Tuesday, 14 May 2024
นักท่องเที่ยว

‘นายกฯ’ ลั่น!! รัฐบาลพร้อมหนุนซอฟต์พาวเวอร์ทุกประเภท เล็งนำร่องวีซ่าพิเศษให้ นทท.ที่มาฝึกมวยไทย อยู่ยาว 90 วัน!!

(14 ม.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความ ถึงการสนับสนุนซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทย โดยเฉพาะมวยไทย หลังรัฐบาลมีแผนเปิดตัววีซ่าพิเศษ สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการเดินทางมาประเทศไทย เพื่อฝึกมวยไทย โดยจะอนุญาตให้อยู่ได้นานถึง 90 วัน เพื่อจบหลักสูตร ว่า…

“ผม และรัฐบาลไทยพร้อมสนับสนุน Soft Power ของไทยครับ การให้วีซ่าพิเศษ 90 วัน (จากวีซ่าปกติ 60 วัน) แก่คนที่สนใจจะเข้ามาเรียนมวยไทยเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ด้วยการใช้ความเป็นไทยส่งออกไกลไปทั่วโลกครับ

เราไม่ได้คิดให้วีซ่าพิเศษเฉพาะเพียงมวยไทยเท่านั้นนะครับ แต่ Soft Power อื่นๆ อย่าง รำไทย ดนตรีไทย การเรียนทำอาหารไทย ฯลฯ เราก็พร้อมสนับสนุน และกำลังเตรียมพิจารณาให้วีซ่าพิเศษเป็นลำดับต่อไปด้วยครับ” นายเศรษฐา กล่าว

เปิด 5 อันดับ นักท่องเที่ยวเข้าไทยสูงสุด (วันที่ 8-14 มกราคม 2567)

กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา เผยข้อมูลจากกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่า ช่วง 8-14 ม.ค. 67 นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวสูงกว่าที่คาดการณ์เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวในทุกภูมิภาค 

โดยมีนักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางเข้าไทยมากที่สุดจำนวน 104,570 คน (เพิ่มขึ้น 27.75) รองลงมา ได้แก่ มาเลเซีย 81,315 คน (เพิ่มขึ้น 26.95), เกาหลีใต้ 54,023 คน (เพิ่มขึ้น 23.08), รัสเซีย 50,705 คน (ลดลง 1.48) และอินเดีย 35,237 คน (เพิ่มขึ้น 16.67)

นอกจากนี้ยังพบว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1-14 ม.ค.2567 ทั้งสิ้น 1,300,363 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 63,205 ล้านบาท

'ฝรั่ง' งอแง!! ตกหลุมรักเมืองไทยสุดหัวใจ โพสต์ภาพอ้อน ไม่อยากอำลากลับบ้านเกิด

(18 ม.ค.67) กลายเป็นไวรัลชั่วข้ามคืน เมื่อนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติคนหนึ่งได้เดินทางมาใช้ช่วงเวลาสุดพิเศษไปกับการท่องเที่ยวเมืองไทย มีความสุขแฮปปี้ แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันต้องเลิกรา เมื่อวันที่ต้องเดินทางกลับมาถึง โดยคุณ Paul O'Connor ได้อัปรูปภาพตัวเองกำลังทำหน้างอแงลงในกลุ่ม ‘Love Thailand’ พร้อมกับแคปชัน “Don’t wanna go home” (ยังไม่อยากกลับบ้าน) 

ก่อนที่อีกภาพถัดมาจะเป็นภาพสนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมกับแคปชัน Most painful thing to see wen leaving Thailand 🇹🇭 (สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดก็คือต้องเห็นการจากลาประเทศไทย 🇹🇭) แสดงให้เห็นว่านักท่องเที่ยวรายนี้ตกหลุมรักประเทศไทยมากแค่ไหน จนไม่อยากกลับประเทศบ้านเกิดของตัวเองเลยทีเดียว

‘เมืองเวนิส’ เตรียมเก็บค่าเข้าเมือง นทท. 5 ยูโร/คน เพื่อแก้ปัญหา นทท. ล้นเมือง กระทบชีวิตคนในท้องถิ่น

(19 ม.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า 'เวนิส' เมืองท่องเที่ยวอันดับต้นของอิตาลี เผชิญกับปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมือง โดยในแต่ละวันมีนั่งท่องเที่ยวมากกว่า 60,000 คนทำให้ถนนสายเล็กแออัดไปด้วยจำนวนของนักท่องเที่ยว 

โดยในเดือนเมษายนนี้ จะเริ่มเก็บเงินนักท่องเที่ยวเป็นค่าเข้าเมืองคนละ 5 ยูโร หรือประมาณ 190 บาท โดยจะเป็นการเดินทางเข้าเมือง 1 วันเท่านั้น จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดยาวของอิตาลี และจะเก็บค่าเข้าเมืองในช่วงวันหยุด และวันเสาร์อาทิตย์ จนถึงกลางเดือนกรกฎาคม

การจ่ายค่าเข้าเมืองทั้งสามารถทำได้ทั้งออนไลน์ ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้รับ QR Code เป็นหลักฐานการจ่ายค่าเข้าเมืองสำเร็จแล้ว โดยจะเข้าออกเมืองเวนิสได้ตั้งแต่ 08.30-16.00 น. เท่านั้น โดยทางเมืองได้คิดมาตรการไว้แล้วสำหรับผู้ที่คิดจะลักลอบเข้าเมืองโดยที่ไม่ลงทะเบียนจ่ายค่าเข้าเมืองนั้น หากเจอเจ้าหน้าที่ตำรวจสุ่มตรวจแล้วไม่พบ QR Code มาแสดงเป็นหลักฐานจะถูกปรับในวงเงินสูงสุดถึง 300 ยูโร หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 11,000 บาท

ซึ่งไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยวต่างชาติเท่านั้นที่ต้องจ่ายค่าเข้าเมืองเวนิส คนอิตาลีเองก็ต้องจ่ายด้วยเช่นกัน ไม่มีข้อยกเว้นแม้เป็นพลเมืองของประเทศ ซึ่งก็จะมีผู้ที่ได้รับการยกเว้น ‘ไม่ต้องจ่ายค่าเข้าเมืองเวนิส’ ได้แก่ นักเรียน, คนที่ทำในในเมืองเมนิส, เจ้าของบ้านพักอาศัยในเวนิส เท่านั้น

โดยในช่วงแรกของการเริ่มเก็บค่าเข้าเมืองจะยังไม่จำกัดคนเข้าในแต่ละวันเพื่อที่จะประเมินว่าเมื่อทางเจ้าหน้าที่เก็บค่าเข้าเมืองจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงมากน้อยเพียงใด โดยปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมืองนั้นเกิดขึ้นในหลายเมืองท่องเที่ยวยอดนิยม แม้ว่ารายได้จะเข้าสู่ร้านอาหาร โรงแรม ร้านค้าได้มากมาย แต่ก็นำพาความลำบากมาสู่ประชาชนพื้นถิ่น เพราะบ่อยครั้งที่พลเมืองไม่สามารถที่จะเดินทาง หรือ ขึ้นรถโดยสารสาธารณะได้เลยจากจำนวนของนักท่องเที่ยวที่มากขึ้น อีกทั้งค่าครองชีพในเมืองสูงลิบมากขึ้นเพราะบ้านเมืองของคนท้องถิ่นจะถูกเปลี่ยนให้เป็นโรงแรม ร้านค้าสำหรับขายให้นักท่องเที่ยวอีกด้วย

‘ไทย’ ครองแชมป์!! ยอดนักท่องเที่ยว 28.09 ล้านคน เพิ่มขึ้น 153% สูงเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน

(27 ม.ค. 67) นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ได้ร่วมประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 27 (ASEAN Tourism Forum : ATF 2024) ณ กรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่มีนางสวนสวรรค์ วิยะเกต รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแถลงข่าว วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว สปป.ลาว เป็นประธานการประชุมร่วมกับ นายเตียง คิง ซิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว ศิลปะ และวัฒนธรรม สหพันธรัฐมาเลเซีย

โดยรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน 10 ประเทศ ได้ร่วมแสดงเจตนารมณ์ ที่จะฟื้นฟูและส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ รับผิดชอบ และยั่งยืน มุ่งเน้นการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของอาเซียน และการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียน ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและครอบคลุม ผ่านการดำเนินกิจกรรมภายใต้แผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวอาเซียน ปี 2559 – 2568

สำหรับประเด็นที่น่าสนใจที่ได้จากการประชุม พบว่าในปี 2566 ตัวเลขท่องเที่ยวของภูมิภาคอาเซียน มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพิ่มขึ้น 153% เมื่อเทียบจากปีก่อนหน้า โดยแคมเปญการตลาดในปี 2566 ทั้ง 2 แคมเปญ ได้แก่ แคมเปญ ‘imag in ASEAN’ และแคมเปญฟื้นฟูการท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียน ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยมีผู้เข้าร่วมมากถึง 2,500 ล้านคนทั่วโลก

ทั้งนี้ ยังได้รับทราบรายงานสถานการณ์ท่องเที่ยวปัจจุบัน ของประเทศสมาชิกอาเซียน มีดังนี้

- ประเทศไทย มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าสูงสุดในปี 2566 จำนวน 28.09 ล้านคน เพิ่มขึ้น 153.94% จากปีก่อนหน้าที่มี 11.06 ล้านคน
- เวียดนาม มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 12.06 ล้านคน เพิ่มขึ้น 344.2% จากปีก่อนหน้าที่มี 3.66 ล้านคน
- สิงคโปร์ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 12.37 ล้านคน เพิ่มขึ้น 130% จากปีก่อนหน้ามี 5.37 ล้านคน
- กัมพูชา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5.45 ล้านคน เพิ่มขึ้น 139.5% จากปีก่อนหน้ามี 2.27 ล้านคน
- ฟิลิปปินส์ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5.45 ล้านคน เพิ่มขึ้น 105.38% จากปีก่อนหน้ามี 2.65 ล้านคน
- บรูไน มีนักท่องเที่ยว 82,109 คน เพิ่มขึ้น 345.61% จากปีก่อนหน้ามี 18,426 คน

ขณะเดียวกัน ที่ประชุมได้ติดตามมาตรการและกิจกรรมภายใต้แผนฟื้นฟูการท่องเที่ยวอาเซียน ภายหลังโควิด-19 ได้ดำเนินการไปแล้ว หรือกำลังดำเนินการอยู่ผ่านแผนปฏิบัติการภายใต้แผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวอาเซียนฯ ถึง 60% จึงได้ส่งเสริมให้ประเทศสมาชิกอาเซียนทบทวนกิจกรรมสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่ากิจกรรมเหล่านี้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวอาเซียน ปี 2559-2568 และข้อริเริ่มสำคัญอื่นๆ

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้หารือถึงการดำเนินการกิจกรรม ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวอาเซียน ปี 2559-2568 ตลอดจนประเด็นสำคัญอื่น ๆ ในปี 2566-2567 เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวที่รวดเร็วของภาคการท่องเที่ยวในอนาคต ให้สอดคล้องกับแนวทาง ‘การท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและมีความรับผิดชอบ : มุ่งสู่อนาคตอาเซียนที่ยั่งยืน’ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้แน่ใจว่าการท่องเที่ยวอาเซียนจะมีความสามารถในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลง และยั่งยืน

สำหรับ ในปี 2568 การประชุมด้านการท่องเที่ยวอาเซียน จะจัดขึ้นในวันที่ 25 มกราคม 2568 ภายใต้หัวข้อ ‘Unity in Motion : Shaping ASEAN’s Tourism Tomorrow’ โดยมีมาเลเซียเป็นเจ้าภาพ

เคาะแล้ว!! ฟรีวีซ่า ‘ไทย-จีน’ ดีเดย์ 1 มีนาคม 67 ‘ไทย-จีน’ ไปมาสะดวก อยู่ได้ต่อเที่ยว 30 วัน

(28 ม.ค. 67) นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมลงนามความตกลง และเอกสารสำคัญ กับนายหวัง อี้ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านการต่างประเทศพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ในโอกาสเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ

สาระสำคัญของการลงนามในครั้งนี้ คือ ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราซึ่งกันและกัน สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาและหนังสือเดินทางกึ่งราชการ หรือ ‘วีซ่าฟรี’ ให้กับชาวไทยเดินทางไปยังประเทศจีนได้สะดวกยิ่งขึ้น

โดยมาตรการฟรีวีซ่าจีน ครั้งนี้ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป และมีระยะเวลาพำนักแต่ละครั้งไม่เกิน 30 วัน

สำหรับนโยบายฟรีวีซ่าไทยจีน จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวระหว่างกัน โดยเฉพาะยอดนักท่องเที่ยวจีนที่จะเพิ่มขึ้นในไทย ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มมีการจองเข้ามามากขึ้น แต่ประเด็นที่ให้ความสำคัญมากกว่า คือ จำนวนวันที่อยู่ในไทย กับการใช้จ่ายต่อคน เพราะหลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย การเดินทางก็มีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยวจีน ที่คิดว่าจะเข้ามาเยอะมาก ก็ไม่ได้เข้ามาเยอะขนาดนั้น ดังนั้นนโยบายฟรีวีซ่า ก็จะมีโอกาสช่วยให้เกิดการจับจ่ายที่มากขึ้นจากนักท่องเที่ยวตามจำนวนวันที่อยู่ได้นานมากขึ้นไปด้วย เช่นเดียวกันกับคนไทยที่จะไปเที่ยวจีน รวมถึงการหาโอกาสทางธุรกิจ

‘สุริยะ’ กำชับ ทอท. เตรียมรับมือช่วงตรุษจีน  คาดนักท่องเที่ยวจีนทะลักเพิ่มขึ้น 200% 

บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) กระทรวงคมนาคม เตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางช่วงเทศกาลตรุษจีน นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกผู้โดยสารและผู้ใช้บริการอย่างเต็มประสิทธิภาพ สอดรับกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของรัฐบาลและมาตรการ Visa Free 

(1 ก.พ.67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลตรุษจีนระหว่างวันที่ 5 - 14 กุมภาพันธ์ 2567 คาดว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางผ่านท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ ทอท. กว่า 3.52 ล้านคน จึงสั่งการให้ ทอท. เตรียมความพร้อมทั้งด้านความปลอดภัยและบูรณาการความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับผู้โดยสารและปริมาณจราจรทางอากาศที่เพิ่มขึ้น และได้เน้นย้ำให้บริหารจัดการการให้บริการภาคพื้นให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวก รวดเร็ว สำหรับจุดตรวจคนเข้าเมืองได้สั่งการให้ตรวจเช็กความพร้อมของช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ หรือ Automatic channels รวมทั้งเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ให้บริการจุดตรวจคนเข้าเมืองทุกช่องบริการ และเตรียมพร้อมในกรณีระบบตรวจคนเข้าเมืองเกิดขัดข้อง เพื่อไม่ให้กระทบต่อภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศ 

นอกจากนี้ ทอท. ได้นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ใช้บริการอย่างเต็มประสิทธิภาพ สอดรับกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของรัฐบาลและมาตรการ Visa Free ซึ่งคาดว่าในปี 2567 จะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยกว่า 8 ล้านคน 

นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. ได้กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) และท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) โดยนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกผู้โดยสารและผู้ใช้บริการอย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งคาดการณ์ปริมาณผู้โดยสารประมาณ 3,523,929 คน เฉลี่ย 352,393 คนต่อวัน เพิ่มขึ้น 20% และมีเที่ยวบิน 21,115 เที่ยวบิน เฉลี่ย 2,112 เที่ยวบินต่อวัน เพิ่มขึ้น 16.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

โดย ทสภ. จะมีการเดินทางมากที่สุด 1,735,885 คน เฉลี่ย 173,588 คนต่อวัน เพิ่มขึ้น 24.3% และมีเที่ยวบิน 9,439 เที่ยวบิน เฉลี่ย 944 เที่ยวบินต่อวัน เพิ่มขึ้น 15.6% รองลงมา คือ ทดม. 842,251 คน เฉลี่ย 84,225 คนต่อวัน เพิ่มขึ้น 19.2% และมี 6,104 เที่ยวบิน เฉลี่ย 610 เที่ยวบินต่อวัน เพิ่มขึ้น 24.7%, ทชม. 284,123 คน เฉลี่ย 28,412 คนต่อวัน เพิ่มขึ้น 12.7% และมี 1,679 เที่ยวบิน เฉลี่ย 168 เที่ยวบินต่อวัน เพิ่มขึ้น 5.3%, ทภก. 523,988 คน เฉลี่ย 52,399 คนต่อวัน เพิ่มขึ้น 21.7% และมี 3,005 เที่ยวบิน เฉลี่ย 300 เที่ยวบินต่อวัน เพิ่มขึ้น 21.5%, ทหญ. 78,974 คน เฉลี่ย 7,897 คนต่อวัน ลดลง 9.2% และมี 529 เที่ยวบิน เฉลี่ย 53 เที่ยวบินต่อวัน ลดลง 8.8% และ ทชร. 58,709 คน เฉลี่ย 5,871 คนต่อวัน ลดลง 7% และมี 360 เที่ยวบิน เฉลี่ย 36 เที่ยวบินต่อวัน ลดลง 8.6%

ทั้งนี้ ในช่วงเทศกาลตรุษจีนมีสายการบินเฉพาะเส้นทางจีนแจ้งขอทำการบิน ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ ทอท. รวมกว่า 3,086 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 202.6% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีปริมาณผู้โดยสาร 458,813 คน เพิ่มขึ้น 220.2% โดยท่าอากาศยานที่แจ้งขอทำการบินมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ ทสภ. 1,799 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 193.4% ผู้โดยสาร 282,982 คน เพิ่มขึ้น 224.6% รองลงมา คือ ทดม. 662 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 366.5% ผู้โดยสาร 88,074 คน เพิ่มขึ้น 328.5% และ ทภก. 497 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 167.3% ผู้โดยสาร 69,342 คน เพิ่มขึ้น 170.1% 

นอกจากนี้ ทอท. เตรียมพร้อมรองรับผู้โดยสารชาวจีนจากนโยบายยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารเดินทางจีนและคาซัคสถาน (Visa Free) เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศ และจัดแคมเปญกระตุ้นตลาดด้านการบิน อาทิ ส่วนลดค่าบริการในการขึ้นลงของอากาศยาน ส่วนลดค่าบริการที่เก็บอากาศยาน และค่าบริการใช้สะพานเทียบเครื่องบิน (Landing Charges, Parking Charges และ Boarding Bridge Charges) ซึ่งในปี 2567 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยกว่า 8 ล้านคน

ทั้งนี้ ทอท. ได้จัดกิจกรรมสร้างความสุขและอวยพรนักท่องเที่ยวเพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน ระหว่างวันที่ 5 - 14 กุมภาพันธ์ 2567 ในทุกท่าอากาศยาน และขอความร่วมมือผู้โดยสารเผื่อเวลาเดินทางล่วงหน้า 2 - 3 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการพลาดเที่ยวบิน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ AOT Contact Center โทร. 1722 ตลอด 24 ชั่วโมง

กระบี่-เรือ นทท.นับร้อยลำแห่เข้าชมความงามอ่าวปิเละพีพีเลแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังเกาะพีพี ด้าน อช.พีพี หวั่นเกิดความเสียหายและอุบัติเหตุ 'สั่งล้อมคอก' บูรณาการส่วนราชการและส่วนที่เกี่ยวข้อง ลุยจัดระเบียบเรือเชิญผู้ประกอบการผู้เกี่ยวข้องประชุมหารือเร่งด่วน

วันที่ 5 ก.พ.67 นายยุทธพงค์ ดำศรีสุข หน.อช.หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี เปิดเผยว่า ตามนโยบาย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานฯ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ นายเพิ่มศักดิ์ คงแก้ว ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 สั่งการให้อุทยานแห่งชาติฯ จัดการดูแลสถานที่แหล่งท่องเที่ยว 

โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ให้ควบคุมดูแลความปลอดภัย อำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว บริหารจัดการเพื่อจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวให้เหมาะสมกับพื้นที่ ไม่ให้เกิดภาพความแออัด ให้ท่องเที่ยวอย่างสะดวกและปลอดภัย

โดยช่วงบ่ายวันที่ (5 ก.พ.) หน.อช.หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี บูรณาการร่วมหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง นำเรือตรวจการณ์สำรวจบริเวณแหล่งท่องเที่ยวอ่าวปิเละ แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังรองอันดับ 2 จากอ่าวมาหยา ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ พบในอ่าวปิเละ มีการสัญจรของเรือหนาแน่น ทั้งมลพิษกลิ่นควันจากท่อไอเสียของเรือ มลพิษด้านเสียง กลิ่นน้ำมัน อีกทั้งนทท.ลงเล่นน้ำนอกแนวเขตทุ่นไข่ปลา หวั่นเกิดอุบัติเหตุอันตรายขึ้นแก่นักท่องเที่ยว จึงเร่งหาแนวทาง"ล้อมคอกก่อนวัวหาย" 

ได้เชิญทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องประชุมหารือเร่งด่วนถึงแนวทางในการจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยวของเกาะพีพี โดยมีส่วนราชการ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนตำบลอ่าวนาง ,สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขากระบี่ ,สถานีตำรวจท่องเที่ยว 3 กก.2 ,สถานีตำรวจน้ำ 1 กก.9 ,ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 3 จังหวัดกระบี่ ,ศูนย์ควบคุมความมั่งคงท่าเรือกระบี่ ,สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ ,สถานีตำรวจภูธรเกาะพีพี ,ชมรมผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวเกาะพีพี ,ชมรมธุรกิจท่องเที่ยวเกาะพีพี ,กลุ่มพิทักษ์พีพี ,ชมรมเรือหางยาวเกาะพีพี ,ผู้ประกอบการเรือหางยาว และผู้ประกอบการท่องเที่ยว ณ ห้องประชุมโรงแรม พีพี อันดามัน บีช รีสอร์ท (เกาะพีพี) จังหวัดกระบี่

หน.อช.หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี เผยอีกว่า ในที่ประชุม อุทยานแห่งชาติฯ ได้รายงานสภาพปัญหาการท่องเที่ยวบริเวณอ่าวปิเละ และศักยภาพการท่องเที่ยวตามหลักวิชาการ โดยอ่าวปิเละ หรือปิเละ ลากูน เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีลักษณะโดดเด่น สวยงาม ตั้งอยู่ที่เกาะพีพีเล มีแอ่งน้ำลักษณะคล้ายกับลากูน โดยเป็นแอ่งถูกล้อมรอบด้วยหน้าผาสูง น้ำทะเลสดใสเขียวมรกต เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ 

และอยู่ใกล้กับอ่าวมาหยาที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของอุทยานฯ ปัจจุบันแหล่งท่องเที่ยวอ่าวปิเละ มีเรือนำเที่ยวและนักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ในแต่ละวันมีเรือเข้าไปท่องเที่ยว เฉลี่ยประมาณ 120 ลำ ประกอบด้วย เรือหางยาว เรือสปีดโบ๊ท ซึ่งกิจกรรมส่วนใหญ่ เป็นการเข้าไปให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพ และว่ายน้ำ ด้วยความหนาแน่นของเรือที่เกิดจากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ ทำให้มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย มีภูมิทัศน์ไม่สวยงาม เกิดมลพิษ ทั้งทางด้านเสียงจากเครื่องยนต์เรือ และมลพิษทางอากาศ 

ซึ่งนักท่องเที่ยวที่เข้าไปได้รับโดยตรง ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะหาแนวทางในการจัดการแก้ไขปัญหา ซึ่งต้องบูรณาการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาคเอกชน และผู้ประกอบการในพื้นที่และต่างพื้นที่ที่เข้ามาใช้ประโยชน์ เพื่อที่จะหาแนวทางกำหนดกฎกติกาในการจัดระเบียบการท่องเที่ยวในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ 

เพื่อสามารถจัดการแหล่งท่องเที่ยวและใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน โดยอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธาราฯ ได้ดำเนินการของบประมาณในการติดตั้งท่าเทียบเรือลอยน้ำ และทุ่นไข่ปลา เพื่อเพิ่มศักยภาพในการเข้า-ออกของเรือ และอำนวยความสะดวกด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว รวมถึงเพิ่มทุ่นจอดเรือให้ครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวทุกแหล่ง เพื่อป้องกันมิให้มีการทิ้งสมอเรือ หรือท่องเที่ยวที่อันจะเกิดผลกระทบต่อปะการังในแหล่งท่องเที่ยว โดยที่ประชุมดังกล่าวได้ร่วมกันหารือปัญหา และเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา และได้มีมติที่ร่วมกันที่ในการจัดระเบียบการท่องเที่ยวในอ่าวปิเละลากูน ในเบื้องต้น ดังนี้

1. ลดจำนวนเรือหางยาวที่ไม่มีนักท่องเที่ยว โดยไม่ให้ เข้าไปจอดหรือดำเนินการเปลี่ยนถ่ายนักท่องเที่ยวจากเรือสปีดโบ๊ทไปยังเรือหางยาวภายในอ่าวปิเละ  ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายแก่นักท่องเที่ยว รวมถึงสามารถลดปัญหามลภาวะทางเสียงและอากาศในพื้นที่ได้ 

2. จัดโซนเล่นน้ำภายในอ่าวปิเละ ให้เล่นเฉพาะจุดที่เจ้าหน้าที่กำหนดไว้เท่านั้น 

3. จัดทำเสาแสดงระดับน้ำขึ้นลงด้านหน้าอ่าวเพื่อจำกัดช่วงเวลาเข้าออกของเรือทั้งนี้อุทยานแห่งชาติมีแผนงานแก้ไขปัญหาจัดระเบียบเรือในพื้นที่ดังกล่าว  3 มาตรการ ดังนี้
มาตรการที่ 1 การจัดการด้านพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในแหล่งท่องเที่ยว
1.1 เพิ่มทุ่นจอดเรือบริเวณหน้าอ่าวปิเละ เพื่อรองรับการจอดเรือของเรือสปีดโบ๊ท/กรณีน้ำลดลงต่ำที่เรือขนาดใหญ่ไม่สามารถเข้าไปได้
1.2 ของบสนับสนุนในการจัดตั้งทุ่นลอยน้ำสำหรับให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานประจำอ่าวปิเละ
ในการควบคุมตรวจสอบการดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว
1.3 ของบประมาณจัดทำทุ่นจอดเรือภายในอ่าวปิเละ เพื่อรองรับการจอดเรือ สำหรับกำหนดรอบในการเข้าไปท่องเที่ยว

มาตรการที่ 2 จัดประชุมชี้แจงทำความเข้าใจกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย 
2.1 ร่วมหารือแนวทางการจัดระเบียบปริมาณเรือที่เข้า-ออก ไปใช้พื้นที่อ่าวปิเละ เพื่อไม่ให้เกิดความหนาแน่น และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ
2.2 นำความเห็นเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาอุทยานแห่งชาติ  (PAC) เพื่อขอมติรับรอง�การดำเนินการตามมาตรการแนวทางการจัดระเบียบและข้อปฏิบัติในการเข้าไปยังแหล่งท่องเที่ยวปิเละลากูน ซึ่งจะมีการประชุมในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 นี้
2.3 ออกมาตรการกำหนดแนวทางการจัดระเบียบและข้อปฏิบัติในการเข้าไปยังแหล่งท่องเที่ยว�ปิเละลากูน พร้อมประชาสัมพันธ์นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ ที่เกี่ยวข้องทราบ
2.4 ดำเนินการมาตรการแนวทางการจัดระเบียบและข้อปฏิบัติในการเข้าไปยังแหล่งท่องเที่ยวปิเละลากูน พร้อมจัดกำลังเจ้าหน้าที่เข้าปฏิบัติงานตรวจสอบควบคุม ให้เป็นไปตามเป้าหมาย

มาตการที่ 3 ตรวจสอบร่วมบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการควบคุม ดูแล การท่องเที่ยวทางเรือ
3.1 เรือที่เข้าไปท่องเที่ยวและให้บริการนักท่องเที่ยว ต้องได้รับอนุญาตประกอบกิจการท่องเที่ยวจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
3.2 เรือที่ให้บริการนักท่องเที่ยวต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
3.3 ผู้ขับเรือ ต้องผ่านการฝึกอบรม เกี่ยวกับการให้บริการนักท่องเที่ยว การช่วยปฐมพยาบาลขั้นต้นหรือด้านอื่นๆ ที่จะช่วยยกระดับการท่องเที่ยวโดยใส่ใจสิ่งแวดล้อม

จากการประชุมดังกล่าว ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการเรือหางยาว ผู้ประกอบธุรกิจบนเกาะพีพี รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตที่เข้ามาท่องเที่ยว ที่จะดำเนินการตามแนวทางและกฎระเบียบที่กำหนด เพื่อให้แหล่งท่องเที่ยวดังกล่าวได้รับการจัดการที่เหมาะสม สามารถใช้อำนวยประโยชน์ทางด้านการท่องเที่ยว ได้อย่างยั่งยืนต่อไป

 ผบช.สตม. ประชุมเตรียมพร้อมรับมือคลื่นนักท่องเที่ยวเทศกาลตรุษจีน 2567

ตามนโยบายสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองโดย พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. ซึ่งตระหนักเห็นความสำคัญในการเตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวช่วงเทศกาลตรุษจีน 2567 
สอดรับกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของนายกรัฐมนตรี และมาตรการยกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยวจีนโดยรัฐบาลไทย - จีน ได้ร่วมกันลงนาม “ความตกลง” ยกเว้นวีซ่าไทย-จีน” หรือฟรีวีซ่า มีผลบังคับใช้ 1 มีนาคม 2567

วันที่ 6 ก.พ.67 เวลา 14.00 น. พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา รอง ผบช.สตม. ได้มาเป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมการอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารช่วงเทศกาลตรุษจีน 2567 
โดยมี พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ผบก.ตม.2 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ณ ห้อง ศปก.บก.ตม.2 
ชั้น 4 อาคารผู้โดยสาร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้จัดทำมาตรการในการรองรับการอำนวยความสะดวกด้านพิธีการเข้าเมือง
ภายใต้หลักความมั่นคง ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามแผนอำนวยความสะดวกด้านพิธีการเข้าเมืองในช่วงเทศกาลตรุษจีน 2567 โดยจะมีการปฏิบัติในช่วงวันที่ 8 – 14 ก.พ.67 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในช่วงเวลาดังกล่าว จำนวนวันละกว่า 80,000 คน และมีมาตรการในการเตรียมความพร้อมรองรับปริมาณนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ 
และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ที่สำคัญ ดังนี้
1. มีการจัดกำลังพลเต็มอัตราทุกช่องตรวจในช่วงที่มีเที่ยวบินหนาแน่น เพื่อเร่งระบายผู้โดยสารที่สะสม
ในโถงพักคอยให้ได้ภายในเวลา 30 นาที
2. กรณีเกิดระบบสารสนเทศตรวจคนเข้าเมืองขัดข้อง ให้ ด่าน ตม.ทอ.ในสังกัด บก.ตม.2 ถือปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุ (COMDOWN 67)
3. เพิ่มศักยภาพในการระบายผู้โดยสารโดยมีการเปิดใช้เครื่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ Automatic channel นำร่องที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
4. เตรียมความพร้อมโดยให้ ศท.ตม. เตรียมเจ้าหน้าที่พร้อมรองรับการแก้ปัญหาในกรณีฉุกเฉินเมื่อเกิดสถานการณ์ระบบสารสนเทศตรวจคนเข้าเมืองขัดข้อง
นอกจากนั้นยังให้ ศท.ตม. และ บริษัทผู้ดูแลระบบ Biometrics ยืนยันและรับรองความเชื่อมั่นในการป้องกันระบบขัดข้องเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายเหมือนที่เกิดสถานการณ์ช่วงปลาย ม.ค.67 ที่ผ่านมาอีก โดย ศท.ตม. และบริษัทผู้ดูแลระบบให้การรับประกัน

หลังจากนี้วันที่ 8 - 9 ก.พ.67 ทาง พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม.จะเดินทางไปตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ ด่าน ตม.ทอ.ภูเก็ต และ ด่าน ตม.ทอ.เชียงใหม่ เพื่อกำชับการปฏิบัติตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีต่อไป

'สวนนงนุชพัทยา' ต้อนรับเทศกาลตรุษจีนปีมังกรทอง จัดขบวนช้างแสนรู้เชิดสิงโต อวยพรให้นักท่องเที่ยว

วันที่ 8 ก.พ.เวลา 09.00 น.สวนนงนุชพัทยาโดยคุณกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ได้จัดขบวนแห่ช้างเชิดสิงโต ต้อนรับเทศกาลตรุษจีน ประจำปี 2567 ขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ประกอบไปด้วยการจัดขบวนช้างเชิดสิงโต และยังมีเหล่าบรรดานางฟ้า นางสวรรค์ ออกมาร่ายรำอำนวยอวยพร และมีการแจกส้มจากน้องช้างเพื่อความเป็นสิริมงคลให้แก่นักท่องเที่ยว

โดยการกิจกรรมดังกล่าว จัดเพื่อเป็นเฉิลมฉลองเทศการตรุษจีนของชาวจีนและชาวไทยเชื่อสายจีน ซึ่งสวนนงนุชพัทยามีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเยี่ยมชมจากหลากหลายประเทศ กิจกรรมนี้ถือเป็นอีกหนึ่งเทศกาลที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว สร้างบรรยากาศความสนุกสนานครึกครื้น ให้กับผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม

ซึ่งการจัดขบวนแห่ใช้น้องช้างมากกว่า 10 เชือกและนักแสดงของสวนนงนุชพัทยาร่วมขบวน 60 คน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 ก.พ. - 11 ก.พ. 2567 สำหรับผู้ที่ต้องการมาเที่ยวชมมีโปรโมชั่นพิเศษ คนเกิดเดือนกุมภาพันธ์ ลดทันที 50 % สำหรับบัตรผ่านประตู ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปเข้าฟรีทุกวันศุกร์ เด็กความสูงไม่เกิน 140 ซม.ที่มากับครอบครัว และผู้พิการพร้อมผู้ติดตามเข้าฟรีทุกวัน ส่วนรอบการแสดงนงนุชโชว์และช้างแสนรู้ แสดงวันละ 4 รอบ เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 08.00 น.- 18.00 น.


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top