Thursday, 2 May 2024
WORLD

‘อันโตนิอู กุแตเรซ’ ชี้ ชาวปาเลสไตน์บอบช้ำยาวนาน 56 ปี ต้องทนเห็นแผ่นดิน-บ้านเมือง-เศรษฐกิจ พังยับเยิน สูญสิ้นหนทางแก้ปัญหา

อันโตนิอู กุแตเรซ เลขาธิการสหประชาชาติ แสดงความคิดเห็นแทนชาวปาเลสไตน์ในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ถึงชะตากรรมของชาวปาเลสไตน์ ตลอด 56 ปี ภายใต้การยึดครอง ที่มองไปทางไหนก็ไม่เห็นทางออก…ความฝันที่จะแก้ปัญหาก็สลายหายไปพร้อมกับสงคราม

'อิสราเอล' กดดัน 'เลขาฯ ยูเอ็น' ลาออก ถาม "คุณอาศัยอยู่ในโลกใด?" หลัง 'กุแตเรซ' บอก มีการละเมิด กม.มนุษยชน ชัดเจนในกาซา

(25 ต.ค. 66) นายอันโตนิอู กุแตเรซ เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ว่า การโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม โดยกลุ่มฮามาส ไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ

“ชาวปาเลสไตน์อยู่ภายใต้การยึดครองที่ทำให้พวกเขาหายใจไม่ออกมานานถึง 56 ปี พวกเขาได้เห็นดินแดนของตนถูกทำลายลงอย่างต่อเนื่องจากการตั้งถิ่นฐาน และถูกรบกวนจากความรุนแรง เศรษฐกิจของพวกเขาหยุดชะงัก ผู้คนต้องพลัดถิ่น และบ้านเรือนของพวกเขาต้องพังยับเยิน ความหวังของพวกเขาที่จะหาทางแก้ไขปัญหาทางการเมืองต่อชะตากรรมที่พวกเขาเผชิญก็สลายหายไปแล้วเช่นกัน” กุแตเรซกล่าว

อย่างไรก็ดี กุแตเรซย้ำว่า ความคับข้องใจของชาวปาเลสไตน์ไม่อาจนำมาเป็นเหตุผลสำหรับการโจมตีที่น่าตกใจของฮามาสได้ และการโจมตีที่น่าตกใจเหล่านั้นก็ไม่สามารถเป็นเหตุผลให้มีการลงโทษแบบเหมารวมต่อชาวปาเลสไตน์ได้ด้วยเช่นกัน

เลขาธิการยูเอ็นกล่าวด้วยว่า มีการละเมิดกฎหมายด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซา การคุ้มครองพลเรือนเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการสู้รบใด ๆ

“แต่การปกป้องพลเรือนไม่ได้หมายความถึงการใช้พวกเขาเป็นโล่มนุษย์ ไม่ได้หมายถึงการสั่งให้ผู้คนมากกว่าหนึ่งล้านคนอพยพไปทางใต้ ซึ่งไม่มีที่พักพิง ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำ ไม่มียารักษาโรค และไม่มีเชื้อเพลิง แล้วจึงทิ้งระเบิดใส่ทางตอนใต้ต่อไป” กุแตเรซกล่าว

กุแตเรซกล่าวว่า เขารู้สึกกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมอย่างชัดเจนที่เราได้เห็นในฉนวนกาซา พร้อมกับย้ำให้ชัดเจนว่า ไม่มีฝ่ายใดในการขัดแย้งด้วยอาวุธที่อยู่เหนือกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ อย่างไรก็ดี เขาไม่ได้เอ่ยชื่ออิสราเอลหรือฮามาสแต่อย่างใด

คำกล่าวกุแตเรซได้รับการตอบโต้กลับอย่างดุเดือดจากนายกิลาด เออร์ดาน เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรอิสราเอลประจำยูเอ็น ที่เรียกร้องให้นายกุแตเรซลาออก หลังคำกล่าวที่ว่า การโจมตีของฮามาสไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ

เออร์ดานกล่าวว่า ไม่มีเหตุผลหรือประเด็นใด ๆ ในการที่จะพูดคุยกับพวกที่แสดงความเข้าใจต่อการกระทำอันเลวร้ายที่สุดต่อพลเมืองอิสราเอล ซึ่งไม่ต่างไปจากที่องค์กรก่อการร้ายได้ประกาศไป

เออร์ดานยังโพสต์ข้อความบน X ว่า “ผมขอเรียกร้องให้กุแตเรซลาออกทันที”

ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอลตั้งคำถามกับกุแตเรซว่า “คุณอาศัยอยู่ในโลกใด?”

ลิออร์ ฮายัต โฆษกรัฐบาลอิสราเอลให้สัมภาษณ์ในรายการ The World Tonight ทางสถานีวิทยุ BBC Radio 4 ว่า เนื้อหาคำกล่าวของกุแตเรซเป็นเพียงคำพูดไร้สาระหนึ่งนาทีเกี่ยวกับความโหดร้ายของกลุ่มผู้ก่อการร้ายฮามาส และให้เหตุผลสำหรับการก่อการร้าย

“แทนที่จะยืนเคียงข้างเหยื่อ เขากลับกล่วโทษเหยื่อสำหรับความโหดร้ายที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แทนที่จะยืนขึ้นพร้อมข้อความว่ามันต้องไม่เกิดขึ้นอีก เขากลับพูดกับผู้ก่อการร้ายว่า คุณได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้น เรายอมรับการก่อการร้ายอันโหดร้ายของคุณ เพราะอิสราเอลเป็นฝ่ายที่ต้องถูกตำหนิ” ฮายัตกล่าว

'จีน' สั่งสอบด่วน!! คลิปพนักงานฉี่ใส่ถังเบียร์ชิงเต่า พบเป็นคนนอก ถือเป็นวินาศกรรมร้ายแรงแห่งวงการ

ทางการจีนทนเฉยไม่ไหว สั่งสอบสวนด่วน เหตุคลิปฉาวที่ถ่ายจากภายในโรงงานเบียร์ชิงเต่าของจีน ที่พบพนักงานในเครื่องแบบสีฟ้าปีนขึ้นไปบนกำแพงแล้วฉี่ใส่แทงก์เก็บส่วนผสมที่ใช้ในการผลิตเบียร์ยี่ห้อดัง จนฉาวไปทั่วโลกออนไลน์ของจีน และมียอดวิวทะลุ 10 ล้านครั้งใน Weibo เพียงชั่วข้ามคืน 

สื่อจีนรายงานว่า โรงงานที่ปรากฏในคลิปเชื่อว่าเป็น Tsingtao Brewery No.3 ที่ตั้งอยู่ในเขตผิงตู ของเมืองชิงเต่า มณฑลชานตง ซึ่งเป็นเมืองต้นกำเนิดเบียร์ชื่อดัง

ด้าน Tsingtao Brewery บริษัทเจ้าของเบียร์ได้ออกแถลงการณ์ทันทีหลังพบคลิปที่แพร่กระจายว่อนไปทั่วโลกโซเชียลจีนตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า บริษัทติดตาม สอบสวนเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างเร่งด่วนที่สุด และแจ้งเบาะแสให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียบร้อยแล้ว ซึ่งแทงก์ส่วนผสม และเบียร์ทั้งล็อตที่ผลิตในวันนั้นถูกเก็บ และปิดผนึกแล้วทั้งหมด 

ต่อมามีรายงานว่าได้ควบคุมตัวชายผู้ต้องสงสัยว่าเป็นบุคคลในคลิป ที่อุตริปีนขึ้นไปยืนฉี่ใส่แทงก์เบียร์ พร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดอีกคนที่เป็นคนถ่ายคลิปได้แล้ว เบื้องต้น ยืนยันว่าทั้งคู่ไม่ใช่พนักงานประจำของโรงงานเบียร์ชิงเต่า แต่เป็นพนักงานจากบริษัทภายนอกที่จ้างงานชั่วคราว แต่ได้แอบลักลอบเข้าไปในโรงงานเบียร์ช่วงกลางคืน และกระทำสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นการก่อวินาศกรรมร้ายแรงในอุตสาหกรรมผลิตอาหาร 

'Tsingtao' ถือเป็นแบรนด์ที่ผลิตเบียร์ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศจีน และมียอดการส่งออกเป็นอันดับ 1 ที่กินส่วนแบ่งการตลาดเบียร์ส่งออกของจีนถึง 50% ปัจจุบัน Tsingtao Brewery เป็นโรงงานผลิตเบียร์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก และทำให้ 'เบียร์ชิงเต่า' เป็นภาพลักษณ์ของเบียร์จีนในตลาดโลก 

จากคลิปเหตุฉาวครั้งนี้ สั่นสะเทือนภาพลักษณ์ และ ความเชื่อถือต่อแบรนด์เป็นอย่างมาก จนสื่อนอกขนานนามว่าเป็น 'Pee-gate' หรือ 'คดีฉี่ฉาว' ที่อาจสร้างผลกระทบต่อมูลค่าของบริษัทเบียร์ยักษ์ใหญ่ของจีนอย่างมหาศาล 

ซึ่งคล้ายกับคดีของเครือร้านซูชิเจ้าดังของญี่ปุ่น ที่เคยเกิดกรณีเด็กมัธยมเล่นตลกด้วยการแอบถ่ายคลิปตนเองกำลังเลียขวดซอสโชยุของร้านเผยแพร่ทางออนไลน์ จนสร้างความไม่สบายใจต่อลูกค้าของร้านเป็นวงกว้าง ทำให้แบรนด์ของร้านซูชิเจ้าดังสูญเสียมูลค่าทางการตลาดไม่น้อยกว่า 122 ล้านเหรียญภายในชั่วข้ามวัน จากความคึกคะนองของเด็กเพียงคนเดียว  

แต่ในกรณีของเบียร์ชิงเต่า ดูจะหนักกว่ามาก จนรัฐบาลจีนต้องสั่งให้สอบสวนเป็นกรณีเร่งด่วน ที่ต้องเร่งกู้ภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ให้ยังคงนึกถึงเบียร์จีน นึกถึงชิงเต่า ได้อย่างที่เคยเป็นมา

‘ทีมวิศวกร MIT’ ออกแบบระบบใช้ประโยชน์ ‘พลังงานสุริยะ’  ผลิตเชื้อเพลิงไฮโดรเจนสะอาด แทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล

เมื่อวานนี้ 23 ต.ค. 66 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทีมนักวิจัยของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ในรัฐแมสซาชูเซตส์ของสหรัฐฯ เปิดเผยผลงานการออกแบบใหม่ที่อาจควบคุมและใช้ประโยชน์จากความร้อนของดวงอาทิตย์สูงถึงร้อยละ 40 เพื่อผลิตเชื้อเพลิงไฮโดรเจนสะอาด

ผลการศึกษาที่เผยแพร่ผ่านวารสารโซลาร์ เอ็นเนอร์จี เจอร์นัล (Solar Energy Journal) ระบุว่าทีมวิศวกรของสถาบันฯ ได้ทำการออกแบบระบบที่สามารถผลิตไฮโดรเจนทางอุณหเคมีหรือเคมีความร้อน (thermochemical) จากพลังงานแสงอาทิตย์

ระบบดังกล่าวควบคุมและใช้ประโยชน์จากความร้อนของดวงอาทิตย์เพื่อแยกน้ำโดยตรงและผลิตไฮโดรเจน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสะอาดที่สามารถเป็นพลังงานขับเคลื่อนรถบรรทุก เรือ และเครื่องบินในระยะไกลโดยไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

อนึ่ง ระบบการผลิตไฮโดรเจนแบบดั้งเดิมพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล แต่ระบบใหม่ใช้เพียงพลังงานแสงอาทิตย์เท่านั้น

อาห์เมด โกเนิม อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกลของสถาบันฯ ซึ่งเป็นผู้เขียนผลการศึกษาลำดับแรก เผยว่าไฮโดรเจนถือเป็นเชื้อเพลิงแห่งอนาคต โดยมีความจำเป็นต้องผลิตไฮโดรเจนให้ได้ในต้นทุนที่ถูกและปริมาณมาก

‘นายกฯ อิตาลี’ ประกาศแยกทางสามีสายฟ้าแลบ หลังฝ่ายชายโชว์หื่นออกทีวี ขณะคุยเรื่องเพศกับพิธีกรหญิง

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน่า นายกรัฐมนตรีจอร์เจีย เมโลนีของอิตาลี ประกาศเลิกรากับคู่ครองผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ หลังจากเขาแสดงความเห็นลามกในรายการโทรทัศน์

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเมโลนี วัย 46 ปี ประกาศทางสื่อสังคมออนไลน์เมื่อวันศุกร์ (20 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่นว่า ความสัมพันธ์ของเธอกับนายอันเดรีย จัมบรูโน ที่ดำเนินมาเกือบ 10 ปี ได้ยุติลงแล้ว ขอขอบคุณเขาที่ได้ใช้เวลายอดเยี่ยมร่วมกันมาหลายปี ผ่านพ้นปัญหามาด้วยกัน และให้สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ นั่นคือจีเนวรา บุตรสาววัย 7 ขวบ

ผู้นำอิตาลีประกาศเรื่องนี้ 2 วันหลังจากนายจัมบรูโน วัย 42 ปี ที่ใช้ชีวิตคู่กับเธอโดยไม่ได้แต่งงานกัน แสดงความเห็นลามกและจับของสงวนของตนเองขณะชวนพิธีกรร่วมที่เป็นสตรีคุยเรื่องเพศในช่วงพักโฆษณา ซึ่งยังมีการถ่ายทอดสดทางสื่อสังคมออนไลน์และเว็บไซต์ของรายการ เขาแถลงผ่านตัวแทนในวันศุกร์ว่า ได้ตกลงกับบริษัทผู้ผลิตรายการว่าจะพักการทำหน้าที่พิธีกรหลังเกิดเหตุดังกล่าว

‘ญี่ปุ่น’ เปิดผลสำรวจพบ ‘วัยทำงาน’ 45% นอนน้อยกว่า 6 ชม.ต่อคืน ชี้!! เสี่ยงเป็น ‘ซึมเศร้า’ เร่งหาวิธีร่นเวลาทำงาน-เซฟสภาพจิตใจ

(23 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, โตเกียว รายงานว่า ผลสำรวจจากรัฐบาลญี่ปุ่นเมื่อไม่นานนี้ พบประชาชนที่ทำงานในญี่ปุ่นทั้งหมดร้อยละ 45.5 นอนหลับโดยเฉลี่ยน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน

สมุดปกขาวที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเมื่อต้นเดือนนี้ ระบุว่า ผู้ตอบแบบสอบถามสำรวจร้อยละ 10 เผยว่านอนหลับน้อยกว่า 5 ชั่วโมงต่อคืน ร้อยละ 35.5 นอนหลับคืนละ 5-6 ชั่งโมง และร้อยละ 35.2 นอนหลับคืนละ 6-7 ชั่วโมง

ผลสำรวจพนักงาน 10,000 คน พบราวร้อยละ 70 ของผู้นอนหลับตามปริมาณเวลาอันเหมาะสม ไม่มีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าหรือโรควิตกกังวล ขณะที่สัดส่วนดังกล่าวลดลงต่ำกว่าร้อยละ 40 ในหมู่ผู้นอนหลับน้อยกว่าปริมาณเวลาอันเหมาะสม 3-5 ชั่วโมง

ผลสำรวจจากกระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่น พบร้อยละ 27.4 ของคนทำงานที่นอนหลับน้อยกว่าปริมาณเวลาอันเหมาะสม 4 ชั่วโมง และร้อยละ 38.5 ของคนทำงานที่นอนหลับน้อยกว่าปริมาณเวลาอันเหมาะสม 5 ชั่วโมง มีแนวโน้มป่วยโรคซึมเศร้าหรือโรควิตกกังวลขั้นรุนแรง

กระทรวงฯ เสริมว่า มีความจำเป็นต้องแก้ไขชั่วโมงการทำงานอันยาวนานอย่างยิ่ง และช่วยให้คนงานมีเวลานอนหลับพักผ่อนเพิ่มขึ้น เพื่อพวกเขาสามารถรักษาสภาพจิตใจให้แข็งแรงดีได้

4 เคล็ดลับของคุณแม่แดนอาทิตย์อุทัย ที่ทำให้ ‘ญี่ปุ่น’ มีเด็กที่มีสุขภาพดีที่สุดในโลก

(23 ต.ค. 66) ท่ามกลางวัฒนธรรมการบริโภคอาหารจานด่วน อาหารสำเร็จรูป อาหารแช่แข็งที่อุดมด้วยโซเดียม ไขมัน น้ำตาล สารเคมี อันเป็นสาเหตุให้มีเด็ก และเยาวชนทั่วโลกมีแนวโน้มเป็นโรคอ้วน น้ำหนักเกินมาตรฐาน เสี่ยงต่อการเป็นโรคเจ็บป่วยเรื้อรัง แม้อายุยังน้อยมากขึ้นเรื่อยๆ

ถึงจะเป็นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว สวัสดิการความเป็นอยู่ดี มีอาหารการกินสะดวก สบาย แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่า เด็กๆ ในประเทศเหล่านี้ จะไม่มีปัญหาในการเลือกรับประทานอาหารการที่สมดุลย์ ถูกหลักโภชนาการแต่อย่างใด และดูเหมือนว่า ยิ่งมีอาหารปรุงแต่งให้เลือกสรรมาก เด็กๆ ยิ่งมีปัญหาสุขภาพ และโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

แต่เมื่อมีการสำรวจโภชนาการเด็กขององค์การ ‘UNICEF’ ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าในบรรดา 41 ชาติจากสหภาพยุโรป และ กลุ่มประเทศเศรฐกิจชั้นนำในองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) มีเพียง ‘ญี่ปุ่น’ ประเทศเดียวเท่านั้นที่มีเด็กในอัตราส่วนน้อยกว่า 1 ใน 5 ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน สร้างความแปลกใจให้กับบรรดาพ่อแม่ชาวตะวันตกอย่างมาก ว่าคุณแม่ชาวญี่ปุ่นทำอย่างไร ที่ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นชาติเด็กมีสุขภาพดีที่สุดในโลก

ซึ่งพบว่า พ่อแม่ชาวญี่ปุ่นมีเคล็ดลับเพียง 4 ประการ ในการดูแลลูกที่แตกครอบครัวชาวตะวันตกอื่นๆ

1.) ครอบครัวชาวญี่ปุ่นยึดมั่นวิถีการกินอาหารแนว ‘โชคุอิคุ’
วิถีการรับประทานอาหารแนว ‘โชคุอิคุ’ (食育) คิดค้นโดยนายแพทย์ อิชิสุกะ กาเซ็น เมื่อราวปี 1896 ที่เป็นการสอนหลักด้านโภชนาการของชาวญี่ปุ่น

นายแพทย์อิชิสุกะ ถือเป็นผู้บุกเบิกโภชนาการแนว ‘Macrobiotic diet’ หรือ ‘อาหารมหชีวนะ’ เน้นการบริโภคข้าวเป็นหลัก กับ พืชผักท้องถิ่น พืชทะเล ถั่ว ในสัดส่วนที่สมดุลย์ เหมาะสมต่อร่างกาย ซึ่งในแต่ละมื้อควรประกอบด้วย ข้าวกล้อง 40-60% ผัก 25-30% ถั่ว หรือพืชตระกูลถั่ว 5-10% พืชทะเล หรือสาหร่าย 5-10% และอาหารท้องถิ่นปรุงจากกรรมวิธีธรรมชาติ 5-10% โดยเนื้อสัตว์จะเน้นเป็นปลา หรืออาหารทะเลเป็นส่วนใหญ่

ประกอบกับการจัดวางเซทอาหารแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่า ‘อิชิจู ซันไซ’ (一汁三菜) ที่ต้องประกอบด้วยข้าวสวย 1 ถ้วย ซุปมิโสะ 1 ถ้วย และกับข้าว 3 อย่าง ที่เป็นกับข้าวจานหลัก 1 จาน ที่อาจเป็นปลา ไข่ หรือ เนื้อ กับข้าวจานรอง 1 จาน ที่มักเป็นเต้าหู้ ถั่ว ผักสดท้องถิ่น กับผักดอง 1 ถ้วยเล็ก ใน 1 เซทจะได้สารอาหารครบถ้วนต่อความต้องการของร่างกาย

ซึ่งชาวญี่ปุ่นจริงจังกับการบริโภคอาหารแนว ‘โชคุอิคุ’ อย่างมาก ถึงขั้นตราเป็นกฎหมายพื้นฐานที่ต้องมีหลักสูตรการสอนโภชนาการแนวญี่ปุ่นในระดับโรงเรียน รวมถึงการปรุงอาหาร ถนอมอาหาร และการเพาะปลูกพืชผักท้องถิ่น ให้กับนักเรียนด้วย ที่ทำให้วิถีการกินอยู่แบบญี่ปุ่น ที่เน้นความสมดุลย์ของสารอาหาร จากวัตถุดิบท้องถิ่นถูกปลูกฝังให้แก่เยาวชนของญี่ปุ่นมานานหลายสิบปี จึงส่งผลดีต่อค่าเฉลี่ยสุขภาพของเด็ก และ เยาวชนในประเทศญี่ปุ่น

2.) ส่งเสริมค่านิยมการทำอาหารกินเอง
95% ของโรงเรียนประถม และมัธยมในญี่ปุ่นมีระบบอาหารกลางวันที่ทำขึ้นเองในโรงเรียน ที่มีการคิดเมนูที่คำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารแต่ละมื้อ โดยนักโภชนาการอย่างรอบคอบ อีกทั้ง ยังส่งเสริมให้นักเรียนญี่ปุ่นมีส่วนร่วมในการทำอาหาร มีการผลัดเวรทำหน้าที่บริการเสิร์ฟ แจกอาหารให้กับเพื่อนร่วมชั้น

แต่ถ้าเป็นเด็กเล็กระดับชั้นอนุบาล ผู้ปกครองญี่ปุ่นมักเตรียมข้าวกล่อง ที่เรียกกว่า ‘เบนโตะ’ ให้เด็กไปโรงเรียน ซึ่งครูมักให้เด็กๆ รวมกลุ่มรับประทานข้าวกล่องที่เตรียมมาร่วมกัน มีการพูดคุยเกี่ยวกับข้าวกล่องของนักเรียนแต่ละคน และมีการแลกเปลี่ยน แบ่งปันกับข้าวกับเพื่อน ที่ส่งเสริมวัฒนธรรมการกินอาหารที่ทำเองของชาวญี่ปุ่นที่ให้ประโยชน์ และความสดใหม่มากกว่าอาหารสำเร็จรูป

3.) ชาวญี่ปุ่นวางแผน และเตรียมอาหารล่วงหน้า
ครอบครัวชาวญี่ปุ่นนิยมเตรียมวัตถุดิบเพื่อประกอบอาหารไว้ล่วงหน้า เพื่อความสะดวก รวดเร็วในการอาหารให้กับสมาชิกในบ้าน ทั้งผักดอง ผักสด ผลไม้ โปรตีน ที่เตรียมไว้โดยคำนึงถึงคุณค่าโภชนาการแบบ ‘โชคุอิคุ’ เช่นกัน อีกทั้งในบางโรงเรียนยังมีกฏ ห้ามจำหน่ายขนมขบเคี้ยวที่มีไขมัน น้ำตาลสูง หรือคาเฟอีน เช่น มันฝรั่งทอด คุกกี้ กาแฟ ภายในโรงเรียนด้วย เป็นการจำกัดโอกาสการรับประทานขนมขบเคี้ยวที่ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพของเด็ก

4.) ชาวญี่ปุ่นนิยมดื่มน้ำ หรือน้ำชา มากกว่าน้ำอัดลม
นี่อาจเป็นนิสัยการกินดื่มที่ดีอย่างหนึ่งของชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ที่เลือกดื่มน้ำเปล่า น้ำแร่ หรือ ชา มากกว่าน้ำอัดลมที่มีปริมาณน้ำตาลสูง และเมื่อคนในครอบครัวไม่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำในบ้าน เด็กญี่ปุ่นก็มีแนวโน้มสูงที่จะไม่ดื่มน้ำอัดลมตามผู้ปกครองเช่นกัน ซึ่งช่วยลดโอกาสการบริโภคน้ำตาลจากเครื่องดื่มรสหวาน หรือน้ำอัดลมมากเกินไป ที่จะเปลี่ยนเป็นพลังงานแคลอรีส่วนเกินในร่างกาย ที่เป็นสาเหตุของ ‘โรคอ้วน’ นั่นเอง

และนี่ก็คือเคล็ดลับ 4 ประการของครอบครัวชาวญี่ปุ่น จากการบริโภคอาหารตามหลักโภชนาการวิถีญี่ปุ่น ที่นอกจากจะทำให้เด็กๆมีสุขภาพดีแล้ว ยังเป็นส่วนสำคัญให้ชาวญีปุ่นมีค่าเฉลี่ยอายุที่แข็งแรง และยืนยาวจนชาวตะวันตกต้องทึ่งกันนั่นเอง 

‘มะกัน’ จ่อส่งระบบ THAAD-ขีปนาวุธแพทริออตเพิ่มในตะวันออกกลาง เพื่อตอบโต้ท่าที ‘อิหร่าน’ หลังสถานการณ์เริ่มทวีความตึงเครียดต่อเนื่อง

(23 ต.ค. 66) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาเตรียมที่จะส่งระบบต่อต้านมิสไซล์เพดานบินสูง (THAAD) และระบบป้องกันภัยทางอากาศแพทริออตเพิ่มเติมไปยังภูมิภาคตะวันออกกลาง ตามรายงานของกระทรวงกลาโหมสหรัฐเมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อเป็นการตอบโต้ต่อการโจมตีใส่กองทัพสหรัฐฯ ในตะวันออกกลางในช่วงที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้มีการส่งเรือบรรทุกอากาศยาน 2 ลำพร้อมเรือสนับสนุน และทหารเรือราว 2,000 คนไปในภูมิภาคตะวันออกกลางในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา และกำลังจับตาความเคลื่อนไหวของกลุ่มที่อิหร่านให้การหนุนหลัง ขณะที่ความตึงเครียดในภูมิภาคดังกล่าวได้พุ่งสูงขึ้น เนื่องจากสงครามระหว่างอิสราเอล-กลุ่มฮามาส

นายลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ระบุในแถลงการณ์ว่า “หลังมีการหารือกันอย่างละเอียดกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำของสหรัฐฯ ถึงท่าทีที่ยั่วยุของอิหร่านในช่วงที่ผ่านมา และกองกำลังตัวแทนของอิหร่านทั่วภูมิภาคตะวันออกกลาง วันนี้ผมได้กำหนดขั้นตอนเพิ่มเติมหลายขั้นตอนเพื่อเสริมท่าทีของกระทรวงกลาโหมในภูมิภาคดังกล่าว”

นอกจากระบบ THAAD และขีปนาวุธแพทริออตแล้ว อาจมีการส่งทหารเข้าไปในภูมิภาคตะวันออกกลางเพิ่มเติมอีกด้วย โดยไม่ได้มีการระบุตัวเลขจำนวนทหารที่แน่ชัด

“ขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนความพยายามในการป้องปรามในภูมิภาค เพิ่มการป้องกันสำหรับกองกำลังของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง และช่วยเหลือการป้องกันตนเองของอิสราเอล” นายออสตินกล่าว

โดยคำสั่งดังกล่าวมีขึ้น 2 ปีหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ถอนระบบป้องกันภัยทางอากาศออกจากภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยให้เหตุผลว่า ความตึงเครียดกับอิหร่านได้คลี่คลายลงแล้ว

อย่างไรก็ดี การโจมตีใส่กองทัพสหรัฐฯ ในประเทศอิรักและซีเรียได้เพิ่มสูงขึ้นหลังสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธฮามาสได้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เรือรบของสหรัฐฯ ได้ยิงโดรนหลายลำและขีปนาวุธร่อน 4 ลูกที่ยิงมาจากที่ตั้งของกลุ่มกบฏฮูตีในประเทศเยเมน

‘นักวิทย์ฯ จีน’ ผุดวัสดุก่อสร้างแบบใหม่ แรงบันดาลใจจาก ‘หนอนทะเล’ ช่วยประหยัดพลังงาน-ปล่อยคาร์บอนต่ำ-ลดมลพิษในภาคการก่อสร้าง

(22 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานว่า คณะนักวิทยาศาสตร์ของจีนได้พัฒนาวัสดุก่อสร้างแบบใหม่ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากหนอนทะเล โดยมีศักยภาพประหยัดพลังงานและลดการปล่อยก๊าซมลพิษในภาคการก่อสร้าง

‘หวังซู่เทา’ ผู้ร่วมเขียนผลการศึกษาและนักวิจัยประจำสถาบันเทคนิคฟิสิกส์และเคมี (TIPC) สังกัดสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์แห่งชาติจีน กล่าวว่าวัสดุก่อสร้างจากซีเมนต์แบบดั้งเดิมใช้พลังงานมากในการผลิต ขณะเดียวกันก่อเกิดการปล่อยคาร์บอนมาก การพัฒนาวัสดุใหม่นี้จึงมีนัยสำคัญ

คณะนักวิจัยสังเกตเห็นว่าหนอนทะเลอย่าง ‘หนอนปราสาททราย’ (Sandcastle worm) สร้างรังอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สามารถเชื่อมเม็ดทรายหรือเศษเปลือกหอยเข้าด้วยกันโดยใช้สารยึดติดที่หลั่งออกมาจากข้างในตัวมาก่อสร้างอาณาจักรปราสาททรายของตัวเอง

ทั้งนี้ คณะนักวิจัยพัฒนาวัสดุก่อสร้างแบบใหม่โดยใช้ประโยชน์จากสารยึดติดธรรมชาติอันมีแรงบันดาลใจมาจากหนอนทะเลดังกล่าว โดยวัสดุใหม่นี้ผลิตได้ในอุณหภูมิและความกดอากาศต่ำ สามารถประยุกต์ใช้กับทรายจากทะเลทราย ทรายทะเล ตะกรันคอนกรีต ขี้เถ้าถ่านหิน และกากแร่ธาตุ

วัสดุใหม่นี้มีประสิทธิภาพเชิงกลที่ดี ความสามารถรีไซเคิล รวมถึงคุณสมบัติต้านทานการผุกร่อนและความสามารถปรับขนาด โดยหวังกล่าวว่าประสิทธิภาพอันรอบด้านเหล่านี้อาจช่วยให้วัสดุใหม่กลายเป็นวัสดุก่อสร้างที่น่าสนใจในการก่อสร้างแบบปล่อยคาร์บอนต่ำรุ่นใหม่

อนึ่ง คณะนักวิจัยได้เผยแพร่ผลการวิจัยผ่านวารสารแมตเตอร์ (Matter) เมื่อไม่นานนี้

‘ฟินแลนด์’ เร่งสอบสวนเรือขนส่ง ‘จีน-รัสเซีย’ หลังเกิดเหตุวินาศกรรม ทำ ‘ท่อก๊าซรั่ว-สายเคเบิลใต้ทะเลฟินแลนด์-เอสโตเนีย’ เสียหายหนัก

เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 66 ‘สำนักงานสอบสวนแห่งชาติ’ ของฟินแลนด์ เดินหน้าคดีสืบสวนหาต้นต่อ การก่อวินาศกรรมท่อส่งก๊าซใต้ทะเล Baltic Connector Gas Pipeline ในบริเวณอ่าวฟินแลนด์ จนทำให้ก๊าซรั่วจนต้องปิดท่อก๊าซชั่วคราว ซึ่งในบริเวณใกล้เคียงกัน ยังพบว่า สายเคเบิลสื่อสารใต้ทะเลได้รับความเสียหายด้วย

ถึงแม้ว่าเบื้องต้นจะไม่พบร่องรอยความเสียหายที่เกิดจากการใช้ระเบิด แต่เกิดจากการใช้กำลังเครื่องยนต์อื่น และยังพบวัตถุที่มีน้ำหนักมากตกอยู่ใกล้จุดที่เสียหาย จมฝังอยู่ใต้พื้นทะเล   ทางการฟินแลนด์จึงใช้คำว่า “มีการก่อวินาศกรรม” ท่อก๊าซ และ สายเคเบิลสื่อสาร จนได้รับความเสียหายมากที่ต้องใช้ระยะเวลานานหลายเดือนในการซ่อมแซม

เหตุเกิดขึ้นเมื่อช่วงราวๆ ตี 1 ของวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมาเมื่อ สถาบันตัวจับแผ่นดินไหวของนอร์เวย์ พบแรงสั่นสะเทือนใต้ทะเลบริเวณทะเลบอลติก ในเขตน่านน้ำเขตเศรษฐกิจพิเศษของฟินแลนด์ถึง 2 จุด แต่แรงสั่นสะเทือนดังกล่าวยังถือว่าเบากว่าเหตุระเบิดท่อส่งก๊าซ Nord Stream ของรัสเซียเมื่อปี 2022 มาก

เมื่อทางการฟินแลนด์เข้าไปสำรวจ พบว่า ท่อส่งก๊าซ Baltic Connector เกิดรอยรั่ว รวมถึงสายเคเบิลสื่อสารใต้ทะเลในพื้นที่ใกล้เคียงก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน

ลำพังแค่ท่อส่งก๊าซเสียหายก็เรื่องใหญ่แล้ว แต่พอมีกรณีสายเคเบิลใต้ทะเลที่เชื่อมต่อระหว่าง ‘ฟินแลนด์’ กับ ‘เอสโตเนีย’ ถูกทำลายในลักษะเดียวกันด้วย ซึ่งสายเคเบิลส่วนที่เสียหายอยู่ในเขตของเอสโตเนีย ที่บริษัทของสวีเดนเป็นเข้าของความโกลาหลจึงยังจบง่ายๆ เมื่อประเทศผู้เสียหายมีทั้งที่เป็นสมาชิก และเกือบจะเป็นสมาชิก NATO จึงทำให้ถูกมองว่าน่าจะเป็นการก่อวินาศกรรม เพื่อขัดขวางการสื่อสารภายในระหว่างเอสโตเนีย สวีเดน ฟินแลนด์ หรือกับชาติสมาชิก NATO อื่นๆ

ด้าน ‘พอล โจนสัน’ รัฐมนตรีกลาโหมสวีเดนออกมากล่าวว่า มีการระดมทีมจากกองทัพ ตำรวจ และ หน่วยตระเวณชายฝั่ง ประสานงานกับทางเอสโตเนียเพื่อสืบสวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ และมองว่าเป็น ‘คดีด้านความมั่นคงที่เกี่ยวกับการบ่อนทำลายโครงสร้างพื้นฐานของชาติ’ จึงต้องให้ความสำคัญอย่างมากเป็นอันดับต้นๆ

ตามมาด้วย ‘เยนส์ สโทเทนเบิร์ก’ เลขาธิการ NATO ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่าน X ว่า ได้พูดคุยกับนายเซาลี นีนิสเตอ ผู้นำฟินแลนด์ถึงความเสียหายของโครงสร้างพื้นฐานใต้ทะเลของทั้งฟินแลนด์ และเอสโตเนียแล้ว ทาง NATO พร้อมร่วมแชร์ข้อมูล และให้การสนับสนุนพันธมิตรของเราอย่างเต็มที่ จึงกลายเป็นคดีที่มีหลายชาติ พัลวัน พัลเก เต็มไปหมด

โดยคดีท่อส่งก๊าซเป็นเขตของฟินแลนด์ จึงเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลเฮลซิงกิในการสืบสวน และต่อมาได้เปิดเผยว่า มีเรือต้องสงสัย 2 ลำ ที่อยู่ใกล้บริเวณจุดเกิดเหตุ ในช่วงเวลานั้น ก็คือ ‘เรือขนส่งพลังงานนิวเคลียร์ Sevmorput’ ของรัสเซีย และ ‘เรือขนส่งจีน Newnew Polar Bear’

แต่ถึงจะมีเรื่อลำอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียงด้วย แต่ตอนนี้ ทีมสืบสวนขอโฟกัสแค่ 2 ลำนี้ เพราะคดีนี้ ถูกมองในมุมมองของ NATO เรียบร้อยแล้ว ก็เหลือแค่เรือจาก 2 สัญชาตินี้เท่านั้นที่น่าสงสัยที่สุด

จากข้อมูลเดินเรือ พบว่าเรือทั้ง 2 ลำกำลังมุ่งหน้าไปเทียบฝั่งที่ท่าเรือเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก โดยเรือของจีนตามหลังเรือของรัสเซียอยู่เล็กน้อย ขณะผ่านใกล้จุดเกิดเหตุ

ด้านรัฐมนตรีต่างประเทศฟินแลนด์ ได้ประสานผ่านช่องทางการทูตถึงรัฐบาลจีน และรัสเซีย เพื่อบอกให้รู้ว่าฟินแลนด์จะต้องสืบสวนเส้นทางของเรือทั้ง 2 สัญชาตินี้แล้ว ซึ่ง ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ ผู้นำรัสเซียออกมากล่าวว่า เป็นข้อกล่าวหาที่ไร้สาระมาก แค่มีเรือบรรทุกน้ำมันรัสเซียลอยอยู่แถวนั้น เป็นผู้ต้องสงสัยแล้วหรือ

แต่มาวันนี้ มีรายงานเพิ่มเติมจากฟินแลนด์ว่า น่าจะโฟกัสที่เรือ Newnew Polar Bear ของจีนมากกว่า เพราะลอยอยู่ใกล้จุดที่เกิดเหตุ ในช่วงเวลาเดียวกันมากกว่าเรือของรัสเซีย
ซึ่ง Newnew Polar Bear ปักธงฮ่องกงในการเดินทางก็จริง แต่บริษัทของจีนแผ่นดินใหญ่เป็นเจ้าของชื่อ ‘Hainan Xin Xin Yang Shipping’

แต่ทางการฟินแลนด์ และเอสโตเนีย ยอมรับว่าคดีนี้มีความอ่อนไหวทางการเมือง และการทูตอย่างมาก จึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก เมื่อต้องแถลงข้อมูลออกสื่อ ถ้าไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนจริงๆ

เพราะเดี๋ยวจะเหมือนกรณีข้อพิพาท ‘อินเดีย-แคนาดา’ ที่ตอนนี้ยังมองหน้ากันไม่ติด กลายเป็นวิกฤติการทูตที่ใช้เวลาซ่อมนานยิ่งกว่าท่อส่งก๊าซใต้ทะเลบอลติกเสียอีก

เปิดแผน ‘อิสราเอล’ หลังสู้รบจบ จะปิดกั้นจุดผ่านแดนทั้งหมด  พร้อม ‘ตัดแหล่งรายได้-สร้างความมั่นคงใหม่’ ในฉนวนกาซา

(22 ต.ค. 66) ‘อาวี ดิชเตอร์’ รัฐมนตรีเกตรกรรมของอิสราเอล แถลงว่าอิสราเอลจะบังคับใช้เขตกันชนในฉนวนกาซา เมื่อสงครามสิ้นสุดลง โดยจะตัด ‘สายสะดือ’ (Umbilical cord) ที่หล่อเลี้ยงฉนวนกาซา เพื่อสร้าง ‘ความมั่นคงที่แท้จริงใหม่’ (New security reality) และจะปิดจุดผ่านแดนทั้งหมด หลังจากฮามาสถูกถอนรากถอนโคนในปฏิบัติการบุกภาคพื้นดิน

ดิชเตอร์ บอกด้วยว่า ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ที่โครงสร้างพื้นฐานด้านความมั่นคงชายแดนส่วนใหญ่ของอิสราเอล อยู่ห่างจากดินแดนของอิสราเอลหลายร้อยเมตร ไม่สามารถแก้ไขได้อีกต่อไป

“ไม่ใช่ว่าคุณจะเริ่มตั้งเขตกันชนในฉนวนกาซาก่อน แต่คุณต้องเริ่มจากฝั่งอิสราเอลก่อนในพื้นที่ 50-100 เมตร เรารู้ว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้เป็นข้อผิดพลาด ที่ต้องได้รับการแก้ไข” ดิชเตอร์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม การตั้งเขตกันชน ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเคยถูกพูดถึงมาแล้วโดย ‘เอลี โคเฮน’ รัฐมนตรีต่างประเทศ ที่บอกว่า “เมื่อสิ้นสุดสงครามนี้ กลุ่มฮามาสจะไม่เพียงแต่ไม่อยู่ในฉนวนกาซาอีกต่อไป แต่ดินแดนของฉนวนกาซาจะลดลงด้วย”

ปัจจุบัน ปราการที่กั้นระหว่างอิสราเอลกับฉนวนกาซา คือ รั้วอัจริยะยาว 100 หลา สนับสนุนโดยเรดาร์และเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว รากฐานของรั้วคอนกรีตที่อยู่ใต้ดินนั้นลึกมาก เพื่อป้องกันการขุดอุโมงค์ลอดเข้าไปและหอสังเกตการณ์ ซึ่งรั้วอัจริยะถูกสร้างหลังปี 2559 และเสร็จเมื่อปี 2564

แต่เมื่อวันที่ 7 ต.ค. กลุ่มติดอาวุธของฮามาส ได้บุกจากกาซาเจาะทะลุผ่านรั้วเข้าไปในพรมแดนอิราเอล และกระจายกำลังเข้าไล่ล่าสังหารพลเรือนและทหาร ซึ่งเหตุการณ์สะเทือนขวัญในครั้งนั้น ทำให้รัฐมนตรีเกษตรกรรมของอิสราเอลประกาศว่า ต่อไปจะไม่อนุญาตให้คนที่กาซาเข้าใกล้รั้วได้อีกต่อไป ที่ถือเป็นการบีบฉนวนกาซาอย่างมีประสิทธิภาพ

ในความเป็นจริง อิสราเอลได้ตั้งเขตกันชนในฉนวนกาซา หลังถอนกำลังออกเมื่อปี 2548 ทำให้แนวกั้นนี้ถูกกัดเซาะนับตั้งแต่นั้น ส่วนหนึ่งมาจากการเจรจาทางอ้อมระหว่างอิสราเอลกับฮามาส เพื่อบรรเทาการปิดล้อมฉนวนกาซาที่มีชาวปาเลสไตน์อาศัยอยู่ 2.3 ล้านคน ซึ่งดิชเตอร์ บอกว่า จะต้องมีการตัดสินใจเกี่ยวกับความกว้างของเขตกันชนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

“เราจะทำสิ่งเหล่านี้ ตามพื้นที่ ตามความต้องการของกองทัพ ตามระยะห่างของกองทัพอิสราเอล หรือการตั้งถิ่นฐานของชาวอิสราเอล” ดิชเตอร์ ระบุ

‘โมฮาเหม็ด ซาลาห์’ ดาวเตะลิเวอร์พูล วอนเหล่าผู้นำโลกเห็นแก่สันติภาพ เร่งช่วยเหลือคนในฉนวนกาซา ลั่น!! ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ควรได้รับการปกป้อง

เมื่อไม่นานนี้ ‘มุฮัมมัด เศาะลาห์ ฮามิด มะห์รูส ฆอลี’ หรือ ‘โมฮาเหม็ด ซาลาห์’ เป็นนักฟุตบอลชาวอียิปต์ ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งกองหน้าให้แก่ลิเวอร์พูลสโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ และทีมชาติอียิปต์ ได้โพสต์คลิปวิดีโอออกมาเรียกร้องให้เหล่าผู้นำของโลกส่งความช่วยเหลือไปยังผู้คนในฉนวนกาซาโดยด่วน

ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาเกิดการสู้รบกันอย่างหนักระหว่าง ‘อิสราเอล’ กับ ‘กลุ่มฮามาส’ ซึ่งเป็นกลุ่มกองกำลังติดอาวุธในปาเลสไตน์ จนทำให้มียอดผู้เสียชีวิตหลายคนจากทั้ง 2 ฝ่าย ขณะที่สิ่งก่อสร้างของทั้ง 2 ฝั่งก็ได้รับความเสียหายอย่างมากเช่นกัน

ทั้งนี้ ไม่นานมานี้มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นที่โรงพยาบาลอัล-อะห์ลี อัล-อาระบี แบปทิสต์ ในฉนวนกาซาจนทำให้เป็นที่เชื่อกันว่ามีผู้เสียชีวิตถึง 500 คน ซึ่งฝั่งปาเลสไตน์ อ้างว่าเป็นฝีมือของอิสราเอล ขณะที่อิสราเอล อ้างว่ามันเกิดความผิดพลาดจากฝั่งปาเลสไตน์เอง โดยเรื่องดังกล่าวทำให้สถานการณ์โดยรวมบานปลายขึ้นไปอีก

ซาลาห์ พูดผ่านคลิปที่เขาโพสต์ลงโซเชียลมีเดียของตัวเองว่า “มันไม่เคยเป็นเรื่องง่ายกับการออกมาพูดในเวลาแบบนี้ แต่ทุกวันนี้มันมีความรุนแรงและความอำมหิตมากเกินไป สถานการณ์ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่ทนดูไม่ได้ ทุกชีวิตต่างก็มีค่าและควรจะต้องได้รับการปกป้อง”

“มันจำเป็นต้องมีการหยุดการสังหารหมู่ และการทำให้ครอบครัวต้องถูกแยกห่างออกจากกันได้แล้ว สิ่งที่ชัดเจนในตอนนี้ก็คือ มันควรจะต้องอนุญาตให้มีการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยชาติไปยังฉนวนกาซาในทันที ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นกำลังเจอกับสถานการณ์ที่เลวร้าย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับโรงพยาบาลเมื่อคืนนี้มันเป็นภาพที่น่าสยดสยองอย่างมาก”

“ผู้คนในฉนวนกาซาต้องการอาหาร, น้ำ และอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างเร่งด่วน ผมขอเรียกร้องให้เหล่าผู้นำของโลกรวมพลังกัน และช่วยกันหยุดยั้งการเข่นฆ่าวิญญาณอันบริสุทธิ์ มนุษยชาติต้องได้รับชัยชนะ”

‘เจ้าชายซาอุฯ’ ประณาม ‘ฮามาส-อิสราเอล’ ล้วนเข่นฆ่าพลเรือน พร้อมย้ำ!! สงครามครั้งนี้ไม่มีวีรบุรุษ มีแต่ประชาชนที่เป็น ‘เหยื่อ’

(21 ต.ค.66) สื่อต่างประเทศรายงานว่า เจ้าชายตุรกี อัล-ไฟซอล (Prince Turki al-Faisal) สมาชิกราชวงศ์ชั้นสูงของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นทั้งรัฐบุรุษและนักการทูตที่ได้รับการยกย่อง ทรงออกมาประณามทั้งฮามาสและอิสราเอลว่าต่างเข่นฆ่าชีวิตพลเรือนด้วยกันทั้งสิ้น พร้อมย้ำว่าสงครามครั้งนี้ไม่มีวีรบุรุษ มีแต่ประชาชนที่เป็น ‘เหยื่อ’

ความเห็นของเจ้าชายตุรกี อัล-ไฟซอล เกี่ยวกับสงครามยิว-ฮามาสถือว่าเป็นคำพูดที่ตรงไปตรงมาที่สุดจากสมาชิกราชวงศ์ซาอุฯ และอาจเป็นตัวบ่งชี้ว่าบรรดาผู้นำริยาดคิดเห็นอย่างไรกับวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง

ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยไรซ์ (Rice University) ในนครฮิวสตันของสหรัฐฯ เจ้าชายตุรกีตรัสว่าการกระทำของกลุ่มฮามาสขัดต่อกฎของอิสลามที่ห้ามทำร้ายพลเรือนผู้บริสุทธิ์ และผู้คนที่ถูกฮามาสสังหารหรือจับไปเป็นตัวประกันก็คือพลเรือนแทบทั้งนั้น

อย่างไรก็ตาม เจ้าชายซึ่งทรงเป็นทั้งอดีตนักการทูตและหัวหน้าหน่วยข่าวกรองที่มีความสุขุมลุ่มลึก ก็ทรงประณามฝ่ายอิสราเอลเช่นกันว่า “ทิ้งระเบิดใส่พลเรือนปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาแบบไม่เลือกหน้า อีกทั้งยังจับกุมพลเรือนทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กๆ ในเขตเวสต์แบงก์โดยไม่มีการแยกแยะ”

เจ้าชายตุรกียังทรงอ้างถึงวลี ‘การโจมตีที่ปราศจากการยั่วยุ’ (unprovoked attack) ที่สื่ออเมริกันชอบใช้เมื่อจะอ้างถึงการโจมตีของฮามาสเมื่อวันที่ 7 ต.ค. โดยทรงตั้งคำถามว่า “สิ่งที่อิสราเอลได้กระทำต่อชาวปาเลสไตน์มา 75 ปี ยังต้องการการยั่วยุอะไรมากไปกว่านี้อีกหรือ?”

พระองค์ทรงย้ำว่า “ประชาชนที่ถูกกดขี่ยึดครองด้วยอำนาจทางทหาร ย่อมมีสิทธิ์ที่จะต่อต้านการยึดครอง” เจ้าชายยังทรงประณามพวกนักการเมืองตะวันตกที่ “ร่ำไห้เมื่อเห็นคนอิสราเอลถูกฆ่าโดยชาวปาเลสไตน์ แต่กลับไม่มีแม้แต่ท่าทีเห็นใจ เมื่อคนปาเลสไตน์ถูกฆ่าโดยอิสราเอล”

BBC ตั้งข้อสังเกตว่า คำพูดของเจ้าชายตุรกีวัย 78 พรรษาถือเป็นการ ‘แหกคอก’ จากบรรดาชาติมุสลิม รวมถึงรัฐบาลซาอุฯ เองที่ยังไม่เคยแถลงประณามฮามาสมาก่อน และเป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะออกมาให้ความเห็นต่อสาธารณชนเช่นนี้โดยไม่ผ่านการปรึกษาหารือกับทางสำนักพระราชวังซาอุฯ ซึ่งมีเจ้าชาย โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารทรงกุมอำนาจในฐานะผู้ปกครองโดยพฤตินัยอยู่ในเวลานี้

รัฐบาลซาอุดีอาระเบียไม่ได้ชื่นชอบพวกฮามาส และอันที่จริงแล้วดูเหมือนจะไม่มีรัฐบาลใดในภูมิภาคที่โอเคกับพวกเขาเลย ไม่ว่าจะเป็นอียิปต์ จอร์แดน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือบาห์เรน ที่ต่างมองว่าฮามาสและแบรนด์การปฏิวัติ ‘อิสลามเชิงการเมือง’ ของพวกเขาเป็นภัยคุกคามต่อระบบการปกครองแบบโลกวิสัย (secular rule)

อย่างไรก็ตาม ฮามาสยังคงมีสำนักงานการเมืองอยู่ในกาตาร์ และได้รับการสนับสนุนจาก ‘อิหร่าน’ ซึ่งเป็นทั้งคู่แข่งและไม้เบื่อไม้เมากับซาอุดีอาระเบียมายาวนาน

‘ฮามาส’ ปล่อยตัวประกัน 2 แม่ลูกชาวอเมริกันแล้ว ด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรม หลัง ‘กาตาร์’ ช่วยเจรจา

(21 ต.ค.66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ชาวอเมริกัน 2 แม่ลูกที่ถูกกลุ่มฮามาสจับเป็นตัวประกันตั้งแต่การเปิดฉากโจมตีอิสราเอลแบบสายฟ้าแลบเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา ถูกปล่อยตัวออกมาแล้วเมื่อวันศุกร์ (20 ต.ค.) โดยทั้งสองถูกนำตัวส่งให้หน่วยกาชาดสากลที่เข้าไปปฏิบัติงานบรรเทาทุกข์ในพื้นที่ฉนวนการกาซา หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่กาชาดได้พาไปมอบให้ทหารอิสราเอลบริเวณชายแดนฉนวนกาซา และคาดว่าจะเดินทางกลับสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า

ตัวประกันทั้งสองทราบภายหลังว่าเป็นชาวชิคาโก มีเชื้อสายอิสราเอล ผู้เป็นแม่ชื่อ จูดิท ไท รานัน ลูกสาวชื่อ นาตาลี รานัน อายุ 17 ปี ทั้งสองถูกจับเป็นตัวประกันตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม ขณะไปเยี่ยมญาติที่คิบบุตซ์ นาฮาล ออตซ์ ทางภาคใต้ของอิสราเอล

การปล่อยตัวครั้งนี้อยู่บนพื้นฐานทางมนุษยธรรมเนื่องจากผู้เป็นแม่นั้นสุขภาพย่ำแย่ และเป็นผลมาจากการเจรจาระหว่างกาตาร์กับกลุ่มฮามาสที่เริ่มมาตั้งแต่หลังเกิดเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม

นายอาบู อาบาอิดา โฆษกกลุ่มฮามาสแถลงว่า “เพื่อตอบสนองต่อความพยายามของกาตาร์ กองพันอัล-กัสซามได้ปล่อยตัว 2 แม่ลูกชาวอเมริกัน ด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรม เป็นการพิสูจน์ให้ชาวอเมริกันและทั่วโลกได้เห็นว่า ข้ออ้างของไบเดนและคณะบริหารฟาสซิสม์ของเขานั้นไม่เป็นความจริงและเลื่อนลอย”

ทางด้านนายมาเจด อัล-อันซารี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกาตาร์แถลงว่า ทางกาตาร์จะยังดำเนินการเจรจาอย่างต่อเนื่อง ทั้งกับฮามาสและอิสราเอลเพื่อให้มีการปล่อยตัวประกันพลเรือนทุกคนทุกเชื้อชาติ เพื่อลดความตึงเครียดของสถานการณ์และนำสันติภาพกลับคืนมา

ต่อมาทางกลุ่มฮามาสได้ออกแถลงการณ์เพิ่มเติมว่า พวกเขากำลังทำงานร่วมกับตัวแทนจากอียิปต์ กาตาร์ และประเทศผู้เป็นมิตรอีกหลายประเทศ เพื่อพิจารณาปล่อยตัวประกันต่างชาติคนอื่นๆ เมื่อพวกเขาเห็นมีความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัย

ส่วนทางด้านเจ้าหน้าที่ระดับสูงในสำนักนายกรัฐมนตรีอิสราเอล อ้างว่าการปล่อยตัวประกันครั้งนี้เป็นผลมาจากการกดดันทางทหารของอิสราเอล

‘จีน’ ก่อตั้ง ‘ศูนย์รักษาอาการปวด’ มาตรฐานระดับชาติ เน้นขยายขอบเขตให้เข้าถึง ‘ระดับรากหญ้า’ มากขึ้น

เมื่อวานนี้ (20 ต.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จีนเปิดตัวศูนย์รักษาอาการปวดที่ได้มาตรฐานระดับชาติในกรุงปักกิ่ง โดยมีวัตถุประสงค์ขยายขอบเขตการเข้าถึงทรัพยากรทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสำหรับการรักษาอาการปวดในระดับรากหญ้า

อาการปวดเรื้อรังที่มีระยะเวลานานเกินกว่า 3 เดือนกลายเป็นข้อกังวลที่ผู้คนสนใจเพิ่มขึ้น โดยคณะผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าอาการปวดเรื้อรังต้องได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เนื่องจากมีสาเหตุที่ซับซ้อนและหลากหลาย และยิ่งเป็นต่อเนื่องนานเท่าไร จะยิ่งรักษายากขึ้นเท่านั้น

แผนงานที่เผยแพร่ในปี 2022 ระบุว่า จีนได้กำหนดระยะเวลาดำเนินโครงการนำร่องในโรงพยาบาลหลายแห่งทั่วประเทศในช่วงปี 2022-2025 ซึ่งจะเน้นจัดการอาการปวดแบบครอบคลุมครบวงจร

ศูนย์จัดตั้งใหม่นี้เริ่มทำการประเมินโรงพยาบาลระดับชุมชน 30 แห่ง และวางแผนสร้างศูนย์รักษาอาการปวดที่ได้มาตรฐานในโรงพยาบาลระดับชุมชน 10-15 แห่งภายในปี 2024


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top