Sunday, 28 April 2024
WORLD

‘รบ.ทหารเมียนมา’ กำราบ ‘อิรวดี’ สื่อร่างทรงปชต. ส่วนไทยปล่อยให้จรรยาบรรณจอมปลอมลอยนวล

กระทรวงสารสนเทศของเผด็จการทหารพม่าประกาศผ่านทางสื่อรัฐบาลเมื่อวันที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า รัฐบาลเผด็จการได้ทำการเพิกถอนใบอนุญาตสื่อสิ่งพิมพ์ของอิรวดี ตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค. 2565 และกล่าวหาว่าสื่ออิรวดี สร้างความเสียหายต่อ ‘ความมั่นคงของรัฐ’ และ ‘ความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง’ 

เมื่อเอย่าเห็นข่าวนี้ เอย่าก็รีบเปิดเว็บไซต์ดูทันที ซึ่ง ณ วันที่เขียนบทความนี้ ก็หลังจากการรายงานข่าวนี้มาร่วมอาทิตย์ แต่เว็บไซต์ของสำนักข่าวอิรวดี (Irrawaddy) ก็ยังปกติดี ไม่ได้ต่างอะไรกับสำนักข่าวอื่น ๆ ที่เคยโดนไปอย่าง Mizzima หรือ Myanmar Now ที่ทางรัฐบาลไม่สามารถควบคุมสื่อได้ และทำให้สื่อหลายสื่อกลายเป็นเครื่องมือในการโค่นล้มผู้มีอำนาจในรัฐบาลโดยการล้างสมองประชาชน

ก่อนอื่นเราควรมารู้จักสื่ออิรวดีให้ดีก่อนว่าเป็นมาอย่างไร...

สื่ออิรวดี ก่อตั้งขึ้นในไทยเมื่อปี 2536 เป็นสื่อที่เป็นปฏิปักษ์กับระบอบเผด็จการทหารในพม่าจากการที่พวกเขารายงานข่าวเชิงส่งเสริมประชาธิปไตย เสรีภาพสื่อ และสิทธิมนุษยชนในพม่า เมื่อมีการเปิดประเทศ อิรวดีจึงย้ายสำนักงานใหญ่เข้าไปในพม่าเมื่อปี 2555 เพื่อรายงานข่าวสถานการณ์ในพม่า จนถึงการทำรัฐประหารปี 2564

เมื่อมีนาคม 2564 รัฐบาลทหารเมียนมาเคยดำเนินคดีอิรวดี ด้วยกฎหมายมาตรา 505 (a) โดยอ้างว่า ‘เพิกเฉยต่อ’ กองทัพพม่าในการรายงานข่าวการประท้วงต่อต้านเผด็จการทหารที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนั้น แม้ต่อมาจะมีการจับกุม ‘อูต่องวิน’ ผู้ตีพิมพ์เผยแพร่สื่ออิรวดี แต่ก็ไม่สามารถทำให้สำนักข่าวอิรวดีหยุดเผยแพร่ได้ 

และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่มีการดำเนินการกับสื่ออย่างอิรวดี แต่ด้วยความที่สื่อมีสำนักงานที่ไทย ทำให้น่าจะลำบากต่อจัดการของรัฐบาลเมียนมาอยู่พอตัว

ถามว่าทำไมสื่ออย่างอิรวดี มีอิทธิพลนัก... 

หากค้นข้อมูลลึก ๆ จะเห็นว่าสำนักข่าวอิรวดี เคยรับทุนจากองค์กร National Endowment for Democracy (NED) ของอเมริกา ซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่าอเมริกาชักใยหลาย ๆ ประเทศผ่านการจ่ายเงินผ่านกองทุนนี้ โดยสำนักข่าวอิรวดีเคยได้รับทุนจาก NED จำนวน 150,000 ดอลลาร์ในปี 2016 และนั่นคงไม่ต้องถามว่าสื่ออิรวดีจะเป็นสื่อที่มีความเป็นกลางได้จริงหรือไม่? หรือเป็นเพียง ‘สื่อร่างทรง’ ให้แก่ประเทศผู้แจกทุนที่พยายามจะหาทางเข้ามาในภูมิภาคนี้ 

ถอดรหัส 'จีน' ยุคก้าวกระโดด ผู้พลิกเกมโลกแบบเกินต้าน ผ่านเลนส์นักสังเกตการณ์จีน 'รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น'

"ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ไม่ได้มานั่งสุมหัวแล้วคิดกันเอง แต่ขับเคลื่อนด้วยการวิเคราะห์ฐานข้อมูล ทำ Social Listening จับกระแสความกังวลของสังคม เพื่อแก้ปัญหาออกแบบนโยบายได้ตรงจุด"

"การที่พรรคคอมมิวนิสต์ไฮเทคก็จริง แต่ถ้ามาจัดระเบียบชีวิตคนจีนมากเกินไป ก็แน่นอน ย่อมมีคนอึดอัดและไม่เห็นด้วย"

แค่สองประโยคสั้นๆ ที่รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เล่า คงชวนให้คิดในประเด็นอื่นๆ ได้อีก โดยเฉพาะเกมมหาอำนาจระหว่างจีนกับสหรัฐฯ 

แล้วไทยจะเรียนรู้จากจีนเรื่องไหนได้บ้าง?

อดีตผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ นักเขียนที่มีผลงานหนังสือเกี่ยวกับจีน 9 เล่ม และผลงานวิจัยมากกว่า 20 เรื่อง รวมทั้งเป็นวิทยากรด้านเศรษฐกิจจีน และยุทธศาสตร์จีน ยังสนุกกับการวิเคราะห์เรื่องจีนๆ เพราะวันนี้จีนไปไกลถึงดาวอังคาร

ขอบอกก่อนว่า บทสัมภาษณ์ใน จุดประกาย กรุงเทพธุรกิจ ครั้งนี้ อาจารย์อักษรศรี กระเทาะเปลือกโมเดลจีนมาให้อ่านแบบคร่าวๆ เท่านั้น 

"ในตอนแรก เคยมองว่า คอมมิวนิสต์และทุนนิยมไม่น่าไปด้วยกันได้ ตอนที่เพิ่งเริ่มศึกษาเรื่องจีน เราเคยใช้แว่นตะวันตกมองจีน ก็เลยไม่เข้าใจระบบจีน" นี่เป็นการเปิดบทสนทนาอย่างจริงจังจากนักเศรษฐศาสตร์ที่เรียกตัวเองว่า 'นักสังเกตการณ์จีน' หลังเดินทางไปทุกมณฑลในจีน ก่อนที่เราจะได้รู้ว่า ผู้นำจีนกำลังจะเป็นผู้พลิกเกมโลกได้อย่างไรจากเธอ...

>> ทำไมสนใจและศึกษาจีนมาอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปี?
เริ่มสนใจจีนจริงจังปี 1992 ยุคเติ้งเสี่ยวผิง จุดเริ่มต้นความสนใจตอนนั้น ดิฉันไปเรียนปริญญาโทอยู่ที่ Johns Hopkins สหรัฐฯ อาจารย์ฝรั่งนำคลิปภาพเติ้งเสี่ยวผิงไปที่เชินเจิ้นมาให้วิเคราะห์ เป็นเหตุการณ์สำคัญที่เรียกว่า Deng's Southern Tour จึงเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นภาพความเจริญของจีนที่น่าทึ่ง ไม่เหมือนกับที่เคยคิดไว้ คือ ช่วงนั้น เคยมีภาพลักษณ์จีนที่ล้าหลัง และเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ คิดแบบเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก ก็เลยสงสัย ระบบคอมมิวนิสต์นจะไปกับระบบทุนนิยมได้อย่างไร และแปลกใจกับภาพที่เติ้งเสี่ยวผิงไปเยือนเชินเจิ้น จีนมีความทันสมัยและมีตึกสูงระฟ้า ไม่ได้ล้าหลังอย่างที่คิด แต่มีเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด

ที่สนใจเพราะระบบจีนไม่เหมือนใคร่ ปกครองแบบคอมมิวนิสต์ แต่เศรษฐกิจแบบทุนนิยม แล้วระบบแบบนี้จะไปด้วยกันได้หรือ จะล้มครืนสักวันไหม ตอนนั้นคิดแบบนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักที่ไม่เข้าใจระบบแบบจีน

เกาะติดจับตามาเรื่อยๆ จีนก็ไม่ย่ำแย่สักที มีระบบเฉพาะของจีนเอง โมเดลจีน ดิฉันมองว่า มันก็เหมาะกับบริบทจีน เขาไม่เลียนแบบตำราฝรั่ง แต่สามารถนำพาประเทศมาถึงจุดนี้ ถือเป็นความสำเร็จที่น่าสนใจเรียนรู้ จากวันนั้นถึงวันนี้ผ่านมา 30 ปีแล้ว ก็ยังเกาะติดพัฒนาการของจีนด้วยความสนุกและมีอะไรใหม่ๆ ให้ค้นคว้าหาคำตอบตลอด ดิฉันขอเรียกตัวเองว่า นักสังเกตการณ์จีน

>> แรกๆ มองจีนด้วยความรู้แบบตะวันตก จากนั้นศึกษาจีนอย่างลึกซึ้ง?
ถ้าเรื่องใดที่ดิฉันมี Passion สนใจใฝ่รู้ในเรื่องอะไร ก็จะทุ่มเทเต็มที่ หลายสิบปีที่ผ่านมา ด้วยความอยากรู้สภาพที่แท้จริงของจีนด้วยตาตัวเอง จึงเดินทางไปลงพื้นที่ในประเทศจีนครบทุกมณฑล (31 มณฑล) เริ่มไปจีนอย่างจริงจังในปี 2000 ตระเวนเดินทางจนครบในปี 2009 ใช้เวลา 9 ปี คิดว่า มีนักวิชาการไทยไม่กี่คนที่บ้าลุยลงพื้นที่จีนขนาดนี้ คนไทยทั่วไปมักนิยมไปแค่ปักกิ่ง เชี่ยงไฮ้ จีนชายฝั่ง

แต่ดิฉันบุกไปจนถึงสุดชายแดนจีนตอนในทางตะวันตก มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งของดิฉัน เจาะลึกมณฑลจีนตะวันตก และเจาะลึกการค้าไทยและมณฑลจีน น่าจะเป็นงานแรกๆ ของประเทศไทยที่เน้นศึกษาความสัมพันธ์ในระดับมณฑล ตระเวนลงพื้นที่ทั่วประเทศจีน เช่น ซินเจียงและทิเบตก็เดินทางไปแล้วสองรอบ หนิงเชี่ยและชิงไห่คนไทยไม่ค่อยรู้จักก็ไปมาแล้ว

ก่อนเกิดโควิด ทางการจีนจะเชิญดิฉันไปพรีเซนต์งานวิจัยทุกปี มีบางปีไปทุกเดือน และเคยเป็นแขกของรัฐบาลทิเบต ไปงาน Tibet Forum ไปพรีเซนต์ร่วมกับนักวิชาการจากหลายประเทศ ส่วนใหญ่ดิฉันรับเชิญไปในนามแขกรัฐบาลมณฑลหรือฝ่ายวิชาการของมณฑล

>> อะไรทำให้อยากเดินทางไปทุกมณฑลของจีน?
ต้นแบบที่ทำให้ดิฉันมุ่งมั่นเดินทางไปลงพื้นที่จีนให้ครบทุกมณฑล คือ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระองค์เสด็จเยือนจีนครบทุกมณฑล พระราชนิพนธ์หนังสือเกี่ยวกับจีนหลายเล่ม ดิฉันมีทุกเล่ม ทรงเป็นแรงบันดาลใจให้อักษรศรีไปจีนให้ครบทุกมณฑล

>> อยากให้เล่าประสบการณ์การเดินทางในมณฑลต่างๆ สักนิด?
น่าสนใจทุกพื้นที่ แต่ขอยกตัวอย่างบางแห่ง เช่น ตอนไปเมืองอุรุมชี เมืองเอกของซินเจียง ก่อนไปก็คิดว่าเป็นดินแดนมุสลิมที่มีความขัดแย้งคงไม่สงบและน่ากลัว แต่พอไปเห็นด้วยตา จริงๆ แล้ว คนที่นั่นก็ใช้ชีวิตปกติ และมีความทันสมัย ไปครั้งแรกเมื่อปี 2005 ไปตามรอยเส้นทางสายไหม และไปอีกครั้ง ปี 2015 รอบนี้ อาจจะเห็นภาพเจ้าหน้าที่จีนถือปืนอยู่ตามท้องถนน เพราะเป็นช่วงที่มีความไม่สงบเกิดมากขึ้น แต่ก็ไม่อันตรายอย่างที่คิด ดังนั้น แต่ละแห่งที่ไปต้องการไปเห็นด้วยตาตัวเอง จะได้รู้ข้อเท็จจริงของพื้นที่ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นนะคะ

ดิฉันไปถึงเมืองตะวันตกที่สุดของจีนด้วย คือ เมืองคาสือ ความฝันของดิฉันต้องไปเมืองนี้ให้ได้ อยู่ติดกับปากีสถาน เมืองนี้เป็นชุมทางเส้นทางสายไหมโบราณ มีความเป็นมุสลิมอุยกูร์สูงมาก เคยเกิดความรุนแรง แต่ตอนที่ไปถึงก็ปลอดภัย ผู้คนในเมืองนี้ก็น่ารัก ส่วนใหญ่พูดภาษาอุยกูร์ แม้กระทั่งภาษาจีนกลาง ก็พูดไม่เข้าใจ ประชากรอุยกูร์ น่าจะเกิน 80-90 เปอร์เซ็นต์ในเมืองนี้ ดิฉันเรียกที่นี่ว่า ดินแดนอุยกูร์บนแผ่นดินจีนไม่ได้อันตรายเหมือนที่สื่อนำเสนอ

ส่วนมองโกเลียใน ดิฉันไปเมืองเปาโถวมีแหล่งแร่แรร์เอิร์ธหรือกลุ่มแร่หายาก ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตสินค้าเทคโนโลยี ตอนที่ไปเยี่ยมชมโรงงานแร่แรร์เอิร์ธ จึงได้รู้ว่า การประกอบสมาร์ทโฟนต้องมีแร่ตัวนี้เป็นวัตถุดิบหลัก จีนเป็นแหล่งแร่แรร์เอิร์ที่สำคัญของโลก ตอนที่เกิดสงครามการค้า จีนก็ใช้แร่ตัวนี้เป็นแต้มต่อกดดันสหรัฐฯ หากจีนจำกัดการส่งออกแร่ตัวนี้ สหรัฐฯ และผู้ผลิตสินค้าเทคโนโลยีทั้งหลายเดือดร้อนแน่

>> นักวิชาการต่างประเทศที่เข้าไปพรีเซนต์งานวิจัย ทางการจีนต้องการรู้อะไรเป็นพิเศษ?
จีนชอบที่จัดเวทีประชุมวิชาการ จัดงานฟอรัมเชิญนักวิชาการมาจากชาติต่างๆ จีนสนใจเรียนรู้ประสบการณ์ของชาติอื่น แล้วจีนจะไม่ยอมผิดพลาดซ้ำ สิ่งที่ฝ่ายจีนมักจะถามดิฉันบ่อยมาก จนถึงทุกวันนี้ คือ ประสบการณ์ของไทยช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง รัฐบาลไทยและธนาคารแห่งประเทศไทยจัดการเรื่องนี้อย่างไร

รวมทั้งนโยบายไทยแลนด์ 4.0 จีนก็สนใจ ดิฉันเองเคยขึ้นเวทีกับนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของจีน และอดีตนักเศรษฐศาสตร์ฝรั่งรางวัลโนเบิลระดับโลก ดิฉันได้รับเชิญไปจีนล่าสุดปี 2019 ก่อนเกิดโควิด ไปนำเสนองานวิชาการในงาน CDAC ที่จัดใหญ่มาก ตอนนั้นสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนมาเปิดงานนี้ด้วย แล้วก็มาร่วมชมงานแสดงตอนค่ำ มาเซอร์ไพรส์พร้อมภรรยา มาดามเผิงลี่หยวน จีนจัดงานยิ่งใหญ่ที่สนามกีฬารังนก กรุงปักกิ่ง

>> อยากให้ขยายความที่บอกว่า โมเดลจีนย่อมเหมาะกับจีน?
ถ้าเราศึกษาจีนอย่างลึกซึ้ง นไม่ได้ลอกตำราฝรั่งในการพัฒนาประเทศ ยกตัวอย่างเช่น นไม่ได้เดินตามแนวคิดของสหรัฐที่เรียกว่า "ฉันทามติวอชิงตัน" หรือ Washington Consensus เป็นแนวทางการพัฒนาที่หลายประเทศทั่วโลกใช้เป็นต้นแบบ เป็นเสมือนเมนูแนวนโยบาย มี10 ข้อ แต่จีนไม่เดินตามทั้งหมด จีนมีแนวทางการพัฒนาของจีนเอง จนถูกเรียกว่า "ฉันทามติปักกิ่ง" หรือ Beijing Consensus มีผู้นำนักปฏิรูปคือ เติ้งเสี่ยวผิง ที่เปลี่ยนจีนสู่ความทันสมัยทางเศรษฐกิจ

เติ้งเสี่ยวผิงไม่ได้ปฏิเสธตะวันตก แต่ปรับดึงเพียงสวนที่เหมาะสมมาใช้กับจีน จีนจะเน้นรักษาเสถียรภาพ ล่าสุด ประเทศอื่นมีปัญหาเงินเฟ้อ แต่จีนไม่มี เพราะผู้นำให้ความสำคัญในการคุมเงินเฟ้อมาโดยตลอด กลไกรัฐของเขา เน้นป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา ไม่ใช่แค่มาตามแก้ปัญหา มีการวางแผนระยะยาว มีวิสัยทัศน์ นี่คือจุดเด่นของจีน บางคนไม่เข้าใจ เพราะใช้แนวคิดตะวันตกมาจับ อย่างเช่นสีจิ้นผิงจะไม่ชอบเศรษฐกิจฉาบฉวย ไม่ชอบเศรษฐกิจตีโป้ง ไม่ชอบการเก็งกำไร และบอกว่า บ้านมีไว้อยู่ไม่ใช่เพื่อเก็งกำไร ดังนั้น เราอาจจะไม่เข้าใจ ทำไมจีนไม่เอาคริปโตเคอร์เรนซี่ หรือทำไมต้องจัดระเบียบทุน

เมื่อไรที่เริ่มมีเค้าลางว่า จะเกิดปัญหาและจะกระทบความสงบเรียบร้อยในประเทศหรือเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ จีนจะตัดไฟแต่ต้นลม ถ้าจะเข้าใจจีน ต้องเข้าใจบริบทของพวกเขา ประเทศใหญ่มีคนเยอะ จึงไม่ต้องการให้เกิดความวุ่นวาย เสถียรภาพต้องมาก่อน นี่คือตัวอย่างว่า ทำไมระบบแบบจีนต้องคำนึงถึงบริบทจีน

>> โฉมหน้าใหม่ของจีนเกิดขึ้นในยุคไหน?
หากย้อนไปตั้งแต่ยุคเหมาเจือตง จะเป็นคอมมิวนิสต์ ทุกอย่างควบคุมโดยรัฐ ปิดประเทศ โดดเดี่ยวตัวเองต่อมา สู่ยุคเปลี่ยนผ่าน ยุคเติ้งเสี่ยวผิงเน้นปฏิรูปเศรษฐกิจจีน เอากลไกตลาดเข้ามาทำงานกับกลไกรัฐ เน้นดึงดูดต่างชาติเข้ามา ถือเป็นจุดเปลี่ยนของระบบเศรษฐกิจ ภาคเอกชนจีนเติบโต

ล่าสุด ในยุคสีจิ้นผิง ดิฉันเรียกว่า ผู้มาเปลี่ยนเกม (Game Changer) หลายอย่างแตกต่างจากยุคเติ้งเสี่ยวผิง คือ เน้นสร้างจีนให้แข็งแกร่ง และไม่เดินตามเกมฝรั่ง จีนจะพลิกเกม ผลักดันแนวทางของจีนเอง เช่นระบบนำทางที่โลกทั้งใบใช้ระบบ GPS ของฝรั่ง แต่นไม่ใช้และบล็อกระบบ GPS ไม่ให้เข้าจีน แล้วมุ่งพัฒนาระบบนำทางของจีนเอง เรียกว่า The BeiDou Navigation Satellite System (BDS) ระบบสัญญาณนำทางดาวเทียมเป่ยโต่ว และนอกจากจะใช้ในจีน ยังเริ่มส่งออกระบบ BDS ไปให้หลายประเทศใช้ด้วย รวมทั้งระบบ 5G ของจีนที่ส่งออกไปด้วย

สีจิ้นผิงมาสร้างการเปลี่ยนแปลงให้จีน พัฒนาเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดดหลายด้าน ยุคนี้ จีนกลายเป็น สังคมไร้เงินสด ชาวบ้านคนจีนจ่ายเงินโดยใช้วิธีสแกนผ่านแอปฯ แม้กระทั่งขอทานจีนก็ไม่ต้องการเงินสด แต่ขอเงินที่ใช้การโอนผ่าน QR code จีนก้าวข้ามระบบบัตรเครดิตมาเป็นสังคมที่ใช้ e-wallet ระบบสแกนจ่ายเงินออนไลน์

ยุคสีจิ้นผิง ให้ความสำคัญกับการมุ่งสู่เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม มีการใช้ประโยชน์จากการจัดการฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ทั้งภาครัฐและเอกชน มีสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นจำนวนมาก ตัวอย่าง แอปพลิเคชั่นชื่อดังของจีน คือ TikToK เริ่มพัฒนาโดยจาง อีหมิง เจ้าของบริษัทไบต์แดนซ์ (ByteDance) แค่ภายใน 10 ปี จางอี้หมิง กลายเป็นบุคคลที่รวยกว่ามาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก แห่งเฟซบุ๊ก นี่คือ ความพยายามเอาชนะฝรั่ง และความพยายามที่จะไม่เดินตามเกมโลกของจีนในยุคสีจิ้นผิง

อีกตัวอย่าง คือ อุตสาหกรรมรถยนต์ จีนก้าวข้ามจากยุคเครื่องยนต์สันดาปไปสู่การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า EV และพัฒนาแบตตารี่รถยนต์ไฟฟ้า จีนเน้นการพัฒนาครบวงจรทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ จนในขณะนี้ แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจีนจากเชินเจิ้น คือ BYD กลายเป็นรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก และมาลงทุนในไทยด้วย ตอนนี้ จีนไปไกลถึงขั้นมีรถแท็กซี่ไร้คนขับ และเมืองเชินเจิ้นกลายเป็นเมืองอัจฉริยะและใช้รถยนต์ EV ทั้งเมือง

>> สาเหตุที่จีนก้าวกระโดด เพราะแนวทางพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วยไหม?
ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ ข้อเท็จจริง คือ จีนยุคนี้เป็นคอมมิวนิสต์ที่ไฮเทค และคิดใหญ่มองไกล มีการวางยุทธศาสตร์ระยะยาวที่จะพัฒนาประเทศด้วยเทคโนโลยี สีจิ้นผิง เป็นผู้นำที่เชิดชูบทบาทพรรคคอมมิวนิสต์ อย่างเข้มข้น ระบุชัดเจนใน "ความคิดสีจิ้นผิง" ที่ใสในรัฐธรรมนูญประเทศจีนตั้งแต่ปี 2018 ว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนใหญ่ที่สุดในประเทศจีน และมีอำนาจควบคุมทุกอย่างในประเทศ พรรคคอมมิวนิสต์จีนใหญ่กว่ากองทัพจีน และใหญ่กว่าทุกองค์กรในจีน กลไกพรรคแทรกซึมทุกอย่างในจีน ทั้งทางตรงและทางอ้อม

พรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่ใช่พรรคที่ล้าหลัง แต่กลับรู้จักใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี การออกแบบนโยบายของจีน เขาใช้ระบบวิเคราะห์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ใช้ Social Listening รับฟังข้อกังวลของชาวจีน ใช้เทคโนโลยีเอไอ ทำให้รู้ว่าความทุกข์ของคนในชาติคือเรื่องอะไร อย่างเช่น ปัญหาเด็กติดเกม พ่อแม่แก้ปัญหาไม่ได้ สี จิ้นผิง ก็ออกกฏว่า เยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีเล่นเกมได้ไม่เกิน 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์และครั้งละไม่เกิน 1 ชั่วโมง พรรคคอมมิวนิสต์จีนบอกว่า เกมคือ ฝิ่นทางจิตวิญญาณ ก็ได้ใจพ่อแม่จีนที่รัฐเข้ามาช่วยแก้ปัญหาในครอบครัวที่ตัวเองแก้เองไม่ได้ ลูกไม่ฟัง

มีการตั้งหน่วยงาน Cyberspace Administration of China หรือ CAC ที่เป็นเสมือนตำรวจอินเตอร์เน็ตมากำกับดูแลสื่อโซเชียลด้วย สีจิ้นผิง มาเป็นผู้นำตั้งแต่ปี 2013 ก็เริ่มตั้งหน่วยงาน CAC นี้ในปี 2014 เลย เขาป้องกันปัญหาตั้งแต่ก่อนที่จะมีปัญหาข่าวปลอม หรือข้อมูลขยะในสื่อโซเชียลยังไม่หนักขนาดนี้ และแน่นอนว่า หน่วยงานนี้มาคุมสื่อโซเชียลจีนด้วย พร้อมๆ ไปกับการสอดส่อง จับกระแสความทุกข์หรือความไม่สบายใจของชาวเน็ต เช่น ปัญหาลูกติดเกม ปัญหาโรงเรียนกวดวิชาแพง ปัญหาไรเดอร์จีนถูกเอาเปรียบจากบริษัทนายจ้าง แล้วทางการจีนก็นำข้อมูลเหล่านั้นมาออกแบบนโยบายเพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุดนั้นใช้เทคโนโลยีแก้ปัญหา และระบบเอไอมาจัดการ

เพื่อให้เห็นเหรียญอีกด้าน แน่นอนว่า การที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนไฮเทคก็จริง แต่การเข้ามาจัดระเบียบทุนหรือจัดระเบียบชีวิตคนจีนมากไป คนก็อึดอัด ไม่พอใจ เช่น กรณีนโยบาย Zero COVID ที่ตึงเกินไป อาจจะเริ่มมีคนต่อต้านมากขึ้น ในมุมนี้ ดิฉันคิดว่า น่ากังวล แล้วความเหมาะสมและสมดุลจะอยู่ตรงไหน จึงเป็นเรื่องที่ต้องจับตา โดยเฉพาะรายชื่อผู้นำจีนชุดใหม่ 7 คน น่าจะมีแนวโน้มไปทางสายเข้มงวดในเรื่องการจัดระเบียบอย่างเข้มข้น

>> พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีบทบาทในการส่งมอบอุดมการณ์อย่างไร?
ถ้าเราศึกษา "ความคิดสีจิ้นผิง" ทั้ง 14 ข้อ จะระบุชัดเจนว่า พรรคคอมมิวนิสต์ต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด และเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ที่ทันสมัยไฮเทค ไม่ได้คร่ำครึ มีนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรชั้นสูงมาร่วมทีมผู้บริหารสีจิ้นผิงได้วางวิสัยทัศน์ในปี ค.ศ. 2035 ไว้หลายด้าน เช่น China Standards 2035 จีนจะเป็นผู้วางมาตรฐานเทคโนโลยียุคใหม่ในระดับโลก (Next-generation Technology) และจะเป็นสังคมนิยมที่ทันสมัย ไฮเทค มั่งคั่ง และมีวัฒนธรรมที่สวยงาม

>> ยุทธศาสตร์แบบนี้ ทำให้จีนกลายเป็นผู้นำโลก?
จีนมีความฝันแน่วแน่ที่จะเป็นเบอร์หนึ่งของโลกด้วยเทคโนโลยี ยุคสีจิ้นผิง จีนไม่ใช่แค่ทรงอำนาจทางเศรษฐกิจ แต่ทรงอำนาจด้านเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า รวมไปถึงเทคโนโลยีด้านอวกาศ จีนส่งยานอวกาศไปดาวอังคารแล้ว

สีจิ้นผิงแต่งตั้งนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร ขึ้นมาเป็นผู้บริหารหลายมณฑล เช่น ชินเจียง และหูหนาน ที่สำคัญหนึ่งในเจ็ดผู้นำจีนชุดล่าสุด คือ ติงเซวียเสียง (Ding Xuexiang) ก็เป็นวิศวกรด้านวิทยาศาสตร์ ดูแลด้านเทคโนโลยีของพรรคคอมมิวนิสต์จีน นี่คือ ความไม่ธรรมดาของคอมมิวนิสต์จีน ดังนั้น ความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดของจีนทำให้สหรัฐฯ หวั่นไหว และเริ่มจำกัดการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีชั้นสูงให้จีน เริ่มทำสงครามเทคโนโลยีกับจีนอย่างชัดเจน

>> ก่อนหน้านี้ จีนมีนโยบายการขจัดความยากจน ?
นอกเหนือจากการทำสงครามปราบคอรัปชั่น การประกาศทำสงครามกับความยากจนเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้สีจิ้นผิงได้ใจปวงชนชาวจีน เรื่องนี้เป็นงานวิจัยชิ้นลำาสุดของดิฉันด้วยค่ะ เพราะอยากรู้ว่า จีนขจัดความยากจนได้อย่างไร สีจิ้นผิงทำให้คนจีน 98.99 ล้านคนหลุดพ้นจากเส้นแบ่งความยากจนได้ตั้งแต่ปลายปี 2020 โดยใช้ "นโยบายขจัดความยากจนแบบตรงจุด" ไม่เหวี่ยงแหแก้ปัญหา

'จีน' เพาะเลี้ยงหมูในตึกสูง 26 ชั้น สามารถผลิตหมูได้มากถึง 6 แสนตัวต่อปี

ชวนทำความรู้จักฟาร์มหมูแห่งอนาคตจากเมืองเอ้อโจว มณฑลหูเป่ยทางตอนกลางของจีน ซึ่งประยุกต์ใช้สารพัดเทคโนโลยีล้ำหน้าและระบบควบคุมการดำเนินงานจากส่วนกลาง เพาะเลี้ยงหมูภายในอาคารสูง 26 ชั้น จนสามารถสร้างผลผลิตหมูสูงถึง 6 แสนตัวต่อปี

จินหลิน ผู้จัดการทั่วไปของบริษัท จงซินไคเหวย โมเดิร์น ฟาร์มิง จำกัด (Zhongxinkaiwei Modern Farming) เผยว่าระบบควบคุมส่วนกลางที่ชั้น 1 สามารถควบคุมและเฝ้าติดตามระบบประปา ไฟฟ้า ก๊าซมีเทน และการระบายอากาศของชั้น 3 จนถึงชั้น 26 ได้ทั้งหมด

เทรนด์มะกันนัดกันปล้น เหตุความผิดไม่ระคายผิว สะท้อน!! ถ้าการเมืองดี๊ดี…อะไรก็ดีจริงเหรอ?

คลิปที่ว่อนในโลกโซเชียลไทยคลิปหนึ่งมาจากอเมริกา แดนในฝันของใครหลายคน เป็นคลิปที่ถ่ายในร้านขายโทรศัพท์มือถือแห่งหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย ในคลิปจะเห็นชายคนหนึ่งเดินไปหยิบมือถือเครื่องนั้นเครื่องนี้ตามชอบใจ แล้วเดินออกจากร้านไปโดยไม่จ่ายเงิน คนที่เห็นถึงกับเงิบ แบบนี้ก็ได้เหรอ?

ทำให้นึกถึงเรื่องจริงไม่อิงนิยายที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในรัฐแคลิฟอร์เนียนี่แหละ!!

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองใหญ่ของรัฐแคลิฟอร์เนีย จนชาวบ้านระอา โดยเฉพาะในแอลเอและซานฟรานซิสโก ลามไปในย่านธุรกิจอย่างยูเนี่ยนสแควร์ 

ใครที่เคยไปเยือนซานฟรานซิสโก ให้นึกถึงต้นสายรถรางที่เริ่มจากยูเนี่ยนสแควร์อันแสนคึกคักมีชีวิตชีวา แต่ช่วงนี้ปล้นกันถี่ๆ ร้านค้าหลายร้านถึงกับปิดร้านหนีไปเลย เพราะนอกจากปล้นเดี่ยวแล้ว ยังมีพัฒนาการไปเป็นการนัดออนไลน์ไปปล้นพร้อมกัน ต่างมาต่างไปแต่ใจริลักเหมือนกัน 

ในลอสแองเจลิส เกิดม็อบโจรปล้นกลางวันแสกๆ แบบเย้ยฟ้าท้าดิน คนกลุ่มหนึ่งนัดมารวมตัวกันหน้าร้าน 7-11 ไม่ได้มารวมเพื่อทำกิจกรรมสร้างสรรค์แต่อย่างใด แต่นัดมาปล้นร้านนี้ 

การปล้นเป็นไปอย่างเปิดเผยและเป็นกันเอง ไม่มีการคาดหน้าคาดตาหรือปกปิดใบหน้าทั้งสิ้น!!

เมื่อกลุ่มคนมาถึงก็บุกเข้าปล้นอย่างหน้าด้านๆ บ้างเข้าไปในร้าน โยนข้าวของทั้งของกินของใช้ให้คนรอรับนอกร้าน แล้วไอ้ที่บุกปล้นก็ไม่ใช่น้อยๆ นับดูคร่าวๆ น่าจะร่วมร้อยได้ ที่ปล้นแบบไม่แคร์ใดๆ ในโลกใบนี้ 

สาเหตุที่พวกนี้กล้ายกพวกปล้นกลางวันแสกๆ เพราะกฎหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียนี่แหละ!!

ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าที่บังคลาเทศ ฝีมือคนไทย ที่น้อยคนอาจจะไม่เชื่อ

หากย้อนไปเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2565 จะมีหนึ่งข่าวปรากฏอยู่ตามหน้าสื่อประปราย นั่นก็คือข่าวที่บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หน่วยงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า Dhakha Metro Rail Project CP03 & CP04 ณ กรุงธากา ได้มีโอกาสต้อนรับ ฯพณฯ เอกอัครราชทูตไทยประจำสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ นางมาฆวดี สุมิตรเหมาะ พร้อมเจ้าหน้าที่สถานทูต รวมจำนวน 5 ท่าน ที่มาเยี่ยมชมโครงการ โดยมีเจ้าของงาน (DMTCL) และที่ปรึกษาโครงการ (NKDM) ร่วมต้อนรับ โดยได้เยี่ยมชมโครงการและถือโอกาสพบปะเยี่ยมเยียนพี่น้องคนไทยที่ทำงานในโครงการ รวมทั้งเพื่อสานความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย-บังกลาเทศ ในโอกาสครบรอบ 50 ปี 

สำหรับโครงการรถไฟฟ้า Dhakha Metro Rail Project Line-6 สัญญาที่ CP03 & CP04 ณ กรุงธากา สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศนี้ ถือเป็นรถไฟฟ้าสายแรกของบังกลาเทศ ดำเนินการโดย บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทคนไทย ประกอบไปด้วยการก่อสร้างทางรถไฟ และสถานีที่มีมาตรฐานระดับสากล

ข่าวนี้ถ้าดูผ่าน ๆ ก็เหมือนกับงานก่อสร้างที่บริษัทไทยไปบิดงานได้ทั่วไป แต่จริงๆ แล้วงานที่เกี่ยวกับรถไฟฟ้า ตัวเส้นทาง และสถานีรถไฟฟ้า ถือเป็นงานยากที่มาตรฐานของโลกมักกระจุกตัวอยู่กับญี่ปุ่น ยุโรป และจีน

อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าว ที่บริษัทไทยได้เข้าไปก่อสร้างให้กับบังคลาเทศนั้น ได้สร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้ที่ได้ทราบข่าวว่า คนไทยเป็นคนสร้างจริงหรือ!!

“เราภูมิใจที่มาสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย คาดว่าน่าจะเสร็จ 2 เดือนข้างหน้า เปิดใช้รถไฟฟ้าสายแรกภายในสิ้นปีนี้” และ “รถไฟฟ้าสายนี้ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยและบริษัทอิตาเลียนไทยที่ประสบความสำเร็จได้มาสร้างรถไฟฟ้า สายแรกในบังกลาเทศ” คือเสียงจากบรรดาวิศวกรของโครงการที่รู้สึกภูมิใจกับการเป็นส่วนหนึ่งของโครงการอันยิ่งใหญ่ในบังกลาเทศ

ตอนนี้คนบังคลาเทศ คงรู้สึกปลื้มใจที่จะได้มีรถไฟฟ้าสายแรกใช้ในประเทศ ภายใต้คนไทยที่เป็นผู้สร้างให้ ซึ่งแน่นอนว่า ภารกิจในครั้งนี้ได้โชว์ให้เห็นว่า ไม่เพียงแค่ประเทศไทยจะพัฒนาสถานีรถไฟฟ้าหลายสายภายในประเทศได้เองเท่านั้น แต่เรายัง Export ความสามารถในการก่อสร้างไปสู่ประเทศอื่น ๆ ได้อีกด้วย

จากช่อง YouTube ละโบยบิน – Laboibin ได้มีการเผยแพร่คลิปความยาว 19.40 วินาที ซึ่งมีหลากมุมมองที่ทำให้คนไทยรู้สึกยืดได้เต็มอกกับโครงการรถไฟฟ้าในบังคลาเทศด้วยว่า...

สำหรับสถานีรถไฟฟ้าสายแรกของบังกลาเทศ จะมีสถานีอุตตระเหนือ (Uttara North Metro Station) เป็นสถานีแรกของรถไฟฟ้าสายนี้ ซึ่งบรรยากาศของสถานีนั้น มีความสวยงามและมอลังการอย่างมาก ภายใต้ความคิด การออกแบบ การลงเข็ม งานฐานราก เสา โครงหลังคา บันไดเลื่อน และทุกอย่างที่ทำให้เกิดขึ้นมาเป็นหนึ่งสถานีที่งดงาม จากฝีมือสร้างของคนไทย หลาย ๆ อย่างก็เลยจะดูคล้าย ๆ โครงสร้างรถไฟฟ้าที่ประเทศไทยไปในตัว (รถไฟที่ลาว หลาย ๆ อย่างจะมีรูปลักษณ์ออกไปทางจีน)

โดยล่าสุดตัวสถานีแห่งนี้ ได้มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 90% เหลือแค่เก็บรายละเอียดเล็กน้อยก็จะเปิดใช้งานได้ภายในปลายปีนี้ (2565)

ทั้งนี้หากฟังเสียงจากวิศวกรคนไทย ที่ได้ร่วมโปรเจกต์นี้ ต่างกล่าวถึงความภูมิใจที่ได้ร่วมสร้างสถานีรถไฟฟ้าและโครงการรถไฟฟ้าแห่งแรกของบังคลาเทศจนสำเร็จ และพวกเขามองว่า นี่ไม่ใช่แค่งานก่อสร้างให้ต่างชาติ แต่เป็นการก่อสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในฐานะประเทศที่มีศักยภาพด้านโครงการรถไฟฟ้าให้ทั่วโลกได้ตระหนัก 

ยิ่งไปกว่านั้น หากมองในมุมของคนไทย ก็รู้สึกดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้ชาวบังคลาเทศได้ใช้รถไฟฟ้าสายนี้อย่างเป็นทางการในอีกไม่นาน และอนาคตก็คาดว่าจะมีการขยายสายรถไฟฟ้าใหม่ๆ อีกเรื่อย ๆ โดยแว่วมาว่าจะมีการเปิดประมูลรถไฟฟ้ายกระดับอีก1 สาย และจะเป็นรถไฟฟ้าใต้ดินอีก 1 สาย ซึ่งก็ต้องรอดูว่าคนไทยจะได้ไปโชว์ฝีมือกันอีกหรือไม่

ฟังเสียงจากมุมวิศวกรผู้ร่วมสร้างโครงการแล้ว ก็ข้ามมาฟังเสียงจากคนเวียดนามคู่แข่งที่น่าจับตาของประเทศไทยในช่วงระยะหลัง โดยคนเวียดนามจำนวนมาก ไม่เชื่อว่าผลงานนี้เป็นฝีมือคนไทย เพราะพวกเขายังติดภาพว่า การจะสร้างโครงการระดับนี้ได้ต้องเป็นญี่ปุ่น, จีน หรือกลุ่มประเทศในยุโรป และชาติตะวันตกที่มีความล้ำสมัยเท่านั้น แต่ขอโทษตอนนี้คนไทยทำมันแล้ว คนไทยออกมาสร้างสถานีรถไฟฟ้านอกประเทศได้แล้ว

เสียงจากชาวเวียดนามยังระบุอีกด้วยว่า ที่ประเทศเวียดนาม ยังกำลังสร้างโครงการรถไฟฟ้าอยู่เลย และยังไม่มีโอกาสได้ใช้งาน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าปีหน้าจะได้ใช้งานหรือไม่ด้วย 

ถัดไปยังฟากของผู้คนในโลกโซเชียล เมื่อได้เห็นคลิปความคืบหน้าโครงการดังกล่าว ต่างก็ยินดีกับประเทศบังคลาเทศและประชาชนชาวบังคลาเทศ อีกทั้งยังภูมิใจแทนคนไทยทั้งประเทศอย่างมาก ที่มีบริษัทคนไทยเก่ง ๆ สามารถสร้างทางรถไฟฟ้าสายนี้ได้อย่างงดงาม และชาวบังคลาเทศคงพูดไปชั่วลูกชั่วหลาน ว่ารถไฟฟ้าสายนี้คนไทยเป็นคนสร้างให้

นี่แหละหนา ไอ้คำว่าคนไทยไม้แพ้ชาติใดในโลก มันไม่ได้ไกลเกินจริง แต่มันอยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นค่าคนไทยกันเองหรือไม่เท่านั้น!!

Programme Yarrow ปฏิบัติการลับที่ไม่ลับ หากอังกฤษต้องเผชิญวิกฤติ ไฟดับยกประเทศ

นับเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ร่ำรวยโค้ดปฏิบัติการลับจริงๆ สำหรับแดนผู้ดีอย่างอังกฤษ เจ้าแห่งพิธีรีตอง ที่แม้แต่เมื่อยามสิ้นสมาชิกประมุขแห่งรัฐ ยังต้องกำหนดโค้ดปฏิบัติการลับแยกเป็นรายกรณีไว้เลย เพื่อไม่ให้สับสนเมื่อเกิดเหตุการณ์จริง 

และล่าสุด รัฐบาลอังกฤษออกโค้ดปฏิบัติการพิเศษออกมาอีกแล้ว โดยใช้ชื่อว่า สถานการณ์ ‘Programme Yarrow’ ว่าด้วยเรื่องระเบียบขั้นตอนหากประเทศต้องเจอสถานการณ์ไฟฟ้าดับทั่วประเทศนานกว่า 1 สัปดาห์ในช่วงฤดูหนาวที่จะถึงนี้ 

Programme Yarrow นี้มีการส่งต่อกันในรัฐมนตรีทุกกระทรวงของอังกฤษ เพื่อซักซ้อมความเข้าใจในแผนที่จะรับมือสถานการณ์ขั้นวิกฤติเสมือนยุคสงคราม หากอังกฤษต้องเผชิญปัญหาไฟฟ้าดับนาน 1 สัปดาห์ ที่จะส่งผลถึงความโกลาหลจากการขาดแคลนอาหาร ระบบคมนาคมล้มเหลว การจ่ายกระแสไฟฟ้าและพลังงานล่าช้า ในช่วงฤดูหนาวอันโหดร้ายของอังกฤษ 

นับเป็นสถานการณ์ขั้นเลวร้ายที่สุด และมีโอกาสเกิดขึ้นได้เสียด้วย โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่เกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน และน้ำมัน-ก๊าซธรรมชาติ กลายเป็นเครื่องต่อรองทางการเมือง และเศรษฐกิจถือเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ชาวอังกฤษต้องเจอปัญหาค่าไฟพุ่งกระฉูดรับฤดูหน้าหนาวปีนี้ 

อันที่จริงแผนปฏิบัติการ Programme Yarrow มีการวางแผนกันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว (2021) ก่อนที่รัสเซียจะบุกยูเครนเสียอีก เป็นระเบียบขั้นตอนที่ร่างขึ้นคร่าว ๆ หากโรงไฟฟ้าอังกฤษเกิดผลิตกระแสไฟฟ้าไม่ทันช่วงหน้าหนาว รัฐบาลควรมีแผนการรับมือปัญหานี้อย่างมีขั้นตอน 

แต่พอสถานการณ์ในยูเครนยืดเยื้อ ที่ยื้อกันจนถึงฤดูหนาว รัฐบาลอังกฤษจึงดึงแผน Programme Yarrow กลับมาซักซ้อมความเข้าใจกันอย่างจริงจังอีกครั้งโดยมีการส่งเป็นพิมพ์เขียวไปยังกระทรวงต่าง ๆ แต่สุดท้ายเอกสารที่ว่าลับก็ไม่สามารถเล็ดลอดผ่านสายตาผู้สื่อข่าวสายทำเนียบของอังกฤษไปได้ 

โดยสื่อแรกที่ถือเป็นเซียนแฉในวงการก็คือ The Guardian อ้างว่าเห็นเอกสารลับดังกล่าว ซึ่งจั่วหัวว่า ‘เป็นเอกสารลับ’ พร้อมแผนการเตรียมตัวเมื่อเกิดเหตุดังกล่าว โดยทุกกระทรวงจำเป็นต้องเตรียมความช่วยเหลือด้านอาหาร น้ำดื่ม ที่พักฉุกเฉิน ให้แก่เด็ก คนชรา และ ผู้พิการ เป็นอันดับแรก ๆ และรูปแบบการปฏิบัติงานช่วยเหลือตามลำดับขั้น รวมถึงการทำงาน และสื่อสารกันเองระหว่างกระทรวง 

แน่นอนว่า การเตรียมพร้อมล่วงหน้าเป็นสิ่งที่ดี แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง เอ็ด มิลิแบนด์ เลขาธิการด้านสภาพอากาศกลับมองว่า เรื่องที่รัฐบาลวางแผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว แต่หากเอาความจริงมาพูดกันตรง ๆ ก็คือ อังกฤษกลายเป็นประเทศที่อ่อนแอ และเปราะบางในปัญหาด้านพลังงานมานานนับสิบปีจากนโยบายการบริหารจัดการพลังงานที่ล้มเหลว

รัฐบาลอังกฤษไม่สนับสนุนการผลิตพลังงานลมบก ตัดงบด้านการลงทุนในการพัฒนาพลังงานทางเลือก ระงับแผนพลังงานนิวเคลียร์ ลดคลังพลังงาน แต่กลับพาประเทศไปพึ่งพาพลังงานนำเข้า ถึงโดนปูตินมันบีบเช้า บีบเย็นอยู่นี่ไง 

แทนที่จะระดมกำลังรัฐมนตรีทุกกระทรวงมาหาวิธีจัดการปัญหาพลังงานทางเลือก เพื่อรับมือช่วงฤดูหนาวที่มีความต้องการสูง แต่กลับมาร่างแผนรับมือเอาตอนเกิดปัญหาพลังงานขาดแคลน มันปลายเหตุเกินไปไหม

'กาตาร์' จ้างแฟนบอลดูฟุตบอลโลกฟรี แลกวิจารณ์เชิงบวก กระตุ้นทัวร์นาเมนต์

กาตาร์ เจ้าภาพฟุตบอลโลก2022 ยอมรับ!! มีการจ้างแฟนบอลจากเนเธอร์แลนด์ ให้เดินทางมาชมแบบฟรี ๆ แลกกับการเขียนคำชมในโซเชียลมีเดีย

NOS สถานีทีวีของเนเธอร์แลนด์ รายงานว่ามีแฟนบอลชาวดัตช์จำนวน 50 คน ในนามของ 'Fans Leader' ถูกเชิญจาก 'กาตาร์' เจ้าภาพฟุตบอลโลกหนล่าสุด ให้เดินทางไปชมเกมในรอบสุดท้าย โดยทางฝั่งเจ้าภาพได้ทำการออกค่าที่พัก และตั๋วเข้าชมแก่แฟนบอลกลุ่มนี้แบบฟรี ๆ เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ทัวร์นาเมนต์ และส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยตัวแทนของคณะกรรมการจัดแข่งขัน เวิลด์ คัพ (SC) ที่กาตาร์ ยืนยันว่าทั้งหมดเป็น 'เรื่องจริง'

'เพจดัง' รีวิว!! ประสบการณ์หาหมอที่ออสเตรเลีย 'หมอ-ยา' เข้าถึงยาก ไม่เจ็บปางตายปล่อยร่างกายฮีลตัวเอง

สำหรับใครหลายคนที่เคยมองว่าระบบสาธารณสุขไทยไม่ดีอย่างนั้น อย่างนี้ ลองดูข้อมูลนี้ อาจจะเปลี่ยนมุมคิดได้เยอะ!!

(3 พ.ย. 65) เฟซบุ๊กเพจ 'Slang A-hO-lic' ได้เผยประสบการณ์การหาหมอที่ประเทศออสเตรเลียไว้อย่างน่าสนใจว่า...

รีวิวประสบการณ์หาหมอ..ที่ออสเตรเลีย!🇦🇺

ซวยยยย มารอบนี้ป่วยยย
สงสัยเพราะเป็นช่วงเปลี่ยนฤดูที่นี่
เป็นทั้งไข้ หวัด ไอแห้งๆ เป็นอยู่เกือบ 7 วันแล้ว

โอ้ยยย ทำไงดี?

หาหมอที่นี่ เค้าทำยังไง(ฟะ)?

พูดเสร็จก็ค้นหาข้อมูลในเน็ตทันที

สรุป...
- ไปคลินิกแพง
- ส่วนใหญ่ต้องนัดหมอล่วงหน้า
- หลัง 6 โมงเย็น ส่วนใหญ่มีค่าบริการเพิ่ม
- หมอส่วนใหญ่เป็นหมอทั่วไป (GP)

และก็ค้นพบว่า อ้อ!! ที่นี่ส่วนใหญ่เค้าก็นิยมพบหมอออนไลน์แฮะ

ราคาไม่แพงมาก คุยกับหมอ...
- 3 นาที เสีย 900 บาท 
- เกิน 3 นาที 1200!
- เกิน 10 นาที 1500!
(เนี่ยนะ ไม่แพง 5555+)

เอาวะ ลองดู!!

เปิดเว็บไซต์ ผูกบัตรเครดิต 
รอ 30 นาที หมอถึงจะโทรมา
พอโทรมา ก็ถามว่าเป็นอะไร เลยอธิบายอาการไป
หมอก็ อืมๆ โอเค จากนั้นก็อธิบายว่า...
ไอคิดว่าน่าจะเป็น ไวรัสหวัดแหละ 
ไวรัสเกิดจาก...บลาๆ

หมอดันอธิบายซะเยอะ สรุป เกิน 3 นาที เสียพันสอง! 5555

สรุป...
- หมอให้กิน honey lemon เยอะ ๆ
- บอกเป็นแค่นี้ ไม่ต้องกินยาไรมาก
- ไวรัสเกิดเอง เดี๋ยวก็หายเองได้
- ไม่จำเป็นต้องทานยาฆ่าเชื้อ แถมส่ง pdf มาให้อ่านด้วยว่า
- การทานยาฆ่าเชื้อสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ดี เดี๋ยวเกิดดื้อยาขึ้นมา อนาคตจะลำบาก

ถ้าอยากกิน ลองหา vitamin c + zinc มากินเอา เดี๋ยวก็หายเองตามธรรมชาติ 555

สรุปนะครับ...
- สาธารณสุขที่นี่แพงงงงง
- หมอเข้าถึงตัวยาก ยาเข้าถึงยากเช่นกัน
- ส่วนใหญ่ต้องมีใบสั่งยาจากหมอเท่านั้น
- จะเดินไปซื้อร้านยาเองแบบในไทยนี่ไม่ได้นะ ฮา

ดังนั้น สำหรับใครที่อยู่เมืองนอก ถ้าเจ็บไม่ปางตาย ปล่อยให้ร่างกายฮีลตัวเองเถอะครับ 555

ดาวกระจาย!! ค่ายรถ EV จีน สะเทือนบัลลังก์ ‘ญี่ปุ่น-ตะวันตก’

ค่ายรถยนต์จีนกำลังบุกตลาดโลกต่อเนื่อง หวังต่อกรกับแบรนด์ดังจากค่ายรถยนต์ยุโรป รวมถึงกระโดดเข้ามากวาดตลาดที่กำลังเติบโตอย่างในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แบบไม่หยุด

ในประเทศไทยเอง ก็เป็นหนึ่งในหมุดหมายของค่ายรถยนต์จีน และพร้อมเข้ามากระชากส่วนแบ่งออกจากอกค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ที่เดิมครองตำแหน่งเบอร์ 1 ด้วยส่วนแบ่งตลาดถึง 80% มาช้านาน 

โดยเมื่อเดือนกันยายน 2565 ที่ผ่านมา บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดจีนค่ายดังอย่าง BYD  ประกาศที่จะสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ไฟฟ้าสาขาต่างประเทศแห่งแรกของบริษัทที่ไทย โดยเลือกที่ทำเลที่จังหวัดระยองในการสร้างโรงงาน เพื่อผลิตรถยนต์ป้อนตลาดในอาเซียน 

ด้าน Great Wall Motor ค่ายรถยนต์จากจีนอีกแห่ง ที่มาเปิดโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด ในระยองเช่นกันก็เพิ่งบรรลุเป้าหมายผลิตรถยนต์คันที่ 1 หมื่นได้สำเร็จ ส่วน Hozon New Energy ค่ายรถยนต์จากเซี่ยงไฮ้ขอชิมลางด้วยการเปิดโชว์รูมแห่งแรกในไทยที่เซ็นทรัล พระราม 2

ไม่เพียงแต่ค่ายรถที่เข้ามาเปิดโชว์รูม หรือสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ในไทยเท่านั้น!! 

ในตลาดเมืองไทยเอง ก็ยังมีการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเข้ามาจำหน่ายด้วย โดยปัจจุบันมียอดเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง พิจารณาจากตัวเลขล่าสุดพบว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม - กันยายน 2565 ไทยนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนแล้วถึง 59,375 คัน ยอดเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 176% และทำให้ประเทศไทยขึ้นมาอยู่ในอันดับ 3 ของตลาดส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน รองจากเบลเยียม และอังกฤษ

สาเหตุที่ตลาดรถยนต์ของไทยเป็นที่ดึงดูดใจของค่ายรถยนต์จากจีน สืบเนื่องจากที่ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และใหญ่เป็นอันดับ 10 ของโลกจนได้รับสมญาว่าเป็น ‘ดีทรอยต์แห่งเอเชีย’ 

นอกจากนี้ ไทยยังเป็นชาติแรกในภูมิภาคนี้ที่รัฐบาลอนุมัติเงินสนับสนุนสำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าในวงเงินตั้งแต่ 15,000 - 180,000 บาท รวมกับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีแล้ว รวมมูลค่าสูงถึง 4.3 หมื่นล้านบาท เพื่อกระตุ้นการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศมากขึ้นทดแทนรถยนต์น้ำมัน 

ในภาคการผลิต รัฐบาลไทยยังให้ลดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนจนถึงสิ้นปี 2023 แลกกับการที่บริษัทรถยนต์จีนจะมาลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทยตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นไปโดยมีเป้าหมายว่า 30% ของรถยนต์ที่ผลิตในประเทศจะต้องเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งนี้เพื่อให้ไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของโลก และดึงดูดค่ายรถยนต์อื่นๆ นอกจากจีนเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น

รวมถึงความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ที่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า สอดคล้องกับกระแสการขับเคลื่อนสู่สังคมปลอดคาร์บอนที่เป็นวาระของโลก คาดการณ์ว่าไทยจะมีรถยนต์ไฟฟ้าถึง 2.7 ล้านคันภายในปี พ.ศ. 2583

Alexa เอไอ ของ Amazon โชว์โหด!! แนะพ่อ ‘ต่อยคอเด็ก’ เพื่อให้หยุดหัวเราะ

พ่อชาวอังกฤษวัย 45 ปี สุดช็อกหลัง ‘Alexa’ ลำโพงเอไอของแอมะซอนที่เพิ่งได้มาตั้งคำถามถึงวิธีการเลี้ยงดูเด็กแนะนำให้เขาต่อยคอลูกเพื่อให้หยุดหัวเราะ แอมะซอนยืนยันรีบลบข้อมูลทันทีที่รู้เรื่อง

เดอะมิเรอร์ สื่ออังกฤษรายงานเมื่อวันที่ (1 พ.ย. 65) ว่า พ่อชาวอังกฤษวัย 45 ปี อดัม แชมเบอร์เลน (Adam Chamberlain) จากเชฟฟิลด์ (Sheffield) ตกใจและเปิดเผยต่อสาธารณะหลังพบว่า ‘อเล็กซา’ (Alexa) ซึ่งเป็นเอไอลำโพงคอมพิวเตอร์แอมะซอน Echo ที่โด่งดังและเพิ่งได้มาใหม่นั้น ได้แสดงวิธีการเลี้ยงดูเด็กที่เป็นอันตราย

โดย แชมเบอร์เลน ได้โพสต์วิดีโอคลิปที่เป็นการถามตอบระหว่างเขาและอเล็กซา และกลายเป็นที่โด่งดังไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งโดยในวิดีโอคลิปพบว่าคุณพ่อวัย 45 ปี ได้ตั้งคำถามถึงวิธีการทำให้เด็กหยุดหัวเราะ ซึ่งในคลิปเขาถามอเล็กซาว่า “อเล็กซา คุณจะหยุดเด็ก ๆ จากการหัวเราะได้อย่างไร”

และในวิดีโอคลิปพบว่าอเล็กซา ซึ่งเป็นเอไอตอบกลับมาว่า...

‘อีลอน มัสก์’ ไล่บอร์ดบริหารทวิตเตอร์ออกยกแผง อ้าง!! มีพฤติกรรมปกปิดตัวเลขบัญชีผู้ใช้ปลอม

‘อีลอน มัสก์’ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกยุบทิ้งบอร์ดบริหารบริษัททวิตเตอร์ เพื่อกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ หลังเสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

โดยในเอกสารที่ยื่นต่อคณะกรรมการกำกับกิจการตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ ทวิตเตอร์ แจ้งว่า คณะกรรมการบริหารชุดเดิม ไม่อยู่ในตำแหน่งดังกล่าวต่อไปแล้ว ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขการเข้าซื้อกิจการของ อีลอน มัสก์ ที่ดำเนินการเสร็จสิ้นไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

นอกจากนี้เอกสารดังกล่าวยังระบุว่า มัสก์ คือกรรมการผู้บริหารเพียงคนเดียวของทวิตเตอร์ อย่างไรก็ตามความเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะมัสก์ แสดงจุดยืนมาโดยตลอดว่าต้องการเข้ามาควบคุมการบริหารของทวิตเตอร์อย่างเบ็ดเสร็จ

โดยทันทีที่เทคโอเวอร์บริษัทได้สำเร็จ สิ่งแรกที่ มัสก์ ทำคือการไล่ประธานกรรมการบริหาร (CEO) และผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน (CFO) ออกในทันที และ ‘ถูกเชิญ’ ออกจากอาคารสำนักงาน

แหล่งข่าวเผยว่า สาเหตุที่มัสก์ไล่ ปารัก อักราวัล ซึ่งเป็น CEO กับเน็ด เซกัล ซึ่งเป็น CFO และวิจายา แกดเด หัวหน้าฝ่ายกฎหมายและนโยบายออก เนื่องมาจากพฤติกรรมของทั้งสามที่ต้องการปกปิดตัวเลขบัญชีผู้ใช้ปลอมบนทวิตเตอร์


ที่มา : https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/183642

ฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้านเกาหลีใต้ ผนึกกำลังแก้ปัญหา ภายหลังเกิดเหตุฝูงชนล้มทับกันในย่านอิแทวอน

เมื่อคืนวันที่ (29 ต.ค. 65) เกิดเหตุสลดที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 150 รายในย่านอิแทวอน ย่านไนต์คลับชื่อดังของเกาหลีใต้ โดยการเสียชีวิตครั้งนี้เกิดภายใต้ตรอกซึ่งเป็นทางลาดลงเนินเพื่อไปยังผับชื่อดัง นักท่องเที่ยวที่ต่อแถวและแอดอัดได้เบียดกันไปมา ก่อนที่สุดท้ายจะมีคนล้มลงแล้วล้มทับต่อกันเป็นโดมิโน่ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึงกว่า 150 ราย 

ภายหลังจากเกิดเหตุสลดดังกล่าวขึ้น ทางรัฐบาลและฝ่ายค้านของประเทศเกาหลี ได้เรียกประชุมสภาเป็นการด่วน โดยยกเลิกหมายกำหนดการณ์ทุกอย่างที่เตรียมไว้แล้ว และมุ่งหน้าไปประชุมสภาวาระฉุกเฉิน 

เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความร่วมแรงร่วมใจในการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาลก็ตาม

โดย พรรคพลังประชาชน หรือ People Power Party (PPP) พรรคแกนนำรัฐบาลของเกาหลีใต้ ระบุว่า ทางพรรคฯ ได้ยกเลิกการประชุมตามกำหนดการเดิมทั้งหมด โดยจะจัดการประชุมที่รัฐสภาเพื่อหารือเกี่ยวกับแผนรับมือเหตุฉุกเฉินแทน

ชุง จิน-ซุค หัวหน้าพรรค PPP โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กว่า “มันเป็นอุบัติเหตุด้านความปลอดภัยครั้งใหญ่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ซึ่งเราจะต้องตรวจสอบหาสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุอย่างละเอียด” 

ขณะที่พรรค Democratic Party พรรคฝ่ายค้าน ระบุว่า ผู้นำพรรคฯ จะประชุมฉุกเฉินเพื่อหาสาเหตุของการเสียชีวิตและเตรียมแผนรับมือ

ลี แจ เมียง (Lee Jae-myung) หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน โพสต์ผ่านเฟสบุ๊กว่า เขารู้สึก "ตกใจและเสียใจ" ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมให้คำมั่น ว่าจะพยายามอย่างเต็มที่ ในการรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหตุสลดในครั้งนี้

โดยนายลี กล่าวว่า “เราต้องมุ่งความสำคัญไปที่การพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล และให้ความช่วยเหลือครอบครัวผู้สูญเสียอย่างทันท่วงที ตลอดจนการรักษาและฟื้นฟูผู้บาดเจ็บ และให้การสนับสนุนเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ดับเพลิง และเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์อย่างเต็มที่” 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นอีกเหตุสลดที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น 

แต่ทันทีที่เกิดเหตุเราได้เห็นความร่วมมือร่วมใจของทั้งพรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน โดยฝ่ายค้านไม่ได้หยิบเอาประเด็นที่เกิดขึ้นมาเป็นเครื่องมือในการโจมตีรัฐบาลเพื่อชิงความได้เปรียบทางการเมือง

สะพานคนเดินในอินเดียพังถล่ม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างต่ำ 80 คน

เมื่อวันอาทิตย์ที่ (30 ต.ค. 65) ที่ผ่านมา เกิดเหตุสลดขึ้นในรัฐคุชราต ทางภาคตะวันตกของอินเดีย เมื่อสะพานคนเดินที่อัดแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวที่กำลังสนุกสานกับเทศกาลวันหยุดพังถล่ม และฉุดให้ผู้คนมากกว่าร้อยคนที่อยู่บนสะพานตกลงสู่แม่น้ำที่อยู่เบื้องล่าง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 81 คน

ภาพวิดีโอเผยให้เห็นนักท่องเที่ยวหลายสิบคนกำลังห้อยต่องแต่งอยู่บนสายเคเบิลและซากบิดเบี้ยวที่เหลืออยู่ของสะพานที่ทอดข้ามแม่น้ำมักชู ในเมืองมอร์บี โดยที่หน่วยฉุกเฉินพยายามหาทางช่วยเหลือพวกเขา บางส่วนปีนขึ้นไปบนซากหักพังเพื่อมุ่งหน้าเข้าหาตลิ่ง และบางส่วนตัดสินใจว่ายน้ำไปยังที่ปลอดภัย 

อย่างไรก็ตามมีผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุการณ์นี้จำนวนมากและมีเด็กหลายคน

ประทีค วาซาวา ผู้อยู่ในเหตุการณ์และประสบเหตุด้วยตัวเอง เขาว่ายน้ำเข้าฝั่งหลังตกจากสะพาน และสัมภาษณ์กับสำนักข่าวท้องถิ่นว่า เห็นเด็กหลายคนตกลงแม่น้ำ “ผมอยากดึงเด็กบางส่วนในนั้นมาพร้อมกับผมด้วย แต่พวกเขาจมน้ำไปแล้ว หรือไม่บางคนก็ถูกกระแสน้ำซัดลอยไป” เขากล่าว พร้อมเล่าว่าสะพานพังถล่มภายในเวลาไม่กี่วินาที

ทางด้าน อาตุล ปราจาปาตี เจ้าหน้าที่แพทย์ของโรงพยาบาลประจำรัฐ ซึ่งอยู่ใกล้สถานที่เกิดเหตุ ระบุว่า “เราพบร่างไร้วิญญาณ 81 รายและได้เริ่มกระบวนการพิธีการทางศาสนาแล้ว” และบอกว่านอกจากผู้เสียชีวิตข้างต้น ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกหลายสิบคน

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่ามีประชาชนมากกว่า 400 คนที่อยู่บนและแถว ๆ สะพานแขวนเก่าแก่ยุคอาณานิคมแห่งนี้ ในช่วงเวลาที่มันพังถล่ม ส่วนรัฐมนตรีมหาดไทยอินเดียเสริมว่ามีมากกว่า 150 คนที่อยู่บนตัวสะพาน

เหตุเกิดจาก...ความชะล่าใจ สุดท้ายต้องได้พักในที่ไม่อยากอยู่

ฮัลโหลบอสตัน

เมื่อเราขับรถเข้าถึงเมืองบอสตันก็ตกเย็นแล้ว เราสองคนก็เลยตั้งใจหาโรงแรมพักใกล้ๆ Boston University สถานศึกษาที่เราสมัครมาเรียนภาษา เราจึงตัดสินใจพักอยู่ Howard Johnson หนึ่งคืน เพราะเป็นโรงแรมชั้นกลางราคาพอสมควร แถมอยู่ในบริเวณของมหาวิทยาลัย จะไปทำธุระก็ไม่ต้องขับรถไปไกล 

ขณะที่กำลังจะอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน พี่เขาถามว่าโรงเรียนเปิดเมื่อไหร่ เราก็เปิดแฟ้มที่มหาวิทยาลัยส่งมาให้ เราถึงกับอึ้งกิมกี่ เพราะโรงเรียนเปิดไปเมื่อสองวันที่แล้ว พี่เขาถามเราว่าเราจัดเรื่องที่พักอาศัยเรียบร้อยแล้วใช่ไหม เราบอกโรงเรียนน่าจะจัดให้แล้ว เราก็เปิดดูในปึกเอกสารเพื่อตรวจสอบข้อมูล เปิดหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เลยเกิดอาการหน้าซีด ใจหาย ตระหนักว่าเรายังไม่ได้ทำเรื่องที่พักเลย พี่เขาปลอบว่าไม่ต้องกังวล เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไปติดต่อถามทางมหาวิทยาลัยว่าเขายังมีห้องพักให้เราหรือเปล่า เราก็เลยนอนอย่างใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย

วันรุ่งเราเดินทางไป CELOP (The Center of English & Orientation Programs) ศูนย์ภาษาของมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นหน่วยจัดสอนภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนต่างชาติ ทางโรงเรียนบอกว่าสองวันก่อนนั้นเขามีการปฐมนิเทศ (Orientation) เกี่ยวกับโรงเรียน มหาวิทยาลัย และชีวิตในเมืองบอสตัน 

วันต่อมาทางโรงเรียนจัดการสอบเทียบระดับเพื่อให้นักเรียนได้เข้าเรียนตามระดับความถนัดทางภาษาอังกฤษ ดังนั้นวันที่เราไปที่โรงเรียนคือวันแรกของการเรียน เจ้าหน้าที่กลัวเราจะขาดเรียนหลายวัน เลยรีบให้เราสอบวัดระดับตอนเช้านั้นเลย เพื่อที่จะได้เข้าเรียนในวันรุ่งขึ้น เราทั้งเหนื่อยทั้งไม่ได้เตรียมตัวพร้อม แต่ก็จำต้องสอบ โชคดีที่ฟลุ๊กได้เข้าชั้นระดับรองลงมาจากชั้นสูงสุด เนื่องจากเราต้องจัดการเรื่องที่พัก เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนอนุญาตให้เราหยุดหนึ่งวันโดยไม่นับว่าขาดเรียน เราและพี่เลยพุ่งไปที่แผนกจัดที่พักนักเรียนโดยทันที

เนื่องจากมหาวิทยาลัยได้เปิดเทอมมาแล้วเป็นเวลาสองวัน เจ้าหน้าที่บอกว่าห้องพักที่มีห้องน้ำส่วนตัวนั้นนักเรียนได้เช่ากันไปหมดแล้ว ถ้าเราจะอยู่ ต้องไปพักกับเพื่อนร่วมห้องและแชร์ห้องน้ำกับเหล่านักเรียนที่พักในชั้นนั้นซึ่งเป็นนักเรียนปีหนึ่งและปีสองที่ศึกษาระดับปริญญาตรี นอกจากนั้นเขาเพิ่มเติมข้อมูลว่า วันพุธถึงวันอาทิตย์ที่สามของเดือนพฤศจิกายนซึ่งตรงกับเทศการขอบคุณพระเจ้า ทั้งมหาวิทยาลัยซึ่งรวมถึงหอพักนักศึกษาจะปิด 

ถ้าเรายังจะอยู่ในบอสตัน เราต้องหาที่พักในช่วงเวลานั้นเอง เมื่อเราได้รับข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับที่พัก ใจเราก็หดหู่ แถมหัวมึนตึ้บ มืดไปแปดด้าน จะหันไปไหนก็ไม่มีทางเลือกอื่น ต้องจำใจยอมรับสภาพอยู่ในห้องรวมในหอพักกับเพื่อนร่วมห้องรุ่นน้อง ผู้เขียนอยากให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองเป็นอุทาหรณ์ต่อท่านผู้อ่านที่มีลูก หรือตนเองที่จะไปเรียนต่างประเทศว่า ก่อนจะเดินทางไปศึกษาต่างประเทศ นอกจากจะจัดการเรื่องการเรียนให้เรียบร้อยแล้ว อย่าลืมหาที่พักไว้ด้วย จะได้ไม่ตกที่นั่งลำบาก ต้องตัดสินใจแบบขายผ้าเอาหน้ารอด พักในที่ที่ตนเองไม่อยากอยู่ จะเซ็งไปอย่างน้อยหนึ่งเทอมถึงหนึ่งปีเลยเชียว

ส่อง ‘เงินเดือน’ ของนายกรัฐมนตรีอังกฤษ พร้อมสิทธิพิเศษการเข้าถึงงบอื่นๆ หลังปลดระวาง

ขณะที่ข่าวนายกรัฐมนตรีอังกฤษกำลังเป็นประเด็นที่ทั่วโลกจับจ้องมองดู อาจมีใครที่ใคร่รู้ว่านายกรัฐมนตรีอังกฤษนั้นมีหน้าที่การงานอะไรบ้างและได้เงินเดือนมากน้อยเพียงใด

เริ่มต้นก่อนคือ ก่อนที่จะเข้ารับหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีเต็มตัวเขาจะต้องได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้าแผ่นดินเสียก่อน ปัจจุบันคือ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3

เมื่อเข้ารับหน้าที่แล้ว ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ เขาจะต้องรับผิดชอบต่อนโยบายของรัฐบาลทั้งหมด รวมถึงการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในการบริหารประเทศด้วย

โดยนายกรัฐมนตรี สามารถแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีได้ 22 คน ซึ่งในระบบของอังกฤษ รัฐมนตรีที่มีอาวุโสที่สุดจะเรียกว่า Cabinet Ministers, หรือ รัฐมนตรี ที่มีหน้าที่บริหารกระทรวงสำคัญที่ได้รับมอบหมาย เช่น กระทรวง 'การคลัง' หรือ 'มหาดไทย' ซึ่งตำแหน่งรัฐมนตรีนี้ นายกรัฐมนตรีมีสิทธิ์ที่จะแต่งตั้งหรือปลดออกได้ หรือสามารถยุบกระทรวงและตั้งกระทรวงใหม่ขึ้นได้ (อังกฤษจะมีการเปลี่ยนแปลงกระทรวงให้เหมาะสมกับความต้องการในการบริหารงานในด้านต่างๆ ของประเทศ)

นายกรัฐมนตรีอังกฤษจะทำงานคู่ขนานกับรัฐมนตรีคลังในเรื่องภาษีและนโยบายงบประมาณของรัฐบาล รัฐบาลอังกฤษจะมีการแถลงนโยบายงบประมาณสองครั้งในรอบหนึ่งปี คือในฤดูใบไม้ร่วง (ตุลาคม) และฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม) และทั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีสามารถที่จะออกกฎหมายมาบังคับใช้ในประเทศได้โดยได้รับการสนับสนุนจากสภาผู้แทน

ไม่เพียงแต่นายกฯ จะควบคุมดูแลคณะรัฐมนตรีของตนแล้ว เขายังมีอำนาจและหน้าที่สั่งการข้าราชการในกระทรวงหรือหน่วยงานที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของรัฐบาลอีกด้วย

นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องการป้องกันและความมั่นคงของประเทศ เช่น ตัดสินใจที่จะส่งกำลังทหารเข้าปฏิบัติการ แต่ประเด็นนี้เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีการหารือกันว่าควรจะให้สภาเห็นด้วยไม่ใช่เพียงนายกฯ คนเดียวตัดสิน และมีแนวโน้มว่าอาจจะเป็นไปได้

หน้าที่รับผิดชอบอื่นๆ ที่ยังตกอยู่บนบ่าของนายกรัฐมนตรีคือ ต้องตัดสินใจว่า จะยิงเครื่องบินที่ถูกจี้หรือเครื่องบินที่ไม่สามารถที่จะรู้ว่าเป็นของใครได้ และที่พูดถึงกันบ่อยๆ คือ สามารถสั่งการยิงอาวุธนิวเคลียได้อีกด้วย

และที่อังกฤษยังถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติอยู่จนถึงปัจจุบันคือ นายกรัฐมนตรีจะต้องเข้าเฝ้าถวายรายงานต่อพระเจ้าแผ่นดินทุกสัปดาห์ในเรื่องการบริหาราชการงานเมืองของรัฐบาล หากแต่จะเป็นการพบส่วนตัวและไม่มีการจดบันทึกการหารือแต่อย่างใด

>> ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญ คือ แล้วนายกรัฐมนตรีอังกฤษได้รับเงินเดือนเท่าไหร่?

ตามอัตราที่ปรากฏในปีพ.ศ. 2565 นี้ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะได้เงินเดือนทั้งหมดปีละ 164,757 ปอนด์ โดยจะแบ่งออกเป็นสองยอด คือ ในฐานะตำแหน่งนายกรัฐมนตรีปีละ 84,144 ปอนด์ และในฐานะผู้แทนราษฎรอีก 79,936 ปอนด์ สามารถอยู่ในบ้านพักประจำตำแหน่งฟรี คือ 10 ถนนดาวน์นิ่ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษอาศัยอยู่มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1735 (นายกฯ บางคนจะเปลี่ยนมาอยู่ในบ้านเลขที่ 11 ที่อยู่ติดกันแทน เพราะกว้างใหญ่กว่า)

นอกจากบ้านพักทางการในลอนดอนที่ถนนดาวน์นิ่งแล้ว นายกรัฐมนตรียังมีบ้านพักต่างอากาศของทางการในชนบทที่ชื่อ 'เชคเกอร์' Chequers ที่ตั้งอยู่ในเขต บัคกิ่งแฮมเชียร์อีกด้วย

ถ้าจะว่าไปแล้วเงินเดือนของนายกรัฐมนตรีอังกฤษเมื่อหารออกมาแล้วก็ตกเดือนละ 13,729 ปอนด์ ซึ่งดูจะน้อยกว่าผู้นำประเทศตะวันตกอื่นๆ พอสมควร เช่น ถ้าเป็นนายกฯ แคนาดาจะรับปีละ 200,000 ปอนด์ หรือนายกฯ เยอรมนี 280,000 ปอนด์ ขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขณะนี้ เงินเดือนสูงที่สุด ตกปีละ 300,000 ปอนด์ (จำนวนเงินจะปรับในแต่ละปี) ตามรายงานของ National world.com

นี่เป็นเงินเดือนขณะที่เป็นนายกรัฐมนตรี !!

ทว่า หลังจากหมดหน้าที่นายกฯ แล้ว อดีตนายกรัฐมนตรียังสามารถได้รับเงินเดือนอีกปีละ 115,000 ปอนด์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในหน้าที่การงานในตำแหน่งพิเศษ แต่จะต้องเป็นงานเพื่อสาธารณะ และเงินนี้จะใช้เป็นค่าเช่าสำนักงาน เพื่อรับเรื่องหรือจ้างพนักงานทำงาน โดยเงินก้อนนี้อดีตนายกฯ สามารถเบิกใช้จ่ายได้ตามหน้าที่การงาน แต่ไม่ใช่นำมาใช้จ่ายส่วนตัว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top