Saturday, 10 May 2025
WORLD

ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น

จีนเตรียมจัดพิธีเฉลิมฉลอง กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จฯเยือนจีน ครั้งที่ 50 

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 1 ถึงวันที่ 6 มิถุนายน พุทธศักราช 2566

สมาคมมิตรภาพวิเทศสัมพันธ์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเป็นเจ้าภาพจัดพิธีเฉลิมฉลอง สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯเยือนจีน ครั้งที่ 50 

พิธีจะจัดขึ้น ณ เรือนรับรองรัฐบาลจีนหยู่ไถ กรุงปักกิ่ง ในวันที่ 5 มิถุนายนนี้ เพื่อแสดงถึงมิตรไมตรีระหว่างจีน-ไทยที่มีมาช้านานและจะขยายความร่วมมือใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยไป

‘จริยา ขัตติยศ’ ชนะเลิศการแข่งขัน Master Chef UK 2023  ขึ้นรับรางวัลอันทรงเกียรติ สร้างความภาคภูมิใจให้คนไทยทั้งประเทศ

ขอแสดงความยินดีกับ คุณจริยา ขัตติยศ วัย 40 ปี ผันตัวจากนักคั่วกาแฟระดับปรมาจารย์สู่แชมป์มาสเตอร์เชฟ กลายเป็นแม่ครัวมือสมัครเล่นคนที่ 19 ที่ได้รับตำแหน่งชนะเลิศในการแข่งขันการทำอาหารอันทรงเกียรติของ รายการสถานีโทรทัศน์ BBC One
ประชันฝีมือกับเหล่าผู้เข้ารอบสุดท้ายที่เหลืออย่าง Anurag Aggarwal (อายุ 41) และ Omar Foster (31 ปี) ) จริยา ได้รับรางวัล MasterChef จากกรรมการสุดเขี้ยวอย่าง John Torode และ Gregg Wallace ในการแข่งขันทำอาหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของรายการโทรทัศน์ในสหราชอาณาจักร

จาก บทสัมภาษณ์บีบีซีวัน คุณจริยา พูดถึงชัยชนะของเธอว่า: “นี่เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก รางวัลนี้มันหมายถึงโลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และทุกสิ่งสำหรับฉัน ฉันไม่คิดว่าจะมีอะไรเหนือกว่านี้แล้ว ฉันมีความสุขมาก! นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าถ้าคุณฝันอะไรบางอย่างและคุณทำงานหนักและไม่ยอมแพ้ คุณจะได้มันมา นั่นคือสิ่งที่คุณปู่ของฉันพูดกับฉัน - อย่ายอมแพ้ เขาจะภูมิใจในตัวฉันมาก!”

‘อิสราเอล’ เริ่มทดสอบรถยนต์ไฟฟ้าระบบชาร์จไร้สายบนถนน วิ่งไปชาร์จไปได้ต่อเนื่องแบบไม่หยุดพักนานกว่า 100 ชั่วโมง

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวซินหัว, เยรูซาเล็ม รายงานว่า แถลงการณ์จากอิเลคทรีออน ไวร์เลส (Electreon Wireless) บริษัทเทคโนโลยีขั้นสูงสัญชาติอิสราเอล เปิดเผยว่าบริษัทฯ เริ่มการทดสอบวิ่งรถยนต์ไฟฟ้าบนถนนชาร์จไร้สายแบบไม่หยุดพักนาน 100 ชั่วโมงแล้ว เมื่อวันอาทิตย์ (21 พ.ค) ที่ผ่านมา

บริษัทฯ สร้างระบบชาร์จผ่านถนนโดยใช้ขดลวดทองแดงแบบพิเศษที่ฝังใต้พื้นผิวถนน ซึ่งทำให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถชาร์จพร้อมขับขี่บนถนนได้

รายงานระบุว่า การทดสอบขับรถยนต์ระยะทาง 1,500 กิโลเมตร ซึ่งจะสิ้นสุดในวันพฤหัสบดี (25 พ.ค.) ดำเนินการบนถนนทดสอบที่สร้างแบบพิเศษยาว 200 เมตร ณ สำนักงานใหญ่ของบริษัทฯ ในหมู่บ้านชายฝั่งเบตยาไนทางตอนกลางของอิสราเอล

อนึ่ง ก่อนหน้าในเดือนนี้ อิเลคทรีออน ไวร์เลสได้เปิดตัวเส้นทางรถบัสสาธารณะที่ติดตั้งเทคโนโลยีชาร์จไร้สายในเมืองบัดเบลลิงเงนของเยอรมนี โดยบริษัทฯ ยังได้ลงนามข้อตกลงกับหุ้นส่วนหลายรายเพื่อสร้างถนนชาร์จไร้สายในสหรัฐฯ และหลายประเทศในยุโรป

‘เครื่องบินโดยสาร C919’ ของจีน ขึ้นบินเชิงพาณิชย์เที่ยวแรก ถือเป็นก้าวสำคัญสู่ตลาดการบินพลเรือนอย่างเป็นทางการ

เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, เซี่ยงไฮ้ รายงานว่า เครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ที่จีนพัฒนาขึ้นเอง ‘รุ่นซี 919’ (C919) ได้ทำการบินเชิงพาณิชย์เที่ยวแรกจากนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออก ไปยังกรุงปักกิ่งทางตอนเหนือเสร็จสิ้น เมื่อวันอาทิตย์ (28 พ.ค.) ซึ่งถือเป็นการก้าวสู่ตลาดการบินพลเรือนอย่างเป็นทางการ

รายงาน ระบุว่า เที่ยวบินเชิงพาณิชย์เที่ยวแรกนี้ดำเนินงานโดยสายการบินไชน่า อีสเทิร์น แอร์ไลน์ส (China Eastern Airlines) ขึ้นบินจากท่าอากาศยานนานาชาติเซี่ยงไฮ้ หงเฉียว พร้อมผู้โดยสาร 128 คน ด้วยรหัสเอ็มยู 9191 (MU9191) ตอน 10.32 น. ตามเวลาท้องถิ่น

เครื่องบินได้รับการต้อนรับด้วยพิธีการฉีดอุโมงค์น้ำ หลังจากลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาตินครหลวงปักกิ่ง ตอน 12.31 น. ตามเวลาท้องถิ่น

อนึ่ง ซี919 ถือเป็นเครื่องบินไอพ่นขนาดใหญ่ที่จีนพัฒนาขึ้นเองรุ่นแรก ซึ่งมีมาตรฐานความสมควรเดินอากาศระดับสากลและสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาโดยอิสระของตนเอง

โครงการ ซี 919 เริ่มต้นปี 2007 พัฒนาโดยบริษัทอากาศยานพาณิชย์แห่งประเทศจีน (COMAC) และมีการส่งออกเครื่องบินลำแรกจากสายการผลิตในเซี่ยงไฮ้เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2015 โดยเครื่องบินทำการบินเที่ยวปฐมฤกษ์สำเร็จในปี 2017

“เที่ยวบินเชิงพาณิชย์เที่ยวแรกนี้ นับเป็นพิธีก้าวผ่านช่วงสำคัญของเครื่องบินรุ่นใหม่ โดยซี 919 จะดำเนินงานได้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากสามารถคงสถานะที่ดีในตลาด” จางเสี่ยวกวง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและจัดจำหน่ายของบริษัทฯ กล่าว
 

‘เทมาเส็ก’ ตัดเงินเดือนผู้บริหาร เหตุธุรกิจคริปโตเจ๊งยับ หลังร่วมลงทุนกับ FTX สูญเงิน 275 ล้านเหรียญสหรัฐฯ!!

เทมาเส็กโฮลดิงส์ กองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ ได้ประกาศตัดเงินเดือนของเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจลงทุนใน FTX แพลทฟอร์มซื้อ-ขายเงินคริปโตชื่อดังที่ล้มละลายไปเมื่อช่วงปลายปี 2565 ที่ผ่านมา ที่ทำให้เทมาเส็กสูญเงินมากถึง 275 ล้านเหรียญสหรัฐ 

แม้จะมีการไต่สวน แซม แบงก์แมน-ฟรายด์ อดีตประธานผู้บริหาร และหนึ่งในผู้ก่อตั้ง FTX โดยสำนักอัยการกลางสหรัฐ ว่าเขาอยู่เบื้องหลังการฉ้อโกงเงินของนักลงทุนจากทั่วโลกนับพันล้านดอลลาร์ แต่สุดท้ายศาลได้ตัดสินว่า แซม แบงก์แมน-ฟรายด์ ไม่มีความผิด

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เทมาเส็ก ได้พิจารณาแล้วว่า ทีมผู้บริหารระดับอาวุโส และ ทีมวิเคราะห์การลงทุนของบริษัทมีส่วนต้องรับผิดชอบร่วมกันในการตัดสินใจร่วมลงทุนกับ FTX  ด้วยการถูกตัดเงินเดือน

ทั้งนี้ เทมาเส็ก ไม่ได้ระบุอัตราเงินเดือนที่จะถูกลดเป็นจำนวนเท่าใด แต่คณะกรรมการกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติรู้สึกผิดหวังกับการลงทุนครั้งนั้น และยังส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของเทมาเส็กอย่างมาก

ครั้งหนึ่ง FTX ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในแพลทฟอร์มเทรด เงินคริปโตที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในตลาดการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล เคยมีมูลค่าการซื้อขายรายวันสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของ.โลกมาแล้ว โดยเทมาเส็กได้ตัดสินใจร่วมลงทุนกับ FTX ถึง 2 ครั้ง ในช่วงเดือนตุลาคม 2564 เป็นเงิน 210 ล้านเหรียญ และเพิ่มอีก 65 ล้านเหรียญในเดือนมกราคม 2565

ด้านผู้บริหารกองทุนเทมาเส็ก แย้งว่าได้ใช้เวลาประเมินธุรกิจการซื้อขาย แลกเปลี่ยนเงินคริปโตมานานถึง 8 เดือน รวมถึงตรวจสอบบัญชีการเงินที่แสดงผลประกอบการที่มีกำไรของ FTX ก่อนตัดสินใจลงทุน ซึ่งถ้าหากเทียบกับมูลค่าของกองทุนเทมาเส็กในเดือนมีนาคม 2566 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 2.98  แสนล้านเหรียญ ก็จะพบว่าเงินที่นำไปลงทุนใน FTX มีสัดส่วนที่น้อยมาก เพียงแค่ 0.09% เท่านั้นที่แทบไม่ส่งผลต่อกำไรโดยรวมของบริษัท

แต่ทว่า ลอเรนซ์ หวัง รองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ไม่คิดเช่นนั้น เพราะการสูญเงินใน FTX กระทบกับชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของเทมาเส็ก ที่เป็นกองทุนของรัฐบาล ซึ่งก็คือเงินออมของชาติ ที่ชาวสิงคโปร์คาดหวังว่ารัฐบาลจะนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างมูลค่า และมีอนาคตที่ดี 

แต่ความผิดพลาดจากการลงทุนใน FTX เกิดจากความมั่นใจในธุรกิจด้านเทคโนโลยี และทรัพย์สินดิจิทัลที่มากเกินไป ว่าจะเป็นเทรนของโลกธุรกิจการเงินยุคใหม่ เทมาเส็กจึงกระโดดลงไปร่วมลงทุนตั้งแต่แรกๆ แม้จะเห็นว่ามีความเสี่ยงสูงแต่ก็เชื่อมั่นในผลตอบแทนที่มากกว่าในอนาคต แต่สุดท้ายกลายไปการลงทุนที่สูญเปล่าไปทันทีที่ FTX ล่มสลาย ผู้ก่อตั้งอย่าง แซม แบงก์แมน-ฟรายด์ กลายเป็นบุคคลล้มละลาย และถูกจับกุมดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกง และจงใจปกปิดข้อมูลที่ทำให้นักลงทุนเข้าใจผิด 

และบอร์ดบริหารของเทมาเส็ก ตัดสินใจให้พนักงานเป็นแพะรับบาปของหายนะจากการลงทุนใน FTX ซึ่งอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของการพิจารณาการลงทุนในสินทรัพย์ใดๆของเทมาเส็ก เมื่อพนักงานต้องแบกรับผลจากการขาดทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงเช่นนี้ 

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์
อ้างอิง : BBC / Channel News Asia

‘เหม่ยถวน’ อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีน โตอย่างแข็งแกร่ง  เผยกำไร 3 เดือนแรก รวมอยู่ที่ 2.87 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.7 

(ซินหัว) — เหม่ยถวน (Meituan) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีน รายงานกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2023 รวมอยู่ที่ 3.59 พันล้านหยวน (ราว 1.76 หมื่นล้านบาท) ซึ่งเปลี่ยนจากการขาดทุนเป็นกำไร

รายงานผลประกอบการก่อนตรวจสอบของบริษัทฯ ระบุว่ารายได้จากการดำเนินงานในช่วง 3 เดือนแรก รวมอยู่ที่ 5.86 หมื่นล้านหยวน (ราว 2.87 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.7 เมื่อเทียบปีต่อปี

เหม่ยถวนเพิ่มปริมาณการลงทุนในตลาดผู้บริโภคจีนอย่างต่อเนื่องช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม รวมถึงด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี (R&D) โดยมีการใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาแตะ 5 พันล้านหยวน (ราว 2.45 หมื่นล้านบาท) ส่วนรายได้จากการค้าหลักท้องถิ่น อยู่ที่ 4.29 หมื่นล้านหยวน (ราว 2.1 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.5 เมื่อเทียบปีต่อปี

หวังซิ่ง ซีอีโอของเหม่ยถวน กล่าวว่าธุรกิจทั้งหมดของบริษัทฯ เติบโตแข็งแกร่งในช่วงไตรมาสแรก ซึ่งเป็นผลมาจากการบริโภคในท้องถิ่นที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง

‘ทวีสุข ธรรมศักดิ์’ นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ โพสต์ถึงความเสมอภาคที่ไม่เคยมีอยู่จริงในประวัติศาสตร์โลก

เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 66 นายทวีสุข ธรรมศักดิ์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ได้โพสต์ถึงกรณี การประท้วงในฝรั่งเศสที่กำลังคุกรุ่นอยู่ในขณะนี้ โดยระบุว่า…

“ขณะนี้มีการประท้วงในฝรั่งเศส จากแผนสวัสดิการ ความไม่เท่าเทียมกัน เพื่อความเสมอภาค เสรีภาพ และ ทุพลภาพ ที่ไม่เคยมีอยู่จริง สู้มาแล้ว 200 ปี สู้อยู่ และ สู้ต่อไปอีก 200 ปี ถามจริงๆ 3,000 ปีที่ผ่านมา มีช่วงไหนของประวัติศาสตร์โลก ที่มีความเท่าเทียมกันบ้าง มีแต่สร้างฝันให้คนพูดเอาไปหาผลประโยชน์กับตัวเองทั้งนั้น”

‘เรเซป ไทยิป แอร์โดกัน’ รักษาตำแหน่งผู้นำตุรกีได้เป็นสมัยที่ 3 หลังคว้าชัยในการเลือกตั้งรอบตัดสิน ครองอำนาจต่ออีก 5 ปี

ประเทศตุรกี ได้จัดการเลือกตั้งใหญ่ไปเมื่อ 14 พฤษภาคมผ่านมา โดยมี 2 ผู้แข่งขันที่มีคะแนนไล่บี้กันมากคือ นาย เรเซป ไทยิป แอร์โดแกน ผู้นำปัจจุบัน และ นาย เคมัล คือลิชดากูลู ผู้นำฝ่ายค้าน แม้ว่า แอโดแกนจะชนะไปแล้วในรอบแรก แต่ได้เสียงสนับสนุนไม่ถึงครึ่ง (50%) จึงต้องมาเลือกตั้งต่อในรอบที่ 2

ผลปรากฏว่า ราเซป ไทยิป แอร์โดแกน ยังคงมีคะแนนนำ สามารถชนะไปได้ด้วยคะแนน 52.14% สมเป็นแมว 9 ชีวิตแห่งออตโตมาน ครองอำนาจการเมืองในรัฐบาลตุรกีเข้าสู่ทศวรรษที่ 3

‘ตำรวจ’ เผย ชายก่อเหตุเปิดประตูฉุกเฉิน ‘เอเชียน่า แอร์ไลน์’ เจ้าตัวแจ้ง เครียด เหตุเพิ่งตกงาน อยากรีบออกจากเครื่องบิน

(27 พ.ค. 66) รอยเตอร์ และ เอเอฟพี รายงาน ชายผู้โดยสารที่ก่อเหตุระทึก เปิดประตูทางออกฉุกเฉินสายการเอเชียน่า แอร์ไลน์ของเกาหลีใต้ เส้นทางบินภายในประเทศ ขณะเครื่องบินกำลังจะลงจอดที่สนามบินแทกู ประเทศเกาหลีใต้ ที่กลายเป็นข่าวฮือฮาเมื่อวันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา สารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเพิ่งตกงาน และเครียด ช่วงเวลาก่อเหตุรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก และต้องการรีบออกจากเครื่องบินเร็วๆ

เอเอฟพี ระบุช่วงเกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญเครื่องบินแอร์บัส A321ที่มีผู้โดยสารอยู่เกือบ 200 ชีวิต กำลังบินอยู่สูงเหนือพื้นดินราว 200 เมตร เจ้าหน้าที่ตำรวจแทกู บอกกับเอเอฟพีว่า ชายผู้โดยสารวัย 30 กว่าที่ก่อเหตุ สารภาพว่า “เขารู้สึกว่าเที่ยวบินนี้ใช้เวลาเดินทางนานกว่าที่ควรจะเป็นและรู้สึกหายใจไม่ออกเมื่ออยู่ในห้องผู้โดยสาร เขาจึงต้องการรีบลงจากเครื่องบินไวๆ”

กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า มีผู้โดยสารราว 10 กว่ารายถูกนำส่งโรงพยาบาล หลังจากมีอาการหายใจติดขัด แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บรุนแรง หรือมีความเสียหายหนักแต่อย่างใด

ขณะที่รอยเตอร์ รายงานว่ามีผู้โดยสาร 9 รายถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยปัญหาเรื่องการหายใจ และทุกคนได้รับการปล่อยตัวออกจากโรงพยาบาลหลังจากผ่านไป 2 ชั่วโมง

ทั้งนี้ มีผู้โดยสารวัย 44 ปี เปิดเผยกับสำนักข่าวยอนฮับว่า “มันเกิดความชุลมุนจากการที่ผู้โดยสารที่นั่งใกล้ประตูทางออกฉุกเฉินเริ่มเป็นลมกันทีละคน และเจ้าหน้าที่บนเครื่องบินประกาศว่ามีหมออยู่บนเครื่องบินนี้บ้างมั้ย ฉันยังคิดว่าเครื่องบินกำลังจะระเบิด และคิดว่าฉันกำลังจะตายแบบนี้หรือ”

แอร์สาวสายการบินดังของฮ่องกง ดูถูกผู้โดยสารจีน บอกจะไม่ให้ผ้าห่ม หากผู้โดยสารพูดภาษาอังกฤษไม่ได้‼

เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 66 โลกโซเชียลได้แชร์เรื่องราวสุดดรามา ที่กำลังได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์สนั่นโซเชียลจีนอยู่ในขณะนี้ ถึงเรื่องของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของสายการบิน ‘คาเธ่ย์ แปซิฟิค แอร์ไลน์’ (Cathay Pacific Airlines) หรือภาษาจีน คือ ‘国泰航空’ เป็นสายการบินของฮ่องกง ได้ใช้ถ้อยคำดูถูกผู้โดยสารจีนที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ โดยระบุว่า…

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2023 บนเที่ยวบิน CX987 จาก เฉิงตู เดินทางไปยังฮ่องกง ได้มีพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน 3 คน ที่ได้แสดงพฤติกรรมเลือกปฏิบัติ และเหยียดผู้โดยสารชาวจีน ที่ไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้

เนื่องจากผู้โดยสารชาวจีน ต้องการผ้าห่ม จึงขอกับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน แต่กลับโดนพนักงานตอบกลับมาว่า “Can You Speak English?” “If you cannot say blanket in English , you cannot have it”

แปลเป็นไทยคือ “คุณพูดอังกฤษได้มั้ย ถ้าพูดไม่ได้ คุณก็จะไม่ได้ผ้าห่มไปหรอก”

ซึ่งทางผู้โดยสารจีนรายนี้ก็พยายามนึกคำศัพท์ภาษาอังกฤษ และพูดขึ้นมาว่า ‘Carpet’ ซึ่งแปลว่า ‘พรม’

ปรากฏว่ากลับโดนแอร์สาวบนเครื่อง หัวเราะขบขันด้วยความตลก แล้วแอร์สาวก็พูดภาษาอังกฤษตอบไปว่า “Carpet is on the floor” (พรมก็อยู่ที่พื้นไง)

ปรากฏว่ามีผู้โดยสารท่านอื่นที่เห็นเหตุการณ์ ก็ได้อัดคลิปเสียงสนทนานั้นเอาไว้ แล้วก็โพสต์ลงโซเชียลจีน ว่าตนรู้สึกแย่มากๆ ทำไมแอร์โฮสเตส ต้องปฏิบัติแย่ๆ กับคนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้แบบนี้ด้วย

ล่าสุดกลายเป็นประเด็นร้อน มีชาวจีนจำนวนมากต่างออกมาประนามสายการบินคาเธ่ แปซิฟิก และจะร่วมกันแบนสายการบินนี้ไม่ขอใช้บริการอีก

ร้อนถึงทางสายการบินต้องรีบออกมาประกาศชี้แจงและขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และประกาศปลดพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินทั้ง 3 คน ให้พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานแล้ว

ในส่วนความคิดเห็นชาวจีน มีหลายความเห็นออกมาแชร์ประสบการณ์ว่า ตนก็เคยเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้ เมื่อบินกับสายการบินนี้มาแล้ว ส่วนตัวคิดว่าแย่มากๆ ที่พนักงานมีทัศนคติแย่ๆ แบบนี้ และสายการบินทำถูกแล้ว ที่รีบตัดไฟเสียแต่ต้นลม

‘เมตา’ ยื่นอุทธรณ์ หลังถูก EU ปรับ 1,200 ล้านยูโร ฐานกระทำผิด ละเมิดกฎปกป้องข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า

เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 66 สำนักข่าวอินโฟเควสท์ รายงานว่า บริษัท เมตา แพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก ออกแถลงการณ์ระบุว่า ทางบริษัทจะยื่นอุทธรณ์ หลังสหภาพยุโรป (EU) ประกาศปรับบริษัทเป็นจำนวนเงิน 1.2 พันล้านยูโร (1.3 พันล้านดอลลาร์) หรือราว 45,000 ล้านบาท เนื่องจากละเมิดกฎระเบียบเกี่ยวกับการปกป้องข้อมูลของลูกค้าใน EU

“เราจะอุทธรณ์คำตัดสินดังกล่าว และจะขอให้ศาลออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดจากคำสั่งดังกล่าว ซึ่งรวมถึงผู้ใช้เฟซบุ๊กจำนวนหลายล้านคนในแต่ละวัน” แถลงการณ์ระบุ

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการปกป้องข้อมูลของไอร์แลนด์ ซึ่งควบคุมดูแลการดำเนินงานของเมตาใน EU ได้กล่าวหาว่าทางบริษัทได้ละเมิดกฎระเบียบการปกป้องข้อมูลทั่วไป (GDPR) ด้วยการส่งข้อมูลส่วนตัวของพลเมืองในยุโรปไปยังสหรัฐ แม้มีคำตัดสินจากศาลยุโรปในปี 2563

คำสั่งปรับดังกล่าวถือว่ามีวงเงินสูงสุดนับตั้งแต่ที่ EU มีคำสั่งลงโทษบริษัทที่ละเมิดกฎระเบียบ GDPR โดยบริษัทที่ถูกปรับสูงสุดก่อนหน้านี้คือบริษัทแอมะซอน ซึ่งถูกปรับเป็นเงิน 746 ล้านยูโรในปี 2564

นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการฯ ยังมีคำสั่งให้เมตาระงับการโอนข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าใน EU ไปยังสหรัฐภายในเวลา 5 เดือนนับตั้งแต่มีคำตัดสินดังกล่าว

เว็บเทรด ‘Hotbit’ ของฮ่องกง ประกาศยุติให้บริการ หลังบริษัทประสบปัญหาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2022

เมื่อวาน 22 พ.ค. 66 Hotbit กระดานเทรด Crypto ที่จดทะเบียนในฮ่องกง ประกาศว่า จะยุติการดำเนินงานในวันที่ 22 พฤษภาคม และขอให้ผู้ใช้บริการทำการถอนเงินออกก่อนเวลา 11.00 น. ของวันที่ 21 พฤษภาคมตามเวลาไทย

สำหรับการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ บริษัทได้ให้เหตุผลว่า การดำเนินงานของบริษัทเริ่มย่ำแย่ลง หลังจากอดีตสมาชิกทีมคนหนึ่งถูกสอบสวนเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2022 และบริษัทถูกสั่งให้ยุติการดำเนินธุรกิจเป็นเวลาหลายสัปดาห์

Hotbit ยังได้อ้างถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในวงการ Crypto ด้วยว่า สถานการณ์เหล่านั้นก็ส่งผลต่อบริษัทด้วยเช่นกัน รวมไปถึงการล่มสลายของ FTX และวิกฤตการธนาคารที่ส่งผลให้ USDC หลุด Peg ทำให้เงินทุนของบริษัทไหลออกอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ทีมของ Hotbit ยังเชื่อด้วยว่า กระดานเทรดแบบรวมศูนย์ ‘มีความยุ่งยากมากขึ้น’ และ ‘ดูเหมือนว่าจะไม่ตอบสนองต่อเทรนด์แนวโน้มในระยะยาว’ พร้อมกล่าวว่า หนทางเดียวในการแก้ไขปัญหานี้ คือ การทำให้กระดานเทรดมีความกระจายศูนย์ หรือยอมรับกฎระเบียบต่าง ๆ

บริษัทยังได้กล่าวโทษการโจมตีทางไซเบอร์และการใช้ประโยชน์จาก ‘โปรเจกต์ที่มีข้อบกพร่องโดยผู้ไม่ประสงค์ดี’ ที่ส่งผลให้กระดานเทรดแห่งนี้เดินทางมาถึงคราวล่มสลาย

หลังจากการประกาศนี้ถูกเผยแพร่ คนในชุมชน Crypto หลายคนได้ออกมาบ่นตัดพ้อว่า พวกเขาไม่สามารถถอนเงินออกจากกระดานเทรดได้
 

‘ชาวเซอร์เบีย’ ส่งมอบปืนคืนรัฐฯ กว่าหมื่นกระบอก หลังเกิดโศกนาฏกรรมกราดยิงในโรงเรียน

‘เซอร์เบีย’ เป็นประเทศที่มีอัตราการถือครองอาวุธปืนมากเป็นอันดับ 5 ของโลก และมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในยุโรป ปัจจุบันจากจำนวนชาวเซอร์เบียราว 7 ล้านคน มีการถือครองปืนมากถึง 2.7 ล้านกระบอก และมากกว่าครึ่งเป็นอาวุธปืนที่ครอบครองโดยผิดกฎหมาย

วัฒนธรรมการถือครองปืนของชาวเซอร์เบีย เริ่มแพร่หลายอย่างรวดเร็ว ช่วงหลังสิ้นสุดสงครามยูโกสลาเวียในปี 1989 ซึ่งชาวเซอร์เบียมองว่า การมีอาวุธปืนในครอบครองถือเป็นสิทธิ์ขั้นพื้นฐานในการป้องกันตนเอง อีกทั้งการใช้ปืน ยังเป็นส่วนหนึ่งในพิธีแต่งงาน งานเฉลิมฉลองในวันเกิดทารก หรือแม้แต่เป็นหนึ่งในสมบัติประจำครอบครัวที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น

แต่ทั้งนี้ คดีอาชญากรรมที่ใช้ปืนเป็นอาวุธในเซอร์เบียอยู่ในระดับกลาง ราวๆ 0.3 คดีต่อประชากร 100,000 คน และมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ อีกด้วย อาจทำให้ชาวเซอร์เบียชะล่าใจว่า การถือครองปืนไม่ได้ส่งผลต่อระดับคดีอาชญากรรมในประเทศ จนกระทั่ง เกิดเหตุโศกนาฎกรรม กราดยิงครั้งใหญ่ ติดต่อกันถึง 2 แห่งภายในระยะเวลาไม่ถึงสัปดาห์

เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นในโรงเรียน Vladislav Ribnikar Model Elementary School ชานกรุงเบลเกรด โดยนักเรียนอายุ 13 ปี ใช้ปืนของพ่อกราดยิงเพื่อน และ ครูในโรงเรียน เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 10 คน และบาดเจ็บอีก 6 คน หลังจากนั้นเพียง 2 วัน เกิดเหตุชายวัย 21 ขับรถไล่ยิงคนตามหมู่บ้านต่างๆ ที่อยู่ทางใต้ของกรุงเบลเกรด จนมีผู้เสียชีวิตถึง 8 รายในคืนเดียว

จากเหตุสลดดังกล่าว ทำให้ชาวเซอร์เบียเริ่มตระหนักถึงอันตราย จากการมีอาวุธใกล้มือเกินไปที่บ้าน และเรียกร้องให้ประธานาธิบดี อเล็กซานดาร์ วูซิส ออกกฎหมายควบคุมอาวุธปืนโดยทันที

ด้านผู้นำเซอร์เบีย ก็ได้ออกคำสั่งกวาดล้างอาวุธปืนเถื่อน และเพิ่มโทษการถือครองอาวุธปืนที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนถูกต้อง ด้วยโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี

แต่ประธานาธิบดี วูซิส ได้ประกาศช่วงนิรโทษกรรม 1 เดือนให้กับชาวเซอร์เบียทุกคนที่ยังครอบครองอาวุธปืนเถื่อน ให้นำมาส่งมอบคืนกับรัฐบาล จะได้รับการยกเว้นโทษ ซึ่งช่วงนิรโทษกรรมเริ่มตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม ไปจนถึง 8 มิถุนายนนี้ หากพ้นชวงนี้ไป ทางรัฐบาลเซอร์เบียจะเริ่มนโยบายกวาดล้างอาวุธปืนเถื่อน และใครที่ยังถือครองอยู่จะได้รับโทษตามกฏหมาย ไม่มีละเว้น

ซึ่งทันทีที่มีประกาศ ชาวเซอร์เบียก็ได้นำอาวุธไปคืนให้กับรัฐบาลเซอร์เบียเป็นจำนวนมาก จนกองพะเนินเป็นภูเขา และยังเป็นที่น่าตกตะลึงว่า ในจำนวนปืนที่นำมาส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ นอกจากจะมีปืนกล ปืนกึ่งอัตโนมัต ที่เป็นกลุ่มอาวุธที่รัฐบาลไม่อนุญาตให้พลเรือนครอบครองอยู่แล้ว ยังพบปืนต่อสู้รถถัง และ ปืนยิงขีปนาวุธ บางส่วนด้วย ซึ่งนับรวมแล้วตอนนี้มีปืนจากประชาชน ส่งคืนให้รัฐบาลไม่น้อยกว่า 13,500 กระบอก

แม้ว่าการเปลี่ยนวัฒนธรรมการครอบครองปืนของชาวเซอร์เบียจะเป็นเรื่องยาก แต่ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี โดยผู้นำเซอร์เบียได้ออกมากล่าวชื่นชมชาวเซอร์เบียที่นำอาวุธมาส่งคืนให้ เพราะมีตัวเลขที่น่าสนใจว่า ในจำนวนปืนราวหมื่นกระบอกนี้ กว่าครึ่งเป็นปืนที่ลงทะเบียนอย่างถูกต้อง แต่ชาวเซอร์เบียบางส่วนก็ยินดีส่งมอบคืนให้แก่รัฐบาล เพราะเห็นว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้ปืนเหล่านี้แล้ว อีกทั้งไม่อยากเห็นเหตุกราดยิงเกิดขึ้นในเซอร์เบียอีก

การออกมาตรการควบคุมอาวุธปืนในเซอร์เบีย กำลังจะเป็นที่สนใจอย่างมากในอีกประเทศที่มีปัญหาคดีอาชญากรรมจากอาวุธปืนอย่างหนัก นั่นก็คือ สหรัฐอเมริกา

โดยสื่อในสหรัฐ พยายามถอดรหัส ‘เซอร์เบียโมเดล’ การปลุกจิตสำนึกให้ประชาชนลดการถือครองอาวุธปืน และสร้างความเชื่อมั่นในการสร้างสังคมที่ปลอดภัยได้โดยปราศจากอาวุธ

แต่โมเดลเซอร์เบีย อาจจะเกิดขึ้นไม่ง่ายที่สหรัฐ เนื่องจากในเซอร์เบียไม่มี ‘สมาคมปืนแห่งชาติ’ ที่พร้อมทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเพื่อล็อบบี้นักการเมืองอเมริกัน ในการยกมือคัดค้านกฎหมายควบคุมอาวุธปืน โดยอ้างสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเป็นสรณะ มานานนับร้อยปีนั่นเอง

‘เจฟฟรีย์ เอปสตีน’ แฉ!! ‘บิล เกตส์’ ปมชู้สาว เผย แอบนอกใจอดีตภรรยา ไปควงสาวรัสเซียวัย 20 ปี!!

‘เจฟฟรีย์ เอปสตีน’ นักค้าประเวณีที่ถูกตัดสินว่ามีความผิด ล่าสุดมีท่าทีที่เหมือนจะข่มขู่ ‘บิล เกตส์’ เศรษฐีพันล้าน ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft และพยายามแบล็กเมล์เรื่องชู้สาวกับนักเล่นบริดจ์ชาวรัสเซีย ตามรายงานใหม่ที่เผยแพร่โดยวอลล์สตรีทเจอร์นัล

แหล่งข่าวที่คุ้นเคยกับเรื่องนี้กล่าวกับวารสารว่า หลังจากที่ เจฟฟรีย์ เอปสตีน รู้เรื่องความสัมพันธ์ของผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft กับผู้เล่นบริดจ์ชาวรัสเซีย ชื่อ ‘Mila Antonova’ โดยขู่ว่า บิล เกตส์ จะคืนเงินค่าเล่าเรียนให้ตน ซึ่งเจฟฟรีย์ เอปสตีน เป็นคนจ่ายให้ Mila Antonova ในตอนแรก เพื่อเข้าร่วมการเขียนโปรแกรมซอฟต์แวร์ของโรงเรียน

‘สวิตเซอร์แลนด์’ ประเทศที่มีความเป็นกลางที่สุดในโลก เหตุใดยังจำเป็นต้องมี ‘ทหาร’ แม้อยู่ในภาวะไร้สงคราม

เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่ง ชื่อ ‘khaekhaitravel’ โพสต์คลิปบอกเล่าสาระความรู้ เกี่ยวกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถึงเรื่องของ ‘ทหาร’ ในประเทศที่มีความเป็นกลางมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก โดยระบุว่า…

“รู้หรือไม่? ผู้ชายชาวสวิตเซอร์แลนด์ทุกคน จำเป็น ‘ต้องเป็นทหาร’ และทหารทุกคนจะมีปืนไรเฟิลไว้ที่บ้าน เพราะที่สวิตเซอร์แลนด์นั้นไม่ได้มีทหารเยอะเหมือนประเทศไทยบ้านเรา ด้วยความที่สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศขนาดเล็กและมีจำนวนประชากรเพียง 8.8 ล้านคน เพราะฉะนั้น ที่สวิตเซอร์แลนด์ส่วนมากจะมีแต่ทหารอาสา ซึ่งก็คือผู้ชายสวิตเซอร์แลนด์ที่ถูกฝึกทหารกันไว้แล้ว หากเกิดสงครามขึ้น คนสวิตฯ ก็พร้อมรบ เพราะมีอาวุธพร้อม และทหารที่พร้อมตลอดเวลา ส่วนใครที่ไม่ได้เป็นทหาร เช่น ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ มีความพิการ หรือเป็นนักกีฬาของประเทศ จะต้องจ่ายภาษี 3% ของรายได้ ซึ่งมีระยะเวลาที่ต้องจ่ายประมาณ 10-12 ปีเลยทีเดียว และหากเป็นผู้ที่ไม่มีรายได้ก็จะจ่ายภาษีส่วนนี้น้อยลง”

ผู้ใช้ติ๊กต็อกยังกล่าวอีกว่า การเป็นทหารที่สวิตเซอร์แลนด์ค่อนข้างมีความยืดหยุ่น เพราะผู้ชายที่สวิตฯ ต้องเป็นทหารกันประมาณ 300 วัน ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นทหารไปเลยเป็นระยะเวลา 1 ปี หรือจะเลือกเป็นทหาร 10 ปีก็ได้ เพราะบางคนก็ไม่สะดวกที่จะหยุดทุกอย่างเพื่อไปเป็นทหาร ที่สวิตเซอร์แลนด์จึงสามารถเลือกเป็นทหารกันประมาณ 10 ปี โดยแต่ละปีผู้ชายชาวสวิตฯ จะต้องมาฝึกทหารเป็นเวลา 2-3 อาทิตย์ เพื่อสะสมชั่วโมงหรือสะสมวันให้ครบนั่นเอง

“จริงๆ เคยมีคำถามจากประชาชนเยอะมาก ว่าเหตุใดประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีความเป็นกลาง แต่ทำไมถึงต้องใช้งบประมาณจำนวนมากไปกับทหาร ซึ่งประชาชนบางส่วนก็ไม่เห็นด้วย แต่สวิตเซอร์แลนด์ก็มองว่า ถึงแม้ประเทศเขาจะมีความเป็นกลาง แต่ก็ต้องมีความมั่นคงไปด้วย เช่น เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ได้ให้ประชาชนร่วมกันโหวต ว่าจะซื้อเครื่องบินรบดีหรือไม่ ปรากฎว่า เสียงข้างมาก หรือคิดเป็นประมาณ 50.1% มีมติเห็นด้วยที่จะอนุมัติการซื้อเรื่องบินรบ” ผู้ใช้ติ๊กต็อก กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top