Saturday, 27 April 2024
ทักษิณ

‘ชาล็อต ออสติน’ ขอโทษ ‘ทักษิณ’ ทันที หลังโดนขุดคอมเมนต์ในอดีตเมื่อ 9 ปีก่อน

16 พ.ค.66) งานงอกจังๆ สำหรับนางงามลูกรัก ‘ณวัฒน์ อิสรไกรศีล’ อย่าง ‘ชาล็อต ออสติน’ รองอันดับ 5 มิสแกรนด์ไทยแลนด์ ปี 2022 และมิสแกรนด์ชุมพร ปี 2022 หลังจากที่โดนมือดีขุดโพสต์เก่าเมื่อ 9 ปีก่อนมาแชร์จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์สนั่น เป็นข้อความที่เจ้าตัวเคยคอมเมนต์ถึง ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรี ทำนองว่า “คนอย่างทักษิณแค่หัวหลุดยังน้อยไป”

ล่าสุด สาวชาล็อต ก็ได้เปิดใจถึงเรื่องนี้ พร้อมขอโทษกับความผิดในอดีตที่เคยทำพลาดจากความไม่ยั้งคิดของเด็กอายุ 14 ปีในตอนนั้น รวมทั้งได้ขอโทษทักษิณ ชินวัตร ครอบครัว และ นปช. อีกด้วย

“เรื่องที่จะชี้แจงต่อจากนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนสำหรับโพสต์ 9 ปีที่แล้ว : ก่อนอื่นหนูขอโทษที่โพสต์ดังกล่าวที่กำลังเป็นประเด็นให้เกิดความไม่สบายใจอยู่ในตอนนี้ หนูไม่มีคำใดที่จะยกขึ้นมากล่าวและแก้ตัวเพื่อให้พ้นจากความผิดในอดีตของหนูได้เลย กับสิ่งที่เคยทำผิดพลาดซึ่งเป็นความไม่รู้จักยั้งคิดของเด็กอายุ 14 ปี ณ ขณะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นหนูน้อมรับผิดโดยไม่มีข้อโต้แย้ง

แต่ ณ วันนี้หนูโตขึ้นแล้ว หนูคิดว่าตัวเองมีความเข้าใจมากขึ้น มองเห็นและตีความเหตุการณ์ได้อย่างเป็นองค์รวมมากขึ้น คำพูดหรือการกระทำใดๆ ที่จะก่อให้เกิดความขัดเคืองต่อความรู้สึกของผู้ที่สนับสนุนบุคคลในโพสต์หรือคนอื่นๆ หรือเหตุการณ์ทางการเมืองใดๆ ก็ตาม หนูในวันนี้ซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วจะไม่ทำผิดพลาดซ้ำอีก และขอยืนยันค่ะว่าจะอยู่เคียงข้างความถูกต้อง ความยุติธรรม และประชาชน ขอโทษอีกครั้งสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขอโทษจริงๆ ค่ะ

ชาล็อตจะเก็บไว้เป็นบทเรียนค่ะว่าควรตระหนักคิดเยอะๆ ก่อนจะพูด หรือ กระทำการใดใด เพราะอาจส่งผลต่อเราในอนาคตได้ จะระมัดระวังและรอบคอบให้มากขึ้นค่ะ ขอโทษอีกครั้งค่ะ

ทั้งนี้ ชาล็อตต้องขอโทษคุณทักษิณ ชิณวัตร ครอบครัว และนปช. ทุกท่านที่ได้โพสต์ข้อความในเชิงข่มขู่คุกคามในตอนนั้นค่ะ”

‘ทักษิณ’ ลั่น เพื่อไทย ไม่เห็นด้วย ถ้า ‘ก้าวไกล’ ทำสิ่งที่กระทบกระเทือน ต่อเบื้องสูง

เมื่อช่วงค่ำวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือโทนี่ วู้ดซัม ตอบคำถามแฟนคลับรายหนึ่งในเฟซบุ๊ก "care คิด เคลื่อน ไทย" ถึงกรณีมีเสียงวิจารณ์พรรคเพื่อไทยสู้ไปกราบไปว่า กราบไปคืออะไร การเคารพสถาบันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ยังไงเนี่ยจุดยืนของพรรคเพื่อไทย และครอบครัวชินวัตร คือเราเคารพรักสถาบัน

ใครจะว่าอย่างไงผมช่วยไม่ได้ ผมเป็นของผมอย่างงี้ และยินดีต้อนรับว่า คนจะวิจารณ์ว่า เพราะผมไม่ได้สู้เพื่อไปทำอะไรไม่ดีกับสถาบัน ไม่มี ผมสู้เพื่อเอาชนะทางการเมืองเท่านั้นเอง

สถาบันนี่ ผมถือว่าผมจงรักภักดี ครอบครัวผมเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว รู้มั้ยว่าผมกับคุณหญิงนี่ สมรสพระราชทานนะครับ ผมอาจจะไม่ได้มีพิธีเหมือนสมัยนี้ แต่พิธีของผมคือสมรสพระราชทาน ฉะนั้นเรื่องความสำนึกอะไรพวกนี้ มันมีอยู่ นะครับมันมีอยู่ จะให้ผมไม่มีมันเป็นไปไม่ได้เลย นะครับ

แน่นอน สมมติว่าพรรคเพื่อไทย ร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล สิ่งไหนที่พรรคก้าวไกลจะทำ ซึ่งคิดว่าไม่ทำนะ ทำในสิ่งที่กระทบกระเทือนสถาบันพระมหากษัตริย์ เราก็คงไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา เราไม่ใช่ขวาจัด ตกขอบ ไม่ใช่ แต่เราเป็นคนไทย เราเคารพสถาบันพระมหากษัตริย์ เท่านั้นเอง ชัดเจน ไม่มีบิดพลิ้ว

‘จตุพร’ ชี้ ‘ทักษิณ’ เป็นคนไม่มีสัจจะ เกมกลับบ้าน เป็นแค่กลยุทธ์ ทางการเมืองเท่านั้น

9 มิ.ย.2566 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "ใครได้...ใครเสีย..." โดยกล่าวว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา นายทักษิณ ชินวัตร หลอกคนอื่นตลอดเวลา ดังนั้นคนไม่มีสัจจะมักจะได้รับสิ่งที่ไม่มีสัจจะกลับคืน ยิ่งอ้างว่า ครอบครัวชินวัตร ยังไม่ให้กลับบ้าน เพราะกลัวถูกหลอก โดยนัยยะข่าวนี้สะท้อนถึงมีการดีลกันมาต่อเนื่องนับตั้งแต่หาแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ที่มีชื่อ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย แต่กลับไปไม่ถึง และไม่เป็นจริง

นายจตุพร กล่าวว่า นายทักษิณ ประกาศกลับบ้านหลายครั้งคงเชื่อว่า ประชาชนยังรักตัวเองอยู่มากมาย โดยประกาศกลับบ้านร่วม 20 ครั้งแต่ไม่กลับ เท่ากับมุ่งหวังผลเพียงคะแนนเสียง จนการเลือกตั้งปี 2566 ได้เปลี่ยนกระดานการเมืองไปมาก และเป็นบทเรียนของคนไม่ยึดมั่นสัจจะวาจา ซ้ำร้ายชอบหลอกเอาความรู้สึก ความศรัทธาของประชาชนมาเป็นของเล่น

นายจตุพร กล่าวต่อว่า ข่าวครอบครัวชินวัตรหารือไม่ให้ทักษิณกลับบ้านนั้น เริ่มออกอาการรวนมาตั้งแต่ผลเลือกตั้งไม่เป็นไปตามเป้าหมายแลนด์สไลด์ หรือพรรคเพื่อไทยไม่มาอันดับหนึ่ง แต่พรรคก้าวไกลมาแรงแซงโค้งชนะเลือกตั้งเป็นพรรคที่หนึ่ง จึงต้องมีการจัดเกมการเมืองกันใหม่ในการกลับบ้าน อย่างไรก็ตาม ตนย้ำเสมอว่า ไม่มีใครห้ามทักษิณกลับบ้านเลย แต่ผู้นำที่จิตใจมีแต่ความขลาดกลัว จึงไม่กล้าแสดงความรับผิดชอบ

“มีรองนายกฯ และรัฐมนตรีสมัยทักษิณ มีอำนาจ อย่างน้อยต้องติดคุก ส่วนเสื้อแดงก็เข้าคุก และบางคนตายในคุกก็มี แต่ทักษิณ คนเป็นหัวหน้าคนอื่นต้องมีความละอาย เมื่อลูกน้องไม่หนี ตัวเองจะหนีไม่ได้ ต้องอยู่จนวินาทีสุดท้ายของการต่อสู้หรือการทำหน้าที่นั้นๆ แต่ทักษิณหนีไป ส่วนคนไทยเป็นคนให้โอกาสตลอดเวลา และพร้อมรับคำโกหกของทักษิณ ได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

นายจตุพร กล่าวอีกว่า แม้มีบางคนวิเคราะห์การไม่กลับบ้านของทักษิณ เพราะพรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล แต่วันที่ทักษิณออกจากไทยล่าสุดเมื่อปลาย ก.ค. 2551 ก็ไปในวันที่นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน (หลังจากไทยรักไทยถูกยุบ) เป็นนายกฯ จนไม่กล้ากลับมา

ดังนั้น การไม่ได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลจึงไม่เกี่ยวข้องกับการกลับบ้าน แต่อยู่ที่ตัวของทักษิณเอง จะยืนหยัดและพร้อมน้อมรับคำพิพากษาของศาลที่ตัดสินคดีจนถึงที่สิ้นสุดให้จำคุก 10 ปีหรือเปล่า รวมทั้ง ย้ำว่า ทักษิณ ไม่อยากติดคุก ตราบใดถ้ายังคิดว่าตัวเองจะต้องเข้าเรือนจำก่อนนั้น ก็ไม่มีทางได้กลับมา และยิ่งพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลก็กลับมาไม่ได้ เพราะกลับมาไม่ติดคุกคนก็ออกมาเต็มถนน

“ยังไม่เข็ดเรื่องการนิรโทษกรรมสุดซอยกันอีกหรือ ถ้าทักษิณ ประกาศกลับในช่วงวันเกิดและไม่เป็นภาระกับพรรคเพื่อไทย แล้วยังให้สัจจะวาจาจะกลับในวันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นรักษาการนายกฯ อยู่ แค่การที่ตัวเองเบี้ยวหลายรอบ ผิดสัจจะนับสิบหน จุดจบของคนชอบหลอกคนอื่น คือ ตัวเองก็จะถูกหลอกเช่นกัน”

อีกทั้ง เห็นว่า อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวทักษิณ พูดยืนยันการกลับบ้านในเดือน ก.ค. ซึ่งใกล้มาแล้ว ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองยังไม่เป็นใจอะไรให้กลับบ้านเลย ดังนั้น การทรยศ หักหลัง หลอกลวง ประชาชน จะกลายเป็นโมฆะบุรุษทันที หรือจากรัฐบุรุษก็กลายเป็นทรราช

“คนผิดสัจจะวาจาครั้งแรกก็เสียคนแล้ว แต่ทักษิณผิดวาจากลับบ้านมาตั้ง 20 ครั้ง จึงไม่มีความเป็นคนให้เสียได้อีกแล้ว ดังนั้น เกมนี้เหมือนโยนหินถามทาง ย่อมมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาเกมการเมืองในอนาคตที่ใครไม่คาดคิดว่า จะกล้าทำ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นย่อมมีร่องรอยเสมอ”

ดังนั้น ตนเคยวิเคราะห์ไว้ว่า สุดทางเดินการเมืองจะนำไปสู่การรัฐประหาร และขณะนี้เกมยังเดินอยู่ระหว่างทาง และยังมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รอแจกใบเหลือง ส้ม หรือดำ และยังจะมีจำนวนที่มากกว่าที่ระบุออกมาด้วย เพราะนี่คือเกมระหว่างทางไปสู่การยึดอำนาจปลายทาง

อีกทั้ง การไม่กลับบ้าน โดยอ้างกลัวถูกหลอก ทั้งที่ความจริงแล้วทักษิณไม่ต้องการกลับมาตั้งแต่ต้นแล้ว แต่เอาลูกสาวสมัครแคนดิเดตนายกฯ เพื่อหลอกเอาความรู้สึกของประชาชนมาเป็นของเล่น ดังนั้น การเมืองครั้งนี้จะเห็นความตลบตะแลงที่ใหญ่มาก แต่ต้องแลกมาด้วยวิกฤตศรัทธา สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของวิกฤตศรัทธาคือ การลวงโลกและการดูถูกประชาชน โดยพยายามเจรจาแลกเปลี่ยน ถ้าทำกันจริงประชาชนจะต่อต้านอย่างรุนแรง

“เกมกลับบ้าน ใช้เป็นกลยุทธ์ทางการเมืองมาตั้งแต่ต้น จึงอย่าได้ประมาท แม้ใจของทักษิณไม่กล้าก็ตาม แต่การบอกกลับบ้าน ซึ่งเป็นการหลอกลวง เป็นธรรมชาติของผีที่ชอบหลอกมาตลอด จนไม่มีความละอายใจเลย เมื่อเป็นผู้นำแล้วประกาศกลับบ้าน ถึงจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็ต้องกลับ กลัวอะไรกับติดคุก ลูกน้องคุณยังไม่กลัวกันเลย”

นายจตุพร ย้ำว่า การห้ามทักษิณกลับบ้าน โดยอ้างกลัวถูกหลอก นั้นหมายความว่า มีการดีลกันมาตลอด เป็นดีลที่ถูกปัดและปฏิเสธมาแต่ต้น จนผลเลือกตั้งไม่เป็นไปตามความต้องการ แม้ปฏิเสธไม่จับมือกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในภายหลัง แต่คนไม่เชื่อคำพูดเสียแล้ว

“ถ้ากลับมาในวัน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ รักษาการ แล้วเข้าคุกจะกลัวเรื่องการถูกหลอกทำไม เพราะการเข้าคุกเป็นไปตามคำพิพากษา แต่การไม่กลับมาทำให้เสื่อมหนักไปอีก ยิ่งมาถึงวันเลือกประธานสภา แล้วมาโหวตนายกฯ หากเป็นไปตามการแลกเปลี่ยนกันแล้ว จะยิ่งทำให้เกิดวิกฤตศรัทธารุนแรง ประชาชนจะออกมาเต็มท้องถนนแล้วจะปกครองกันอย่างไร”

พร้อม สงสัยว่า เพียงแค่วันที่ 8 มิ.ย.เท่านั้น ทำไมต้องรีบสื่อสารจะไม่กลับบ้านกันแล้ว นอกจากต้องการตรวจสอบอาการของคนว่า ใครหลอกใคร ที่ถูกหลอกกันมาเป็นทอดๆ เช่นกัน เพราะเป็นคนไม่มีสัจจะ ชอบหลอกคนอื่น ย่อมถูกคนอื่นหลอกไม่แตกต่างกัน ซึ่งทางเดินของโมฆบุรุษจึงเป็นเช่นนี้ ต่อไปพูดอะไรก็ไม่มีใครเชื่อ นอกจากบอกชื่อตัวเองเท่านั้น ซึ่งเป็นความจริงเดียวที่เหลืออยู่

นายจตุพร ประเมินว่า เมื่อยิ่งใกล้วันทักษิณกลับบ้านใน ก.ค.นี้ เกมการเมืองเดินมาอย่างมีนัยยะสำคัญ ตนคาดว่า กรณีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน่าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกฯ จะได้เข้าประชุมสภาผู้แทน ได้เลือกประธานสภา ซึ่งเป็นคนของพรรคเพื่อไทย โดยอาจเป็นนายสุชาติ ตันเจริญ หรือ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นตัวเลือกจะได้รับตำแหน่ง

“หลังจากนั้น ช่วงรอพระบรมราชโอกงการโปรดเกล้าฯ ตำแหน่งประธานสภาและรองประธาน จะเป็นช่วงเวลาที่นายพิธา จะถูกศาล รธน.สั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ แต่จะเห็นร่องรอยความขัดแย้งแล้ว เนื่องจากการเลือกประธานสภา ย่อมรู้ได้ชัดเจนแล้วว่า ใครจะเลือกใครอย่างไร”

‘พิธา’ จอดป้าย ‘เพื่อไทย’ ไปต่อ ดีลลับ ‘ทักษิณ’ กลับบ้านแลกนายกฯ

ผลการโหวตนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ออกมาตามโผและความคาดหมายของใครต่อใคร… รวมทั้ง ‘เล็ก เลียบด่วน’ ณ คอลัมน์ ‘เลียบการเมือง’ แห่งนี้ ที่ต้องขอบอกว่าไม่ได้โม้… ได้ทำนายทายทักมานานแล้วว่า เสียงสนับสนุนจาก สมาชิกวุฒิสภาหรือ ส.ว.นั้นจะมีประมาณ 15 เสียงบวกลบ… เท่านั้น

สุดท้ายได้มา 13 เสียง เป็นท่านใดบ้าง คงไม่ต้องมาขานชื่อกันตรงนี้อีก… และพรรคก้าวไกลก็ไม่ต้องมาอธิบายความว่า ส.ว.ถูกกดดันถูกสั่งการโน่นนี่นั่นกันให้มากความ เอาเป็นว่า ส.ว.ส่วนใหญ่เขาไม่เห็นด้วย ไม่พร้อมที่จะสนับสนุนคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์และพรรคก้าวไกลให้มาบริหารประเทศ

บันทึกคะแนนโหวตเป็นทางการไว้สักนิด สมาชิกรัฐสภาลงมติโหวตทั้งสิ้น 705 คน เห็นชอบให้พิธาเป็นนายกฯ 324 เสียง ไม่เห็นชอบ 182 งดออกเสียง 199 พิธาสอบไม่ผ่าน… ด้วยคะแนนที่แม้กระทั่งคนชื่อ ‘นิด’ เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทยบอกว่า… ต่ำไปหน่อย

‘เล็ก เลียบด่วน’ ใคร่สรุปวิเคราะห์แบบเหลียวหลังแลหน้าเป็นข้อๆ ตามสไตล์ในสาระสำคัญของสถานการณ์ดังนี้… 

1.) ความผิดพลาดจนไปไม่ถึงฝันของพิธาและพรรคก้าวไกลมัดรวมอยู่ตรงที่นโยบายสุดโต่งที่จะทำให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม… แต่เป็นความไม่เหมือนเดิมในเชิงลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการยืนกระต่ายขาเดียวที่จะต้องแก้แบบยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งแม้ ณ นาทีก่อนโหวต ‘พิธา’ หรือสมาชิกพรรคก้าวไกลก็ไม่ยอมลดเพดานหรือถอยแม้แต่ก้าวเกียว… และต้องยอมรับว่าการอภิปรายชี้แจงของพิธาและ ส.ส.พรรคก้าวไกลไม่สามารถหักล้างคำอภิปรายเรื่องมาตรา 112 ของ ส.ส.ชาดา ไทยเศรษฐ์, ส.ว.คำนูญ สิทธิสมาน และอีกหลายคนได้

2.) พรรคเพื่อไทยเขาอ่านเกมออกตั้งแต่ปีมะโว้แล้วว่าอย่างไรสูตรรัฐบาล 8 พรรคไปไม่ตลอดรอดฝั่ง เพียงแต่เขาติดกับดักคำว่า ‘พรรคฝ่ายประชาธิปไตย’ กลัวด้อมส้มและติ่งแดงจะถล่มหากรีบตีจากก็เลยลากมาถึงวันที่ คุณหมอชลน่าน ศรีแก้ว เสนอชื่อพิธา และให้สหายศรชัย… อดิศร เพียงเกษ อภิปรายสนับสนุนสองสามคำ… เท่านั้นเอง

3.) สถานการณ์ของพิธาและก้าวไกลหนักหนาสาหัส… สมมุติแม้จะดันทุรังจนได้โหวตหนที่สองก็จะไม่ผ่านอีกแต่โอกาสจะไม่ได้โหวตรอบสองมีสูงด้วยกฎกติกามารบาทตามข้อบังคับ… ไม่แต่เท่านั้นที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญวันที่ 19 ก.ค.อาจสั่งให้พิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่ ตามที่ กกต.ร้องขอมาก็ได้

4.) การดิ้นรนแก้เกมด้วยการยื่นร่างแก้ไขมาตรา 272 เพื่อปิดสวิตช์ ส.ว.ไม่ให้มีสิทธิโหวตนายกฯ นอกจากจะไม่ทันกาลแล้ว โอกาสจะผ่านก็มีน้อยมาก แม้ ส.ว.จำนวนไม่น้อยเขาไม่ติดใจที่จะปิดสวิตช์ตัวเอง แต่ต้องไม่ลืมว่าพวกเขาไม่พร้อมปิดสวิตช์เพื่อให้พรรคก้าวไกลไปเป็นรัฐบาลแล้วแก้มาตรา 112

5.) เกมการเมืองเกือบทั้งหมดกำลังเคลื่อนไปอยู่ในมือพรรคเพื่อไทยที่ปีกหนึ่งเห็นว่าในการจัดตั้งควรจะอุ้มกระเตงพรรคก้าวไกลไปด้วย ทั้งๆ ที่รู้ว่าถ้าขืนทำแบบนั้น ส.ว.ก็จะโหวตคว่ำอีก แต่อีกปีกหนึ่งไม่เห็นด้วย… ที่สุดแล้วเพื่อไทย อาจจะยอมทำ แม้จะถูกด่า ทั้งนี้เพื่อตัวเองจะได้มีความชอบธรรมในการสลัดทิ้งพรรคก้าวไกล… แล้วผสมพันธุ์ข้ามขั้วกับพรรคฝ่ายที่ถูกเรียกว่าอนุรักษ์นิยมหรือขั้วอำนาจเดิม

6.) ประเด็นที่น่าจับตามองที่สุดก็คือ ยังมีความพยายามเจรจาต่อรองให้ ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐต่อไปหรือไม่… ซึ่งประเด็นนี้ พรรคเพื่อไทย คิดหนัก เพราะเดิมพันกับคะแนนนิยมในสมัยหน้า...แต่บางกระแสกระซิบมาว่า พรรคเพื่อไทยอาจจะยอมถ้าได้ยึดคุมกระทรวงสำคัญไว้ในมือ… และที่สำคัญคือ แลกกับดีลลับเรื่องทักษิณกลับบ้านที่จะต้องเรียบร้อยสมบูรณ์

7.) สถานการณ์การชุมนุมแสดงความไม่พอใจที่พิธาพลาดหวังจะมีอย่างต่อเนื่อง กึ่งๆ แฟลชม็อบ แต่ฝ่ายความมั่นคงประเมินว่าไม่หนักหนาสาหัสหรือรุนแรงมากนัก ขณะที่บรรดา ส.ว. หรือ ส.ส.ที่มีบทบาทโดดเด่นกรณีโหวตพิธาจะได้รับผลกระทบระดับหนึ่งจากเกมล่าแม่มดของด้อมส้ม

‘บิ๊กแดง’ ปัดตอบ ปมภาพบินไปลังกาวี พบ ‘ทักษิณ’ หลุดว่อน ยัน!! แค่ไปหารือแนวทางแก้ปัญหากลุ่มก่อความไม่สงบฯ ในภาคใต้

(18 ก.ค. 66) แหล่งข่าวจากกองทัพ ระบุถึง การเดินทาง พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ร่วมคณะของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทบ.ไป เกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย เมื่อ 5-7 พ.ค. 2566 และถูกโยงว่ามีการพบ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ดีลลับการเมืองก่อนเลือกตั้งว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ ทางการเมือง และไม่ได้ไปพบเจอ อดีตนายกฯ ตามที่มีข่าวปรากฏในโซเชียลมีเดียแต่อย่างใด แต่ไปเพื่อพบปะกับ แกนนำกลุ่มก่อความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่มีการนัดหมายไว้ ว่า ต้องการพบเพื่อคลี่คลายปัญหา และสนับสนุนให้การเจรจาเดินหน้าไปได้ด้วยดี

โดยเป็นการประสานในการเปิด ช่องทางการติดต่อสื่อสาร อีกช่องทางหนึ่ง สำหรับการประสานงานในการแก้ปัญหา อีกทั้งในขณะนี้ การดำเนินการของคณะพูดคุยฯ ชะลอ ออกไป เพราะทางกลุ่มเคลื่อนไหว รอมีรัฐบาลใหม่ก่อน

ส่วนกรณีที่ พล.อ.อภิรัชต์ เดินทางไปด้วยนั้นเนื่องจาก พล.อ.อภิรัชต์ สนใจติดตามแก้ปัญหาความไม่สงบในชายแดนใต้ มาเพราะสมัยเป็นพันเอก ก็ลงไปอยู่ชายแดนใต้ และมีสายข่าวอยู่ในฝั่งมาเลเซีย และเมื่อครั้งเป็น ผบ.ทบ. เคยเดินทางไป อาเจะห์ ศึกษาแนวทางการแก้ปัญหา  และยังคงติดตามสถานการณ์ มาตลอด แต่ไม่ได้เปิดเผย เพราะมีหน่วยงานที่มีหน้าที่ทำงานอยู่  แต่มันเป็น คอนเนคชั่นส่วนตัว ที่ทำให้ประสานพูดคุยกันได้ จะได้รู้ความต้องการของเขา และทางออกในการแก้ปัญหา

สำหรับ พล.อ.เฉลิมพล คอยติดตามการแก้ปัญหาชายแดนใต้มาตลอดเช่นกัน ทำงานร่วมกับพล.อ.อภิรัชต์ มา ที่ผ่านมาก็ทั้งการลงพื้นที่ไปตรวจเยี่ยม และสนับสนุนอุปกรณ์พิเศษ ให้กองกำลังชายแดนในการทำงาน

“คาดว่าคงมีคนพยายามที่จะเชื่อมโยง กับการเมือง เพราะที่ผ่านมา มีการปล่อยข่าวลือ พาดพิง พล.อ.อภิรัชต์ มาตลอด แต่ พล.อ.อภิรัชต์ ก็เลือกที่จะนิ่ง ไม่ชี้แจง ตอบโต้ แต่การที่ไม่ได้ชี้แจง ไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องจริง เพราะอยู่ในสถานภาพที่ไม่ได้มายุ่งเกี่ยวใดๆ ทางการเมือง ขออย่าโยง” แหล่งข่าวใกล้ชิดในกองทัพ ระบุ

‘จตุพร’ เปิดใจ!! เรื่องในอดีตที่ทำให้เจ็บปวด ชี้!! ยึดอํานาจจะไม่เกิด หากไร้ผู้ร่วมสมคบคิด

เมื่อไม่นานนี้ ผู้ใช้ติ๊กต็อกบัญชี ‘@RudyH20’ ได้แชร์คลิปวิดีโอ ‘คุณจตุพร พรหมพันธุ์’ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ที่ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ‘Thairath Talk’ เกี่ยวกับประเด็น ‘คุณทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมมือสมคบคิดจนเกิดการปฏิวัติ ซึ่งคุณจตุพร ได้ระบุว่า… 

“ผมเป็นประธาน นปช. และเป็นผู้นําในการต่อสู้ที่อักษะ ซึ่งผมจะอยู่ในบริบทตกลงในเรื่องความรับผิดชอบหน้าที่ในการชุมนุม รับผิดชอบเรื่องเวทีพร้อมกับบรรดาแกนนํา ผมในฐานะหัวแถวก็ได้รับภารกิจนี้”

“ส่วนในเรื่องของคน แน่นอนที่สุดในการชุมนุมชนิดที่ต้องค้างคืนยาวนาน มันต้องใช้ ‘ระบบขนคนหมุนเวียน’ ซึ่งจะมีพี่น้องเสื้อแดงจากต่างจังหวัดอยู่แล้ว ส่วนช่วงตอนเย็นคนที่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลก็จะมาร่วมสมทบ แล้วค่อยกลับบ้านกัน แต่ว่าต้องมีคนที่อยู่ประจําเป็นหลัก ซึ่งตกลงกันว่าในเรื่องของการขนคน จะมีจุดเช็ก รวมถึงมีจุดต่าง ๆ ก็ให้ในส่วนของนายกฯ ทักษิณเป็นคนรับผิดชอบ ส่วนเรื่องเวทีผมจะเป็นคนรับผิดชอบ ก่อนการเจรจาวันที่ 21 พ.ค. 2557 ในช่วงเช้า คนจาก 3 หมื่น เหลือไม่ถึง 500 คน จนกระทั่งเหลือหลักร้อยคน ผมก็รู้ว่ามีปัญหาแล้ว ก็รู้ว่ามีน้องในคณะสาม ป. ไปอยู่กับนายกฯ ทักษิณ จึงเป็นที่มาของการตัดกําลังคน เพราะว่าถ้าคนยังอยู่ที่อักษะ รองพื้น 3 หมื่นคนเหมือนเดิม ตอนเย็นเติมเป็นแสนคน การยึดอํานาจจะไม่เกิดขึ้นอย่างง่ายดาย แต่ว่าเพราะมีการสมคบคิดกัน ขนาดวันที่ 19 พ.ค. 2553 ปิดล้อมสลายการชุมนุม คนยังเหลืออยู่ 5 พันคน ในแต่ละจุด แต่วันนั้นเหลือไม่ถึง 500 คน มีคนที่ทําได้คนเดียวคือ นายกรัฐมนตรี” 

เมื่อถามถึงสถานการณ์ตอนที่รู้ว่า เกิดปฏิวัติขึ้นแล้ว ถูกปิดห้องแล้ว คุณจตุพรโทรไปหาคุณทักษิณแล้วคุยอะไรกัน? คุณจตุพร ตอบว่า…

“ผมไม่ได้โทร ผมมีโอกาสพูดกับ 3 คนสุดท้ายก่อนการยึดอํานาจ มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และตัวผมเอง ซึ่งพลเอกประยุทธ์ก็บอกว่าไม่มีอะไร คุยกันแล้ว และประกาศในห้องว่า คุยเรื่องห้องน้ำห้องท่า แล้วก็ชี้ไปที่ กกต. ว่านี่ก็ไม่เลือกตั้ง ชี้ไปที่คุณชัยเกษม ว่านี่ก็ไม่ลาออก ดังนั้น ผมจึงขอยึดอํานาจตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ทําท่าทางประมาณว่าไม่ทันแล้ว หลังจากนั้น ก็เริ่มทยอยถูกนําตัวออกไป ซึ่งคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ถูกนำตัวออกไปเป็นคนแรก” 

เมื่อถามว่า เรื่องเหล่านี้ไม่ได้ทำให้คุณจตุพรทะเลาะกับคุณทักษิณใช่หรือไม่? แบบนี้ประชาชนทุกคนก็จะไม่รู้เรื่องนี้ คุณจตุพร ตอบว่า…

“ผมก็ไม่พูด ผมก็กลืนเลือดไป ผมเจ็บมากนะ เพราะว่านั่นคือ ‘การยึดอํานาจ’ และไปกระทําการโดยที่เราอยู่ในสนามรบ รับผิดชอบชีวิตผู้คน และไปเจรจากับผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น แต่ว่าผมก็รู้แล้วว่า เราทําได้เพียงแค่ต้องการยื้อเวลา แล้วก็สามารถยื้อได้สองวัน แต่สุดท้ายก็ไม่รอดอยู่ดี” 

คุณจตุพร ยังเล่าต่อว่า ตนไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องใส่ร้าย ถ้าไม่เป็นความจริงก็เรียงกันมาหน้าถลกหนังผมแดงเถือกแล้ว เมื่อเรานําทัพการต่อสู้ แล้วดันถูกทรยศหักหลังซึ่งหน้ากันแบบนั้น เราเจ็บปวด แต่เรารู้ว่าถ้าเราพูดในขณะนั้นคนที่เจ็บปวดมากกว่าเรา คือ ‘ประชาชน’ 

เมื่อถามว่า ในมุมของคุณจตุพร รู้สึกโกรธคุณทักษิณ หรือพลเอกประยุทธ์? คุณจตุพร ตอบว่า…

“ณ วันนี้มันเลยความโกรธทั้ง 2 คนนั้นไปแล้ว ในวันนั้นผมโกรธทั้ง 2 คน ทั้งคนเปิดประตูให้ยึดกับคนยึด มันก็ควรโกรธเสมอภาคกันอย่างสมควร ถ้าไม่เปิดประตูให้ยึด การยึดก็ไม่ง่ายหรอก แต่เพราะว่ามันเกิดการสมคบ เกิดการสยบยอม โดยที่ไม่ได้บอกความจริงกับประชาชน”

จับตา!! ‘แกนนำก้าวไกล’ ดอดพบ ‘ทักษิณ’ ที่ฮ่องกง ยื่นเงื่อนไข ‘ไม่แตะ ม.112’ แลกได้ร่วมรัฐบาล

(26 ก.ค. 66) แหล่งข่าวแจ้งว่า แกนนำคนสำคัญของพรรคก้าวไกล ที่เคยมีบาทบาทช่วยหาเสียง กับพรรคก้าวไกล เตรียมเดินทางบินไปเขตบริหารพิเศษ ฮ่องกง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเข้าพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

มีรายงานข่าวถึงเรื่องที่จะเข้าพบเพื่อหารือในครั้งนี้ ‘พรรคก้าวไกล’ จะปิดสวิตช์การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในช่วง 4 ปีข้างหน้า โดยจะร่วมเป็นรัฐบาลภายใต้แกนนำของพรรคเพื่อไทย ซึ่งคาดว่า วิธีนี้จะทำให้ ‘สมาชิกวุฒิสภา’ ยอมรับ และลงคะแนนเสียงให้ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยได้

ทั้งนี้ มีรายงานว่า แกนนำ และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เดินทางไปเขตบริหารพิเศษฮ่องกง เพื่อเข้าพบนายทักษิณ เป็นจำนวนมากอีกด้วย

จบดีลลับ 10 ส.ค.ทักษิณกลับบ้าน เดินหน้ารัฐบาลปรองดอง ‘ก้าวไกล’ วืด!!

วันนี้ 26 ก.ค...วันคล้ายวันเกิดของอดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23  ของประเทศไทย...อายุครบ 74 ปีเต็ม ‘เล็ก เลียบด่วน’ ในฐานะรุ่นน้องอายุน้อยกว่าก็ขออนุญาต “แฮปปี้ เบิร์ธเดย์” กับคุณโทนี่ วู้ดซั่ม หรือ ทักษิณ ชินวัตร ด้วยคน...ส่วนเกร็ดประวัติผู้ชายคนนี้เป็นอย่างไร เห็นแว่บๆ THE STATES TIMES ได้รีวิวไปแล้ว...

แต่ที่ ‘เล็ก เลียบด่วน’ จะขอแจมเรื่องคุณทักษิณในวันนี้ก็มีเพียงว่า อันเนื่องจากเกมการจัดตั้งรัฐบาลที่เผือกร้อนมาตกอยู่ในมือพรรคเพื่อไทยตั้งแต่วันที่ 21ก.ค.นั้นมีทีท่าว่าบรรดาแม่ทัพนายกองของพรรคจะเอาไม่อยู่ บริหารจัดการไม่ดีนาทีทองโอกาสทองอาจจะล่มสลายหายวับไปกับตาก็ได้...

ดังนั้นไม่แปลกที่วันเกิดปีนี้ ทักษิณ ชินวัตร จึงเดินทางมาปักหลักอยู่ที่ฮ่องกง ฝั่งเกาลูน...และภาพลับทางการเมืองก็ค่อยๆ ถูกเปิดเผยออกมาผ่านสื่อสำนักต่างๆ เช่นภาพของ ประภัตร โพธสุธน จากพรรคชาติไทยพัฒนา เป็นต้น...ทั้งนี้ทั้งนั้นสายข่าวกระซิบว่าปีนี้ทักษิณค่อนข้างจำกัดวง เน้นหนักไปที่การต้อนรับขับสู้กลุ่มขั้วอำนาจเดิม..หรือตัวแทนพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลรักษาการอยู่ในขณะนี้...

ขณะที่มีกระแสข่าวเล่าลือว่า แม้แต่ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แห่งคณะก้าวหน้า ผู้มีบารมีเหนือพรรคก้าวไกล ก็ดอดไปพบเช่นเดียวกัน พร้อมๆ กับการคาดหมายว่า...ธนาธร พยายามเดินเกมให้พรรคเพื่อไทยกับก้าวไกลเป็นข้าวต้มมัด รักษาแนวรบฝ่ายประชาธิปไตย...ขณะที่อีกฝ่ายไม่ได้คิดเช่นนั้น...เพราะเดิมพันของเพื่อไทยและทักษิณในนาทีนี้ มีสองเรื่องสำคัญคือ..

เรื่องแรก จัดตั้งรัฐบาลกึ่งสมานฉันท์ ‘เหลือง-แดง’...มีนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย หรือหากผิดแผนก็จะไหลไปสู่แผน บีหรือแผนสอง ยอมยกเก้าอี้ให้ที่ อ.อนุทิน ชาญวีรกูล

เรื่องที่สอง เดือน ส.ค. ช่วงรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ทักษิณจะกลับบ้าน...เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม...ล่าสุดขณะปั่นต้นฉบับนี้ได้ยินว่าคุณอุ๊งอิ๊ง บุตรสาวยืนยันแล้วว่าคุณพ่อจะใช้ฤกษ์วันที่ 10 ส.ค. เดินทางกลับบ้าน...

ดังนั้นใครที่เสนอสูตรลากยาวประเทศไป 10 เดือน เพื่อรอให้สมาชิกวุฒิสภาชุดนี้หมดวาระ ไม่มีสิทธิ์โหวตเลือกนายกฯแล้วนั้นเป็นสูตรที่ฝันเพ้อ...เพ้อฝัน เพราะปฏิบัติการจัดตั้งรัฐบาลกำลังจะจบลงแล้วในอีกไม่กี่วันนี้...ทั้งนี้สูตรรัฐบาลใหม่ไม่มีพรรคก้าวไกลอยู่ในสมการ แม้จะมีกระแสข่าวว่าพรรคก้าวไกลจะยอมลดเพดานเรื่อง มาตรา 112 ลงแล้วก็ตาม...

สรุปรวมความว่า...ไทม์ไลน์หรือปฏิทินทางการเมืองที่ถูกทอดยาวออกไป พรรคเพื่อไทยล้มเลิกการประชุม 8 พรรคเมื่อวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยอ้างเหตุว่าเพราะยังไม่มีอะไรคืบหน้าก็เป็นการส่งสัญญาณว่า...MOUของ8พรรคเมื่อวันที่ 22พ.ค.นั้นไร้ความหมาย..แทบจะไม่มีค่าใดๆ แล้ว...สูตรรัฐบาลใหม่  MOUฉบับใหม่ กำลังร่างกันที่เกาลูน-ฮ่องกง...

ส่วนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี โน่น...แถวๆ วันที่ 9-16 ส.ค. โหวตรอบหน้าคงไม่มีอะไรทำให้เกิดเหตุสะดุดอีกแล้ว แต่อาจจะมีม็อบต่อต้านบ้างเป็นหย่อมๆ ด้อมส้มประปราย...

อ้อ!! ส่วนกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความมติรัฐสภาเมื่อวันที่ 19ก.ค.กรณีการโหวตนายกฯ ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น ‘เล็ก  เลียบด่วน’ นั่งทางในดูแล้วไม่มีอะไรในกอไผ่...ศาลท่านน่าจะไม่รับไว้พิจารณา  เพราะไม่อยู่ในเขตอำนาจ หรือถ้ารับไว้พิจารณาในที่สุดก็จะยก

วันนี้ขอจบแบบดื้อๆ ตามนี้นะครับ..ขอไปเช็คโผ รมต.-ครม.ที่ฮ่องกงต่อหน่อย...วันเสาร์จะมาเล่าให้ฟัง

‘อดิศร’ ยินดี ‘ทักษิณ’ กลับบ้าน  มั่นใจไม่กระทบภายใน ‘เพื่อไทย’ 

(26 ก.ค. 66) นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายทักษิณชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเตรียมเดินทางกลับประเทศไทย ในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ว่า ได้ทราบจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวนายทักษิณ จึงยินดีต้อนรับนายทักษิณกลับบ้าน พร้อมอวยพรวันเกิดนายทักษิณ เนื่องในวันคล้ายวันเกิดของนายทักษิณวันนี้ (26 ก.ค.) ซึ่งทราบว่า ที่นายทักษิณเดินทางกลับครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อต้องการไปรับ-ส่งหลานไปโรงเรียน และเห็นว่า นายทักษิณ เป็นคนไทยคนหนึ่งที่ถูกกระทำ และเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ที่สร้างคุณูประการให้กับประชาชนมากมาย โดยเฉพาะนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค

ส่วนการเดินทางกลับมาของนายทักษิณครั้งนี้จะส่งผลต่อพรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น นายอดิศร มั่นใจว่า ไม่มีเพราะนายทักษิณเป็นที่เคารพนับถือ ของคนในพรรคอยู่แล้ว ส่วนกลับมาแล้ว ต้องรับโทษอย่างไรนั้น ตนไม่ทราบขั้นตอน แต่เห็นว่า นายทักษิณ เป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ที่มีสิทธิ์ที่จะกลับมาบ้านเมือง และเชื่อว่าทุกคนจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย

‘บิ๊กโจ๊ก’ แจง เป็นหน้าที่ ตม. คุมตัว ‘ทักษิณ’ ส่งศาลตามหมายจับ เผย ยังไร้ข่าวป่วนของกลุ่มการเมือง กำชับเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังเข้ม

(27 ก.ค. 66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. เปิดเผย ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเดินทางกลับไทยในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ ในฐานะอดีต ผบช สตม. ว่า สำหรับกรณีผู้ที่มีหมายจับและคดียังอยู่ในอายุความ ตามหลักการแล้วหมายจับจะแสดงในระบบฐานข้อมูลของด่านตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินอยู่แล้ว ซึ่งหมายความว่า เมื่อนายทักษิณเดินทางเข้ามาผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองในสนามบิน ระบบจะปรากฏข้อมูลหมายจับของศาล ให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองหน้าด่านตรวจนั้นๆ ทราบทันที หน้าที่ของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองคือ จะต้องแจ้งให้บุคคลนั้นทราบ และควบคุมตัวต้องหาส่งให้กับศาลตามหมายจับ

ซึ่งขั้นตอนหลังจากนั้น ก็ขึ้นอยู่กับคำสั่งศาล ว่า มีคำสั่งดำเนินการอย่างไรต่อผู้ต้องหาขณะเดียวกัน ในกรณีเดินทางเข้าเมืองโดยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว แล้วลงจอดในสนามบินอื่น เช่น บน.6 ของกองทัพอากาศ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับสนามบินดอนเมือง ก็จะต้องผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองเช่นเดียวกับการทางเข้าเมืองผ่านสนามบินทั่วไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เปิดเผยต่อว่า ส่วนด้านการข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองต่างๆ ขณะนี้ยังไม่พบความเคลื่อนไหวของกลุ่มใดและยังไม่พบการข่าวที่น่ากังวล แต่เจ้าหน้าที่จะเฝ้าระวังไปจนถึงช่วงเวลาที่นายทักษิณจะเดินทางกลับ ตลอดจนช่วงเวลาหลังเดินทางกลับไทยแล้ว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top