Tuesday, 30 April 2024
WORLD

'ออสเตรเลีย' กลับลำ!! ขอแยกทางจากสหรัฐฯ ยกเลิกรับรองเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงให้อิสราเอล

รัฐบาลออสเตรเลียได้ออกมายืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า ได้ยกเลิกการรับรองกรุงเยรูซาเล็มฝั่งตะวันตกว่าเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลแล้ว ซึ่งเป็นการถอนคำสั่งของ อดีตนายกรัฐมนตรี สกอตต์ มอร์ริสัน (Scott John Morrison) ที่ได้ประกาศรับรองเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงให้อิสราเอลไว้ในปี 2018

สาเหตุเบื้องหลังเกิดจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ประกาศรับรองให้กรุงเยรูซาเล็ม เป็นเมืองหลวงอย่างเป็นทางการ (ตามความเห็นของผู้นำสหรัฐฯ) ให้กับอิสราเอล พร้อมทั้งย้ายสถานทูตสหรัฐฯ ไปตั้งในเขตเยรูซาเล็ม อย่างเป็นนัยสำคัญให้กับฝ่ายอิสราเอล ท่ามกลางการประท้วงคัดค้านอย่างหนักของชาวปาเลสไตน์ และ ผู้นำหลายชาติทั่วโลก 

แต่ทั้งนี้ ด้านออสเตรเลีย ที่ถือว่าเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดมากที่สุดชาติหนึ่งของสหรัฐฯ อีกทั้ง สกอตต์ มอร์ริสัน ก็เป็นนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ที่มีแนวคิดคล้าย ๆ กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ตัดสินใจเดินตามรอยเท้าลูกพี่ใหญ่อย่างไม่ลังเล ออกมาประกาศรับรองการอ้างสิทธิ์เหนือกรุงเยรูซาเล็มของอิสราเอลเช่นกัน เมื่อปี 2018 และกำลังรอเวลาที่จะย้ายสถานทูตออสเตรเลียจากกรุง เทล อาวีฟ ไปตั้งในเขตเยรูซาเล็ม ตามสหรัฐอเมริกาไปติด ๆ

แต่พอจบรัฐบาลของสกอตต์ มอร์ริสัน ไปแล้ว แอนโทนี แอลบานีส นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย เชื้อสายอิตาลีคนใหม่จากพรรคแรงงาน ก็ได้กลับมาทบทวนนโยบายการรับรองกรุงเยรูซาเล็มอีกครั้ง และตัดสินใจคว่ำแผนการย้ายสถานทูตทิ้งแบบไม่ใยดีเช่นกัน

ตอนแรกทางรัฐบาลออสเตรเลียตั้งใจจะกลับลำแบบเงียบ ๆ ด้วยการแอบไปลบแผนนโยบายต่างประเทศเก่า ๆ ในสมัยของสกอตต์ มอร์ริสัน ที่โพสต์อยู่บนเว็บไซต์ของรัฐบาลทิ้ง โดย 2 ประโยคเด็ดที่ถูกลบออกไป คือช่วงที่มีการเขียนรับรองว่ากรุงเยรูซาเล็ม ให้อิสราเอล รวมถึงแผนการย้ายสถานทูต ดังนี้...

“Consistent with this longstanding policy, in December 2018, Australia recognised West Jerusalem as the capital of Israel, being the seat of the Knesset and many of the institutions of the Israeli government.

“Australia looks forward to moving its embassy to West Jerusalem when practical, in support of, and after the final status determination of, a two-state solution.”

แต่ทว่า ทุกประเทศล้วนมีทีม 'แคปทัน' เสมอ หูตาไวเวอร์ ที่สังเกตว่า อ้าว! นโยบายเรื่องเกี่ยวกับอิสราเอลหายไปแล้วนิหน่า หมายความว่ารัฐบาลออสเตรเลียชุดใหม่ จะทิ้งขบวน ไม่ตามสหรัฐฯ ไปกรุงเยรูซาเล็มแล้วใช่หรือไม่?

เมื่อวันที่ (18 ต.ค. 65) เพนนี หว่อง รัฐมนตรีต่างประเทศของออสเตรเลีย จึงออกมาแถลงข่าวยืนยันว่า รัฐบาลออสเตรเลียได้ตัดสินใจใหม่แล้วว่า จะไม่รับรองกรุงเยรูซาเล็ม ฝั่งตะวันตก เป็นเมืองหลวงของอิสราเอลอีกต่อไป เพื่อรักษาบรรยากาศแห่งความสันติสุขระหว่าง อิสราเอล และ ปาเลสไตน์ ให้เข้าสู่กระบวนการเจรจาหาทางออกในแนวสันติวิธี และเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ 

ทั้งนี้ออสเตรเลีย ยังสนับสนุนนโยบาย Two-state solution และสถานทูตออสเตรเลีย ก็จะยังคงอยู่ที่กรุง เทล อาวีฟ เช่นเดิม ไม่ย้ายไปไหนด้วย

เพนนี หว่อง ยังกล่าวถึงรัฐบาลอิสราเอลว่า "ทางออสเตรเลียยังเป็นมิตรประเทศกับอิสราเอลอยู่นะ และต้องไม่ลืมว่า ออสเตรเลียคือชาติแรก ๆ ที่รับรองเอกราชให้กับชาติอิสราเอล เพียงแต่การยกเลิกนโยบายเก่าไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ดูแลชุมชนชาวยิวในออสเตรเลีย แต่ทั้งนี้ ออสเตรเลียก็มีหน้าที่ดูแลชุมชนชาวปาเลสไตน์ของเราด้วยอย่างเสมอภาค รวมถึงการสนับสนุนด้านมนุษยธรรมให้กับทุกชุมชน"

เมื่อรัฐบาลชุดใหม่ของออสเตรเลียออกมากลับคำ จากสิ่งที่เคยให้สัญญาไว้ย่อมสะเทือนถึงรัฐบาลอิสราเอลเป็นธรรมดา 

โดยด้าน ยาอีร์ ลาปิด นายกรัฐมนตรีอิสราเอลออกมาตอบโต้ทางออสเตรเลียอย่างเผ็ดร้อน ทำนองว่าเหยาะแหยะเป็นไม้หลักปักขี้เลนที่พูดแล้ว คืนคำ และยังวิจารณ์ว่า "เราได้แต่หวังว่ารัฐบาลออสเตรเลียจะบริหารนโยบายที่ลั่นวาจาไว้อย่างจริงจัง และเป็นมืออาชีพกว่านี้" 

ส่วนรัฐมนตรีต่างประเทศของอิสราเอล ก็ได้เรียกตัวเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำอิสราเอล ให้มาอธิบายถึงสาเหตุการกลับลำ 360 องศาของรัฐบาลชุดใหม่ของออสเตรเลียว่า มีปัญหาอะไร?? 

ส่องสถานการณ์เปิดตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในเมียนมา เมื่อบิ๊กจีนเทียบท่าใต้พลังงานไฟฟ้าที่ทรงๆ ทรุดๆ

เมื่อไม่กี่วันก่อนมีรายงานข่าวที่น่าสนใจว่าบริษัท Hozon Auto บริษัทรถยนต์สัญชาติจีนที่จัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยภายใต้แบรนด์ NETA ได้ทำ MOU กับบริษัท Grand Sirius Co., Ltd. ในการที่จะเปิดตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นทางการในเมียนมา

เรื่องนี้มีประเด็นให้เล่าพอควร แต่ก่อนที่จะมาพูดถึงเรื่องของรถไฟฟ้า เรามารู้จักบริษัททั้งสองบริษัทนี้กันก่อน ว่ามีความเป็นมาอย่างไร?

เริ่มที่บริษัท Grand Sirius จำกัด ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทเมียนมาที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทสสิงคโปร์ โดยกลุ่มบริษัทนี้มี 4 ธุรกิจใหญ่ในเมียนมาได้แก่ บริษัท Ceramic Pro Myanmar เป็นบริษัทสีเซรามิกเคลือบสำหรับรถยนต์ การบินและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสีเคลือบแก้ว   

บริษัทต่อมาคือ V-Kool Myanmar เป็นบริษัทตัวแทนจำหน่ายฟิล์มยี่ห้อ V-Kool ในเมียนมานั่นเอง

ถัดมาคือ บริษัท Moe Zac Auto ซึ่งเป็นบริษัทนำเข้ารถมือสอง  

และสุดท้ายเป็นดีลเลอร์ของ Hyundai ในย่างกุ้งและมัณฑะเลย์  

ส่วน Hozon Auto ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 ในจังหวัดเจ้อเจียง ก่อตั้งโดย Beijing Sinohytec และ Zhejiang Yangtze Delta Region Institute of Tsinghua University และตั้งอยู่ในเมืองเจียซิง โดย Hozon Auto มุ่งเน้นในการคิดค้นและวิจัยยานยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ซึ่งต่างจากบริษัทอื่น ๆ ที่มีการคิดค้นพัฒนายานยนต์ที่ใช้น้ำมันและพลังงานทางเลือกควบคู่กันไป  

แน่นอนว่า นี่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ หาก Hozon Auto นั้นเลือกที่จะเข้ามาเปิดตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในไทย เพราะต้องยอมรับว่า ไทยเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางด้านพลังงานไฟฟ้าสูง อีกทั้งการจับมือเป็นพันธมิตรระหว่าง Hozon กับ ปตท. ที่เป็นบริษัทพลังงานเต็มรูปแบบ ก็ทำให้ Hozon มีแต้มต่อเมื่อเข้ามาเจาะตลาดในไทย ยิ่งราคาเปิดตัวในไทยอยู่ที่ประมาณครึ่งล้าน ถูกกว่ารถใช้น้ำมันบางรุ่น ก็ยิ่งทำให้ NETA เป็นอีกแบรนด์หนึ่งที่น่าจับตามองสำหรับชนชั้นกลางที่มีชีวิตในเมือง 

โซเชียลแชร์ ทะเลาะวิวาทในประเทศจีน โทษหนัก หากเป็นชาวต่างชาติ เนรเทศกลับประเทศลูกเดียว

(19 ต.ค. 65) จากเฟซบุ๊กเพจ 'ตี๋น้อย' ได้โพสต์เตือนเรื่องการทะเลาะวิวาทในจีน ไม่ว่าจะเป็นคนชาติใด ก็จะโดนโทษหนัก ไว้ว่า...

พอดีเมื่อวันที่ 8 ต.ค. เห็นข่าวที่ไทยทะเลาะวิวาทกัน โพสต์นี้ขออนุญาตเล่าเรื่องการทะเลาะวิวาทในจีนซักหน่อย 

ในกรณีที่เป็นนักศึกษาต่างชาติเกิดการทะเลาะวิวาทกันเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกับคนจีนหรือกับต่างชาติด้วยกัน ยิ่งเกิดอาการบาดเจ็บจากการทะเลาะวิวาทโทษคือ โดนไล่ออกครับผม แถมโดนขึ้นแบล็คลิสต์ ห้ามเข้าจีนอย่างต่ำสามปี ในกรณีที่ถึงแก่ความตาย ทุพพลภาพ ขึ้นแบล็คลิสต์ห้ามเข้าจีนอย่างต่ำ 10 ปี หรือห้ามเข้าจีนตลอดชีวิต ผู้กระทำต้องรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลต่าง ๆ ทั้งร่างกายและจิตใจแก่ผู้เสียหายด้วย

ในกรณีที่เป็นเด็กนักเรียนต่างชาติ โดยส่วนมากโรงเรียนจะประนีประนอม โดยให้ฝ่ายที่กระทำจะต้องชดใช้ค่ารักษาพยาบาลต่าง ๆ แก่ผู้ถกกระทำ หนักสุด ก็ให้ลาออกจากโรงเรียน

'รอยเท้าเลโทลิ' รอยเท้าดึกดำบรรพ์ อายุกว่า 3.6 ล้านปี หลักฐานการเดินด้วย 2 เท้าของมนุษยชาติ

เมื่อไม่นานมานี้ เพจ 'Silapawattanatham - ศิลปวัฒนธรรม' เพจที่รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม ทั้งอดีต-ร่วมสมัย ได้โพสต์เรื่องราวที่น่าสนใจอย่างยิ่งเกี่ยวกับ 'รอยเท้าเลโทลิ' ที่ปรากฏเป็นรอยเดินย่ำด้วยเท้าทั้ง 2 ข้าง ซึ่งนับเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ช่วยยืนยันการมีอยู่ของบรรพบุรุษที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ โดยระบุไว้ว่า...

มีรอยเท้าดึกดำบรรพ์ที่ชี้ว่าบรรพบุรุษของมนุษย์เคยเหยียบย่างผ่านพื้นที่บริเวณหนึ่ง รอยนี้มีอายุกว่า 3.6 ล้านปี รู้จักกันในชื่อ รอยเท้าเลโทลิ (Laetoli Footprints) ปรากฏเป็นรอยเดินย่ำด้วยเท้า 2 ข้าง ประทับอยู่บน (อดีต) ธารลาวาจากภูเขาไฟ ช่วยยืนยันการมีอยู่ของบรรพบุรุษผู้เดิน 2 ขาที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ หลักฐานทางบรรพชีวินวิทยานี้มีอายุมากกว่า ลูซี (Lucy) กว่า 4 แสนปี (คลิกชมภาพ รอยเท้าเทโลลิ >> https://www.britannica.com/place/Laetoli)

สำหรับ 'ลูซี' คือชุดโครงกระดูกฟอสซิลสมบูรณ์ที่สุดของเครือญาติอันเก่าแก่ของเผ่าพันธุ์เรา ที่พบในพื้นที่ประเทศเอธิโอเปียเมื่อปี 1974 ส่วนรอยเท้าเลโทลินั้นถูกค้นพบในปี 1976 (พ.ศ. 2519) ที่ประเทศแทนซาเนีย ทางตะวันออกของทวีปแอฟริกา โดยทีมสำรวจทางโบราณคดีของ Mary Leakey นักบรรพชีวินวิทยาชาวอังกฤษ

ผู้ศึกษาเกี่ยวกับกำเนิดและวิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นทราบมานานแล้วว่าบรรพบุรุษกลุ่มแรกของเราที่วิวัฒน์ผ่าเหล่าออกจากพวกเอป (Ape) หรือลิงไม่มีหางและเริ่มเดินสองขาเป็นปกติวิสัยเกิดขึ้นที่ทวีปแอฟริกา และ ณ ปัจจุบันนี้หลักฐานเก่าแก่สุดที่สนับสนุนเรื่องนี้คือรอยเท้าเลโทลินี่เอง

กระบวนการเกิดรอยเท้านี้ เกิดหลังภูเขาไฟปะทุนำธารลาวาไหลบ่าผ่านพื้นที่โดยรอบและถูกทำให้เย็นลงด้วยสภาพอากาศ ณ พื้นผิวโลก หรืออาจถูกเร่งด้วยฝน เมื่อธารลาวานั้นเย็นจนสัตว์ต่าง ๆ สามารถเหยียบย่างผ่านได้ จึงเกิดเป็นรอยเท้าจากการยุบตัวเพราะพื้นผิวยังไม่แข็งตัวพอที่จะรับน้ำหนักการกดทับ (คล้ายงานปูนซีเมนต์-คอนกรีต) รอยที่เกิดจากการเหยียบย่ำนี้เมื่อถูกกลบทับอีกครั้งด้วยฝุ่นเถ้าจะช่วยให้คงสภาพและลดโอกาสผุกร่อนการการกระทำหรือการกระแทกได้

หลังทีมโบราณคดีพิสูจน์ได้ถึงอายุขัยการเกิด รอยเท้าเลโทลิจึงกลายเป็นหลักฐานเก่าแก่ที่สุดของการเดินตัวตรงด้วยเท้า 2 ข้าง เป็นระยะทางไกล ๆ ซึ่งเป็นความสามารถเฉพาะบรรพบุรุษของมนุษยชาติ

ห้องแล็บในสหรัฐ ผสมเชื้อโอมิครอน+อู่ฮั่น ได้ 'โอมิครอน-เอส' อัตราการตายสูงถึง 80%

นักวิทย์ประณาม ห้องแล็บในสหรัฐฯ 'เล่นกับไฟ' เอาเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์อู่ฮั่นแบบดั้งเดิม มาผสมกับโอมิครอน จนเกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่ล่าสุด ที่ทำให้ผู้ติดเชื้อมีอัตราการเสียชีวิตถึง 80%

เมื่อวันที่ (18 ต.ค. 65) เว็บไซต์ข่าวเดลี่เมล รายงานอ้างคำเปิดเผยของศาสตราจารย์ชามูเอล ชาปีรา นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของรัฐบาลอิสราเอล ที่กล่าวประณามนักวิจัยของห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยบอสตัน ในเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ของสหรัฐฯ ที่ทำการทดลองเพาะเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ไฮบริด ที่เกิดจากการสกัดหนามโปรตีนของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอมิครอน ที่มีอัตราการแพร่เชื้อเร็วสูงสุด มาตัดแต่งเข้ากับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ดั้งเดิมที่พบในเมืองอู่ฮั่น โดยใช้ชื่อว่า 'โอมิครอน-เอส'

นักวิทยาศาสตร์ของอิสราเอลระบุว่า การทดลองนี้เรียกได้ว่าเป็นการ 'เล่นกับไฟ' ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย เพราะจากการทดลองกับหนูจำนวน 10 ตัวที่ได้รับเชื้อสายพันธุ์ใหม่ที่เพาะออกมาในห้องทดลองนี้ ปรากฏว่าหนูตายไป 8 ตัวจากจำนวนทั้งหมด 10 ตัว คิดเป็นอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 80% 

รายงานข่าวระบุว่า การเปิดเผยครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงอันตรายที่ยังคงดำเนินต่อไปจากการทดลองในห้องแล็บสหรัฐฯ ท่ามกลางความหวาดวิตกว่าอาจเกิดการหลุดรอดออกมาของเชื้อไวรัส ทำให้เกิดการแพร่ระบาดครั้งใหญ่อีกรอบ แม้ว่าการทดลองเพาะเชื้ออันตราย อย่างงานวิจัยที่พยายามสร้างซูเปอร์ไวรัสขึ้นมาเพื่อศึกษาว่ามันจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้อย่างไรได้บ้าง (Gain of Function research) ได้ถูกสั่งห้ามในสหรัฐฯ นับตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา ขณะที่มีความเชื่อกันว่า เชื้อไวรัสโคโรนาที่ทำให้เกิดการระบาดไปทั่วโลก มีต้นตอมาจากตลาดค้าสัตว์ป่า ที่อยู่ไม่ไกลจากห้องทดลองวิจัยเชื้อไวรัสโคโรนาในค้างคาว ที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ของจีน

นายแพทย์ริชาร์ด อีไบร์ท นักเคมีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยรัตเกอร์ส ในเมืองนิว บรันสวิก รัฐนิวเจอร์ซีย์กล่าวว่า หากโลกต้องการปกป้องไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสจากห้องแล็บครั้งใหม่ ก็มีความจำเป็นที่จะต้องสอดส่องไม่ให้เกิดการวิจัยซูเปอร์ไวรัสอันตรายขึ้นมาอีก


ที่มา : https://www.thairath.co.th/news/foreign/2529533

https://ch3plus.com/news/international/frontpagenews/315895

คนฝรั่งเศสไม่ทน!! เดินขบวนประท้วงกลางกรุงปารีส เหตุไม่พอใจราคาค่าครองชีพพุ่งกระฉูด

ผู้คนหลายพันคนเดินขบวนบนท้องถนนในกรุงปารีสเมื่อวันอาทิตย์ (16 ต.ค. 65) แสดงความไม่พอใจต่อค่าครองชีพที่พุ่งสูง ขณะที่สหภาพแรงงานใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศสยังคงผละงานประท้วงตามโรงกลั่นต่าง ๆ ซึ่งทำให้สถานีบริการเชื้อเพลิงหลายแห่งทั่วประเทศต้องปิดบริการชั่วคราว

การชุมนุมครั้งนี้จัดโดย ฌอง-ลุค เมลองชอง อดีตผู้สมัครชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี และผู้นำพรรค France Unbowed (LFI) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายซ้าย การประท้วงมีองค์กรต่าง ๆ และพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายอื่น ๆ เข้าร่วมด้วย บางส่วนในนั้นยังเรียกร้องให้ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ดำเนินการจริงจังมากขึ้นกับภาวะโลกร้อน

อย่างไรก็ตาม ความกังวลทางเศรษฐกิจมาเป็นอันดับหนึ่งและเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่อยู่ในใจผู้ประท้วง 

"นี่ไม่ใช่การเดินขบวนเพื่อเมลองชอง" ผู้นำพรรค LFI ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ France 3 ในตอนเช้าวันอาทิตย์ (16 ต.ค.) "นี่คือการเดินขบวนของประชาชนผู้หิวโหย ผู้หนาวเหน็บและต้องการได้ค่าแรงที่ดีกว่าเดิม"

"ราคาข้าวของพุ่งขึ้นจนเกินทน" มานอง ออบรี รองหัวหน้าพรรค LFI กล่าวกับเอเอฟพี "นี่คือการสูญเสียอำนาจการซื้อครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปี"

อัตราเงินเฟ้อของฝรั่งเศส ปัจจุบันอยู่ที่ 6% เกือบทุกภาคอุตสาหกรรมของประเทศมีกิจกรรมการผลิตที่ลดลงเป็นประวัติการณ์ สืบเนื่องจากราคาพลังงานที่พุ่งสูง ส่วนใหญ่แล้วเป็นผลสืบเนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรของอียูที่กำหนดเล่นงานเชื้อเพลิงฟอสซิลของรัสเซีย ลงโทษกรณีรุกรานยูเครน

ด้วยที่บิลค่าไฟภาคครัวเรือนดีดตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ ฟืนไม้กลับมาเป็นที่ต้องการอีกครั้งในฝรั่งเศส ท่ามกลางความคาดหมายว่าประเทศแห่งนี้อาจต้องเผชิญกับปัญหาไฟฟ้าดับเป็นระยะในฤดูหนาวที่กำลังมาเยือน

ระหว่างการประท้วงนั้นมีรายงานการปะทะกันระหว่างพวกหัวรุนแรงซ้ายจัด ซึ่งชุมนุมกันเป็นประจำในฝรั่งเศส กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยพบเห็นตำรวจปราบจลาจลยิงแก๊สน้ำตาเข้าสู่พวกก่อจลาจลในชุดสีดำ

ท่ามกลางการชุมนุม อีกด้านหนึ่งสหภาพแรงงาน CGT ยังคงเดินหน้าประท้วงตามโรงกลั่นต่างๆ เรียกร้องขอขึ้นค่าแรง ทั้งนี้การประท้วงซึ่งยืดเยื้อมานานกว่า 3 สัปดาห์ ก่อปัญหาขาดแคลนและทำให้ต้องปันส่วนพลังงานตามสถานีบริการเชื้อเพลิงทั้งหลาย

ในวันเสาร์ (15 ต.ค.) สหภาพแรงาน CGT ปฏิเสธข้อเสนอของทางโททาลเอเนอร์จีส์ ยักษ์ใหญ่พลังงานของฝรั่งเศส ในการปรับขึ้นค่าแรงสำหรับปี 2023

'ดร.อักษรศรี' ถอดรหัสสาระสำคัญคำกล่าวรายงานของสีจิ้นผิง ในการเปิดการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคฯ ครั้งที่ 20 

เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2565 รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจจีน จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก 'Aksornsri Phanishsarn' สรุปสาระสำคัญการกล่าวรายงานของสีจิ้นผิงในการเปิดการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคฯ ครั้งที่ 20 #CPC ไว้ดังนี้...

การกล่าวรายงานของสีจิ้นผิงในการเปิดการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคฯ ครั้งที่ 20 #CPC วันที่ 16 ตุลาคม 2565

📌 ย้อนประเมินผลงานในรอบ 10 ปี 📌 
สี จิ้นผิง กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จีนผ่านเหตุการณ์สำคัญ 3 เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของพรรคและประชาชน 

1.) ประการแรก 🇨🇳 เป็นการฉลองครบรอบ 100 ปีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน 
2.) ประการที่สอง 🇨🇳 สังคมนิยมที่มีอัตลักษณ์จีนเข้าสู่ยุคใหม่แล้ว 
3.) ประการที่สาม 🇨🇳 ความสำเร็จในภารกิจบรรเทาความยากจน และสร้างสังคมพอมีพอกินรอบด้าน #เสี่ยวคง นับเป็นการบรรลุ #เป้าหมายร้อยปีแรก คือ ชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนและประชาชนจีนได้รับจากการต่อสู้ร่วมกัน 

📌สานต่อเป้าหมาย 2035 📌
จากนี้ไป ภารกิจหลักของพรรคคอมมิวนิสต์จีน คือ การรวมตัวของผู้คนจากทุกกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศเพื่อสร้าง “ประเทศสังคมนิยมสมัยใหม่ที่ยิ่งใหญ่อย่างรอบด้าน” ตระหนักถึงศตวรรษที่สอง เป้าหมายและส่งเสริมการฟื้นฟูที่ยิ่งใหญ่ของชาติจีนอย่างทั่วถึงด้วยการสร้างความทันสมัยแบบจีน🇨🇳 #ความทันสมัยแบบจีน 

#เป้าหมาย2035 🇨🇳 จีนจะเป็นประเทศสังคมนิยมสมัยใหม่ที่ยิ่งใหญ่ที่เจริญรุ่งเรือง เข้มแข็ง เป็นประชาธิปไตย ก้าวหน้าทางวัฒนธรรม กลมกลืนและสวยงาม ดังนั้น อีก 5 ปีข้างหน้าจะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับการเริ่มต้นสร้างประเทศสังคมนิยมสมัยใหม่อย่างรอบด้าน 

“การพัฒนาคุณภาพสูง” เป็นภารกิจหลักในการสร้างประเทศสังคมนิยมสมัยใหม่อย่างรอบด้าน #การพัฒนา คือ สิ่งสำคัญสูงสุดของพรรคในการปกครองและฟื้นฟูประเทศ 

📌ความสำคัญภาคเศรษฐกิจจริง 📌 #RealSector 
สี จิ้นผิง กล่าวว่า ในการสร้าง “ระบบอุตสาหกรรมสมัยใหม่” การพัฒนาเศรษฐกิจต้องเน้นที่ “เศรษฐกิจที่แท้จริง” (ไม่ใช่เศรษฐกิจฉาบฉวย) ส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ และเร่งการสร้างอำนาจการผลิต พลังงานคุณภาพ พลังงานอวกาศ พลังงานขนส่ง พลังเครือข่ายและดิจิทัลจีน

📌เน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยี📌
จีนจะมุ่งส่งเสริมและพัฒนา “นวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ปรับปรุงระบบระดับชาติใหม่ เสริมสร้างความแข็งแกร่งทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเชิงยุทธศาสตร์ของชาติ ปรับปรุงประสิทธิภาพโดยรวมของ ระบบนวัตกรรมแห่งชาติ และสร้าง “ระบบนิเวศนวัตกรรมแบบเปิด” พร้อมความสามารถในการแข่งขันระดับโลก

'มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก' ถูก 'Facebook' ลดผู้ติดตาม-ยอดผู้ชม ผลพวงจาก EGO ที่ใหญ่เกินไป บวกความมั่นใจเกินเหตุ

(16 ต.ค. 65) เมื่อไม่นานมานี้ เพจ 'Open Up' ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เจ้าของบริษัท Meta หรืออีกชื่อที่เรารู้จักกันดีคือ Facebook ที่เจ้าตัวถูกอัลกอริทึมที่ทางบริษัทของเขาพัฒนาขึ้นมาย้อนกลับมาเล่นงานเข้าอย่างจัง ไว้อย่างน่าสนใจว่า...

'แพ้ภัยตัวเอง' มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ถูก EGO ของตัวเองเล่นงานอย่างหนักหน่วง

ล่าสุดที่เฟซบุ๊กมีข่าวที่ยอดผู้ติดตามของทุกเพจลดฮวบอย่างไม่ทราบสาเหตุ แม้แต่ 'มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก' เจ้าของเฟซบุ๊กยังโดนลดผู้ติดตามเหลือเพียงแค่ 9,993 คน ซึ่งนั้นก็ส่งผลกระทบที่ร้ายแรงมากๆ กับเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ที่มีชื่อเสียงในเฟซบุ๊ก (ปัจจุบันนี้ผู้ติดตามในเฟซบุ๊กของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เพิ่มขึ้นมาเป็น 119,247,643 คนแล้ว)

ซึ่งก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น พี่มาร์กแกก็เพิ่งไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊ก 'Meta Connect' ที่เล่าความคืบหน้าเกี่ยวกับ Augmented reality และ Virtual reality แต่ปรากฏว่าตลอดช่วงของการถ่ายทอดสดมียอดผู้ชมเพียง 2,000-4,700 คนเพียงเท่านั้น เอาจริงน้อยกว่าไลฟ์สดของแม่ค้าออนไลน์บางท่านในไทยเลยด้วยซ้ำ 555555

แต่ถ้าเราลองมาวิเคราะห์กันแบบจริงจัง หลายๆ อย่างที่มาร์กทำก็ดูไม่สมเหตุสมผลแถมยังเป็นการพาตัวเองดำดิ่งลงหลุมที่ตัวเองเป็นคนขุดขึ้นจากความ EGO ที่คิดว่าแพลตฟอร์มของตัวเองไม่มีใครสามารถทัดเทียมได้ ถ้าลองสังเกตดีๆ หลายอย่างที่บริษัท Meta a.k.a Facebook ในช่วงหลังๆ มานี้ ก็ไม่ค่อยจะเวิร์กสักเท่าไหร่ 

ผจญภัยในสนามบิน ประสบการณ์ ‘คนเข้าเมือง’ สู่ถิ่นลุงแซม อาการวิตกจริต ที่ทั้งตื่นเต้นและตื่นตัว 

เมื่อเครื่องบินมาลงที่สนามบินโอแฮร์ที่ชิคาโก เราก็เข้าแถวยาวเหยียดรอตรวจคนเข้าเมือง 

พวกนักเรียนที่จะมาเรียนต่อที่สหรัฐฯ นอกจากต้องขอวีซ่านักเรียนที่เรียกว่า F-1 แล้ว ยังต้องพกเอกสารหนาปึ๊กที่เรียกว่า I-20 มาให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองด้วย 

เราก็ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่หน้าดุจะถามอะไรบ้าง เขาจะอนุญาตให้เราเข้าประเทศไหม หรือเราจะโดนส่งกลับบ้าน ในใจปลอบตัวเองว่าส่งกลับบ้านได้ก็ดี เราจะได้กลับไปเจอเพื่อนๆ และแฟนของเรา 

และแล้วเมื่อมาถึงตาเรา เจ้าหน้าที่หน้าดุถามว่าจะมาเรียนอะไร เราก็ตอบอย่างฉาดฉานและมั่นใจสุดๆ ว่าเราจะมาต่อปริญญาโท แต่เราจะมาเรียนภาษาก่อน เขาพยักหน้าและตีตราหนังสือเดินทางให้ แถมยังเอ่ยปากต้อนรับเราสู่อเมริกา

หลังจากที่ผ่านตรวจคนเข้าเมืองแล้ว เราก็ต้องไปที่เอากระเป๋าเดินทาง ขณะที่เรารอกระเป๋าตรงสายพาน มีเจ้าหน้าที่สนามบินเดินเตร็ดเตร่กับสุนัขหูตูบ เราก็สงสัยว่าเค้าเดินไปมาทำไม สักพักก็เห็นว่าเจ้าตูบไปดมๆ สูดๆ กระเป๋าของผู้โดยสารบางคนโดยไม่ยอมตีจาก จนเจ้าหน้าที่ที่เดินกับเจ้าตูบต้องสั่งให้ผู้โดยสารเอากระเป๋าไปเปิดที่ตรวจ 

มองตามพวกเขาไป ก็เห็นว่าของบางชิ้นที่เป็นอาหารถูกโยนทิ้งถังขยะใหญ่ยักษ์ 

เอาล่ะหว่า!! ตัวเราจะโดนทิ้งของบ้างไหมนี่ 

สมัยนั้นเดินทางกันทีนักเดินทางจะขนของไปล้นหลามกันแทบทุกคน เพราะรู้กันดีว่า ถ้ากระเป๋าเกินพิกัดน้ำหนัก ทางสายการบินจะอะลุ่มอล่วยไม่ต้องเสียเงินค่าน้ำหนักเกิน แถมตอนนั้นตัวเราจะมาอาศัยอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานาน จึงคิดว่าตัวเองต้องแต่งตัวเก๋ล้ำแฟชั่นกว่าคนอื่น เลยขนเสื้อผ้าดีไซเนอร์ไทยมาเพียบ ทั้งยัสปาลเอย, เกรย์ฮาวด์เอย, โซดากายเอย เต็มปรี่หนึ่งกระเป๋า 

ส่วนทางคุณพ่อคุณแม่เป็นห่วงกลัวเราไม่มีอาหารและของขบเคี้ยวไทยกิน ท่านก็สั่งจัดน้ำพริกปลาดุกฟู น้ำพริกเผา กรอบเค็ม และข้าวเกรียบทรงเครื่องมาเต็มล้นอีกหนึ่งกระเป๋า พอถึงเวลาจะปิดกระเป๋าที ต้องเอาก้นของเราและคนงานที่บ้านไปนั่งทับอย่างสุดแรงแล้วถึงจะกดที่ปิดลงได้ 

ดังนั้นเมื่อเห็นคนอื่นเขาถูกเปิดกระเป๋าตรวจ เราเกิดอาการวิตกจริตว่า ถ้ากระเป๋าเราถูกเรียกตรวจ ของคงเด้งดึ๋งดั๋งออกจากกระเป๋าเหมือนติดสปริง ไม่มีทางที่จะยัดกลับเข้าไปหมด เราจึงแอบจ้องไอ้ตูบที่กำลังเดินวนเวียนอยู่ใกล้ๆ แล้วแผ่เมตตาให้ว่าอย่ามาจองเวรกะฉันเลย  

แล้วก็อย่างกับเจ้าตูบอ่านใจเราออก HE ก็เดินออกไปอีกทาง แล้วเราก็เข็นกระเป๋ากำลังจะออกประตู 

แต่ศุลกากรดันเรียกให้หยุด เราก็สะดุ้งโหยง!! นึกในใจว่าเสร็จแน่ๆ แล้วตรู เขาบอกว่าเราไม่ได้ยื่นใบที่กรอกสำแดงของเข้าเมืองให้เขา พอเรายื่นให้เสร็จ เขาก็ขอบคุณและอวยพรให้เราโชคดี

หลังจากที่เข็นรถวางกระเป๋าออกมา เราก็สังเกตตามคนที่จะต้องต่อเที่ยวบินภายในประเทศว่าเขาต้องเอากระเป๋าโหลดอีกที เราก็จึงพุ่งตัวไปที่เคาน์เตอร์ของสายการบินและเช็กอินกระเป๋า ทางพนักงานบอกเราว่าเครื่องจะออกอีกภายในสี่สิบห้านาที ให้รีบไปอีกเทอร์มิเนิลโดยต้องนั่งรถไฟในสนามบิน ทางพนักงานเห็นเราเหลอหลาเหมือนหนูน้อยหมวกแดงหลงป่า เธอก็เลยเวทนาโทรเรียกเจ้าหน้าที่สนามบินให้พาเราไปที่รถไฟและกำชับว่าให้ลงที่เทอร์มินัลที่เครื่องบินเราจะออกไปโคลัมบัส เมืองหลวงของรัฐโอไฮโอ

'ลิซ ทรัสส์' ถูกกดดันให้ออกต่อเนื่อง หลังแผนกระตุ้นศก.ไม่เข้าตา และแม้จะปลดขุนคลังที่ทำงานได้เพียง 38 วันด้วยแล้วก็ตาม

ในที่สุด นายกวาซี กวาร์เทง (Kwasi Kwarteng) รัฐมนตรีคลังผิวสีคนแรกของอังกฤษ ก็ถูกนายกรัฐมนตรีนางเอลิซาเบธ ทรัสส์ ปลดออกเมื่อตอนบ่ายของวันที่ 14 ตุลาคม ตามเวลาในลอนดอน โดยเขาได้รับการแต่งตั้งในวันที่ 8 กันยายน และอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีคลังเพียง 38 วันเท่านั้น 

สาเหตุมาจากแผนงบประมาณของเขาที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ค่าของเงินปอนด์ตกหนักเมื่อแลกกับเงินดอลล่าสหรัฐฯ เมื่อราวสองสัปดาห์ที่ผ่านมา บวกกับ ส.ส.พรรคคอนเซอเวทีฟได้โจมตี งบประมาณที่เรียกว่า Mini-Budget  อย่างรุนแรง ลุกลามไปจนถึงความไม่พอใจต่อนายกรัฐมนตรีลิซ ทรัสส์

สำหรับสาระสำคัญของความไม่พอใจในงบประมาณ ที่นายกวาร์เทงประกาศออกมาเมื่อวันที่ 23 กันยายนนั้น เป็นการประกาศที่จะลดภาษีชุดใหญ่ของประเทศในรอบ 10 ปีที่นายกรัฐมนตรีคาดว่าจะเป็นการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอังกฤษอย่างได้ผล 

แต่ทว่าผลลัพธ์กลับสร้างความไม่พอใจให้กับส.ส. ในพรรคของเขาเอง และมองกันว่าเป็นการอุ้มคนรวยมากกว่า และเมื่อรัฐบาลกลับลำในคำสัญญาที่ว่าจะยกเลิกการขึ้นภาษีนิติบุคคลจาก 19% เป็น 25% ในปีหน้า แต่เมื่อวานนี้ในการแถลงข่าวนายก ทรัสส์ประกาศยกเลิกคำสัญญานี้เสียโดยให้ขึ้นเป็น 25% ตามเดิม ก่อให้เกิดความไม่มั่นใจต่อภาคธุรกิจอย่างมาก หรือการเก็บภาษีเงินได้ผู้ที่มีรายได้สูงได้เปลี่ยนมาเป็นอัตราเดียวคือ 40%

อีกประเด็นหนึ่งที่มีการวิจารณ์กันมากในนโยบายของรัฐบาลคือ การประกาศลดภาษี หากแต่จะต้องไปกู้ยืมเงินมาใช้จ่ายแทน 

ความไม่ชัดเจนของนโยบายและการเปลี่ยนไปมาที่เกิดขึ้นทำให้ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลของนางลิซ ทรัสส์ ถูกตำหนิและวิจารณ์อย่างมากในระยะสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา

หลังจากที่ปลดนายกวาร์เทงแล้ว นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งนายเจเรมี ฮันท์ เป็นรัฐมนตรีคลังคนใหม่ โดยนายฮันท์เคยเป็นเจ้ากระทรวงต่างประเทศ รวมถึงสาธารณะสุขมาก่อน และในการชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคล่าสุดนายฮันท์ ก็สนับสนุนนายริชชี่ สุหนาก คู่แข่งของนางทรัสส์ด้วย

อย่างไรก็ดีนักเศรษฐศาสตร์บางคนมีความเห็นว่าการปลดนายกวาร์เทงออก ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาหรือช่วยให้เกิดความน่าเชื่อถือต่อประเทศได้นักในขณะนี้ หรือแม้แต่การขึ้นภาษีนิติบุคคลก็ช่วยได้ไม่มากพอ

'นาโต้' เดินหน้าแผนซ้อมรบนิวเคลียร์ ไม่หวั่น!! แม้ต้องเผชิญหน้า 'รัสเซีย' โดยตรง

นาโต้ยืนยันเดินหน้าตามแผน สำหรับการซ้อมรบนิวเคลียร์ประจำปี แม้ว่าความขัดแย้งที่ลุกลามบานปลายระหว่างรัสเซียกับยูเครน โหมกระพือความกังวลจะเกิดการเผชิญหน้าโดยตรงและครั้งหายนะระหว่างมอสโกกับกลุ่มพันธมิตรทหารตะวันตกแห่งนี้

"นี่คือการฝึกฝนเป็นประจำ ซึ่งจัดขึ้นในทุกๆ ปี เพื่อคงไว้ซึ่งการป้องปราม ที่ปลอดภัย มั่นคงและมีประสิทธิภาพ" เยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโต้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันอังคาร (11 ต.ค.) การซ้อมรบทางนิวเคลียร์ 'Steadfast Noon' จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า ปกติแล้วจะเป็นการฝึกฝนของอากาศยานหลายสิบลำจากบรรดาชาติสมาชิกและมีการฝึกฝนภารกิจโจมตีทางนิวเคลียร์ อย่างไรก็ตามโดยทั่วไปแล้ว เครื่องบินเหล่านั้นจะไม่ติดตั้งหัวรบกระสุนจริง

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เตือนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่ารัสเซียกับตะวันตก กำลังเผชิญความเสี่ยงใหญ่หลวงของ 'วันสิ้นโลกจากนิวเคลียร์' มากกว่าช่วงเวลาไหนๆ นับตั้งแต่วิกฤตขีปนาวุธคิวบาเมื่อ 40 ปีก่อน หลังจากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ประกาศว่ามอสโกจะให้ทุกหนทางที่มี ปกป้องประชาชนและดินแดนของตนเอง ถ้อยแถลงที่ทางวอชิงตันและพันธมิตรนาโต้มองว่าเป็นการขู่ใช้อาวุธนิวเคลียร์

เมื่อถามว่าสมาชิก 30 ชาติของนาโต้ ได้มีการหารือกันหรือไม่ เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่การซ้อมรบ Steadfast Noon จะก่อการคำนวณพลาด ท่ามกลางความตึงเครียดขั้นสูงกับรัสเซีย ทาง สโตลเทนเบร์ก ปฏิเสธความกังวลเหล่านั้น "เวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่ต้องหนักแน่น และต้องแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า นาโต้ อยู่ที่นี่เพื่อปกป้องและป้องกันพันธมิตรทั้งหมด และนี่เป็นการซ้อมรบที่วางแผนกันมานานแล้ว จริงๆแล้วเป็นแผนที่วางเอาไว้ก่อนรัสเซียรุกรานยูเครน"

เลขาธิการนาโต้บอกว่ามันจะกลายเป็นการ 'ส่งสารที่ผิดอย่างมหันต์' หากว่านาโต้ยกเลิกการซ้อมรบนิวเคลียร์เพราะวิกฤตยูเครน "เราจำเป็นต้องตระหนักว่าความมั่นคงของนาโต้ พฤติกรรมที่หนักแน่น ความเข้มแข็งทางทหารของเรา คือหนทางที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามบานปลาย เราอยู่ที่นี่เพื่อพิทักษ์สันติภาพ เพื่อขัดขวางสถานการณ์ที่ลุกลาม และป้องกันการโจมตีใดๆ ใส่ประเทศพันธมิตรของนาโต้"

สหรัฐฯ อาจดัน THAAD ระบบป้องกันภัยทางอากาศล้ำสมัย หลังรัสเซียโชว์ถล่มยูเครนตอบโต้ระเบิดสะพานที่ไครเมีย

เพจ The World Echo ได้โพสต์ข้อความการตอบโต้ยูเครนแบบจัดหนักจากรัสเซีย พร้อมโอกาสในการขายอาวุธชุดสำคัญจากสหรัฐฯ ระบุว่า...

โหดสัสรัสเซียที่แท้ทรู

ฝ่ายยูเครนเพิ่งแลบลิ้นปลิ้นตาใส่รัสเซีย พลางหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเย้ยเรื่องสะพานเชื่อมไครเมียระเบิดตูมไปหมาดๆ ส่วนหมีขาวนั้นกัดกรามกรอดๆ ลูกผู้ชายฆ่าได้ หยามไม่ได้ ยกเว้นเมีย ตดยังไม่ทันหายเหม็น ความโหดสัสรัสเซียก็ปรากฏให้โลกร้อง อั้ยหยา...

เฮียปูตินทุบโต๊ะชี้นิ้วใส่ยูเครนว่า ไอ้การที่ยูระเบิดสะพานที่ไครเมียถือเป็นการก่อการร้ายโว้ย แล้วระบายอารมณ์ด้วยการยิงจรวดใส่อาคารในเมืองซาปอริซเซีย 

ชาวโลกจับตามองว่าไอ้หมีขาวจะทำยังไงต่อ เช้าวันจันทร์ตามเวลายูเครน คือตั้งแต่หกโมงเช้ามาเลย ปูตินก็ยิงจรวดแทนคำทักทาย ปูพรมถล่มเคียฟประมาณ 75 ลูก เล่นเอาชาวเคียฟแตกตื่นหนีเอาตัวรอดกันสุดชีวิต 

รัสเซียถล่มตั้งแต่หกโมงเช้าถึงเที่ยง แต่ความเสียหายในเคียฟนั้นเรียกได้ 'บรรลัย' ตายไป 5 ราย บาดเจ็บอีก 12 ราย ไฟดับทั้งเมือง ระบบประปาและก๊าซให้ความร้อนได้รับความเสียหายหนัก ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะหนาวขนาดไหน ตอนนี้เริ่มหนาวแล้วด้วยในซีกโลกฝั่งนั้น

เปลี่ยนแม่ทัพปุ๊บโหดปั๊บ แถมปูตินยังโผล่หน้ามาในช่วงบ่าย ขู่ว่า ถ้าเคียฟไม่หยุด พี่ปูตินจะหยุดเคียฟเอง จากนั้นก็ร่ายยาวว่าได้ออกคำสั่งให้โจมตีจากระยะไกล ชนิดที่เรียกว่าอภิมหามหึมาใส่เป้าหมายต่างๆ ทั้งทางด้านพลังงาน, หน่วยสั่งการบังคับบัญชา, และการสื่อสารของยูเครน โดยใช้ขีปนาวุธซึ่งมีทั้งที่ยิงจากทางอากาศ, ทางทะเล, และภาคพื้นดิน 

สรุปง่ายๆ สั้นๆ คือมีเท่าไหร่ถวายประเคนหมด  ระดมยิงปูพรมถล่มเมืองเคียฟนั่นแหละ ทั้งนี้เพื่อตอบโต้การโจมตีแบบผู้ก่อการร้ายของยูเครนที่เพิ่งระเบิดสะพานไปหมาดๆ ในไครเมีย

'จีน' เดินหน้า!! พร้อมใช้ 'ดิจิทัลหยวน' หลังทดสอบธุรกรรมจริงระหว่างประเทศผ่านฉลุย

รัฐบาลจีนมั่นใจ พร้อมใช้ 'ดิจิทัลหยวน' หลังผ่านช่วงทดสอบการทำธุรกรรมจริงเป็นเวลา 40 วัน ร่วมกับสถาบันการเงินกว่า 20 แห่งของพันธมิตรทั้งฮ่องกง, ไทย และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 

ธนาคารแห่งชาติจีน ได้ทำการทดสอบการใช้ดิจิทัลหยวนตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม - 23 กันยายน 2565 บนแพลตฟอร์ม mBridge ซึ่งเป็นระบบที่ใช้สำหรับการทำธุรกรรม ชำระเงินข้ามประเทศ ริเริ่มโดยสถาบันการเงินของฮ่องกง Hong Kong Monetary Authority ร่วมกับ Bank for International Settlement (BIS) และธนาคารแห่งประเทศไทย ในปี 2019 และต่อมา ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ก็ได้เข้าร่วมโปรเจกต์นี้ด้วยในปี 2564 

ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงทดสอบขั้นสุดท้ายเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านที่มีการทำธุรกรรมชำระเงินข้ามพรมแดนจริง และแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมากกว่า 160 รายการ รวมมูลค่าการทำธุรกรรมสูงถึง 150 ล้านหยวน อีกทั้งยังทดสอบออกเงินดิจิทัลหยวน ผ่านระบบของ mBridge ไปแล้วไม่น้อยกว่า 80 ล้านหยวน จนสามารถสรุปได้ว่า โครงการนำร่องทดสอบการใช้ ดิจิทัลหยวนบนแพลตฟอร์มใหม่นี้ช่วยลดขั้นตอน ประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย และยังลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ในการทำธุรกรรมต่างประเทศได้จริงๆ

ธัญธร คุณประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญด้านเงินดิจิทัล จากธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แสดงความเห็นผ่าน LinkedIn ว่า นี่เป็นโครงการนำร่องรายแรกของโลกที่ใช้ เงินสกุลดิจิทัลมูลค่าจริง ที่ออกโดยธนาคารกลางของจีน สำหรับการชำระเงินเพื่อการค้าระหว่างประเทศ และยังกล่าวอีกว่า "เป็นความภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมงานที่ได้สร้างความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์นี้ เราเพิ่งเริ่มมองเห็นความเป็นไปได้ของ CBDC ในการเชื่อมโยงพรมแดน และอำนวยความสะดวกด้านการค้า/การเติบโตทางเศรษฐกิจ”  

ทั้งนี้ จีนไม่ได้มองเพียงแค่การใช้ดิจิทัลหยวน หรือ e-CNY เพื่อซื้อขายสินค้าอุปโภค บริโภคทั่วไปเท่านั้น แต่จะรวมไปถึงโอกาสในการลงทุน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงิน และ สินเชื่อในรูปแบบดิจิทัล ที่จะทำให้การใช้ e-CNY อย่างแพร่หลาย และ แข็งแกร่งไม่ต่างจากเงินหยวนแบบดั้งเดิม

เจ้าของ TikTok รวยแซงหน้า 'มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก' ด้วยมูลค่าทรัพย์สินกว่า 49,500 ล้านดอลลาร์

Zhang Yiming นักธุรกิจชาวจีน ผู้ก่อตั้งและเจ้าของ TikTok รวยแซงหน้า Mark Zuckerberg ซีอีโอ และผู้ถือหุ้นใหญ่ Meta แล้ว หลังจาก Meta เจอมรสมระลอกใหญ่ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทำให้ราคาหุ้นร่วงหนัก ขณะที่ Elon Musk ยังครองแชมป์รวยที่สุด ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 219,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

หลังจากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา บริษัท Meta บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram โดนปัญหาเศรษฐกิจและพิษสงครามรุมเร้า จนทำให้ต้องประกาศลดพนักงาน และปรับโครงสร้างบริษัทครั้งใหญ่ ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ความมั่งคั่งของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ซีอีโอ และผู้ถือหุ้นใหญ่ Meta ลดลงตามไปด้วย

ขณะที่มาร์ก ชักเคอร์เบิร์ก กำลังประสบปัญหา ในทางตรงกันข้าม Zhang Yiming นักธุรกิจชาวจีน ผู้ก่อตั้งและเจ้าของ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok กลับมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยก้าวขึ้นเป็นคนที่ร่ำรวยในอันดับที่ 22 ของโลก ด้วยมูลค่าทรัพย์สินกว่า 49,500 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้านมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก อันดับตกลงอยู่ที่ 24 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 48,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ส่วนบุคคลที่ร่ำรวยอันดับ 1 คือ Elon Musk ผู้ก่อตั้ง 'เทสลา' และ 'สเปซเอ็กซ์' มูลค่าทรัพย์สิน 219,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามมาด้วย Bernard Arnault & family มูลค่าทรัพย์สิน 142,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอันดับ 3 Jeff Bezos ซีอีโอ แอมะซอน (Amazon) มูลค่าทรัพย์สิน 138,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ข้อมูลอ้างอิงจาก Forbes


ที่มา : https://mgronline.com/stockmarket/detail/9650000097279

ยุโรปสะท้าน เมื่อหนาวเยือนยาม 'แก๊ส-ไฟฟ้า' สะดุด ส่งผลราคา 'ฟืน' สูงลิ่วและมีค่าเหมือนทองคำ

ท่ามกลางสงครามที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติ แต่ความซวยหล่นใส่กบาลชาวโลกทั่วหน้า น้ำมันแพง ก๊าซแพง สินค้าอาหารแพง ทั้งที่เพิ่งรอดตายจากโควิดกันมาแท้ ๆ ล่าสุดชาวอังกฤษแห่ตุนฟืน เพื่อให้ผ่านหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึง

บรรดายามเฝ้าโกดังต่างยืนยามขันแข็ง เพราะตอนนี้ชาวอังกฤษแอบบุกโกดังเข้าไปขโมยฟืน ซึ่งในวันนี้ราคาสูงลิ่วและมีค่าเหมือนทองคำ อย่าว่าแต่อังกฤษเลย ทั่วยุโรปนั่นแหละที่กังวลว่าอาจเกิดไฟดับเป็นวงกว้างและยาวนาน เพราะวิกฤติด้านพลังงาน ทั้งนี้สืบเนื่องจากท่อลำเลียงก๊าซนอร์ดสตรีมรั่ว เชื่อกันว่าน่าจะเป็นการลอบก่อวินาศกรรม นี่คือสัญญาณว่าทั้งยุโรปหนาวแน่ และหนาวนานไปจนถึงปีหน้า

บรรดาผู้นำสหภาพยุโรปสุมหัวกัน แต่ยังตกลงไม่ได้ เรื่องการกำหนดเพดานราคาก๊าซรัสเซีย ไม่ว่าจะหันทางไหนก็เหมือนหยิกเล็บเจ็บเนื้อ บีบไข่เขาเราเจ็บเอง 

กว่า 70% ของการทำความร้อนในยุโรป มาจากแหล่งพลังงานก๊าซธรรมชาติและไฟฟ้าของรัสเซีย ถ้าไม่มีก๊าซจากรัสเซีย ต้องหาแหล่งทดแทนอื่นมาใช้แทนเพื่อไม่ให้หนาวตายทั้งยุโรป นาทีนี้ฟืนจึงกลายเป็นสิ่งที่ล้ำค่า 

ที่ผ่านมา มีประชาชนใช้ฟืนสำหรับทำความร้อนอยู่ก่อนแล้วราว ๆ 40 ล้านคน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top