Thursday, 26 June 2025
ค้นหา พบ 49041 ที่เกี่ยวข้อง

สมาคมคราฟท์เบียร์ ยื่นหนังสือถึงนายกฯ เสนอมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการร้านอาหารที่จำหน่ายคราฟท์เบียร์ เนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ หลังกทม.ห้ามจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อการบริโภคภายในร้าน

ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล ตัวแทนกลุ่มสมาคมคราฟท์เบียร์ประเทศไทยโดย นายอาชิระวัสส์ วรรณศรีสวัวดิ์ ( นายกสมาคม Craft Beer ประเทศไทย) ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เรื่องขอเสนอมาตรการการบรรเทาและเยียวยาผู้ประกอบการร้านอาหารที่จำหน่ายคราฟท์เบียร์ เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 ระลอกใหม่

นายอาชิระวัสส์ กล่าวว่า เนื่องด้วยคำสั่งของกรุงเทพในการห้ามจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อการบริโภคภายในร้านอาหารส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการร้านอาหารทั้งประเทศทางสมาคมฯมีความเข้าใจถึงความปรารถนาดีและกังวลในการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่ผู้ประกอบการและพนักงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งทางตรงและทางอ้อม

โดยปัญหาที่ผู้ประกอบการกำลังเผชิญมีดังต่อไปนี้

1.) ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายและผู้นำเข้าไม่สามารถระบายสินค้าเบียร์สดซึ่งเป็นสินค้าที่มีต้นทุนสูงและมีอายุสินค้าสั้นได้

2.) ร้านค้าไม่สามารถจำหน่ายเบียร์สดในบรรจุภัณฑ์อื่นๆเพื่อให้ลูกค้านำกลับไปบริโภคที่บ้านได้เนื่องจากผิด พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตมาตรา 157 ทำให้ต้องสูญเสียสินค้าไปโดยใช่เหตุ

3.) ร้านค้าไม่สามารถจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้เนื่องจากผิดกฎหมายห้ามซื้อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางออนไลน์แม้แต่กฎหมายนี้จะยังคงมีปัญหามีความคลุมเครือและไม่ชัดเจนเช่นไม่สามารถให้คำนิยามคำว่าอิเล็กทรอนิกส์ได้อีกทั้งยังไม่มีคู่มือให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง

4.) ปัญหามาตรา 32 พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่เพียงห้ามให้ร้านค้าโพสต์ประชาสัมพันธ์หรือขายสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทาง Social Media แต่ยังรวมไปถึงการเขียนถึงสินค้าแม้จะไม่มีรูปประกอบซึ่งอาจจะเข้าข่ายความผิดตามวิจารณญาณของเจ้าหน้าที่

ทั้งนี้มีผู้ประกอบการร้านค้าไม่น้อยกว่า 600 ร้าน และผู้ได้รับผลกระทบไม่ต่ำกว่า 6,000 ราย มูลค่าความเสียหายขั้นต่ำที่เกิดขึ้นเป็นมูลค่าประมาณ 150 ล้านบาท ต่อเดือน

ทางการจีนเตรียมพิจารณานโยบายแบนชาวฮ่องกงที่ถือพาสปอร์ตพิเศษสัญชาติอังกฤษ หรือ BN(O) มีผลให้ไม่สามารถทำงานในหน่วยงานรัฐบาล หรือห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง งานนี้ถือเป็นการตอบโต้รัฐบาลอังกฤษที่เปิดโควต้าให้คนฮ่องกงย้ายถิ่นฐานไปอยู่อังกฤษถึงกว่า 3 ล้านสิทธิ์

South China Morning Post สำนักข่าวใหญ่ของฮ่องกงได้รายงานข่าวว่า ทางการจีนกำลังพิจารณานโยบายที่จะแบนชาวฮ่องกงผู้ถือพาสปอร์ตพิเศษสัญชาติอังกฤษ ที่เรียกว่า British National (Overseas) หรือ BN(O) พาสปอร์ต ไม่สามารถทำงานในหน่วยงานของรัฐบาล หรือดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมถึงอาจเพิกถอนสิทธิ์ในการลงคะแนนเลือกตั้งด้วย

มาตรการใหม่นี้ มีจุดประสงค์เพื่อตอบโต้รัฐบาลอังกฤษที่ได้เปิดโควต้าให้ชาวฮ่องกงผู้มีความประสงค์จะย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อังกฤษได้ถึง 3 ล้านสิทธิ์ และกำลังจะเริ่มรับใบสมัครในวันที่ 31 มกราคม 2021 นี้แล้ว

และชาวฮ่องกงที่ได้รับสิทธิ์นั้น จะต้องเป็นผู้ที่ถือ BN(O) พาสปอร์ต ที่เป็นเหมือนเอกสารรับรองชาวฮ่องกงว่าเคยมีสถานะเป็นพลเมืองในเขตอาณานิคมอังกฤษมาก่อน

โดยมีขั้นตอนว่ารัฐบาลอังกฤษจะออกวีซ่าชั่วคราวให้ก่อน 1 ปี เรียนได้ ทำงานเต็มเวลาได้ หลังจากนั้นค่อยหาช่องทางไปยื่นขอเป็นพลเมืองอังกฤษได้ในภายหลัง

ข่าวนี้ทางรัฐบาลอังกฤษ โดยนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ออกมายืนยันด้วยตัวเองเมื่อช่วงเดือนมิถุนายน 2020 หลังจากที่มีข่าวว่าจีนได้ประกาศกฎหมายความมั่นคงใหม่บนเกาะฮ่องกง ที่ทางอังกฤษมองว่าผิดข้อตกลงที่จีนจะยอมให้ฮ่องกงปกครองแบบ 1 ประเทศ 2 ระบบ ต่อไปจนถึงปี 2047

ด้วยเงื่อนไขพิเศษของอังกฤษ ที่เปิดโอกาสให้ชาวฮ่องกงสามารถลี้ภัยไปอยู่ที่เกาะอังกฤษได้ จึงทำให้ชาวฮ่องกงที่เคยถือ BN(O) พาสปอร์ต แต่หมดอายุไปแล้ว หรือยังไม่เคยยื่นคำร้องของสถานะ BN(O) มาก่อนเลย แห่ไปต่อคิวที่สถานทูตอังกฤษ เพื่อขอพาสปอร์ต BN(O) กันยาวเหยียด และสร้างความไม่พอใจกับทางการจีนมานานแล้ว จึงมีข่าวว่าจีนอาจทำอะไรสักอย่างเพื่อตอบโต้นโยบายเปิดรับชาวฮ่องกงย้ายถิ่นของอังกฤษ

มาวันนี้ มีข่าวสะพัดมาจากสำนักข่าวใหญ่ในฮ่องกง ว่าทางจีนอาจจะใช้นโยบายที่จะบีบให้ชาวฮ่องกงต้องตัดสินใจเลือกข้างให้ชัดเจนไปเลยว่า หากจะไปอยู่กับอังกฤษก็ต้องทิ้งสิทธิพลเมืองในประเทศ เช่น การสมัครทำงานในหน่วยงานของรัฐ ดำรงสถานะทางการเมือง หรือแม้แต่การไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง

หลังจากที่มีข่าวนี้ออกมา ทางรัฐบาลจีนก็ยังไม่ได้ชี้แจง หรือตอบโต้ใด ๆ แต่ทั้งนี้ สส. ฝ่ายอนุรักษ์ที่โปรปักกิ่ง มีความเห็นว่า เป็นนโยบายที่เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ และพาสปอร์ต BN(O) ก็มีมาตั้งนานแล้วและเป็นสิทธิ์ของชาวฮ่องกงทุกคนที่เกิดก่อนวันที่ 30 มิถุนายน 1997 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายก่อนที่อังกฤษจะคืนเกาะฮ่องกงให้แก่จีนในวันที่ 1 กรกฎาคม 1997 สามารถถือครองได้

ส่วน แครี่ ลัม ผู้บริหารสูงสุดของเกาะฮ่องกงก็ออกมาปฏิเสธว่า ไม่เคยได้รับรายงานเรื่องนี้มาก่อน แต่ก็กล่าวว่าหากพบว่ามีฝ่ายใดที่มีเจตนาเบี่ยงเบนประเด็นจากสิ่งที่เคยตกลงกันไว้ อีกฝ่ายก็จำเป็นต้องออกมาตอบโต้

จากตัวเลขของทางการอังกฤษ เปิดเผยว่าในปี 2020 มีชาวฮ่องกงที่ถือ BN(O) พาสปอร์ตที่ยังใช้การได้จริงอยู่ประมาณ 350,000 เล่ม จากประชากรฮ่องกงผู้ที่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องขอพาสปอร์ตพิเศษชนิดนี้กว่า 2.6 ล้านคน และเชื่อว่าจะมีชาวฮ่องกงนับล้านกลับมาขอ BN(O) พาสปอร์ตเพื่อลี้ภัยหนีไปอยู่อังกฤษ

แต่ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นพาสปอร์ตของพลเมืองอังกฤษ แต่สถานะของพาสปอร์ตนี้ไม่ได้ใกล้เคียงกับพาสปอร์ตของคนอังกฤษจริง ๆ แม้แต่น้อย เพราะให้สิทธิ์ชาวฮ่องกงเดินทางไปพำนักที่อังกฤษได้เพียงชั่วคราวแค่ 6 เดือนเท่านั้น ก่อนที่รัฐบาลของ บอริส จอห์นสัน เพิ่งจะมาขยายระยะเวลาให้เป็น 1 ปี และสามารถทำงานเต็มเวลาได้ ที่จะเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่สามารถยื่นขอเป็นพลเมืองอังกฤษได้ในเวลาต่อมา ซึ่งก็ต้องแล้วแต่คุณสมบัติ และโอกาสของแต่ละบุคคล ไม่ได้การันตีว่าจะได้เป็นพลเมืองทุกคน

แต่ก็มีบางส่วนแย้งว่า นโยบายจำกัดสิทธิ์ชาวฮ่องกงที่ถือ BN(O) พาสปอร์ต มีความละเอียดอ่อน และเป็นเหมือนบทลงโทษถึงกลุ่มคนที่ไม่สมควรได้รับ

เพราะหากมองว่า สำหรับกลุ่มชาวฮ่องกงที่ไม่มีใจจะอยู่ในระบอบของจีนแล้ว เขาคงไม่สนใจ ถ้ามีโอกาสแล้วยังไงก็ไปอยู่แล้ว และนโยบายนี้จะไม่มีผลอันใดเลยกับชาวฮ่องกงย้ายถิ่นเหล่านี้ แต่กับชาวฮ่องกงที่ยังอยู่ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลว่าเลือกแล้วที่จะอยู่ หรือ อยู่เพราะเลือกไม่ได้ก็แล้วแต่ จะกลายเป็นผู้ที่โดนบีบหนักที่สุด ซึ่งก็ดูไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไรเช่นกัน


แหล่งข่าว

https://www.scmp.com/news/hong-kong/politics/article/3117625/national-security-law-beijing-mulling-public-office-ban

https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/china-considers-banning-uk-passport-holders-from-office

https://www.bbc.com/news/uk-politics-53246899

พรรคก้าวไกล ดัน 4 มาตรการกู้ชีพ SMEs – ท่องเที่ยว ยื่นแก้ไข 'พ.ร.ก.ซอฟท์โลน' อุ้มธุรกิจเข้าถึงแหล่งทุน พร้อม ‘สินเชื่อคืนภาษี 10 ปี’ พยุงภาคท่องเที่ยว คลายภาระและความตึงเครียดหลังวิกฤติโควิดระลอกใหม่ระบาด

ที่อาคารรัฐสภา นายวรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ยื่นร่างแก้ไขพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 หรือ พ.ร.ก.ซอฟท์โลน เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร หวังรัฐเร่งเพิ่มมาตรการช่วยผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าถึงแหล่งทุน ผ่อนคลายภาระและความตึงเครียดหลังวิกฤติโควิดระลอกใหม่ระบาด โดยมี นายเเพทย์ สุกิจ อัตโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้รับร่างกฎหมายดังกล่าว

นายวรภพ กล่าวว่า ธุรกิจ SMEs กัดฟันต่อสู้กับวิกฤติมาตั้งแต่ปีก่อน ถึงตอนนี้อ่อนแรงและกำลังจะหมดความหวัง เงินเก็บถูกใช้จนเกือบหมด หลายคนต้องหันไปหมุนเงินกับหนี้นอกระบบ กลายเป็นวังวนหนี้รอบใหม่หรือกำลังจะกลายเป็นอีกปัญหาที่พัวพันเข้ามาอีกในอนาคต สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ SMEs ยังเข้าไม่ถึงมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาล วันนี้ตนเเละพรรคก้าวไกลจึงแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเพื่อขอให้สื่อมวลชนช่วยกันกดดันให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการความช่วยเหลือพี่น้อง SMEs รอบใหม่ที่ตอบโจทย์มากกว่าเดิม รวมถึงเสนอร่างกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหานี้ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติด้วย

นายวรภพ กล่าวต่อไปว่า พรรคก้าวไกลขอให้รัฐบาลพิจารณาใน 2 มาตรการที่จะช่วยเหลือ SMEs ได้จริง มาตรการแรก คือ การแก้ไข พ.ร.ก.ซอฟท์โลน เพราะมาตรการในปัจจุบันล้มเหลวในการช่วยเหลือ จากวงเงิน 500,000 ล้านบาท ตั้งแต่เดือน เม.ย. 63 ผ่านมาแล้ว 9 เดือน สินเชื่ออนุมัติไปเพียง 123,000 ล้านบาท หรือเพียง 25% เท่านั้นเอง หากนับเป็นรายจำนวนคืออนุมัติไปเพียง 74,000 ราย หรือเพียง 2% จาก SMEs 3.1 ล้านราย ทั่วประเทศ จึงสะท้อนว่า ยังมี SMEs อีกจำนวนมากที่เข้าไม่ถึงมาตรการนี้ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้าแม่ขาย ห้างร้านขนาดเล็ก ทั้งนี้ เงื่อนไขของ พ.ร.ก.ซอฟท์โลนไม่ได้จริงใจในการช่วยตั้งแต่แรก โดยกำหนดเงื่อนไขว่าต้องมีสินเชื่อกับธนาคารอยู่ก่อนแล้ว ถึงจะได้รับ วงเงิน ทำให้เกิดการกีดกันผู้ประกอบการจำนวนมากออกไปเพราะไม่เคยกู้เงินกับธนคารมาก่อน

นอกจากนี้ เงื่อนไขที่กำหนดว่า รัฐบาลจะชดเชยให้ธนาคารและให้ระยะเวลาผ่อนชำระคืนภายใน 2 ปี หมายถึงว่า กรอบการจ่ายหนี้มีระยะเวลาสั้น ยอดผ่อนต่อเดือนเพื่อชำระหนี้คืนจะสูงมาก ซึ่งอาจสูงเกินกว่าที่ธุรกิจจะสามารถผ่อนคืนได้ในช่วงวิกฤตแบบนี้ กลายเป็นเงื่อนไขที่ธนาคารปฏิเสธไม่ปล่อยวงเงินมาให้ธุรกิจที่กำลังลำบาก เพราะมองว่ามีความเสี่ยงต่อกการผิดชำระหนี้สูงมาก ส่วนมาตรการของรัฐบาลที่ให้ บสย.(บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม) มาช่วยชดเชย ตามโครงการ PGS Soft Loan Plus เมื่อเดือน ส.ค. 63 เพื่อแก้ปัญหาระยะเวลาผ่อนก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ เพราะได้กำหนดชดเชยความเสียหายเพียง 30% ซึ่งทำให้จากวงเงิน 57,000 ล้านบาท ได้ถูกอนุมัติไปได้เพียง 3,000 ล้านบาทเท่านั้น

“ดอกเบี้ย 2% คือ อีกหนึ่งเงื่อนไขปัญหา เพราะธนาคารไม่มีแรงจูงใจในการปล่อยกู้ให้กับ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตนี้ เพราะส่วนต่างดอกเบี้ยไม่ชดเชยกับความเสี่ยงต่อการเสียหายและดำเนินการของธนาคารเอง SMEs ที่เข้าไม่ถึงหนี้ในระบบจึงก็ต้องไปพึ่งหนี้นอกระบบ เกิดเป็นวงจรหนี้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น รัฐบาลกำลังปล่อยให้ SMEs รายย่อยต้องรับมือกับหนี้นอกระบบตามลำพัง”

นายวรภพ กล่าวระบุถึงข้อเสนอว่า เพื่อคลี่คลายปัญหาที่เกิดขึ้น พรรคก้าวไกลจึงเสนอเป็น ร่างแก้ไข พ.ร.ก.ซอฟท์โลน เพื่อให้เป็นมาตรการที่ช่วยเหลือ SMEs ได้จริง มีสาระสำคัญ 4 ประเด็นคือ

หนึ่งให้ SMEs ที่ไม่เคยมีสินเชื่อกับธนาคารสามารถขอกู้ซอฟท์โลนได้ และกำหนดให้ธนาคารแห่งต้องกันวงเงินสำหรับ SMEs ขนาดเล็ก ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ ธุรกิจที่มีประวัติการจ่ายภาษี เพื่อช่วยเหลือและเยียวยาให้ทั่วถึงมากที่สุด

สอง เพิ่มระยะเวลาผ่อนซอฟท์โลนจาก 2 ปี เป็น 5 ปี เพื่อให้ SMEs สามารถผ่อนชำระต่อเดือนได้น้อยลง และธนาคารมั่นใจได้ว่า ผู้กู้จะสามารถอยู่รอดข้ามวิกฤตนี้และชำระหนี้คืนธนาคารได้

สาม เพิ่มเพดานอัตราดอกเบี้ย จาก 2% เป็น 5% สำหรับผู้กู้ที่มีวงงินสินเชื่อกับธนาคารอยู่แล้ว และเพดานดอกเบี้ย 7.5% สำหรับผู้กู้ที่ไม่มีวงเงินสินเชื่อกับธนาคาร เพื่อให้ SMEs ขนาดเล็ก สามารถเข้าถึงซอฟท์โลนได้มากขึ้น ทั้งนี้ คนทำธุรกิจจะรู้ว่า ดอกเบี้ยไม่ได้เป็นส่วนสำคัญในการขอกู้ สภาพคล่องคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของธุรกิจ ถ้า SMEs เข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบ ก็จะต้องไปพึ่งหนี้นอกระบบที่ดอกเบี้ยสูงกว่ามากอยู่ดี

สี่ เพิ่มอัตราการชดเชยความเสียหายกรณีหนี้เสีย จากเดิม 60 - 70% เป็นไม่เกิน 80% เพื่อให้ธนาคารมั่นใจและกล้าปล่อยกู้ให้กับ SMEs ขนาดเล็ก ธุรกิจที่เดือดร้อน ให้รอดจากวิกฤตนี้ได้มากขึ้น เพราะถ้าเกิดความเสียหาย ธนคารก็จะได้รับเงินชดเชยจากรัฐช่วยเยี่ยวความเสียหายได้

นายวรภพ กล่าวอีกว่าว่า ตนและพรรคก้าวไกล ได้พยายามอภิปรายปัญหานี้ให้รัฐบาลทราบตั้งแต่ เดือน พ.ค. ปีที่แล้ว และคาดหวังว่ารัฐบาลจะรีบเปิดสภาและเลื่อนการพิจารณาร่างแก้ไข พ.ร.ก.ซอฟท์โลนเพื่อช่วยเหลือ SMEs โดยเร็วที่สุด

สำหรับมาตรการที่สอง คือ ขอให้รัฐออกโครงการใหม่ ได้แก่ โครงการสินเชื่อคืนภาษี 10 ปี เพื่อช่วยเหลือ SMEs ที่มีศักยภาพสามารถข้ามวิกฤตได้ทุกราย โดยเฉพาะธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ ธุรกิจท่องเที่ยวที่เข้าไม่ถึงทั้งมาตรการซอฟท์โลนและโครงการสินเชื่อธนาคารรัฐ เพราะธนาคารต่างประเมินความเสี่ยงของธุรกิจในสภาวะวิกฤตนี้ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องช่วยเหลือธุรกิจในยามวิกฤต เพราะพวกเขาคือธุรกิจที่มีศักยภาพ หากเป็นธุรกิจที่มีประวัติจ่ายภาษีมาตลอดก็ต้องทำให้เขาอยู่รอด ก้าวข้ามวิกฤต และกลับมาเป็นกลไกเศรษฐกิจหลักของประเทศหลังวิกฤตได้

“อยากให้มี โครงการสินเชื่อคืนภาษี 10 ปี ให้กับ SMEs โดยกำหนดวงเงินสินเชื่อจากยอดรวมภาษีที่ธุรกิจจายให้รัฐมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งภาษีนิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม และ ภาษีบุคคลธรรมดา ให้เป็นสิทธิของธุรกิจในการขอกู้ได้ทันที ซึ่งเรื่องฐานข้อมูลภาษีมีที่กรมสรรพากรอยู่แล้ว สามารถทำได้รวดเร็ว ทันที และตรงกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเชื่อว่าธนาคารของรัฐทั้ง 7 แห่งมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะช่วยเหลือ SMEs ตามโครงการสินเชื่อ 10 ปี ได้เลย เรื่องนี้จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลรีบนำไปพิจารณาและออกมาตรการมาช่วยเหลือ SMEs โดยเร็วที่สุด”นายวรภพ กล่าว

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (15 มกราคม พ.ศ. 2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 271 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 11,262 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 2 รวมยอดผู้เสียชีวิต 69 ราย รักษาหายเพิ่ม 717 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 7,660 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 3,533 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 271 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จากฟิลิปปินส์ 1 ราย ,ปากีสถาน 1 ราย ,ฮังการี 1 ราย ,สหรัฐอเมริกา 1 ราย ,เยอรมนี 6 ราย ,อียิปต์ 1 ราย ,เช็ก 1 ราย ,เบลเยี่ยม 1 ราย ,ซูดาน 1 ราย ,รัสเซีย 1 ราย ,สวิตเซอร์แลนด์ 1 ราย ,สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย ,คูเวต 1 ราย , ตุรกี 3 ราย

เป็นคนไทย 13 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ จากเมียนมา

ผู้ป่วยรายใหม่จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 81 ราย

ติดเชื้อจากการตรวจคัดกรองเชิงรุก 73 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 174 ราย รักษาหายแล้ว 168 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 426 ราย รักษาหายแล้ว 381 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 8.7 แสน ราย รักษาหายแล้ว 7.11 แสน เสียชีวิต 25,246 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 41 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.48 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.13 แสน ราย เสียชีวิต 578 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.33 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.16 แสน ราย เสียชีวิต 2,912 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.95 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.59 แสน ราย เสียชีวิต 9,739 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 59,029 ราย รักษาหายแล้ว 58,757 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมติดเชื้อ 1,531 ราย รักษาหายแล้ว 1,369 ราย เสียชีวิต 35 ราย

มีข่าวสะพัดในโลกออนไลน์จากแหล่งข่าวกระทรวงการคลังถึง 'เราชนะ' ที่อาจจะเข้ามาเยียวยา ผู้ถือ 'บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ' หรือ 'บัตรคนจน' 14 ล้านคน ให้เฮแบบรับ 2 เด้ง ไม่ต้องลงทะเบียน ก็ได้เงินเข้าอัตโนมัติเดือนละ 4,000 บาท 2 เดือน แต่ดูเหมือนเรื่องนี้ อาจมีพลิก!

เพราะดูเหมือนทางกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดของโครงการ 'เราชนะ' เพื่อเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันที่ 19 มกราคมนี้ ซึ่งเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (12 ม.ค.) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า จะเปิดให้ลงทะเบียนเร็วที่สุดภายในสิ้นเดือนมกราคม และผู้ผ่านการตรวจสอบสิทธิจะได้เงินอย่างช้าสุดน่าจะไม่เกินสัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ ครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มอาชีพอิสระ พ่อค้าแม่ค้า คนขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง โชเฟอร์แท็กซี่ มัคคุเทศก์ คนขายลอตเตอรี่ และเกษตรกร ได้เงินคนละ 3,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน

สรุปแล้วคือต้องรอถึงการประชุมครม.รอบหน้า จึงน่าจะตอบได้ชัดว่าใครได้ ใครอด แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีข่าวสะพัดเล็ดรอดออกมาอีกอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดมีข่าวสะพัดอีกระลอกในโลกออนไลน์ให้คนไทย 'คอตก' กันเป็นแถบ หลังคาดว่าโครงการนี้จะจ่ายจาก 'ฐานอาชีพ' หรือ 'พื้นที่' โดยแนวคิดที่มีการพูดคุยกัน คือ อาจยึดเกณฑ์จากการประกาศพื้นที่ควบคุมสูงสุด 28 จังหวัด ซึ่งใน 28 จังหวัดนี้ ถือว่าครอบคลุมพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญส่วนใหญ่ของประเทศ ทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมได้รับผลกระทบ จึงยังมีการดีเบตกันอยู่ ยังไม่ได้ข้อสรุป แต่จัดเตรียมงบประมาณไว้ 200,000 ล้านบาท

ยิ่งไปกว่านั้นเบื้องต้น เงินที่ให้นี้ อาจเป็นรูปแบบการให้สิทธิผ่านแอปพลิเคชัน แล้วไปทยอยใช้ตามร้านค้าตามจุดต่างๆ เหมือนกับโครงการคนละครึ่ง โดยไม่ต้องจับเงินสด

อย่างไรเสีย ทั้งหมดก็ยังไม่มีการยืนยันใดๆ ออกมาจากปากเจ้ากระทรวงการคลังทั้งสิ้น แต่ถ้าหากอนุมัติเพียงแค่ 28 จังหวัดจริง คงทำให้ผิดหวังกันทั้งประเทศแน่นอน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top