Tuesday, 14 May 2024
นักท่องเที่ยว

เปิดปาก!! มือเปิดประตูฉุกเฉินเครื่องการบินไทยกลางรันเวย์ อ้าง!! หวาดกลัวองค์กรใต้ดินตามทำร้าย จึงพยายามหลบหนี

หนุ่มจีนสัญชาติแคนาดาที่ก่อเหตุเปิดประตูเครื่องการบินไทยกลางรันเวย์สนามบินเชียงใหม่ยอมเปิดปาก อ้างลงมือก่อเหตุเนื่องจากความหวาดกลัว ถูกองค์กรใต้ดินติดตามปองร้ายตั้งแต่ไปเที่ยวเวียดนาม จึงต้องพยายามหลบหนี ขณะที่ตำรวจคุมไปตรวจหาสารเสพติดในร่างกายแต่ไม่พบ เบื้องต้นแจ้งดำเนินคดี 2 ข้อหาหนัก

ความคืบหน้ากรณีเมื่อวันที่ 7 ก.พ. 67 ที่ผู้โดยสารในเที่ยวบิน TG121 เส้นทาง เชียงใหม่-สุวรรณภูมิ ของสายการบินไทย ก่อเหตุเอะอะโวยวายและเปิดประตูเครื่องบินระหว่างที่เครื่องบินเตรียมที่จะทำการวิ่งขึ้น ทำให้เบาะสไลด์กาง จนส่งผลให้อากาศยานไม่สามารถทำการบินได้ และจอดค้างอยู่กลางทางวิ่ง (Runway) ทั้งนี้ส่งผลให้เที่ยวบินอื่นๆ ไม่สามารถทำการขึ้น-ลง ณ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ได้ชั่วขณะ โดยมีเที่ยวบินที่ได้รับผลกระทบ 13 เที่ยวบิน และผู้โดยสารทั้งสิ้น 2,296 คน 

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบทราบว่าผู้โดยสารที่ก่อเหตุชื่อ นาย Wong Sai Heung อายุ 40 ปี เชื้อชาติจีน สัญชาติแคนาดา ซึ่งหลังจากที่ก่อเหตุแล้วทางเจ้าหน้าที่ได้เข้าทำการควบคุมตัวนำส่งสถานีตำรวจภูธรภูพิงคราชนิเวศน์ โดยจากการค้นในตัวพบยารักษาโรคจำนวนหนึ่ง ขณะที่ช่วงสายวานนี้ (8 ก.พ. 67) พนักงานสอบสวนได้ควบคุมตัวทำการสอบสวนผ่านล่าม เบื้องต้นทราบว่าผู้ก่อเหตุเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ อ้างว่าก่อเหตุเนื่องจากหวาดกลัวว่าจะถูกทำร้าย เนื่องจากถูกองค์กรมืดติดตามล่าตัวและจะทำลายเครื่องบินที่ตนเองนั่ง จึงพยายามจะเปิดประตูเครื่องบินเพื่อหลบหนี

รายงานข่าวแจ้งว่า ล่าสุดช่วงบ่ายวานนี้ (8 ก.พ. 67) ที่สถานีตำรวจภูธรภูพิงคราชนิเวศน์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวนาย Wong Sai Heung ออกจากห้องขัง นำไปตรวจสอบหาสารเสพติด อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าไม่พบสารเสพติดในร่างกายแต่อย่างใด 

ทั้งนี้ระหว่างที่ถูกควบคุมตัวไปนั้น นาย Wong Sai Heung เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวถึงกรณีที่ก่อเหตุ โดยยืนยันว่ากระทำไปเนื่องจากเกิดความหวาดกลัวว่าถูกติดตามจะทำร้าย จากการที่ก่อนหน้านี้ได้เดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศเวียดนามแล้วเกิดเหตุการณ์ที่รู้สึกว่าถูกคุกคามและปองร้ายจากกลุ่มองค์กรใต้ดิน ซึ่งติดตามจะมาทำร้ายตัวเอง และจะทำลายเครื่องบินลำที่ตัวเองโดยสาร จึงเกิดความหวาดกลัวและพยายามจะหลบหนีด้วยการวิ่งไปเปิดประตูเครื่องบินดังกล่าว

ขณะที่ พ.ต.ท.ณัฐวุฒิ น้อยสอน รองผู้กำกับการสืบสวน สถานีตำรวจภูธรภูพิงคราชนิเวศน์ เปิดเผยว่า เบื้องต้นพนักงานสอบสวนทำการแจ้งข้อหา 2 ข้อหาหนักต่อผู้ต้องหารายนี้ ได้แก่ ข้อหากระทำด้วยประการใดๆ ให้อากาศยานอยู่ในลักษณะอันน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคล ตาม ป.อาญา มาตรา 232(1) และข้อหาเป็นผู้อยู่ในอากาศยานระหว่างการบินฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ควบคุมอากาศยานหรือเจ้าหน้าที่ประจำอากาศยาน ซึ่งสั่งในนามผู้ควบคุมอากาศยาน (เปิดประตูฉุกเฉินเครื่องบินโดยไม่มีเหตุอันควร) ที่สั่งเพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่อากาศยานหรือแก่บุคคลหรือทรัพย์สินในอากาศยาน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2558 มาตรา 7 วรรค 2 อย่างไรก็ตาม อาจจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมอีกเกี่ยวกับความผิดตามพระราชบัญญัติอากาศยาน ซึ่งรอผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการ นอกจากนี้ในส่วนของความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเครื่องบิน และเที่ยวบินทั้ง 13 เที่ยวบินที่ได้รับผลกระทบนั้น ทางสายการบินแต่ละแห่งอาจจะมาดำเนินการแจ้งความเพิ่มเติมอีก

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับผู้ต้องหารายนี้นั้น เบื้องต้นข้อมูลระบุว่าเป็นคนเชื้อชาติจีน สัญชาติแคนาดา ประกอบอาชีพเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ โดยเดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อวันที่ 3 ก.พ. 67 ก่อนที่จะเดินทางมาเที่ยวเชียงใหม่ และในช่วงที่ก่อเหตุกำลังจะเดินทางด้วยเที่ยวบินดังกล่าวจากเชียงใหม่ไปกรุงเทพฯ เพื่อต่อเครื่องบินกลับประเทศ

‘สุริยะ’ ลุย ‘ทสภ.’ กำชับทุกหน่วยเตรียมพร้อมช่วงตรุษจีน เน้นย้ำ!! การให้บริการ นทท.ต้องสะดวก-รวดเร็ว-ปลอดภัย

(10 ก.พ. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า วันนี้ได้เดินทางตรวจติดตามความคืบหน้า ตามข้อสั่งการในการเตรียมพร้อมการให้บริการผู้โดยสาร ในช่วงเทศกาลตรุษจีน และการแก้ไขปัญหาความหนาแน่นในการรอคิวตรวจหนังสือเดินทาง รองรับผู้โดยสารช่วงเทศกาลตรุษจีน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.)

โดยในช่วงเทศกาลตรุษจีน 2567 ระหว่างวันที่ 4-16 กุมภาพันธ์ 2567 คาดว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงได้สั่งการให้ ทอท. ท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกในทุกมิติ โดยให้มีการจัดเจ้าหน้าที่คอยกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การบริการผู้โดยสารในภาพรวมเป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็ว

ทั้งนี้ จากที่ได้เริ่ม มาตรการ Visa Free ขณะนี้ได้มีเที่ยวบินขาเข้าสูงถึง 1,040 เที่ยวต่อวัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งมั่นใจว่าประเทศไทยจะสามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ ให้เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้ทุกหน่วยงาน เตรียมแผนเผชิญเหตุกรณีเกิดเหตุขัดข้อง และให้ใช้เทคโนโลยีทันสมัย เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ใช้บริการอย่างเต็มประสิทธิภาพ รองรับและสนับสนุนนโยบายการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวของรัฐบาล

พร้อมกันนี้ยังได้ให้ทาง ตม.2 เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ให้บริการจุดตรวจคนเข้าเมืองทุกช่องบริการให้เพียงพอในการรองรับการใช้บริการผู้โดยสารในช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยได้มีการเสริมเจ้าหน้าที่เวรปฏิบัติงานนอกเวลา และได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ ตม. จากจังหวัดต่าง ๆ เข้ามาช่วยปฏิบัติงานที่ ทสภ. รวมถึงยังได้มีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกหน่วยปฏิบัติงานมาเป็นเจ้าหน้าที่ ตม.2 กว่า 60 นาย นอกจากนี้ ตม.2 ได้มีการบรรจุเจ้าหน้าที่ใหม่แล้วจำนวน 200 อัตรา ขณะนี้อยู่ในระหว่างการอบรมภาคทฤษฎีคาดว่าจะสามารถ เริ่มปฏิบัติงานได้จริงตั้งแต่ 1 มีนาคมนี้ รวมทั้งยังมีแผนที่จะขอบรรจุอัตรากำลังเพิ่มอีก 400 อัตรา รวมเป็น 600 อัตราในอนาคต

รวมถึงให้ตรวจสอบความพร้อมของช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ หรือ ‘Automatic channels’ โดยวางมาตรการในการป้องกันการขัดข้องของระบบ Biometric พร้อมให้จัดให้มีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของระบบตลอด 24 ชม. รวมถึงได้มีการเปลี่ยนเครื่องลูกข่ายหน้าช่องตรวจทุกช่องทั้งขาเข้า ขาออก ทำให้ระบบการทำงานดีขึ้น และในระยะยาวทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) จะได้จัดหาระบบใหม่ทดแทนเป็นระบบเดียว คือ ‘ระบบ TIS’ (Thailand Immigration System) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจลงตราซึ่งจะทำให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 นั้น เตรียมเปิดใช้งานได้ในเดือนกรกฎาคม 2567 ซึ่งเมื่อเปิดใช้งานจะเพิ่มศักยภาพในการรองรับเที่ยวบินของ ทสภ. จากเดิม 67 เที่ยวบิน/ชั่วโมง เป็น 94 เที่ยวบิน/ชั่วโมง ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพของท่าอากาศยานหลักของไทยในการรองรับเที่ยวบินและผู้โดยสารเพิ่มมากขึ้น สนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยตามแผนยกระดับประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาคหรือ Aviation Upgrade ของรัฐบาลเพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการบินของภูมิภาค

“ในช่วง 20 ปีก่อน สนามบินสุวรรณภูมิ เคยติดอันดับ 7 ของโลก แต่ในปัจจุบันนี้ตกไปอยู่อันดับที่ 76 ของโลก สาเหตุจากการถดถอยของการให้บริการ ดังนั้นผมได้ให้นโยบายต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงแก้ไขต้องเร่งปรับเปลี่ยนโดยเร็ว เพื่อให้สนามบินสุวรรณภูมิ เลื่อนอันดับขึ้นมาติด 1 ใน 20 ของโลกให้ได้” นายสุริยะ กล่าว

สำหรับการเปิดใช้อาคารเทียบเครื่องบินรอง หลังที่ 1 หรือ อาคาร SAT 1 ขณะนี้มีสายการบินหลายสายได้ย้ายไปให้บริการที่อาคาร SAT 1 เพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันมีเที่ยวบินเฉลี่ยต่อวันกว่า 86 เที่ยวบิน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ทั้งนี้คาดว่าภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์จะมีปริมาณเที่ยวบินเพิ่มขึ้นเป็น 112 เที่ยวบิน และจะมีสายการบินมาใช้บริการเพิ่มขี้นเป็น 16 สายการบินจากเดิม 13 สายการบิน

ต่างชาติแห่เข้าไทยกว่า 1 แสนคนในวันเดียว รับ ‘ตรุษจีน-ฟรีวีซ่า’ คาด ยอดสะสมปี 67 แตะ 4 ล้านคน ‘นทท.จีน’ ครองอันดับหนึ่ง

(10 ก.พ. 67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยช่วงตรุษจีน ซึ่งมีตัวเลขเดินทางเข้าไทยวันเดียวมากกว่า 1 แสนคน (ยอดของวันที่ 8 ก.พ.) ทำให้นักท่องเที่ยวยอดสะสมของปี 2567 เกือบแตะ 4 ล้านคน (เดินทางเข้าไทยแล้วมากกว่า 3,963,744 ล้านคน)

โดยเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนมากที่สุด ตามมาด้วยชาวมาเลเซีย นับเป็นผลจากมิตรภาพ ความร่วมมือ และการดำเนินนโยบายของบนายกรัฐมนตรีที่เห็นผลสำเร็จเป็นรูปธรรม

จากการสำรวจเชิงลึกของบริษัทจัดจำหน่ายการเดินทางระดับโลก Dida Travel ของจีน พบว่า ช่วงเทศกาลตรุษจีนของชาวจีนปีนี้ ระหว่างวันที่ 10-17 ก.พ. 2567 มีจำนวนการจองโรงแรมในไทยเพิ่มขึ้นถึงกว่า 243% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยไทยยังเป็น 1 ในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักเดินทางชาวจีนขาออกในช่วงเวลานี้

“คาดว่าน่าจะเป็นผลพวงจากความต้องการเดินทาง ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาด และจากผลมาตรการวีซ่าฟรี (Visa Free) ไทย - จีน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป” นายชัยกล่าว

นอกจากนี้ จากการดำเนินนโยบายต่างประเทศด้วยมิตรภาพ ความสัมพันธ์ และความร่วมมือที่ใกล้ชิดระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ที่ได้เห็นพ้องส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกันภายใต้แนวคิด ‘หกประเทศ หนึ่งจุดหมาย’ (ไทย, กัมพูชา, มาเลเซีย, เวียดนาม, ลาว และเมียนมา) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกันในภูมิภาค สร้างหมุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวให้เป็น ‘One Destination’ ทำให้มีนักท่องเที่ยวจากอาเซียน โดยเฉพาะมาเลเซียเดินทางมาไทยจำนวนมาก

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีดำเนินนโยบายเพื่อกระตุ้นรายได้ประเทศ อำนวยความสะดวกเพื่อเพิ่มตัวเลขนักท่องเที่ยว กระตุ้นอุตสาหกรรม กิจกรรมด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งเดินทางนำเสนอนโยบายปรับนโยบายดึงดูดการลงทุน หาตลาดเพิ่มมูลค่าการค้า รวมทั้งดำเนินนโยบายด้านต่างประเทศด้วยความเป็นมิตรกับทุกประเทศ เพิ่มโอกาส เพื่อเพิ่มเงินหมุนเวียนในประเทศ ตลอดช่วงเวลาของการรับตำแหน่งที่ผ่านมา

“เห็นผลเป็นตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เกิดการคาดการณ์เม็ดเงินเข้าประเทศมหาศาลนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งส่วนที่เห็นดอกออกผล ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า ยังมีอีกหลายส่วนของการดำเนินนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่แน่นอนว่าจะนำมาซึ่งการพัฒนา ฟื้นฟูเศรษฐกิจ กระจายรายได้สู่พี่น้องประชาชนไทย” นายชัยกล่าว

ตม.จว.กระบี่ ตรวจเข้ม สนองนโยบาย ผบ.ตร. และ ผบช.สตม. บูรณาการร่วมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบ สร้างความมั่นใจให้ประชาชนและนักท่องเที่ยว

ตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. ,พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รอง ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. กำหนดให้มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรม ระหว่างวันที่ 13-22 ก.พ. 67 โดยให้ระดมตรวจสอบและการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการดูแลความสงบเรียบร้อยของสังคม ตลอดถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและนักท่องเที่ยว 

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.6,พ.ต.อ.กันตวัฒน์  พงศ์สถาบดี รอง ผบก.ตม.6 ,พ.ต.อ.สรธรรศจ์  เอี่ยมละออ ผกก.ตม.จว.กระบี่ สั่งการให้ พ.ต.ท.สุเมธ  กนกเหมพันธ์  รอง ผกก.ตม.จว.กระบี่ ,พ.ต.ต.วิรัตน์ อินทร์ยอด สว.ตม.จว.กระบี่ , พ.ต.ต.วิโรจน์ ศรีสภา สว.ตม.จว.กระบี่  จัดกำลังชุดสืบสวนตรวจร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว ส.ทท.3 กก.2 บก.ทท.3 , เจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำ ส.รน.1 กก.9 บก.รน. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองกระบี่ บูรณาการออกตรวจสอบพื้นที่รับผิดชอบ ได้ร่วมกันจับกุมผู้กระทำผิด 4 ราย ดังนี้

1.นายซิน (สัญชาติเมียนมา) โดยกล่าวหาว่า “มียาเสพติดประเภท1(ยาบ้า)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย” ของกลางยาบ้า จำนวน 16 เม็ด
2. นายมิน (สัญชาติเมียนมา) โดยกล่าวหาว่า “มียาเสพติดประเภท1(ยาบ้า)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย” ของกลางยาบ้า จำนวน 10 เม็ด
3. นายเซ (สัญชาติเมียนมา) โดยกล่าวหาว่า “เป็นคนต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”
4.นายฤทธิ์ธี (สัญชาติไทย) โดยกล่าวหาว่า “มียาเสพติดประเภท1(ยาบ้า)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย” ของกลางยาบ้า จำนวน 50 เม็ด

นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองกระบี่ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 
ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 13 ก.พ.67 ตม.จว.กระบี่ ได้ดำเนินการจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีรายละเอียด ดังนี้

-จับกุมผู้กระทำผิด พรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 จำนวน 41 ราย
-จับกุมผู้กระทำผิด พรก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 จำนวน 2 ราย
-จับกุมผู้กระทำผิด พรบ.ยาเสพติด จำนวน 3 ราย

ด้วยในพื้นที่จังหวัดกระบี่ มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นจำนวนมาก ตม.จว.กระบี่ จึงได้มีมาตรการออกตรวจพื้นที่ ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวและประชาชน ตลอดจนสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยว และหากประชาชนท่านใดพบเห็นการกระทำผิด กรุณาแจ้งมายัง ตม.จว.กระบี่ โทร 075 611097 จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

‘กต.’ เล็งลงนาม ฟรีวีซ่า ‘ไทย-คาซัคสถาน’ แบบถาวร เม.ย.นี้ ตั้งเป้าดึง นทท.คาซัคฯ ทัวร์เมืองไทยปี 67 ไม่ต่ำกว่า 2 แสนคน

(24 ก.พ. 67) นายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เปิดเผยวานนี้ (23 ก.พ.) ภายหลังการจัดงาน ‘Amazing Thailand Roadshow To Almaty’ ณ เมืองอัลมาตี ประเทศคาซัคสถาน จัดโดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ กต. ว่า จากการเดินทางมาร่วมกิจกรรมสำรวจลู่ทางการค้าและการลงทุนในประเทศคาซัคสถานรอบนี้ ทาง กต.ได้เริ่มกระบวนการจัดทำความตกลงยกเว้นการตรวจลงตรา หรือ ‘ยกเว้นวีซ่า : Visa-Free’ (ฟรีวีซ่า) ซึ่งกันและกันอย่างถาวรระหว่างฟรีวีซ่าแล้ว แต่เนื่องจากอยู่ระหว่างดำเนินการเรื่องเอกสารระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลคาซัคสถาน ทำให้ต้องชะลอการลงนามฯ ไปก่อน

“ตามที่ทางนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้มีการเชิญนายมูรัท นูร์ตลิว รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของคาซัคสถาน เยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) ในเดือน เม.ย. 2567 เราตั้งเป้าว่าน่าจะเห็นการลงนามความตกลงยกเว้นวีซ่าอย่างถาวรระหว่างไทยกับคาซัคสถานอย่างแน่นอน”

หลังจากล่าสุด เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2567 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติขยายระยะเวลาการยกเว้นวีซ่าเพื่อการท่องเที่ยว ให้กับนักท่องเที่ยวคาซัคสถานไปอีก 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. - 31 ส.ค. 2567 ต่อเนื่องจากมติ ครม. ก่อนหน้านี้ที่ประกาศยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวคาซัคสถานในช่วงระหว่างวันที่ 25 ก.ย. 2566 - 29 ก.พ. 2567

“นี่จึงเป็นเหตุผลที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอให้ ครม.มีมติขยายระยะเวลาการยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวคาซัคสถานอีก 6 เดือนจนถึงสิ้นเดือน ส.ค. 2567 เพื่อให้มั่นใจว่าจะครอบคลุมช่วงเวลาดำเนินการจัดทำความตกลงระหว่าง ไทยกับคาซัคสถาน ในการยกเว้นวีซ่าซึ่งกันและกันอย่างถาวร” นายจักรพงษ์ กล่าว

และเมื่อวันที่ 23 ก.พ. ทางกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ ททท. ได้หารือร่วมกับผู้บริหารสายการบิน แอร์ อัสตานา (Air Astana) พร้อมแจ้งข่าวดีเรื่องการดำเนินการจัดทำความตกลง ไทย-คาซัคสถาน ยกเว้นวีซ่า ระหว่างกันอย่างถาวรอีกด้วย

“ทางตัวแทนผู้บริหารแอร์อัสตานาดีใจมาก จริงๆ เขาดีใจตั้งแต่รัฐบาลไทยประกาศยกเว้นวีซ่าให้นักท่องเที่ยวคาซัคสถานตั้งแต่รอบแรกแล้ว ยิ่งต่อรอบที่ 2 ก็ยิ่งดีใจ เพราะในมุมนักธุรกิจเขาขอแค่ภาครัฐกำหนดแผนงานให้ชัดเจน แน่นอน ที่เหลือเขาไปทำการบ้านต่อเอง โดยในปี 2567 ทางกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ภายใต้การนำของรัฐมนตรีว่าการฯ สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล ตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวคาซัคสถานเดินทางเข้าประเทศไทยในปี 2567 ไม่น้อยกว่า 2 แสนคน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วซึ่งได้ 1.7 แสนคน”

และแม้ว่าคาซัคสถานจะเป็นประเทศที่มีฐานการผลิตพลังงานค่อนข้างมาก แต่ในบางจังหวะ บางเมือง ไฟฟ้าเกิดดับไปเลย 30 วันในช่วงฤดูหนาวที่อากาศติดลบกว่า 40-50 องศา ถ้าสามารถเริ่มบังคับใช้ความตกลงยกเว้นวีซ่าดังกล่าวได้เมื่อไร ชาวคาซัคสถานก็พร้อมเก็บกระเป๋าออกจากบ้าน เดินทางมาประเทศไทยได้เลย ด้วยปัจจัยสำคัญอย่างการมีเส้นทางบินตรงจากคาซัคสถานมาไทย ยิ่งสนับสนุนการเดินทางอย่างสะดวกสบาย

“นี่จึงเป็นเหตุผลที่นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ให้ความสำคัญและพูดตลอดว่า การมี เที่ยวบินตรง (Direct Flight) จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวอย่างมาก ไม่ต้องเสียเวลาต่อเครื่องบิน นี่คือ Ease of Travelling อย่างหนึ่ง” รมช.การต่างประเทศกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ด้านประเทศคาซัคสถาน ได้ประกาศยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวชาวไทยแล้วตั้งแต่วันที่ 29 ก.ย. 2562 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ผู้ที่ต้องการไปเยือนคาซัคสถานสามารถพำนักในประเทศได้นานสูงสุด 30 วัน โดยไม่จำเป็นต้องขอวีซ่า

'ก.ต่างประเทศ' จ่อลงนาม ฟรีวีซ่าถาวร 'ไทย-คาซัคสถาน'  ช่วยหนุนนักท่องเที่ยวเข้าไทยปีนี้เพิ่มอีกกว่า 2 แสนคน

เมื่อไม่นานมานี้ นายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เปิดเผยภายหลังการจัดงาน ‘Amazing Thailand Roadshow To Almaty’ ณ เมืองอัลมาตี ประเทศคาซัคสถาน จัดโดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ กต. ว่า จากการเดินทางมาร่วมกิจกรรมสำรวจลู่ทางการค้าและการลงทุนในประเทศคาซัคสถานรอบนี้ ทาง กต.ได้เริ่มกระบวนการจัดทำความตกลงยกเว้นการตรวจลงตรา (ยกเว้นวีซ่า : Visa-Free) ซึ่งกันและกันอย่างถาวรระหว่างไทยกับคาซัคสถานแล้ว

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอยู่ระหว่างดำเนินการเรื่องเอกสารระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลคาซัคสถาน ทำให้ต้องชะลอการลงนามฯ ไปก่อน

“ตามที่ทางนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้มีการเชิญนายมูรัท นูร์ตลิว รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของคาซัคสถาน เยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) ในเดือน เม.ย. 2567 เราตั้งเป้าว่าน่าจะเห็นการลงนามความตกลงยกเว้นวีซ่าอย่างถาวรระหว่างไทยกับคาซัคสถานอย่างแน่นอน”

หลังจากล่าสุด เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2567 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติขยายระยะเวลาการยกเว้นวีซ่าเพื่อการท่องเที่ยว ให้กับนักท่องเที่ยวคาซัคสถานไปอีก 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. - 31 ส.ค. 2567 ต่อเนื่องจากมติ ครม. ก่อนหน้านี้ที่ประกาศยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวคาซัคสถานในช่วงระหว่างวันที่ 25 ก.ย. 2566 - 29 ก.พ. 2567

“นี่เป็นเหตุผลที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอให้ ครม.มีมติขยายระยะเวลาการยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวคาซัคสถานอีก 6 เดือนจนถึงสิ้นเดือน ส.ค. 2567 เพื่อให้มั่นใจว่าจะครอบคลุมช่วงเวลาดำเนินการจัดทำความตกลงระหว่าง ไทย กับ คาซัคสถาน ในการยกเว้นวีซ่าซึ่งกันและกันอย่างถาวร”

นอกจากนี้ ได้หารือร่วมกับผู้บริหารสายการบินแอร์ อัสตานา (Air Astana) พร้อมแจ้งข่าวดีเรื่องการดำเนินการจัดทำความตกลง ไทย-คาซัคสถาน ยกเว้นวีซ่าระหว่างกันอย่างถาวรอีกด้วย

“ทางตัวแทนผู้บริหารแอร์อัสตานาดีใจมาก จริง ๆ เขาดีใจตั้งแต่รัฐบาลไทยประกาศยกเว้นวีซ่าให้นักท่องเที่ยวคาซัคสถานตั้งแต่รอบแรกแล้ว ยิ่งต่อรอบที่ 2 ก็ยิ่งดีใจ เพราะในมุมนักธุรกิจเขาขอแค่ภาครัฐกำหนดแผนงานให้ชัดเจน แน่นอน ที่เหลือเขาไปทำการบ้านต่อเอง”

คนพื้นที่ โต้!! ดรามา 'หัวหินเงียบเหงา' อัดบางสื่อมโน ทั้งๆ ที่ นทท.เพียบ!!

เมื่อวานนี้ (26 ก.พ. 67) จากกรณี เพจ Paksabuy ได้โพสต์ในเชิงตั้งคำถาม เป็นภาพชายหาดหัวหิน ช่วงทางลงหาดสาธารณะ ตะเกียบ ซ.1 ที่ดูสวยงามน้ำทะเลใสแจ๋วแต่ปราศจากผู้คนพร้อมระบุข้อความว่า 

“เหมือนว่าหลาย ๆ โรงแรมในหัวหินกำลังประสบปัญหาเดียวกัน คือ นทท.คนไทยน้อยลงไปประมาณหนึ่ง ลุงเลยอยากจะถามว่าทำไมเพื่อนๆ ถึงมาเที่ยวหัวหินกันน้อยลงไปฮะ

1. เบื่อรถติดพระรามสอง
2. โรงแรมหัวหิน แอบราคาสูงไปนะ
3. ยังไม่ใช่ช่วงไป จะไปช่วงปิดเทอม รอโปรฯ อยู่
4. ไปประเทศเพื่อนบ้านรู้สึกคุ้มกว่า ยกตัวอย่าง ฮ่องกง มาเก๊า เวียดนาม ฯลฯ
5. เศรษฐกิจไม่ดี จะกินจะใช้อาจต้องคิดมากกว่าเมื่อก่อน
6. อื่น ๆ ”

ทั้งนี้หลังภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ได้มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็น พร้อมทั้งวิพากษ์วิจารณ์มากมายจนกลายเป็นไวรัลบนโลกโซเชียล ซึ่ง ส่วนใหญ่ต่างเชื่อว่าที่คนมาเที่ยวหัวหินน้อยลง เป็นเพราะเบื่อรถติดที่ถนนพระราม 2 และมักมีข่าวมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้งขณะเดินทางผ่านถนนพระรามสอง

>> หัวหินไม่เงียบเหงา คนพื้นที่อัดบางสื่อมโน

หลังจากนั้นได้มีสื่อบางสำนักนำเรื่องนี้ไปเผยแพร่โดยระบุว่า “หัวหินเงียบเหงา เพราะคนเบื่อรถติดถนนพระราม 2” อันเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงของโพสต์ต้นทาง ซึ่งภายหลังเกิดเป็นกระแส แอดมินเพจ Paksabuy ได้ออกมาชี้แจงว่า…

“ตื่นมาพร้อมกับที่ ข่าวที่ไปออกทีวีล่ะ อืม ยังดีที่เขาเปิดโพสต์นะ มันจะได้ไม่เพี้ยน เราไม่เคยบอกว่า หัวหินเงียบเหงาเลยเราบอกแค่ว่า “คนไทยมาเที่ยวหัวหินน้อยลง เพราะอะไร”

ขณะที่คนหัวหินและนักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวหัวหินในช่วงหยุดยาวมาฆบูชา ต่างออกมาโต้และให้ข้อมูลที่ถูกต้องว่า “หัวหินไม่ได้เงียบเหงา” ยังมีนักท่องเที่ยวเยอะเหมือนเดิม จนมีรถติดในบางพื้นที่ของเมือง นอกจากนี้ยังมีชาวหัวหินบางคนตำหนิการกระทำของสื่อบางสำนัก ดังเช่น ผู้ใช้เฟซบุ๊ก บัญชีรายชื่อ คนบ้า หัวหิน ที่โพสต์ว่า…

“#ควรหรือไม่ กับการลงข่าว แบบไม่สร้างสรรค์และไม่ส่งเสริมการท่องเที่ยว จิตสำนึกควรมีให้สมกับคำว่า ‘นักข่าว’ #ขอเถอะครับ อย่าลงข่าวทำร้ายหัวหิน #บ้านเกิดผมเลย”

โพสต์นี้นอกจากจะมีคนเข้ามาแสดงความเห็นด้วยกับเจ้าของโพสต์แล้ว ยังตำหนิสื่อมวลชนบางสำนักที่นำเสนอข่าวนี้ไม่ตรงตามข้อเท็จจริง อาทิ

- สักเเต่พาดหัวข่าวให้คนสนใจ โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมาเลย
- เมื่อวานรถเยอะมากค่ะ คนสั่งอาหาร ที่ร้านก็เยอะ นะคะ ไม่เงียบค่ะ
- ไม่เงียบนะ เมื่อวานคึกคักมากค่ะ
- สำนักข่าวเจ้านี้ขึ้นชื่อว่าโคตรมั่วเลย
- นักข่าวมันไม่เคยมาเที่ยวหัวหินพี่มันเลยเขียนข่าวแบบนี้ สงสัยไม่มีข่าวทำมาหากินแล้วมั้งเอาข่าวมาเขียนมั่วสั่ว
- นั่งเทียนฟังข่าวแล้วเชื่อโดยไม่ไปดูให้เห็นกับตา แล้วก็เล่าเติมเสริมแต่งนู้นนี้ หัวหินเป็นเมืองท่องเที่ยว ประชาชนไปเที่ยวน้อยบ้าง มากบ้าง ปรกติ... คำว่าเงียบมาก เป็นคำพูดของคน ไม่เคยมาหัวหิน แล้วมโนตามภาพเอง อย่าหาทำเลยครับ
- เดี๋ยวนี้หลายสำนักข่าวไม่มีจรรยาบรรณในการนำเสนอ มีแต่ปั่นข่าวขายครับ
- นักท่องเที่ยวมากมาย ทุกวันด้วย ที่ชายหาด เขาตะเกียบ เชิญมาดู
- ทำข่าวแต่ไม่ลงสนามมาดู ทุกวันนี้ชายหาดตอนเย็นเยอะมาก
- ที่หาดหัวหินคนเยอะมากค่ะเอาข่าวอะไรมาลงไม่มีสร้างสรรค์เลยคนพวกนี้

>> หัวหินไม่เงียบเหงา หยุดยาวมาฆบูชา ยอดเข้าพักเฉลี่ย 90%

หลังเกิดดรามาผู้สื่อข่าวได้รายงานว่า ‘หัวหิน’ ยังคงคึกคัก ช่วงหยุดยาวมาฆบูชา 3 วัน มียอดเข้าพักเฉลี่ย 90% มีทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวต่างชาติ คาดเงินสะพัดกว่า 120 ล้านบาท

โดยนายคมกริช เจริญพัฒนสมบัติ รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า จากที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวต่างชาติ พบว่าหัวหินยังคงเป็นจุดหมายที่นักท่องเที่ยวอยากเดินทางมาพักผ่อน เนื่องจากยังคงมีความเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะชายหาด และน้ำทะเลใส รวมทั้งมีที่พัก สนามกอล์ฟ ศูนย์การค้า ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกให้เลือกมากมาย การเดินทางจากรุงเทพฯ เพียง 200 กม. ซึ่งไม่ไกลมากนัก ส่วนใหญ่ข้อมูลของผู้ประกอบการท่องเที่ยวทราบว่าวันหยุด 3 วัน โรงแรม รีสอร์ตบางแห่งเต็ม บางแห่งไม่เต็มก็มี ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติร้อยละ 80-90% เป็นชาวยุโรป

ด้านนายอุดม ศรีมหาโชตะ เจ้าของบ้านทะเลดาวรีอสอร์ต หัวหิน ในฐานะอุปนายกสมาคมโรงแรมไทยภาคตะวันตก กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ช่วงหยุดยาวมาฆบูชา รีสอร์ตของตนห้องพักเต็ม สัดส่วนเป็นชาวต่างชาติจากแถบประเทศยุโรป ประมาณ 85-90% ต้องยอมรับว่าปีนี้นักท่องเที่ยวจากยุโรปมาเที่ยวหัวหิน ชะอำค่อนข้างเยอะ ที่เหลือเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยในช่วงวันหยุด

นายอุดม ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ช่วงนี้เป็นช่วงที่ทางประเทศแถบยุโรปมีอากาศหนาว ทำให้มีนักท่องเที่ยวกลุ่มต่างชาติมาพักผ่อนที่เมืองไทยและที่หัวหิน ซึ่งในช่วงเดือนเมษายน ชาวต่างชาติจะลดลงเดินทางกลับประเทศ จะเป็นตลาดกลุ่มคนไทยในช่วงปิดเทอม โดยยืนยันว่าหัวหินไม่ได้เงียบเหงาตามที่มีกระแสข่าวในโซเชียลแต่อย่างใด

>> เร่งรัดโครงการถนนพระราม 2

หลังเกิดดรามา ‘หัวหินเงียบเหงา’ เป็นไวรัลบนโลกโซเชียล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาโพสต์ถึงเรื่องดังกล่าว ผ่านเฟซบุ๊กบัญชีรายชื่อ เศรษฐา ทวีสิน - Srettha Thavisin ระบุว่า…

โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ต้องได้รับการควบคุมการก่อสร้างอย่างเข้มงวด ได้มาตรฐานและรวดเร็วครับ รัฐบาลได้ติดตามและเร่งรัดโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ล่าช้าซึ่งสร้างปัญหาให้กับผู้สัญจรไปมาและนักท่องเที่ยว ทำให้ผู้ประกอบการสองฝั่งถนนเสียโอกาสในการประกอบอาชีพ รวมไปถึงก่อให้เกิดมลภาวะ กระทบต่อสุขภาพพี่น้องประชาชน ถนนพระราม 2 ที่ก่อสร้างล่าช้า ซึ่งกลายเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้นักท่องเที่ยวไปเที่ยวหัวหินกันน้อยลงนั้น ทางกระทรวงคมนาคมแจ้งว่าจะเร่งแก้ไขปัญหาเพื่อให้สามารถเดินทางได้สะดวกขึ้นก่อนเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ ผมจะติดตามการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้เร็วที่สุด พร้อมทั้งจะกำกับดูแลมาตรการการจัดซื้อจัดจ้างให้เข้มงวด โดยเฉพาะมาตรการลงโทษผู้รับเหมาที่ทิ้งงานครับ”

สำหรับ ‘ถนนพระราม 2’ เป็นเส้นทางสำคัญสู่ภาคใต้ด้วยปริมาณการจราจรมากกว่า 1 แสนคันต่อวัน แต่เนื่องจากถนนเส้นนี้ มีการก่อสร้างต่าง ๆ มาอย่างยาวนาน จนได้ชื่อว่าเป็น ‘ถนน 7 ชั่วโคตร’ ทั้งยังมีอุบัติเหตุใหญ่ ๆ เกิดขึ้นจากการก่อสร้างหลายครั้ง ทำให้ประชาชนมีภาพจำที่ไม่ดีต่อถนนพระราม 2 ซึ่งวันนี้กำลังดำเนินการก่อสร้าง โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 82 หรือ M82 บนทางหลวงหมายเลข 35 ซึ่งโครงการระบุว่าจะสร้างแล้วเสร็จราวกลางปี 2567

อย่างไรก็ดีสำหรับผู้ที่จะเดินทางจากกรุงเทพฯสู่หัวหิน วันนี้หลาย ๆ คน เลี่ยงรถติดที่พระราม 2 ด้วยการเลี่ยงไปใช้เส้นทาง ถนนเพชรเกษม นครปฐม-หัวหิน แทน

สำหรับดรามาเรื่องหัวหินเงียบเหงาที่กลายเป็นไวรัล แม้จะมีสื่อบางสำนักรายงานคลาดเคลื่อนไปจากโพสต์ต้นทาง แต่กระนั้นชาวเน็ตหลายคนกลับมองว่า เรื่องนี้มีมุมที่ดีคือ ช่วยกระตุ้นให้รัฐบาลหันมาจัดการกับถนน พระราม 2 ให้เสร็จอย่างจริงจังเสียที

'รถตุ๊กตุ๊ก' แจง!! ราคาเหมาคัน 'รถตุ๊กตุ๊ก' 1,200 บาท ทั่วกรุงเก่า ยัน!! ราคาเหมาท่องเที่ยว 'โอปป้าฮง' ตามมาตรฐาน ชม.ละ 300

(27 ก.พ.67) จากกรณี โอปป้าฮง หรือ พี่ฮง แร็ปเปอร์และยูทูบเบอร์ ชื่อดังชาวเกาหลี ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอผ่าน youtube : Oppa Hong พาเที่ยวจังหวัด พระนครศรีอยุธยา โดยมีการว่าจ้างรถตุ๊กตุ๊ก ไปส่งร้านอาหารและท่องเที่ยว และมีการเรียกเก็บค่าโดยสาร 1,200 อ้างตำรวจการันตีในราคานี้ จนมีการวิพากษ์วิจารณ์กันสนั่นโซเชียล ถึงการทีมีการโก่งราคาค่าโดยสารที่แพงเกินไป และไม่เหมาะสม

ทั้งนี้ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ทีมข่าวจึงได้เดินทางลงพื้นที่ ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่บริเวณวินรถตุ๊กตุ๊ก หน้าสถานีรถไฟที่ปรากฏในคลิป โดยได้พบกับ พ.ต.ท ธนากร ธรรม เมธา สารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจท่องเที่ยวพระนครศรีอยุธยา กำลังสอบถาม กับ นางสมจิตร อายุ 59 ปี ภรรยาคนขับรถตุ๊กตุ๊ก ที่ปรากฏอยู่ในคลิป โดย พ.ต.ท.ธนากร ได้ให้คนขับรถตุ๊กตุ๊ก ชี้แจงการติดป้ายแสดงราคาที่ติดเอาไว้ ที่มีการโลโก้ของตำรวจทางหลวง ไปติดเอาไว้ จนทำให้เกิดความเข้าใจผิด พร้อมกับแนะนำให้เอา โลโก้ ตำรวจท่องเที่ยว ออกจากป้าย เนื่องจากไม่ได้มีการ อนุญาตให้นำมาติด 

ส่วนเรื่องราคาจะถูก หรือแพงนั้น ต้องรอหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และอาจจะมีการเซ็น MOU เพื่อทำข้อตกลงกันไว้ และจะให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบ หากพบว่ามีความผิดก็จะมีบทลงโทษ

ขณะที่ นางสมจิตร เปิดเผยว่านักท่องเที่ยว 2 คน ทราบภายหลังว่า เป็นชาวเกาหลี ได้มาเที่ยวที่อยุธยาประมาณสัปดาห์ ที่ผ่านมา ได้เข้ามาติดต่อสอบถาม หาร้านอาหาร จึงได้มีการแนะนำร้านอาหาร พร้อมกับราคาค่าโดยสาร โดยจะพาไปร้านอาหารและท่องเที่ยว แบบเหมา 4 ชั่วโมง1,200 บาท เท่ากับว่าหารกันคนละ 600 บาท ซึ่งนักท่องเที่ยวมีการเช็คราคาเปรียบ กับแกร็บคาร์ และพบว่ามีราคาที่แพงกว่า ตนเองจึงแนะนำไปว่า ถ้าจะใช้บริการ แกร็บคาร์ ต้องเดินออกไปเรียกให้ห่างจากวิน รถตุ๊กตุ๊ก แต่นักท่องเที่ยวทั้ง 2 ก็ไม่ได้ไป 

จากนั้น นักท่องเที่ยวจึงได้มีการมาตกลงให้พาไปส่งที่ร้านอาหาร และท่องเที่ยว ตนเองยืนยันว่า ตนเองกับสามี มีอาชีพขับรถตุ๊กตุ๊ก มาเกือบ 40 ปี ไม่เคยถูกร้องเรียนและไม่เคยถูกตำหนิ และขอยืนยันว่า ไม่ได้มีการชาร์จราคานักท่องเที่ยวแต่อย่างใด แต่เป็นราคามาตรฐานที่มีการทำข้อตกลงกันกับทาง ขนส่งจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ด้าน นาย สิทธิชัย  49 ปี คนขับรถตุ๊กตุ๊ก ซึ่งเป็นตัวแทนคนขับรถตุ๊กตุ๊ก เปิดเผยว่า หลังจากที่เกิดกระแสดราม่า จนมีคนเข้าไปคอมเม้นต์ และวิพากษ์วิจารณ์ ว่ามีการคิดราคาค่าโดยสารตุ๊กตุ๊กแพงเกินจริง ซึ่งตนเองยืนยันว่า ราคาดังกล่าวเป็นราคามาตรฐาน และมีการติดป้ายแสดงราคากันอย่างชัดเจน การพุดคุยสื่อสารอาจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และคลาดเคลื่อน เนื่องจากว่าอาจจะอธิบายให้นักท่องเที่ยวฟัง แล้วเกิดความไม่เข้าใจ ซึ่งในราคาเหมารถตุ๊กตุ๊กท่องเที่ยว ในอัตราคนไทย จะอยู่ที่ชั่วโมงละ 200 บาท และหากเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะอยู่ในราคาชั่วโมงละ 300 บาท โดยจะเป็นลักษณะเช่าเหมาคัน

แต่ในกรณีนี้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากันสองคน และมีการหารกัน จึงตกคิดอัตราค่าโดยสารหัวละ 600 บาท จนทำให้ดูว่าราคาแพง และมีการโก่งราคา ทั้งนี้ ส่วนตัวอยากให้มองในมุมกลับกันว่า หากนักท่องเที่ยวมากัน 6-8 และเช่าเป็นชั่วโมงในลักษณะเช่าเหมาคันชั่วโมงละ 300 บาท 4 ชั่วโมงก็จะคิดไปหลายหัวในลักษณะหากันเหลือเพียง 200 ถึง 150 เท่านั้น

ต่อมาทีมข่าวสอบถามไปยัง สำนักงานขนส่งจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งได้ให้ข้อมูลในเบื้องต้นว่า ราคาเหมารถตุ๊กตุ๊กท่องเที่ยว ที่มีการทำข้อตกลงกันเอาไว้ ชาวต่างชาติจะคิดราคาชั่วโมงละ 300 บาท ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะมีการส่งเจ้าหน้าที่ฯ เข้าไปตรวจสอบ และพุดคุย พร้อมกับสอบสวนสาเหตุกับทางวินรถตุ๊กตุ๊ก และคนขับรถตุ๊กตุ๊ก เพื่อให้ระมัดระวังการใช้คำพูด การอธิบายความต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด หรือในลักษณะของการบีบบังคับให้ใช้บริการ และขอดูรายละเอียดภายคลิปที่ปรากฏอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฏหมายต่อไป

‘นักเขียนรางวัลซีไรต์’ แนะ ‘เศรษฐา’ แค่เก็บกวาดเรื่องลบ ททท.ก็ผงาดแล้ว ยัน!! เสน่ห์เมืองไทยล้นเหลือ ไม่จำเป็นต้องพึ่ง Taylor Swift มาไทย

(2 มี.ค. 67) นายวินทร์ เลียววาริณ นักเขียนรางวัลซีไรต์ และ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2556 ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับกรณีการรุมชิงตัว นักร้องดัง Taylor Swift ไปแสดง เพื่อดึงนักท่องเที่ยว โดยได้ระบุว่า ...

สองสามวันนี้มีข่าวสองประเทศรุมด่าสิงคโปร์ที่ชิงตัว Taylor Swift ไปแสดงที่นั่นได้สำเร็จ

ข้อกล่าวหาคือสิงคโปร์จ่าย 'ค่าใต้โต๊ะ' จำนวน S$24 ล้าน (638,400,000 บาท) เพื่อให้นางสาวเทย์เลอร์แสดงเฉพาะที่สิงคโปร์ ไม่ให้ไปประเทศเอเชียอาคเนย์อื่นๆ 

รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมสิงคโปร์ปฏิเสธข่าวนี้ บอกว่าจ่ายจริง แต่ไม่มากขนาดนี้

ข่าว BBC วันนี้รายงานว่า นายกฯ ไทย 'ตวาด' (สื่อใช้คำว่า outburst) ใส่สิงคโปร์ว่า จ่ายเงินคนจัดงานคืนละ 2-3 ล้านเหรียญสิงคโปร์ เพราะไทยต้องการให้นางสาวเทย์เลอร์ไปแสดงที่นี่มานานแล้ว

สส. ฟิลิปปินส์คนหนึ่งก็ฟาดต่อว่า "นี่มิใช่สิ่งที่เพื่อนบ้านที่ดีกระทำต่อกัน" เพราะฟิลิปปินส์ก็ต้องการให้นางสาวเทย์เลอร์ไปแสดงที่นั่นเช่นกัน แล้วเรียกร้องให้รัฐบาลส่งสารประท้วงอย่างเป็นทางการ

ในมุมมองของผม ทั้งนายกฯ ไทย และ สส. ฟิลิปปินส์มีปัญหาเรื่องวุฒิภาวะทั้งคู่

เมื่อแพ้ก็ถอดบทเรียน แต่ไม่ประณามใคร ไม่เกิดประโยชน์อะไร ยิ่งตอกย้ำว่าเราต่างหากที่ไม่ทันเกม

นี่คือธุรกิจประมูล ใครเสนอค่าตอบแทนสูงกว่า ก็ชนะประมูล และ exclusive deal เป็นเรื่องปกติธรรมดาในวงการธุรกิจ

สิงคโปร์มองทุกอย่างเป็นตัวเลข เมื่อเห็นว่าคุ้มก็ลงทุน ถ้าต้องจ่ายค่าใต้โต๊ะ S$24 ล้านจริง ก็จะเอาคืนร้อยเท่าพันเท่า 

ตอนนี้ค่าตั๋วไปดูนางสาวเทย์เลอร์คือ S$1,200 ค่าโรงแรมพุ่งขึ้นสูงกว่าเดิม อยากดูก็ต้องจ่าย

ส่วนโรงแรม Marina Bay Sands มีแพ็กเกจดูคอนเสิร์ตนางสาวเทย์เลอร์ กับพักสามคืน เป็นเงินแค่ S$50,000 (เท่ากับ 1,330,000 บาท ใช่ พิมพ์ไม่ผิด เกินหนึ่งล้านบาท)

ถ้าไทยเราอยากได้นางสาวเทย์เลอร์จริงๆ แค่เจียดงบประมาณสาดน้ำสงกรานต์กับ soft power ก็ชนะสิงคโปร์แล้ว

แต่คำถามคือ เราต้องการ Taylor Swift จริงๆ หรือ?

นางสาวเทย์เลอร์ช่วยอะไรเราได้ ถ้าแค่ทำให้นักท่องเที่ยวมาเพิ่ม เราอาจต้องทบทวนบางเรื่องใหม่

เราไม่ได้ขาดแคลนนักท่องเที่ยว อาทิตย์ก่อน นายกฯไปสนามบินและ 'outburst' ตม.ว่าทำงานช้า ปล่อยให้คิวนักท่องเที่ยวยาวมาก

อยากเชิญนายกฯ ไปเดินดูถนนสุขุมวิทใจกลางเมืองนี่เองว่า ทางเท้าสกปรกเพียงไร ไม่ได้ล้างมาสิบกว่าปีได้แล้ว และทุกคืนฝรั่งก็เยี่ยวรดริมทางเท้านั่นเอง กลิ่นอยู่ถึงเช้าตอนที่พระออกมาบิณฑบาตพอดี

ยังไม่ต้องพูดถึงการขายเซ็กซ์ทอยริมทางเท้าอย่างโจ๋งครึ่ม นักท่องเที่ยวบางคนเขียนจดหมายไปต่อว่าในบางกอกโพสต์ว่า เขาพาลูกยังเด็กมาเที่ยวเมืองไทย เห็นขายเซ็กซ์ทอยแบบโจ่งแจ้งอย่างนี้ ไม่รู้จะบอกลูกยังไง

ส่วนแท็กซี่ก็ยังคงตีหัวนักท่องเที่ยว จอดเต็มทุกซอยที่มีนักท่องเที่ยว เดี๋ยวนี้จอดริมถนนใหญ่ได้แล้ว

เหล่านี้เป็นเรื่องที่สมควร 'outburst' ทั้งสิ้น เป็นขยะที่ควรเก็บก่อนต้อนรับแขกเมือง

แค่จัดการบ้านเมืองให้ดี นักท่องเที่ยวก็มาเองและมาซ้ำ โดยไม่ต้องพึ่งนางสาวคนไหน

บางทีเราไม่ได้ต้องการ Taylor Swift มาเมืองไทย เราต้องการคนเก็บขยะมากกว่า

วินทร์ เลียววาริณ

2 เดือนแรกปี 67 นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย 6.7 ล้านคน อานิสงส์ ‘ฟรีวีซ่า-เพิ่มเที่ยวบิน’ โกยรายได้ 3.2 แสนล้านบาท

เมื่อไม่นานมานี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อัปเดตสถานการณ์ท่องเที่ยวล่าสุด พบขณะนี้ตั้งแต่วันที่ วันที่ 1 มกราคม - 3 มีนาคม 2567 ไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเที่ยวไทย ทั้งสิ้น 6,730,914 คน สร้างรายได้ 326,034 ล้านบาท

จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่

-จีน 1,238,353 คน
-มาเลเซีย 889,948 คน
-รัสเซีย 444,837 คน
-เกาหลีใต้ 430,701 คน
-อินเดีย 327,768 คน

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่าสำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา ได้อัปเดตสถานการณ์ท่องเที่ยวในช่วงสัปดาห์ล่าสุด (วันที่ 26 กุมภาพันธ์ - 3 มีนาคม 2567) พบว่า ไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 749,680 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 14,175 คน หรือ 1.86 % คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 107,098 คน

โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวมาเลเซีย แซงนักท่องเที่ยวจีน ขยับขึ้นมาเป็นกลุ่มที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวอันดับที่ 1 ซึ่งเป็นผลมาจากการการปิดภาคเรียนภายในประเทศ และการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ โดยนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นกว่า 11,897 คน จากสัปดาห์ก่อนหน้า

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาด 5 อันดับแรกที่เที่ยวไทยมากที่สุด พบว่านักท่องเที่ยวมาเลเซีย 130,120 คน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 10.06 % นักท่องเที่ยวจีน 124,037 คน นักท่องเที่ยวรัสเซีย 47,831 คน นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ 42,956 คน และนักท่องเที่ยวอินเดีย 34,639 คน โดยนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ รัสเซีย จีน และอินเดีย ปรับตัวลดลงเล็กน้อย

สำหรับในสัปดาห์ถัดไป คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยส่งเสริมการเดินทาง ได้แก่ การลงนามยกเว้นวีซ่าระหว่างไทย-จีน ที่มีผลช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว เพิ่มการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง และกระตุ้นให้สายการบิน เพิ่มจำนวนเที่ยวบิน รวมทั้งการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง หรือวีซ่าฟรี ให้แก่นักท่องเที่ยวอินเดีย ไต้หวัน และคาซัคสถาน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top