Tuesday, 30 April 2024
WORLD

ทูตจีนประจำสหรัฐฯ ขอบคุณ 'อีลอน มัสก์' หลังแนะ ‘ไต้หวัน’ ยอมเป็นเขตปกครองพิเศษของจีน

เอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐฯ กล่าวขอบคุณ ‘อีลอน มัสก์’ มหาเศรษฐีเบอร์ 1 ของโลก ที่อุตส่าห์แนะนำให้ไต้หวันยอมเป็นเขตปกครองพิเศษของจีนเพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม ขณะที่ผู้แทนไทเปประจำวอชิงตันโต้เดือด ‘เสรีภาพและประชาธิปไตยซื้อขายกันไม่ได้’

เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว มัสก์ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง ‘เทสลา’ และ ‘สเปซเอ็กซ์’ ได้ออกมาเสนอแผนสันติภาพ ‘รัสเซีย-ยูเครน’ และเปิดโพลให้ชาวทวิตเตอร์โหวตจนโดนทัวร์ลงยับ ทว่าผ่านมาไม่กี่วันเขาก็เรียกแขกอีกครั้ง ด้วยการให้สัมภาษณ์กับสื่อไฟแนนเชียลไทม์สว่า ไต้หวันควรยอมสละอำนาจปกครองดินแดนบางส่วนให้ปักกิ่งเพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม

“สิ่งที่ผมแนะนำก็คือ... ลองคิดหาวิธีจัดตั้งเขตปกครองพิเศษ (special administrative zone) สำหรับไต้หวันที่พอจะยอมรับได้ แม้จะไม่ทำให้ทุกฝ่ายแฮปปี้ก็ตาม” มัสก์ กล่าว

ข้อเสนอของ มัสก์ ดูจะเป็นที่ถูกอกถูกใจจีนอย่างมาก โดย ฉิน กัง เอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐฯ ได้ออกมาทวีต “ขอบคุณ” มัสก์ เมื่อวันเสาร์ (8 ต.ค.) ที่ช่วยเสนอทางออกสำหรับความขัดแย้ง และเอ่ยย้ำข้อเรียกร้องของปักกิ่งที่ต้องการ ‘รวมชาติกับไต้หวันโดยสันติ’ ภายใต้การปกครอง ‘หนึ่งประเทศ-สองระบบ’

“ผมขอขอบคุณ @elonmusk ที่ออกมาเรียกร้องสันติภาพในช่องแคบไต้หวัน และเสนอแนวคิดในการจัดตั้งเขตปกครองพิเศษของจีนขึ้นในไต้หวัน” ฉิน ระบุ

“อันที่จริงแล้ว การรวมชาติอย่างสันติและการปกครองแบบหนึ่งประเทศ-สองระบบ คือหลักการขั้นพื้นฐานของเราในการแก้ไขปัญหาไต้หวันอยู่แล้ว และเป็นแนวทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้การรวมชาติเป็นจริงได้”

“เมื่ออธิปไตย ความมั่นคง และผลประโยชน์ด้านการพัฒนาของจีนถูกรับรอง ไต้หวันภายหลังการรวมชาติจะได้รับสิทธิปกครองตนเองขั้นสูงในฐานะเขตปกครองพิเศษ และมีพื้นที่สำหรับการพัฒนาอย่างกว้างขวางด้วยเช่นกัน”

จ่ายมาสิ!? แล้วเธอจะได้นั่งแถวหน้า ในงาน Fashion Week สุดหรู

เวลาดูแฟชั่นโชว์แบรนด์ดังระดับโลก เคยสงสัยไหมว่าใครกันนะที่นั่งแถวหน้า ถ้าให้เดา คนที่นั่งแถวหน้าน่าจะเป็นเจ้าของแบรนด์หรือบรรดานางแบบ รวมทั้งคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแบรนด์ที่จัดแสดงในวันนั้น 

แต่แท้จริงแล้ว คนส่วนใหญ่ไม่รู้หรอกว่า ที่นั่งสองแถวหน้านั้นมีไว้ให้เศรษฐีเงินถุงเงินถังที่อยากนั่งกระทบไหล่นางแบบและคนดังในวงการแฟชั่นจ่ายเงินก้อนโตเพื่อได้นั่งตรงนั้นด้วย

ข้อมูลจากนิตยสาร Vogue เปิดเผยว่า หากใครก็ตามที่อยากนั่งแถวหน้า ซึ่งเป็นแถวที่เหล่าดารานางแบบและไฮโซทั้งหลายนั่ง ในงานมิลานแฟชั่นวีกนั้นทำได้ไม่ยาก หากมีเงินก้อนโตฟาดจ่ายค่าที่นั่งแถวหน้า เพื่อได้กระทบไหล่คนดังนางแบบทั้งหลายสมใจ

อัตราค่าที่นั่งสองแถวหน้า ซึ่งสำรองไว้ให้ผู้เกี่ยวข้องกับแบรนด์ดังอย่างเฟนดิ จิออจิโอ อาร์มานี หรือพราด้า ในงานมิลานแฟชั่นวีกช่วงใบไม้ร่วง-ฤดูหนาวในเดือนกุมภาพันธ์ ถึงจะไม่ใช่คนในแวดวงแฟชั่น แต่อยากนั่งแถวหน้า ต้องจ่ายถึง 101,155 ดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 2,430,862 บาท สำหรับคนรวย ขนหน้าแข้งคงไม่ร่วงหรอกใช่มั้ยล่ะ แพงกว่านี้ก็มีจ่าย

สหรัฐฯ ทุ่ม $290 ล้าน ตุนยาต้านรังสีนิวเคลียร์ ก่อนไบเดนเตือน 'วันโลกาวินาศ' อาจเกิดขึ้น

รัฐบาลสหรัฐฯ ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ทุ่มเงิน 290 ล้านดอลลาร์ สั่งซื้อยาต้านรังสีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางคำเตือนของผู้นำรายนี้เกี่ยวกับ 'แนวโน้มของวันโลกาวินาศ' อันมีชนวนเหตุจากท่าทีของผู้กระหายสงคราม วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ตามรายงานของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กโพสต์

กระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์ของสหรัฐฯ (HSS) ยืนยันว่าการจัดซื้อจัดหายา Nplate (เอ็นเพลท) ครั้งใหญ่ เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่กำลังดำเนินการอยู่ก่อนแล้ว สำหรับยกระดับเตรียมพร้อมปกป้องชีวิตประชาชนจากสถานการณ์ฉุกเฉินทางรังสีและนิวเคลียร์

ยาตัวนี้ ซึ่งสามารถใช้ได้กับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ได้รับอนุมัติให้ใช้รักษาอาการบาดเจ็บทางเม็ดเลือด ที่เกิดพร้อมกับความผิดปกติจากการได้รับรังสีสูงแบบเฉียบพลัน (Acute Radiation Syndrome, ARS) ในคนไข้ผู้ใหญ่และเด็ก ถ้อยแถลงของกระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์ของสหรัฐฯ ระบุ

อาการป่วยจากรังสีลักษณะดังกล่าว "เกิดขึ้นเมื่อทั้งร่างกายของบุคคลรายหนึ่งๆ สัมผัสกับรังสีทะลุทะลวงในปริมาณที่สูงมาก เข้าถึงอวัยวะภายในภายในเวลาไม่กี่วินาที" คำเตือนของกระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์ของสหรัฐฯ "อาการบาดเจ็บของการได้รับรังสีสูงแบบเฉียบพลัน ในนั้นรวมถึงเลือดไม่แข็งตัวตามปกติ ผลจากปริมาณเกล็ดเลือดต่ำ ซึ่งสามารถก่อให้เกิดภาวะเลือดออกไม่หยุุดไม่สามารถควบคุมได้และเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต"

ยา Nplate ผลิตโดยบริษัทเอ็มเจน ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในแคลิฟอร์เนีย จะทำหน้าที่กระตุ้นให้ร่างกายผลิตเกล็ดเลือด เพื่อลดภาวะเลือดออกอันมีต้นตอจากรังสี

งบประมาณ 290 ล้านดอลลาร์ มาจากโครงการป้องกันอาวุธชีวภาพ Project BioShield กฎหมายปี 2004 ที่มอบเงินลงทุนสนับสนุนบริษัทต่างๆ สำหรับพัฒนามาตรการตอบโต้ทางการแพทย์ที่มีความสำคัญยิ่งกับความมั่นคงของชาติ

อย่างไรก็ตาม ถ้อยแถลงไม่ได้ให้รายละเอียดว่าจะมีการแจกจ่ายยาต้านรังสีนี้อย่างไรหรือที่ไหน

โฆษกรายหนึ่งของกระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์ของสหรัฐฯ ระบุว่า การลงทุนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมพร้อมทางนิวเคลียร์ที่ดำเนินการอยู่ก่อนแล้ว และไม่ได้เร่งรัดขึ้นสืบเนื่องจากสถานการณ์ในยูเครน

'สหรัฐฯ' เตรียมยื่นข้อเสนอให้ 'เวเนซูเอลา' หลุดพ้นมาตรการคว่ำบาตร แลกบ่อน้ำมันให้ Chevron

สำนักข่าว Wall Street Journal รายงานว่า รัฐบาลของโจ ไบเดน ประกาศพร้อมที่จะผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรต่อเวเนซูเอลา หากรัฐบาลเวเนซูเอลาเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูประชาธิปไตยในประเทศ โดยที่ประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร ต้องเจรจาสมานฉันท์กับฝ่ายค้าน และจัดการเลือกตั้งใหม่ภายในปี 2024 

แต่ทั้งนี้ สื่อต่างชาติมองว่า การที่รัฐบาลไบเดน ยื่นข้อเสนอในการปลดล็อกมาตรการคว่ำบาตรต่อเวเนซูเอลา เพราะต้องการเปิดทางให้ Chevron บริษัทน้ำมันของสหรัฐฯ ที่มีสัมปทานบ่อน้ำในเวเนซูเอลา สามารถส่งออกน้ำมันสู่ตลาดโลกได้อีกครั้ง ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรธุรกิจน้ำมันของรัสเซีย

สำหรับต้นเหตุของมาตรการคว่ำบาตรรอบล่าสุดต่อเวเนซูเอลาของสหรัฐฯ เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งใหญ่ของเวเนซูเอลาในปี 2018 ซึ่ง ประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร สามารถคว้าชัยชนะได้เป็นสมัยที่ 2 แต่กลับถูกสภานิติบัญญัติกล่าวหาว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบธรรม มีการโกงการเลือกตั้ง และซื้อสิทธิ์ขายเสียง จนนำไปสู่การประท้วงให้ นิโคลัส มาดูโร ลาออก 

ต่อมา ฮวน กุยโด ประธานสภา และผู้นำฝ่ายค้านได้ออกมาประกาศตัวเป็นผู้นำเวเนซูเอลาแทน นิโคลัส มาดูโร ซึ่งได้รับการรับรองโดย โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตผู้นำสหรัฐฯ ในปี 2019 

แต่ทว่า ด้าน ประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร ยังคงได้รับการสนับสนุนจากอีกหลายชาติ ทั้งจีน, เม็กซิโก, คิวบา, ตุรเคีย ด้วยเหตุผลว่า นิโคลัส มาดูโร เป็นผู้นำที่มาจากการเลือกตั้ง จึงทำให้มาดูโร ยังคงรักษาฐานอำนาจในเวเนซูเอลาได้ และนั่นจึงเป็นที่มาของการคว่ำบาตรเวเนซูเอลาอีกครั้งในสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ ส่งผลให้ Chevron ที่ทำสัมปทานขุดเจาะน้ำมันอยู่ในเวเนซูเอลาไม่สามารถส่งออกน้ำมันได้จนถึงตอนนี้ 

แต่ในวันนี้ รัฐบาลไบเดนเล็งเห็นว่า สมควรแก่เวลาที่จะเริ่มปลดล็อกมาตรการคว่ำบาตรเวเนซูเอลาได้แล้ว ท่ามกลางวิกฤติพลังงานโลกที่เป็นผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งคาดว่า ในช่วงฤดูหนาวปีนี้ ประเทศในแถบซีกโลกเหนืออาจต้องเผชิญปัญหาการขาดแคลนพลังงานอย่างหนัก 

อีกทั้งกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันอย่าง OPEC+ เพิ่งประกาศลดปริมาณการผลิตน้ำมันอีก 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน แม้ว่าทางสหรัฐฯ จะพยายามกดดันให้มีการเพิ่มการผลิตน้ำมันก็ตาม

เวเนซูเอลา มีแหล่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งของโลก และมีศักยภาพการผลิตได้สูงสุดถึง 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่เจอการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ ทำให้ทุกวันนี้เวเนซูเอลาจำกัดการผลิตน้ำมันอยู่ที่ 5 แสนบาร์เรลต่อวันเท่านั้น 

ออกพรรษาในเมียนมา 'เข้าวัดทำบุญ-ขอขมาผู้ใหญ่' รากเหง้าที่คงอยู่ แต่ดูเลือนลางห่างจากสังคมไทย

ในเดือนตุลาคมนี้เป็นเดือนที่มีวันสำคัญในเมียนมา ซึ่งก็คือ 'วันตะดิงจุด' (Thadingyut) หรือ วันออกพรรษา นั่นเอง ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 9 ตุลาคม ในขณะที่วันออกพรรษาของไทยคือ วันที่ 10 ตุลาคม  

เอย่าเชื่อว่าหลายคนคงมีคำถามว่าทำไมวันพระพม่ากับวันพระไทยไม่ตรงกัน?

เหตุผลที่แท้จริงนั้นไม่แน่ชัด แต่เท่าที่เอย่าเคยได้ยินมา เนื่องจากเมียนมาและไทยอยู่คนละเส้นเวลา ทำให้การคำนวณวันตามจันทรคติไม่ตรงกันด้วย แต่บางข้อมูลบอกว่าพม่านั้นใช้การดูวันที่พระจันทร์เต็มดวงจริงไม่ได้คำนวนตามจันทรคติ ดังนั้นทำให้วันพระของพม่าไม่ตรงกับของไทยที่ใช้ระบบการคำนวนตามจันทรคติ ซึ่งทั้ง 2 แหล่งที่เอย่าได้ยินมาก็ถือว่ามีเหตุผลทั้งคู่ตามแต่ทุกท่านแล้วว่าจะเชื่อใคร

ย้อนกลับมาที่ วันตะดิงจุด หรือ วันออกพรรษาของคนเมียนมานั้น ตอนเช้าทุกคนจะเดินทางไปวัดทำบุญ ซึ่งสังเกตุได้ว่าตามเจดีย์ทุกที่ในวันนี้จะมีคนแน่นตลอดทั้งวัน และในยามค่ำจะมีการจุดเทียนหรือประทีบที่เจดีย์ และที่บ้านเพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการต้อนรับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เสด็จกลับมาจากดาวดึงส์ โดยประเพณีการจุดดวงประทีปนี้ไม่ได้มีแค่ในเมียนมาเท่านั้น แต่มีในประเทศรอบข้างบ้านเราด้วยเช่น ลาว เป็นต้น

ในวันที่ 15 ค่ำเดือน 11 นี้ในเมียนมาไม่ได้มีตำนานพญานาคพ่นดวงไฟเหมือนที่เกิดขึ้นในแม่น้ำโขง แต่นอกจากการจุดดวงประทีปที่พื้นแล้ว หลายพื้นที่ก็มีการลอยประทีปบนอากาศเช่นกัน เช่น ในรัฐฉาน และบางแห่งก็ลอยดวงประทีปในน้ำเหมือนกับการลอยกระทงของบ้านเราก็มี

นอกจากกิจกรรมทางศาสนาแล้วในวันที่ถือว่าเป็นวันเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ วันนี้ยังเป็นวันที่ผู้น้อยไปเยี่ยมผู้หลักผู้ใหญ่และมีพิธีกรรมที่น่ารักอันหนึ่ง คือ พิธีขอขมา โดยพิธีนี้ผู้น้อยหรือผู้ที่มีอายุน้อยกว่าจะขอขมาผู้ที่มีอายุมากกว่าแลละผู้อาวุโสนอกจากจะอโหสิกรรมให้ในสิ่งที่ผู้น้อยทำผิด ทั้งมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม แล้วผู้ใหญ่บางที่ก็แจกเงิน แจกทองให้ผู้น้อยด้วย ซึ่งพิธีนี้นอกจากทำกันในบ้านแล้วยังกระทำกันในที่ทำงานด้วย

ยูเครนเย้ย 'แฮปปี้เบิร์ธเดย์ปูติน' หลังเหตุรถบรรทุกบึ้มสะพานในไครเมีย

ยูเครนยังไม่กล่าวอ้างความรับผิดชอบเหตุรถบรรทุกระเบิดตูมสนั่น ก่อความเสียหายร้ายแรงแก่สะพานรถไฟที่คู่ขนานไปกับถนน ซึ่งเชื่อมจากรัสเซียไปยังไครเมียเมื่อวันเสาร์ (8 ต.ค.) เล่นงานสัญลักษณ์แห่งการผนวกแหลมแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของมอสโก และเส้นทางลำเลียงเสบียงหลักของกองกำลังรัสเซียที่กำลังสู้รบในดินแดนยึดครองทางภาคใต้ของยูเครน แต่ทางหัวหน้าสภาความมั่นคงเคียฟโพสต์คลิปร้องเพลง "แฮปปี้เบิร์ธเดย์ ปูติน" ส่วนที่ปรึกษาประธานาธิบดีเซเลนสกี บอก "นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น

เหตุระเบิดสะพานที่ทอดข้ามช่องแคบเคิร์ช ในส่วนของรัสเซียเบื้องต้นยังไม่ได้กล่าวโทษฝ่ายไหน แต่มันกระตุ้นการส่งสารด้วยความยินดีปรีดาจากบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเครน แม้จะไม่ได้กล่าวอ้างความรับผิดชอบโดยตรงก็ตาม

คณะสืบสวนของรัสเซียเปิดเผยว่ามีผู้เสียชีวิต 3 ราย และสันนิษฐานว่าน่าจะรวมถึงพวกคนที่อยู่ในรถยนต์คันหนึ่งซึ่งกำลังแล่นอยู่ใกล้ ๆ ตอนที่รถบรรทุกเกิดระเบิด

รัสเซียยึดไครเมียมาจากยูเครนในปี 2014 และสะพานข้ามช่องแคบเคิร์ชความยาว 19 กิโลเมตร ที่เชื่อมไครเมียกับโครงข่ายการขนส่งของรัสเซีย ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ทำพิธีเปิดอย่างยิ่งใหญ่ในอีก 4 ปีต่อมา พร้อมขับรถบรรทุกก่อสร้างข้ามสะพานเป็นคันแรก

เวลานี้มันทำหน้าที่เป็นเส้นเลือดหลักสำหรับกองกำลังรัสเซีย ซึ่งยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของแคว้นเคอร์ซอน ทางภาคใต้ของยูเครน และเป็นที่ตั้งของท่าเรือกองทัพเรือในเมืองเซวาสโตโพล

ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าเหตุระเบิดครั้งนี้เป็นการโจมตีโดยตั้งใจหรือไม่ แต่ความเสียหายที่เกิดกับโครงสร้างพื้นฐานอันสำคัญนี้ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่รัสเซียประสบความปราชัยในหลายสมรภูมิ และอาจเป็นการกัดกร่อนความเชื่อมั่นต่อสารจากฝ่ายรัสเซีย หลังจากก่อนหน้านี้ทางเครมลินออกมารับประกันกับประชาชนว่าสงครามกำลังเป็นไปตามแผน

นอกจากนี้ มันยังเกิดขึ้นหลังจากผ่านพ้นวันครบรอบวันเกิดอายุ 70 ปีของปูติน เพียงแค่วันเดียว

โอเลกซีย์ ดานิลอฟ ประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติและกลาโหมของยูเครน โพสต์วิดีโอภาพที่สะพานกำลังลุกไหม้บนสื่อสังคมออนไลน์ พร้อมกับวิดีโอที่ มาริลีน มอนโร กำลังร้องเพลง "แฮปปี้ เบิร์ธเดย์ มิสเตอร์ประธานาธิบดี"

นับตั้งแต่รัสเซียเริ่มเปิดฉากรุกรานในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ บรรดาเจ้าหน้าที่ยูเครนมักพาดพิงอยู่เป็นประจำ แสดงความปรารถนาทำลายสะพานเคิร์ช ซึ่งทางยูเครนมองว่ามันเป็นสัญลักษณ์แห่งการยึดครองไครเมียของรัสเซีย

กระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุในถ้อยแถลงว่ากองกำลังของพวกเขาในทางภาคใต้ของยูเครน จะยังคงได้รับป้อนเสบียงอย่างเต็มรูปแบบเหมือนเดิม ผ่านเส้นทางทางภาคพื้นที่มีอยู่และทางทะเล ขณะที่กระทรวงคมนาคมบอกว่าการขนส่งทางรถไฟข้ามสะพานแห่งนี้ จะกลับมาขนส่งได้อีกครั้งตอนเวลาราว 17.00 จีเอ็มที (ตรงกับเมืองไทย 24.00 น.)

มาเรีย ชาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย กล่าวว่าปฏิกิริยาตอบสนองของเคียฟของเหตุการณ์ทำลายโครงสร้างพื้นฐานทางพลเรือนครั้งนี้ "เป็นหลักฐานพยานสันดานก่อการร้ายของยูเครน"

คณะกรรมาธิการต่อต้านก่อการร้ายของรัสเซียเผยว่า รถบรรทุกสินค้าระเบิดบนถนนของสะพาน ตอนเวลา 6.07 น.(ตรงกับเมืองไทย 10.07 น.) เป็นเหตุให้โบกี้บรรทุกถังน้ำมัน 7 ตู้ของรถไฟขบวนหนึ่งซึ่งกำลังมุ่งหน้าสู่แหลมไครเมีย บนรางที่แล่นขนานกัน เกิดไฟลุกไหม้

นอกจากนี้ มันยังทำให้สะพานพังลงมาบางส่วน แต่ส่วนโค้งของสะพานที่ทอดข้ามช่องแคบเคิร์ช น่านน้ำที่บรรดาเรือใช้เดินทางระหว่างทะเลดำกับทะเลอาซอฟ ไม่ได้รับความเสียหาย

ภาพที่โพสต์โดยคณะกรรมการสืบสวนแห่งรัสเซีย เป็นภาพสะพานถนนขาดไปเลนหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งยังคงอยู่สภาพเดิมอยู่ แต่มีรอยร้าว ส่วนภาพอื่น ๆ ที่บันทึกจากระยะไกลพบเห็นกลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นจากสะพาน

มีคาอิโล โปโดลยัค ที่ปรึกษาประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน โพสต์ทางทวิตเตอร์ภาพส่วนหนึ่งของสะพานที่กำลังจมน้ำ และเขียนข้อความว่า "ไครเมีย สะพาน จุดเริ่มต้น" แต่ไม่ได้ระบุว่ากองกำลังยูเครนอยู่เบื้องหลังเหตุระเบิด

“ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผิดกฎหมายต้องถูกทำลาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกขโมยไปต้องกลับคืนมาสู่ยูเครน ทุกสิ่งทุกอย่างที่รัสเซียยึดครองเอาไว้ต้องถูกขับไล่ออกไป” โปโดลยัคเขียน

มอสโกอ้างอิงไครเมีย ซึ่งคนส่วนใหญ่พูดภาษารัสเซีย ในฐานะส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์และของรักของหวงของรัสเซีย โดยเฉพาะในปีนี้ คาดหมายว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวของชาวรัสเซียจำนวนมาก เนื่องจากเชื่อว่ามันมีความปลอดภัยจากสงคราม

คิริล สเตรมูซอฟ รองผู้บริหารแคว้นเคอร์ซอน ที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัสเซีย เชื่อว่าเหตุระเบิดสะพาน "จะไม่ส่งผลกระทบต่อเสบียงทหารมากเท่าไหร่ แต่จะก่อปัญหาต่าง ๆ ด้านโลจิสติกส์สำหรับไครเมีย"

อย่างไรก็ตาม มีโคลา เบไลสคอฟ จากสถาบันศึกษายุทธศาสตร์แห่งยูเครน ซึ่งเป็นที่ปรึกษาประธานาธิบดีในกรุงเคียฟ กล่าวว่าสะพานเคิร์ช เป็นสิ่งที่กองกำลังผู้รุกรานรัสเซียไม่อาจหาอะไรมาทดแทนได้ และหากมันถูกตัดขาด "แนวหน้าทางใต้ทั้งหมดของรัสเซียจะถูกบดขยี้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย"

แม้กองกำลังรัสเซียยึดชายฝั่งยาวเหยียดของยูเครนที่เชื่อมต่อแคว้นเคอร์ซอนและไครเมียกับรัสเซีย แต่ทาง เบไลสคอฟ มองว่าการเชื่อมโยงด้านการขนส่งดังกล่าวไม่ค่อยดีนัก และทางรัสเซียคงอยากส่งกำลังเสริมไปยังเคอร์ซอน ข้ามสะพานแห่งนี้ผ่านทางแหลมไครเมียมากกว่า

ศึกชิงประธานาธิบดีบราซิล สองสิงห์ชิงตั่งนั่ง อาจซ้ำรอยประธานาธิบดีผมเป๋แห่งสหรัฐฯ

อย่าเพิ่งมองบน คิดว่าแอดมินเอาข่าวเก่ามาเสนอ เรื่องนี้ยังไม่จบนะ ช่วยจำชื่อแบบบราซิลหน่อย ประธานาธิบดีคนปัจจุบันจอมเบียว ชอบทำเก่ง ไม่ใส่หน้ากากอนามัยช่วงโควิดระบาด จนติดโควิดเองนี่ชื่อ 'ฌาอีร์ โบลโซนารู'

ส่วนคนที่เข้ามาชกชิงแชมป์เข็มขัดประธานาธิบดีคนใหม่ที่คะแนนสูสีนี้ชื่อ 'ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา' จำง่าย ๆ ว่าประธานาธิบดีคนปัจจุบันมี “รู” เดียว ส่วนผู้ท้าชิงนั้นมีดีกรีเป็นอดีตประธานาธิบดีมีสอง “ลู” 

ผลการเลือกตั้งคือ พี่สองลู อดีตประธานาธิบดี ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวาได้คะแนน 48.4% แต่ยังไม่ถึงครึ่ง จนสามารถคว่ำพี่รูเดียว ฌาอีร์ โบลโซนารู ประธานาธิบดีคนปัจจุบันได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด  

จะว่าไปไม่รู้ว่าคนไหนดีกว่ากัน เพราะอดีตประธานาธิบดีสองลู ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา เคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่ถูกจำคุกในข้อหาคอร์รัปชัน

ส่วนพี่รูเดียวก็ใช่ย่อย ประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือโบลโซนารูถูกกล่าวหาว่าทำลายสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและจัดการวิกฤตโควิด-19 ผิดพลาดขั้นร้ายแรง จนคนบราซิลตายเป็นเบือถึง 700,000 คน  เพราะ ขัดขวางโครงการวัคซีนโควิด-19 

รัฐประหารเงียบในพรรครัฐบาลอังกฤษ เมื่อ 'ลิซ ทรัสส์' กำลังจะโดนยึดอำนาจ

ดูเหมือนว่า รัฐบาลอังกฤษจะยังอยู่ในสภาพง่อนแง่น หาหลักยึดยังไม่ได้จริง ๆ เมื่อมีกระแสข่าวลือที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ภายในพรรคอนุรักษ์ แกนหลักของรัฐบาลอังกฤษว่า ลูกพรรคอนุรักษ์เริ่มจับกลุ่มกดดัน ลิซ ทรัสส์ หัวหน้าพรรคหญิงคนใหม่ และเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกในแผ่นดินพระเจ้าชาลส์ที่ 3 จนถึงขั้นวางแผนยึดอำนาจของเธอ หากจำเป็น!!

สาเหตุเกิดจากความไม่ลงรอยกันในนโยบายของลิซ ทรัสส์ ที่เธอเคยสัญญาไว้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งภายในพรรค หนึ่งในนั้นคือนโยบาย "45p rate" หรือการลดอัตราภาษี 45% ในกลุ่มผู้มีรายได้สูง ซึ่งนโยบายนี้ของเธอกลับถูกต่อต้านจากทีมรัฐบาลของเธอเองจนเสียงแตก ที่อาจขั้นจะโหวตคว่ำในสภาเลยทีเดียว 

ข่าวการแตกแยกของรัฐบาลลิซ ทรัสส์ ที่ยังไม่ทันได้เริ่มทำงานอะไรเลย ยิ่งชัดเจนขึ้นอีก หลังงานประชุมพรรคอนุรักษ์ที่เมืองเบอร์มิงแฮม เมื่อวันอาทิตย์ ที่ 2 ตุลาคม ที่ผ่านมา ที่ข่าววงในบอกว่าเสียงแตกหนักมาก จน ซูเอลลา เบรฟเวอแมน รัฐมนตรีมหาดไทยหญิง พันธมิตรคนสนิทของลิซ ทรัสส์ ถึงกับออกมาบ่นว่า เธอผิดหวังมาก ๆ ที่ทีมรัฐบาลบางคนมากลับลำกับนโยบายที่คุยกันไว้แล้ว และยังบอกด้วยว่า มีกลุ่ม สส.ของพรรคอนุรักษ์หลายคน วางแผนจะโค่น ลิซ ทรัสส์ ให้ได้

และยังบอกถึงลูกพรรคอนุรักษ์ ที่คิดจะก่อหวอดเพื่อล้มนโยบาย 45p rate นั้นไม่ต่างจากการก่อรัฐประหารเงียบภายในรัฐบาล ซึ่งนโยบายเจ้าปัญหาที่อาจกลายเป็นประเด็นรัฐนาวาแตก คือ 45p Rate หรืองดภาษี 45% สำหรับบุคคล หรือองค์กรที่มีรายได้เกิน 150,000 ปอนด์ต่อปี 

โดยปกติ อังกฤษจะมีอัตราภาษีระดับขั้นบันได โดยคำนวนจากรายได้ต่อปี ในอัตราเรทดังนี้...

- รายได้ต่ำกว่า 12,570 ปอนด์/ปี ไม่ต้องเสียภาษี
- รายได้ตั้งแต่ 12,571 - 50,270 ปอนด์ต่อปี จะเริ่มเก็บภาษีที่ 20%
- รายได้ตั้งแต่ 50,271 - 15,000 ปอนด์ต่อปี เก็บภาษีที่ 40%

แต่ถ้ามีรายได้เกิน 150,000 ปอนด์ต่อปี เมื่อไหร่ จะถูกเก็บภาษีในอัตรา 45% ซึ่งเป็นเรทสูงสุด

สื่ออังกฤษได้ไปหาข้อมูลพบว่ามีชาวอังกฤษราวๆ 5 แสนคนทั่วประเทศที่มีรายได้เกิน 150,000 ปอนด์ต่อปี คิดเป็น 1% ของประชากรอังกฤษทั้งประเทศ

และหากรัฐบาลอังกฤษตัดสินใจไม่เก็บภาษีเพิ่ม 45% จากรายได้ที่เกินมาของคนกลุ่มนี้ เท่ากับรัฐจะเสียรายได้จากภาษีถึง 6 พันล้านปอนด์ต่อปี และเมื่อรายได้หายไป หมายถึงต้องการลดรายจ่ายของภาครัฐลงด้วย ซึ่งก็คือแผนค่าใช้จ่ายสำหรับสวัสดิการสังคมบางส่วนอาจต้องถูกตัดไป 

แต่ทั้งนี้ ลิซ ทรัสส์ มองว่า นโยบายการลดภาษี 45p Rate จะช่วยกระตุ้นการลงทุนของกลุ่มคนที่มีศักยภาพในสังคม ที่สามารถผลักดันเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้ และการแก้ปัญหาด้วยการแจก จ่าย ในรูปแบบสวัสดิการก็ไม่ใช่คำตอบเสมอไป ซ้ำยังเป็นเหมือนกับดักประชานิยม ที่ทำให้ผู้คนคาดหวังแต่สวัสดิการช่วยเหลือจากรัฐ

ซึ่งลิซ ทรัสส์ เคยบอกว่านโยบายนี้ อาจเป็นเหมือนยาขม และเป็นหนทางที่ยาก แต่อังกฤษต้องลองหาทางแก้ปัญหาที่ต่างไปจากเดิม ถ้าต้องการที่จะ "change" เธอเชื่อว่าสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจได้อย่างแน่นอน 

แต่ต่อมา นโยบายนี้ของเธอ ถูกโจมตีอย่างหนักจากพรรคฝ่ายค้าน ว่าเป็นการอุ้มคนรวยเพียงแค่ 1% ของประเทศ แต่กลับรีดเลือดกับปูจากประชาชนส่วนใหญ่อีก 99% ที่ยังต้องจ่ายภาษีในอัตราเกือบเท่าเดิม โดยเฉพาะกลุ่มคนเกือบจะรวย ในระดับฐานรายได้ 50,271 - 150,000 ปอนด์ คือโดนเต็มๆ 40% โดยไม่มีการลดหย่อน

หนี้สหรัฐฯ พุ่งทะลุ 31 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก ท่ามกลางปัญหาเงินเฟ้อสูงและความไม่แน่นอนทางศก.

หนักหนา!! หนี้สาธารณะสหรัฐฯ พุ่งทะลุ 31 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก ท่ามกลางเงินเฟ้อแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อัตราดอกเบี้ยระดับสูงและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน เข้ารับตำแหน่ง

ข้อมูลของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร (4ต.ค.) ที่ผ่านมา พบว่า หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ไต่ระดับอยู่ใกล้ ๆ 31.1 ล้านล้านดอลลาร์

รายงานข่าวของซีเอ็นเอ็น ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ เร่งกู้เงินในช่วงการแพร่ระบาดของโรคระบาดใหญ่โควิด-19 เพื่อพยุงเศรษฐกิจประเทศ ในขณะที่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต ตลาดแรงงานและห่วงโซ่อุปทาน หนี้ค้างชำระของสหรัฐฯพุ่งเกือบ 8 ล้านล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ต้นปี 2020 และพุ่งขึ้น 1 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วงเวลาเพียง 8 เดือน

การกู้ยืมเงินดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บริหารประเทศ และในระยะแรกๆ ของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ปัจจุบันต้นทุนการกู้ยืมเงินเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมมาก เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายระลอกเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

คณะกรรมการฝ่ายบริหารงบประมาณแผ่นดินสหรัฐฯ (CRFB) ประมาณการณ์เมื่อเดือนที่แล้วว่า นโยบายต่างของประธานาธิบดีโจ ไบเดน อาจทำให้ขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอีก 4.8 ล้านล้านดอลลาร์ ในระหว่างปี 2021 - 2031

“การกู้ยืมเงินมากจนเกินไปจะทำให้เกิดแรงกดดันเงินเฟ้อแบบต่อเนื่อง จะผลักให้หนี้สาธารณะพุ่งแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่อย่างเร็วที่สุดในปี 2030 และทำให้รัฐบาลต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มเป็นสามเท่าตัวในช่วง 10 ปีข้างหน้า หรืออาจเร็วกว่านั้น หากอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นเร็วขึ้น หรือมากว่าที่เคยคาดการณ์เอาไว้” CRFB ระบุ

โลกกำลังอยู่ในภาวะถดถอย หนักกว่า '2008 และ โควิด19' หวั่น!! ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียกระทบรุนแรง

สำนักข่าว CNBC ได้เผยแพร่รายงาน Trade and Development Report 2022 ขององค์การสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า นโยบายการเงินและการคลังในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว รวมทั้งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อาจจะผลักดันให้เศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยและหยุดชะงัก

ทั้งนี้ UN เตือนว่า การชะลอตัวทั่วโลกอาจสร้างความเสียหายที่เลวร้ายยิ่งกว่าวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2008 และวิกฤตของโรคโควิด-19 ในปี 2020 

พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า ทุกภูมิภาคจะได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึง แต่ประเทศในกลุ่มกำลังพัฒนาจะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด โดยหลายประเทศในกลุ่มนี้ใกล้จะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ โดยเฉพาะในเอเชียใต้และเอเชียตะวันตกที่มีปัญหาหนี้มีเพิ่มขึ้น เช่น ศรีลังกา, อัฟกานิสถาน, ตุรกี และปากีสถาน

ทั้งนี้เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลกกำลังเดินหน้าเต็มที่สู่ภาวะถดถอย หากธนาคารกลางยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยไม่คำนึงถึงการใช้เครื่องมืออื่น ๆ และไม่ได้พิจารณาเศรษฐกิจในฝั่งอุปทาน พร้อมกับเตือนว่า ไม่มีแนวโน้มที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป

อีลอน มัสก์ เตรียมซื้อ Twitter ครั้งใหม่ในราคาเดิม พร้อมขอให้ยุติการดำเนินคดีทางกฎหมาย

'อีลอน มัสก์' ตัดสินใจเดินหน้าซื้อ Twitter อีกครั้ง หลังเคยประกาศยกเลิกแผนการซื้อกิจการก่อนหน้านี้ โดยอ้างว่าบริษัทไม่เปิดเผยจำนวนที่แท้จริงของผู้ใช้งานปลอมและสแปม จนเกิดการฟ้องร้อง

เมื่อวันที่ (4 ต.ค. 2565) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า อีลอน มัสก์ ส่งจดหมายถึงบริษัท Twitter โดยระบุว่า มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เจ้าของบริษัทผลิตรถยนต์เทสลา บริษัท สเปซเอ็กซ์ และอีกหลายกิจการคนนี้ ตัดสินใจจะซื้อกิจการทวิตเตอร์อีกครั้งตามข้อตกลงเดิม ในราคาที่เคยเสนอไปครั้งแรก

ในจดหมายฉบับนี้ ทนายความของมัสก์ ระบุว่า มัสก์ตั้งใจที่จะดำเนินธุรกรรมนี้ให้เสร็จสิ้น และขอให้ยุติการดำเนินคดีทางกฎหมาย หลังจากก่อนหน้านี้มัสก์ระบุว่าจะยกเลิกข้อตกลงดังกล่าว จนเป็นเหตุให้เกิดการฟ้องร้อง

ทั้งนี้โฆษกบริษัท Twitter เปิดเผยว่า มัสก์ตั้งใจที่จะควบรวมกิจการที่หุ้นละ 54.20 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นไปตามที่ตกลงกันไว้เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา

เกาหลีเหนือ ห้าวจัด!! ยิงขีปนาวุธข้ามญี่ปุ่นอีกลูก ทางการญี่ปุ่นแจ้งเตือนปชช. หลบเข้าที่ปลอดภัย

สัญญาณอันตราย หลังเกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธข้ามดินแดนญี่ปุ่นบริเวณเกาะฮอกไกโดและจังหวัดอาโอโมริ เมื่อเวลา 05.46 น. ตามเวลาประเทศไทย ทางการญี่ปุ่นเตือนประชาชนในพื้นที่หลบภัยทันที

มีรายงานข่าวว่า เมื่อเวลา 07.46 น. ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น (05.46 น. ตามเวลาประเทศไทย) เกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธข้ามญี่ปุ่นตอนเหนือ บริเวณเกาะฮอกไกโดและจังหวัดอาโอโมริ ส่งผลให้รัฐบาลต้องประกาศเตือนประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวให้หลบอยู่ในที่ปลอดภัย

แหล่งข่าวในกระทรวงกลาโหมของญี่ปุ่นกล่าวว่า ขีปนาวุธที่ยิงมาในวันนี้ได้บินจากทะเลตะวันออกของเกาหลี ข้ามเหนือดินแดนญี่ปุ่น มุ่งไปทางตะวันออกเหนือทะเลญี่ปุ่น แล้วตกลงในทะเลนอกน่านน้ำญี่ปุ่นแล้ว และยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ

ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า ขีปนาวุธที่ถูกยิงมาเป็นประเภทใด บินได้สูงและไกลแค่ไหน เป็นครั้งแรกที่ในรอบ 5 ปีที่เกาหลีเหนือส่งขีปนาวุธข้ามแผ่นดินของญี่ปุ่นนับตั้งแต่ปี 2017

เสนาธิการร่วมของเกาหลีใต้ (JCS) ยืนยันว่าเกาหลีเหนืยิงขีปนาวุธข้ามญี่ปุ่นจริง โดยกล่าวว่า ขีปนาวุธดังกล่าวถูกยิงมาจากเมืองมูเปียงรีในจังหวัดชากังของเกาหลีเหนือเมื่อเวลาประมาณ 07:23 น. ตามเวลาท้องถิ่น แล้วเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันออกเหนือประเทศญี่ปุ่น

หัวหน้าเลขาธิการรัฐสภาญี่ปุ่น มัตสึโนะ ฮิโรคาซึ กล่าวว่า เกาหลีเหนือดูเหมือนจะยิงขีปนาวุธไปในทิศทางของฮอกไกโดซึ่งเป็นเกาะหลักที่อยู่เหนือสุดของประเทศ

ขีปนาวุธดังกล่าวได้บินผ่านจังหวัดอาโอโมริ ทางตะวันออกเฉียงเหนือ และร่อนลงนอกเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) ของญี่ปุ่น

มัตสึโนะ กล่าวเสริมว่า เขาถือว่าการยิงขีปนาวุธครั้งนี้เป็น “ภัยคุกคามต่อสาธารณชน” และกล่าวว่า รัฐบาลญี่ปุ่นจะวิเคราะห์สถานการณ์ต่อไปและทำงานอย่างใกล้ชิดกับประชาคมระหว่างประเทศ

ในช่วงเวลา 10 วันที่ผ่านมา เกาหลีเหนือได้ยิงทดสอบขีปนาวุธถึง 5 ครั้ง ขณะที่ในปี 2022 นี้ เกาหลีเหนือยิงทดสอบขีปนาวุธไปแล้วถึง 23 ครั้ง

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางความคุกรุ่นในคาบสมุทรเกาหลีที่เพิ่มขึ้นจากการซ้อมรบร่วมระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ ซึ่งพันธมิตรยืนกรานว่าเป็นการซ้อมรบเพื่อการป้องกันดินแดน แต่เกาหลีเหนือออกมาประณามว่า เป็นการซ้อมรบสำหรับการรุกรานเกาหลีเหนือ

ด้านนักวิเคราะห์ประเมินว่า การยิงขีปนาวุธครั้งล่าสุดนี้ อาจเป็นแค่จุดตั้งต้นในการทดสอบขีปนาวุธที่ใหญ่กว่านี้ และอาจเป็นการประกาศการยั่วยุที่รุนแรงขึ้นของเกาหลีเหนือ

ลีฟ-เอริก อีสลีย์ ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยอีฮวาในกรุงโซล กล่าวว่า “จนถึงตอนนี้ การทดสอบขีปนาวุธพิสัยใกล้ของเกาหลีเหนือได้รับผลตอบแทนที่ลดลงในแง่ของความก้าวหน้าทางเทคนิค คุณค่าทางการเมืองภายในประเทศ และการส่งสัญญาณระหว่างประเทศ การทูตยังไม่ตาย แต่การเจรจาก็ยังไม่เริ่มต้นขึ้นเช่นกัน”

เขาเสริมว่า “เกาหลีเหนือยังอยู่ท่ามกลางวงจรของการยั่วยุและการทดสอบขีปนาวุธ และน่าจะรอผลการประชุมใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนช่วงกลางเดือน ต.ค. เพื่อเตรียมดำเนินการทดสอบที่มีนัยสำคัญทางการทหารมากขึ้น”

Tim Cook ฟาด Mark Zuckerberg อย่ามโนว่าทุกคนจะอินกับโลกในจินตนาการ

กลายเป็นกระแสเขม่น จุดชนวนความขัดแย้งเป็นระเบิดขนาดย่อม ๆ ระหว่างผู้บริหาร Apple ที่ออกมาเผยมุมมองที่มีต่อธุรกิจของ meta ภายใต้ความพยายามผลักดันของ Mark Zuckerberg ที่จะนำทุกคนเข้าสู่โลกของ metaverse ซึ่ง Tim Cook CEO ของ Apple ถึงกับออกมาโต้แย้งแนวคิดดังกล่าวนั้นว่าใช่ว่าทุกคนจะอินกับโลกเสมือนที่อยู่ในจินตนาการซึ่งจับต้องไม่ได้

จากการเปิดเผยของ businessinsider สื่อเจาะลึกการลงทุนระดับโลก ได้เปิดเผยมุมมองของ Tim Cook CEO ของ Apple ซึ่งได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Bright Media สื่อจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ว่าทำไม Apple ถึงมีความลังเลใจในการเข้าร่วม metaverse ซึ่งเป็นอีกหนึ่งด้านเทคโนโลยีที่น่าสนใจและเป็นความตั้งใจอย่างมากในการผลักดันของ meta

“ผมคิดเสมอว่ามันสำคัญที่ผู้คนจะเข้าใจว่าบางสิ่งคืออะไร ขณะเดียวกันผมไม่แน่ใจจริง ๆ ว่าคนทั่วไปสามารถบอกคุณได้ว่า metaverse คืออะไร” Cook กล่าวกับทาง Bright Media

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าทาง Apple จะไม่ให้ความสำคัญใด ๆ กับทาง meta โดยดูจากสถิติย้อนหลังในการพยายามเข้าร่วมกับ meta โดยคำว่า 'metaverse' ที่ถูกกล่าวถึงโดยฝั่ง Apple นั้นมีเพียงครั้งเดียว ในการโทรหารายได้ของ Apple จนถึงปีนี้ เมื่อเทียบกับ 36 การกล่าวถึงการแสวงหารายได้ของ Meta แม้จะมีการใช้คำศัพท์ที่แพร่หลายทั่วทั้งอุตสาหกรรม ผู้บริหารก็ถูกแบ่งแยกว่า metaverse แสดงถึงผลิตภัณฑ์จริงหรือไม่ เช่น Virtual Reality หรือเป็นเพียงแนวคิดสำหรับโลกเสมือนจริงที่อาจไม่เคยมีอยู่จริง

ขณะที่ทางฝั่งของ Mark Zuckerberg ได้แถลงนโยบายเชิงรุกในการผลักดัน metaverse เพื่อการเข้าถึงและมีส่วนร่วมเชิงสาธารณะ โดยบอกพนักงานในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า Meta เรากำลังอยู่ในสงครามธุรกิจที่ต้องต่อสู้กับคู่แข่งอย่าง Apple เพื่อสร้าง metaverse

ทั้งนี้หากย้อนกลับไปในช่วงไตรมาส 4/2564 หลังจากการเปลี่ยนชื่อและการประกาศของ Facebook โดยได้ทุ่มงบลงทุนไปกว่า 10 พันล้านดอลลาร์เพื่อสร้าง metaverse เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดในความเป็นจริงเข้าสู่โลกเสมือน เพื่อหวังกอบกู้รายได้จากธุรกิจโซเชียลมีเดีย และช่วงชิงส่วนแบ่งรายได้ในอุตสาหกรรมใหม่ หรือนัยยะหนึ่งเพื่อต้องการทวงความเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการและมูลค่าบริษัทสูงที่สุดในโลก หลังจากที่ Apple นั่งแท่นครองอันดับบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดมากที่สุดในโลก และการปรับโครงสร้างความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้อุปกรณ์ไอทีในกลุ่มสินค้าของ Apple เช่น iPhone ที่เน้นย้ำความสำคัญของสิทธิส่วนบุคคลและข้อมูลส่วนตัว ซึ่งปิดกั้นการเก็บข้อมูลทางการตลาดที่จะเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการที่พึ่งพิงธุรกิจจากทางฝั่งของ Facebook และ Google ทำให้ Mark Zuckerberg เจ็บแค้นอย่างมากเนื่องจากนโยบายดังกล่าวของ Apple เพราะทำให้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ได้ ซึ่งกระทบรายได้โดยตรงต่อธุรกิจโฆษณาของ Facebook สูญเสียรายได้หลายพันล้านดอลล่าร์จากที่เคยได้ ที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่สื่อสารการตลาดโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดีย และท้ายที่สุดผู้ประกอบการเหล่านั้นต้องทยอยยกเลิกการซื้อสื่อโฆษณากับทาง Facebook ไป เพราะสูญเงินเปล่า โฆษณาไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ ขณะที่การออกมาปฏิเสธที่จะเข้าร่วมโลกเสมือน metaverse ของ Mark Zuckerberg กลายเป็นการตอกย้ำรอยแผลที่ร้าวบาดลึกของทั้ง 2 ธุรกิจที่มีต่อกัน แม้ว่าทาง Apple จะเน้นการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่โดยเฉพาะกับ Augmented Reality ก็ตาม

'ผู้ว่า กกท.' ยก สนามหลักกัมพูชาจัดฟุตบอลโลกสบาย ยอมรับตอนนี้หลายประเทศเพื่อนบ้านพัฒนาไปไกล

ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทยและคณะเดินทางไปประเทศกัมพูชาเพื่อดูความพร้อมจัดการเเข่งขันซีเกมส์ 2023 โดยมี นายออน ซาราเดน ตัวแทนของ พระคุณเจ้าวาร์เหิง ดาวุธ ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการสนามกีฬาแห่งชาติ 'มรดก เตโช' สนามหลักในการเเข่งขันครั้งนี้

“เราเห็นเเล้วมั่นใจว่าซีเกมส์ที่จะเกิดขึ้น สนามกีฬาได้มาตรฐานเเน่ สิ่งต่าง ๆ ที่กัมพูชาได้เเสดงให้เห็นคือความมุ่งมั่น เพื่อจะยกระดับให้ทัดเทียมกับประเทศชั้นนำในอาเซียน ไทยกับกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านกัน เราคงเดินหน้าพัฒนาในทุกมิติร่วม ๆ กัน วันนี้สนามกีฬาของกัมพูชาอาจจะล้ำหน้ากว่าไทยด้วยซ้ำ เราก็จะขอเรียนรู้จากกัมพูชา จากประสบการณ์การต่าง ๆ ส่วนในเรื่องของกีฬาที่ไทยก้าวหน้ากว่าเราก็ยินดีในการถ่ายทอดเเลกเปลี่ยน นี้คือความสัมพันธ์ที่สวยงามของ 2 ประเทศที่มีมายาวนาน”

“หลาย ๆ อย่างคือสิ่งที่เราจะเอาไปปรับปรุงสนามของเราได้ ต้องยอมรับว่าสนามของเราเคยยิ่งใหญ่ เราเคยเป็นที่ 1 ในอาเซียน แต่ตอนนี้หลายประเทศพัฒนาก้าวหน้าไปไกล ที่กัมพูชาผมคิดว่าเป็นสนามที่ทันสมัยเเละดีที่สุดเเห่งหนึ่งในอาเซียน สิ่งที่เขาเน้นคือระบบความปลอดภัย สามารถระบายคน 6 หมื่นคนใน 7 นาที เพราะฉะนั้นไม่ใช่เเค่ขนาดใหญ่ แต่เขานึกถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นมาตรฐานสากล สิ่งที่เป็นความประทับใจคือสนามเเห่งนี้สามารถผ่านมาตรฐานฟีฟ่า สามารถแข่งระดับบอลโลกได้ แม้ความจุจะยังไม่ถึงรองรับพิธีเปิดปิดฟุตบอลโลกได้ แต่สามารถจัดการเเข่งขันแมตช์อื่น ๆ ในฟุตบอลโลกได้เลย”

มหาวิทยาลัยญี่ปุ่น เตรียมอาหารฮาลาลให้นักศึกษามุสลิม สร้างสภาพแวดล้อมให้ผู้คนเคารพวัฒนธรรมของกันและกัน

สำนักข่าวมุสลิมไทยโพสต์ เผย มหาวิทยาลัยมิยาซากิ บริการอาหาร 5 มื้อ ที่เตรียมโดยกระบวนการฮาลาลทั้งหมด ให้แก่นักศึกษาทั้งที่เป็นมุสลิม และศาสนิกชนอื่น

โดยอาหารที่จัดบริการในคาเฟ่ทีเรียของมหาวิทยาลัย เพื่อรองรับให้แก่นักศึกษาที่มาจากอินโดนีเซีย, มาเลเซีย และประเทศมุสลิมอื่นๆ ในขณะที่นักศึกษาชาวญี่ปุ่นทั่ว ๆ ไป ก็กระตือรือร้นที่จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมอิสลาม ผ่านเมนูอาหารต่าง ๆ ที่บริการในห้องอาหาร

โยอิชิโร โยชินากะ ผู้จัดการโรงอาหารสำหรับนักศึกษา กล่าวว่า ไม่เฉพาะนักศึกษาจากประเทศมุสลิม แต่นักศึกษาชาวญี่ปุ่นที่อยากรู้อยากเห็น และก็สามารถเพลิดเพลินกับอาหารรสเลิศได้

“ในโรงอาหาร ฉันต้องการให้พวกเขาสนใจในวัฒนธรรมการทำอาหารของกันและกัน”

ในบรรดาอาหารฮาลาลจานพิเศษที่หมดเร็วมาก ได้แก่ เรนดังไก่, แกงกะหรี่ใส่กะทิเข้มข้น, ขนมถั่วอะซูกิ และขนมปัง 2 แบบ ที่ยังเหลือมักจะเป็นแกงไก่ ที่ทำมาเพิ่มรอบสอง

เมนูอาหารเหล่านี้ผ่านการรับรองฮาลาล จากฝ่ายพัฒนาอิสลามแห่งมาเลเซีย (Jakim) รวมทั้งอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบอาหาร และเครื่องปรุง ตลอดจนวัสดุต่าง ๆ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top