Sunday, 28 April 2024
ทักษิณ

ชาวเน็ตคอมเมนต์ไอจี ‘อุ๊งอิ๊ง’ ถาม ‘ทักษิณ’ เป็นนักโทษหรือเทวดา หลังได้สิทธิ์ย้ายไปรักษาตัว รพ.ตำรวจ เจอตอบกลับสั้นๆ แต่เจ็บจี๊ด!!

(25 ส.ค. 66) หลังจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เดินทางด้วยเครื่องบินส่วนกลับมารับโทษในประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยถูกนำตัวส่งไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร แต่จากนั้นช่วงกลางดึกนายทักษิณมีอาการแน่นหน้าอก จึงถูกนำตัวส่ง รพ.ตำรวจ โดยพักรักษาตัวอยู่ชั้น 14 หอผู้ป่วยรับรองระดับสูง

ก่อนตามมาด้วยกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมว่า นายทักษิณอยู่ในเรือนจำเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็อยู่นำตัวออกจากเรือนจำไปรักษาตัวยังโรงพยาบาล โดยกรมราชทัณฑ์ชี้แจงการปฏิบัติเช่นนี้ เป็นไปตามระเบียบ เนื่องจาก รพ.ราชทัณฑ์ ไม่มีความพร้อมด้านผู้เชี่ยวชาญ และอุปกรณ์การรักษา

ล่าสุดชาวเน็ตหลายคนเข้าไปแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ในไอจีส่วนตัวของ ‘อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร’ ลูกสาวคนเล็กของนายทักษิณ

โดยมีชาวเน็ตคนหนึ่งตั้งคำถามว่า “นักโทษหรือเทวดาคะ?”

ทำให้อุ๊งอิ๊งตอบกลับโพสต์ดังกล่าวว่า “เทวดาค่ะ”

‘อั้ม เนโกะ’ ซัด!! ด้อมส้ม แต่งนิยายดีลลับ ‘ทักษิณ’ กลับไทยชี้!! ‘ก้าวไกล’ ปิ๋วตั้งรัฐบาล เพราะตัวเองไม่มีเสียงมากพอ

เมื่อไม่นานนี้ นายศรัณย์ ฉุยฉาย หรือ ‘อั้ม เนโกะ’ ผู้ต้องหาคดีความมั่นคง ซึ่งลี้ภัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ได้ออกมาโพสต์คลิปวิดีโอผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Aum Neko’ โดยช่วงหนึ่ง ‘อั้ม เนโกะ’ ได้อธิบายถึงปมดีลลับ ‘ทักษิณ’ กลับไทย ว่า ทักษิณพร้อมจะกลับบ้าน พร้อมจะติดคุกมาตั้งนานแล้ว และพรรคเพื่อไทยไม่เคยทอดทิ้งหรือลืมคนที่ลี้ภัยเลย พร้อมทั้งบอกสาเหตุที่ ‘พรรคก้าวไกล’ ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เป็นเพราะไม่มีเสียงที่มากพอ โดยระบุว่า…

“คุณทักษิณไม่ได้ดีล ดีลในเรื่องที่ว่าหักหลังพรรคก้าวไกล เพื่อที่จะให้พรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะว่าในหนังสือดาราหรือหนังสือแต่งนิยายดารา เขาบอกว่าถ้าพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลคุณทักษิณจะไม่สามารถกลับไทยได้ อยากจะขําเป็นภาษาแมว พรรคเพื่อไทยไม่เคยลืม ไม่เคยทิ้ง ในขณะสิบปีที่ผ่านมาที่อั้มต่อสู้ คนที่อยู่ในพรรคส้มไม่เคยอยู่เคียงข้างอั้ม”

“คุณทักษิณบอกมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่าเขาพร้อมจะกลับบ้าน พร้อมจะติดคุกอะไรยังไงก็ว่ากันไป แต่ถามว่าคุณทักษิณเขาไม่เห็นด้วยหรือไม่ เขาเห็นดีเห็นแดงกับคนที่ลี้ภัยอย่างพวกเราไหม? อั้มขอยืนยันตรงนี้ว่า คุณทักษิณและพรรคเพื่อไทยไม่เคยลืมคนที่ลี้ภัยอยู่นอกประเทศ… คุณคิดได้ยังไงว่าเขาต้องกันซีนพรรคก้าวไกล ไม่ให้พรรคก้าวไกลสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพื่อที่ทักษิณจะได้กลับบ้านได้ ขอด่าดัง ๆ คุณดูความจริงก่อน”

“ความจริงมันคืออะไร? คือรัฐบาลของพรรคก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งได้เลย เพราะคุณไม่มีเสียงมากพอในสภาฯ คุณมี 151 เสียง ไม่ได้มีเสียงมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้โดยที่ไม่ต้องไปพึ่งเสียงพรรคอื่น หรือพึ่งเสียง สว. แล้วคุณโกหกต่อสาธารณชนบอกว่าพรรคก้าวไกลสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เสียงของเราพอแล้ว นั่นคือ ‘คุณโกหก’ จริง ๆ คุณจัดตั้งไม่ได้ ทุกคนเห็น โลกเห็น แฟนคลับเห็น ว่าคุณจัดตั้งไม่ได้ แล้วคุณเองก็ไปโทรศัพท์คุยกับพรรคที่เป็นพรรคฝั่งรัฐบาลเผด็จการที่คุณด่า ทุกพรรคคุณไปคุย คุณไม่ได้เอามาคุยหน้าไมค์ด้วยซ้ำ แล้วคุณบอกว่าคุณดีเลิศ ประเสริฐศรี สามารถจัดตั้งได้ เพราะคุณคิดว่าเขาจะยกมือให้คุณ สรุปคือ คุณโกหกต่อสังคม แต่ประชาชนก็ปล่อยผ่าน เพราะว่านี่คือพรรคก้าวไกล…”

“คุณทักษิณไม่ได้ดีล และหักหลังพรรคก้าวไกล ถ้าคุณทักษิณหรือพรรคเพื่อไทยตั้งใจที่จะถลกหนังตลบหน้าพรรคก้าวไกลเหมือนแมวข่วนหน้า นั่นแปลว่า เขาก็ไม่ต้องมานั่งยกมือ ไม่มานั่งโหวตให้คุณ ไม่ต้องมาอะไร แต่เขาพร้อมโหวตให้ตั้งแต่คุณยังเป็นพรรคอนาคตใหม่ ทุกคนที่อยู่ที่นี่จําได้ว่าสมัยพรรคอนาคตใหม่ ได้รับการเลือกตั้งครั้งแรกได้ สส. เข้ามาในสภาฯ คุณไม่ใช่เป็นพรรคเสียงอันดับหนึ่งนะ พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่ได้เสียงอันดับหนึ่ง แต่เขายอมที่จะยกมือขานชื่อของ ‘คุณธนาธร’ ให้ทั้งพรรค ตั้งแต่อดีตจนทุกวันนี้”

“ถ้าสมมติว่าพรรคก้าวไกลของคุณสามารถไปรวบรวมคนมาได้ สามารถที่จะจัดตั้งได้ พรรคเพื่อไทยเขาก็ยังจะยกมือให้คุณ ทุกวันนี้ถามว่าถ้าพรรคก้าวไกล คุณกลับมาจับมือพรรคเพื่อไทยได้ พรรคเพื่อไทยก็พร้อมยกมือให้คุณ แต่ประเด็นคือคุณไม่มีความสามารถในการหาเสียงได้เกินครึ่งหนึ่งของสภาฯ และของฝั่ง สว. รวมกันให้มากพอที่จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้”

“ดังนั้น เมื่อคุณจัดตั้งไม่ได้ คุณบอกว่าคุณประกาศเองเลยว่า ขอส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทย แล้ว พอคุณส่งไม้ต่อไปแล้ว พรรคเพื่อไทยเขาก็ทําทุกวิถีทางเพื่อให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ คุณมาบอกว่าพรรคเพื่อไทยไปกันซีนพรรคคุณ เพื่อที่จะดีลให้ทักษิณกลับบ้านได้ ขอโทษค่ะ… อันนี้คือคุณบิดและมาหาว่าดิฉันเป็นนางแบก คนนั้นคนนี้เป็นนางแบก คุณพวกส้มบิด บิดจน โอ้โฮ! ลําไส้เจ็บไปหมดเลย คุณไม่มีความสามารถที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ คุณด่าพรรคเพื่อไทยหวังผลทางการเมือง สร้างข่าวลวงว่าคุณทักษิณกันซีนไม่ให้พรรคก้าวไกลขึ้นมาเป็นพรรคจัดตั้งรัฐบาล คุณทําเองไม่ได้ แล้วคุณมาดักเพื่อไทยต่อ คือต่อให้พรรคก้าวไกลสามารถมาเป็นประธานรัฐสภาได้ มันทําให้เสียงของพรรคก้าวไกลได้เกินครึ่งหนึ่งและจัดตั้งรัฐบาลเอาพิธาตีเมียมาเป็นนายกได้ไหม? ก็ไม่ได้เพราะความจริงคือคุณมีแค่ 151 แค่นั้น คุณอย่าฝัน คุณยังไม่ได้เกินครึ่งสภาฯ เลย คุณยังไม่ได้พรรคเดียวเกิน 250 เสียง ยังไม่ได้พรรคเดียวถึง 375 เสียง”

“ดังนั้น คุณจึงไม่สามารถจัดตั้งพรรคได้ และพวกส้มบิดทั้งหลาย เลิกเชื่อละครน้ำเน่าที่กล่าวหาพรรคเพื่อไทยและทักษิณว่า ดีลเพื่อที่จะไปกันซีนพรรคคุณได้แล้วค่ะ”

ไม่พลิก!! 'อนุทิน' คุม 'มท.1' ฟาก 'ป๊อด' ผงาด!! อาจมีขบถ ปชป.ซบบ้านป่า ส่วน พท.พร้อมเดินหน้า แต่แอบผวา 'ทักษิณ' ทำความดีละลายหาย

'เลียบการเมือง' สุดสัปดาห์ กับ 'เล็ก เลียบด่วน' สัปดาห์นี้ ขอวิเคราะห์การเมืองกันแบบซุบซิบ...เมาท์มอยดีกว่านะครับ ก่อนจะได้ดูโผ ครม.จริงๆ กันในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้...

'เล็ก เลียบด่วน' สรุปอีกครั้งว่า... 'เพื่อไทย' ได้เป็นรัฐบาลรอบนี้เพราะมีลุง...มีลุงจึงมีเรา...152 เสียงของสมาชิกวุฒิสภาหรือ สว.ที่ขานชื่อ "เห็นชอบ" ให้เศรษฐา ทวีสิน นั้น เป็น สว.สายบิ๊กตู่ร่วมๆ 145 คน ดังนั้นจึงชอบแล้วที่ 'เสี่ยนิด เศรษฐา' ไปขอบคุณลุงตู่ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 24 ส.ค. เป็นวัฒนธรรมใหม่ทางการเมือง...

เอาไปเอามา...ดูเหมือนว่าไฮไลต์การจัดโผ ครม. อยู่ที่เก้าอี้กระทรวงมหาดไทยกับคมนาคม...เมื่อพรรคเพื่อไทยยื่นคำขาดขอคุม 'คมนาคม' พรรคน้องหนู อนุทิน ชาญวีรกูล ก็โค้งคำนับทุบโต๊ะบอกว่า "ได้ครับ" แต่ขอแลกกับมหาดไทย...นั่นเป็นที่มาของอนุทินรอบนี้จะนั่งรองนายกฯ ควบ มท.1  

ส่วน สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เมื่อเจาะกระทรวงพลังงานไม่ได้ ก็มาดูเมกะโปรเจกต์ที่กระทรวงหูกวาง...

กระทรวงหูกวาง หรือ คมนาคมรอบนี้ 'เล็ก เลียบด่วน' ให้จับตามองตำแหน่ง รมช.โควตาพรรคเพื่อไทยให้ดีๆ เขาคือ 'หมอหนุ่ย' นพ.สุรพงษ์ ปิยะโชติ นายก อบจ.กาญจนบุรี สายตรงของเจ้าสัวด้านขนส่งคมนาคม...คนนั้น  

เลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา 'หมอหนุ่ย' คนเชียงใหม่ แต่เคยเป็น สส.เมืองกาญจน์เมื่อปี 2554 เป็นแม่ทัพบัญชาการการรบ โดยมีเจ้าสัวสนับสนุนยุทธปัจจัยไม่อั้น ทำให้เพื่อไทยกวาด สส.เมืองกาญจน์ได้ 4 เขตจาก 5 เขต...วันนี้เลยได้รับบำเหน็จขึ้นแท่น รมช.แฮปปี้ทั้งเจ้าสัวและหมอหนุ่ยรวมทั้งคนเมืองกาญจน์ฯ...

รายนี้ก็เป็นการตบรางวัล จัดให้ตามที่คุณขอมา...ว่าที่รมว.ท่องเที่ยวและการกีฬา คนใหม่ ตัวเล็กหน้าตาจิ้มลิ้ม ออกอาการเคอะเขินระหว่างเดินทางร่วมทริปดูงานด้านการท่องเที่ยวที่ภูเก็ต-พังงากับ ท่านนายกฯ เศรษฐา...ไม่ใช่ใครอื่น 'สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล' ลูกสาวคนโตของ 'กำนันป้อ' วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล เสี่ยแป้งมันคนโตแห่งโคราชนั่นเอง...

เลือกตั้งรอบนี้ กำนันป้อ จับมือ ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กวาดสส.โคราชเกือบเกลี้ยง...เพื่อไทยเลยจัดให้สองเก้าอี้...ประเสริฐว่าการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม...กำนันป้อส่งคุณหนูสุดาวรรณคุมท่องเที่ยวฯ ยินดีด้วยนะครับ

สื่อมวลชนบางสำนักเขียนถึง 'บิ๊กป้อม' พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐว่า...อกหักพักบ้านป่า...ซึ่ง 'เล็ก เลียบด่วน' ก็ขอบอกว่าไม่มีอะไรผิดหรอกที่เขียนน่ะ แต่อย่าซ้ำเติมท่านนักเลย แค่เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารรุ่น 6 จปร.17 หลายคนแหกโผไปยกมือโหวตให้ 'เศรษฐา' ทั้งๆ ที่ตกลงกันว่าจะงดออกเสียงก็ชีช้ำพอแล้ว...โดยเฉพาะรายของ 'บิ๊กกี่' พล.อ.นพดล อินทปัญญา...เพื่อนเลิฟลุงป้อม งานนี้สนับสนุนนายกฯ เพื่อไทยเต็มลำ ทำไงได้ล่ะ...ก็สุดที่เลิฟของ 'บิ๊กกี่' เป็น สส.อยู่ที่พรรคเพื่อไทยนี่นา…

สำหรับพรรคพลังประชารัฐ จากนี้ไปก็คงอยู่ภายใต้การคอนโทรลของน้องชายบิ๊กป้อม คือ 'บิ๊กป๊อด' พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ว่าที่รองนายกฯ / รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม...อนาคตพรรค พปชร.แม้จะดูเทาๆ มัวๆ แต่อาจจะอยู่ยืนยาวกว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ...ดีไม่ดีว่ากันว่าหากในอนาคตกลุ่ม 16 แห่งพรรคประชาธิปัตย์ถูกขับหรือขับตัวเอง อาจจะมาซุกกายอยู่บ้านป่ารอยต่อใน พ.ศ.ใหม่ก็เป็นไปได้...ไม่เชื่อลองไปถามเดชอิศม์ ขาวทอง

และสุดท้าย...ท้ายสุด เหนือการควบคุมของ นายกฯ เศรษฐา...แต่จะส่งผลกระทบกับรัฐบาลเศรษฐา...แฟนคลับพรรคเพื่อไทยฝาก 'เล็ก เลียบด่วน' กระซิบกรณี นช.ทักษิณ ชินวัตร ว่า หากพรรคเพื่อไทยและครอบครัวชินวัตรไม่บริหารให้อยู่ในความพอดีของความเป็นนักโทษ...ต่อให้รัฐบาลสร้างผลงานดีแค่ไหนก็จะละลายหายไปกับความเสื่อมศรัทธาที่จะเกิดขึ้น...

ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดีในระดับพอสมควรแล้ว คนไทยให้อภัยและชื่นชมที่ทักษิณเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ถ้าจะทำลายโอกาสดีๆ ที่พรรคเพื่อไทยจะได้ฟื้นตัว มีพลังสู้กับพรรคก้าวไกลและปัญหาของชาติ 

ก็ช่วยไม่ได้...เอวัง!!

เรื่อง: เล็ก เลียบด่วน

‘เทพไท’ จ่อขอพระราชทานอภัยโทษ พร้อมยกเหตุผลเหนือกว่า ‘ทักษิณ’

(22 ก.ย. 66) นายพงษ์สินธ์ เสนพงศ์ ในฐานะน้องชายของ นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตนักการเมืองฝีปากกล้าของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ประสบวิบากกรรมทางการเมือง ถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุกในคดีทุจริตเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมกับน้องชายอีกคน คือนายมาโนช เสนพงศ์ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้โพสต์ข้อมูลสำคัญที่สร้างความฮือฮา โดยระบุว่าเป็นการพูดคุยกับ นายเทพไท เสนพงศ์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในสถานะผู้ต้องขังของเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช เตรียมที่จะขอพระราชทานอภัยโทษ ด้วยคุณสมบัติที่มีมากกว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีความว่า…

“เทพไท ใช้สิทธิทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษ เหมือนทักษิณ ผมได้ไปเยี่ยมคุณเทพไท ที่เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช เมื่อวันก่อน คุณเทพไทได้แจ้งให้ผมทราบว่า เขาได้ทำหนังสือทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษส่วนบุคคล เช่นเดียวกับคุณทักษิณแล้ว โดยอธิบายเหตุผลให้ฟังว่า เดิมทีตั้งแต่เข้าสู่เรือนจำวันแรก มีหลายคนแนะนำให้ทำหนังสือทูลเกล้า เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษส่วนบุคคล ซึ่งตอนนั้นคิดว่า เรามีโทษจำคุกเพียง 2 ปี ก็ควรยอมรับชะตากรรม ไม่อยากทำหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษ ให้เป็นที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท จึงไม่ได้ดำเนินการใดๆ นับตั้งแต่วันเริ่มเข้าสู่ประตูเรือนจำ แต่เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม คุณทักษิณได้เดินทางกลับประเทศไทย โดยมีข้ออ้างว่าต้องการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อต้องการรับโทษจำคุก 10 ปี ตามคำพิพากษาของศาลฎีกา”

“แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าไม่ได้จำคุกจริง หลังจากอยู่ในเรือนจำได้ไม่เกิน 12 ชั่วโมง ก็ต้องย้ายไปอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 โดยอ้างเหตุผลของการเจ็บป่วย และหลังจากนั้นได้ทำหนังสือทูลเกล้าขออภัยโทษในวันที่ 31 สิงหาคม โดยเหตุผล 4 ข้อ คือ 1.) ได้ทำคุณงามความดีให้กับประเทศชาติ 2.) มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ 3.) เคารพและยอมรับกระบวนการยุติธรรม และ 4.) เป็นผู้สูงอายุและมีโรคประจำตัว”

นายพงษ์สินธ์ ระบุอีกว่า หากพิจารณาจากเหตุผลในการทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษของคุณทักษิณแล้ว คุณเทพไท กล่าวกับผมว่า เขามีคุณสมบัติในการขอพระราชทานอภัยโทษได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคุณทักษิณเลย กล่าวคือ

1.) ได้เป็นสมาชิกสภาแทนราษฎรมา 4 สมัย ทำงานรับใช้ประชาชน และทำประโยชน์ให้ประเทศชาติมากมายมาร่วม 20 ปี

2.) มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นที่ประจักษ์ เคยเป็นพิธีกรรายการสายล่อฟ้า ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ จากการจาบจ้วงของระบอบทักษิณ (ตามเหตุผลการยึดอำนาจของคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ (คสช.) และไม่เคยต้องคดีตามมาตรา 112 แต่อย่างใด

3.) ยอมรับกระบวนการยุติธรรมด้วยความเต็มใจ เมื่อถูกศาลฎีกาตัดสินให้รับโทษจำคุก 2 ปี ก็ไม่ได้หลบหนีคดีแต่อย่างใด

4.) ตอนนี้อายุ 62 ปี เป็นผู้สูงวัยเช่นเดียวกัน และมีโรคประจำตัวหลายโรค ระหว่างถูกจำคุกในเรือนจำ ต้องเบิกตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลมหาราชจังหวัดนครศรีธรรมราช

5.) ได้รับโทษจำคุกมาเป็นเวลา 14 เดือน กำลังจะเข้าข่ายเงื่อนไขการจำคุก 2 ใน 3 ของโทษตามคำพิพากษา แต่ไม่เคยได้รับการลดโทษเลย

6.) ได้ต้องโทษจำคุกจากการกระทำผิด พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ข้อหาจัดเลี้ยงและร่วมงานเลี้ยงกินข้าวกับกลุ่มกำนันผู้ใหญ่ ไม่ใช่การแจกเงินซื้อเสียง) แต่กรณีของคุณทักษิณ ต้องโทษคดีทุจริตต่อประเทศชาติ

ดังนั้น คุณเทพไท จึงได้สิทธิตามเงื่อนไขของกรมราชทัณฑ์ เหมือนกับนักโทษทั่วไป ที่ไม่ใช่นักโทษเทวดาทุกประการ สำหรับเรื่องนี้ ถ้าหากมีความคืบหน้าประการใดผมจะนำมารายงานให้ได้รับทราบในโอกาสต่อไป

วัดใจ 'ทักษิณ' ห่วง 'อิ๊ง-ฐา' ต้องสวมชุด นช.อย่างสง่าผ่าเผย ฟาก 'ก้าวไกล' 3ป.ถูกปิดสวิตช์ โดนโปลิตบูโรยึดพรรค

เลียบการเมือง ประจำวันเสาร์สุดสัปดาห์...ประสา 'เล็ก เลียบด่วน' ขอหมายเหตุขีดเส้นใต้ข่าวสารสำคัญเอาไว้เป็นบันทึกช่วยจำและทำนายทายทักเหตุการณ์แบบไม่กลัวหน้าแหก...

โกอินเตอร์... ประเดิมตำแหน่งนายกรัฐมนตรีป้ายแดง บนเวทีประชุมสมัชชายูเอ็นครั้งที่ 78 ... ตัดเรื่องหยุมหยิมที่ยังตรวจสอบกันต่อได้คือค่าเครื่องบินเหมาลำ 30 ล้านบาทออกไป ก็ต้องยอมรับว่า ... เศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ของเรา 'สอบผ่าน' แต่จะได้กี่คะแนนก็ว่ากันไป  

สำหรับ เล็ก เลียบด่วน เต็ม 10 เอาไป 7.5 ... รอบหน้าฟ้าใหม่ถอดบทเรียนความผิดพลาดจากครั้งแรก ประเภทบอกตัวเองในใจว่า ‘รู้งี้…’  ให้ดีๆ มีโอกาสได้คะแนน 9.9 ทีเดียวเชียวแหละ...

ถ้าจะให้ความเป็นธรรมกับนายกฯ เศรษฐา กรณีข่าวที่ว่าจะตั้งทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาก็ต้องบอกว่า นายกฯ เศรษฐาไม่ถึงกับตอบนักข่าวบลูมเบิร์กว่าจะตั้งเป็นที่ปรึกษา แต่บอกว่าเมื่อทักษิณพ้นโทษแล้วก็คงต้องขอคำปรึกษาเหมือนกับที่ไปปรึกษากับนายกฯ ท่านอื่นๆ ... จะว่าไปกรณีนี้ ก็เป็นข่าวผสมการตีความจากสารตั้งต้นที่บลูมเบิร์กเขาพาดหัวข่าว ... Thaksin Has Role to Play After Prison Term, New Thai Leader Says…นั่นแล...

พูดถึงกรณีทักษิณ คนชื่อเศรษฐาก็พึงตระหนักให้ตลอดว่า... เป็นสายล่อฟ้าทางการเมือง ยิ่งทักษิณยังทำตัวเป็นนักโทษเทวดาสายล่อฟ้านี้ ก็จะยิ่งอันตราย จะทำลายคุณค่าของนายกฯ ให้เสื่อมทรามลง ตรงข้ามหากทักษิณบำเพ็ญตนเป็นนักโทษธรรมดา... หนุนเศรษฐาให้เป็นนายกฯ ที่นำความปรองดองสมานฉันท์กลับคืนสู่สังคมไทยดังที่ สว.สมชาย แสวงการ เสนอแนะเอาไว้เมื่อวันก่อน ก็จะเป็นคุณกับรัฐบาล เป็นผลดีกับบ้านเมือง และตระกูลชินวัตรที่กำลังปลุกปั้นซอฟต์พาวเวอร์อุ๊งอิ๊งไปสู่ดวงดาว... เฮ่อ พูดก็เหนื่อยใจ จะเป็นไปได้ซัก 50 เปอร์เซ็นต์มั้ยเนี่ย...!?

ขณะปั่นต้นฉบับเที่ยงวันเสาร์ ... ทราบเบื้องต้นผลการประชุมใหญ่วิสามัญพรรคก้าวไกลเพื่อเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ... เป็นไปตามโผในมือ 'เล็ก เลียบด่วน' หัวหน้าพรรค คือ 'เดอะต๋อม' ชัยธวัช ตุลาธน ที่ขึ้นมาจากเลขาธิการพรรค ส่วนเลขาธิการพรรคคนใหม่ คือ เพื่อนเลิฟของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจและเดอะต๋อม ... เขาคือ ... เดอะติ๋ง หรือ 'ปลัดติ๋ง' อภิชาติ ศิริสุนทร ส่วนไอติม พริษฐ์ วัชรสินธูุ์ โฆษกพรรค

อันว่า ... อภิชาติ ศิริสุนทร นั้นเป็นอดีตนักกิจกรรมค่ายอาสาพัฒนาราม-อีสาน เป็นอดีตเอ็นจีโอนักพัฒนา เป็นปลัดอบต.จระเข้ อ.หนองเรือ ขอนแก่น ยาวนาน เพื่อนๆ จึงเรียกขานว่า 'ปลัดติ๋ง'

กล่าวได้ว่าพรรคก้าวไกลนาทีนี้ ... แม้อาจจะเป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งหรือขึ้นมาขัดตาทัพ แต่นี่คือกลุ่มกรมการเมืองหรือโปลิตบูโรของพรรค ซึ่งเป็นกลุ่มเพื่อนเอก ธนาธร ย่างสามขุมขึ้นกุมบังเหียนพรรคค่อนข้างเต็มรูป ขณะที่ตัวละครดังที่เรียกขานกันเล่นๆ ว่า 3ป. หรือ 3P ของก้าวไกลคือ พิธา ลิ้มแจริญรัตน์, พรรณิการ์ วานิช และปิยบุตร แสงกนกกุล ต้องปิดสวิตช์ตัวเองลงชั่วคราว ด้วยเหตุผลที่เป็นคนละเรื่อง (แต่) เดียวกัน ...

สรรพสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ ... เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ... อาเมน!!

เรื่อง: เล็ก เลียบด่วน

‘นายกฯ’ สรุปผลสำเร็จ UNGA บริษัทยักษ์ด้าน ‘เทคฯ-การเงิน’ สนลงทุนไทย  ฉุนสื่อ!! ไม่เคยบอกตั้ง ‘ทักษิณ’ ที่ปรึกษา ปัด!! ดิจิทัลวอลเล็ตครอบจังหวัด

(24 ก.ย. 66) ที่ห้องรับรองพิเศษ VIP ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ภายหลังเดินทางกลับจากการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ครั้งที่ 78 (UNGA 78) ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ว่า การเดินทางครั้งนี้มีภารกิจเยอะ ต้องขอบคุณกระทรวงการต่างประเทศและเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ช่วยทำให้ภารกิจ 4 วัน ผ่านไปได้ โดยมีการพบปะผู้นำหลายประเทศ ได้กล่าวสุนทรพจน์ 5 ครั้ง พบกับองค์กรต่างๆ 2 องค์กร ได้พบกับบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ทั้งเทสลา, ไมโครซอฟต์, กูเกิล, ซิตี้แบงก์, เจ.พี.มอร์แกน, Global ZAC, เอสเต ลอเดอร์ บริษัทเหล่านี้สนใจมาลงทุน บางแห่งมาลงทุนแล้วในรูปแบบต่างๆ ที่ประเทศไทย

หน้าที่ของตนคือ ไปประกาศให้คนรู้ว่าประเทศไทยเปิดแล้ว พร้อมและยินดีที่จะให้บริษัทเหล่านี้มาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น นอกจากนั้นได้พบกับตลาดหลักทรัพย์ของนิวยอร์ก ที่มองเห็นลู่ทางจะให้บริษัทของไทยไปจดทะเบียนที่ตลาดนิวยอร์ก เพราะไม่เคยมีบริษัทใดไปจดทะเบียน และหวังว่าในปีนี้จะได้เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของนิวยอร์กสัก 1 บริษัท

นายเศรษฐา กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังได้พบปะกับประธานสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ซึ่งเป็นองค์กรระดับโลก ควบคุมฟุตบอลทั้งหมด ได้พูดคุยกันถึงการเป็นเจ้าภาพร่วมในการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกที่อาเซียนในปี 2032 หรืออีก 9 ปี เป็นแผนที่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก้าวแรกคือ เราอยากได้รับการสนับสนุนจากฟีฟ่าให้ช่วยดูฟุตบอลรากหญ้า จากเดิมที่เคยให้การสนับสนุนปีละ 2.5 แสนเหรียญต่อปี ตอนนี้เป็นปีละประมาณ 2 ล้านเหรียญ ถือว่าเป็นจำนวนที่มาก ทำให้คาดหวังว่าจะสามารถพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยให้ไปถึงจุดที่ควรจะเป็น

นายกฯ กล่าวว่า ขณะที่เรื่องของยูเอ็น ในภาวะที่มีการแข่งขันและภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความแตกแยกค่อนข้างมาก เป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องพิจารณา ธีมของยูเอ็นในปีนี้คือให้มาดูเรื่องการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน 17 ข้อ โดยกว่า 190 ประเทศที่เข้าร่วมประชุมครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเดียวกันที่เห็นว่าควรมีการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมไปถึงเรื่องของภาวะโลกร้อน ซึ่งตนได้ประกาศไปว่าไม่ใช่โลกร้อน แต่เป็นโลกเดือดที่เราต้องให้ความสำคัญ ตลอดจนเรื่องของสิทธิมนุษยชนที่ต้องให้ความสำคัญ เนื่องจากหากมีสงครามระหว่างประเทศมากจะทำให้มีผู้เดือดร้อน มีผู้อพยพลี้ภัย ต้องดูและให้ความเป็นธรรม ที่สำคัญ จุดยืนที่ตนไปประกาศในเวทีนี้คือ ไปประกาศจุดยืนว่าเราเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งยึดมั่น ช่วยผลักดันให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ และการดำเนินการเศรษฐกิจพอเพียง

นายกฯ กล่าวอีกว่า นอกจากนั้นเรายังได้นำเสนอนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคอัปเกรด ทำให้ประชาชนมีสิทธิเลือกใช้บริการสาธารณสุขของรัฐได้อย่างสมเกียรติ เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมาทำให้เห็นว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องดูแลและป้องกันในอนาคต

ผู้สื่อข่าวถามว่า ต่างประเทศที่จะมาลงทุนยังมีความกังวลกับสถานการณ์ในประเทศ หรืออุปสรรคใดหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ความกังวลเรื่องนี้ลดหายไปเยอะ และคิดว่าคงไม่มีเรื่องนี้แล้ว แต่จะมีเรื่องกฎหมายบางข้อ และการอำนวยความสะดวกในการธุรกิจ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาในการประชุมทั้งบีโอไอและกระทรวงการต่างประเทศต่างไปช่วยกันขยายความว่าเราพร้อมสำหรับการลงทุน พร้อมที่จะรับฟังความเห็น อะไรทำได้จะทำก่อน อะไรที่ต้องแก้ไขกฎกติกา จะมาดูความเหมาะสมอีกครั้ง

เมื่อถามว่า ธุรกิจอะไรที่ต่างชาติให้ความสนใจมากลงทุนมากที่สุด นายเศรษฐา กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท เช่น เทสล่า ที่จะมาดูเรื่องของการเปิดโรงงานผลิตรถยนต์อีวี ขณะที่ไมโครซอฟต์ กูเกิ้ล มาดูเรื่องการทำดาต้า เซนเตอร์ ที่จะมีการลงทุนสูงมาก ประมาณ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อรายสำหรับการลงทุนขั้นต้น

เมื่อถามว่า อุปสรรคด้านกฎหมายต่อการลงทุน เรื่องใดสำคัญที่สุด นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่มีเรื่องใดเป็นพิเศษ แต่เราไม่ได้ไปค้าขายระหว่างประเทศมานาน ทำให้บางบริษัทมีความกังวลเวลาที่มาลงทุน จะมีกฎที่เป็นมาตรฐานอยู่แล้ว แต่ของเราอาจยังไม่มีการดูแลตรงนี้ ซึ่งต้องนำไปพิจารณาดูแลรายละเอียดให้เกิดความเหมาะสม

ผู้สื่อข่าวถามว่า จากการไปพูดคุยกับบริษัทรายใหญ่ได้ประเมินมูลค่าการลงทุนในประเทศไทยประมาณเท่าไหร่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ประเมินได้ลำบาก เพราะภาคอุตสาหกรรม เช่น เทสลา, ไมโครซอฟต์, กูเกิล การลงทุนขั้นต้นประมาณ 5 พันล้านเหรียญ แต่บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการเงิน อาจจะทำให้เกิดการลงทุนที่สูงมากหากมาตั้งสำนักงานที่ประเทศไทย มีโอกาสที่บริษัทเหล่านั้นอาจเผยแพร่ความน่าอยู่และตัวเลขเศรษฐกิจ ความเจริญของประเทศไทย และนำบริษัทอื่นมาลงไทุนในไทย และในการประชุมเอเปกที่จะเกิดขึ้น อาจจะเชิญบริษัทขนาดกลางเพื่อเปิดโอกาสได้ไปเสนอตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนข้ามชาติที่เราไปลงทุนในประเทศเขา หรือเขามาลงทุนในประเทศเรา เป็นการเปิดช่องทาง สร้างงาน สร้างรายได้ ให้ประชาชน

เมื่อถามถึงเสียงสะท้อนให้เพิ่มรัศมีการใช้เงินดิจิทัล วอตเล็ต 1 หมื่นบาท เป็นระดับจังหวัด? นายเศรษฐา กล่าวว่า ถือเป็นข้อเป็นห่วงใยที่ต้องนำมาพิจารณา หากกำหนดให้ใช้ในจังหวัด บางทีการใช้จ่ายก็จะกระจุกตัวอยู่ในอำเภอเมือง แต่เราอยากจะให้อำเภอที่กันดารได้มีโอกาสแจ้งเกิดบ้าง ตรงนี้คณะกรรมการกำลังพิจารณากันอยู่ ในรายละเอียดไม่ต้องเป็นห่วง

เมื่อถามว่าเวลานี้ ไม่มีข้อกังวลเรื่องเม็ดเงินจริงที่จะใช้ในนโยบายนี้ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “ไม่ครับ ไม่เคยมีความกังวล”

เมื่อถามถึงความชัดเจนกรณีที่มีการตีความการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวต่างประเทศ ในการตั้งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษา? นายกฯ กล่าวว่า ทุกท่านต้องแกะเทปดู ตนไม่ได้บอกว่าจะตั้ง แต่บอกว่าถ้ามีเรื่องอะไรถ้าจะปรึกษาก็ปรึกษาได้ เหมือนกับตนปรึกษากับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายๆ ท่านที่อาจจะเกษียณไปแล้ว หรืออดีตนายกรัฐมนตรี ตนเองได้ไปกราบนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกฯ และนายสมชายวงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ มาแล้ว

"ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ครั้งแรก เพิ่งเข้าสู่วงการการเมือง ใครมีความรู้ความสามารถที่ดี ก็พร้อมที่จะปรึกษา พูดแค่นั้น ผมก็พูดแค่นั้น บลูมเบิร์กก็แปลแค่นั้นใช่ไหม อย่าตีความไปกว้างกว่านั้นเลย เพราะเรื่องนี้จะก่อให้เกิดประเด็นโดยไม่ใช่เหตุ" นายเศรษฐา กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า แต่มีการตีความกันไปแบบนั้น นายกฯ กล่าวเสียงเข้ม ว่า “คุณตีความ คุณอย่าตีความ คุณฟังที่ผมพูดสิ”

‘จตุพร’ เผยสาเหตุ ‘เฉลิม’ ประกาศตัดขาด ‘ทักษิณ’ เกิดจากการดูถูก - เหยียดหยามศักดิ์ศรีความเป็นคน

(6 ต.ค. 66) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 5 ต.ค.66 ระบุถึงปัญหาระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เกิดจากการดูถูก หยามเหยียดความเป็นมนุษย์ พร้อมตอบชัดเจนทักษิณพูด หมอ รพ.ตำรวจบอกมา

นายจตุพร กล่าวถึงกรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ถามได้ยินนายทักษิณ มีปัญหากับ ร.ต.อ.เฉลิม ได้อย่างไร ว่า คนที่ไปเล่าให้ ร.ต.อ.เฉลิมฟังเป็นหมอที่ รพ.ตำรวจ โดยระบุคำพูดนายทักษิณดูถูก ร.ต.อ.เฉลิม ว่า “กวนตีนกวนโอ๊ยกันทั้งพ่อทั้งลูก”

นอกจากนี้นายภูมิธรรม ได้เปรียบเทียบและโยงว่าจะไม่มีปัญหาซ้ำรอยเหมือนกรณีของนายจตุพรด้วย อย่างไรก็ตาม นายจตุพร ไม่ต้องการแสดงความเห็นในปัญหาของทั้ง 2 ฝ่าย โดยอ้างเป็นคนนอก หากทั้งนายทักษิณกับ ร.ต.อ.เฉลิม ดีกันแล้ว ก็จะกลายเป็นพวกหมาหัวเน่าทันที จึงให้เป็นหน้าที่ของพรรคเพื่อไทยไปเคลียร์ปัญหากันเอง

อย่างไรก็ตาม ร.ต.อ.เฉลิม ได้แสดงความไม่เห็นด้วยในทางการเมืองอย่างตรงไปตรงมา ตั้งแต่การตั้งรัฐบาลข้ามขั้วของพรรคเพื่อไทย จึงไม่ไปโหวตเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งแสดงถึงจุดยืนชัดเจน แม้แต่นักประชาธิปไตยหลายคนในพรรคเพื่อไทยยังไม่มีความกล้าเท่ากับ ร.ต.อ.เฉลิม อีกด้วย

“เมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม ไม่ไปโหวตนายกฯ แล้ว หลังจากนั้นจึงเป็นที่มาของคำพูดทักษิณว่า “จะกวนโอ๊ยกวนตีนทั้งพ่อและลูก” ซึ่งภาษาเช่นนี้ ถ้าพูดต่อหน้าอาจไม่เป็นอะไร แต่เมื่อได้ยินการพูดลับหลัง ร.ต.อ.เฉลิม จึงเกิดความรู้สึกจะหันหลังให้พรรคเพื่อไทยและไม่ขอร่วมทางการเมืองกันตลอดชีวิต” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวถึงตัวเองมีปัญหากับนายทักษิณ ว่า แม้ร่วมต่อสู้กันมานาน 29 ปี แต่เมื่อถูกดูถูกกันครั้งเดียวความสัมพันธ์ต้องขาดสะบั้นทันที และจบกันไปเลย ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดของมนุษย์อยู่ที่คุณค่าและการให้เกียรติกัน เมื่อแต่ละคนได้ต่อสู้ เอาชีวิตถวายหัว ร่วมเป็นร่วมตายกลับไม่เห็นคุณค่า หนำซ้ำยังมาดูถูกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์กัน จนเกิดปัญหาฉิบหายกันถึงทุกวันนี้ ส่วนความจริงของปัญหาที่เกิดกับ ร.ต.อ.เฉลิม นั้น ก็เป็นเรื่องลักษณะเดียวกันกับตน ไม่มีอะไรแตกต่างกัน และเป็นบทเรียนซ้ำไปซ้ำมา

“ผมขอบอกนายภูมิธรรมที่ถามว่าได้ยินมาจากไหน ผมก็บอกว่าจากหมอใน รพ.ตำรวจ ซึ่งผมได้ยินมาแบบนี้ ความเป็นจริงจะเป็นอย่างไรนายทักษิณกับ ร.ต.อ.เฉลิม ต้องสื่อความกันเอง ส่วนผมตอบตามความสงสัยของนายภูมิธรรมว่า ได้ยินมาจากหมอ รพ.ตำรวจ” นายจตุพร กล่าว

'อธิบดีราชทัณฑ์' ไฟเขียว!! 'ทักษิณ' นอนโรงพยาบาลต่อ อ้าง!! ความเห็นแพทย์ อาการป่วยยังต้องดูแลอย่างใกล้ชิด

(11 ม.ค. 67) นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยความคืบหน้ากรณีนายทักษิณ ชินวัตร ออกไปรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ เกิน 120 วัน ว่า นายทักษิณ มีโรคประจำตัวหลายโรคที่อยู่ระหว่างการรักษาติดตามอาการ โดยโรคที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ และเนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ยังขาดเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีศักยภาพ

แพทย์จึงมีความเห็นว่าเพื่อป้องกันความเสี่ยงอันตรายที่อาจจะส่งผลต่อชีวิตเห็นควรส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจที่มีความพร้อม มีเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีศักยภาพสูงกว่าโดยแนวปฏิบัติกรณีมีผู้ป่วยที่ต้องเฝ้าระวัง และยังคงรักษาตัวอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันนี้

แพทย์ได้รายงานอาการเจ็บป่วยในหลายประการที่ต้องเฝ้าระวัง โดยแจ้งความเห็นว่า ผู้ป่วยอยู่ระหว่างการรักษาของแพทย์เฉพาะทางและต้องดูแลอย่างใกล้ชิดถึงอาการป่วย เพื่อให้พ้นจากสภาวะอันตรายแก่ชีวิต เพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จึงได้รายงานมายังกรมราชทัณฑ์เพื่อดำเนินการพิจารณา ตามกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563
ที่ระบุไว้ว่า

กรณีผู้ต้องขังต้องพักรักษาตัวที่สถานที่รักษาเป็นเวลานาน ให้ผู้บัญชาเรือนจำดำเนินการ ดังนี้ กรณีการพักรักษาตัวเกินกว่า 120 วัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี พร้อมกับความเห็นแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้รัฐมนตรีทราบต่อไป

อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้พิจารณาจากความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาที่พิจารณาแล้ว มีความเห็นว่ายังต้องดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด ประกอบกับเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องซึ่งมีความครบถ้วนตามกฎหมาย จึงพิจารณาเห็นชอบ เมื่อวันที่ 8 ม.ค.2567 ให้นายทักษิณอยู่รักษาตัวต่อยังโรงพยาบาลตำรวจ เนื่องจากยังคงมีอาการเจ็บป่วยที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์ผู้ทำการรักษาเฉพาะทาง และหากเกิดภาวะแทรกซ้อน หรืออาการที่อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตจะได้ดำเนินการรักษาอย่างทันท่วงที

นายสหการณ์ กล่าวว่า ตั้งแต่กรมราชทัณฑ์ส่งนายทักษิณเข้ารักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ ตนเองยังไม่เคยพบและเข้าเยี่ยมนายทักษิณแม้แต่ครั้งเดียว ส่วนจำนวนผู้ต้องขังที่เข้ารักษาตัวนอกเรือนจำเกิน 120 วัน ไม่ได้มีเพียง 3 ราย แต่ยังมีอีกนับหมื่นรายที่ต้องพิจารณาว่าจะให้นอนพักรักษาตัวเกิน 60 วัน หรือ 120 วัน ส่วนโครงการพักการลงโทษกรณีเหตุพิเศษเนื่องจากเจ็บป่วยร้ายแรง หรือพิการ หรืออายุ 70 ปีขึ้นไป ถือเป็นคุณสมบัติของผู้ต้องขังอยู่แล้ว ซึ่งต้องรับโทษมาแล้ว 1 ใน 3 โดยราชทัณฑ์ต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะผู้ต้องขังทั่วประเทศมีมากกว่า 1 แสนราย

สำหรับผู้ต้องขังที่จะได้รับประโยชน์จากเงื่อนไขดังกล่าว มีทั้งการลดวันต้องโทษ ได้รับการพักโทษ หรือกรณีที่จำเป็นต้องได้รับการพระราชทานอภัยโทษ โดยรายชื่อผู้ต้องขังที่จะผ่านเกณฑ์นี้ ผู้บัญชาการเรือนจำแต่ละแห่งจะต้องรวบรวมรายชื่อและพิจารณาคุณสมบัติของผู้ต้องขังก่อน ก่อนนำเสนอมายังตนเอง ในฐานะอธิบดีกรมราชทัณฑ์

กรมราชทัณฑ์ได้ดำเนินการปฏิบัติตามกฎกระทรวงฯ จึงรายงานให้รัฐมนตรีทราบต่อไป ซึ่งเป็นไปตามกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 โดยกรมราชทัณฑ์ ยังคงยึดหลักการสิทธิขั้นพื้นฐานที่ผู้ต้องขังพึงได้รับตามมาตรฐานสากลรวมถึงเคารพในหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยและตามจรรยาบรรณของแพทย์ ข้อมูลส่วนบุคคลหรือการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล จำเป็นต้องได้รับคำยินยอมจากเจ้าของข้อมูลด้วย กรมราชทัณฑ์จึงไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วยออกสู่สาธารณชนได้ ตามพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ตลอดจนประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 323 และข้อบังคับแพทย์สภา ว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกร พ.ศ.2549 ข้อ 27 ซึ่งแพทย์ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

‘โพลนิด้า’ เปิดผลสำรวจ ปชช.ต่อภาพรวมกรณีของ ‘ทักษิณ’ ชี้!! ร้อยละ 39.62 มองว่าไม่ส่งผลต่อความอยู่รอดของรัฐบาล

(21 ม.ค. 67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘กรณีทักษิณ ชินวัตร กับความอยู่รอดของรัฐบาล’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 15-17 มกราคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง

จากการสำรวจเมื่อถามถึงความอยู่รอดของรัฐบาล จากกรณีทักษิณ ชินวัตร ยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 39.62 ระบุว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของรัฐบาลเลย

รองลงมา ร้อยละ 21.98 ระบุว่า ค่อนข้างส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของรัฐบาล ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ไม่ค่อยส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของรัฐบาล ร้อยละ 15.42 ระบุว่า ส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของรัฐบาลอย่างมาก และร้อยละ 4.28 ระบุว่า เฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อการชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้ส่งตัวทักษิณ ชินวัตร กลับเข้าเรือนจำ จะลุกลามจนนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองรอบใหม่เหมือนการชุมนุมของเสื้อเหลือง เสื้อแดง และ กปปส. ในอดีต พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 41.60 ระบุว่า จะไม่นำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองรอบใหม่แน่นอน

รองลงมา ร้อยละ 41.30 ระบุว่า จะนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองรอบใหม่ แต่ไม่ใหญ่โตเหมือนในอดีต ร้อยละ 11.15 ระบุว่า จะนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองรอบใหม่เหมือนในอดีตแน่นอน และร้อยละ 5.95 ระบุว่า เฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

‘จตุพร-วัชระ’ จับมือฟาด ‘ทักษิณ’ สร้างบาดแผลให้ประเทศ ชี้!! ทั้งหมดคือการดีล มีเส้นมีสายก็ได้ลดโทษ-รอดนอนคุก

‘จตุพร-วัชระ’ จับมือฟาด ‘ทักษิณ’ บาดแผลประเทศ ‘วัชระ’ กังวลผู้นำการเมืองไม่มีรากเหง้า เป็นเครื่องมือต่างชาติครอบงำความคิดเด็กเยาวชน เป็นอันตรายต่อประเทศ บทสะท้อนชั้น 14 มีเส้นมีสายก็ไม่ต้องติดคุก เชื่อ!! ไปจบที่ศาลอาญาทุจริต ‘จตุพร’ ย้ำ อภัยโทษเฉพาะรายทักษิณ จาก 8 ปีเหลือ 1 ปี แต่ติดไม่ถึง 1 วัน บาดแผลใหญ่แต่ทั้งหมดมาจากการดีล ชี้!! จุดแข็ง ‘ก้าวไกล’ ยังไม่เคยเป็นรัฐบาลแบกความหวังไว้ทั้งหมด จ่อยึดกลไกประเทศ ผู้มีอำนาจทนไม่ได้ หวั่นจบแบบรัฐประหาร 22 พ.ค.

เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 67 ที่ห้องประชุมสำนักกีผฬา มหาวิทยาลัยรามคำแหง สมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยรามคำแหง จัดงาน ‘กินขนมจีน ซดกาแฟ ดูแลเพื่อน’ และ ‘Newstalk for friends’ โดยบนเวทีมีนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน นายวัชระ เพชรทอง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมพูดคุยระดมความคิดการฟื้นฟูกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง และทวงถามยุติธรรมในบ้านเมือง โดยมีนายปรเมษฐ์ ภู่โต อดีตผู้ดำเนินรายการรายการคุยถึงแก่น ช่อง NBT ดำเนินรายการ โดยบนเวที นายวัชระกับนายจตุพร ซึ่งเคยทำกิจกรรมในรั้วรามคำแหงด้วย และเคยมีจุดยืนทางการเมืองตรงข้าม ได้จับมือสร้างความสมานฉันท์กันด้วย

นายวัชระ เพชรทอง กล่าวว่า “จะบอกว่าเราลูกพ่อขุน เราเกิดจากรามคำแหง เราออกไปรับใช้พี่น้องประชาชน นายจตุพร พรหมพันธุ์ อาจจะมีประสบการณ์มากกว่าผมในหลายๆ เรื่อง และในที่สุดเราก็มาจับมือกันที่รามคำแหง เพื่อพี่น้องประชาชนต่อไปในอนาคต ส่วนจะมีกี่เรื่อง เรื่องอะไรบ้าง และเราจะตกเป็นจำเลยอะไรร่วมกันบ้าง ก็ค่อยว่ากันในอนาคต ในฐานะที่เป็นศิษย์เก่า เป็นลูกพ่อขุน ที่เราเรียนรามแท้ๆ เราเรียนจริงๆ อาจจะจบนานหน่อยไม่เหมือนกับ ‘นายบรรหาร ศิลปอาชา’ หรือ ‘นายเฉลิม อยู่บำรุง’ ที่จบอย่างรวดเร็วด้วยการอุปถัมภ์ค้ำจุนจาก คุณอารังสรรค์ แสงสุข

เมื่อเราเห็นว่าบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ในฐานะที่เรารักความเป็นธรรม เราก็ใช้สิทธิของความเป็นพลเมือง สิทธิตามรัฐธรรมนูญไปทำหน้าที่ ที่พึงกระทำอย่างไม่ผิดกฎหมาย และเป็นสิทธิที่เราสามารถจะดำเนินการได้ในฐานะประชาชนธรรมดา ซึ่งสิ่งที่หล่อหลอมให้พวกเรามีความกล้าที่จะไปทำการสิ่งนั้น ก็เพราะรั้วรามคำแหงสอนให้เรามีความกล้าหาญ กล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับอธิการบดีที่ไม่ยุติธรรม เราทะเลาะกับอธิการบดี และเราก็ได้เผยแพร่แนวคิดทางการเมืองที่รักชาติ รักความยุติธรรม และสิ่งที่พวกเราทำมาทั้งหมดเรา รู้จักอภัย ตั้งใจศึกษา บูชาพ่อขุน สนองคุณชาติ และไม่เคยทรยศต่อประชาชนไม่เคยทรยศต่อแผ่นดิน”

“เมื่อเราเห็นแล้วว่าสภาพบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ภายใต้พรรคการเมืองที่เราเห็น ในฐานะที่เราแพ้น้องส้ม เราแพ้น้องส้มทั้งประเทศ ก็ยอมรับว่าน้องส้มเก่ง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยที่มาจากอเมริกาหรือสิ่งที่ไรามองไม่เห็น แต่เป็นที่รับรู้กันว่า การเมืองนอกประเทศก็เข้ามาแทรกแซงการเมืองภายในประเทศ และเข้ามาแทรกแซงถึงรั้วมหาวิทยาลัย โดยเรานั้นกลายเป็นคนที่ล้าหลัง คนที่ตามไม่ทันกับสื่อเหล่านั้น และเขาก็ได้ไปครอบงำความคิดของเด็กๆ เยาวชนจำนวนมาก จำนวนหนึ่งให้มีทัศนคติอย่างนั้น ซึ่งเป็นอันตรายต่อประเทศของเรา ซึ่งควรจะอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารอย่างสงบและร่มเย็นตามประสาคนไทย ด้วยวิถีของอัตลักษณ์ของความเป็นไทย แต่สิ่งที่แทรกซึม แทรกแซงเข้ามานั้น กำลังจะทำให้ประเทศของเรากลายเป็นประเทศยูเครนในอนาคต เราอาจจะได้ผู้นำทางการเมืองที่ไม่มีความรู้ในประวัติศาสตร์ของชาติ มุ่งแต่เป็นเครื่องมือของประเทศนอกประเทศของเรา ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าเป็นประเทศไหน ตรงนี้อันตราย”

นายวัชระ ยังกล่าวอีกว่า ถ้าเราได้ผู้นำทางการเมืองที่ไม่ประสีประสา ไม่มีรากเหง้าความเป็นไทย และนำประเทศไปสู่สงครามระหว่างประเทศในอนาคตเหมือนกับประเทศยูเครน ก็จะตกอยู่ในอันตราย ในฐานะที่เราจบรามคำแหง เราเป็นลูกพ่อขุน เราก็ต้องกล้าที่จะบอกว่าความจริงนั้นคืออะไร และให้ความรู้กับเยาวชนคนหนุ่มสาว ตั้งแต่ในท้องถิ่นของตนเอง ไปถึงในระดับภาพกว้างว่าสิ่งที่เขาทำนั้นไม่ใช่ ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำและถ้าพวกเรายังจะรักษาประเทศนี้ ภายใต้อัตลักษณ์ของความเป็นไทย เราก็ควรที่จะออกไปพูดในความจริงและบอกกับทุกๆ คนว่า ความจริงนั้นเป็นอย่างไร และอย่ากลัวว่าจะเสียคะแนนนิยม เมื่อเราเห็นว่าทักษิณกลับประเทศและเห็นว่าหลักการ ระบบนิติรัฐ นิติธรรม กระบวนการยุติธรรมถูกทำลาย เราก็ต้องจะต้องกล้าพูด กล้ายื่นหนังสือ ถ้าเราไปยื่นหนังสือถึงหน่วยราชการ หน่วยราชการนั้นๆ ก็ต้องปฏิบัติหรือตอบหนังสือของเรามา ว่าเขาทำหรือไม่ทำอย่างไรและสิ่งต่างๆ เหล่านั้น หนังสือที่เขาตอบมาเหล่านั้น ก็จะเป็นพยานหลักฐานที่สามารถที่จะเอาผิดในอนาคต กับหน่วยราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้

“ถ้าเขาละเว้นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 หรือไม่ปฏิบัติตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม ไม่ว่าหน่วยราชการใด ไม่ว่าจะเป็นหน่วยราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ปปช. หรือนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและเมื่อเราไปทำแล้วเราได้หนังสือกลับมาแล้ว แน่นอนว่าในอนาคตเราจะได้เห็นว่า เรื่องนี้จะไปจบที่ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง จะต้องไปจบที่นั่น ข้าราชการประจำและข้าราชการการเมืองที่ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ที่ทำให้เกิดอภิสิทธิ์ชนให้นักโทษชายคนหนึ่งมีอภิสิทธิ์หนือกว่านักโทษทั้งประเทศ ซึ่งในขณะนี้มีประมาณ 280,000 คน ทุกเรือนจำทั่วประเทศ ปรากฎว่ามีนักโทษคนเดียวที่ไม่เคยติดคุกเลยแม้แต่วันเดียว และมีรายงานว่าป่วยแต่ไม่รู้ว่าป่วยจริงหรือป่วยทิพย์ และได้ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ จนถึงบัดนี้เป็นเวลานานมากจนเรียกได้ว่า พี่น้องประชาชนทั่วประเทศไม่เชื่อว่ามีการป่วยจริง ตรงนี้ก็ต้องมีการพิสูจน์กันในอนาคต”

นายวัชระ กล่าวว่า คนที่รู้เรื่องราวเหล่านี้มากกว่าตนก็คือ คุณจตุพร พรหมพันธุ์ เพราะว่าจตุพรกับทนายนกเขาได้เกาะติด และติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น แต่สิ่งที่พี่ปอง อัญชลี ได้พูดคุยในรายการของแนวหน้า Talk ซึ่งพี่ปองอัญชลีก็ได้พูดกับ พี่บุญยอด สุขถิ่นไทย บอกว่า น.ช.ทักษิณ ชินวัตร นั้นไปที่ 3 แห่งหมุนเวียนกันก็คือ 1 ไปที่บ้านจันทร์ส่องหล้า 2 ไปที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงแรมชื่อภาษาอังกฤษ แล้วอยู่ใกล้ๆ กับไอคอนสยาม ซึ่งตรงนั้นก็ไม่ทราบว่าคุณทักษิณ ชินวัตร ได้สิทธิพิเศษอะไรถึงไม่ได้ รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 ตลอดเวลา ไปที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ไปที่คอนโดแห่งหนึ่ง แล้วก็ไปที่โรงแรมแห่งหนึ่ง รวม 3 ที่ ตรงนี้มันก็สะท้อน และคนที่ติดคุกก็คือคนจน คนที่เป็นลูกหลานประชาชนที่ไม่มีเงินถึงต้องติดคุก คนที่ไม่มีเส้นไม่มีสายก็ติดคุก แต่คนที่มีเงินก็ไม่ต้องติดคุก เสี่ยเปี๋ยงที่ร่วมทุจริตในคดีจำนำข้าว ก็มาพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนข้างนอก ตั้งนานแล้ว

“กรมราชทัณฑ์ก็อึดอัดแต่ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ หรือแม้แต่อดีตอธิบดี ‘ธาริต เพ็งดิษฐ์’ ซึ่งปัจจุบันก็นอนอยู่ที่ชั้น 7 โรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์ไม่ต้องเข้าไปอยู่ในแดนต่างๆ คือ ถ้าเป็นคนที่มีเส้นมีสายก็ไม่ต้องติดคุก แต่ว่าท่านอดีตบอร์ดองค์การโทรศัพท์ เห็นว่าก็ยังนอนอยู่ในเรือนจำ ซึ่งจริงๆ แล้ว ท่านก็ทำงานให้กับชั้น 14 ในอดีต ก็ควรที่จะได้รับสิทธิในการ ที่จะไปรักษาตัวที่ชั้น 14 ในโรงพยาบาลตำรวจด้วย แต่ทำไมเขาถึงไม่ได้ไป ซึ่งตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่าถ้าไม่มีเส้น ไม่มีสาย ไม่มีเงินก็ไม่สามารถที่จะอยู่อย่างสะดวกสบายได้ และสิ่งที่ผมในฐานะลูกพ่อขุนได้ ไปทำตามที่พี่น้องประชาชนได้บอกให้ไปทำ ขอให้ไปดำเนินการ เราก็ได้ไปทำเป็นปากเป็นเสียงแทนพี่น้องประชาชนซึ่ง เชื่อว่าคุณจตุพร ก็จะพูดในประเด็นนี้และรู้รายละเอียด ทั้งหลายทั้งปวงได้ดีกว่าผม” นายวัชระ กล่าว

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ กล่าวว่า เคยมาพูดที่รามหลายครั้ง ในช่วงที่ยังไม่มีปัญหาอะไร เพราะว่าผมมีส่วนกับ ‘พลตรีจำลอง ศรีเมือง’ ได้ร่วมกันสู้ในเหตุการณ์พฤษภา ปี 2535 กันมา วันหนึ่งเขาก็ไปยกพรรคไปกับคุณทักษิณ วันที่เขาเป็นหัวหน้าพรรควันแรก เขายังไม่ประสีประสาเลย ผมได้กำหนดหัวข้อให้เขามาพูดว่ากว่าจะเป็นวันนี้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถือว่าเป็นเรื่องหัวข้อที่ง่ายที่สุดทางการเมือง และก็อยู่กันมายาวนาน ผมเป็นคนหนึ่งที่เห็นต่าง และอยู่ในพรรคนั้นๆ ได้นานที่สุดคนหนึ่ง เพราะปกติคนเห็นต่างก็จะต้องถูกเตะออกไป แต่ผมเป็นคนที่เห็นต่างและก็ยังอยู่กันได้ คือผมนี้ถ้าถือหลักว่าให้ทิ้งกันก่อนมันก็คงจะไม่ใช่วิสัย ก็กล้ำกลืนกัน เห็นต่างนี่ก็ซัดกันต่อหน้า ใช่คือใช่ ไม่ใช่คือไม่ใช่ เช่นกรณีสุดซอยนี่ผมหัวเด็ดตีนขาดว่าไม่เอานะ และผมหันหลังเลยวันนั้นผมบอกถ้ายังดื้อดึงกันแบบนี้ คนจะฆ่าตัวตายไม่รู้จะห้ามยังไงนะผมพูดอย่างนี้เลย ผมนี่หันหลังออกและท้ายที่สุดก็มาตาม เพราะว่าประเมินสถานการณ์แล้วว่ากำลังจะมีการยึดอำนาจ แต่นั่นอีกแหละ ท้ายที่สุดเมื่อจนมุม ก็ไปดีลกันก่อนที่จะมีการยึดอำนาจ เอาประชาชนที่ชุมนุมออกจากที่ชุมนุม ผมที่เป็นแกนนำก็ต้องรู้จึงไม่มีทางเลือก ต้องไปเจรจากับพลเอกประยุทธ์ในวันนั้น

“เรื่องราวต่างๆ ก็เป็นไปดังที่เล่าให้ฟังกัน เมื่อท้ายที่สุดนั้นเมื่อแยกกันคือความจริง ช่วงอยู่กันผมยังยืนยันอีกครั้งว่ามีเรื่องจำนวนมาก ที่เห็นไม่เหมือนกันฟาดกัน เพียงแต่ว่าผมไม่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ว่าเขาต้องให้อะไรและต้องไปเกรงใจอะไร เราก็เป็นตัวของเราแบบนักกิจกรรมสมัยอยู่รามคำแหงอย่างไรผมก็ปฏิบัติตัวกันอย่างนั้น และก็จนกระทั่งหันหลังกันอย่างเด็ดขาด กรณีเรื่องชั้น 14 นั้น เรื่องนี้เป็นบาดแผลของสังคมไทยระยะยาวเพราะ มันเป็นที่มาของการจัดตั้งรัฐบาลทั้งปวง ประหลาด ไม่เคยพบเคยเจอเคยเห็นในประวัติศาสตร์ ความเป็นจริงนั้นทุกครั้งของการที่คิดจะกลับบ้านก็มีการ ดีลการต่อรองกันทั้งสิ้น”

นายจตุพร กล่าวว่า “วันหนึ่งผมก็เอะใจ วันที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยผมเรื่องถูกขัง และไม่ได้ไปใช้สิทธิ์ ว่าขาดคุณสมบัติก็ไปขังและไม่ให้ไปใช้สิทธิ์ ผมเป็น สส.ไม่รู้ว่าจะเป็นคนแรก หรือมีบุคคลอื่นหรือเปล่า ที่เขียนใบสมัครรับเลือกตั้งอยู่ในเรือนจำ ประทับตราเรือนจำพิเศษ และก็ไปสมัครรับเลือกตั้ง กกต. บอกว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนแต่ กกต.ท่านหนึ่งคุณสดศรี บอกว่าต้องไปใช้สิทธิ์นะ ถ้าไม่ไปใช้สิทธิ์ก็จะเป็นปัญหา ผมก็ร้องต่อศาล ว่าขอไปใช้สิทธิ์อ้างคุณสดศรี ศาลก็บอกว่าเป็นเพียงแค่ความคิดเห็นของคุณสดศรีเท่านั้น และปรากฏว่ารับรองผมเป็นคนที่ 500 เลย คือต้องการขังไว้ต่อเกือบร่วมเดือน”

“แต่เอาล่ะนั่นมันเป็นเรื่องเล็ก แต่วันหนึ่งเรื่องมาถึงศาลรัฐธรรมนูญ ผมไม่รู้ว่าเป็นการดีลกันก่อนโดยที่ผมก็ไม่รู้ ศาลรัฐธรรมนูญนักอ่านวันที่ 18 พฤษภาคม ซึ่งตอนนั้นกระแสเสื้อแดงยังแรงกัน จะมีการรำลึกราชประสงค์วันที่ 19 พฤษภาคม ผมก็สงสัยว่าอยู่ดีๆ นัดก่อนวันชุมนุมได้อย่างไร และก็ศาลรัฐธรรมนูญ อ่านด้วยเสียง 8 ต่อ 1 มี คุณชัช ชลวร ประธานศาลคนเดียวที่ให้พูดที่เหลือ บอกไม่ไปใช้สิทธิ์ก็ขาดคุณสมบัติ ทั้งที่ กกต. เขต บอกมีเหตุอันสมควรจะไม่เกี่ยว วันรุ่งขึ้นคนก็จากที่มาแสนก็มา 2 แสน”

“ผมไม่รู้ว่าอดีตนายกทักษิณเขาไปพูดว่าคนที่พายเรือมาส่ง ไม่ต้องตามผมมาแล้ว ต่อไปนี้ผมไปเองได้แล้ว บนเวทีนี้เลิกรักหมด ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง สักพักโทรศัพท์เข้ามาบอกว่ากำลังจะได้กลับบ้าน ผมก็ถามว่ากลับวันไหนล่ะ สัปดาห์หน้าเจอกันที่กรุงเทพฯ เห็นไหมการดีล คือพร้อมจะทิ้งเลย และก็เพื่อจะลากคนให้มาเต็มเอาเหตุของผมมาตัดสินก่อน 1 วัน ความจริงตัดสินหลัง 1 วันก็ได้ เห็นไหม ดังนั้น พอดีลก็ปรากฏว่าไม่สำเร็จ และก็ดีลต่างกรรมต่างวาระจนกระทั่งมา ผ่านมา 20 ครั้ง จนกระทั่งมาวันที่ 22 สิงหาคม 22 สิงหานี้นะ กลับมาประเทศไทยถ้าไม่มีการดีล 1 เมื่อผู้ต้องหาถูกออกหมายจับหนีฟังคำพิพากษา มีคดีที่ศาลอ่านไปทั้งหมดแล้ว 12 ปี ขาดอายุความ ไป 2 เหลืออีก 10 นัดพร้อม 1 ก็เหลือ 8 ตำรวจต้องควบ” นายจตุพร กล่าวทิ้งท้าย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top