Tuesday, 14 May 2024
นักท่องเที่ยว

‘นักธุรกิจไทย’ โกยยอดขาย ‘ตลาดนัดกลางคืน’ ในไหหลำ ปักหมุดแลนด์มาร์กแห่งใหม่ สวรรค์ของนักท่องเที่ยวขาชอป

เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, ไห่โข่ว รายงานว่า ยามย่ำสู่ค่ำคืนหลังอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ตลาดนัดวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ ‘ไป๋ซา เหมิน’ ในนครไห่โข่ว เมืองเอกของมณฑลไห่หนาน (ไหหลำ) ทางตอนใต้ของจีน กลับมีบรรยากาศคึกคักด้วยทัพนักท่องเที่ยวเดินจับจ่ายซื้อของกันอย่างเพลิดเพลิน

ตลาดนัดกลางคืนไป๋ซาเหมินตั้งอยู่บนพื้นที่ราว 60,000 ตารางเมตร เพิ่งเปิดต้อนรับผู้คนเมื่อราวหนึ่งเดือนก่อนด้วยแผงขายของกินและงานฝีมือทางวัฒนธรรมมากกว่า 600 แผง ซึ่งจากแผงขายของกินทั้งหมด 300 แผง เป็นของพ่อค้าแม่ขายชาวไทยมากกว่า 160 แผง

บรรดาคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวทยอยเดินทางมาเยือนตลาดนัดกลางคืนแห่งนี้ ที่กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมแห่งใหม่ของไห่โข่วกันอย่างไม่ขาดสาย โดยมีนักท่องเที่ยวตบเท้าเข้าเดินซื้อของสูงถึงราว 800,000 คน ในช่วง 20 วันแรกของการเปิดตลาด

อริณธารัตน์ เทพวรรณ เจ้าของแผงขายอาหารไทยอย่างผัดไท ต้มยำกุ้ง และหมูกรอบ จำนวน 4 แผง สาละวนอยู่กับการทักทายลูกค้ามากหน้าหลายตา โดยเขาเผยว่า ยอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ราว 1,000-2,000 หยวน (ราว 5,000-10,000 บาท) ต่อวันต่อแผง

เดิมที อริณธารัตน์ทำธุรกิจคลินิกเสริมความงามในไทย และธุรกิจนำเข้าสินค้าจากจีนมานานกว่า 18 ปี จนกระทั่งราวสามเดือนก่อน เขาได้ยินข่าวว่า ไห่หนานจะเปิดตลาดนานาชาติสำหรับนักท่องเที่ยวจีนและต่างชาติ ซึ่งทำให้เขาสนใจและเริ่มพูดคุยกับเพื่อนในไทย

อริณธารัตน์บอกว่า พอรู้จักตลาดจีนมีขนาดใหญ่และคิดว่าเป็นโอกาสดีทางธุรกิจ จึงตัดสินใจมาเปิดแผงขายอาหารที่นี่ โดยแม้เขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับไห่หนาน แต่เคยเดินทางไปหลายเมืองของจีน เช่น กว่างโจว เซี่ยเหมิน เซี่ยงไฮ้ และปักกิ่ง เลยคิดว่าไห่หนานน่าจะเหมือนและเป็นตลาดใหญ่เช่นกัน

“ผมได้ยินว่า ไห่หนานเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวจากจีนและประเทศอื่น ๆ และวันแรกที่มาถึงที่นี่ ผมรู้สึกว่าเหมือนอยู่กรุงเทพฯ เลย ทำให้คิดว่าเลือกถูกแล้ว” อริณธารัตน์กล่าว พร้อมแสดงความหวังว่าตลาดแห่งนี้จะโด่งดังในจีน และทั่วโลกจนกลายเป็นแลนด์มาร์กห้ามพลาด

ด้าน อภิญญา ฉัติทิวาพร วัย 27 ปี ซึ่งทำธุรกิจเบเกอรีในไทย เจ้าของแผงขายชาไทยหลากหลายเมนูที่ตลาดนัดกลางคืนไป๋ซาเหมิน เผยว่าเธอตั้งใจมาสั่งสมประสบการณ์และเสาะหาโอกาสใหม่ในตลาดแห่งนี้ที่มีขนาดใหญ่มาก ทิวทัศน์สวยงาม ผู้คนเป็นมิตร และอากาศดี

กิตติศักดิ์ โอสถานันต์กุล ผู้จัดการกลุ่มผู้ค้าชาวไทยของตลาดนัดกลางคืนไป๋ซาเหมิน เปิดแผงขายอาหารของตัวเอง พร้อมกับช่วยเหลือผู้ค้าชาวไทยคนอื่นๆ ตั้งแต่งานเอกสาร การขอวีซ่า จนถึงหาที่พักอาศัย โดยเขามองว่าการทำธุรกิจที่ตลาดแห่งนี้เป็นโอกาสใหม่ในการบุกตลาดจีน

แม้การท่องเที่ยวของไห่หนานจะผันผวนตามฤดูกาล แต่กิตติศักดิ์ยังคงมองเชิงบวกและเฝ้ารอฤดูท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวจะแห่แหนกันมาที่นี่ รวมถึงวาดหวังขยับขยายธุรกิจไปยังการเปิดร้านนวดแผนไทยหรือร้านอาหารไทยในอนาคตข้างหน้าด้วย

เจิ้งซือซือ นักท่องเที่ยวจากมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของจีน กล่าวว่าอาหารไทยที่ตลาดนัดแห่งนี้มีรสชาติเหมือนต้นตำรับ พอเจอคนขายที่พูดภาษาไทยก็เหมือนอยู่ประเทศไทย ที่นี่มอบประสบการณ์ยอดเยี่ยม และเดินเที่ยวเล่นได้อย่างสนุก

‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม!! ‘กรุงเทพ’ ครองอันดับ 1 ปี 2023 เมืองที่ ‘นทท.ต่างชาติ’ มาเยือนมากที่สุดในโลก

(3 ส.ค. 66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่กรุงเทพฯ ได้รับการจัดอันดับเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเป็นอันดับ 1 ในปี 2023 จากเว็บไซต์ travelness มีชาวต่างชาติเดินทางมาทั้งสิ้น 22.78 ล้านคน โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยนับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 66 - 24 ก.ค. 66 สร้างรายได้รวม 1,125,072.88 ล้านบาท เฉพาะช่วง 24 - 30 กรกฎาคม 2566 มีนักท่องเที่ยวจำนวน 563,882 คน คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 80,555 คน

รวมทั้งยังมีผลสำรวจของ The Pew Research Center ของสหรัฐอเมริกา เดือนมีนาคม ที่ผ่านมา เผยว่าอาหารไทย ได้รับการโหวตเป็นอาหารยอดฮิตอันดับ 3 อาหารเอเชียที่ขายดีในอเมริกา ด้วยสัดส่วนร้อยละ 11 เป็นรองเพียงอาหารจีนและอาหารญี่ปุ่น

ทั้งนี้ เป็นไปตามแนวทางของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ในการส่งเสริมเมืองท่องเที่ยวของไทยให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย พร้อมชูซอฟพาวเวอร์ ‘อาหารไทย’ ด้วยการท่องเที่ยวเชิงอาหารหรือ ‘Gastronomy Tourism’ ให้อยู่ในกระแสนิยมทั้งในไทยและต่างประเทศ

น.ส.รัชดา กล่าวว่า กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้รายงานความคืบหน้า การขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทย ตามยุทธศาสตร์ชาติ และ แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 - 2570) สู่การท่องเที่ยวคุณภาพสูง และให้ไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยั่งยืนของภูมิภาคอาเซียนว่า กรมฯ ได้บูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมควบคุมมลพิษ กรมควบคุมโรค กรมอนามัย กรมการพัฒนาชุมชน กรมส่งเสริมวัฒนธรรม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย และสมาคมโรงแรมไทย เป็นต้น

เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ ขีดความสามารถในการแข่งขัน ให้แก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและองค์กรปกครองท้องถิ่นในการบริหารจัดการเมืองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของไทย สอดคล้องมาตรฐานเมืองท่องเที่ยวของอาเซียน เช่น มาตรฐานโรงแรมสีเขียว (ASEAN Green Hotel Standard) มาตรฐานเมืองท่องเที่ยวสะอาด (ASEAN Clean Tourist City Standard) ซึ่งผู้ประกอบการโรงแรมในไทยให้ความสนใจ โดยปี 2566 นี้ มีผู้ประกอบการโรงแรมที่พักที่ผ่านเกณฑ์เบื้องต้นในการขอรับการตรวจประเมินมาตรฐานโรงแรมสีเขียวอาเซียน ถึง 27 แห่งจากทั่วประเทศ

"ประเทศไทยยังคงเป็นปลายทางการท่องเที่ยว ซึ่งนักท่องเที่ยวยังคงให้ความสนใจเดินทางมาท่องเที่ยวและพักผ่อน เชื่อว่าปี 2566 ทั้งปี การท่องเที่ยวไทยจะสามารถสร้างรายได้ราว 2.38 ล้านล้านบาท และมีสิทธิลุ้นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศมาไทยไม่น้อยกว่า 25 ล้านคนตามเป้าหมาย" น.ส.รัชดากล่าว

‘รัฐบาล’ ประกาศลดขั้นตอนวีซ่า อำนวยความสะดวก แก่ นทท. หลังยอด นทท.6 เดือนแรกพุ่ง โกยรายได้กว่า 6 แสนล้านบาท

(10 ส.ค. 66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเยือนไทยมีมากต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาว 31 ก.ค.- 6 ส.ค. เฉลี่ยวันละ กว่า 8 หมื่นคน

โดยยอดนักท่องเที่ยวสะสมแตะ 16 ล้านคนแล้ว พบ 5 ประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยจำนวนสูงสุด ได้แก่ มาเลเซีย จีน เกาหลีใต้ อินเดีย และรัสเซีย ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานสนับสนุนนโยบาย อำนวยความสะดวก กระตุ้นจำนวนนักท่องเที่ยว

น.ส.รัชดา กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้รายงานว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา เกิดการสร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 663,862 ล้านบาทโดย นักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ นักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย 2,513,520 คน จีน 1,935,241 คน เกาหลีใต้ 945,217 คน อินเดีย 913,479 คน และรัสเซีย 869,998 คน

สำหรับสัปดาห์ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจากจีน เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุด จำนวน 95,581 คน รองลงมา ได้แก่ มาเลเซีย 73,810 คน เกาหลีใต้ 37,754 คน อินเดีย 27,707 คน และเวียดนาม 25,717 คน สะท้อนให้เห็นว่าไทยยังคงเป็นจุดหมายสำคัญที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ

น.ส.รัชดา กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีน โดยกระทรวงการต่างประเทศได้เพิ่มความสะดวกในการขอรับการตรวจลงตรา เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งได้มีการลดขั้นตอนเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว โดยได้ปรับลดเอกสารประกอบการยื่นขอรับการตรวจลงตราประเภทท่องเที่ยวพร้อมกับลดระยะเวลาการพิจารณาการตรวจลงตราเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยโดยเฉพาะจากกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน ได้แก่

1.) ลดเอกสารประกอบการยื่นขอรับการตรวจลงตราประเภทท่องเที่ยวเหลือเพียง 6 รายการ ประกอบด้วย หน้าหนังสือเดินทาง, รูปถ่าย, บัตรโดยสารเครื่องบิน, ที่พัก, เอกสารยืนยันที่อยู่ และหลักฐานทางการเงิน 

2.) ลดระยะเวลาการพิจารณาอนุมัติการตรวจลงตราจาก 14 วันทำการเหลือ 7 วันทำการ

นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดทำระบบเชื่อมโยงข้อมูลตรวจสอบเอกสารประกอบการขอรับการตรวจลงตรา ซึ่งจะช่วยให้การตรวจสอบและการพิจารณาอนุมัติการตรวจลงตรามีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

“รัฐบาลให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ซึ่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลอย่างดี จนตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้น เป็นไปตามคาดการณ์ และแม้ในช่วงนอกฤดูกาล ก็ยังมีตัวเลขนักท่องเที่ยวที่น่าพอใจ จากการดำเนินนโยบายการจัดกิจกรรมสนับสนุนการท่องเที่ยว ที่สอดรับกับความสนใจของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

รวมถึงความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการนำเสนอความงดงามของประเทศ และไมตรีภาพที่มีต่อผู้มาเยือน ซึ่งจากผลการสำรวจของเว็บไซต์ด้านการท่องเที่ยวชั้นนำ ประเทศไทยอยู่ในความสนใจอันดับต้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง” น.ส.รัชดา กล่าว

‘เศรษฐา’ เรียก 8 สายการบิน ร่วมถกรับมือไฮซีซันไตรมาส 4 ปลื้ม!! สายการบินตอบรับฟรีวีซ่า เพิ่ม นทท.-กระตุ้นเศรษฐกิจ

(28 ส.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ เป็นประธานการประชุมร่วมกับ 8 สายการบิน เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะ และหาแนวทางแก้ไขด้านการบิน เพื่อยกระดับการท่องเที่ยว โดยมีตัวแทนของพรรคเพื่อไทย ได้แก่ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะทำงานด้านนโยบาย, น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล สส.บัญชีรายชื่อ, นายปานปรีย์ พหิทธานุกร คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ สส.บัญชีรายชื่อ และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่

ด้านตัวแทนของสายการบิน ได้แก่ นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ ผอ.ใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน), นายสุทธิพงษ์ คงพูล ผอ.สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย, นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน), นายวรเนติ หล้าพระบาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยเวียตเจ็ท, นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย, นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์, นายชัยยง รัตนาไพศาลสุข รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จํากัด, นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จํากัด (มหาชน), นายอัศวิน ยังกีรติวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ และนายวุฒิภูมิ จุฬางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท สายการบินนกแอร์ จํากัด (มหาชน)

สำหรับปัญหาที่ผู้ประกอบการสะท้อนมายังนายกฯ และพรรคเพื่อไทย เช่น
1.) การเพิ่มจำนวนเที่ยวบินให้ทันกับฤดูกาลท่องเที่ยวอย่างน้อย 20%
2. การเพิ่มศักยภาพเครื่องบินให้ทันกับการปรับเที่ยวบินที่จะเพิ่มขึ้น
3.) การเพิ่มโอกาสผลักดันนักท่องเที่ยวในตลาดขนาดใหญ่ เช่น จีน อินเดียให้มากขึ้น
4.) การเพิ่มจำนวนเครื่องบินให้มีความเหมาะสมกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล

นายเศรษฐา กล่าวตอนหนึ่งว่า ขอบคุณที่ทุกคนสละเวลามาพบกัน ซึ่งเรื่องของการท่องเที่ยวเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่สำคัญที่สุดของรัฐบาล วันนี้พรรค พท. เรามาพร้อมกับว่าที่รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ ว่าที่ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ว่าที่เลขานายกฯ ว่าที่ รมว.คมนาคม และว่าที่ รมช.คลัง วันนี้เราพร้อมมาฟังความคิดเห็นจากสายการบินทั้งหมดว่ามีอะไรให้เราช่วยเหลือบ้าง เมื่อถวายสัตย์ฯแล้วจะดำเนินการทันที ซึ่งรัฐบาลพรรค พท.มีความร้อนใจว่าไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยว ถ้าเราเริ่มทำงานได้ก่อนจะเป็นการแสดงความได้เปรียบ เพื่อให้ภาคเอกชนมีความพร้อมที่จะรองรับการเข้ามาของนักท่องเที่ยว

นายเศรษฐา กล่าวว่า และขอขอบคุณ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการช่วยกันส่งเสริมการทำงานกับรัฐบาล พท.ในการเตรียมตัวล่วงหน้า เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซัน ซึ่งเป็นการส่งเสริมรายได้เข้าประเทศและกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น ทั้งในเรื่องของการบริหารจัดการภายในสนามบิน การเพิ่มเที่ยวบิน การเพิ่มหรือขยายรันเวย์ เป็นต้น

ส่วนข้อเสนอของสายการบินต่างๆ ถือว่าเป็นความร่วมมือที่ดีในการร่วมกันส่งเสริม และสร้างรายได้เข้าประเทศ เป็นเรื่องดีที่ทุกสายการบินให้การตอบรับนโยบาย Free visa ในบางประเทศที่มีศักยภาพ เช่น จีน ซึ่งคาดว่าทุกสายการบินมีความต้องการขยายจำนวนเที่ยวบินรับนักท่องเที่ยว ทั้งเที่ยวบินภายในประเทศและต่างประเทศ รัฐบาลที่นำโดยพรรค พท.มีแผนที่จะไปโปรโมทการท่องเที่ยวไทยในต่างประเทศในปีหน้าในเที่ยวบินที่มีความพร้อม ซึ่งแต่ละสายการบินมีสัญญาณที่ดีว่า หากรัฐบาลสามารถเพิ่มความต้องการนักท่องเที่ยวไทยได้ สายการบินจะมีการแข่งขันกันโปรโมทการท่องเที่ยวร่วมกัน ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงตั๋วโดยสารได้ในราคาที่เหมาะสม

‘เวนิส’ เตรียมทดลองเก็บค่า ‘เหยียบแผ่นดิน’ หัวละ 5 ยูโร หวังคุมจำนวน นทท.ล้นเมือง กระทบผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่น

(6 ก.ย. 66) ‘เวนิส’ เมืองท่องเที่ยวชื่อดังในประเทศอิตาลี ที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เตรียมจะทดลองเก็บค่าธรรมเนียมเข้าเมือง 5 ยูโร (หรือราว 190 บาท) สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ค้างคืน โดยจะนำระบบนี้มาทดลองใช้ในปีหน้า ในความพยายามจัดการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยว ที่ไหลบ่าเข้าสู่เมืองประวัติศาสตร์แห่งสายน้ำอันแสนโรแมนติกของยุโรปแห่งนี้ มากจนล้นเกินจนกระทบต่อผู้คนในท้องถิ่น

จากการเปิดเผยแผนการนี้ของสภาเมืองเวนิส เมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา ระบุว่า ค่าธรรมเนียมเข้าเมืองจะทดลองใช้เป็นเวลา 30 วันในปีหน้า โดยจะเน้นไปที่วันหยุดธนาคารช่วงฤดูใบไม้ผลิและสุดสัปดาห์ในฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่จำนวนนักท่องเที่ยวถึงจุดสูงสุด โดยจะเก็บค่าธรรมเนียมเข้าเมืองกับนักท่องเที่ยวที่มีอายุ 14 ปีขึ้นไป

“วัตถุประสงค์ก็เพื่อจะหาความสมดุลใหม่ระหว่างสิทธิของผู้อยู่อาศัย เรียนหนังสือ หรือ ผู้ทำงานอยู่ในเมืองเวนิส กับผู้ที่มาเที่ยวชมเมือง” ซิโมเน เวนทูรินี สมาชิกสภาการท่องเที่ยวเมืองเวนิส กล่าว และว่า นี่ไม่ใช่การสร้างรายได้ โดยค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการแผนงานเมืองเท่านั้น โดยกำหนดเวลาทดลองตามแผนการนี้และจะดำเนินการอย่างไรนั้น จะได้รับการเห็นชอบหลังจากมีการอนุมัติแผนงานในขั้นสุดท้ายของสภาเมืองแล้ว ที่คาดว่าจะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า

แผนเก็บค่าธรรมเนียมเข้าเมืองเวนิสนี้ ซึ่งเป็นที่ถกเถียงครั้งแรกในปี 2019 นั้น ได้ถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้นักท่องเที่ยวหายไปและด้วยเหตุผลทางเทคนิคและในแง่ของกระบวนการขั้นตอน

อย่างไรก็ดี การหลั่งไหลกลับเข้ามาของนักท่องเที่ยวสู่เมืองเวนิส ซึ่งมีจำนวนมากกว่าผู้อยู่อาศัยในใจกลางเมืองเวนิสประมาณ 50,000 คน จนท่วมท้นตามตรอกแคบๆ ของเมือง โดยการมีนักท่องเที่ยวล้นเมือง เป็นปัญหาที่รุมเร้าเมืองเวนิสที่มีความเปราะบางมานานแล้ว

แผนการข้างต้น ยังนับเป็นการสนับสนุนความเคลื่อนไหวที่มีก่อนหน้านี้ในเดือนกรกรกฎาคม เมื่อผู้เชี่ยวชาญขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้เสนอแนะให้เพิ่ม เมืองเวนิส อยู่ในรายชื่อแหล่งมรดกโลกที่กำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย โดยอ้างว่าอิตาลีไม่ได้ดำเนินการมากเพียงพอที่จะปกป้องเมืองเวนิสจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการท่องเที่ยวที่มากล้นเกิน

‘นทท.’ นับร้อย แห่ชมปรากฏการณ์พระอาทิตย์ขึ้น ที่ปราสาทพนมรุ้ง ผ่าน 15 ช่องประตู โชคดีท้องฟ้าเปิด ไร้เมฆบัง ทำให้ได้ชมความงดงาม

(10 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประชาชน นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และต่างชาตินับร้อยคน  เดินทางขึ้นไปเฝ้ารอชมปรากฏการณ์มหัศจรรย์ดวงอาทิตย์ขึ้นตรง 15 ช่องประตูปราสาทพนมรุ้ง ที่อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง ต.ตาเป๊ก อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองของปีนี้ ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ ตามที่นักดาราศาสตร์ได้คำนวณและคาดการณ์ไว้ว่า ดวงอาทิตย์ จะขึ้นตรงและสาดแสงส่องผ่าน 15 ช่องประตู ปราสาทพนมรุ้ง ในวันที่ 3-5 เม.ย. และ วันที่ 8-10 ก.ย.ของทุกปี

จนกระทั่งเมื่อถึงเวลา 06.00 - 06.05 น. สภาพอากาศเอื้ออำนวย ท้องฟ้าแจ่มใสปลอดโปร่ง ไม่มีเมฆบดบัง ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่างตื่นเต้นและประทับใจ ที่สามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นตรง 15 ช่องประตูปราสาท อย่างน่ามหัศจรรย์ ตามที่นักดาราศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้ สร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาเฝ้ารอชมปรากฏการณ์ครั้งนี้เป็นอย่างมาก

โดยนักท่องเที่ยวหลายคนได้ใช้ทั้งโทรศัพท์มือถือ กล้องภาพนิ่ง และกล้องวีดีโอ บันทึกภาพช่วงเวลาดังกล่าว เก็บไว้เป็นที่ระลึก ขณะดวงอาทิตย์อรุณรุ่งสาดแสงส่องผ่าน 15 ช่องประตู ประสาทพนมรุ้ง เพราะปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นปรากฏการณ์ที่หาชมได้ยาก หลังจากเมื่อวันที่ 8-9 ก.ย. 66 ที่ผ่านมา สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยท้องฟ้าปิด มีเมฆบดบัง ทำให้ไม่สามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นตรง 15 ช่องประตูปราสาทพนมรุ้ง

โดยปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ขึ้นตรง 15 ช่องประตู ปราสาทพนมรุ้ง ตามที่นักดาราศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้ ในแต่ละปีจะมีปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ขึ้นตรง 15 ช่องประตู 2 ครั้ง ในระหว่าง 3-5 เมษายน และวันที่ 8-10 กันยายน ของทุกปี

ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หาชมได้ยาก ใน 1 ปี จะมีให้ชมเพียง 4 ครั้ง เท่านั้น โดยดวงอาทิตย์จะขึ้นตรง 2 ครั้ง ในช่วงวันที่ 3 - 5 เมษายน และวันที่ 8 - 10 กันยายน ของทุกปี และตกตรง 15 ช่องประตูปราสาท 2 ครั้ง ระหว่างวันที่ 5 - 7 มีนาคม และ 6 - 8 ตุลาคม ของทุกปี นับเป็นปรากฏการณ์ที่มหัศจรรย์

สำหรับปราสาทพนมรุ้ง เป็นเทวสถานในศิลปกรรมขอมแห่งเดียวในโลก ที่มีสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ที่เป็นการผสมผสานภูมิปัญญาด้านสถาปัตยกรรม ที่มีการก่อสร้างปราสาท ที่ให้แสงอาทิตย์ส่องตรง 15 ช่องประตู ผ่านศิวะลึงค์ ที่เปรียบเสมือนองค์พระศิวะ ซึ่งตั้งอยู่ภายในปรางค์ประธานของปราสาทพนมรุ้ง ที่เปรียบเสมือนเขาไกรลาสบนสรวงสวรรค์

‘ประธานไมเนอร์’ มั่นใจ ท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มดี อานิสงส์ ‘ไทย-ซาอุฯ’ ฟื้น และ นทท.จีนเริ่มกลับมา

(13 ก.ย. 66) นายวิลเลียม ไฮเน็ค ผู้ก่อตั้งบริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ระบุว่า การท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับซาอุดีอาระเบียและนักท่องเที่ยวจีนเริ่มกลับมา

“เราเห็นการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวซาอุดีอาระเบียในไทย โดยปัจจุบันมีเที่ยวบินจากไทยมาไทยวันละ 2 เที่ยว” นายไฮเน็คกล่าวนอกรอบงานสัมมนา Forbes Global CEO Conference ณ ประเทศสิงคโปร์

“นักท่องเที่ยวจะมาเพิ่มอีกและจะมีอุปสงค์มหาศาล… ไทยกลายเป็นบ้านหลังที่สองสำหรับคนจำนวนมากทั่วโลก ดังนั้นเราจึงมีมุมมองเชิงบวกอย่างมาก” นายไฮเน็คกล่าว พร้อมระบุเสริมว่ามีคนจากยุโรปตะวันออก รัสเซีย และยูเครนเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยเพิ่มมากขึ้น

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีไทยและเจ้าชายมูฮัมหมัด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบียได้ลงนามฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียในเดือน ม.ค.ปีที่แล้ว หลังมีปัญหากันนานถึง 30 ปี

กระทรวงการท่องเที่ยวไทยระบุว่า ยอดนักท่องเที่ยวจากรัสเซียทะลุ 800,000 รายในเดือน ม.ค. – ก.ค.ปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าจาก 77,935 รายในช่วงเดียวกันของปี 2565

เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวจากยูเครนที่เพิ่มขึ้นแตะ 20,507 รายในเดือนม.ค. – ก.ค.ปีนี้ เทียบกับ 7,967 รายในช่วงเดียวกันของปี 2565

‘ญี่ปุ่น’ สั่งปิดเส้นทางขึ้น ‘ภูเขาไฟฟูจิ’ ชั่วคราว หลังพบปัญหา ‘นักท่องเที่ยวล้น - ขยะเกลื่อน’

เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 66 ทางการท้องถิ่นจังหวัดยามานาชิของญี่ปุ่น ประกาศปิดเส้นทางขึ้นสู่ ภูเขาไฟฟูจิ เป็นการชั่วคราวไปจนถึงสิ้นปีนี้ เพื่อหวังควบคุมปริมาณนักท่องเที่ยวที่แห่เดินทางที่นี่แน่นขนัด จนกลายเป็นปัญหาสภาพแวดล้อม จุดที่เป็นปัญหามากที่สุดจนต้องถูกสั่งปิด คือสถานีที่ 5 ของเส้นทางสายฟูจิซูบารุ ที่แล่นตรงจากโตเกียวสู่ภูเขาฟูจิ มีชื่อเล่นว่า ‘โกโกเมะ’ อยู่กึ่งกลางของเส้นทางจากพื้นเบื้องล่างสู่จุดสูงสุดของภูเขาฟูจิ สถานีที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลราว 2,300 เมตร เป็นจุดที่ต้องรับนักท่องเที่ยวมากที่สุด ราวร้อยละ 90% ของนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมภูเขาแห่งนี้

ผู้ว่าราชการจังหวัดยามานาชิบอกว่า ปัญหาที่ส่งผลกระทบมากที่สุด คือการทำความสะอาดห้องสุขาและการเก็บขยะที่ถูกทิ้งเกลื่อนกลาด จากการมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาจำนวนมากจนเจ้าหน้าที่รับมือไม่ไหว ทำให้การรักษาสภาพแวดล้อมและให้ความสะดวกนักท่องเที่ยวพร้อม ๆ กัน เป็นไปด้วยความยากลำบาก

นอกจากสั่งปิดเส้นทางขึ้นภูเขาไฟฟูจิส่วนนี้เป็นการชั่วคราวแล้ว ทางการจังหวัดยามานาชิยังเสนอมาตรการอื่นๆ รวมทั้งการสั่งห้ามรถบัสและรถยนต์ที่มีผู้โดยสารขึ้นเขา โดยให้เปลี่ยนไปใช้บริการรถไฟรางเบาเพื่อขึ้นเขาแทน อีกทั้งเก็บค่าโดยสารแบบไป-กลับในราคา 10,000 เยน (ราว 2,422 บาท) เพื่อคัดกรองให้มีแต่นักท่องเที่ยวระดับคุณภาพ

พร้อมกับระบุว่า ปัญหานักท่องเที่ยวและขยะล้น รวมถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากยวดยานจำนวนมาก สร้างความกังวลแก่ทางการท้องถิ่นว่า สิ่งเหล่านี้จะทำลายเสน่ห์ของภูเขาฟูจิ ให้กลายเป็นสถานที่ที่ไม่น่ามาเที่ยวอีกต่อไป

‘สุริยะ’ เร่งเพิ่มเที่ยวบิน รับนโยบายฟรีวีซ่านักท่องเที่ยว ดันผู้โดยสารจีนเยือนไทยเพิ่ม 5 ล้านคน ช่วงไฮซีซั่นนี้

(14 ก.ย. 66) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงมอบนโยบายในการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคมว่า นโยบายเร่งด่วนที่ตนจะต้องดำเนินการ คือ การเพิ่มตารางการบิน (Slot) และการบริหารจัดการพื้นที่ภายในท่าอากาศยาน เพื่อรองรับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบิน และการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจ

โดยขณะนี้ ได้มอบให้ทางสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. และบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในเรื่องนี้ ดำเนินการตามนโยบาย ซึ่งขณะนี้ทราบว่าได้มีการจัด Slot การบินสำหรับฤดูหนาวนี้สามารถเพิ่มเที่ยวบินได้มากขึ้นอย่างน้อย 15% ต่อสัปดาห์เมื่อเทียบกับ Slot ช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา และคาดการณ์ว่า นักท่องเที่ยวหลักอย่างตลาดจีน จะเพิ่มมากขึ้นกว่า 5 ล้านคน จากนโยบาย VISA Free สำหรับนักท่องเที่ยวจีนตลอดฤดูท่องเที่ยวที่จะถึงนี้

ทั้งนี้ ในส่วนของนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) พิจารณาแนวทางปฏิบัติในการปรับลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า และประเมินผลกระทบต่อหนี้สาธารณะ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปพร้อมเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือน ต.ค.นี้

ขณะเดียวกันได้มอบหมายงานให้ 2 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมดูแลรับผิดชอบแต่ละหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม โดยมี 8 กรม 12 รัฐวิสาหกิจ 2 หน่วยงานอิสระ ได้แก่ นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มีอำนาจในการสั่งการอนุญาต การอนุมัติ การปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รวม 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย 1.กรมเจ้าท่า (จท.) 2.องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) 3.การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) 4.สถาบันการบินพลเรือน (สบพ.) และ 5.บริษัท โรงแรมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำกัด

ทั้งนี้ ได้ให้นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มีอำนาจในการสั่ง การอนุญาต การอนุมัติ การปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รวม 8 หน่วยงาน ประกอบด้วย

1.) กรมการขนส่งทางบก (ขบ.)
2.) กรมการขนส่งทางราง (ขร.)
3.) บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.)
4.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
5.) บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด
6.) บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.)
7.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)
8.) บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.)

ส่วนที่เหลืออีก 9 หน่วยงานตนจะกำกับดูแล ประกอบด้วย
1.) กรมทางหลวง (ทล.)
2.) กรมทางหลวงชนบท (ทช.)
3.) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.)
4.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ‘ทอท.’
5.)กรมท่าอากาศยาน (ทย.)
6.)สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.)
7.)สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.)
8.)สถาบันฝึกอบรมระบบราง
9.) สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม

‘นายกฯ เศรษฐา’ หนุนสร้าง ‘สนามบินเชียงใหม่’ 7 หมื่นล้าน เล็งเพิ่มเที่ยวบินรอบดึก รองรับ นทท.-ลดความแออัดสนามบิน

(17 ก.ย. 66) ที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พบปะผู้บริหารการท่าอากาศยานเชียงใหม่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) เพื่อร่วมพูดคุยประเด็นการเพิ่มเที่ยวบินหลังเที่ยงคืน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น โดยมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เข้าร่วม

นายกรัฐมนตรี รับฟังการดำเนินการเตรียมการรองรับการเพิ่มเที่ยวบินหลังเที่ยงคืน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น การพัฒนาปรับปรุงท่าอากาศยานเชียงใหม่ เช่น การพัฒนาปรับอาคารผู้โดยสารเดิม การก่อสร้างอาคารผู้โดยสารใหม่ (แต่อยู่ในพื้นที่เดิม) รวมถึงการก่อสร้างสนามบินแห่งที่ 2 ในการแก้ปัญหา capacity หรือความแออัดของผู้โดยสารของสนามบินเชียงใหม่ปัจจุบันที่แม้จะมีการพัฒนาปรับปรุงสนามบินเพื่อรองรับผู้โดยสารแล้ว แต่เพื่อให้มีประสิทธิภาพรองรับผู้โดยสารได้มากขึ้นตามเป้าหมายคือ 20 ล้านคนต่อปี จึงต้องมีการก่อสร้างสนามบินแห่งที่ 2 ขึ้น ส่วนการเพิ่มเที่ยวบินหลังเที่ยงคืนนั้น ก็สามารถดำเนินการได้โดยไม่ขัดต่อกฎหมายที่มีอยู่

นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า  AOT นอกจากดูแลเรื่อง EIA และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ แล้วก็ให้ดูแลเยียวยาประชาชน ลดผลกระทบด้านเสียงให้เป็นไปอย่างเหมาะสม รวมถึงเยียวยาจิตใจด้วย พร้อมสอบถามถึงการก่อสร้างสนามบินแห่งใหม่ที่ใช้เงินลงทุนประมาณ 7 หมื่นล้านบาท ระยะเวลา 7 ปี จะเกิดความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์ต่อประชาชนมากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับสนามบินปัจจุบันที่ผลกำไรอยู่ที่ 2 พันล้านบาทต่อปี ซึ่ง AOT รายงานว่าเมื่อก่อสร้างสนามบินแห่งใหม่แล้วเสร็จจะสามารถมีกำไรอยู่ที่ประมาณ 3 พันล้านบาทต่อปี และสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 20 ล้านคนต่อปี ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ทั้งนี้ ในส่วนของระยะเวลาดำเนินการ 7 ปีนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม และขอเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ เพื่อรองรับผู้โดยสารได้ตามเป้าหมาย และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐบาล

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนโยบายฟรีวีซ่าของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนนั้น ขอให้ AOT และ ตม. รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเกิดความประทับใจและมีความปลอดภัย ขณะเดียวกันหากมีประเด็นการนำเสนอข้อที่เป็นไปในทิศทางอ่อนไหวและไม่ถูกต้อง ขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งชี้แจง ทำความเข้าใจกับสังคมผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์ ในรูปแบบที่น่าสนใจและเข้าใจง่าย หรือการใช้ Influencer ต่าง ๆ เข้ามาช่วยอีกทางหนึ่งก็ได้ ซึ่งจะสามารถสร้างความเข้าใจได้มากขึ้น


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top