Tuesday, 14 May 2024
นักท่องเที่ยว

ทกจ.กระบี่ร่วมกับ สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ ตำรวจท่องเที่ยวกระบี่ลงพื้นที่สร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวก่อนเข้าช่วงเทศกาลสงกรานต์

วันที่ 10 เมษายน 2566 เวลา 10.00 น. นายสุรัตน์ จรณโยธิน ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกระบี่ พร้อมนางสาวศศิธร กิตติธรกุล นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ ร่วมกับตำรวจท่องเที่ยว ออกตรวจสถานประกอบการธุรกิจนำเที่ยว ให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษา กับสถานประกอบการธุรกิจนำเที่ยว ในพื้นที่ จ.กระบี่ ตามพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ.2551 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2559

‘นครพนม’ จัดพิธี ‘น้ำมนต์ 3 พระอารามหลวง’ เป็นของฝากที่ระลึกให้ นทท. ส่งต่อผลบุญ เพื่อความสวัสดีมีโชค

(11 เม.ย.66) เมื่อวันที่ 10 เม.ย.66 วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร พระอารามหลวง อ.ธาตุพนม จ.นครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ และพุทธศาสนิกชนร่วมกันประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ มหาสงกรานต์ มหามงคล น้ำมนต์ 3 พระอารามหลวง ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครพนม ร่วมกับกลุ่มจังหวัดสนุก ซึ่งประกอบไปด้วย จังหวัดสกลนคร นครพนม และจังหวัดมุกดาหาร จัดขึ้นเพื่อทำน้ำมนต์จาก 3 พระอารามหลวงไว้เป็นของฝากของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือน 3 จังหวัดตามที่กล่าวข้างต้น

โดยภายหลังการประกอบพิธีแล้ว ททท.สำนักงานนครพนม จะนำไปแจกจ่ายให้กับสถานประกอบการด้านโรงแรม ที่ได้รับมาตรฐาน SHA ของทั้ง 3 จังหวัด เพื่อส่งมอบให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเข้าพักตลอดเดือนเมษายน 2566 ซึ่งการมอบสิ่งที่เป็นสิริมงคลต้อนรับปีใหม่ไทยในช่วงสงกรานต์ 2566 ตามคติความเชื่อถือเป็นอานิสงส์ผลบุญต่อผู้ให้และผู้รับ ทั้งเป็นการสร้างแรงจูงใจ และกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่เมืองรอง ริมฝั่งแม่น้ำโขงเพิ่มมากยิ่งขึ้น

สำหรับการประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ มหาสงกรานต์ มหามงคล น้ำมนต์ 3 พระอารามหลวง โดยครั้งแรกประกอบขึ้นที่วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2566 ส่วนครั้งที่สองเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2566 ที่วัดศรีมงคลใต้ จังหวัดมุกดาหาร และครั้งที่สามในวันนี้ (10 เม.ย.) ได้ประกอบพิธีที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร จังหวัดนครพนม

สตูล นักท่องเที่ยวทะลักฉลองเทศกาลสงกรานต์ ตม.เตือนแรงงานไทยเดินทางกลับงดใช้ช่องทางธรรมชาติ

วันนี้ 12 เมษายน 2566 การเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ผ่านช่องทางชายแดนจังหวัดสตูลซึ่งมี 3 ช่องทาง นักท่องเที่ยวจากประเทศมาเลเซียและจากทวีปยุโรปแห่เดินทางผ่านชายแดนจังหวัดสตูลกันอย่างคึกคักโดยเฉพาะที่ถ้าเทียบเรือตำมะลังซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างจังหวัดสตูลและเกาะลังกาวีประเทศมาเลเซีย  ในช่วง 7 วันที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามากันไม่ขาดสาย  และเพื่อเป็นการต้อนรับในวันขึ้นปีใหม่ไทยทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสตูลตั้งโต๊ะบริการนักท่องเที่ยวด้วยการนำน้ำดื่มและไอศครีมมาให้บริการฟรีเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศไทยร่วมเฉลิมฉลองในวันสงกรานต์หรือวันขึ้นปีใหม่ไทย


สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางผ่านด่านชายแดนเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศมาเลเซีย และชาวยุโรปที่ต้องการจะมาร่วมเฉลิมฉลองและร่วมสนุกสนานในวันสงกรานต์ไทยด้วยการเล่นน้ำดับร้อน และเดินทางไปยังเมืองใหญ่รวมทั้งแหล่งท่องเที่ยวอย่างเกาะหลีเป๊ะเพื่อพักผ่อน และสัมผัสประเพณีที่งดงามของไทย


พันตำรวจเอกธนิสร   แสงท่านั่ง ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสตูล กล่าวว่า ในช่วงนี้นักท่องเที่ยวและแรงงานจะเดินทางผ่านด่านชายแดนกันเป็นจำนวนมาก โดยจังหวัดสตูลมีด่านชายแดนทางเรือ 2 ด่านได้แก่ท่าเทียบเรือตำมะลังและด่านชายแดนเกาะหลีเป๊ะ-ลังกาวีประเทศมาเลเซีย  พร้อมกันนี้ยังมีด่านชายแดนวังประจัน บ้านวังเกรียนรัฐเปอร์ลิส  ประเทศมาเลเซียซึ่งเป็นทางบก  3 ช่องทางที่นักท่องเที่ยวและแรงงานเดินทางเข้ามา  ในช่วงนี้วันละไม่น้อยกว่า 1,500 คน

 
สำหรับแรงงานไทยในต่างแดนที่จะเดินทางกลับบ้านเพื่อมาฉลองเทศกาลสงกรานต์หรือปีใหม่ไทย   ทางตม.สตูลขอให้เดินทางผ่านช่องทางทั้ง 3 ด่านนี้โดยไม่อนุญาตให้เดินทางผ่านช่องทางธรรมชาติ   เพราะทั้ง 3 ช่องทางจะมีทางเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกให้อยู่แล้ว


นิตยา แสงมณี // ผู้สื่อข่าวภูมิภาคประจำจังหวัดสตูล

ตำรวจท่องเที่ยวและภาคีเครือข่ายร่วมพิธีปล่อยแถวสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี พ.ศ.2566

วันนี้ (13 เม.ย.66) กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดพิธีปล่อยแถวสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี พ.ศ.2566 “ท่องเที่ยวปลอดภัยสืบสานประเพณีไทยวันสงกรานต์ ( Songkran Festival 2023 )” ณ บริเวณลานจอดรถ สเตเดียมวัน ซอยจุฬาลงกรณ์ ๕ แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกับพันธมิตรเครือข่ายด้านการท่องเที่ยว สร้างความเชื่อมั่น อุ่นใจ ในการรักษาความปลอดภัย ในชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน รวมถึงประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยววิถีไทย ให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวและกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2566 

โดยมี พลตำรวจโท สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธาน พร้อมด้วย พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช.ทท. และนายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ประกอบกับผู้แทนหน่วยราชการ หน่วยงานต่างประเทศเข้าร่วมพิธีฯ

กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เป็นหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในดำเนินการเกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อย การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทั่วราชอาณาจักร การให้ความปลอดภัย ให้บริการช่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ได้เล็งเห็นความสำคัญในหลักการดังกล่าวข้างต้น และเป็นการยกระดับการเพิ่มอันดับความสามารถทางการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวด้านการรักษาความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว

‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม นนท.แห่เข้าไทย 6.4 ล้านคน สร้างเม็ดเงินกว่า 2.5 แสนล้านบาท  ‘SCMP’ ชี้ สงกรานต์ไทย ช่วยฟื้นเศรษฐกิจ คาดเติบโตสูงสุดในรอบ 5 ปี

(19 เม.ย.66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ยินดีที่ภาคการท่องเที่ยวไทยส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งตั้งแต่ต้นปี 2566 โดยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2566 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย สะสมกว่า 6.4 ล้านคน สร้างรายได้รวม 2.5 แสนล้านบาท และในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา Airbnb แพลตฟอร์มจองที่พักยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เผยยอดค้นหาที่พักในไทยเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 310 ขณะที่สำนักข่าว South China Morning Post รายงานว่า เทศกาลสงกรานต์ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย พร้อมคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยปี 2566 เติบโตสูงสุดในรอบ 5 ปี 

นายอนุชา กล่าวว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รายงานสถานการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมอยู่ที่ 6,465,737 คน สร้างรายได้รวม 256,194 ล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทย สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซีย รัสเซีย จีน เกาหลีใต้ และอินเดีย ตามลำดับ ทั้งนี้ ททท. วางเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปี 2566 รวม 25-30 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 1.5 ล้านล้านบาท พร้อมคาดการณ์ว่า นักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางเข้าไทยมากเป็นอันดับ 1 โดยมีจำนวนไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน และมีแนวโน้มจะสูงถึง 7-8 ล้านคน ขึ้นอยู่กับปริมาณเที่ยวบินในช่วงตารางบินฤดูหนาว รองลงมาคือ มาเลเซีย 4 ล้านคน อินเดีย 2 ล้านคน ส่วนรัสเซียและเกาหลีใต้ คาดว่ามีไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน นอกจากนี้ Airbnb เปิดเผยว่า นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต้องการมาท่องเที่ยวยังประเทศไทยมากขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยมียอดค้นหาที่พักเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 310 จากปี 2565 โดยกรุงเทพฯ เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวต่างชาติค้นหามากที่สุด รองลงมาได้แก่ พัทยา เชียงใหม่ กระบี่ และภูเก็ต ตามลำดับ นอกจากนี้ สำนักข่าว South China Morning Post รายงานว่า การท่องเที่ยวที่คึกคักในช่วงเทศกาลสงกรานต์จะเป็นกำลังสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และรายได้จากภาคการท่องเที่ยวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ถึงร้อยละ 4 ในปีนี้ ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่เร็วที่สุดในรอบ 5 ปี

‘ดร.สฤษดิ์’ บุกเยาวราช ชูนโยบายท่องเที่ยว ‘แก้เศรษฐกิจ-ปากท้อง’ ดันกรุงเทพฯ ให้เป็นแหล่งดึง นทท. ชี้ เป็นช่องทางหาเงินเข้าประเทศเร็วสุด

(10 พ.ค. 66) ดร.สฤษดิ์ ไพรทอง หรือ ดร.ลั่น ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กรุงเทพมหานคร เขต 1 หมายเลข 11 กล่าวในระหว่างลงพื้นที่หาเสียงย่านเยาวราชว่า จากการลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนในช่วงที่ผ่านมา เสียงสะท้อนที่ได้รับฟังส่วนใหญ่ที่ต้องการให้ทางพรรค ผลักดันเร่งด่วนยังคงเป็นเรื่องเศรษฐกิจและปัญหาปากท้อง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ที่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาปากท้องประชาชนโดยเร็วเช่นกัน

ทั้งนี้ หนึ่งในนโยบายของพปชร.นั้น จะมีนโยบายในการส่งเสริมและสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ผ่านกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านบาท เพื่อให้กรุงเทพฯ เป็นมหานครแห่งอาเซียน เพื่อเร่งนำเงินเข้าประเทศให้เร็วที่สุด ตามนโยบายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคฯ เนื่องจากการท่องเที่ยวเป็นช่องทางที่เร็วที่สุดในการหารายเข้าประเทศ เพราะการท่องเที่ยวนั้น ไม่ต้องรอการก่อสร้าง รอเพียงแต่นักท่องเที่ยวมาในประเทศ ก็ได้เงินเข้าประเทศทันที ซึ่งกรุงเทพฯเป็นหมุดหมาย และเป็นแลนด์มาร์คการท่องเที่ยวของภูมิภาคนี้อยู่แล้ว

ขณะเดียวกัน ในพื้นที่กรุงเทพฯชั้นใน มีย่านการค้าและการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวรู้จักดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นย่านของกินชื่อดังอย่างเยาวราช ย่านศิลปวัฒนธรรมอย่างพระบรมมหาราชวัง และย่านถนนข้าวสาร ซึ่งสามารถพัฒนาพื้นที่ใกล้เคียงต่อยอดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวไปสู่ชุมชนต่าง ๆ ในพื้นที่ได้เช่นกัน

พร้อมกันนี้ ดร.สฤษดิ์ ยังได้นำเสนอ นโยบายลดค่าครองชีพให้กับประชาชน หาก พปชร.ได้เป็นรัฐบาล จะผลักดันทันที เช่น ลดค่าไฟฟ้าเหลือหน่วยละ 2.50 บาท, ลดราคาน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 6.30 บาท และเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุแบบขั้นบันได คือ ตั้งแต่อายุ 60 ปี เพิ่มเป็น 3,000 บาทต่อเดือน, อายุ 70 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็น 4,000 บาทต่อเดือน อายุ 80 ปีขึ้นไป, เพิ่มเป็น 5,000 บาทต่อเดือน เป็นต้น

สำหรับบรรยากาศในการลงพื้นที่เยาวราช ของดร.สฤษดิ์ในครั้งนี้ ยังคงมีประชาชน พ่อค้า แม่ค้า และแฟนคลับ ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมกับส่งเสียงเชียร์เหมือนเช่นเคย

ผบ.ตร.ลงพื้นที่ภูเก็ต วางมาตรการดูแลประชาชน นักท่องเที่ยวทุกมิติ คุมเข้มอาชญากรรม ยาเสพติด คดีออนไลน์ การเอารัดเอาเปรียบ ย้ำต้องทำงานเอาปัญหาชุมชนเป็นที่ตั้ง มีตำรวจคอยประสานงานแก้ไข พร้อมกำชับสร้างภาพลักษณ์ที่ดี

วันนี้ (11 พ.ค.66) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อวางมาตรการดูแลนักท่องเที่ยวและบริหารจัดการนักท่องเที่ยว และบุคคลต่างด้าวทั้งระบบตามนโยบายรัฐบาลร่วมหน่วยงานเกี่ยวข้อง สำหรับจังหวัดภูเก็ตถือเป็นจังหวัดยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศ รัฐบาลได้จัดทำโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” กระตุ้นและฟื้นฟูการท่องเที่ยวในภูเก็ตหลังโควิด ซึ่งได้รับผลการตอบรับที่ดีจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก นำรายได้เข้าสู่ประเทศจำนวนมาก อย่างไรก็ตามยังมีปัญหาอาชญากรรม การเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว การให้บริการ แท็กซี่ป้ายดำ รวมทั้งปัญหากลุ่มชาวต่างชาติ คนต่างด้าวเข้ามาทำผิดแฝงในคราบนักท่องเที่ยว ที่ต้องดำเนินการ

โดยในช่วงเช้า ผบ.ตร.พร้อมด้วย พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.เสริมพันธุ์ ศิริคง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต , นายอานุภาพ รอดขวัญ ยอดระบำ รอง ผวจ.ภูเก็ต พร้อมด้วยตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจท้องที่ และส่วนราชการเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ตม.จว.ภูเก็ต เพื่อนำเสนอภาพรวมการทำงาน และสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ได้สั่งการเน้นย้ำการบูรณาการ ทำงานเป็นเนื้อเดียวกันในทุกภารกิจ ทุกมิติ มีการประสานงานกันต่อเนื่องในการดูแลนักท่องเที่ยวตั้งแต่เข้ามาผ่านสนามบิน การเดินทางสัญจร การท่องเที่ยวในพื้นที่ มีการควบคุมการเข้าออกประเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ , ให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และตำรวจท่องเที่ยว สุ่มตรวจที่พักอาศัย โรงแรมตามมาตรา 38 พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ , ให้ตำรวจร่วมหน่วยงานเกี่ยวข้องควบคุมการให้บริการ ไม่ให้มีการเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว อาทิ เช่น รถแท็กซี่ป้ายดำ การเช่าเรือ ที่พักโรงแรมร้านอาหารต่างๆ ร้านขายของที่ระลึก และสั่งการให้ศูนย์ข้อมูลสายด่วนตำรวจท่องเที่ยว 1155 เชื่อมต่อกับศูนย์ 191 ของตำรวจพื้นที่ ส่งต่อข้อมูล เพื่อให้บริการ ช่วยเหลือดูแลนักท่องเที่ยวได้อย่างทันท่วงที ทั้งเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนอุบัติเหตุจราจร  ส่วนในพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ต้องมีมาตรการดูแลเป็นพิเศษ ทั้งการคัดกรอง จุดให้บริการ การติดตั้งกล้อง CCTV ดูแลความปลอดภัย และการ Show of Force เพื่อสร้างความเชื่อมั่นกับนักท่องเที่ยว 

พร้อมย้ำข้าราชการตำรวจทุกฝ่าย สร้างภาพลักษณ์ที่ดี ทั้งการแต่งกาย การพูดจา การสวมใส่หมวกนิรภัย หรือปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว ที่สำคัญห้ามมีการเรียกรับสินบน ผลประโยชน์ หรือกระทำการใดๆ ที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวโดยเด็ดขาด 

ต่อมาในช่วงบ่าย ผบ.ตร.ได้เดินทางไปประชุมตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต โดยมี พล.ต.ท.วันไชย เอกพรพิชญ์ จตร.ปฏิบัติราชการ ภ.8  ,รอง ผบช.ภ.8 ทุกท่าน, พล.ต.ต.เสริมพันธุ์ ศิริคง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต , ผกก.หัวหน้าสถานี และข้าราชการตำรวจเข้าร่วม  ทั้งนี้ ผบ.ตร.ได้กำชับมาตรการดูแลประชาชน และนักท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต เน้นการบูรณาการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยกระดับการให้บริการประชาชน มีการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ โดยให้ ผกก.หรือหัวหน้าสถานี ลงพื้นที่ และรายงานผลการปฏิบัติในจุดสำคัญ เพื่อแก้ปัญหาด้วยตนเอง

- นโยบายด้านยาเสพติด กำชับโครงการชุมชนยั่งยืนที่ภูเก็ตดำเนินการ 11 หมู่บ้าน มีการตรวจสารเสพติด 19,669 ราย เป็นผู้เสพที่เข้าสู่กระบวนการบำบัด 179 ราย 
- อาชญากรรมออนไลน์ เน้นย้ำมิติการป้องกันควบคู่การสืบสวนปราบปราม ทั้งการเตือนภัยรูปแบบต่างๆ พร้อมการแจ้งความออนไลน์ การรับแจ้ง สอบปากคำ หมายเรียกต่างๆ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง ทำเป็น SOP ให้เป็นมาตรฐาน 

- ส่วนการเลือกตั้งที่ใกล้จะถึงนี้ ตำรวจต้องวางตัวเป็นกลาง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต เป็นธรรม อย่างเต็มที่ ป้องกันการซื้อสิทธิ์ขายเสียง พร้อมกับระดมกวาดล้าง ตั้งจุดตรวจ จุดสกัดรักษาความสงบเรียบร้อย ไม่ให้มีการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม 
- ที่สำคัญต้องเอาปัญหาของประชาชน คนในพื้นที่เป็นที่ตั้ง จัดตำรวจประสานงานระหว่างชุมชน เพื่อรับทราบปัญหา แล้วนำไปสู่การแก้ไข ไม่ให้เกิดบานปลายลุกลาม 
    
ทั้งนี้ ผบ.ตร.กล่าวว่า “ วันนี้ได้เดินทางมาจังหวัดภูเก็ต ซึ่งถือเป็นจังหวัดยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว เพื่อวางมาตรการดูแลความปลอดภัยประชาชน และนักท่องเที่ยว ของตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และตำรวจท่องเที่ยว ได้สั่งการเน้นย้ำอยากเห็นภาพการบูรณาการทำงานร่วมกันของตำรวจและหน่วยงานเกี่ยวข้อง ในการดูแลประชาชนและนักท่องเที่ยวทุกมิติ และได้เน้นย้ำสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำงานของตำรวจ คือ การนำปัญหาของสังคม ประชาชนในพื้นที่เป็นที่ตั้ง อยากเห็นการมอบหมายตำรวจไว้คอยประสานงานในหมู่บ้าน ชุมชน เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาต่างๆไม่ให้ลุกลาม และเกิดความยั่งยืน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน นักท่องเที่ยวในทุกๆมิติ”

‘พงษ์ภาณุ’ ชี้!! รายได้ท่องเที่ยวไทยยังกระจุกตัว แนะใช้แพลตฟอร์มระดับโลก หนุนเที่ยว ‘เมืองรอง’

(14 พ.ค. 66) นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และอดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง ได้ให้มุมมองต่อเศรษฐกิจของไทย ผ่านรายการ ‘NAVY TIME เรื่องดี ๆ ประเทศไทยยามเช้า’ ออกอากาศช่วงเช้า เวลา 07.00- 08.00 น. ทางสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือวังนันทอุทยาน (ส.ทร.วังนันทอุทยาน) FM93 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 66 โดยระบุว่า...

แม้ประเทศไทยจะเผชิญกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในระดับสูง แต่การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของภาคการท่องเที่ยว ได้ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ภาคการท่องเที่ยวนับเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ซึ่งในอดีตช่วงที่การท่องเที่ยวประเทศไทยเติบโตสุดขีด เคยสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 2 ล้านล้านบาท และจากคนไทยเที่ยวไทยอีกราว 1 ล้านล้านบาท รวมเป็น 3 ล้านล้านบาท หรือ คิดเป็น 20% ของจีดีพี ขณะเดียวกัน ก็มีการจ้างงานถึง 10 ล้านคน แต่หลังจากเกิดการระบาดของโควิด-19 ทำให้รายได้ในส่วนนี้หายไปเกือบหมด ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั่วโลก

นายพงษ์ภาณุ ระบุว่า ภายหลังจากสถานการณ์คลี่คลาย เชื่อว่า การท่องเที่ยวไทยจะกลับมาคึกคัก และสร้างรายได้เข้าประเทศได้เช่นในอดีต พร้อมทั้งเป็นปัจจัยหนุนหลักให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศ และ ส่งผลดีต่อไปยังตลาดแรงงาน รวมถึงเศรษฐกิจระดับรากหญ้า ที่จะได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยว เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่เงินไหลตรงไปยังกลุ่มรากหญ้าจริงๆ ซึ่งจะแตกต่างจากอุตสาหกรรมอื่นๆ

แต่ทว่า ในปัจจุบัน การท่องเที่ยวไทยกระจุกตัวอยู่เพียง 7 จังหวัดเท่านั้น ประกอบด้วย กรุงเทพฯ, ภูเก็ต, ชลบุรี, เชียงใหม่, ประจวบคีรีขันธ์, สุราษฎร์ธานี และกระบี่ โดยจังหวัดเหล่านี้มีครองสัดส่วนรายได้ถึง 80% ส่วนอีก 20% กระจายไปยังอีก 70 จังหวัดที่เหลือ

อย่างไรก็ตาม จากการท่องเที่ยวที่กระจุกตัวอยู่เพียงในเมืองหลัก แม้ว่าจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของจังหวัดนั้นๆ แต่ก็มีผลเสียและปัญหามากมายเช่นกัน ทั้งด้านความแออัด ด้านการกระจายรายได้ที่ไม่สมดุล ด้านการจราจรที่ติดขัด และด้านความปลอดภัย

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลพยายามกระจายการท่องเที่ยว ผ่านนโยบายที่เรียกว่า ‘การท่องเที่ยวเมืองรอง’ ทั้งการไปสร้างแหล่งท่องเที่ยว การมอบสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อจูงใจนักท่องเที่ยว แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร 

“จากการที่ได้คุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวของจีน พบว่า นักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาเที่ยวประเทศไทยนั้น เขากังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะฉะนั้น หากรัฐบาลต้องการกระจายการท่องเที่ยวไปยังเมืองรอง สิ่งที่ต้องเข้ามาดูแลข้อแรก คือ เรื่องความปลอดภัย ข้อสอง ความสะดวกในการเดินทาง และข้อสาม เรื่องการตลาดที่ต้องโปรโมตสถานที่ท่องเที่ยว อาหารและกิจกรรมที่รองรับนักท่องเที่ยว ผ่านระบบดิจิทัลที่เข้าถึงได้ง่าย เป็นต้นว่า การนำข้อมูลบ้านพักในภาคอีสานของไทย เข้าไปอยู่ใน Air BNB แพลตฟอร์มท่องเที่ยวระดับโลก พร้อมกับการรับรองความปลอดภัย ความสะอาด และการต้อนรับที่อบอุ่นจากเจ้าของบ้าน หากข้อมูลข่าวสารพวกนี้เข้าไปอยู่ในแพลตฟอร์มระดับโลกได้ เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญทำให้การท่องเที่ยวเมืองรองเกิดได้” นายพงษ์ภาณุ กล่าว

‘ไทย’ เผยยอด ‘นทท.ต่างชาติ’ ครึ่งปีแรก ทะลุ 12 ล้านคน คาดสร้างได้จากการท่องเที่ยวให้ประเทศ 2.38 ล้านล้านบาท!!

เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, กรุงเทพฯ รายงานว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในช่วงเดือนมกราคมถึงกลางเดือนมิถุนายน ปี 2023 จำนวนกว่า 12.46 ล้านคน ซึ่งสอดคล้องกับการมุ่งหน้าสู่เป้าหมายเพิ่มยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 25 ล้านคนตลอดปีนี้

เมื่อนับถึงสัปดาห์ก่อน ไทยทำรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 5.14 แสนล้านบาท ซึ่งการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนมีส่วนส่งเสริมสำคัญ โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติขาเข้าเพิ่มขึ้นในกลุ่มตลาดหลักส่วนใหญ่ช่วงสัปดาห์ที่แล้ว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีน

เมื่อวันจันทร์ (26 มิ.ย.) แถลงการณ์จากอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ปัจจุบันยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติขาเข้าพุ่งสูงสุดในรอบ 3 ปี และคาดว่าจะแตะ 25 ล้านคนภายในสิ้นปี 2023

อนุชา เผยว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการส่งเสริมต่างๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายทำรายได้จากการท่องเที่ยว 2.38 ล้านล้านบาทในปีนี้ โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวล่าสุดทะลุสถิติตลอดปี 2022 ที่ 11.15 ล้านคนแล้ว

ก่อนเกิดการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ในปี 2019 นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนไทยเกือบ 40 ล้านคน โดยการท่องเที่ยวซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจไทย ครองสัดส่วนราวร้อยละ 12 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
 

ชาวต่างชาติเขียนบทความเรื่อง ‘กางเกงช้าง’ ยกเป็นไอเทมฮิต นทท. นิยมใส่เที่ยวในกรุงเทพฯ

เมื่อวานนี้ (11 ก.ค. 66) เว็บไซต์เอเชียวันของสิงคโปร์ได้นำเสนอเรื่องราวของ ‘กางเกงช้าง’ โดยระบุว่า กรุงเทพฯ ขึ้นชื่อในหลายด้าน ทั้งวัฒนธรรม อาหาร วัด และแหล่งชอปปิง แต่เชื่อว่าสิ่งที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะได้จากเมืองหลวงแห่งนี้คือ ‘กางเกงช้าง’

ทางเว็บไซต์ได้อ้างอิงจากวิดีโอของ Bangkok.explore ซึ่งนำเสนอการแต่งกายของนักท่องเที่ยวที่นิยมใส่กางเกงช้างกันเป็นอย่างมาก ทั้งชาวตะวันตกและตะวันออก มองไปทางไหนก็พบได้ง่าย

โดย ‘กางเกงช้าง’ ถือเป็นสินค้ายอดนิยมในหมู่นักท่องเที่ยว เนื่องจากมักวางขายในร้านขายของที่ระลึก และร้านค้าขายกางเกงช้างนิยมตั้งอยู่ใกล้สถานที่สำคัญ ‘ยอดนิยม’ และ ‘มีราคาถูก’

สำหรับความคิดเห็นของชาวต่างชาติที่มีต่อวิดีโอ ส่วนใหญ่กล่าวว่ากางเกงช้างเป็นที่นิยมเพราะเนื้อผ้าใส่สบาย ท่ามกลางอากาศร้อนระอุของประเทศไทย นอกจากนี้ กางเกงช้างยังสามารถใส่เข้าชมวัด หรือสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างพระบรมมหาราชวังได้

มีชาวต่างชาติรายหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ มา 3 เดือน ได้กล่าวยืนยันว่าเนื้อหาของวิดีโอเป็นความจริง นอกจากนักท่องเที่ยวแล้ว เธอยังเห็นคนไทยหลายคนสวมกางเกงช้างด้วย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top