Sunday, 28 April 2024
ทักษิณ

บิ๊กป้อม’ ลั่น!! ไม่ไปไหน ขออยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร พปชร. แจง ยังไม่ได้เจอใคร หลัง ‘ทักษิณ’ ประกาศกลับไทย

(29 ก.ค. 66) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกระแสข่าวการลาออกจากหัวหน้าพรรค พปชร.ว่า พรรคบอกให้ตนลาออกก่อน เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรคขึ้นมาใหม่ ซึ่งใครจะมาดูตนก็ไม่ทราบ แต่ตนยืนยันว่าจะอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับพรรค พปชร.ต่อไป ไม่ไปไหน

ผู้สื่อข่าวถามถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่พรรคเพื่อไทย (พท.) จะเสนอ นายเศรษฐา ทวีสิน ในวันที่ 4 สิงหาคม พรรค พปชร.จะมีทิศทางการโหวตเป็นอย่างไร พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ยังไม่ทราบ คงรอมติที่ประชุมพรรค

เมื่อถามว่า ได้มีการติดต่อกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังประกาศเดินทางกลับประเทศไทยในวันที่ 10 สิงหาคมนี้หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ผมยังไม่ได้เจอใครทั้งนั้น”

‘เศรษฐา’ วืดนายกฯ ถ้าไม่ยอมเจ็บ พรรคส้มป่วน ‘ไพร่หมื่นล้าน’ ก้าวพลาด!!

ช่วงวันหยุดยาว ‘เล็ก เลียบด่วน’ ใคร่สรุปสถานการณ์ ด้วยการหมายเหตุสถานการณ์น่าสนใจเพียง 3 เรื่องก็พอจะเห็นภาพใหญ่ทางการเมืองเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลและเรื่องที่เกี่ยวเนื่อง ตามมาครับ...

เรื่องแรก – กรณีการเดินทางของไพร่หมื่นล้าน อดีตหัวหน้าพรรคไปพบ ‘คนแดนไกล’ ที่ฮ่องกง เมื่อ 24-25 ก.ค.ที่ผ่านมา สื่อมวลชนงัดหลักฐานเที่ยวบินชัดเจน พร้อมรายงานผลการเจรจาว่าไพร่หมื่นล้าน ผู้นำทางจิตวิญญาณเจรจาสูตรรัฐบาลว่า… พรรคสอง ก. หรือ ก้าวไกลยอมถอยเป็นฝ่ายค้านและจะโหวตให้พรรคเพื่อไทยเป็นนายกฯ แต่มีเงื่อนไขว่าเพื่อไทยต้องไม่เอาพรรคสองลุง เข้าร่วมรัฐบาล…

งานนี้ถูก ส.ว.ตัวตึง ‘สมชาย แสวงการ’ ออกมาดักคอว่าเป็นสูตร ‘ซ่อนปมซ่อนเงื่อน’ วางแผนให้พรรคก้าวไกลเข้าร่วมรัฐบาลในภายหลัง...

ประการสำคัญยิ่ง งานนี้ผู้นำทางจิตวิญญาณเสียหายชนิดประเมินค่ามิได้ เพราะบรรดานักวิชาการ ปัญญาชน ชนชั้นกลาง รวมทั้งมวลมหาประชาชาวด้อมส้มที่ศรัทธาอุดมการณ์พรรคก้าวไกลเห็นว่าวิธีการดังกล่าวเป็นการเมืองแบบเดิมๆ ดังนั้นขอให้ชายชื่อ ‘ธนาธร’ แถลงด่วนว่าอะไรเป็นอะไร...

เรื่องที่สอง – วันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา เกิดการรัฐประหารเงียบในการประชุมใหญ่สามัญพรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ ‘บิ๊กป้อม’ ขอลาออกจากหัวหน้าพรรค ณ เวลา 08.30 น.ทำให้กรรมการบริหารพรรคชุดเก่าสิ้นสภาพ ต้องล้างไพ่เลือกกันใหม่ได้ ‘บิ๊กป้อม’ เป็นหัวหน้าพรรคเหมือนเดิม แต่เลขาธิการพรรคเปลี่ยนจาก ‘สันติ พร้อมพัฒน์’ เป็น ‘ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า’ ...ไม่แต่เท่านั้นหัวหน้าพรรคป้อมมีคำสั่งทันทีแต่งตั้งน้องชาย ‘พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ’ หรือ ‘บิ๊กป๊อด’ เป็นประธานที่ปรึกษาพรรค

เป็นที่รู้กันว่าสำหรับ ‘บิ๊กป๊อด’ อดีต ผบ.ตร.คนดังนั้นเป็น มาสเตอร์ไมด์ ในพรรคพลังประชารัฐมาโดยตลอด งานนี้เปิดตัวมาอยู่เบื้องหน้า เท่ากับว่าพรรคนี้มี ‘พัชรวาท-ธรรมนัส’ เป็นเพลย์เมกเกอร์ เปิดซุปเปอร์ดีลกับพรรคเพื่อไทย… ถึงขนาดมีข่าวลือลอยลมล่วงหน้าว่ามานานแล้วว่า บิ๊กป๊อดขอนั่งมหาดไทย ผู้กองขอคุมเกษตรฯ…

เรื่องที่สาม – เรื่องการกลับบ้านของทักษิณ ชินวัตร ที่ฮือฮากันไม่เสร็จก็คือ ทันทีที่จอมแฉ ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ โพสต์เฟซบุ๊กว่า “เกมพลิก ทักษิณถอย ยกเลิกกลับไทย สถานการณ์เปลี่ยน” ไม่กี่นาทีหลังเพจกรรมการข่าวเอาไปโพสต์ต่อ… ปรากฏว่า ‘อุ๊งอิ๊ง’ ลูกสาวนายห้างโพสต์สวนทันทีว่า “เพ้อเจ้อ” ซึ่งถ้าแปลความตามนี้ก็หมายถึงว่า คุณอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ยืนยันว่าวันที่ 10 ส.ค.นี้ คุณพ่อทักษิณกลับบ้านแน่…

และนั่นก็ต้อง… ขยายความกันต่อว่าดีลการเมืองเกมใหญ่ก็ยังไม่พลิกไปจากเดิมคือ เพื่อไทยเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล โดยเอาพรรคก้าวไกลออกจากสมการ กำหนดวันโหวตนายกรัฐมนตรีวันที่ 4 ส.ค.นี้

การเมืองในช่วงวันหยุดยาวนี้คือ การเจรจาหาความลงตัว… โดยเฉพาะอย่างยิ่งโจทย์ที่ไพร่หมื่นล้านตั้งไว้ว่าต้อง ‘ไม่มีสองลุง’ ถึงแม้จะฟังดูเพ้อเจ้ออยู่บ้าง แต่ก็ทำเอาพรรคเพื่อไทยปวดหัวอยู่ไม่น้อย เพราะหากเศรษฐา ทวีสิน จะเป็นนายกฯ ต้องกลืนคำพูดที่ว่าไม่เอาพรรคสองลุงของตัวเอง… ต้องยอมเจ็บแต่จบ… แต่ถ้างอแงมากๆ หวยนายกฯ คนที่ 30 อาจจะพลิกไปออกที่ ‘ชัยเกษม นิติสิริ’

สรุปสูตรข้ามขั้ว… ไม่มีก้าวไกล แต่มีพรรคภูมิใจไทยและขั้วเดิมไปเติมแทนยังเป็นทิศทางหลัก… และเป็นไปได้โดยที่พรรคเพื่อไทยต้องยอมเจ็บ ไม่ป๊อดมาก แต่ขณะเดียวกันพรรคสองลุงก็ต้องลดการต่อรองหรือต้องสร้างสภาพเงื่อนไขให้การเมืองเดินหน้าไปได้… ไม่อย่างนั้น อาจทำให้มวลมหาประชาชาวด้อมส้มอันบางเบามีลูกฮึดขึ้นมา… ขอบอก!!

'ณัฐวุฒิ' เชื่อ!! ดร.ทักษิณไม่มีส่วนรู้เห็นกับการยึดอำนาจ ปี 57 ชี้!! แผนการยึดอำนาจ ก่อตัวมาตั้งแต่ช่วงต้น รบ.ยิ่งลักษณ์

(1 ส.ค. 66) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ผมและพี่น้องแกนนำ นปช.ที่ยังคิด คุยร่วมกันอยู่ เห็นตรงกันและเชื่อว่า ดร.ทักษิณ ไม่มีส่วนรู้เห็นกับการยึดอำนาจ ปี 2557

มุมวิเคราะห์ที่แกนนำหลัก 'ทุกคน' เห็นตรงกันตลอด คือ แผนการยึดอำนาจนี้ ก่อตัวมาตั้งแต่ช่วงต้นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ประยุทธ์พูดเองว่าเตรียมการมา 3 ปี กปปส.ชุมนุมไปสักพัก พวกเราก็พูดตรงกันแล้วว่าจะเกิดรัฐประหาร ทฤษฎีสมคบคิดแบบเดิมจากการยึดอำนาจปี 49 ไล่ลำดับเหตุการณ์เป็นแบบเดียวกัน 

ชุมนุมต่อเนื่อง ยุบสภา บอยคอตเลือกตั้ง ขัดขวางการเลือกตั้ง เลือกตั้งโมฆะ เรียกร้องรัฐบาลนอกกติกา สร้างเงื่อนไขปิดทุกทางออก และยึดอำนาจ 

ความขัดแย้งระหว่างบุคคลเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ประวัติศาสตร์องค์กร นปช. กำลังถูกอธิบายด้านเดียว และถูกบันทึกไปเช่นนั้น ทั้งที่หลายอย่างคลาดเคลื่อนไม่ตรงกัน 

>> นปช.ไม่ได้ดำรงสภาพหลายปีแล้ว 
เหตุแยกทางคือ การไม่ได้ยึดถือแนวปฏิบัติที่เราทำกันมา มีการตกลงตั้งพรรคการเมืองกับบุคคลอื่น โดยไม่ได้หารือในที่ประชุม 

ไม่มีใครหลอกได้ ถ้าเราคุยในที่ประชุม ตามที่ผมและ อ.ธิดาเรียกร้องหลายรอบ เรื่องพรรคไทยรักษาชาติมาทีหลัง ไม่เกี่ยวกับช่วงเวลาตั้งพรรคเพื่อชาติ ที่ไปตกลงนอกวง ไม่บอกพี่น้องที่สู้มาด้วยกัน 

‘จตุพร’ ฉะ!! ‘ณัฐวุฒิ’ ปกป้องทักษิณให้แต่พองาม อย่าล้ำเส้น ลั่น!! หลังจากนี้อยากจะรบกันก็เชิญตามสบาย พร้อมเสมอ

(2 ส.ค. 66)  นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน ‘กี่ม้วนจบ’ โดยตอบโต้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทยที่ออกมาปกป้องทักษิณ ชินวัตร แบบล้ำเส้น หาเศษหาเลย พร้อมท้าวัดใจจุดยืนไล่คนตระบัดสัตย์หรือหากต้องการรบกันก็พร้อม นายณัฐวุฒิ หรือ เต้น หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โพสต์เพจเมื่อ 1 ส.ค. 66 เพื่อแก้ต่างให้ทักษิณ 2 กรณี คือ หนึ่งไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับทหารและ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจปี 2557 และสองถึงการอธิบายประวิติศาสตร์ นปช.แตกแยกเพียงด้านเดียวอย่างคลาดเคลื่อน ทั้งที่แยกทางกันมีเหตุมาจากแอบตั้งพรรคเพื่อชาติ ซึ่งไม่ได้บอกพี่น้องสู้รบมาด้วยกัน

นายจตุพร โต้กลับกรณีพรรคเพื่อชาติ ซึ่งเคยอธิบายมาหลายครั้งว่า การพูดครั้งนี้จะไม่เกรงใจกันอีก เพราะนายณัฐวุฒิ ยกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยก่อนเลือกตั้งปี 2562 ตนติดคุกอยู่ นายยงยุทธ ติยะไพรัช คนสนิทของทักษิณ และคณะ นปช. ไปเยี่ยมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พร้อมหารือสถานการณ์ทางการเมืองตามโอกาสอำนวยให้พูดคุยกัน นายยงยุทธ ยกกรณี รธน. 2560 เกี่ยวกับการเลือกตั้งที่กำหนดใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียวกับการออกเสียงสองระบบ คือ สส.เขตและบัญชีรายชื่อ โดยตนมีความเห็นว่ารวมกันแพ้ แยกกันชนะ และนายยงยุทธ บอกว่า ทักษิณ ให้มาช่วยพรรคเพื่อชาติเก็บแต้มให้ฝ่ายประชาธิปไตย แต่ตนขอให้ทักษิณบอกด้วยตัวเอง

นายจตุพร กล่าวว่า ขณะนั้นนายณัฐวุฒิ ยังไม่ถูกตัดสิทธิ์การเมือง แต่ตนติดคุกจึงถูกตัดสิทธิ์ อีกทั้งเคยประกาศเดิมพันไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งถ้า รธน. 2560 ทำประชามติผ่าน จึงยึดเป็นสัจจะวาจา ซึ่งไม่เป็นปัญหาอะไรกับตนเลย

"ผมไม่รู้ทักษิณคิดจะทำอะไร หลังจากออกจากคุก ทักษิณ ได้พูดกับผมว่า ให้มาช่วยพรรคเพื่อชาติ ผมก็รับปาก และไม่รู้ว่าเขาวางแผนคิดจะทำพรรคไทยรักษาชาติอีกพรรคหนึ่ง วันหนึ่งจึงมาพูดกลางวงประชุม นปช.แต่ท้ายที่สุดมีความเห็นแตกต่างกัน"

นายจตุพร กล่าวว่า หลังจากเกิดพรรคไทยรักษาชาติขึ้น นายณัฐวุฒิ พาคณะชุดหนึ่งไปสังกัด ตนพาอีกชุดมาช่วยพรรคเพื่อชาติ แล้วต่อมาจึงรู้ว่า ถูกหลอกตั้งแต่รู้ว่า ลูกชายนายยงยุทธ ไปเป็นเลขาพรรคไทยรักษาชาติ เมื่อผีถึงป่าช้าก็พูดไม่ออก

"ปรากฎว่า มารู้ภายหลังว่า โดนหลอกกันรอบวง คุณหญิงสุดารัตน์ (เกยุราพันธุ์) ไม่รู้เช่นกันว่าทูลกระหม่อมฯ มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ไทยรักษาชาติ ถ้ารู้ก็ไม่มีวันจะกล้าเป็นแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทยเลย ผมพยายามส่งความให้คิดกันให้ดี แต่คณะ นปช.ไม่มีใครฟังผมหรอก"

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อถึงวันรับสมัครเลือกตั้ง พรรคเพื่อชาติกลับเป็นที่สนใจมีผู้สมัครลงเลือกตั้งจำนวนมาก จึงถูกสกัดไม่ให้โตมากเกินไปเพื่อหลีกทางให้พรรคไทยรักษาชาติได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล ถึงที่สุดจึงรู้ข้อมูลว่า เป็นแผนแยกสลาย นปช. เท่ากับทักษิณ เสียสัจจะวาจาต่อตน

ส่วนนายณัฐวุฒิ บอกว่าไทยรักษาชาติมาทีหลัง นายจตุพร กล่าวว่า หากไม่รู้เกมทั้งหมดแล้ว นายยงยุทธ จะเอาลูกชายไปเป็นเลขาธิการพรรคได้อย่างไร แล้วยังเอาน้องสาวไปอยู่พรรคเพื่อไทย ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ร่วมมือกัน

นายจตุพร กล่าวถึงความสัมพันธ์ทางการเมืองว่า นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ นักธุรกิจ เจ้าของห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ถูกจัดวางให้เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ โดยลูกชายไปลง ส.ส.เพื่อไทย และลูกสาวของนายยงยุทธ ลงบัญชีรายชื่อลำดับที่สองพรรคเพื่อชาติ ดังนั้น ความสัมพันธ์นี้จึงเป็นเรื่องเดียวกันและเป็นข้อตกลงที่ถูกวางแผนกันไว้หมด โดยที่ตนไม่รู้มาก่อนจะมีพรรคไทยรักษาชาติอีก แล้วเกมนี้ยังมุ่งแยกสลายองค์กร นปช.ด้วย

สิ่งสำคัญ นายจตุพร ยอมรับว่า ถูกทักษิณหลอก ขณะที่นายณัฐวุฒิ ถ้าคิดภักดีกับพรรคเพื่อไทยจริง เมื่อไทยรักษาชาติถูกยุบพรรค ก็คงไม่ไปตั้งพรรคเส้นทางใหม่ร่วมกับนายจาตุรนต์ ฉายแสง มีออฟฟิตใหญ่โต สวยงามบนพื้นที่ 2 ไร่ที่ปากเกร็ด นนทบุรี ดังนั้น ย่อมพิสูจน์ว่า ถ้าศรัทธาเพื่อไทยจริงจะแยกไปตั้งพรรคเส้นทางใหม่ได้อย่างไร นอกจากนี้ หากนายณัฐวุฒิไม่รู้ว่าถูกหลอกแล้ว เมื่อพิจารณาการจัดลำดับบัญชีรายชื่อไทยรักษาชาติ นายณัฐวุฒิ ได้เป็น ส.ส.เพียงคนเดียวของ นปช. ส่วนคนอื่นอยู่ในลำดับที่ไกลและยากที่จะได้เป็น ส.ส.

"เมื่อต้องการพูดเรื่องนี้กันอีก ทั้งที่พูดกันมาหลายครั้ง และผมยอมรับว่า ถูกทักษิณ หลอก ถ้าไม่พูดกับผมก็ไม่มีวันไปช่วยพรรคเพื่อชาติ และถ้าพาพี่น้องไปไทยรักษาชาติ ถ้ามีโอกาสได้เป็น ส.ส.คนเดียวแล้ว มันไม่ใช่นิสัยผม"

ต่อมามีการยุบสภา นายจตุพร กล่าวว่า ทักษิณได้ส่งสัญญาผ่านบุคคลที่ตนเกรงใจให้กลับไปช่วยกันอีกครั้งหนึ่ง ตนกับนายณัฐวุฒิได้คุยกัน ซึ่งเป็นการคุยกันครั้งสุดท้าย คุยอย่างเป็นทางการ โดยสรุปว่า ตัดสินใจกันอย่างไรก็บอกด้วย แต่ขณะนั้นตนไม่คิดกลับเพื่อไทยเลย แล้วมารู้อีกทีนายณัฐวุฒิ เป็น ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย โดยไม่ได้บอกกันสักคำ

นายจตุพร กล่าวถึง นปช.กลับไปอยู่เพื่อไทยว่า มี 3 คน นายสงคราม จากเพื่อชาติได้เป็น สส. ลูกนายยงยุทธ ลงเขตเชียงราย ได้เป็น ส.ส. แต่อีกคนไม่ได้เป็น ส.ส. ดังนั้น ถ้าไม่มีความสัมพันธ์กัน หรือไม่รู้เห็นกันสถานการณ์นี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ ส่วน คน นปช.นายก่อแก้ว พิกุลทอง ได้ลำดับไกลมากถึงที่ 36 ไม่ได้เป็น ส.ส. สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ทั้งเพื่อไทย เพื่อชาติ และไทยรักษาชาติ มีความสัมพันธ์โยงกันหมด เมื่อ นปช.มาคุยกันก็เป็นคนละเรื่อง ถ้าไม่ใช่ทักษิณวางแผน รู้เห็นกันแล้ว นายสงครามและนายยงยุทธ จะแยกพ่อ ลูก และน้องสาวไปลงต่างพรรคกันได้อย่างไร แล้วยังพากันกลับมาเพื่อไทยในครั้งนี้อีกด้วย ดังนั้น ใครจะพูดอย่างไรก็พูดได้ แต่ข้อเท็จจริงคือ นปช.ที่แยกกันออกไป ต่างลง ส.ส.ในไทยรักษาชาติ และเพื่อชาติ ยกเว้นอาจารย์ธิดา ถาวรเศรษฐ คนเดียวไม่ลง ส.ส.

“ส่วน นปช.ก็แยกกันแล้ว ต่างคนต่างอยู่ดีที่สุด งานบุญก็แยกกันทำแล้ว จะคุยกันทำแมวอะไร ไม่มีประโยชน์ และผมเป็นตัวของผม ไม่ได้ใช้ตำแหน่ง นปช.เลย ครั้งหนึ่งเคยเสนอให้ยุติบทบาท แล้วส่งไม้ให้คนรุ่นใหม่ไป เมื่อไม่เห็นด้วยก็ต่างคนต่างอยู่ อีกอย่างผมไม่ได้ช่วยพรรคการเมืองใด ถ้าณัฐวุฒิมาอธิบายเพื่อปกป้องทักษิณ ก็เอาให้พอดีพองาม อย่าหาเศษหาเลยกัน”

นายจตุพร กล่าวถึงการยึดอำนาจปี 2557 ซึ่งทักษิณ เกี่ยวข้องหรือไม่ ว่า เมื่อนายณัฐวุฒิ โพสต์เองว่า พล.อ.ประยุทธ์ เตรียมการตอนต้นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้วยังไม่เข้าใจสถานการณ์อีกเหรอ เมื่อเลือกตั้งปี 2554 นั้น เพื่อไทยชนะม้วนเดียวจบเนื่องจากคนเสื้อแดงถูกปราบตายร่วมร้อยศพ บาดเจ็บสองพัน สูญสิ้นอิสรภาพนับไม่ถ้วน จนนำไปสู่การเลือกเพื่อไทยได้ 265 เสียง ส่งให้ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกฯ ในการเลือกตั้งและชนะกันนั้น ถ้าสำนึกบุณคุณประชาชน ที่เอาชีวิตเป็นเดิมพันไปต่อสู้จนได้ชัยชนะจากการเลือกตั้ง สิ่งแรกจึงต้องตอบแทนเจตนารมณ์ของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญ อีกอย่างช่วงนี้ เมื่อนายณัฐวุฒิ มีโอกาสเป็นรัฐมนตรีก็ยินดีด้วย

“การตั้งรัฐบาลครั้งแรก ณัฐวุฒิก็อยู่ที่บ้านผม ทักษิณโทรมา ผมขออนุญาตเปิดเสียงให้ณัฐวุฒิได้ยิน ทักษิณถามถึงเรื่องรัฐมนตรี ผมว่าถ้าจะตั้งต้องตั้งทั้งสองคน ถ้าไม่ตั้งก็อย่าเกรงใจ ไม่ต้องตั้งพวกผมก็ได้ ดังนั้น นปช.จึงไม่มีรัฐมนตรีครั้งแรกสักคนเดียว ซึ่งผมไม่มีปัญหา เพราะเป็น ส.ส.อยู่”

นายจตุพร กล่าวว่า การตั้ง ครม.ครั้งสอง นายณัฐวุฒิ ได้เป็น ตนไม่มีปัญหาอะไร แต่ปรับ ครม.ทักษิณ จะเอานายณัฐวุฒิออก เอาตนเข้าแทน ซึ่งตนก็ไม่ให้ความร่วมมือด้วย และไม่เอา เพราะไม่อีนังขังขอบอะไรด้วย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผิดพลาดอย่างยิ่งคือ เมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้ว ก็ใช้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเครื่องค้ำประกันและรักษารัฐบาล เมื่อตนวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ ด้านอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ โทรมาขอไม่ให้วิจารณ์ รวมทั้ง เกิดเรื่องสารพัด และเคยเตือนว่าจะมีการรัฐประหาร

นอกจากนี้ ขบวนการเสื้อแดงยังเหลวแหลกหมด ทักษิณ จัดการสัมพันธ์ตรงไปพบที่ต่างประเทศ แล้วได้สิ่งของราคาแพงมียี่ห้อสูงเป็นของขวัญ แล้วยังส่งไลน์รายงานความเคลื่อนไหวให้ทักษิณรับทราบอีกด้วย แล้วใครจะคิดอยากต่อสู้ในภาคสนามกัน อีกอย่างระบบ นปช.เป็นเรื่องจิตวิญญาณการต่อสู้ ชีวิตแลกชีวิต แต่กลับเอาผลประโยชน์และการพึ่งพา พล.อ.ประยุทธ์ มาเป็นการบริหารจัดการแทนความสามัคคีของมวลชน

“เมื่อณัฐวุฒิ บอกว่า การยึดอำนาจก่อตัวช่วงต้นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แล้วไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะการพึ่งพาพล.อ.ประยุทธ์ คือการละทิ้งประชาชน แล้วยังวางแผนปลด พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ออกจาก รมว.กลาโหม เพราะรู้ทันทหาร อีกอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ขอตำแหน่งต่างๆ ในตำรวจให้พรรคพวก ก็ยังยอมอีก

นอกจากนี้ เหตุการณ์ต่างๆ ได้เดินมาถึงออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย โดยแทรกให้คดีทุจริตเพื่อปลดปล่อยทักษิณ ได้กลับบ้าน เท่ากับเป็นการทำลายความหวังคนเสื้อแดงให้ย่อยยับจนมลายหมดสิ้น ประกอบกับ กปปส. ลงถนนเปิดฉากต่อต้านครั้งใหญ่ แล้วอีกไม่นาน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยึดอำนาจ เพราะทักษิณ สกัดสั่งห้ามเติมกำลังเสื้อแดงไปชุมนุมที่ถนนอักษะ

นายจตุพร กล่าวถึงการชุมนุมเมื่อปี 2553 ว่า นายณัฐวุฒิ รับผิดชอบดูแลทุกอย่างและทั้งงบประมาณ ตนกับนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยในด้านงบประมาณ มาถึงการชุมนุมปี 2557 ได้แบ่งงานกันทำ ทักษิณ รับผิดชอบสั่งการระดมคนมาชุมนุม นปช.รับงานเวทีชุมนุมไม่ยุ่งเกี่ยวงบประมาณ

“ตลอดการชุมนุมจะมีคนรองรังอยู่พื้นที่ชุมนุมจนรุ่งเช้าไม่น้อยกว่า 3- 4 หมื่นคน ส่วนช่วงหัวค่ำมีการระดมคนมาชุมนุมวันละไม่ต่ำกว่า 8 หมื่นถึงแสนคน แต่ 21 พ.ค. 2557 วันที่ พล.อ.ประยุทธ์ นัดให้แกนนำมาคุยหารือตกลงกันที่หอประชุมกองทัพบก

นายจตุพร กล่าวว่า ในช่วงเช้ามืด ก่อนไปพูดคุยตามนัด ตนตระเวณดูพื้นที่ พบผู้ชุมนุมหายแทบหมด เหลืออยู่ประมาณ 3-4 ร้อยคน ตกใจมาก คิดว่าถูกทำงานแล้ว อย่างไรก็ตาม คนเดียวที่ทำงานได้คือ ทักษิณ ถ้าไม่รู้เห็นด้วย คนไม่หายไปขนาดนี้ จึงเท่ากับเปิดโอกาสให้ยึดอำนาจได้ง่ายดายเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 เพราะไม่มีกำลังต่อต้านและสถานการณ์ขณะนั้น เราสู้ไม่ได้แล้ว

"ผมบอกเรื่องนี้ว่า ตั้งแต่เป็นรัฐบาลแล้วยอมเปลี่ยน รมว.กลาโหม ไม่เรียกว่าสมคบคิดกันได้อย่างไร เพราะเกิดวิวัฒนาการตามมาเป็นลำดับ มีการต่อรองกับทหารตามเรื่องราวเป็นตอนๆ ไป อีกทั้งคดีจำนำข้าวใกล้เข้าสู่ช่วงการตัดสิน ชี้ขาด ส่วนเรื่องในศาล รธน.แพ้หมด ช่วงนั้นรัฐบาลเอาสถานการณ์ไม่อยู่แล้ว"

นายจตุพร กล่าวว่า แม้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับงบประมาณการชุมนุม แต่ถูก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กล่าวหามีคนได้ประโยชน์จากงบประมาณจนต้องกลืนเลือด แล้วสุดทนเมื่อทักษิณ ไลน์เป็นข้อความอังกฤษถึงบางคน ซึ่งแปลได้ว่า "เลวมาก" ตนได้แค่อมยิ้ม เพราะรู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และเลือดที่อมไว้ก็ทะลักมาถึงคอหอย แล้วพุ่งสำลักออกมา

"ณัฐวุฒิจะคิดอย่างไรกับผมก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไรเลย และประวัติศาสตร์การต่อสู้หาความสำราญได้ตามสบาย ผมเป็นคนไม่ต้องการอะไรแล้ว ไม่ต้องการคำสรรเสริญเยินยอ ไม่ต้องการแนวร่วมมวลชน หรือให้คนตามมาเห็นด้วยจำนวนมาก เพราะผมผ่านเลยมาหมดแล้ว"

นายจตุพร กล่าวว่า หลังประกาศแยกทางกับทักษิณ อย่างชัดเจน มานั่งจัดรายการ ถ้านั่งวิจารณ์วันเดียวแล้วหยุดจะกลายเป็นคนชั่วทันที เพราะคนจะเชื่อทักษิณ 99 คน เชื่อผมคนเดียว จึงต้องพูดทุกวัน ถ้าไม่จริงให้ออกมาชี้แจ้ง ให้เรียงหน้ากันมาตอบโต้ ซึ่งแกนนำสำคัญ คนใหญ่ๆ ของพรรคเพื่อไทยแทบไม่ตอบเลยอีกทั้ง กล่าวว่า นายณัฐวุฒิ นึกอะไรไม่ออกก็เฉียดกรณีตั้งพรรคเพื่อชาติมาหลายครั้ง ตนก็อธิบายไปทุกครั้งและยอมรับว่าถูกทักษิณหลอก แล้วยังไม่เข้าใจอีกหรือว่า พรรคเพื่อไทย เพื่อชาติ และไทยรักษาชาติ เป็นเรื่องเดียวกันหมด ตัวแสดงสัมพันธ์กัน มีพ่อ-ลูกและน้องสาวโยกย้าย แยกกันลงสมัคร สส.พลัดเปลี่ยนกันไป แล้วมาอยู่ที่เพื่อไทยในขณะนี้

"ถ้าต้องการจะอธิบาย หลังจากนี้อยากจะรบกันก็เชิญตามสบาย ณัฐวุฒิ ไม่กลัวใคร และณัฐวุฒิก็รู้ว่าผมก็ไม่กลัวใครเหมือนกัน ก็มาเลยตามสบาย และหลังจากนี้ไป หากณัฐวุฒิยังจำคำพูดแรกๆ ของตัวเองในเวทีชุมนุมสนามหลวง ที่พูดว่า “ถ้าทักษิณ ไปสมคบคณะยึดอำนาจ จะออกมาไล่ทักษิณเอง" ได้หรือไม่? หากลืมยังมีแผ่นซีดีเอาให้ฟังได้

นายจตุพร กล่าวว่า หลังจากนี้ไปนายณัฐวุฒิ อยู่ในชุดปราศรัย พูดชัดเจนอยู่แล้ว และอย่าคิดเลี่ยงคำลุง เพราะปราศรัยทุกที่ระบุถึงแต่พรรคพลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ไล่หนูตีงูเห่า ไปยำประชาธิปัตย์ที่ภาคใต้ วันใดพรรคเพื่อไทยไปร่วมกับพรรคเหล่านี้ และนายณัฐวุฒิยังอยู่ก็ต้องวัดใจกัน

"เมื่อผมวิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองตระบัดสัตย์ ไม่ได้สนใจว่าเขาจะเป็นใคร ถ้าตระบัดสัตย์วันไหน ที่คุณโพสต์มาคำไหนคำนั้น ไม่ลืม ขณะนี้ก็เป็นเช่นนั้น เราต้องวัดใจกันว่า ถึงเวลาใครจะได้แสดงจุดยืน ซึ่งอาจหมายถึงส้นตีนด้วยก็ได้ แน่นอนการเสียสัจจะวาจาผมรับไม่ได้ ในฐานะประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์พฤษภา 2535 จนเป็นจุดชี้ขาดในเรื่องนายกฯ ตระบัดสัตย์"

ประเทศไทยต้องมาก่อน

‘ทักษิณ’ กลับบ้าน ขออภัยโทษ แจกกล้วยสภาสูง ดัน ‘เศรษฐา’ มีลุ้น

ไม่น่าจะเลื่อนหรือล้มเลิกอะไรอีก… วันที่ 22 ส.ค.นี้ รัฐสภาก็จะได้โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 กันเป็นครั้งที่ 3 และในวันเดียวกัน ตอน 9.00 น. ‘คุณอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร’ จะยกทีมไปต้อนรับการกลับบ้านของคุณพ่อ ‘นายทักษิณ ชินวัตร’

สองเหตุการณ์มาบรรจบกัน ในวันเดียวกัน… แบบนี้ต้องร้องอั๊ยหยา!!... เกือบๆ ฟ้าสะท้าน แผ่นดินสะเทือนทีเดียวเชียวแหละ!!

ว่ากันกรณีโหวตเลือกนายกฯ ก่อน พรรคเพื่อไทยดีลจบแล้ว ได้รัฐบาล 314 เสียง สูตร ‘มีลุง มีเรา สลายขั้ว สลายสี’ อาจจะคลุมๆ เครือๆ อยู่นิดหน่อย กรณีพรรคพลังประชารัฐของ ‘บิ๊กป้อม’ ยังไม่ปรากฏว่าผู้บริหารพรรคของฝั่งเพื่อไทยและพลังประชารัฐ ออกมาแถลงอย่างเป็นทางการ… แต่คาดว่า ในอีกวันสองวันนี้ก็คงแสดงความชัดเจนออกมา

วิเคราะห์ ตรวจสอบแล้ว แม้ว่าขณะนี้ ‘นายเศรษฐา ทวีสิน’ จะถูก ‘นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์’ จอมแฉจ้วงแทงเอาหลายแผล อาการไม่สู้ดีนัก และเชื่อขนมกินเถอะ ว่าวันที่ 22 ส.ค.ที่จะถึงนี้ จะถูก สว.ตัวตึง 3-4 คน ขยี้แผลซ้ำก็ตาม… แต่ความที่พรรคสองลุงร่วมสนับสนุนพรรคเพื่อไทย ภายใต้เงื่อนไข ‘เพื่อไทยไม่ยุ่ง-ไม่แก้มาตรา 112 และไม่เบี้ยวไปเอาพรรคก้าวไกลมาร่วมรัฐบาลในภายหลัง’ ก็ทำให้ สว.สายลุงที่เคยค้านสุดตัวหรือเตรียมงดออกเสียง เปลี่ยนใจมายกมือ ‘เห็นชอบ’ ด้วยเห็นแก่ประเทศที่จะต้องเดินหน้ากันมากขึ้น…

และไม่แค่นั่น… สายข่าวยืนยัน นั่งยัน ว่าขณะนี้ปฏิบัติการแจกกล้วยให้ สว.ผู้หิวโหยได้ดำเนินไปอย่างเอาการเอางาน และได้ผลค่อนข้างดี…

อย่างไรก็ตาม คะแนนของนายเศรษฐาก็ยังไม่ปลอดภัย… ได้เสียงสนับสนุนจาก 11 พรรค รวม 314 ต้องหาเพิ่มอีก 61 จึงจะครบ 375 เสียง เกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา… ไม่มากแต่ก็ไม่น้อย…
ถ้านาทีสุดท้ายเกิด สว.ส่วนใหญ่ ‘งดออกเสียง’ ขึ้นมาล่ะก็นายเศรษฐาอาจชีช้ำไปตลอดชีวิต พรรคเพื่อไทยอาจเข็นคนป่วย ‘นายชัยเกษม นิติสิริ’ หรือทิ้งไพ่ตายให้ลูกสาวนายห้าง ‘อุ๊งอิ๊ง’ ก็ได้…

ดูเกมทั้งกระดานแล้ว… พรรคเพื่อไทยไม่ยอมสูญเสียเก้าอี้นายกฯ อย่างแน่นอน ยิ่ง ‘นายใหญ่’ เดินทางกลับบ้านในยามนี้ด้วยแล้ว ยิ่งต้องคว้าเก้าอี้นายกฯ ให้ได้…

สำหรับกรณีที่นายทักษิณ ซึ่งมีโทษจำคุกจากคดีทุจริตที่ถึงที่สุดแล้วรวม 10 ปี สายข่าวระบุว่า ได้ทำการบ้านในเชิงข้อกฎหมายมาเป็นอย่างดี ทั้งประเด็นระยะเวลาจำคุกที่ทับซ้อนโทษจำคุกจริงน่าจะเหลือน้อย และคงใช้ช่องทางขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะตัวด้วย… ส่วนกรณีที่จะใช้ช่องทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับอาจไม่จำเป็น อาจจะแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) เพียง 2 ฉบับ คือ ‘พ.ร.ป.วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง’ และ ‘พ.ร.ป.การป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ’ เพื่อให้คดีเปลี่ยนจากไม่มีอายุความเป็น ‘มีอายุความ’ เพื่อที่นายทักษิณจะได้ใช้ระยะเวลาที่หลบหนีคดีลบล้างโทษได้…

ไม่ว่าจะอย่างไร ทั้งหลายทั้งปวง… ‘เล็ก เลียบด่วน’ ขออนุญาตโลกสวยสักวัน ขอภาวนาให้รัฐบาลสลายขั้ว สลายสี เดินหน้าประเทศไทยไปให้ได้ ออกจากหล่ม 2 ทศวรรษแห่งความขัดแย้งให้ได้สักครึ่งหนึ่ง ก็ยังดี… สาธุ!!

‘ยิ่งลักษณ์’ บินส่ง ‘ทักษิณ’ ลงเครื่อง พักที่สิงคโปร์ ก่อน ‘โอ๊ค’ บินไปหา เตรียมรับกลับไทยด้วยกัน 22 ส.ค.นี้

(19 ส.ค. 66) หลังจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะลูกสาวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โพสต์ข้อความผ่านสตอรี่อินสตาแกรมส่วนตัวถึงความคืบหน้าในการเดินทางกลับประเทศของนายทักษิณ โดยระบุว่า “อังคารที่ 22 ส.ค. 09.00 น. ณ ดอนเมือง จะไปรับคุณพ่อทักษิณ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ นายทักษิณ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้เดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวออกจากนครดูไบ เพื่อเดินทางมาพำนักอยู่ประเทศสิงคโปร์ก่อน โดยได้เดินทางมาถึงในวันที่ 19 ส.ค. โดยทั้งคู่จะพักอยู่ประเทศสิงคโปร์เป็นเวลาสองวัน ก่อนที่นายทักษิณจะเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวเข้าประเทศไทยตามที่ประกาศไว้ ในวันที่ 22 ส.ค. เวลา 09.00 น.

ทั้งนี้ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พร้อมด้วย นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ภรรยา ได้เดินทางไปหานายทักษิณที่ประเทศสิงคโปร์ เพื่อรอเดินทางกลับเข้ามาประเทศไทยพร้อมกันในวันดังกล่าว โดยมี น.ส.แพทองธาร และครอบครัว มารอรับที่ดอนเมือง

‘อุ๊งอิ๊ง’ คอนเฟิร์ม ‘ทักษิณ’ เตรียมกลับไทย 22 ส.ค.นี้ ยัน!! การกลับมาครั้งนี้ ไม่เกี่ยวกับการเมือง-พรรคพท.

(20 ส.ค. 66) ที่ ม.กรุงเทพธนบุรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงการไปทำบุญที่ศาลหลักเมืองกรุงเทพฯ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ว่าได้มีโอกาสทำบุญและอวยพรให้คุณพ่อ (นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ) เดินทางกลับด้วยความราบรื่น และเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ติดภารกิจ ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว พอมีเวลาก็เลยอยากไปทำบุญ ซึ่งก็ได้ชวนพี่สาว สามีและเพื่อนสนิทไปทำบุญไหว้พระร่วมกัน ซึ่งก็รู้สึกสบายใจ

เมื่อถามว่าการเดินทางกลับของนายทักษิณถือเป็นของขวัญวันคล้ายวันเกิดให้กับตัวเองที่มีอายุครบ 37 ปีหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ปกติเวลาพูดคุยกันเองในครอบครัว พูดเสมอว่าถ้าพ่อกลับเมื่อไหร่ ก็ถือเป็นของขวัญของทุกคนในบ้าน และใกล้วันเกิดของตนเองก็ถือเป็นของขวัญวันเกิดด้วยแน่นอน

เมื่อถามต่อถึงข้อกังวลเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางกลับ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ความปลอดภัยตนขอรวมไปถึงเรื่องการเดินทางมาถึงแล้ว รวมถึงเรื่องสุขภาพ ที่ตนอยากให้ท่านปลอดภัยและสุขภาพแข็งแรง เพราะเมื่อเดินทางมาถึงก็ยังไม่ได้เข้าบ้าน

เมื่อถามว่านักวิชาการมีการวิเคราะห์กันว่าการเดินทางกลับของนายทักษิณ ถือเป็นตัวประกันทางการเมือง และมีการเชื่อมโยงไปถึงการโหวตแคนดิเดตนายกฯ ในวันที่ 22 ส.ค.นี้ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เข้าใจว่าคุณพ่อถูกแยกออกจากการเมืองได้ยาก แต่การกลับมาของคุณพ่อถือเป็นการกลับมาของประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ที่มีสิทธิ์กลับมาในประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง ผ่านมา 17 ปีแล้ว ทุกครั้งที่คุยโทรศัพท์กัน ท่านก็จะพูดเสมอว่าหลาน 7 คนแล้วอยากกลับมาเลี้ยง นี่เป็นข้อแรกเสมอที่คุณพ่อพูดถึงการจะกลับมา ดังนั้นตนเข้าใจในบทบาทของคุณพ่อ ซึ่งคุณพ่อก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องการเมืองหรือเรื่องเป็นตัวประกัน ท่านคิดว่ากลับมาแล้วปลอดภัย รอวันที่จะได้กลับมาอยู่กับลูกหลาน  

เมื่อถามว่ามีการพูดไปถึงว่าการกลับมาของนายทักษิณครั้งนี้ จะถูกหลอกหรือเป็นเหยื่อทางการเมือง น.ส.แพทองธาร ถามกลับทันทีว่า “ถูกใครหลอก จริงๆ แล้วคุณพ่อออกไป 17 ปีแล้ว ก็จะมีหลายข้อมูลที่ได้รับ ทั้งข้อมูลที่ผิดและข้อมูลที่ถูก ถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว 17 ปี ผ่านอะไรมากันเยอะมาก ดังนั้นการตัดสินใจครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจของท่านเองไม่ได้มีใครหลอก หรือท่านก็ไม่ได้หลอกใคร ซึ่งการเดินทางกลับมาครั้งนี้เป็นการตกลงกันภายในครอบครัว ท่านถึงตัดสินใจกลับมา”

เมื่อถามว่ามีการประเมินว่าหากการโหวตนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพท.ไม่ผ่าน อาจจะต้องมีการเสนอชื่อน.ส.แพทองธาร แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพท. ซึ่งก็อาจจะกลายเป็นตัวประกันทางการเมือง น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า อยากให้มองการเมืองสร้างสรรค์ขึ้น การที่คุณพ่อกลับมาเป็นเรื่องของคุณพ่อกลับมา เพราะอยากกลับมาอยู่กับครอบครัว นี่คือเรื่องที่ชัดเจนมากๆ ส่วนเรื่องของการเมืองขอให้เป็นเรื่องการเมืองของพรรคพท. การกลับมาของคุณพ่อไม่ได้เกี่ยวกับการเมืองหรือพรรคพท.และคดีของคุณพ่อต่างๆ ก็ไม่ได้เกี่ยวกับการโหวตนายกฯ ดังนั้นอยากให้แยก 2 เรื่องนี้ออกจากกันอย่างชัดเจน

เมื่อถามย้ำว่านายทักษิณเดินทางกลับในวันที่ 22 ส.ค.นี้ ซึ่งตรงกับวันโหวตนายกฯ ไม่สามารถปฏิเสธความเชื่อมโยงนี้ได้ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ไม่ใช่ความเชื่อมโยงทางการเมืองใดๆ เลย เพราะวันที่ 22 ส.ค.นี้ คุณพ่อประกาศตกลงที่จะกลับมาก่อนที่จะมีการประกาศโหวตนายกฯ และส่วนตัวนับวันแล้วยังคิดว่าจะโหวตนายกฯวันที่ 18 ส.ค.นี้ ด้วยซ้ำ ซึ่งก่อนหน้านี้คุณพ่อบอกจะกลับมาวันที่ 31 ก.ค. ซึ่งตรงกับวันหยุด คุณพ่อก็เลยเปลี่ยน ซึ่งตนเองก็ได้ช่วยดูปฏิทินวันไหนฤกษ์ดี ก็คือวันที่ 10 ส.ค. ที่ประกาศไป แต่คุณพ่อต้องไปตรวจสุขภาพ แต่ละส่วนในร่างกาย ในแต่ละสถานที่กัน ฉะนั้นจึงทำให้เลยวันที่ 10 ส.ค.ไป จึงหาวันฤกษ์ดีวันใหม่ ซึ่งตรงกับวันที่ 22 ส.ค.นี้ ทั้งนี้ทางครอบครัวรู้กันก่อนที่จะมีวันประกาศวันโหวตนายกฯ

เมื่อถามว่าการตรวจสุขภาพของคุณพ่อถือว่าตอนนี้โอเคแล้วหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า คุณพ่อตรวจสุขภาพทุกปี บางครั้งก็มีปัญหาบ้าง ก็ต้องมีการฟอลโลว์อัพกัน ตอนนี้คุณพ่ออายุ 74 ปีแล้ว และความจริงท่านก็เป็นคนแข็งแรง อยู่ต่างประเทศท่านก็มีผ่าตัดเล็กน้อยบ้าง แต่พอตอนนี้อายุเข้า 74 ปีต้องตรวจสุขภาพปีละ 2 ครั้ง

เมื่อถามย้ำว่าแสดงว่าต้องมีการดูฤกษ์ยามในการเดินทางกลับ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ก็ต้องดูนิดนึง ดูไว้ก็เป็นเรื่องที่ดี วันฤกษ์ดี ทุกคนก็อยากให้ทุกวันเป็นวันที่ดี

เมื่อถามอีกว่ามีโอกาสจะเลื่อนเดินทางกลับอีกหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ไม่มี ย้ำว่าวันที่ 22 ส.ค.นี้แน่นอน

เมื่อถามถึงดีลกับฝ่ายผู้มีอำนาจจบแล้วใช่หรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า “ดีลอะไร ดีลฝ่ายไหน ยืนยันว่าไม่ได้ดีลกับใครเลย”

เมื่อถามถึงขั้นตอนการเดินทางกลับที่ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า  คุณพ่อจะเดินทางกลับมาที่สนามบินดอนเมืองในเวลา 09.00 น. โดยเครื่องบินส่วนตัว ซึ่งครอบครัวมารอรับ จากนั้นจะเดินทางต่อไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หลังจากนั้นจะต้องมาดูต่อว่าจะต้องทำอะไรบ้าง ทั้งนี้จะไม่มีการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนแต่อย่างใด

เมื่อถามถึงกระแสข่าวการขอพระราชทานอภัยโทษของนายทักษิณ ซึ่งครอบครัวได้มีการดำเนินการอะไรไว้หรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ต้องถามคุณพ่อก่อนว่าจะให้ดำเนินการอย่างไรบ้าง แน่นอนว่าครอบครัวต้องเคารพการตัดสินใจของคุณพ่อว่าจะให้ทำอย่างไร เดี๋ยวก็คงจะได้ทราบกัน

เมื่อถามว่ากระบวนการยุติธรรมล่าสุดที่มีการเปิดเผยจำนวนปีที่ต้องถูกจำคุกประมาณ 5 ปี น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ในเรื่องของคดีตนขอไม่ไปแตะ เพราะกลัวจะพูดข้อมูลไม่ตรงหรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้องออกไป เมื่อถามต่อว่าแสดงว่าที่ผ่านมายังไม่มีการดำเนินการในเรื่องนี้ น.ส.แพทองธาร กล่าวสั้นๆว่า “ยังค่ะ”

เมื่อถามว่าการเดินทางกลับของนายทักษิณ ซึ่งพร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ส่วนตัวยอมรับได้ใช่หรือไม่ น.ส.แพทองธา กล่าวว่า “ยอมรับค่ะ ตนคิดว่ามันคือการตัดสินใจของคุณพ่อ ถ้าคุณพ่อยอมรับได้ครอบครัวซัพพอร์ตเต็มที่แน่นอน” 

‘ผบ.ตร.’ เผย ได้รับการประสาน ‘ทักษิณ’ กลับไทยพรุ่งนี้  รอยืนยันเที่ยวบินอีกที เตรียมกำชับดูแลความปลอดภัยเต็มที่

(21 ส.ค. 66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า ล่าสุดตนเองได้รับการประสานว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเดินทางกลับประเทศไทยในวันพรุ่งนี้ (22 ส.ค.) ขณะนี้รอการยืนยันจำนวนผู้โดยสารและเที่ยวบิน ซึ่งช่วงเย็นวันนี้จะทราบข้อมูลทั้งหมดอย่างชัดเจน โดยในวันนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการซักซ้อมมาตรการดูแลความปลอดภัย และการส่งตัวนายทักษิณไปยังสถานที่ต่างๆ ตั้งแต่สนามบิน เพื่อผ่านการตรวจและยืนยันตัวตนจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) จากนั้นกองบังคับการการตำรวจนครบาล 2 (บก.น.2) จะรับมอบตัวเพื่อลงบันทึกประจำวัน และนำตัวไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อยืนยันว่าเป็นบุคคลตามหมายศาลและออกหมายขัง จากนั้นจะส่งตัวให้กับกรมราชทัณฑ์เพื่อนำควบคุมตัวไปยังเรือนจำ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดูแลความปลอดภัยและการจราจรในทุกจุดทุกขั้นตอน

"ส่วนแผนการรองรับมวลชนที่จะเดินทางมาให้กำลังใจอดีตนายกรัฐมนตรีนั้น ได้เตรียมสถานที่ไว้แล้ว ยืนยันว่าทุกอย่างมีมาตรการและเตรียมความพร้อมไว้เรียบร้อยแล้วทั้งหมด แต่ขณะนี้ยังไม่ทราบจำนวนมวลชนที่จะเดินทางมาให้กำลังใจ ส่วนการข่าวด้านความรุนแรงนั้นยังไม่ได้รับรายงาน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะไม่ประมาท" ผบ.ตร.ระบุ

ส่วนกรณีมีกระแสข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเดินทางมาพร้อมกับนายทักษิณนั้น พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับรายงานเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ขณะนี้ขอให้ดำเนินการไปทีละขั้นตอนก่อน แต่ยืนยันตำรวจมีความพร้อมในการปฏิบัติงาน ทั้งนี้ การดูแลความปลอดภัยอดีตนายกรัฐมนตรีนั้น จะให้การดูแลเช่นเดียวกับการดูแลบุคคลสำคัญ เนื่องจากอาจเกิดเหตุอันตรายได้

‘หมอตุลย์’ แนะ!! ราชทัณฑ์เชิญแพทย์ตรวจย้ำอีกครั้ง หลังโซเชียลแชร์ภาพ ‘ทักษิณ’ ยังสุขภาพอยู่ในเกณฑ์ดี

(22 ส.ค. 66) นายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี เรียนถึง ผู้อำนวยการโรงพยาบาล กรมราชทัณฑ์ โดยมีสาระสำคัญ ระบุว่า…

ตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่ากรมราชทัณฑ์แถลงข่าวว่า นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ที่ศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก 10 ปี มีโรคต่าง ๆ รุมเร้า เช่น โรคหัวใจขาดเลือด เป็นต้น ต้องรับการรักษาที่ รพ.ภายนอก 

เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานและจริยธรรมทางการแพทย์ ผมขอเสนอให้ทางกรมราชทัณฑ์เชิญแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากราชวิทยาลัยอายุรแพทย์มาตรวจร่างกายนักโทษชายทักษิณ ชินวัตรโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ว่ามีความจำเป็นต้องรับการรักษาโดยโรงพยาบาลภายนอกหรือไม่ และจำเป็นต้อง Admit หรือไม่ 

เพราะจากที่ปรากฏทางสื่อโซเชียลของตัวนักโทษเอง พบว่าสุขภาพอยู่ในเกณฑ์ดี แม้จะมีหลายโรคก็ตาม ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เป็นที่ครหาโดยสังคมทั่วไป และป้องกันมิให้มีการฟ้องร้องแพทย์กรมราชทัณฑ์ในข้อหาช่วยผู้ต้องหาให้ได้รับความสะดวกสบายผิดจากข้อเท็จจริงทางการแพทย์

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการต่อไป
ขอแสดงความนับถือ 
นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์

‘ศรีสุวรรณ’ ยื่น ป.ป.ช. สอบ ‘กรมราชทัณฑ์’ หลังส่อเอื้อ ‘นช.ทักษิณ’ ได้สิทธิเกินขอบเขต

(24 ส.ค. 66) ที่สำนักงานใหญ่ ป.ป.ช.นนทบุรี นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อขอให้ไต่สวนและวินิจฉัยว่า ผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ทั้งระบบ มีส่วนช่วยนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องโทษจำคุก 8 ปีตามคำพิพากษาของศาลอาญาทุจริตฯให้ไม่ต้องนอนคุกแม้แต่วันเดียว แต่กลับอนุมัติให้ไปนอน รพ.ตำรวจแทน แค่เป็นโรคความดันขี้ประติว ชี้อาจเป็นทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดกัน เข้าข่ายร่วมกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือไม่

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า หลังจากที่ นช.ทักษิณถูกนำเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทำการตรวจสุขภาพตามระเบียบแล้วเพียงไม่กี่นาที กรมราชทัณฑ์ก็ออกมาตั้งโต๊ะแถลงว่านายทักษิณจัดให้อยู่ในกลุ่มเปราะบาง เพราะอายุเกิน 70 ปี และดูแค่ประวัติทางการรักษาที่ผ่านมาป่วยถึง 4 โรค คือ โรคกล้ามเนื้อขาดเลือด, โรคปอดอักเสบเนื่องมาจากติดเชื้อโควิด-19, โรคความดันโลหิตสูง และโรคกระดูกสันหลังเสื่อม ดังนั้น ต้องเฝ้าระวังรักษาอย่างต่อเนื่องหลายโรค ที่ต้องดูแลโดยแพทย์เฉพาะทาง

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การอ้างสุขภาพยาวเหยียดดังกล่าว ขัดหรือแย้งต่อพฤติกรรมของนายทักษิณก่อนหน้านี้ ที่ขณะอยู่ต่างประเทศออกมาโชว์ฟิตปั๋งไม่มีปัญหาสุขภาพแต่อย่างใด บินเดินทางไปประเทศต่างๆ ทั่วโลกเป็นว่าเล่น ไม่เห็นแสดงอาการของคนป่วยหรือมีปัญหาสุขภาพแต่อย่างใด แต่พอเข้าไปในรั้วของเรือนจำกลับเป็นชายแก่อมโรค ที่กรมราชทัณฑ์ต้องทะนุถนอม แยกขังเดี่ยว และยังไม่ทันข้ามคืนก็อนุมัติให้ไปนอนรักษาตัวบนเตียงนอนนุ่มๆ ของ รพ.ตำรวจ ด้วยเหตุผลมีอาการความดันขึ้นสูง รพ.ราชทัณฑ์ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ดีพอรักษาได้ ซึ่งเป็นที่ครหาของสังคมและญาติผู้ต้องขังอื่น ที่ส่วนใหญ่ก็มักเป็นโรคความดันโลหิตสูงกันส่วนใหญ่ว่า ได้รับการทะนุถนอมเหมือน นช.ทักษิณหรือไม่

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ในส่วนของทรงผม นช.ทักษิณนั้นอ้างว่าไม่ต้องตัด ไม่ต้องกล้อนผมอย่างนักโทษทั่วไป เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่และเป็นผู้สูงอายุนั้น ถือได้ว่าเป็นการใช้ดุลยพินิจที่ขัดต่อระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการตัดผมผู้ต้องขัง พ.ศ.2565 ที่บังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.65 เป็นต้นมาแล้ว โดยในระเบียบดังกล่าวกำหนดไว้ชัดเจนในข้อ 9 ว่า “นักโทษเด็ดขาดชายให้ไว้ผมสั้น ด้านหน้าและด้านกลางศีรษะยาวไม่เกิน 5 ซม. ชายผมรอบศีรษะเกรียนชิดผิวหนัง” และระเบียบดังกล่าวไม่ได้มีข้อกำหนดเป็นข้อยกเว้นไว้ให้เทวดาคนใด จะเลี่ยงไม่ตัดไม่ได้

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า พฤติการณ์และการกระทำของผู้บริหารของกรมราชทัณฑ์ มีข้อพิรุธอีกมากมายที่สังคมไทยไม่ควรปล่อยให้ระบบราชการของรัฐใช้อำนาจหรือดุลยพินิจที่อาจขัดต่อระเบียบ กฎหมาย และรัฐธรรมนูญ 2560 ม.27 ประกอบ ปอ.ม.157 อันเกี่ยวกับการห้ามการเลือกปฏิบัติอันเกี่ยวกับสภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคมได้ องค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน จึงต้องนำความพร้อมพยานหลักฐานมายื่นร้องต่อ ป.ป.ช.เพื่อขอให้ใช้อำนาจตามกฎหมายในการไต่สวนและวินิจฉัยเอาผิดผู้บริหารของกรมราชทัณฑ์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top