Saturday, 10 May 2025
WORLD

ผลรายงาน ชี้ บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกหลายแห่ง ไม่คืบหน้า!! ลดการปล่อยมลพิษ ตั้งแต่ปี 2018

จากรายงานของ ESG Book ชี้ว่า บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งทั่วโลก ไม่ได้ดำเนินมาตรการอะไรเลยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพื่อลดการปล่อยมลพิษ ที่เป็นตัวการสร้างความร้อนให้กับโลก และการกระทำเหล่านี้ ทำให้โลกยากต่อการหลีกเลี่ยงภัยพิบัติธรรมชาติ ที่ทำให้เกิดความเสียหายได้อย่างรุนแรง พร้อมเผยว่า บริษัทหลายแห่ง มีแนวโน้มการดำเนินงานที่มีส่วนช่วยให้เกิดภาวะโลกร้อนในระดับที่รุนแรง หรือ ปกปิดค่าปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด 

ผู้ให้บริการข้อมูลด้านความยั่งยืนชั้นนำ พบว่า มีความพยายามเพียง 22% ของบริษัทมหาชนที่ใหญ่ที่สุด 500 แห่งของโลก มีการดำเนินการที่สอดคล้องไปกับ ‘ความตกลงปารีส’ ซึ่งเป็นความตกลงตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมุ่งเป้าไปที่การควบคุมอุณหภูมิให้ไม่สูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสเหนือระดับอุณหภูมิก่อนยุคอุตสาหกรรม (Pre-Industrial Levels) 

นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศ วิเคราะห์ว่า การที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นเฉลี่ย 1.5 องศาเซลเซียส เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ นอกจากนี้ โอกาสที่จะเกิดน้ำท่วมรุนแรง ภัยแล้ง ไฟป่า และการขาดแคลนอาหารอาจเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

ทั้งนี้ ราว 45% ของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเพิ่มความร้อนอย่างน้อย 2.7 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นระดับความร้อนรุนแรง ที่อาจทำให้ประชาชนหลายพันคนต้องเผชิญอากาศร้อนจัดจนเป็นอันตรายได้ 

‘ดาเนียล ไคลเออร์’ ประธานเจ้าหน้าที่ ESG Book กล่าวว่า ข้อมูลของพวกเขาสื่อความหมายอย่างชัดเจน ที่ผู้คนต้องเร่งดำเนินการมากขึ้น และต้องรีบจัดการอย่างรวดเร็ว หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในวิธีการดำเนินงานของเศรษฐกิจโลก มันก็ไม่ชัดเจนว่า เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญได้อย่างไร

ในการวิเคราะห์ของ ESG Book กำหนด ‘คะแนนอุณหภูมิ’ ให้กับบริษัทโดยอ้างอิงข้อมูลการปล่อยก๊าซที่รายงานต่อสาธารณะ และปัจจัยต่างๆ เช่น เป้าหมายการลดมลพิษ เพื่อพิจารณาการมีส่วนร่วมของริษัทในการบรรลุสู่เป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ โดยการวิเคราะห์นี้ ครอบคลุมบริษัทในสหราชอาณาจักร จีน อินเดีย และสหภาพยุโรป ที่มีมูลค่าตลาดอย่างน้อย 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.45 แสนล้านบาท 

โดยความคืบหน้าในการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศในสหรัฐฯ และจีนเริ่มดีขึ้น แม้ว่าจะยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ โดยในสหรัฐฯ บริษัทที่ดำเนินตามความตกลงปารีสคิดเป็น 20% เพิ่มจาก 11% ในปี 2018 ส่วนในจีน บริษัทที่ดำเนินตามความตกลงปารีสคิดเป็น 12% เพิ่มจาก 3% ในปี 2018

นอกจากนี้ นักลงทุนสถาบัน (Institutional Investors) ก็มีบทบาทสำคัญในการควบคุมเงินทุนให้มุ่งสู่เทคโนโลยีหมุนเวียนมากขึ้น จากข้อมูลของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ คาดว่า การลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์ จะแซงหน้าการลงทุนในการผลิตน้ำมันเป็นครั้งแรกในปีนี้

อย่างไรก็ตาม องค์การพลังงานระหว่างประเทศ หรือ ‘IEA’ คาดว่า จะมีเงินลงทุนมูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 34.5 ล้านล้านบาท จะไหลไปสู่น้ำมัน ก๊าซ และถ่านหินในปีนี้

ทั้งนี้ รายงานชิ้นนี้ เป็นหนึ่งในชุดข้อมูลล่าสุดที่บ่งชี้ให้เห็นว่า โลกอยู่ห่างออกไปจากเส้นทางที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ ขณะเดียวกัน บริษัทผู้ก่อมลพิษรายใหญ่ อย่าง Shell และ BP กำลังเปลี่ยนความสนใจหันมาสู่การผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล หลังจากผลกำไรพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากการที่ราคาน้ำมัน และก๊าซพุ่งทะยาน

ไคลเออร์ กล่าวว่า การผสมผสานระหว่างนโยบายของรัฐบาลที่เข้มงวดมากขึ้น และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค รวมถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี จะต้องนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายในเส้นทางการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน
 

ซีเค เจิง’ แจง ประเทศนี้ ไม่มีทางล้ม ต่อให้ซาอุฯ-จีน-รัสเซีย-อินเดีย มารวมกัน ก็ยังสู้ไม่ได้

ซีเค เจิง (CK Cheong) นักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ ได้โพสต์คลิปสั้นลง TikTok ช่องckfastwork กล่าวถึงประเทศสหรัฐอเมริกา ว่ามันไม่มีทางจะล้มลงได้ โดยได้แสดงความคิดเห็นส่วนตัวไว้ มีใจความว่า …

ประเทศสหรัฐอเมริกา มันไม่มีทางจะล้ม อเมริกามี คำพูดคำหนึ่ง คำว่า Too Big To fail ใหญ่เกินไปจนล้มไม่ได้แล้ว เพราะถ้าอเมริกาล้ม ก็จะอุ้มทั้งโลกล้มไปด้วย นี่คือความเป็นจริง รัสเซีย อินเดีย จีนพยายามทำเงินเหรียญสกุลของตัวเอง สู้สหรัฐอเมริกา สู้ไม่ได้หรอก คนที่คิดว่าประเทศเหล่านี้จะสู้ได้ เขาเพ้อฝัน ขนาดอาวุธรวมกันทั้งโลกยังสู้อเมริกาไม่ได้เลย เศรษฐกิจตลาดหุ้นทั้งโลกสู้ตลาดหุ้นอเมริกาก็ยังสู้ไม่ได้เลย ตราสารหนี้ทั้งโลกรวมกันยังสู้ไม่ได้เลย สู้อเมริกาไม่ได้ คุณจะเอาอะไรไปสู้กับอเมริกา คุณไม่มีอาวุธ คุณไม่มีตลาดหุ้น คุณไม่มีตราสารหนี้

คุณจะล้มอเมริกาได้อย่างไร เงินของเราทุกคนกองอยู่ที่อเมริกา แล้วอเมริกาจะล้มได้อย่างไร น้ำมันเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ครองโลกได้ก็จริง แต่มูลค่าของมันก็ยังสู้อเมริกาไม่ได้เลย เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น บริษัทที่มีมูลค่า มากที่สุดอันดับ 2 ของโลกคือบริษัทน้ำมันของซาอุ แต่ที่มากกว่าบริษัทนั้นก็คือบริษัท Apple ที่เป็นแค่ 1 บริษัท ใน ตลาดหุ้นของอเมริกา แล้วคุณคิดว่าตลาดหุ้นอเมริกาใหญ่กว่า หรือตลาดน้ำมันของซาอุใหญ่กว่า อย่าไปบอกว่าอเมริกาจะแพ้ อเมริกาไม่มีวันแพ้ ผมไม่ได้เข้าข้างอเมริกา ผมพูดถึงความเป็นจริง คนที่บอกว่าซาอุ จีน รัสเซีย อินเดียมาร่วมกัน

แล้วจะล้มสหรัฐอเมริกา ไม่มีทาง มันเป็นไปไม่ได้ บริษัทที่ใหญ่ที่สุดของซาอุยังใหญ่สู้กับเบอร์ 1 ในบริษัท ของตลาดหุ้นอเมริกาไม่ได้เลย และสิ่งที่พวกเขาใช้อยู่ทุกวัน นี้ Facebook Amazon Microsoft NVIDIA AI ชิพ ทุกอย่าง มันก็มาจากอเมริกาอยู่ดี แล้วเราจะล้มอเมริกาได้อย่างไร ไม่เอาน่า มันเพ้อฝัน เขาสามารถพยายามได้นะครับ แต่ผมไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น ซีเค เจิงกล่าวทิ้งท้าย

เปิดประวัติ ‘อเล็กซานเดอร์ โซรอส’ ทายาทผู้รับช่วงต่อจาก ‘จอร์จ โซรอส’ พ่อมดแห่งโลกการเงิน

จอร์จ โซรอส เจ้าของฉายาพ่อมดการเงินโลกวัย 92 ปี ได้ประกาศวางมืออย่างเป็นทางการแล้วในวันนี้ และได้เลือก อเล็กซานเดอร์ โซรอส ลูกชายคนที่ 3 ของเขาเข้ามารับช่วงต่อ มูลนิธิ Open Society Foundations  มูลค่ามากกว่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ กองทุนที่ถูกใช้สนับสนุนองค์กรไม่แสวงกำไร และ สถาบันการศึกษามากกว่า 100 ล้านแห่งทั่วโลกที่มีพันธกิจในการขับเคลื่อนสังคม และการเมืองตามอุดมคติของจอร์จ โซรอส ที่หลายครั้งกลายเป็นประเด็นความขัดแย้งในหลายประเทศเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ จอร์จ โซรอส ได้วางแผนถ่ายทอดกิจการมูลนิธิให้กับทายาทคนหนึ่งของเขา และได้โดนทรัพย์สินจากครอบครัวโซรอส เข้ากองทุนในมูลนิธิ Open Society Foundations ไป 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปี 2017 ที่ทำให้กลายเป็นกองทุนการกุศลที่มีมูลค่าสูงที่สุดกองหนึ่งของโลก และได้แต่งตั้ง อเล็กซานเดอร์ โซรอส ลูกชายนั่งในตำแหน่งประธานมูลนิธิแห่งนี้ ทำให้สังคมเริ่มเห็นภาพชัดแล้วว่า จอร์จ โซรอส ได้เลือกใครเป็นทายาทสืบทอดเจตนารมย์ต่อจากเขา 

จอร์จ โซรอส มีบุตรทั้งหมด 5 คน โดยลูก 3 คนแรกที่เกิดกับ แอนนาลีส วิทส์แชค ภรรยาคนแรกของเขา คือ โรเบิร์ต, แอนเดรีย และ โจนาธาน โซรอส แต่หลังจากที่เขาได้หย่าขาดกับนาง แอนนาลิส ในปี 1983 จอร์จ โซรอส ได้แต่งงานใหม่อีกครั้งกับ ซูซาน เว็บเบอร์ และมีลูกด้วยกันอีก 2 คนคือ อเล็กซานเดอร์ และ เกรกอรี เจมส์ โซรอส

และในบรรดาลูกๆ ทั้ง 5 คนของ จอร์จ โซรอส อเล็กซานเดอร์ เป็นลูกชายที่มีความหลงใหลทางการเมืองสูงมากที่สุดคนหนึ่ง อเล็กซานเดอร์เคยให้สัมภาษณ์กับ Wall Street Journal ว่าเขามีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนทิศทางการเมืองแรงกว่าพ่อของเขาเสียอีก และยังบอกใบ้อีกด้วยว่าจะได้เห็นบทบาทด้านการเงินขององค์กรครอบครัวโซรอสในงานเลือกตั้งผู้นำสหรัฐในสมัยหน้า (2024) อย่างแน่นอน

อเล็กซานเดอร์ โซรอส เกิดที่นิวยอร์ค ในปี 1985 ปัจจุบันอายุ 37 ปี เขาจบปริญญาตรีด้านประวัติศาสตร์ ที่ New York University  และเรียนจบระดับปริญญาเอกที่ University of California, Berkeley แล้วก็ทำงานในองค์กรด้านสังคมมาโดยตลอด และในทุนสนับสนุนกิจกรรมในการรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม สิทธิแรงงาน และ การเมืองสายเสรีนิยมแบบอเมริกัน 

เช่นเดียวกับจอร์จ โซรอส พ่อของเขา ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นผู้บริจาคเงินสนับสนุนพรรคเดโมแครตรายใหญ่ที่สุดของพรรค อเล็กซานเดอร์ โซรอส ก็ทุ่มเทให้กับกองทุนช่วยเหลือชุมชมชาวยิวในสหรัฐ อาทิ Jewsish Fund for Justice, Progressive Jewish Alliance และ Jewish Council for Education and Research ที่มักอยู่เบื้องหลังแคมเปญหาเสียงของพรรคเดโมแครต ตั้งแต่สมัยอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา 

ในปี 2012 อเล็กซานเดอร์ ได้ก่อตั้งมูลนิธิภายใต้ชื่อของตัวเอง Alexander Soros Foundation ซึ่งเป็นองค์กรที่มอบรางวัลให้แก่นักเคลื่อนไหวทางสังคม และสิ่งแวดล้อมในแต่ละปี ที่ทำให้ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น จนมาวันนี้ เขาได้รับช่วงต่อ Open Society Foundations หนึ่งในมูลนิธิที่มีกองทุนสนับสนุนมากที่สุดในโลก และ มีประเด็นขัดแย้งมากมายด้วยเช่นกัน 

ในปี 2018 Open Society ถูกบีบให้ย้ายสำนักงานออกจากกรุงบูดาเปสต์ ของฮังการี ไปยังกรุงเบอร์ลิน ในเยอรมันแทน หลังจากที่ข่าวความขัดแย้งกับ วิกเตอร์ ออร์บาน ผู้นำฮังการีฝ่ายขวา ซึ่งเตรียมจะออกร่างกฎหมายใหม่เพื่อควบคุมกลุ่มองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในประเทศ ที่มักถูกเรียกว่าเป็นร่างกฎหมาย "Stop Soros Bill" นอกจากนี้ Open Society ยังถูกแทรกแซงจนต้องปิดสำนักงานในปากีสถาน และ ตุรกี เมื่อมีข่าวว่าสนับสนุนกลุ่มต่อต้านรัฐบาลในประเทศ

จึงเป็นที่น่าสนใจว่า กิจกรรมของ Open Society Foundations ในยุคเปลี่ยนผ่านสู่รุ่นลูก อเล็กซานเดอร์ โซรอส ที่ได้ชื่อว่ามีไฟในการผลักดันกระแสการเมืองยิ่งกว่ารุ่นพ่อ จะสร้างความเปลี่ยนแปลง จนกลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่จอร์จ โซรอส มักถูกโจมตีมาตลอดชีวิตการทำงานของเขาหรือไม่

ชายอังกฤษ ถูกจับ หลังปีนตึกระฟ้า ซึ่งสูงที่สุดในเกาหลีใต้ ด้วยมือเปล่า

เมื่อวานนี้ (12 มิถุนายน 2566) จอร์จ คิง-ทอมป์สัน ชายชาวอังกฤษ ทำพฤติกรรมน่าหวาดเสียวด้วยการปีนตึกล็อตเต้เวิลด์ สูง 123 ชั้น ทางตอนใต้ของกรุงโซลเมื่อช่วงเช้า ก่อนถูกเจ้าหน้าที่พบเห็นและสั่งหยุดทันทีในขณะที่เขาปืนตึกด้วยมือเปล่าไปถึงชั้นที่ 73

เจ้าหน้าที่ของล็อตเต้ต้องใช้ลิฟต์ลอยฟ้าขึ้นไปเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เขาหยุด ในขณะที่เขายังคงปีนขึ้นไปบนชั้นที่ 70 ของอาคาร ซึ่งในที่สุดเขาก็ยอมจำนน และยอมให้เจ้าหน้าที่ทำการจับกุมในข้อหาขัดขวางการทำธุรกิจ ขณะนี้เขากำลังถูกสอบสวนที่สถานีตำรวจในเขตซงปาของกรุงโซล

ทั้งนี้ ตึกลอตเต้เวิลด์มีความสูง 555 เมตร (1,820 ฟุต) และเป็นอาคารที่สูงเป็นอันดับ 5 ของโลก

ในปี 2561 อัลแลง โรเบิร์ต หรือที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในชื่อ "มนุษย์แมงมุมฝรั่งเศส" เคยถูกจำคุกมาแล้วหลังจากปีนตึกหลังนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต ในครั้งนั้นเขาปีนขึ้นไปได้ถึงชั้นที่ 75

สื่อท้องถิ่นรวมถึงหนังสือพิมพ์โชซ็อน อิลโบระบุว่า จอร์จ คิง-ทอมป์สัน ที่เลียนแบบพฤติกรรมของอัลแลง โรเบิร์ตในครั้งนี้ เคยถูกจำคุกในข้อหาพยายามปีนตึกเดอะชาร์ด ซึ่งเป็นตึกระฟ้าสูง 72 ชั้นในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ.

ประกาศวางมือ ‘จอร์จ โซรอส’ ยกธุรกิจ มูลค่ากว่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ให้ ‘อเล็กซานเดอร์’ บุตรชาย รับช่วงต่อ เพจทันข่าว Today ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ นายจอร์จ โซรอส มหาเศรษฐีนักการเงิน ที่ได้ประกาศวางมือจากธุรกิจ โดยมีใจความว่า ... . นายจอร์จ โซรอส มหาเศ

เพจทันข่าว Today ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ นายจอร์จ โซรอส มหาเศรษฐีนักการเงิน ที่ได้ประกาศวางมือจากธุรกิจ โดยมีใจความว่า ...
 
นายจอร์จ โซรอส มหาเศรษฐีนักการเงิน ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ผู้โด่งดัง ประกาศวางมือทางธุรกิจในวัย 92 โดยตัดสินใจถ่ายโอนอำนาจการบริหารมูลนิธิ โอเพน โซไซตี (OSF) และอาณาจักรทางธุรกิจมูลค่ากว่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ให้แก่นายอเล็กซานเดอร์ บุตรชาย 
 
โซรอสในระยะหลังผันตัวมาเป็นนักการกุศลและเป็นผู้สนับสนุนแนวคิดเสรีนิยม 
 
นายอเล็กซ์บุตรชาย มีความชอบเรื่องการเมือง มากกว่าพ่อ และเขาวางแผนที่จะบริจาคเงินของครอบครัวให้กับแคนดิเดตทางการเมืองฝ่ายซ้ายของสหรัฐต่อไป 
 
มูลนิธิ OSF ให้ความสำคัญกับการลงคะแนนเลือกตั้ง สิทธิในการทำแท้ง และความเท่าเทียมทางเพศ
 
ปัจจุบันนายอเล็กซ์เป็นผู้ควบคุมกิจกรรมทางการเมืองในฐานะประธานคณะกรรมการดำเนินการทางการเมืองของนายโซรอส
 
WSJ รายงานว่า มูลนิธิ OSF มอบเงินประมาณ 1.5 พันล้านดอลลาร์ต่อปีให้กับกลุ่มต่าง ๆ เช่น กลุ่มสนับสนุนสิทธิมนุษยชนทั่วโลก ตลอดจนกลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตย

‘ซาอุฯ’ หวังร่วมมือกับ ‘จีน’ ไม่ขอเป็นคู่แข่ง ลุยลงทุน 'ด้านการค้า-พลังงานหมุนเวียน'

📌 (12 มิ.ย. 66) เจ้าชายอับดุลอาซิซ บิน ซัลมาน รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานซาอุดีอาระเบีย เปิดเผยว่า ซาอุดีอาระเบียต้องการความร่วมมือกับจีนให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ในด้านการลงทุนทางการค้าและการไหลเวียนของพลังงาน แทนที่จะแข่งขันกับจีน โดยรับรู้ถึงความเป็นจริงในปัจจุบันว่าขณะนี้จีนกำลังนำอยู่ และจะยังคงเป็นผู้นำต่อไป จึงไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับจีน โดยได้กล่าวกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซี ระหว่างการประชุมธุรกิจอาหรับ-จีน เมื่อวันอาทิตย์ 11 มิ.ย. ที่ผ่านมา

เจ้าชายบิน ซัลมาน ได้กล่าวเสริมว่า การทำงานกับจีนนั้นมีคุณค่า เพราะจีนเป็นผู้นำในการหาโรงงานผู้ผลิตที่เหมาะสม โดยเฉพาะในด้านพลังงานหมุนเวียน และจะไม่กลับไปเล่นเกมที่มีฝ่ายใดเป็นผู้ได้หรือเสียอีก

เมื่อต่อข้อคำถาม ทำไมซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกโอเปกจึงได้มุ่งความสนใจไปที่จีน

เจ้าชายบิน ซัลมาน เชื่อว่าอุปสงค์ด้านน้ำมันของจีนยังคงเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นเรื่องสำคัญที่ซาอุดีอาระเบียจะต้องคว้าโอกาสนี้ไว้

ทั้งนี้ จีนเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดของโลก และซาอุดีอาระเบียเป็นผู้ส่งออกน้ำมันให้จีนมากที่สุดในเดือนเมษายน แม้ว่าน้ำมันรัสเซียที่ถูกคว่ำบาตรจะราคาถูกกว่าก็ตาม

และในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัทซาอุดี อารามโค ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันของรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ได้ประกาศข้อตกลงโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ 2 ฉบับ ซึ่งจะส่งออกน้ำมัน 690,000 บาร์เรลต่อวัน ให้กับบริษัทหร่งเซิง ปิโตรเคมิคอล (Rongsheng Petrochemical) และบริษัทเจ้อเจียง ปิโตรเคมิคอล (Zhejiang Petrochemical) โดยข้อตกลงดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2565 ที่ผ่านมา

นี่ไม่ได้หมายความว่าซาอุฯ จะไม่ร่วมมือกับประเทศอื่น ยังมีประเทศกลุ่มประเทศอื่นที่ซาอุดีอาระเบียมีความสัมพันธ์ทางการค้าด้วย ไม่ว่าจะเป็นยุโรป เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สหรัฐ และลาตินอเมริกา

อย่างไรก็ตาม การประชุมในกรุงริยาดนั้น จัดขึ้นท่ามกลางความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการทูตของจีนและซาอุดีอาระเบียที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในขณะเดียวกันจีนและซาอุดีอาระเบียมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับชาติตะวันตก
 

ฉงชิ่ง’ เปิดเส้นทางใหม่ นำเข้า ‘ทุเรียนไทย’ ภายใน 4 วัน

(ซินหัว) — 11 มิ.ย. เทศบาลนครฉงชิ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ต้อนรับรถไฟขนส่งทุเรียนไทยระบบห่วงโซ่ความเย็นขบวนแรกที่เดินทางผ่านระเบียงการค้าทางบก-ทะเลระหว่างประเทศใหม่ (New International Land-Sea Trade Corridor) ก่อนถึงจุดหมายปลายทาง

ทุเรียนจากไทยจำนวน 150,000 ลูก ถูกขนส่งไปยังลาวผ่านทางถนน ก่อนลำเลียงขึ้นรถไฟเพื่อส่งไปยังจีนผ่านทางรถไฟจีน-ลาว

เติ้งฮ่าวจี๋ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของหงจิ่วฟรุ๊ต บริษัทจัดซื้อผลไม้จีน กล่าวว่าการขนส่งทั้งหมดใช้เวลาเพียง 4 วัน ลดลงจากเส้นทางขนส่งทางทะเล-ถนนก่อนหน้านี้ที่ใช้เวลาราว 8-10 วัน พร้อมเสริมว่าสำหรับผู้นำเข้าผลไม้ เวลานั้นเป็นเงินเป็นทองและทุกชั่วโมงล้วนมีค่า โดยรถไฟขนส่งทุเรียนนี้ช่วยลดต้นทุน รวมถึงลดความเสียหายระหว่างการขนส่ง

รายงานระบุว่าทุเรียนไทยเหล่านี้ส่วนใหญ่จะวางจำหน่ายที่ตลาดแห่งต่างๆ ในฉงชิ่ง ขณะทุเรียนที่เหลือบางส่วนจะถูกขนส่งด้วยรถไฟสู่มณฑลซื่อชวน (เสฉวน) ที่อยู่ข้างเคียง

อนึ่ง ทุเรียนจัดเป็นหนึ่งในสินค้าเกษตรหลายชนิดของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน (ASEAN) ที่ถูกนำเข้าสู่ตลาดจีนเพิ่มอย่างต่อเนื่อง สืบเนื่องจากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งข้ามพรมแดน

‘ระบบร่มชูชีพ’ ฝีมือจีน นำทางจรวด ให้ลงจอด จุดที่กำหนดไว้ ได้อย่างแม่นยำ

(ซินหัว) — สถาบันเทคโนโลยีจรวดขนส่งแห่งชาติจีน เปิดเผยผลการทดสอบระบบร่มชูชีพพัฒนาเองที่สามารถช่วยนำทางจรวดบูสเตอร์ (rocket booster) ร่อนลงสู่พื้นที่เป้าหมาย ระหว่างการปล่อยจรวดขึ้นสู่อวกาศ เมื่อไม่นานนี้

สถาบันฯ ระบุว่าระบบร่มชูชีพนี้ถูกใช้กับจรวดขนส่งลองมาร์ช-3บี (Long March-3B) ซึ่งบรรทุกดาวเทียมนำทางเป่ยโต่วขึ้นสู่วงโคจรเมื่อวันที่ 17 พ.ค. จากศูนย์ปล่อยดาวเทียมซีชาง มณฑลซื่อชวน (เสฉวน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ โดยสามารถนำทางจรวดบูสเตอร์ลงสู่ตำแหน่งที่กำหนดไว้ และจำกัดระยะการลงจอดให้แคบลงได้ร้อยละ 80

ระบบดังกล่าวถูกออกแบบให้ควบคุมตำแหน่งลงจอดได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ระหว่างร่อนลงจะสามารถเปิดพาราฟอยล์หรือร่มชูชีพโดยอัตโนมัติที่ระดับความสูงเฉพาะ ซึ่งจะนำทางจรวดบูสเตอร์สู่พื้นที่ลงจอดที่คาดการณ์ไว้

อนึ่ง จุดปล่อยจรวดสำคัญของจีนส่วนใหญ่ตั้งลึกเข้าไปในแผ่นดิน ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้ชิ้นส่วนจรวดลงสู่พื้นอย่างคาดการณ์ไม่ได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีกิจกรรมของมนุษย์ และถือเป็นภารกิจเร่งด่วนสำหรับบรรดานักวิทยาศาสตร์

‘กุ้ย ไห่เฉา’ นักบินอวกาศชาวจีน จากเด็กเลี้ยงควาย สุดท้ายได้บินขึ้นฟ้า ไปหาดวงดาว

เฟซบุ๊ก ลึกชัดกับผิงผิง ได้โพสต์ข้อความ เกี่ยวกับ กุ้ย ไห่เฉา นักบินอวกาศชาวจีน ที่มีความขยันหมั่นเพียร ในการเล่าเรียนหนังสือ โดยมีใจความว่า ...

กุ้ย ไห่เฉา(桂海潮)นักบินอวกาศจีน ทำให้ดิฉันเชื่อมั่นว่า การเรียนหนังสือสามารถเปลี่ยนชีวิตได้ 
ตอนอายุ 6 ขวบ เขายังเป็นเด็กเลี้ยงควายในหมู่บ้านชนบท ชอบดูดวงดาว ตอนอายุ 36 ปี เขาได้ขึ้นฟ้าไปหาดวงดาว
ตามภาษาไต คำว่า “ซื้อเตี้ยน” แปลว่าดินแดนที่สวยงาม อำเภอซื้อเตี้ยนตั้งอยู่ทางตะวันตกของมณฑลยูนนานภาคใต้ของจีน ขับรถจากอำเภอซื้อเตี้ยนไปยังชานเมืองกว่า 20 กิโลเมตร ก็จะถึงบ้านเกิดของกุ้ย ไห่เฉา 

เพื่อนบ้านเก่าของกุ้ย ไห่เฉาเล่าว่า ตอนสมัยเด็ก มักจะได้ยินเสียงท่องหนังสือจากบ้านของเขา บางที พ่อจะดึงหูของผม และพาไปดูว่า น้องกุ้ย ไห่เฉาขยันเรียนหนังสืออย่างไร 
ตอนที่เรียนมัธยมปลายปีที่ 2 กุ้ย ไห่เฉาได้ฟังข่าวที่จีนยิงส่งยานอวกาศพร้อมมนุษย์เสินโจว-5 ส่งนักบินอวกาศจีนคนแรกขึ้นสู่อวกาศได้สำเร็จ ปีต่อมา เขาสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยการบินอวกาศปักกิ่งด้วยคะแนนสูงสุดด้านเทคโนโลยีของมณฑลยูนนาน 

กุ้ย ไห่เฉาจบการศึกษาปริญญาตรี ปริญญาโทและปริญญาเอก แล้วไปศึกษาต่อในต่างประเทศ ผลงานทางวิชาการของเขากว่า 20 ฉบับได้รับการเผยแพร่ในวารสารระดับสุดยอดของโลก 
ปี 2018 กุ้ย ไห่เฉาอายุ 31 ปี กลายเป็นศาสตรจารย์สอนนักศึกษาปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยการบินอวกาศปักกิ่ง ทั้งยังเป็นนักบินอวกาศสำรอง เวลาว่าง เขามักจะวิ่งทนในสนามกีฬา ปั่นจักรยานหรือว่ายน้ำ เมื่อนักศึกษามีปัญหาไปถามเขา มักจะต้องไปตามที่สนามกีฬา 
วันที่ 30 พฤษภาคมปี 2023 จีนยิงส่งยานอวกาศพร้อมมนุษย์เสินโจว-16 ที่มีการบรรทุกนักบินอวกาศชุดใหม่จำนวน 3 คนที่จบการศึกษาระดับปริญญาเอกทั้งหมด ให้ไปขึ้นสถานีอวกาศจีน โดยเฉพาะกุ้ย ไห่เฉา เขานับเป็นนักวิทยาศาสตร์จีนคนแรกที่ขึ้นสถานีอวกาศจีน รับผิดชอบการทดลองต่างๆ บนสถานีอวกาศ 

ระหว่างวันที่ 7-9 มิถุนายนนี้ นักเรียนจีนจำนวนกว่า 12.9 ล้านคนเข้าร่วมสมัครสอบมหาวิทยาลัยทั่วประเทศจีนประจำปี 2023 หวังว่าพวกเขาประสบความสำเร็จ และสามารถที่จะจบการศึกษาด้วยคุณภาพสูง มีอนาคตที่ดีงามยิ่งขึ้น

World Bank’ คาดเศรษฐกิจโลกปี 66 โตเพิ่มอีก 2.1% เตือน!! นโยบายธนาคารทั่วโลกอาจทำจีดีพีปีหน้าชะลอตัว

ธนาคารโลก (World Bank) ปรับขึ้นคาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปีนี้ หลังจากทิศทางเศรษฐกิจอเมริกาและประเทศเศรษฐกิจสำคัญทั่วโลกฟื้นตัวดีกว่าคาด แต่ได้เตือนว่าอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นอาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวได้ในปีหน้า

รายงานทิศทางเศรษฐกิจโลกของ World Bank ที่เปิดเผยในวันอังคาร ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกมาที่ 2.1% ในปีนี้ เพิ่มจากระดับ 1.7% ในการประมาณการณ์เมื่อเดือนมกราคม แต่ยังถือว่าต่ำกว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2022 ที่ขยายตัว 3.1%

อย่างไรก็ตาม ธนาคารโลก หั่นคาดการณ์จีดีพีโลกในปีหน้าลงมาที่ 2.4% จากระดับ 2.7% ในเดือนมกราคม โดยอ้างถึงผลกระทบจากนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก ซึ่งกระทบต่อการลงทุนในภาคธุรกิจ ก่อนที่เศรษฐกิจโลกคาดว่าจะกลับมาเติบโตในระดับ 3.0% ในปี 2025

เมื่อมองเป็นรายประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ World Bank ปรับคาดการณ์ว่าจีดีพีสหรัฐฯ จะขยายตัว 1.1% ในปีนี้ เพิ่มจาก 0.5% ในเดือนมกราคม และเศรษฐกิจจีนจะโต 5.6% จากระดับ 4.3% ในเดือนมกราคม แต่สำหรับในปีหน้านั้น ธนาคารโลก คาดว่าเศรษฐกิจอเมริกันจะโตเพียง 0.8% และหั่นเป้าเศรษฐกิจจีนว่าจะขยายตัวที่ 4.6%
 

‘ลาว’ จุดยุทธศาสตร์สำคัญในสงครามเวียดนาม ประเทศที่ถูกทิ้งระเบิดถล่มมากที่สุดในโลกที่ไม่ใครสนใจ

(7 มิ.ย. 66) ในช่วงสงครามเวียดนาม ประเทศลาวเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ถูกสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดถล่มอย่างหนัก จนทำให้ประเทศนี้ มีอัตราระเบิดต่อหัวประชากรมากที่สุดในโลก

1.) จนถึงทุกวันนี้ยังมีชาวลาวต้องเสียชีวิตจากระเบิดที่สหรัฐอเมริกาทิ้งเอาไว้ ณ วันที่ 3 ธันวาคม 2564 เจ้าหน้าที่กวาดล้างระเบิด UXO ของลาวเสียต้องสละชีวิตไป 3 คน และบาดเจ็บ 2 คนจากเหตุระเบิดในหมู่บ้านกิโลเมตร 38 เมืองปากช่อง แขวงจำปาสัก จากการรายงานของ Laotian Times สื่อภาษาอังกฤษในลาว

2.) UXO (Unexploded ordnance) หรือระเบิดที่ยังไม่ได้ถูกจุดชนวน ถูกทิ้งไว้โดยสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามอินโดจีนครั้งที่ 2 (หรือสงครามเวียดนาม) ทำให้ ‘ลาวถือเป็นประเทศที่ถูกทิ้งระเบิดอย่างหนักที่สุดในโลกในอัตราต่อหัวประชากร’ จากข้อมูลของเว็บไซต์ Legacies of War องค์กรที่สร้างความตระหนักเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การทิ้งระเบิด ในยุคสงครามเวียดนามในประเทศลาว และสนับสนุนการกวาดล้างระเบิดที่ยังไม่ระเบิด

3.) ย้อนกลับไปในช่วงสงครามเวียดนาม ขณะที่สหรัฐฯ กำลังรบในเวียดนามอยู่นั้น ในลาวก็เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นมาด้วยระหว่างฝ่ายคอมมิวนิสต์หรือ ‘ขบวนการปะเทดลาว’ ที่เอียงไปทางเวียดนามและฝ่ายรัฐบาลราชอาณาจักรลาวที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ทำให้ลาวถูกดึงเข้าสู่ความขัดแย้งครั้งใหญ่ กลายเป็นสงครามที่เรียกว่า ‘สงครามลับ’ ในลาว

4.) จากข้อมูลของ Legacies of War ระบุว่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 ถึง พ.ศ. 2516 สหรัฐฯ ทิ้งระเบิดในลาวมากกว่า 2 ล้านตัน ระหว่างภารกิจทิ้งระเบิด 580,000 ครั้ง ซึ่งเท่ากับเครื่องบินบรรทุกระเบิดไปทิ้งทุกๆ 8 นาทีตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน เป็นเวลา 9 ปี การทิ้งระเบิดดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของสงครามลับในลาวเพื่อสนับสนุนรัฐบาลลาว เพื่อต่อต้านขบวนการปะเทดลาวที่ปักหลักตามภูเขา และเพื่อสกัดกั้นฝ่ายเวียดนามเหนือในจากการใช้ ‘เส้นทางโฮจิมินห์’ ซึ่งเป็นทางลัดที่ฝ่ายเวียดนามเหนือตัดเข้ามาในลาวเพื่อเข้าโจมตีเวียดนามใต้

5.) แม้สงครามจะจบลงแล้ว ด้วยการถอนตัวจากสงครามเวียดนาม (หรือพ่ายแพ้) ของสหรัฐฯ และชัยชนะของเวียดนามเหนือและฝ่ายคอมมิวนิสต์ในลาว แต่ระเบิดมากถึงหนึ่งในสามไม่ระเบิด ทำให้แผ่นดินลาว ‘ปนเปื้อน’ ไปด้วย UXO จำนวนมาก ผู้คนกว่า 20,000 คนเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจาก UXO ในประเทศลาวนับตั้งแต่การทิ้งระเบิดยุติลง ตามข้อมูลของ Legacies of War

6.) แต่มันไม่ใช่ระเบิดเป็นลูกใหญ่ๆ เท่านนั้น เพราะส่วนใหญ่มัน คือ ‘ระเบิดลูกปราย’ (Cluster munition/cluster bomb ) ที่เป็นระเบิดลูกเล็กๆ ที่อยู่ในระเบิดลูกใหญ่อีกต่อหนึ่ง มันถูกออกแบบมาเพื่อทำลายรันเวย์หรือสายส่งกำลังไฟฟ้า เพื่อกระจายอาวุธเคมีหรือชีวภาพ หรือเพื่อกระจายทุ่นระเบิด แต่ในสงครามลับในลาว มันถูกทิ้งแบบปูพรมเพื่อทำลายขบวนการคอมมิวนิสต์ที่หลบซ่อนตามป่าทึบ

7.) ระเบิดลูกปรายลูกใหญ่แต่ละลูกบรรจุลูกระเบิดเดี่ยว หรือที่เรียกว่า ‘บอมบี’ (bombies) หลายร้อยลูก ซึ่งมีขนาดประมาณลูกเทนนิส ประมาณ 30% ของระเบิดเหล่านี้ยังไม่เกิดการระเบิด มันถูกทิ้งไว้ในแผ่นดินลาวมากมายมหาศาล รอวันที่ผู้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่จะไปพบ แล้วหยิบมันขึ้นมาหรือโยนเล่นโดยไม่รู้เรื่อง แล้วก็เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น ทำให้มากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันจากระเบิดคลัสเตอร์ในโลกเกิดขึ้นที่ลาว

8.) Legacies of War เปิดเผยว่าลาวถูกทิ้งระเบิดลูกปรายกว่า 270 ล้านลูกในช่วงสงครามเวียดนาม (มากกว่าการทิ้งระเบิดในอิรัก 210 ล้านลูกในปี 2534, 2541 และ 2549 รวมกัน) มากถึง 80 ล้านลูกที่ยังไม่ระเบิด เกือบ 40 ปีผ่านไปหลังสงคราม น้อยกว่า 1% ของระเบิดเหล่านี้ที่ถูกทำลาย และพื้นที่ที่เต็มไปด้วยระเบิดมากที่สุดแห่งหนึ่งของลาวคือแถบแขวงเชียงขวาง และแขวงตอนกลางและตอนใต้ เช่น คำม่วน สะหวันนะเขต, สาละวัน, อัตตะปือ, เซกอง และบางส่วนของจำปาสัก

9.) สถานการณ์ทุกวันนี้เริ่มที่จะดีขึ้นมาบ้าง เพราะในแต่ละปีมีผู้บาดเจ็บล้มตายรายใหม่ในลาวเพียง 50 รายจากระเบิดลูกปราย ลดลงจาก 310 รายในปี 2551 อุบัติเหตุเกือบ 60% ส่งผลให้เสียชีวิต และ 40% ของเหยื่อเป็นเด็ก (เช่นไปพบลูกบอมบีแล้วคิดว่าเป็นของเล่นแล้วนำมาโยนใส่กัน) จากข้อมูลของ Legacies of War

10.) สหรัฐฯ เองก็ไม่ได้ทอดทิ้งลาว หลังจากรื้อฟื้นความสัมพันธ์แล้ว สหรัฐฯ ก็ช่วยเหลือลาวในการกู้ระเบิดอยู่เนืองๆ เพียงแต่มันเป็นเงินที่เทียบไม่ได้กับงบประมาณที่สหรัฐฯ ทุ่มเทไปกับการ ‘ทำลายล้างลาว’ เพราะในช่วงสงคราม สหรัฐฯ ใช้เงิน 13.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อวัน เป็นเวลา 9 ปีในการทิ้งระเบิดลาว Legacies of War ประเมินว่า ในเวลาเพียง 10 วันของการทิ้งระเบิดที่ลาว สหรัฐฯ ใช้เงินไป 130 ล้านดอลลาร์ หรือมากกว่าที่ใช้ในการเคลียร์ระเบิดในลาวตลอดเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา

‘Apple Store’ เตรียมเปิดสาขาใหม่ 15 แห่งในเอเชียแปซิฟิก ด้าน ‘เวียดนาม’ หลุดโผ ไม่มีรายชื่ออยู่ในโปรเจกต์ใหญ่ครั้งนี้

‘เวียดนาม’ ไม่ได้อยู่ในแผนของ Apple ในการเปิดตัวร้านค้าใหม่ 15 แห่ง ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกตั้งแต่บัดนี้จนถึงปี 2027

เมื่อไม่นานนี้ สํานักข่าวบลูมเบิร์ก ของสหรัฐฯ รายงานว่า บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ มีแผนที่จะสร้าง ปรับปรุง หรือย้ายที่ตั้งโรงงาน 15 แห่ง ในประเทศจีน, ญี่ปุ่น 5 แห่ง, อินเดีย 3 แห่ง, เกาหลีใต้ 2 แห่ง, มาเลเซีย และออสเตรเลียที่ละ 1 แห่ง

ซึ่งหมายความว่า มาเลเซียจะเป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประเทศต่อไป ที่จะได้รับ Apple Store รองจากสิงคโปร์และไทย

เมื่อเดือนที่แล้ว Apple ได้เปิดตัวร้านค้าออนไลน์สําหรับลูกค้าชาวเวียดนาม และนักวิเคราะห์คาดว่า สิ่งนี้จะนําไปสู่การเปิดร้านค้าอิฐและปูนในประเทศ

Apple ได้แสดงความสนใจเพิ่มขึ้นในตลาดเวียดนามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อปีที่แล้วได้แต่งตั้งผู้จัดการประเทศเป็นครั้งแรกและตั้งช่อง YouTube อย่างเป็นทางการ

นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงเวียดนามว่า บรรลุการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักในรายงานทางการเงิน ในช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว มีร้าน Apple มากกว่า 520 แห่งใน 26 ประเทศ

จีน’ ออกโรงเตือน ‘สหรัฐฯ’ ตั้งกลุ่มพันธมิตรสไตล์ ‘นาโต’ มีแต่ทำ ‘เอเชีย-แปซิฟิก’ จมลงสู่วังวนแห่งความขัดแย้ง

เมื่อไม่นานนี้ รัฐมนตรีกลาโหมจีน เตือนการจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรทางทหารสไตล์ ‘นาโต’ รังแต่จะทำให้ ‘เอเชีย-แปซิฟิก’ เจอกับวังวนความขัดแย้ง ย้ำโลกจะต้องเผชิญหายนะที่ไม่อาจทนทานได้ หากมีการเผชิญหน้ารุนแรงระหว่างจีนกับอเมริกา กระนั้น เขาก็ย้ำว่าประเทศของเขามุ่งแสวงหาการสนทนากันมากกว่าการเผชิญหน้า สำหรับทางด้านนายใหญ่เพนตากอน แสดงความไม่พอใจที่เรือจีนพุ่งตัดหน้าเรือพิฆาตของสหรัฐฯ ในระยะประชิด ขณะที่กองทัพปักกิ่งโต้ว่า อเมริกาและแคนาดาจงใจยั่วยุให้เกิดความเสี่ยงจากการร่วมกันเดินเรือผ่านช่องแคบไต้หวัน

‘หลี่ ช่างฝู’ รัฐมนตรีกลาโหมจีน กล่าวปราศรัยในเวทีประชุมความมั่นคง แชงกรีลา ไดอะล็อก ที่สิงคโปร์เมื่อวันอาทิตย์ (4 มิ.ย.) ว่า ความพยายามในการจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรทางทหารในรูปแบบคล้ายกับองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ในเอเชีย-แปซิฟิกรังแต่จะทำให้ภูมิภาคนี้เผชิญวังวนความขัดแย้งและการเผชิญหน้า

การแสดงความคิดเห็นนี้ตอกย้ำคำวิจารณ์ของจีนต่อความพยายามของอเมริกาในการรวบรวมพันธมิตรในเอเชีย-แปซิฟิก ด้วยข้ออ้างว่าเพื่อต่อต้านอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของปักกิ่ง ขณะที่จีนตอบโต้ว่าเป็นความพยายามของวอชิงตันที่จะรักษาฐานะความเป็นเจ้าใหญ่เหนือใคร ๆ ของพวกเขาเอาไว้

ทั้งนี้ อเมริการิเริ่มผลักดันและเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มออคัส ที่ประกอบด้วยออสเตรเลียและอังกฤษ ตลอดจนกลุ่มควอด ที่มีทั้งออสเตรเลีย อินเดีย และญี่ปุ่น

หลี่เสริมว่า เอเชีย-แปซิฟิกวันนี้ต้องการการร่วมมือที่เปิดกว้างและครอบคลุมทุกประเทศ ไม่ใช่การจับกลุ่มยิบย่อยมาต่อต้านชาติอื่น

รัฐมนตรีกลาโหมจีนยังพยายามสร้างภาพให้อเมริกาเป็นผู้ปลุกปั่นให้เอเชียไร้เสถียรภาพ ขณะที่จีนต้องการผ่อนคลายสถานการณ์ โดยกล่าวว่า โลกใหญ่พอที่จีนและอเมริกาจะเติบโตไปพร้อมกัน นอกจากนั้น แม้มีระบบและหลาย ๆ อย่างต่างกัน แต่ไม่ได้ขัดขวางไม่ให้สองประเทศแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันในการเสริมสร้างความสัมพันธ์และการร่วมมือ และคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า หากเกิดความขัดแย้งหรือการเผชิญหน้ารุนแรงระหว่างจีนกับอเมริกา โลกจะต้องเผชิญหายนะที่ไม่อาจทนทานได้

ก่อนหน้านี้ ในวันเสาร์ (3 มิ.ย.) ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ที่ร่วมการประชุมแชงกรีลาที่จัดขึ้นที่สิงคโปร์ด้วยเช่นกัน ประณามจีนที่ปฏิเสธการจัดการหารือทางทหาร โดยระบุว่า การหารือเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันการเข้าใจผิดและการคำนวณผิดพลาด ไม่ใช่การให้รางวัล

วันเดียวกันนั้น กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แถลงว่า ได้ส่งเรือพิฆาตยูเอสเอส ชุงฮุน จากกองเรือที่ 7 แล่นผ่านช่องแคบไต้หวันพร้อมกับเรือฟริเกต เอชเอ็มซีเอส มอนทรีออลของแคนาดา และจีนตอบโต้ด้วยการส่งเรือลำหนึ่งเข้าประชิดเรือยูเอสเอส ชุงฮุน

ต่อมาในวันอาทิตย์ ออสตินกล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า อันตรายอย่างยิ่ง เนื่องจากเรือจีนพุ่งตัดหน้าเรือพิฆาตของอเมริกาในระยะห่างแค่ 46 เมตร พร้อมเรียกร้องให้ผู้นำจีนควบคุมการกระทำในลักษณะดังกล่าวที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

ทว่า กองทัพจีนวิจารณ์ว่า อเมริกาและแคนาดาจงใจยั่วยุให้เกิดความเสี่ยงจากการร่วมกันเดินเรือผ่านช่องแคบไต้หวันซึ่งเป็นน่านน้ำที่มีความอ่อนไหว

ทางฝ่ายหลี่สำทับว่า จีนจะไม่ยอมให้อเมริกาและพันธมิตรใช้ข้ออ้างของเสรีภาพในการเดินเรือเพื่อครองอำนาจครอบงำการเดินเรือ

ภายหลังการกล่าวปราศรัยของหลี่ นักวิชาการหลายคนได้ถามย้ำหลี่เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว รวมถึงการที่จีนเพิ่มประจำการทางทะเลในทะเลจีนใต้ซึ่งมีข้อพิพาทด้านอธิปไตยกับหลายชาติ ปรากฏว่ารัฐมนตรีกลาโหมจีนไม่ได้ตอบคำถามตรงๆ แต่บอกว่า การเคลื่อนไหวของประเทศนอกภูมิภาคทำให้ความขัดแย้งลุกลาม

ทั้งนี้ ออสติน และหลี่จับมือและคุยกันสั้นๆ ในงานเลี้ยงอาหารค่ำเปิดประชุมในวันศุกร์ (2 มิ.ย.) แต่ไม่ได้หารือกันเป็นเรื่องเป็นราว โดยอเมริกานั้นเชิญหลี่พบปะหารือกับออสตินนอกการประชุมแชงกรีลา แต่ปักกิ่งปฏิเสธ

เจ้าหน้าที่อาวุโสคนหนึ่งของสหรัฐฯ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า วอชิงตันยังเสนอการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับล่าง แต่ปักกิ่งไม่ตอบกลับ

ขณะที่สมาชิกคนหนึ่งของคณะผู้แทนจีนบอกกับเอเอฟพีว่า เงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการหารือคือ อเมริกาต้องยกเลิกการแซงก์ชันหลี่ที่บังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2018 จากกรณีการซื้ออาวุธจากรัสเซีย

นอกจากนั้น ชุ่ย เทียนข่าย อดีตเอกอัครราชทูตจีนประจำวอชิงตัน ยังให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวด้านนอกการประชุมแชงกรีลาเมื่อวันอาทิตย์เรียกร้องให้อเมริกาถอนปฏิบัติการทางทหารใกล้จีนเพื่อแสดง ‘ความสุจริตใจ’ หากต้องการฟื้นการเจรจาระดับสูง

อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่งก็มีสัญญาณบางประการเหมือนกัน ซึ่งแสดงว่าทั้งสองประเทศเริ่มมี ‘การสนทนา’ กันมากขึ้นในระดับเจ้าหน้าที่ระดับสูง

เป็นต้นว่า ‘วิลเลียม เบิร์นส์’ ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (ซีไอเอ) ได้เดินทางอย่างลับๆ ไปยังจีนเมื่อเดือนที่แล้ว เจ้าหน้าที่อเมริกันผู้หนึ่งประกาศเรื่องนี้เมื่อวันศุกร์ (2) ที่ผ่านมา

ขณะที่ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก แดเนียล คริเทนบริงค์ ก็เดินทางไปจีนเมื่อวันอาทิตย์ (4) ในการเยือนซึ่งช่วงหลังๆ นี้เกิดขึ้นมาน้อยครั้ง
 

อีลอน มัสก์’ ซีอีโอเทสลา เยือนโรงงานในเซี่ยงไฮ้ เล็งขยายโรงงานผลิตเพิ่มต่อเนื่อง ตอกย้ำประสิทธิภาพ

เมื่อไม่นานนี้ สำนักข่าวซินหัว, เซี่ยงไฮ้ รายงานว่า ‘อีลอน มัสก์’ ซีอีโอเทสลา (Tesla) ได้เดินทางเยือนโรงงานเทสลา เซี่ยงไฮ้ กิกะแฟกทอรี ในเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีน เมื่อช่วงเช้าวันพฤหัสบดี (1 มิ.ย.) โดยเขาได้ชื่นชมประสิทธิภาพและคุณภาพการผลิตของโรงงาน

มัสก์แสดงความยินดีกับทีมจีนสำหรับผลการปฏิบัติงานอันยอดเยี่ยม และพลังงานเชิงบวกในการทำงานต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วง โดยเขากล่าวว่าเป็นเรื่องน่าประทับใจอย่างมากที่ทุกคนสามารถเอาชนะสารพัดอุปสรรคความยากลำบากและความท้าทาย

“รถยนต์ที่ผลิตจากที่นี่ ไม่เพียงมีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่ยังมีคุณภาพสูงสุดอีกด้วย” มัสก์ กล่าว

อนึ่ง โรงงานเซี่ยงไฮ้ กิกะแฟกทอรี ถือเป็น ‘ต้นแบบ’ ของโรงงานเทสลาแห่งอื่นๆ ทั่วโลก เช่น เบอร์ลิน กิกะแฟคทอรี และเท็กซัส กิกะแฟคทอรี ซึ่งเปิดทำการปีก่อน และ ‘ทำสำเนา’ ประสิทธิภาพและอิทธิพลทางอุตสาหกรรมระดับโลกของโรงงานในจีน

โรงงานเซี่ยงไฮ้ กิกะแฟกทอรี ซึ่งก่อตั้งปี 2019 จัดเป็นโรงงานกิกะแฟกทอรีนอกสหรัฐฯ แห่งแรกของเทสลา ที่ได้ส่งมอบรถยนต์ 710,000 คันในปี 2022 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 48 จากปี 2021

ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนเมษายน เทสลาประกาศแผนการก่อสร้างโรงงานขนาดใหญ่แห่งใหม่ในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งจะมุ่งผลิต ‘เมกะแพ็ก’ (Megapack) ผลิตภัณฑ์จัดเก็บพลังงานของเทสลา

รายงานระบุว่า โรงงานแห่งใหม่มีกำหนดเริ่มต้นก่อสร้างในไตรมาสสาม (กรกฎาคม-กันยายน) ของปีนี้ และจะเริ่มต้นการผลิตในไตรมาสสอง (เมษายน-มิถุนายน) ของปี 2024

 

จีน แนะ ซาอุฯ - อิหร่าน - อิรัก - UAE - กาตาร์ - บาห์เรน ผนึกกำลัง สร้างพันธมิตรกองทัพเรือร่วมกัน เพื่อความมั่นคง

อัล จาดีด สำนักข่าวตะวันออกกลางรายงานว่า ประเทศในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย ได้แก่ ซาอุดิอารเบีย อิหร่าน สหรัฐอาหรับเอมิเรตท์ (UAE) กาตาร์ และ บาห์เรน กำลังวางแผนที่จะสร้างพันธมิตรกองทัพเรือร่วมกัน เพื่อความมั่นคงในการคมนาคมขนส่งในตะวันออกกลาง โดยมีจีนทำหน้าที่เป็นคนกลางในการเจรจาครั้งนี้ 

ข่าวนี้ ได้รับการยืนยันจากกองทัพเรืออิหร่าน เมื่อ พลเรือตรี ผบ.ทร ชาห์ราม อิรานี ได้กล่าวออกสื่อโทรทัศน์ในอิหร่านเมื่อวันศุกร์ที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า อิหร่านยินดิที่จะเข้าร่วมพันธมิตรกองทัพเรือกับชาติอื่นในตะวันออกลาง และหากทำสำเร็จ อาจมีการรวมกองทัพเรือของอินเดีย และ ปากีสถาน มาร่วมด้วย

พลเรือตรี ชาห์ราม อิรานี ได้กล่าวเสริมว่า ประเทศต่างๆในภูมิภาคนี้เล็งเห็นแล้วว่า การผนึกกำลังร่วมมือกันเท่านั้นจึงจะสามารถสร้างความมั่นคงในดินแดนแถบนี้ได้ 

และนับเป็นความสำเร็จอีกขั้นของจีน ในฐานะคนกลางในการเจรจาสร้างสันติภาพในตะวันออกกลาง โดยก่อนหน้านี้ ในช่วงเดือนมีนาคม จีนสามารถพาคู่พิพาทระหว่างซาอุดิอารเบีย และ อิหร่าน กลับมาจับมือ และ สานสัมพันธ์ทางการทูตได้อีกครั้งหลังจากที่บาดหมางกันมานานหลายสิบปี 

ทำให้นักวิเคราะห์ที่เฝ้าสังเกตการในตะวันออกกลางมองว่า จากการที่จีนประสบความสำเร็จในการจัดการกับข้อพิพาทระหว่างชาติในตะวันออกกลางด้วยแผนการร่วมมือในเชิงเศรษฐกิจ และ ความมั่นคงเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงอิทธิพลของจีนในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซียอย่างชัดเจน ในขณะที่อิทธิพลของสหรัฐอเมริกาเริ่มอ่อนจางไป 

และเห็นได้ชัดเจนยิ่งขี้น จากการที่ UAE ได้ถอนตัวออกจากกลุ่มกองกำลังร่วมทางทะเลที่นำโดยสหรัฐอเมริกา ที่มีไว้เพื่อรักษาความปลอดภัยในย่านอ่าวเปอร์เซียที่เป็นเส้นทางการค้าน้ำมันที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งโลก ก่อนที่จะมีข่าวว่าเข้าร่วมในพันธมิตรกองทัพเรือที่เป็นแผนการของจีนในอีก 2 วันต่อมา 

แต่การประกาศร่วมมือกันในการสร้างกองทัพเรือของประเทศพันธมิตรในตะวันออกกลาง ที่มีอิหร่านร่วมด้วย สร้างความไม่พอใจแก่อิสราเอล ที่เคยพยายามกดให้ชาติพันธมิตรตะวันออกลางร่วมโดดเดี่ยวอิหร่าน ด้วยข้อกล่าวหาว่าอิหร่านแทรกซึม และสนับสนุนองค์กรก่อการร้าย อย่างกลุ่ม ฮิซบอลลาห์ ในเลบานอน หรือกลุ่มกบฎฮูตี ในเยเมน และอาจมีปัญหากับสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน เนื่องจาก กลุ่ม  Iranian Revolutionary Guard Corps หรือ กองพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพอิหร่านถูกขึ้นทะเบียนเป็นกลุ่มก่อการร้ายในสหรัฐอเมริกา

อีกทั้งยังเป็นการท้าทายอำนาจของสหรัฐอเมริกาโดยตรง อันเนื่องจากสหรัฐฯ ได้คว่ำบาตรทางการค้ากับอิหร่าน และกดดันประเทศพันธมิตรในการซื้อ-ขายน้ำมันจากอิหร่าน แต่เมื่อจีนได้พาอิหร่านมาจับมือกับชาติมหาอำนาจในตะวันออกกลางได้ ก็จะเปิดช่องทางการค้าให้กับอิหร่านอย่างเปิดเผย รวมถึงการสร้างความมั่นคงปลอดภัยในเส้นทางขนส่งทางทะเลผ่านแผนการสร้างพันธมิตรกองทัพเรือ ก็จะยิ่งลดบทบาทของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคนี้ลงไปเรื่อยๆ 

แต่ถึงแม้กลิ่นสันติภาพจะแรงในตะวันออกกลาง แต่บรรยากาศในทะเลจีนใต้ยังคงคุกรุ่น เมื่อจีนพยายามที่จะสร้างอิทธิพลในตะวันออกกลาง แต่กับไต้หวัน ดินแดนใกล้ตัว กำลังอ่อนไหวพร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ อันเนื่องจากเขตพื้นที่ในตะวันออกกลาง สหรัฐฯ อาจยอมที่จะหลับตาข้างหนึ่งไปก่อน เพราะกำลังเปลี่ยนเป้าสายตามาลงที่ย่านอินโด-แปซิฟิค นั่นเอง 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top