการตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของตัวผมเอง แต่เป็นการตัดสินใจด้วยการสะท้อนเสียงประชาชนให้ได้มากที่สุด และมีผลประโยชน์ให้กับประเทศให้ได้มากที่สุด” นายปดิพัทธ์ กล่าว

เมื่อถามว่า มีข่าวว่าพรรคก้าวไกลจะเก็บไว้ทั้ง 2 ตำแหน่ง โดยจะขับนายปดิพัทธ์ ไปอยู่อีกพรรค นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ตนขอฟังจากปากหัวหน้าพรรคคนใหม่ก่อน เพราะตอนนี้เรารับข้อมูลจากคนอื่น อย่างไรก็ตามการตัดใจทั้งหมดไม่ได้มีการตัดสินใจด้วยความกดดัน หรือเป็นการตัดสินใจที่ไร้ทางเลือก แต่เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานว่าเราจะขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ที่สัญญากับประชาชนไว้อย่างไร ซึ่งคงจะมีการพูดคุยกันในเร็วๆ นี้

เมื่อถามย้ำว่า ส่วนตัวอยากสืบทอดงานของรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ต่อหรือไม่ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า คิดว่างานหลายอย่างเสร็จไปแล้ว แต่อีกหลายอย่างต้องใช้เวลา โดยเฉพาะต้องทำหลังจากการส่งมอบอาคารรัฐสภาเสร็จ ตนคิดว่าต้องมีงานระยะยาวที่ตนฝันไว้ว่าอยากเห็น เพื่อสามารถขับเคลื่อนให้รัฐสภาโปร่งใส มีประสิทธิภาพ เป็นของประชาชนได้ แต่ถามว่างานระยะสั้นบรรลุผลไปแล้วหรือไม่ ก็พอมี

“ส่วนตัวการได้ทำตำแหน่งนี้ เราได้เห็นพัฒนาการ ได้เห็นงานที่เราสามารถทำได้ และดีกับประเทศด้วย ซึ่งการที่ตนบอกว่า จะทำรัฐสภาให้โปร่งใสคนที่ได้ประโยชน์ไม่ใช่ตน แต่เป็นประเทศได้ประโยชน์ ถามว่าอยากอยู่ในตำแหน่งต่อหรือไม่ อยาก แต่จะทำได้หรือไม่ได้อยู่ที่ข้อจำกัดต่างๆ” นายปดิพัทธ์ กล่าว

เมื่อถามว่า แสดงว่ายังมีเวลาตัดสินใจจนถึงสมัยประชุมสภาครั้งหน้าใช่หรือไม่ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ไทม์ไลน์ทั้งหมดอยู่ที่พรรคก้าวไกลอย่างไรก็ตาม ตนต้องคุยเรื่องนี้กับพรรคจริงๆ เพราะหากตนไม่ยอมตัดสินใจ ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านก็ไม่สามารถแต่งตั้งได้ ซึ่งเราต้องวิเคราะห์ผลดีและผลเสียให้รอบคอบ ซึ่งต้องวิเคราะห์และตัดสินใจร่วมกัน เมื่อถามว่า มองความกดดันจากวิปรัฐบาลไว้อย่างไรว่าต้องเลือกตำแหน่งเดียว นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ยังไม่มีแรงกดดันมา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปดิพัทธ์ได้สวมเสื้อผ้าไหมไทยสีม่วง ลายดอกปีบ จากจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งก่อนหน้านี้นายปดิพัทธ์เคยถูกตำหนิเรื่องการแต่งกายไม่เรียบร้อยมาแล้ว

‘โฆษกรัฐบาล’ อัด ‘ก้าวไกล’ หลังจี้ ‘เศรษฐา’ ตอบกระทู้กรณีปัญหาตำรวจ พร้อมถาม “รู้ทั้งรู้ว่านายกฯ ติดภารกิจเยือนกัมพูชา จะทำไปเพื่ออะไร?”

(28 ก.ย. 66) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แสดงความคิดเห็นกรณี นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ตำหนิ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ว่าหนีตอบกระทู้ถามสด กรณีปัญหาเกี่ยวกับตำรวจ แต่กลับไปราชการที่กัมพูชา ว่า…

“รู้ทั้งรู้ ว่านายกรัฐมนตรีติดภารกิจเยือนกัมพูชา แต่ก็ยังหาเรื่องตั้งกระทู้ถามสดในสภาฯ ทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร? ประเทศชาติและประชาชนได้ประโยชน์อะไรครับ?”

อย่างไรก็ตามขณะนี้ นายชัย ได้ติดตามภารกิจนายกฯ อยู่ประเทศกัมพูชา

‘แก้วสรร’ ชี้ ‘ก้าวไกล’ ใช้สิทธิโดยไม่ชอบ กรณีมติขับ ‘หมออ๋อง’ ยัน!! ขัดข้อบังคับพรรค แนะ 2 ช่องทางส่งเรื่องให้ศาล รธน.วินิจฉัย

(30 ก.ย. 66) อาจารย์แก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง ‘ก้าวถอยหลัง...ของก้าวไกล’ โดยมีเนื้อหาดังนี้

ถาม ทำไม หัวหน้าพรรคก้าวไกล ถึงยังไม่ได้เป็น ‘ผู้นำฝ่ายค้าน’
ตอบ ถ้าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ ประธานวันนอร์ก็นำชื่อหัวหน้าพรรคก้าวไกลขึ้นกราบบังคมทูล ให้ทรงโปรดเกล้าแต่งตั้งได้แล้ว เพราะบัญญัติระบุแต่เพียงว่า ‘ฝ่ายค้าน’ คือพรรคที่ไม่มีใครเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลเท่านั้น แต่มารัฐธรรมนูญฉบับนี้กลับเติมเงื่อนไขจุกจิกขึ้นมาอีก

ถาม เติมอะไรเข้าไปอีกครับ
ตอบ เติมมาว่า ‘พรรคฝ่ายค้าน’ นอกจากจะต้องไม่มีใครไปเป็นรัฐมนตรีแล้ว ก็ต้องไม่มีใครไปเป็น ประธานสภาหรือรองประธานสภาด้วย พอบัญญัติอย่างนี้ พรรคก้าวไกล ก็เลยยังไม่เป็น ‘ฝ่ายค้าน’ เพราะมี สส.ในพรรค คือคุณปดิพัทธ์ หรือ ‘รองอ๋อง’ เป็นรองประธานสภาอยู่

วันนี้ก็เลยมีแต่ประชาธิปัตย์เท่านั้น ที่เป็น ‘ฝ่ายค้าน’ และให้หัวหน้า ปชป.ขึ้นเป็นผู้นำฝ่ายค้านได้ ซึ่งก็ไม่สมควรเพราะจำนวน สส.น้อยเกินไป

ถาม ถ้าพรรคก้าวไกลอยากได้ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน ต้องทำอย่างไร?
ตอบ ก็ต้องทำทางใดทางหนึ่ง คือให้ ‘รองอ๋อง’ ลาออกจากรองประธานสภา หรือให้รองอ๋องออกจากพรรคก้าวไกลไปซะ จากนั้นประธานวันนอร์ถึงจะนำชื่อหัวหน้าก้าวไกลขึ้นกราบบังคมทูลเป็น ผู้นำฝ่ายค้านได้ ซึ่งวันนี้เขาก็เลือกแล้วว่า ให้ ‘รองอ๋อง’ ออกจากพรรคก้าวไกล

ถาม แล้วทำไมเขาใช้วิธีให้ ‘รองอ๋อง’ ออกจากพรรค ด้วยมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคกับ สส. ครับ ให้ รองอ๋องยื่นใบลาออกจากพรรคเลยไม่ได้หรือ?
ตอบ ถ้าใช้วิธียื่นใบลาออก รัฐธรรมนูญจะกำหนดให้ ‘รองอ๋อง’ ขาดสมาชิกภาพ สส.ทันที เพราะเรากำหนดให้ สส.ต้องสังกัดพรรค พรรคเป็นผู้เสนอชื่อให้ประชาชนเลือกมาแต่แรก ถ้าได้เป็น สส.แล้ว จะลาออกไม่ได้ เพราะนี่เป็นพันธะที่มีต่อประชาชน แต่ถ้าเป็นมติพรรคให้ออกจากพรรค เช่นนี้ ‘รองอ๋อง’ ก็ไม่ขาดจาก สส. แต่ต้องไปหาพรรคใหม่มาสังกัด

ถ้าทำได้อย่างนี้ ‘รองอ๋อง’ ก็ได้ทำหน้าที่ รองประธานสภาต่อไป ข้างพรรคก้าวไกลก็ได้ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านไป

ถาม แล้วอาจารย์ไปว่าก้าวไกล ‘ก้าวถอยหลัง’ ทำไม?
ตอบ มันเป็น ‘การใช้สิทธิโดยไม่สุจริต’ ครับ การมีมติพรรคให้ สส.ออกจากพรรคนั้น ต้องเป็นเรื่อง สส.ทำผิดร้ายแรง หรือขัดแย้งกับพรรค จนอยู่ด้วยกันไม่ได้ ข้อบังคับพรรคก้าวไกลก็เขียนข้อนี้ไว้ชัดมาก จะมามีมติให้ออกกันดื้อๆ ง่ายๆ เพียงเพื่อเปิดทางให้ พรรคได้ตำแหน่งอีกตำแหน่งหนึ่งนั้นไม่ได้

ทำอย่างนี้ ‘รองอ๋อง’ เองก็ยังเป็นคนก้าวไกลเหมือนเดิม เพียงแต่ใส่เสื้อพรรคอื่นทับลงไปบนเสื้อก้าวไกล อีกตัวหนึ่งเท่านั้นเอง

ถาม ก้าวไกลเดินมาทางนี้ แล้วมันทำลายหลักกฎหมายที่ตรงไหน?
ตอบ หลักรัฐธรรมนูญให้ สส.สังกัดพรรคการเมือง ก็กลายเป็นเรื่องตลก หลักห้ามเป็นสมาชิกซ้ำซ้อนสองพรรค ก็เป็นแค่กระดาษ หลักนิติธรรมให้ใช้สิทธิโดยสุจริตก็เลื่อนเปื้อนไปอีก ทั้งหมดกลายเป็นหลักที่เขียนไว้ให้อ่านเล่นบนประตูส้วม ระหว่างขับถ่ายเท่านั้น

ถาม ‘รองอ๋อง’ เขาว่า เขาต้องการปฏิรูปสำนักงานสภา ตามพันธะกิจที่สัญญาไว้ นี่ครับ จะให้เขาลาออกได้อย่างไร?
ตอบ ชาวบ้านเขาเลือกให้คุณเป็น สส.ก้าวไกล นั่นคือพันธะที่สำคัญที่สุด ทั้งกรรมการบริหารและ สส. จะต้องยึดตรงนี้ จะเอากฎหมายมาเล่นลวงเป็นลิเกอย่างนี้ไม่ได้

ถาม ถ้าเล่นลวงโลกกันอย่างนี้ ใครจะจัดการให้ถูกต้องได้บ้าง?
ตอบ กลุ่มแรกคือ สส.ในสภาจำนวน 50 คน ยื่นเรื่องให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเลยว่า ‘สส.อ๋อง’ ขาดสมาชิกภาพหรือไม่ เพราะพฤติการณ์จริงที่ทำไปคือการออกจากพรรคด้วยการลาออก ไม่ใช่ด้วยมติขับออกจากพรรคตามข้อบังคับ

ถาม กลุ่มสองคือใคร ครับ?
ตอบ คือ เลขา กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ภายใต้มติเห็นชอบของ กกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้เองเช่นกันว่า สส.อ๋องได้ลาออกจนสิ้นสมาชิกภาพแล้วหรือไม่

ถาม แล้วปล่อยให้ กราบทูลเสนอหัวหน้าก้าวไกลเป็นผู้นำฝ่ายค้านไปก่อนหรือ?
ตอบ เลขา กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ด้วยความเห็นชอบของ กกต. มีอำนาจปฏิเสธไม่รับรู้รับรองมติก้าวไกล ที่ให้ ‘รองอ๋อง’ ออกจากพรรคโดยไม่มีเหตุขัดแย้งใดๆ ได้ เพราะตรงนี้ขัดข้อบังคับชัดแจ้ง แล้วก็รายงานประธานวันนอร์ให้ทราบ ทำแค่นี้การกราบบังคมทูลเพื่อแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านก็ไม่เกิดขึ้น ประโยชน์จากการทำผิดก็ไม่บรรลุ ส่วนในที่สุด สส.อ๋องจะสิ้นสมาชิกภาพหรือไม่ ก็รอศาลตัดสินอีกที

ถาม เรื่องนี้แท้ที่จริงมันผิดกันทั้งพรรค ทั้งคณะกรรมการบริหาร และ สส.เลยนะครับ
ตอบ น่าจะทำความชัดเจนด้วยคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องสมาชิกภาพ สส.อ๋อง ก่อน ถ้าเห็นเป็นความผิดชัดเจนแล้วก็ค่อยว่ากันอีกทีดีกว่าครับ ราตรียังอีกยาวนานนัก

ขณะเดียวกัน ‘รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร’ อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า…

“ในที่สุดพรรคก้าวไกลก็ตัดสินใจทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดว่า พรรคก้าวไกลไม่กล้าทำ นั่นคือลงมติขับ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา หรือ ‘หมออ๋อง’ ออกจากพรรคเพื่อไม่ต้องลาออกจากตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้หัวหน้าพรรคก้าวไกลดำรงตำแหน่ง ผู้นำฝ่ายค้านได้ เพราะรัฐธรรมนูญไม่อนุญาตให้ผู้นำฝ่ายค้าน และประธานสภาผู้แทนราษฎรและตำแหน่งรองประธานสภาฯ มาจากพรรคเดียวกัน

ความจริงนายปดิพัทธ์มีทางเลือกอีก 2 ทาง หนึ่งคือยอมสละโดยลาออกจากตำแหน่งประธานสภาเสียเอง อีกทางเลือกหนึ่งคือลาออกจากพรรคก้าวไกล แต่ทั้งสองทางเลือกนี้ ไม่เป็นที่ปรารถนาของหมออ๋องเพราะคงไม่ต้องการสละตำแหน่งรองประธานสภาฯ และพรรคก้าวไกลก็ไม่ต้องการเสียตำแหน่งรองประธานสภาฯไปเช่นกัน และการที่หมออ๋องลาออกจากพรรคเองก็ไม่สามารถจะไปเป็นสมาชิกพรรคอื่นได้

ดังนั้น เพื่อให้สมประโยชน์ทั้งสำหรับตัวหมออ๋องและพรรคก้าวไกล จึงมีทางเดียวคือต้องขับออกจากพรรคก้าวไกลเสีย วิธีนี้รัฐธรรมนูญเปิดให้ไปสมัครเข้าพรรคใหม่ได้ และก็จะเป็นพรรคอื่นไปไม่ได้นอกจากพรรคเป็นธรรม ซึ่งจะอยู่พรรคก้าวไกลหรือพรรคเป็นธรรมในทางปฏิบัติก็ไม่แตกต่างกัน

พรรคก้าวไกลก็ยังคงเป็นพรรคก้าวไกล เห็นชัดๆ ว่าใช้ช่องโหว่ของกฎหมายเพื่อให้ทั้งตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน และตำแหน่งรองประธานสภาฯ เป็นของพรรคก้าวไกลทั้ง 2 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการขัดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ไม่ต้องการให้ผู้นำฝ่ายค้านมีอิทธิพลต่อประธาน และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร แต่ก็ยังไม่วายออกแถลงการณ์แบบหล่อๆ ความว่า…

นายปดิพัทธ์ต้องการทำหน้าที่รองประธานสภาฯ ต่อไป เพื่อผลักดันให้สภามีประสิทธิภาพโปร่งใส และยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น ที่ประชุมร่วมเห็นว่า ภารกิจของนายปดิพัทธ์จะนำไปสู่การยกระดับการทำงานของสภา และเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน แต่ยังคงยืนยันการเป็นพรรคฝ่ายค้านโดยสมบูรณ์ ซึ่งหมายถึงการได้เป็น ผู้นำฝ่ายค้านของหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้หากนายปดิพัทธ์ยังคงดำรงสถานะเดิมในฐานะรองประธานสภา จากพรรคก้าวไกล พรรคก้าวไกลจึงจำเป็นต้องให้นายปดิพัทธ์ออกจากการเป็นสมาชิกของพรรคก้าวไกล เพื่อให้พรรคก้าวไกลสามารถทำหน้าที่ฝ่ายค้านโดยสมบูรณ์

อยากได้ทั้ง 2 ตำแหน่งให้เป็นของพรรคก้าวไกล ถึงกับกล้าทำในสิ่งที่ใครๆบอกว่าเป็นการเมืองน้ำเน่า นี่ถ้าเป็นพรรคอื่นที่เป็นฝ่ายตรงข้ามทำแบบเดียวกัน พรรคก้าวไกลคงดาหน้าออกมาประณามกันแบบไม่ยั้ง แต่นี่เป็นพรรคก้าวไกลทำเอง จึงกลายเป็นการทำเพื่อยกระดับการทำงานของสภา และเป็นการทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน และเพื่อจะได้เป็นฝ่ายค้านโดยสมบูรณ์ในขณะเดียวกัน

ความจริงหากฝากให้นายปดิพัทธ์ให้อยู่พรรคอื่นๆเช่นพรรคภูมิใจไทย นายปดิพัทธ์ก็ยังคงดำรงตำแหน่งรองประธานสภา และพรรคก้าวไกลก็ยังเป็นพรรคฝ่ายค้านโดยสมบูรณ์ได้ไม่ใช่หรือ ทำไมต้องให้ไปอยู่พรรคเป็นธรรม

พรรคก้าวไกลก็ยังคงเป็นพรรคก้าวไกลเช่นเดิม กล่าวคือการพูดมักสวนทางกับการกระทำเสมอ”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top