Tuesday, 14 May 2024
นักท่องเที่ยว

‘เมืองโบราณศรีเทพ’ แน่น!! นทท.ปักหลักตั้งแต่ประตูยังไม่เปิด แห่ชมความยิ่งใหญ่อลังการสมเป็น ‘มรดกโลก’ ทางวัฒนธรรม

(23 ก.ย.66) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการท่องเที่ยวภายในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ และเขาคลังนอก แหล่งโบราณคดีสำคัญของเมืองโบราณศรีเทพมรดกโลก อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ เป็นไปด้วยความคึกคัก โดยมีนักท่องเที่ยว รวมทั้งประชาชนชาวเพชรบูรณ์พาครอบครัว แห่ไปเที่ยวชมและสัมผัสกับโบราณสถานที่มีอารยธรรมเก่าแก่กว่า 1,000 ปี กันอย่างเนืองแน่น โดยเฉพาะรถรางนักท่องเที่ยวถึงกับต่อแถวรอคิวใช้บริการยาว นอกจากนี้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต่างงัดมือถือขึ้นมาเพื่อถ่ายรูปเซลฟี่คู่โบราณสถาน เพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสที่ทางยูเนสโกประกาศให้เมืองศรีเทพเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม

นายวีระวัฒน์ วัฒนวงศ์พฤกษ์ นายอำเภอศรีเทพ กล่าวว่า เมื่อเช้านี้หลังจากได้รับรายงานว่านักท่องเที่ยวพากันแห่มาเที่ยวชมโบราณสถานที่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพหนาแน่น โดยเฉพาะมีรถนักท่องเที่ยวถึงกับไปจอดรอบริเวณทางเข้าก่อนเวลา 08.00 น. หรือก่อนอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพจะเปิดให้เข้าชม จึงเดินทางไปดูบรรยากาศดังกล่าว พบนักท่องเที่ยวมากันค่อนข้างหนาแน่น

“ในขณะที่ทางอุทยานเปิดให้เข้าชมฟรี โดยนักท่องเที่ยวดูให้ความสนใจเรื่องราวของเมืองโบราณศรีเทพมาก โดยเฉพาะโบราณสถานหลักๆ อาทิ ปรางค์ศรีเทพ, ปรางค์สองพี่น้อง, เขาคลังใน และรูปปั้นคนแคระที่บริเวณส่วนฐาน ซึ่งสังเกตว่านักท่องเที่ยวจะพากันถ่ายรูปเซลฟี่กันถ้วนหน้า”

นายวีระวัฒน์กล่าวว่า ส่วนที่เขาคลังนอกมีท่องเที่ยวหนาตาเช่นเดียวกัน โดยบรรยากาศไม่แตกต่างมากนัก แต่นักท่องเที่ยวยังไม่มากเท่าภายในอุทยานฯ ศรีเทพ อย่างไรก็ตามคาดว่าช่วงบ่ายนักท่องเที่ยวน่าจะเข้าไปชมเขาคลังนอกกันมากขึ้น

ในขณะที่นักท่องเที่ยวสาวจาก กทม.รายหนึ่ง กล่าวว่า เพราะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ จึงวางโปรแกรมพาครอบครัวมาเที่ยวที่ จ.เพชรบูรณ์ โดยเฉพาะตั้งใจมาชื่นชมเมืองโบราณศรีเทพมรดกโลก โดยเข้าชมโบราณสถานของเมืองศรีเทพ ภายในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพก่อน จากนั้นจะเดินทางไปชมเขาคลังนอก แล้วค่อยเดินทางไปที่เขาค้อและพักค้างคืน

“ยอมรับว่าโบราณสถานเมืองศรีเทพน่าตื่นตาตื่นใจและยิ่งใหญ่สมกับเป็นมรดกโลกมาก ในฐานะคนไทย ภาคภูมิใจที่ประเทศเรามีแหล่งโบราณคดีที่มีอารยธรรมเก่าแก่กว่า 1,000 ปี โดยเฉพาะได้รับการยอมรับจากสังคมโลกอีกด้วย” นักท่องเที่ยวรายนี้กล่าว

‘ธนกร’ ปลื้ม นทท.แห่มาไทยเพียบ เงินเข้าประเทศกว่า 8 แสนล้านบาท ชี้ เป็นผลพวง ‘รัฐบาลบิ๊กตู่’ สอดคล้อง ‘รัฐบาลเศรษฐา’ เร่งเครื่องเต็มที่

(30 ก.ย.66) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงกรณีนักท่องเที่ยวแห่บินเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวของไทยเรา ตั้งแต่ 1 มกราคม จนถึง 24 กันยายน 2566 มีจำนวนนักท่องเที่ยวมาจากต่างประเทศจำนวนมาก

เมื่อถามว่า การที่รัฐบาลออกนโยบายเร่งด่วน มาตรการวีซ่าฟรีให้นักท่องเที่ยวชาวจีนกับคาซัคสถาน เมื่อวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมานั้น ส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวอย่างไร  นายธนกร กล่าวว่า จากข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวประเทศไทยมากขึ้น และมากที่สุดคือ  มาเลเซีย จีน เกาหลีใต้ อินเดียและรัสเซีย กลุ่มเหล่านี้ก็เป็นนักท่องเที่ยวที่นิยมมาเที่ยวประเทศไทย อย่างที่ทราบกันดีว่ารัฐบาลนี้ได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นมาตรการเร่งด่วน ที่สำคัญถือเป็นผลพวงมาจากการที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างจริงจังและต่อเนื่องมาโดยตลอด และรัฐบาลชุดนี้ก็เร่งเครื่องภาคธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ด้วย 

นายธนกร กล่าวว่า มาตรการเร่งด่วนกระตุ้นการท่องเที่ยว แบบวีซ่าฟรี ให้กับจีนและคาซัคสถาน คาดว่าจะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจีนได้อีกมาก โดยเฉพาะช่วงปลายปี ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยว ทั้งปีรวมแล้ว เกินกว่าที่คาดการณ์เอาไว้เดิมที่ 30 ล้านคน โดยจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวประเทศไทยมากที่สุดคือ มาเลเซีย จีน เกาหลีใต้ และอินเดีย รวมรายได้จากการท่องเที่ยวตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 1.3 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 8.15 แสนล้านบาท นักท่องเที่ยวไทย 5.12 แสนล้านบาท 

นายธนกร กล่าวว่า ไม่เพียงเท่านั้น เราก็จะต้องสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวให้มั่นใจว่า เมื่อมาเที่ยวประเทศไทย ต้องเที่ยวอย่างปลอดภัย ประทับใจ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ที่ปีที่ผ่านมา เข้ามาเที่ยวประเทศไทยสูงเป็นอันดับ 1 แต่ปีนี้ลดลงมารองจากมาเลเซีย เกิดจากความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนที่มีต่อประเทศไทยในเรื่องความปลอดภัย ประกอบกับการฟื้นตัวของสายการบินที่ฟื้นตัวไม่เต็มที่

นายธนกร กล่าวว่า ในระยะสั้นและระยะต่อไป เราต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะในด้านความปลอดภัย ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเที่ยวประเทศไทยโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง มีค่าใช้จ่ายต่อหัวสูง มาพักอาศัยเป็นระยะเวลานาน รัฐบาลอาจส่งเสริมให้ไทยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ต้นทุนไม่สูงมากนัก แต่นักท่องเที่ยวจะได้รับความประทับใจในการให้บริการด้านสุขภาพ ด้านการพักผ่อน หรือแม้กระทั่งมาใช้ประเทศไทยในการพำนักหรือมาทำงานทางไกล รวมถึง สนับสนุนคนไทยเที่ยวในประเทศแทนการไปเที่ยวต่างประเทศก็จะช่วยรักษาเม็ดเงินหมุนเวียนจากการท่องเที่ยวภายในประเทศไม่ไหลออกได้

‘AIS’ ใจป้ำ!! จับมือ ‘ททท.’ กระตุ้นท่องเที่ยวไทยช่วงไฮซีซัน แจกฟรี 1 ล้านซิมให้นทท. ตั้งแต่ 17 ต.ค.66 จนถึง 31 มี.ค.67

(11 ต.ค.66) รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ฉัททันต์ กุญชร ณ อยุธยา ระบุ ปี 2566 ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วกว่า 20.3 ล้านคน การฟื้นตัวที่สำคัญมาจากนักท่องเที่ยวตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ จำนวนถึง 14.7 ล้านคน เช่น จีน มาเลเซีย อินเดีย 

ททท. จึงเพิ่มแรงส่งอย่างต่อเนื่องด้วยการอำนวยความสะดวกด้านระบบสื่อสารและบริการดิจิทัลที่จะสนับสนุนพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ให้สะดวกสบายผ่านโลกออนไลน์ได้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งถือเป็นกลยุทธ์ที่ดีในการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยรับไฮซีซันส่งท้ายปลายปี 2566

หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS ปรัธนา ลีลพนัง ระบุ จากพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน นิยมใช้บริการทุกด้านผ่านทาง Digital Channel ทั้งการทำธุรกรรมทางการเงิน, การจองที่พัก, ช้อปปิ้ง รวมไปถึงการใช้บริการของภาครัฐเอง นอกจากนี้ ยังมีกลุ่ม Digital Nomad ที่นิยมเดินทางท่องเที่ยว พร้อมกับ Work From Anywhere จากทุกมุมโลก 

โดยร่วมกับ ททท. เปิดตัวแคมเปญ Welcome Back to Thailand ผ่าน Amazing Thailand SIM ที่มีแพ็กเกจการใช้งานและสิทธิพิเศษที่ครอบคลุมทุก Lifestyle ให้กับนักท่องเที่ยว

รวมถึงทำงานร่วมกับภาครัฐเพื่อเตือนภัยผ่านทางเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้กับนักท่องเที่ยวสร้างความมั่นใจว่า สามารถเที่ยวเมืองไทยได้อย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นมาตรการเบื้องต้นที่ภาคเอกชนพร้อมจะสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ให้เป็น Key Driver หลักในการพลิกฟื้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้

สำหรับแคมเปญ ‘TAT x AIS 5G: Welcome Back to Thailand’ จะมอบแพ็กเกจซิมโทรศัพท์มือถือ จำนวน 1 ล้านซิม พร้อมสิทธิพิเศษจากพันธมิตรในรูปแบบ e-voucher ให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2566 - 31 มีนาคม 2567 โดยแจกจ่ายผ่านสำนักงาน ททท. ภูมิภาคเอเชีย และแปซิฟิกใต้ ให้เป็นเครื่องมือทำการตลาดร่วมกับบริษัทนำเที่ยว OTA สายการบิน สมาคมต่าง ๆ ในต่างประเทศ ตั้งแต่ก่อนนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์การเดินทางที่น่าประทับใจมากยิ่งขึ้น

'อ.พงษ์ภาณุ' มองท่องเที่ยวไทย ภายใต้เศรษฐกิจจีน 'เปราะบาง' ยกเว้นวีซ่า ช่วยได้แค่ไหน แม้ไทยจะเป็นจุดหมายเบอร์ 1

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่พูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น การท่องเที่ยวไทย ภายใต้เศรษฐกิจจีน 'เปราะบาง' และการยกเว้นวีซ่า จะช่วยได้จริงหรือไม่? เมื่อวันที่ 15 ต.ค.66 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

การท่องเที่ยวของไทยปีนี้แม้ว่าจะยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ตอนต้นปีและยังไม่สามารถกลับเข้าสู่ระดับก่อนโควิด 19 ได้ แต่ก็มีแนวโน้มดีขึ้นเป็นลำดับ กล่าวคือ 8 เดือนแรกของ 2566 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยแล้วกว่า 12 ล้านคน และอาจจะบรรลุเป้า 30 ล้านคน สร้างรายได้ 1.3 ล้านล้านบาท หากทุกฝ่ายร่วมมือกันเต็มที่

มาตรการยกเว้นวีซ่า (Visa Free) ชั่วคราวแก่นักท่องเที่ยวจีน ของรัฐบาล จึงได้รับการจับตามองว่าจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้ได้หรือไม่ แต่ต้องถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากทางการจีน โดยเฉพาะในจังหวะที่จีนกำลังเข้าสู่วันหยุด Golden Week เนื่องในวันชาติจีน (1 ตุลาคม) ซึ่งจากผลสำรวจของ Trip.com มักมีชาวจีนกว่า 20 ล้านคนเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว และประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางอันดับ 1 ของนักท่องเที่ยวเหล่านี้ 

ดังนั้น หากนโยบายยกเว้นวีซ่า ประสบความสำเร็จในการดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาในช่วง Golden Week นี้ น่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปให้กลับมาคึกคักได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่จีนกำลังมีปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้า ก็ยากที่จะด่วนสรุปว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาเหมือนเดิมได้หรือไม่ 

เพราะตอนนี้ จีนเจอปัญหาหลายด้าน ทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในภาวะฟองสบู่แตกกำลังประสบปัญหาหนี้สินอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และยากที่จะแก้ไขได้ในเวลารวดเร็ว รวมถึงความขัดแย้งกับสหรัฐอเมริกาในเชิงภูมิรัฐศาสตร์โลก ก็กำลังซ้ำเติมปัญหาภายในของจีน สะท้อนจากการลดลงอย่างต่อเนื่องของมูลค่าการส่งออก และการลงทุนจากต่างประเทศ ขณะที่รัฐบาลจีนเอง ก็ดูจะมีความล่าช้าที่จะใช้นโยบายการคลังและการเงินเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างทันการ 

ความเปราะบางของจีนขณะนี้ จึงถือเป็นความเสี่ยงใหญ่ที่อาจกระทบเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ซึ่งจริงๆ ก็กำลังเผชิญอยู่ จนต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด...

‘รัฐบาล’ ขอบคุณ ‘นทท.จีน’ ที่เชื่อมั่น ยืนยันมาไทยเกือบ 6 แสนคน หลังเกิดเหตุกราดยิง สัญญาจะคุมเข้มดูแลความปลอดภัยเต็มที่

(14 ต.ค.66) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า รัฐบาลขอบคุณความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนที่มีต่อประเทศไทย ซึ่งจากการสำรวจพบว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวยังคงยืนยันเที่ยวบินและที่พักถึง 5.9 แสนคน รัฐบาลให้สัญญาจะดำเนินมาตรการ ดูแลความปลอดภัย แก่นักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ โดยตัวเลขจากการท่าอากาศยานไทยแสดงว่านักท่องเที่ยวจีนที่จองการเดินทางเข้ามาในประเทศไทย 6.5 แสนคน ก่อนเกิดเหตุการณ์ที่สยามพารากอน ยังคงยืนยันที่พัก และเที่ยวบินมาที่ไทยถึง 5.9 แสนคน ลดน้อยลงเพียง 9.2% ซึ่งถือว่าเป็นความเบี่ยงเบนที่อยู่ในเกณฑ์ปกติ จึงสะท้อนได้ว่านักท่องเที่ยวจีนยังคงมีความเชื่อมั่นที่จะมาเที่ยวเมืองไทยเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า เมื่อเทียบกับภาวะปกติที่ตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวจริงจะแตกต่างจากจำนวนที่จองเข้ามาล่วงหน้าราวๆ +-15% ดังนั้นจึงถือได้ว่า ความแตกต่างของตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาเที่ยวไทยก่อนและหลังเหตุการณ์ที่สยามพารากอนมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ในเกณฑ์ปกติ สะท้อนให้เห็นว่านักท่องเที่ยวจีนยังคงมีความเชื่อมั่นในประเทศไทย และยืนยันที่จะเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยเช่นเดิม

“รัฐบาลไทยขอขอบคุณนักท่องเที่ยวจีนที่เข้าใจประเทศไทย และเชื่อมั่นในรัฐบาลไทย โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้สั่งการกำชับการทำงานให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามมาตรการที่ยกมาตรฐานขึ้นอย่างดีที่สุด เพื่อดูแลนักท่องเที่ยว รวมทั้งเพื่อดูแลพี่น้องคนไทยทุกคน” นายชัย กล่าว

'นทท.ต่างชาติ' ขอบคุณทั้งน้ำตาหลังได้กล้องคืน ลั่น!! "ตำรวจไทย คือ ตำรวจที่ดีที่สุดในโลก"

(16 ต.ค. 66) "กล้อง ผมซื้อใหม่ได้ แต่รูปภาพพวกนี้ ผมจะหาได้จากที่ไหนอีก" นักท่องเที่ยวชาวสเปนกล่าวทั้งน้ำตา หลังได้รับ E-Mail จากสืบดอนเมืองให้มารับกระเป๋ากล้อง และเมื่อเปิดกระเป๋าเพื่อตรวจสอบของมีค่าด้านใน ปรากฏว่าสิ่งของภายในอยู่ครบหมด ไม่มีหายเลยสักชิ้น ทั้งกล้องและเมมโมรี่การ์ดและอื่น ๆ ซึ่งมีมูลค่ามหาศาล 

โดยคลิปดังกล่าวนี้กลายเป็นไวรัลชั่วข้ามคืน หลังจากผู้ใช้ TikTok รายหนึ่งที่ชื่อว่า @vikkipatara หรือ หมวดไวกิ้ง ได้แชร์คลิปนักท่องเที่ยวชายชาวสเปนรายหนึ่งที่ได้กระเป๋ากล้องคืนหลังทำหายไป โดยทางนักท่องเที่ยวชายรายนี้ดีใจมากที่เมมโมรี่การ์ดของเขายังอยู่ เพราะเขารู้สึกว่าต่อให้กล้องจะหายไป เขายังสามารถเก็บเงินซื้อได้ใหม่ แต่หากเมมโมรี่การ์ดในกล้องที่บันทึกภาพความสวยงามของเมืองไทยนั้นหายไป เขาคงเสียใจเป็นอย่างมาก

เขากล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจดอนเมืองทั้งน้ำตา พร้อมกับบอกอีกว่าเมื่อเขากลับสเปน เขาจะไปบอกกับชาวสเปนทุกคนว่า ‘ตำรวจไทย’ ดีขนาดไหน สำหรับใครที่จะมาเที่ยวเมืองไทย จะได้รู้สึกปลอดภัย และย้ำอีกว่า "พวกคุณคือตำรวจที่ดีที่สุดในโลก" งานนี้เล่นเอาคุณตำรวจในคลิปถึงกับซึ้งจนน้ำตาไหลเลยทีเดียว

‘รมว.กก.’ ปลื้ม!! ยอดต่างชาติแห่เที่ยวเมืองไทย แตะ 21 ล้านคน โกยเม็ดเงินเข้าประเทศ 8.8 แสนล้าน พบ ‘นทท.มาเลฯ’ ยืนหนึ่ง!!

(17 ต.ค. 66) นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ประเมินเบื้องต้น พบว่า จากสถิติประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-16 ตุลาคม 2566 รวมกว่า 21,019,800 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 882,450 ล้านบาท

น.ส.สุดาวรรณกล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมามีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวยุโรปเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 6.71% หรือเพิ่มขึ้น 5,227 คน เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซัน) ประกอบกับสายการบินเริ่มปรับเพิ่มจำนวนเที่ยวบินของนักท่องเที่ยวภูมิภาคยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวรัสเซีย ส่งผลให้สัปดาห์ที่ผ่านมา ในภาพรวมไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 470,299 คน คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 67,186 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่อยู่ประมาณ 27,226 คน หรือลดลง 5.56%

น.ส.สุดาวรรณกล่าวว่า 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ มาเลเซีย เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุด จำนวน 74,233 คน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2% รองลงมา ได้แก่ จีน 61,094 คน ปรับลดลง 18.64%, อินเดีย 30,170 คน ปรับลดลง 11.32%, เกาหลีใต้ 27,264 คน ปรับลดลง 11.31% และรัสเซีย 22,018 คน ปรับลดลง 2.88%

โดยในสัปดาห์ถัดไป คาดว่านักท่องเที่ยวจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยหลังจากสิ้นสุดวันหยุดยาว โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียตะวันออกและภูมิภาคโอเชียเนีย อีกทั้งมีความกังวลต่อภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยของไทย รวมถึงการเข้าสู่ภาวะสงครามของอิสราเอล นอกจากนั้น การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวระหว่างประเทศและในประเทศ ยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเหตุความขัดแย้ง ตลอดจนภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

‘รัฐบาล’ เผย!! ‘นทท.ต่างชาติ’ เพิ่มขึ้นทุกภูมิภาคในหนึ่งสัปดาห์ สร้างรายได้กว่า 9 แสนลบ. สะท้อนผลสำเร็จจากนโยบายรัฐฯ

(8 พ.ย.66) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย พบว่านักท่องเที่ยวชาวยุโรปขยายตัวเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 28.75 หรือ 32,053 คน และนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียขยับเพิ่มขึ้นมาเป็นอันดับที่ 3 ของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมายังประเทศไทย ซึ่งเป็นตัวเลขในช่วงเวลาเพียง 1 สัปดาห์ ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน 2566 

นายชัย กล่าวว่า จากการคาดการณ์ของกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงสัปดาห์ (30 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน 2566) จะมีจำนวนเพิ่มขึ้น ซึ่งผลปรากฏว่า สถิติจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยสอดคล้องกับการประเมินดังกล่าว โดยมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 557,554 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 6 พฤศจิกายน 66) เพิ่มจากสัปดาห์ก่อนหน้าร้อยละ 10.26 หรือเพิ่มขึ้น 51,882 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมทั้งสิ้นกว่า 954,239 ล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุด รองลงมา ได้แก่ จีน รัสเซีย อินเดีย และเกาหลีใต้ ตามลำดับ

นายชัย กล่าวว่า โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาวของเที่ยวบินจากยุโรป และภูมิภาคเอเชียตะวันออก การมีวันหยุดต่อเนื่องในเทศกาลดิวาลีของอินเดีย รวมทั้งสะท้อนผลสำเร็จจากมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐที่อำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว ทั้งการยกเลิกบัตร ตม.6 ด่านสะเดา เป็นการชั่วคราว การยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง หรือ วีซ่าฟรีให้แก่นักท่องเที่ยวชาวจีน คาซัคสถาน อินเดีย และไต้หวัน รวมถึงการขยายวันพำนักให้กับนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียอีกด้วย

นายชัย กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ความสำคัญในการกำหนดนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศ ถือเป็นนโยบายเร่งด่วน พลิกฟื้น และขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยว ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะสร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ พร้อมชื่นชมความร่วมมือของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมกันสนับสนุนการทำงานซึ่งกันและกันอย่างบูรณาการทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในไทยมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนผลสำเร็จจากมาตรการเชิงรุกต่าง ๆ ของรัฐบาล

‘สุวัจน์’ อิ่มบุญ ร่วมทอดกฐินวัดทุ่งสว่าง จ.นครราชสีมา ชี้!! โคราชครบ 555 ปี หวังดันเป็น Soft Power ดึง นทท.

(18 พ.ย. 66) ที่วัดทุ่งสว่าง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการฝ่ายฆราวาสและผู้แทนเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคีเทศบาลนคร (ทน.) นครราชสีมา ประจำปี พ.ศ. 2565 ถวายองค์กฐินและเครื่องไทยธรรมแด่ พระครูอุดมวรรโณภาส ประธานกรรมการฝ่ายสงฆ์ในฐานะเจ้าคณะตำบลในเมืองเขต 3 เจ้าอาวาสวัดทุ่งสว่าง

โดยมี นายประเสริฐ บุญชัยสุข นายกเทศบาลฯ นายวัชรพล โตมรศักดิ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข พลตรีณรงค์ฤทธิ์ ด่านสุวรรณ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา พร้อมผู้บริหารและสมาชิกสภา พนักงาน ข้าราชการในสังกัด ทน.นครราชสีมา และชาวโคราช 98 ชุมชน ร่วมกิจกรรมงานบุญกันอย่างชื่นมื่น โดยได้รวมยอดเงินทั้งสิ้น 1,007,224 บาท

นายสุวัจน์ กล่าวว่า วันนี้รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่ได้มาร่วมทำบุญในพิธีทอดกฐินสามัคคี ที่ทางเทศบาลและพี่น้องประชาชนได้ร่วมกันจัดขึ้นคนแน่นมาก เรียกว่าแย่งกันทำบุญ สมกับคำว่า คนโคราชรักจริงไม่ทิ้งกัน แม้ว่าเศรษฐกิจยังไม่ดีนัก แต่ในเรื่องบุญเรื่องกุศล เรื่องช่วยเหลือ เรื่องการพัฒนาบ้านเมือง คนโคราชมีน้ำใจตลอด

“ปีนี้เมืองโคราชครบรอบ 555 ปี ถือว่าเก่าแก่มาก แสดงว่าเรามีโบราณสถาน มีหลาย ๆ สิ่งที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องช่วยกันรักษาเอาไว้ให้กับคนรุ่นหลัง อย่างวัดทุ่งสว่างที่มาทอดกฐิน ถือเป็นวัดเก่าแก่เป็นส่วนหนึ่งของการได้ช่วยกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และรักษาของเก่าของเมืองโคราช” นายสุวัจน์กล่าว

นายสุวัจน์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของเทศบาลท่านนายกฯ ประเสริฐกำลังทำโครงการอนุรักษ์รักษาเมืองโคราชโบราณสถานต่าง ๆ โดยเฉพาะคูเมืองที่ยาวทั้งหมด 5,400 เมตร ระยะทาง 5.4 กิโลเมตร ทำการทำนุบำรุงรักษา สร้างสวนสาธารณะ สร้างคูคลองกันใหม่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเฉลิมฉลอง 555 ปี เมืองโคราช

“วันนี้ต้องทำสองเรื่อง คือ ทำเรื่องใหม่ สองทำเรื่องเก่า เรื่องเก่าต้องรักษาประเพณี การต่อยอด เรียกว่า ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ การรักษาสิ่งเก่า ๆ ของบ้านเมืองเอาไว้ แต่ขณะเดียวกันของใหม่ ๆ ก็ต้องมา อย่างเช่น รถไฟความเร็วสูง มอเตอร์เวย์ โดยแบ่งหน้าที่กันทำงาน คุณหมอวรรณรัตน์ ชาญนุกูล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พูดในสภาฯ ทุกอาทิตย์ ทวงสิ่งของต่าง ๆ โครงการต่าง ๆ ให้เมืองโคราช คุณเทวัญ ลิปตพัลลภ เข้าไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี คุณวัชรพล โตมรศักดิ์ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ก็เอาโครงการเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยต่าง ๆ มาให้กับพี่น้องประชาชน

“เราต้องร่วมกันทำงานพัฒนาเมืองโคราช ดึงนักท่องเที่ยวมาโคราช รัฐบาลให้ความสำคัญกับซอฟต์พาวเวอร์ กีฬา ประเพณี วัฒนธรรม โอท็อปต่าง ๆ เรียกว่าของเก่า เพื่อที่จะดึงนักลงทุน นักท่องเที่ยวต่าง ๆ เป็นการทำงานที่เป็นทีมเวิร์ก เป็นการทำงานที่ดี” นายสุวัจน์ ระบุ

‘สนามบินลาซา’ ใน ‘ทิเบต’ เผย ยอดผู้โดยสารปีนี้ทะลุ 5 ล้านคน เสริมความเด่นระบบขนส่ง-ชูเครือข่ายทางอากาศครอบคลุมทั่ว ‘จีน’

เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, ลาซา รายงานข่าว ปริมาณผู้โดยสารหมุนเวียนผ่านท่าอากาศยานนานาชาติลาซา ก้งก๋า ในนครลาซา เขตปกครองตนเองทิเบต (ซีจ้าง) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ที่ในปีนี้ได้สูงเกิน 5 ล้านคนแล้ว ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์

รายงานระบุว่าท่าอากาศยานฯ เริ่มต้นดำเนินงานในปี 1965 และมีบทบาทโดดเด่นเพิ่มขึ้นในระบบขนส่งของทิเบต โดยมีการสร้างเครือข่ายทางอากาศครอบคลุมเมืองขนาดกลาง และใหญ่ทั่วจีนตลอดทศวรรษที่ผ่านมา

สำนักบริหารการบินพลเรือนแห่งประเทศจีน ส่วนภูมิภาคทิเบต เผยว่า ปัจจุบันท่าอากาศยานฯ ได้เปิดเส้นทางบิน 135 เส้นทาง เชื่อมต่อกับ 68 จุดหมาย รวมถึงหนึ่งจุดหมายในต่างประเทศ

ท่าอากาศยานฯ ได้เพิ่มแรงกระตุ้นใหม่ แก่ นครลาซา ซึ่งรับรองนักท่องเที่ยวจากในประเทศและต่างประเทศรวม 34.2 ล้านคน และทำรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 4.24 หมื่นล้านหยวน (ราว 2.12 แสนล้านบาท) ในช่วงสามไตรมาสแรก (มกราคม-กันยายน) ของปีนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 69.3 และร้อยละ 46.7 เมื่อเทียบปีต่อปี


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top