Thursday, 26 June 2025
ค้นหา พบ 49042 ที่เกี่ยวข้อง

โดนอีกหนึ่งราย!! กระสุนสั่งลา จาก ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ที่กำลังจะกลายประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ล่าสุดสั่งแบน ‘Xiaomi’ ค่ายมือถือยักษ์ใหญ่จากจีนเพิ่มอีกหนึ่งราย ตามรอย 'Huawei' และ ‘ZTE’ ที่โดนแบนไปแล้วก่อนหน้านี้

เหตุการณ์นี้เกิดจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของทรัมป์ที่ได้เสนอชื่อ บริษัท จีน 9 แห่งให้ติดบัญชีดำด้านการลงทุน ซึ่งรวมถึง Xiaomi ผู้ผลิตโทรศัพท์สัญชาติจีน โดยสหรัฐกล่าวหาว่าเป็น “บริษัททหารของจีนคอมมิวนิสต์” ที่ดำเนินการไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดทางกฎหมายของมาตรา 1237 ของพระราชบัญญัติการให้อำนาจในการป้องกันประเทศปีงบประมาณ 2542

สหรัฐฯให้คำจำกัดความ “บริษัททหารของจีนคอมมิวนิสต์” เป็น “บุคคลใด ๆ ที่ระบุในสิ่งพิมพ์ของสำนักงานข่าวกรองกลาโหมหมายเลข VP-1920-271-90 ลงวันที่กันยายน 1990 หรือ PC-1921-57- 95 ลงวันที่ตุลาคม 1995 และการปรับปรุงสิ่งตีพิมพ์เหล่านั้นเพื่อวัตถุประสงค์ของส่วนนี้” รวมทั้ง“ บุคคลอื่นใดที่ – (i) เป็นเจ้าของหรือควบคุมโดยกองทัพปลดปล่อยประชาชน และ (ii) มีส่วนร่วมในการให้บริการทางการค้าการผลิตการผลิตหรือการส่งออก”

ทั้งนี้ ยังไม่ชัดเจนว่า Xiaomi เกี่ยวพันกับเงื่อนไขที่ว่าอย่างไร เนื่องจากส่วนใหญ่บริษัทผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค

ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์นักลงทุนชาวอเมริกันจะต้องถอนการถือครองในแต่ละ บริษัท ที่อยู่ในบัญชีดำภายในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 นั่นเป็นเพราะคำสั่งของผู้บริหารที่ลงนามโดยประธานาธิบดีทรัมป์ในเดือนพฤศจิกายนปี 2020 โดยห้ามไม่ให้ชาวอเมริกันลงทุนใน บริษัท ใด ๆ ที่เพิ่มเข้ามา รายการของ DOD บริษัทที่เคยอยู่ในบัญชีดำนี้ ได้แก่ Huawei และ SMIC

สิ่งนี้หมายถึงอนาคตของ Xiaomi อยู่ในความไม่แน่นอนทันที เนื่องจากแม้ว่าจะไม่ใช่การห้ามการค้าทั้งหมด แต่ก็เป็นไปได้ว่า บริษัท ได้รับเงินลงทุนจำนวนมากจาก บริษัท ในสหรัฐฯ ตัวอย่างเช่น Qualcomm Ventures ได้ลงทุนต่อสาธารณะใน Xiaomi ดังนั้น ภายในวันที่ 21 พฤศจิกายน Qualcomm อาจจำเป็นต้องยกเลิกการถือครอง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของ Xiaomi แต่โชคดีสำหรับบริษัทที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน

หาก Xiaomi ถูกจัดให้อยู่ในรายชื่อเอนทิตีของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ (เช่นเดียวกับ Huawei และ DJI ) บริษัทจะถูกห้ามไม่ให้ดำเนินธุรกิจใด ๆ กับ บริษัทที่อยู่ในสหรัฐฯ

นอกจากนี้ บริษัทใดๆ ที่ใช้ฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นในสหรัฐอเมริกาเป็นหลักซึ่งรวมถึงโรงหล่อชิปและ บริษัท ออกแบบชิปจำนวนมากก็จะถูกห้ามการค้ากับ Xiaomi

ตำแหน่งของ Huawei ในรายชื่อเอนทิตีทำให้ความสามารถในการขายสมาร์ทโฟนที่ใช้ Android ในต่างประเทศถูกทำลายเนื่องจากไม่มีใบอนุญาต GMS ตำแหน่งดังกล่าวยังทำให้ความสามารถของ HiSilicon ซึ่งเป็น บริษัท ย่อยของ Huawei เกิดอุปสรรคในการออกแบบชิปที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM รุ่นใหม่

โชคดีสำหรับ Xiaomi พวกเขามีเวลาเตรียมตัวสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดซึ่งยังไม่เกิดขึ้น

“ไม่ว่าในอนาคตจะมีอะไรเกิดขึ้นเรามีแผน B แต่เหนือสิ่งอื่นใดเรากำลังลงทุนอย่างมากในผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์หลายรายในจีน และเราเชื่อว่ากลยุทธ์ทางธุรกิจของเราไม่ควรถูกกำหนดโดยการตัดสินใจของนักการเมือง

จนถึงตอนนี้เราได้เลือกใช้ส่วนประกอบที่ดีที่สุดในผลิตภัณฑ์ของเราและเราจะดำเนินการต่อไปในอนาคต” Abi Go ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ระดับโลกของ Xiaomi กล่าว

แต่ในโชคร้ายยังมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ อาจเป็นไปได้ว่าฝ่ายบริหารของว่าที่ประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ อาจลบ Xiaomi ออกจากบัญชีดำนี้ แม้ว่าจะยังไม่รับประกันข่าวดังกล่าวก็ตาม

นับจากวันนี้ไป เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ของคนที่เป็นสาวก Xiaomi เลยทีเดียว เพราะสมาร์ตโฟน Xiaomi รุ่นใหม่ๆ ก็อาจจะใช้บริการ YouTube, Google Maps ไม่ได้ เหมือนแบบที่ Huawei เป็นอยู่ตอนนี้

กรมสรรพากรต่อเวลาให้อีก 3 ปี กรณี ‘ขยายเวลายื่นแบบและชำระภาษีผ่านออนไลน์ 8 วัน’ นับแต่วันครบกำหนดยื่นแบบแต่ละประเภท เริ่มตั้งแต่ 1 ก.พ.64 ถึง 31 ม.ค. 67 หนุนทำธุรกรรมภาษีที่บ้าน ช่วยลดและป้องกันแพร่ระบาด COVID – 19

นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี(กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กระทรวงการคลังได้ประกาศขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ และชำระภาษีผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตออกไปอีก 8 วัน นับแต่วันพ้นกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีตามที่กฎหมายกำหนด

โดยขยายเวลาต่อไปอีก 3 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2567 เป็นการขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษี การชำระภาษี และการนำส่งภาษีตามประมวลรัษฎากรสำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90 ภ.ง.ด.91 และ ภ.ง.ด.94) ภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50 ภ.ง.ด.51 ภ.ง.ด.52 ภ.ง.ด.54 และ ภ.ง.ด.55) ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.1 ภ.ง.ด.2 ภ.ง.ด.3 และ ภ.ง.ด.53) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30 และ ภ.พ.36) และภาษีธุรกิจเฉพาะ (ภ.ธ.40) ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ที่ www.rd.go.th

ซึ่งจะช่วยให้ผู้เสียภาษีได้รับความสะดวก รวดเร็ว ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษี หรือนำส่งภาษี ยื่นแบบแสดงรายการภาษีผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น และสอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0”

โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “กรมสรรพากรสนับสนุนให้ผู้ประกอบการและประชาชน ใช้บริการทำธุรกรรมภาษีที่บ้าน TAX from Home ในทุกขั้นตอน เพราะง่าย สะดวก ปลอดภัย ไม่ต้องเดินทาง มีการเว้นระยะห่างทางสังคม ช่วยลดและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19)และสำหรับผู้ประกอบการและผู้เสียภาษีที่ยื่นแบบผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ยังได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียม การใช้บริการชำระภาษี หากชำระภาษีผ่าน QR Code หรือช่องทางอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ตามเงื่อนไขของธนาคาร”

จัดหนัก แรมโบ้-สุภรณ์ อัตถาวงศ์ อัด ปิยบุตร แสงกนกกุล เล่นการเมืองไม่เลิก หลังจุดชนวนยกเลิก ม.112 ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊ก เรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 เพราะมีปัญหาในทุกมิติว่า

“ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนายปิยบุตร ในสมองถึงยังคงวนเวียนกับการเรียกร้องให้แก้ไขมาตรา112 เพราะขณะนี้เป็นช่วงที่ประเทศต้องการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาต่างๆ จากสถานการณ์โควิด-19 แทนที่ควรให้หยุดพูดในเรื่องนี้ก่อนและหันมาช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน แต่ในสมองกลับคิดแต่จะวางแผนในเรื่องก้าวล่วงสถาบัน

นายสุภรณ์ กล่าวว่า "การที่นายปิยบุตร ระบุว่าขณะนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว เสียงสนับสนุนให้ยกเลิกมาตรา 112 มีมากกว่าเดิมเยอะ ประชาชนจำนวนมากพร้อมสนับสนุน นั้นก็อยากถามกลับว่า แล้วประชาชนที่ไม่สนับสนุนให้มีการยกเลิกมาตรา112 มีจำนวนมากมากมายมหาศาลเต็มแผ่นดินเช่นเดียวกันนายปิยบุตรก็รู้แก่ใจ ซึ่งตนเองมั่นใจว่ามีมากกว่าหลายเท่า อย่ามาเดาเข้าข้างตัวเองแบบมั่วๆ เอาเอง คนไทยเกือบทั้งแผ่นดินต้องการมีมาตรา112 ให้คงอยู่และต้องการบังคับใช้อย่างเคร่งครัดกับคนที่ฝ่าฝืนกระทำผิดมาตรา112 เอามาลงโทษตามกฎหมายให้ได้เด็ดขาด"

นายสุภรณ์ กล่าวว่า "สถาบันที่เป็นที่เคารพและศูนย์รวมยึดเหนี่ยวจิตใจของคนไทยทั้งประเทศ แต่นายปิยบุตรคิดแต่จะเข้าข้างตัวเองว่ามีคนสนับสนุนจำนวนมาก แต่ไม่สนใจความคิดหรือจิตใจของคนทั้งประเทศ สิ่งที่นายปิยบุตร พูดคือความคิดที่คนไทยอ่านออกว่า เป้าหมายคือการจวบจ้วงก้าวล่วงคิดล้มล้างสถาบัน คนไทยไม่ได้โง่อย่ามาวางแผนคิดทำลายสถาบันเลย คนไทยไม่ยอมแน่นอน"

“และที่นายปิยบุตรบอกว่าไม่ควรมีใครถูกจำคุกเพียงเพราะการใช้เสรีภาพในการแสดงออก และจะปล่อยให้ “อนาคตของชาติ” โดนตั้งข้อหา ดำเนินคดีแบบนี้ต่อไปไม่ได้ นั้น ขอให้นายปิยบุตรกลับไปดูพฤติกรรมของแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมด้วยว่าเป็นอย่างไร และการดูหมิ่นกล่าวให้ร้ายคนอื่นนั้นนายปิยะบุตรถือเป็นเรื่องที่ดีใช่หรือไม่ ทั้งนี้การชุมนุมก็ไม่ได้เป็นไปตามกฎหมายที่มีอยู่

นายสุภรณ์ กล่าวอีกว่า นายปิยบุตรเป็นถึงอาจารย์ แต่กลับทำตัวไม่มีเหตุผล เห็นแก่ตัว เอาแต่ตัวเอง โดยไม่สนใจที่จะฟังเสียงคนอื่น ไม่สนใจในสิทธิและเสรีภาพของคนอื่น คนแบบนี้ตนเองมองว่าไม่เหมาะที่จะเป็นอาจารย์ หรือแม้แต่จะเป็นนักการเมืองที่ถือเป็นผู้แทนของประชาชน "จำไว้ ถ้าอยู่อย่างปกติเหมือนคนทั่วไปมาตรา112 ไม่เคยเดินไปเล่นงานใครก่อน มีแต่นายปิยบุตรและพวกที่เดินมาหามาตรา112 เองต่างหาก กฎหมายจึงต้องบังคับใช้ เป็นเพราะนายปิยบุตรและพวกในหัวสมองในจิตใจ ไม่เคยจงรักภักดีและไม่เคยหวังดีต่อสถาบันกษัตริย์ จึงต้องการยกเลิกมาตรา112 อย่าคิดว่าคนไทยที่รักสถาบันจะโง่ ตามความคิดนายปิยบุตรไม่ทัน และคนไทยที่รักสถาบันปกป้องสถาบันจะไม่มีวันยอมให้ยกเลิกมาตรา112 เด็ดขาด"

วิษณุ ปัดตอบทุกกรณี หลังรถไฟฟ้าฟรีสถานีส่วนต่อขยายสถานีหมอชิต-คูคต และ แบริ่ง-สมุทรปราการ จะสิ้นสุดในวันที่15 ม.ค.และราคาจะกำหนดไปแตะเพดานที่ 158 บาท

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีข่าวว่ารถไฟฟ้าจะให้บริการฟรีในสถานีส่วนต่อขยายสถานีหมอชิต-คูคต และ แบริ่ง-สมุทรปราการ วันที่15 ม.ค.เป็นวันสุดท้าย และราคาจะกำหนดที่ 158 บาท ว่า

เรื่องนี้ไม่รู้และเพิ่งได้ยิน และในวันนี้ที่เชิญตัวแทนฝ่ายต่างๆ ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กทม. สำนักเลขาธิการรัฐมนตรี มาอัพเดตข้อมูลเรื่องรถไฟฟ้า ยังไม่เห็นมีใครพูดเรื่องนี้และเมื่อหารือก็ทราบว่าติดขัดที่ตรงไหน และได้สอบถามแล้วว่ารออะไรในเวลานี้ โดยเรื่องนี้ยังไม่สามารถเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาได้ทันภายในสัปดาห์หน้า เพราะมีข้อติดขัดอยู่ แต่ติดขัดเรื่องอะไรไม่บอกและบอกไม่ได้ ห้ามบอก

ผู้สื่อข่าวถามว่าข้อติดเกี่ยวกับเรื่องราคาค่าโดยสารที่ยังสรุปไม่ได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า อันนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ติดขัดและจะต้องมีการชี้แจง เมื่อถามย้ำว่าต้องให้กระทรวงมหาดไทย พิจารณาหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ใช่ และหน่วยงานที่จะต้องพิจารณาเยอะ แต่ละหน่อยก็ยังไม่ได้ตอบมา โดยสรุปสุดท้ายครม.จะเป็นผู้พิจารณา และคาดว่าเรื่องนี้ยังไม่ได้ความชัดเจนภายในเดือนม.ค.นี้

เมื่อถามว่าราคาค่าโดยสารจะมีการปรับลดหรือเพิ่มอย่างไร นายวิษณุ กล่าวว่า ตอบไม่ถูกในเรื่องนี้ เพราะหน่วยงานยังไม่ได้ตอบอะไรกันมา

‘วิโรจน์’ ก้าวไกล ซัด ‘ราเมศ’ โฆษกปชป. แจ้งความประชาชน ปมใช้รูปชวนในโลกโซเชียลไม่เหมาะสม เเนะออกจากกะลา ปรับตัว เปิดตาสู่โลกโซเชียล ชี้ โฆษกต้องเป็นกลาง ใจกว้าง ย้ำชวน เร่งสั่งราเมศถอนเเจ้งความประชาชน

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่นายราเมศ รัตนเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ไปแจ้งความกับประชาชน ที่ไปตัดต่อภาพของคุณชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร มาทำเป็นมีมหยอกล้อต่างๆ เหตุการณ์เริ่มต้นจากการที่คุณศิริภา อินทวิเชียร รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ทวีตข้อความพร้อมภาพประกอบผ่านทวิตเตอร์ โดยระบุว่า คุณชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กดเครื่องชงกาแฟด้วยตนเอง

โดยประชาชนในโลกโซเชียลมีเดียต่างตั้งคำถามว่าการชงกาแฟกินเอง นั้นเป็นเรื่องพิเศษตรงไหน จนนำไปสู่การตัดต่อภาพของคุณชวนมาทำเป็นมีม (Meme) ในเชิงแซว และหยอกล้อกันแบบหนักบ้าง เบาบ้าง กันเป็นไวรัลในโลกโซเชียลมีเดีย ทั้งทวิตเตอร์ และเฟสบุ๊ค และการทำมีมแซว และหยอกล้อบุคคลสาธารณะ หรือแม้กระทั่งเสียดสี ล้อเลียน และมีการแชร์ต่อๆ กันไป จริงๆ แล้วเป็นเรื่องปกติของโลกปัจจุบัน ที่ชุมชน และการสื่อสารนั้นอยู่บนโลกโซเชียลมีเดีย ซึ่งคนทั่วไป ที่เห็นภาพตัดต่อ ก็ทราบดีอยู่แล้วว่า เป็นการแซว หรือการล้อเลียน ไม่ได้มีใครคิดว่าภาพตัดต่อนั้นเป็นภาพจริง

“เดิมผมไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร เพราะจากการได้มีโอกาสได้พูดคุยกับคุณชวน ผมรู้สึกเสมอว่า คุณชวน เป็นคนใจกว้าง และพร้อมเปิดรับ และปรับตัวเข้ากับโลกยุคใหม่ แต่พอทราบว่า คุณราเมศ รัตนเชวง เลขานุการประธานรัฐสภา และโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ประกาศว่า ได้เดินทางไปยังกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่ตัดต่อภาพคุณชวน หลีกภัย ผมยอมรับว่าตกใจมาก เพราะไม่คิดว่า โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ จะไม่เข้าใจโลกสังคมออนไลน์ และไม่พร้อมปรับตัวเองให้เข้ากับการใช้สิทธิ และเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน ในโลกยุคใหม่ได้ถึงขนาดนี้ และไม่รู้ว่าไปสื่อสารอย่างไรกับคุณชวน จึงทำให้คุณชวน ที่เป็นคนใจกว้าง ถึงกับยอมมอบอำนาจให้กับคุณราเมศ ไปแจ้งความดำเนินคดีกับประชาชน ด้วยเรื่องแค่นี้ “ วิโรจน์ กล่าว

วิโรจน์ กล่าวต่อไปว่า ต้องยอมรับนะครับว่า ในโลกยุคใหม่ ประชาชนส่วนใหญ่ มักจะมีชุมชน และมีการสื่อสาร และแสดงออกถึงทรรศนะของตน ระหว่างกัน ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นปกติอยู่แล้วที่ บุคคลสาธารณะ (Public Figure) จะต้องถูกแซว ถูกเสียดสี ถูกหยอกล้อ ถูกล้อเลียน ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย อย่างกรณีของ บารัค โอบามา หรือ โดนัลด์ ทรัมป์ หรือ โจ ไบเดน ก็มีภาพตัดต่อในเชิงล้อเลียน (ที่เรียกว่า Parody หรือ Irony) ออกมามากมาย แต่ทั้ง โอบามา ทรัมป์ และไบเดน ไม่เคยมีใครแจ้งความดำเนินคดีกับประชาชนเลย เพราะเข้าใจดีว่านี่คือ โลกยุคใหม่ ที่หากต้องการเข้าถึงประชาชน ก็ต้องใจกว้าง และยอมรับการแสดงทรรศนะของประชาชนที่แตกต่างหลากหลาย ผ่านโลกโซเชียลมีเดีย

“ ยิ่งเป็น “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” ที่มีที่มาจากประชาชน ยิ่งควรจะต้องใจกว้างให้มากกว่าบุคคลสาธารณะประเภทอื่น เพราะในเมื่อที่มาของ ส.ส. คือ ประชาชน การไปแจ้งความดำเนินคดีกับประชาชน ที่มาแสดงทรรศนะในเชิงแค่ล้อเลียน เสียดสี ผมมองว่าเป็นอะไรที่ใจแคบมาก และสะท้อนว่า ส.ส. คนดังกล่าว ไม่ได้ปรับตัวให้เข้ากับโลกยุคใหม่เลย”

ในฐานะที่ตนเป็น โฆษกพรรคก้าวไกล ที่มีความเข้าใจในโลกโซเชียลมีเดีย และสังคมออนไลน์ อยู่บ้าง ต้องขออนุญาตแนะนำ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยมิตรภาพว่า ในเมื่อโลกยุคใหม่ ประชาชนส่วนใหญ่ ต่างใช้ชีวิต และมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในสื่อโซเชียลมีเดีย และสังคมออนไลน์ การเปิดใจให้กว้าง รับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่หลากหลายของประชาชน หนักบ้าง เบาบ้าง ผ้านวมนิ่มๆ บ้าง ก้อนหินแข็งๆ บ้าง ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง เป็นสิ่งที่พรรคการเมือง ซึ่งเป็นองค์รกรที่มีความยึดโยงกับประชาชน ต้องปรับตัวให้ได้

ผมเองที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน ก็ถูกภาพมีมตัดต่อ แซวอยู่เป็นระยะๆ แซวเบาๆ บ้าง เสียดสีหนักๆ บ้าง ถูกโจมตีด้วย Hate Speech บ้าง แต่ถ้าติดตามท่าทีของผม ผมจะน้อมรับการวิพากษ์วิจารณ์ และชี้แจงด้วยความสุภาพนอบน้อม โดยไม่เคยคิดที่จะแจ้งความดำเนินคดีใดๆ กับประชาชนเลย เพราะเข้าใจดีว่า ประชาชนเป็นเจ้านายของผม และผมในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่มีที่มาจากประชาชน ต้องพร้อมยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน อะไรที่จริงก็น้อมรับ อะไรที่คลาดเคลื่อนก็ชี้แจงกลับด้วยความสุภาพ ไม่เคยมองประชาชนที่ตำหนิติติงเป็นฝ่ายตรงข้ามเลย วิโรจน์ กล่าว.

ผมคิดว่าในฐานะของการเป็นโฆษกพรรค ที่ต้องเป็นตัวกลางในการเชื่อมระหว่างพรรค และประชาชน จะต้องมีความอดทนอดกลั้น คิดบวกต่อการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน ไม่มองประชาชนที่ตำหนิติติงเป็นศัตรู และไม่ควรตอบโต้ประชาชนด้วยคำพูดท้าทาย เหยียดหยาม ข่มขู่ แบ่งแยก เหมารวม กระทบกระเทียบ ซึ่งนั่นจะยิ่งทำให้พรรคการเมืองเดินหนีจากประชาชนออกไปเรื่อยๆ

และตำเเหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่ได้เป็นตำแหน่งที่เป็นหัวหน้าของประชาชน ไม่ได้เป็นตำแหน่งที่ประชาชนแตะต้องไม่ได้ ในเมื่อเป็นคนที่ประชาชนเลือกมา กินเงินเดือนที่มาจากภาษีของประชาชน จริงๆ ต้องถือว่าเป็น “ลูกน้อง” ของประชาชน ด้วยซ้ำ การที่ ส.ส. ไปแจ้งความประชาชน จริงๆ ถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมมากๆ ยิ่งทำแบบนี้ ยิ่งวางให้ตน และพรรคของตน เป็นฝ่ายตรงข้ามกับประชาชน ยกตัวเองให้ลอยเหนือประชาชน ซึ่งในระยะยาวผมไม่เชื่อว่าจะเป็นผลดีกับพรรคการเมืองที่ทำแบบนี้เลย

“การแจ้งความกับประชาชนในกรณีนี้ ผมเข้าใจว่า เป็นความผิดส่วนบุคคล ที่สามารถถอนการแจ้งความได้ และผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ถ้าคุณชวน หลีกภัย ได้อ่านบทความนี้ของผม จะทราบดีถึงความเคารพของผมที่ต่อคุณชวน ได้เป็นอย่างดี และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คุณชวน ในฐานะที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ จะให้คำแนะนำกับคุณราเมศ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยความเมตตา เพื่อป้องกันไม่ให้คุณราเมศ แสดงท่าทีที่เป็นศัตรูกับประชาชนอีกเลย และพรรคประชาธิปัตย์ ก็ควรปรับตัวให้เข้ากับสังคมในโลกยุคใหม่ได้แล้ว

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คุณชวน จะมอบอำนาจให้คุณราเมศ ไปถอนแจ้งความกับประชาชนในเร็ววันนี้ครับ“ โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top