Sunday, 28 April 2024
ประยุทธ์

‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม นนท.แห่เข้าไทย 6.4 ล้านคน สร้างเม็ดเงินกว่า 2.5 แสนล้านบาท  ‘SCMP’ ชี้ สงกรานต์ไทย ช่วยฟื้นเศรษฐกิจ คาดเติบโตสูงสุดในรอบ 5 ปี

(19 เม.ย.66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ยินดีที่ภาคการท่องเที่ยวไทยส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งตั้งแต่ต้นปี 2566 โดยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2566 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย สะสมกว่า 6.4 ล้านคน สร้างรายได้รวม 2.5 แสนล้านบาท และในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา Airbnb แพลตฟอร์มจองที่พักยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เผยยอดค้นหาที่พักในไทยเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 310 ขณะที่สำนักข่าว South China Morning Post รายงานว่า เทศกาลสงกรานต์ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย พร้อมคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยปี 2566 เติบโตสูงสุดในรอบ 5 ปี 

นายอนุชา กล่าวว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รายงานสถานการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมอยู่ที่ 6,465,737 คน สร้างรายได้รวม 256,194 ล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทย สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซีย รัสเซีย จีน เกาหลีใต้ และอินเดีย ตามลำดับ ทั้งนี้ ททท. วางเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปี 2566 รวม 25-30 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 1.5 ล้านล้านบาท พร้อมคาดการณ์ว่า นักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางเข้าไทยมากเป็นอันดับ 1 โดยมีจำนวนไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน และมีแนวโน้มจะสูงถึง 7-8 ล้านคน ขึ้นอยู่กับปริมาณเที่ยวบินในช่วงตารางบินฤดูหนาว รองลงมาคือ มาเลเซีย 4 ล้านคน อินเดีย 2 ล้านคน ส่วนรัสเซียและเกาหลีใต้ คาดว่ามีไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน นอกจากนี้ Airbnb เปิดเผยว่า นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต้องการมาท่องเที่ยวยังประเทศไทยมากขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยมียอดค้นหาที่พักเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 310 จากปี 2565 โดยกรุงเทพฯ เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวต่างชาติค้นหามากที่สุด รองลงมาได้แก่ พัทยา เชียงใหม่ กระบี่ และภูเก็ต ตามลำดับ นอกจากนี้ สำนักข่าว South China Morning Post รายงานว่า การท่องเที่ยวที่คึกคักในช่วงเทศกาลสงกรานต์จะเป็นกำลังสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และรายได้จากภาคการท่องเที่ยวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ถึงร้อยละ 4 ในปีนี้ ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่เร็วที่สุดในรอบ 5 ปี

ไขข้อสงสัย!! เหตุ ‘ลุงตู่’ อนุมัติให้ซื้อไฟฟ้าเพิ่ม ร่ายเหตุผล ปทท.มีแผน 'เพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด' ผลักดัน Net-Zero

(23 เม.ย.66) ผู้ใช้บัญชี ‘Supote Laocharoen’ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า…

ลุงตู่อนุมัติให้ซื้อไฟฟ้าเพิ่มอีกทำไม?

... ถ้าคนมันจะพูดให้เป็นเรื่อง ก็จะพูดแค่ "ลุงตู่อนุมัติให้ซื้อไฟฟ้าเพิ่ม ทั้งที่มีปริมาณไฟฟ้าสำรองมากมาย จนทำให้ค่าไฟฟ้าแพงอยู่ตอนนี้" พูดเพียงเท่านี้ ลุงตู่ก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยขึ้นมาทันทีว่า เพราะอะไร มีผลประโยชน์กับเอกชนหรือไม่ บลาๆๆๆๆๆๆ

... แต่ถ้าหาข่าวหาข้อเท็จจริง ก็จะเข้าใจได้ว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้อนุมัติให้รับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาดมาตั้งแต่ 2562 ตามโครงการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561-2580 ไม่ได้เพิ่มการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานฟอสซิล

... ประเทศไทยมีแผนเพิ่มการผลิตไฟฟ้า ด้วยพลังงานสะอาด เพื่อเดินหน้าไปสู่เป้าหมาย Net-Zero Carbon Emission ของประเทศไทยให้ได้ 40% ภายในปี พ.ศ. 2573 ที่ได้ประกาศเจตนารมณ์ไว้ในการประชุม COP26 โดยรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานน้ำ พลังงานลม พลังงานแสงแดด หรือใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิง เพื่อจัดหาไฟฟ้าให้กับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ที่ระบบไฟฟ้าฐานเข้าไม่ถึง จะได้มีไฟฟ้าใช้ในการดำเนินชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงสาธารณูปโภคพื้นฐานอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง รวมถึงเริ่มนำโมเดลเศรษฐกิจเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 3 ด้าน คือ ชีวภาพ (Bio) หมุนเวียน (circular) และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green) หรือ BCG 

... นี่คือเหตุผลที่ กพช. มีมติให้รับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งมันคนละเรื่องกับไฟฟ้าที่ได้มีการทำสัญญารับซื้อไว้สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ปัญหาเดิม มันแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่อนาคตของประเทศไทยก็ต้องเดินต่อไป ถ้าเราเดินช้าก็จะล้าหลัง


ที่มา : https://www.facebook.com/100000780943116/posts/pfbid0FEmT6eHCs4tN9KpzKf64QmJAv2ynS3zFWvmZw1XusxXvy9vFyhsh3YGQGGkSk1dhl/?mibextid=unz460

'ดร.หิมาลัย' จวก 'นักข่าวต่างชาติ' ไร้มารยาท ยิงคำถามยั่วยุ 'บิ๊กตู่' ตอกกลับ!! แบบนี้คนไทยเรียก “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล”

จากกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ซึ่งได้ลาราชการเพื่อลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ เพื่อขอเสียงสนับสนุนเลือกผู้สมัครของพรรค และเลือกพรรคเบอร์ 22 เมื่อ 21 เม.ย. 66 ที่ผ่านมา โดยช่วงหนึ่งมีกลุ่มนักข่าว ทราบภายหลังว่ามาจากสื่อต่างชาติ ได้พยายามถาม พล.อ.ประยุทธ์ว่า 8 ปี มีกระแสที่ต้องการให้นายกฯ ออกไป และยังสอบถามอีกว่าเลือกตั้งครั้งนี้มีกระแสข่าวว่านายกฯ ไม่ยอมให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำไม่ถึงไม่ยอมให้เกิดการเปลี่ยนแปลง พล.อ.ประยุทธ์ ปฏิเสธตอบคำถามดังกล่าว ก่อนเดินเลี่ยงไม่ตอบคำถาม
.
แต่กลุ่มนักข่าวต่างชาติดังกล่าว ยังไม่ยอมหยุด และวิ่งไล่ตาม ตะโกนโหวกเหวก ส่งเสียงดัง แบบไม่มีมารยาทแม้ว่าพลเอกประยุทธ์ได้พยายามเดินหลบแล้ว อาจมองได้ว่าเป็นการจงใจยั่วโมโห แถมยังถามย้ำ แบบจงใจให้เกิดปัญหา ด้วยคำถามว่า Many people said , it’s the time to change, this election is never change. Why you don’t let people have time to change? Prime Minister, Thai people wanna change, why don’t you let Thai people give a chance to chance in this country? 

พร้อมทั้งสุภาพสตรีท่านนึงใน กลุ่มนักข่าวต่างชาตินี้ ถามเป็นภาษาไทยใจความว่าเหมือนกับคำถามภาษาอังกฤษซ้ำ อีกครั้งว่า “คนไทยต้องการ การเปลี่ยนแปลง, มีคนอยากให้ท่านออก ทำไมไม่ยอมให้เกิดการเปลี่ยนแปลง”

อย่างไรก็ดี ด้วยวุฒิภาวะ ของพล.อ.ประยุทธ์ ที่มีมากพอ จึงไม่ได้ตอบโต้ หรือทำให้เรื่องบานปลาย เดินหลีกเลี่ยง และเพียงแต่ตอบกลับไปเบาๆ ว่า “Election” เท่านั้น

ต่อเรื่องนี้ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้แสดงทรรศนะว่า ในฐานะที่ตนเองอยู่ในเหตุการณ์ในขณะนั้นด้วย โดยส่วนตัวมองว่า การถามคำถามดังกล่าว เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เนื่องจากพลเอกประยุทธ์ อยู่ระหว่างการลงพื้นที่เพื่อช่วยหาเสียงตามแนวทางของการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย แต่คำถามของกลุ่มนักข่าวต่างชาติ กลุ่มนี้ เหมือนคนที่ไม่ยอมเข้าใจ หรือ ไม่รู้ว่าบริบทของประเทศไทยในขณะนี้ว่ากำลังจะมีการเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่ได้ยุบสภา และ ขณะนี้อยู่ในระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งคนไทย จะตัดสินใจกันเองได้ ในวันเลือกตั้งที่ 14 พ.ค. นี้ ซึ่งการถามแบบนี้ ถือว่า กลุ่มนักข่าวต่างชาติ ถามคำถามที่ ด้อยค่าตัวเอง แบบคนไม่มีความรู้

‘โฆษกกระทรวงฯ’ เผย ‘บิ๊กตู่’ ไฟเขียว!! เตรียมใช้เครื่องบินกองทัพฯ อพยพ ‘คนไทย’ ในซูดาน เน้นช่วยเหลือให้รัดกุม-ปลอดภัยที่สุด

(23 เม.ย.66) นางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เผยความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือคนไทยในซูดาน ว่า ทางการไทยให้ความสำคัญสูงสุดกับเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีรวมทั้งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและสั่งการให้ดำเนินการช่วยเหลือคนไทยให้รัดกุมและปลอดภัยที่สุด

นางกาญจนากล่าวว่า ขณะนี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กองทัพอากาศ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโร และสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาดและสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเจดดาห์ กำลังเร่งดำเนินงานอย่างแข็งขันเพื่อเตรียมการช่วยเหลือคนไทยให้ออกจากพื้นที่ ซึ่งต้องเป็นไปโดยรอบคอบที่สุด เนื่องจากยังคงมีข้อห่วงกังวลด้านความปลอดภัย และสถานการณ์ยังคงมีความอ่อนไหว ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้อนุมัติการใช้เครื่องบินกองทัพอากาศเพื่อการอพยพแล้ว ในชั้นนี้ ยังรอการยืนยันเรื่องท่าอากาศยานและวันที่แน่นอนอยู่ ซึ่งจะเป็นในโอกาสแรกที่ทุกปัจจัยเงื่อนไขลงตัว

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศขอย้ำช่องทางการสื่อสาร หมายเลขฉุกเฉิน 09-6165-7120 / 09-6352-0513 / 09-6352-9015 สำหรับญาติของนักเรียนและคนไทยในซูดานที่ประสงค์จะสอบถามสถานการณ์ รวมทั้งสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโร ได้เปิดช่องทางการติดต่อเพื่อขอรับความช่วยเหลือที่หมายเลข +201019401243 หรืออีเมล์ [email protected] รวมทั้งได้ประสานงานกับคนไทยในซูดานผ่าน Chat group 5 กลุ่ม เพื่อความคล่องตัวด้วย


ที่มา : https://www.matichon.co.th/foreign/news_3939500

‘บิ๊กตู่’ หวั่นยอด ‘โควิด-19’ พุ่ง!! ห่วงกลุ่มเสี่ยง 608 ขอเร่งให้รับวัคซีน กำชับ สธ. ติดตามการระบาดสายพันธุ์ XBB.1.16 ใกล้ชิด คาดยอดเพิ่มช่วงหน้าฝน

(26 เม.ย.66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์โควิด 19 ในประเทศไทยขณะนี้ และรับทราบสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 ภายในประเทศรายสัปดาห์ (วันที่ 16-22 เมษายน 2566) ตามรายงานของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608 ขอให้รีบเข้ารับวัคซีนที่สถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขใกล้บ้านโดยเร็ว พร้อมสั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขติดตามสถานการณ์โรคโควิด 19 และการระบาดของเชื้อสายพันธุ์โควิด XBB.1.16 อย่างใกล้ชิด 

นายอนุชา กล่าวว่า จากข้อมูลกรมควบคุมโรค ผู้ป่วยโควิด 19 ภายในประเทศสัปดาห์ที่ผ่านมา (วันที่ 16 - 22 เมษายน 2566) พบผู้ป่วยรายใหม่ 1,088 ราย เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน ผู้ป่วยปอดอักเสบ 73 ราย ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ 35 ราย และผู้เสียชีวิต 5 ราย เฉลี่ยน้อยกว่า 1 คนต่อวัน ผู้ป่วยรักษาในโรงพยาบาล สะสม 6,571 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2566) ผู้เสียชีวิต สะสม 278 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2566) ผู้ป่วยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนกว่า 2 เท่า พบกระจายในหลายจังหวัดโดยเฉพาะเมืองใหญ่ที่มีประชากรหนาแน่น เช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ ชลบุรี เป็นต้น ส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อในสมาชิกครอบครัว และการร่วมกิจกรรมที่รวมกลุ่มคนจำนวนมาก สำหรับผู้เสียชีวิตทั้ง 5 ราย พบว่าเป็นกลุ่ม 608 อายุเฉลี่ย 75 ปี โดย 4 รายที่เสียชีวิตเป็นผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนมาก่อน และอีก 1 ราย ยังไม่ได้รับเข็มกระตุ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เมื่อติดเชื้อแล้วเกิดอาการรุนแรง ดังนั้น การฉีดวัคซีนหรือวัคซีนเข็มกระตุ้นภูมิคุ้มกันจึงยังมีความจำเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง 608 จะช่วยลดอาการหนักและเสียชีวิตได้ ส่วนผู้ที่มีปัญหาเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกัน สามารถฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป หรือ LAAB ได้เช่นกัน โดยติดต่อขอรับบริการได้ที่สถานบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขใกล้บ้าน 

นายอนุชา กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขได้เผยข้อมูลของเชื้อโควิด XBB.1.16 ซึ่งเป็นลูกผสมของสายพันธุ์โอมิครอน BA.2.10.1 และ BA.2.75 การระบาดมีแนวโน้มพบเพิ่มขึ้น มีความสามารถในการแพร่กระจายได้ดีกว่า XBB.1.5 มีความสามารถในการหลบภูมิคุ้มกันได้ดี ยังไม่มีหลักฐานแสดงว่าทำให้โรครุนแรงขึ้น อาการที่พบคือ มีไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูก อาจพบเยื่อบุตาอักเสบ คันตา ตาเหนียวร่วมด้วย แต่ยังไม่มีข้อมูลชี้ชัดว่าอาการดังกล่าวเป็นลักษณะจำเพาะที่เกิดจากสายพันธุ์ XBB.1.16 

นายอนุชา กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขชี้แจงว่ากรณีเชื้อสายพันธุ์ใหม่ XBB.1.16 ที่มีการเผยแพร่ข้อมูลและหลายคนวิตกนั้น เป็นธรรมชาติของเชื้อไวรัสที่จะมีการกลายพันธุ์ตลอดเวลา แต่ยังคงเป็นลูกผสมของสายพันธุ์โอมิครอนเดิม และไม่ได้มีความรุนแรงไปกว่าสายพันธุ์เดิม ขณะที่สถานการณ์โควิด-19 ที่ระบาดเพิ่มขึ้น เป็นไปตามการคาดการณ์ของกรมควบคุมโรค และไม่ได้มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกัน ทั้งจากการติดเชื้อและการได้รับวัคซีน 

‘ทิพานัน’ บอกข่าวดี ‘ผู้ประกันตน ม.33’ ขยายเวลาสินเชื่อซื้อบ้านดอกเบี้ยถูก ผ่านแอปฯ เริ่ม 8-31 พ.ค. ชี้ ‘บิ๊กตู่’ มุ่งลดความเหลื่อมล้ำ-ยกระดับคุณภาพชีวิตปชช.

(26 เม.ย.66) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มุ่งลดความเหลื่อมล้ำและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกมิติ เพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่มั่นคงเพิ่มมากขึ้น ผ่านโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน ซึ่งที่ผ่านมามีผู้ประกันตนมาตรา 33 ยื่นขอสินเชื่อ 18,815 ล้านบาทแล้ว จากกระแสความต้องการของผู้ประกันตน ล่าสุดมีข่าวดี โดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ร่วมกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดโอกาสให้ผู้ประกันตน ที่สนใจขอรับรหัส เข้าร่วมโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตนเพิ่มเติมได้แล้ว ผ่านแอปพลิเคชัน GHB ALL GEN ตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2566 นี้ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 เวลา 16.00 น. 

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ทั้งนี้ สิทธิดังกล่าวสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน สามารถใช้สิทธิในการไถ่ถอนจำนองที่อยู่อาศัย หรือรีไฟแนนซ์ รวมถึงลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยในบัญชีเงินกู้ที่กู้อยู่กับธนาคารอาคารสงเคราะห์ ในอัตราดอกเบี้ยคงที่ ปีที่ 1-5 เท่ากับ 1.99% ต่อปี ด้วยวิธีการง่ายๆ เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน GHB ALL GEN และเพิ่มเพื่อน พร้อมสมัครไลน์ GHB Buddy เพื่อขอรหัสเข้าร่วมโครงการ ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบกำหนดระยะเวลายื่นกู้ตามรหัสของท่านได้ที่ www.ghbank.co.th ทุกวันที่ 10, 20, 30 ของทุกเดือน

‘บิ๊กตู่’ ชี้ คดี ‘แอม ไซยาไนด์’ เป็นหน้าที่ของ ตร. ขอให้ฟังจากทาง ผบ.ตร. แต่ถ้าผิดก็ต้องลงโทษเด็ดขาด!!

(27 เม.ย.66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ครั้งที่ 2/2566 และเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่ 4/2566 ถึงกรณี ‘แอม ไซยาไนด์’ หรือ นางสรารัตน์ (สงวนนามสกุล) ผู้ต้องหาหมายจับศาลอาญา ข้อหา “ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน” ว่า ในเรื่องดังกล่าวเป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่แล้ว 

นายกฯ ส่งความปรารถนาดีถึงผู้ใช้แรงงานทั่วไทย ย้ำ!! ทุกคนล้วนมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ

(1 พ.ค. 66) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวปราศรัยเนื่องในโอกาสวันแรงงานแห่งชาติ ประจำปี 2566 ซึ่งตรงกับวันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปี เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้ใช้แรงงานทุกคน เผยแพร่ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยและสถานีโทรทัศน์ต่างๆว่า เนื่องในโอกาสวันแรงงานแห่งชาติ ประจำปี 2566 ขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังผู้ใช้แรงงานทุกคน ย้ำผู้ใช้แรงงานทุกคนถือเป็นบุคลากรที่มีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาประเทศที่ต้องได้รับการดูแลเพื่อยกระดับคุณชีวิต พร้อมทั้งพัฒนาทักษะในด้านต่าง ๆ เพื่อรองรับกับความต้องการของตลาดแรงงาน และสร้างความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที

ในนามของรัฐบาลขอชื่นชมทุกภาคส่วนและขอบคุณผู้ใช้แรงงานทุกคน ที่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ตลอดจนมุ่งมั่นในการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของตน เพื่อเป็นแรงงานฝีมือที่มีคุณภาพและเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยทั้งในภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรม และภาคธุรกิจบริการมาโดยตลอด จนทำให้ประเทศของเราเจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาประเทศ พร้อมทั้งสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงท่ามกลางวิกฤติการณ์ของสังคมโลก

กระแส 'ลุงตู่' ช่วยดัน ส.ส.เขต 'รทสช.' โดดเด่น เชื่อ!! 'ทำแล้ว-ทำอยู่-ทำต่อ' ช่วยปักธงได้แน่

ในวันที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรครวมไทยสร้างชาติ เดินทางไปช่วยหาเสียงที่จังหวัดตรัง ซึ่งมี 4 เขตเลือกตั้ง

พลันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ลงจากเครื่องบินที่สนามบินตรัง นอกจากจะมีผู้สมัครในจังหวัดตรัง เช่น สมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล จากเขต 4, อำนวย นวลทอง จากเขต 3 ไปต้อนรับแล้ว ได้มีมวลชนจำนวนมากที่ทราบข่าว เดินทางไปต้อนรับ และให้กำลังใจ พล.อ.ประยุทธ์ถึงสนามบินตรังกันแน่นขนัด

หลังจากนั้นคณะของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งมีทั้งพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ, เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค, อนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เดินทางต่อไปยัง อ.กันตัง เพื่อช่วยหาเสียงให้กับสมบูรณ์ ซึ่งมีมวลชนจำนวนมากแห่ไปต้อนรับให้กำลังใจเช่นกัน ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ได้อธิบายถึงแนวทาง 'ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ' ให้ประชาชนเข้าใจ

คณะ พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางต่อไปในตลาดทับเที่ยง ช่วยถนอมพงศ์ หลีกภัย หาเสียง ซึ่งต้องเสียเวลาไปมาก เนื่องจากมีผู้คนแห่ต้อนรับหน้าแน่นจนไม่มีเวลาทานข้าว เวลาล่วงมาถึงบ่ายสองถึงจะได้ทานข้าว

เสร็จจากทานข้าวเที่ยงเดินทางต่อไปยังอำเภอนาโยง เพื่อช่วย 'อำนวย นวลทอง' หาเสียง โดยก่อน พล.อ.ประยุทธ์ จะเดินทางไปถึง 'อำนวย นวลทอง' ได้กล่าวปราศรัยก่อนแล้วถึงความมุ่งมั่น-ตั้งใจในการลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้

“ผมลงสมัครรับเลือกตั้ง เพื่อชัยชนะ และจะสู้ไม่มีถอย โดยตั้งใจจะเข้าไปแก้ไขปัญหา 3 อย่าง อย่างแรกคือปัญหาเรื่องการบริหารจัดการน้ำ บ้านเรามีฝนมาก เพราะอยู่ใกล้ภูเขา จึงเกิดปัญหาน้ำท่วมบ่อย แต่น้ำท่วมไม่นานก็จะเกิดปัญหาน้ำแล้งตามมา ที่ผ่านมาไม่มีใครคิดวางโครงสร้างใหญ่ในการแก้ไขปัญหาน้ำ”

อำนวย กล่าวอีกว่า อีกปัญหาที่ต้องการเข้าไปแก้คือปัญหาเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกิน ที่ชาวบ้านถูกครหาว่าบุกรุกอุทยานบ้าง บุกรุกทุ่งเลี้ยงสัตว์บ้าง ทั้งๆ ที่สภาพของที่ดิน ไม่มีต้นไม้ไม่มีทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์แล้ว ชาวบ้านเข้าไปอยู่อาศัยมานานแล้ว แต่ไม่มีการยกเลิกความเป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์ และ/หรือเขตอุทยาน ชาวบ้านจึงโดนขับไล่มาโดยตลอด เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข

‘บิ๊กตู่’ สั่งเข้ม!! ป้องกัน-ปราบปราม-แก้ไขปัญหา ‘ยาเสพติด’ ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘สังคมไทยปลอดภัยจากยาเสพติดฯ’

(7 พ.ค. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสั่งการ เน้นย้ำ ให้ความสำคัญการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ขจัดยาเสพติดให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทย เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้มีความมั่นคงปลอดภัย เป็นสังคมปลอดยาเสพติด สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์ “สังคมไทยปลอดภัยจากยาเสพติด ด้วยมาตรการทางเลือกใหม่ สู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน”

นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้กำหนดและดำเนินการอย่างแข็งขันภายใต้นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด (พ.ศ.2566 - 2570) ซึ่ง ครม. เห็นชอบเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2566 มีแนวทางการดำเนินงาน 6 ด้าน ดังนี้

1. การป้องกันยาเสพติด เสริมสร้างความรู้เท่าทันและป้องกันยาเสพติดในเด็กและเยาวชน และสร้างความตระหนักและจิตสำนึกร่วมในการป้องกันปัญหายาเสพติด รวมทั้งพัฒนาระบบเฝ้าระวังและควบคุมปัญหายาเสพติดในพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ 

2. ด้านการปราบปรามยาเสพติดมีเป้าหมาย สกัดกั้นยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ไม่ให้เข้าสู่ประเทศและถูกใช้เป็นเส้นทางนำผ่านไปยังประเทศที่สาม ปราบปรามเครือข่ายการค้ายาเสพติด และเนินการทางวินัยและบังคับใช้กฎหมายลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด 

3. ด้านการยึดทรัพย์สินคดียาเสพติด ทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดด้วยมาตรการทางทรัพย์สิน 

4. ด้านการบำบัดรักษายาเสพติด การบำบัดรักษาและฟื้นฟูสภาพทางสังคมของผู้เสพยาเสพติดและผู้เสพยาเสพติดมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 

5. ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ ไทยมีบทบาทในการเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน และพัฒนาสู่การเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพให้กับบุคลากรด้านยาเสพติดระหว่างประเทศ 

6. ด้านการบริหารจัดการ นำนโยบายไปสู่การปฏิบัติอย่างบูรณาการในทุกระดับ บุคลากรภาครัฐที่ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดมีทักษะและสมรรถนะสูงพร้อมรับมือกับภัยคุกคามของปัญหายาเสพติดในยุคดิจิทัล พัฒนากลไกอำนวยการ ระเบียบ กฎหมาย เสริมสร้างสมรรถนะของบุคลากรภาครัฐที่ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด และการควบคุมและใช้ประโยชน์จากพืชเสพติด และพืชในการกำกับควบคุมดูแลพิเศษของรัฐ

นายอนุชา กล่าวว่า ขอยกตัวอย่างถึง ชุมชน “สินไหโมเดล” จ.ระนอง ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวอย่างชุมชนที่ดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งเป็นการบูรณาการการทำงานอย่างใกล้ชิด ทั้งในระดับส่วนกลางและในพื้นที่ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งภาคประชาชน ทุกภาคส่วนร่วมกันป้องกัน แก้ไข และหยุดยั้งการแพร่ระบาดของยาเสพติด อาทิ การให้ความรู้ การบำบัดรักษาผู้เสพยาเสพติด และการสร้างอาชีพ ตามนโยบายและเจตนารมณ์มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาผู้ติดยาเสพติดของรัฐบาล 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top