Saturday, 10 May 2025
SPECIAL

‘อิ๊งค์’ โยน ‘เศรษฐา’ ตอบ หลังถูกสื่อนอกถามแทงใจดำ “พรรคเพื่อไทย เป็นพรรคของตระกูลชินวัตรหรือไม่?”

เมื่อวานนี้ (17 มี.ค. 66) ที่ยิมเนเซียม 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต พรรคเพื่อไทย ได้จัดงาน ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’ พร้อมเปิดตัวผู้ประสงค์ลงสมัครเลือกตั้ง ทั้ง 400 เขต

ทว่าช่วงหนึ่งของงานที่เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวซักถามนั้น ได้มีผู้สื่อข่าวต่างชาติถามขึ้นมาว่า “การที่ น.ส.แพทองธาร มาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย กังวลหรือไม่ว่าจะเป็นการตอกย้ำภาพความเป็นพรรคของครอบครัวชินวัตร” ทำให้ น.ส.แพทองธาร ส่งไมโครโฟนให้ นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยเป็นผู้ตอบคำถามแทน ซึ่ง นายเศรษฐา ก็ได้ผายมือไปยังที่นั่งของคณะผู้บริหารพรรค และผู้ประสงค์ลงสมัครเลือกตั้ง ส.ส. ก่อนกล่าวยืนยันว่า “พรรคเพื่อไทยไม่ใช่ธุรกิจครอบครัว บุคคลากรของพรรคเพื่อไทยล้วนแล้วเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยม มีความรู้ความสามารถทั้งสิ้น พวกเขาที่มาไม่ใช่ ‘ชินวัตร’ ให้เครดิตพวกเราหน่อยน่า ผมขอร้องคุณ”

ผู้สื่อข่าวถามต่อไปยัง น.ส.แพทองธาร ว่าอะไรที่ทำให้เธอเหมาะสมต่อการเป็นผู้นำ เธอตอบว่า “พรรคของเราแข็งแกร่งมากด้วยนโยบายต่าง ๆ พรรคของเรา ทีมของพวกเรา มีความสามารถ เคยทำงานมาแล้ว และจะมาทำมันอีกครั้ง โดยครั้งนี้ จะทำให้คนไทยร่ำรวยยิ่งขึ้น สะดวกสบายมากขึ้นด้วยนโยบายของเรา แม้นายกฯ อาจจะใช่หรือไม่ใช่ดิฉัน แต่ถ้าเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล นั่นคือคำตอบของประเทศ”

นอกจากนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ยังได้กล่าวเพิ่มเติมถึงรายละเอียดในนโยบายเติมรายได้ 20,000 บาทต่อเดือนต่อครอบครัวว่า นโยบายดังกล่าวคิดจากครัวเรือน ไม่ใช่คิดต่อคน ถ้าครอบครัวใดรายได้ไม่เกิน 20,000 บาทต่อเดือน เราจะเติมเงินให้เพื่อให้เขามีศักยภาพในการดำเนินชีวิต และเสียภาษีกลับมายังรัฐบาล ย้ำว่าเราจะไม่ใช้นโยบายแจกเงินไปทั่วและไม่ได้อะไรกลับมาเลย โดยเราไม่สามารถใส่เงินไปแค่จุดเดียว และแก้ปัญหาไปวันต่อวัน อันนี้คือนโยบายกระตุ้นฐานราก พร้อมกระตุ้นทั้งระบบอีกด้วย

หลังจากนั้น นายเศรษฐา ก็ได้กล่าวเสริมถึงนโยบายใหม่ที่จะการตอกย้ำเป้าหมายชนะเลือกตั้งแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทย ที่เชื่อว่านโยบายต่าง ๆ ที่เปิดตัวจะเป็นนโยบายที่ลงไปถึงประชาชนทุกคน ซึ่งจะเป็นจิ๊กซอว์สุดท้ายที่จะทำให้ชนะการเลือกตั้งได้อย่างแน่นอน

‘วันเพ็ญ’ เจ้าแม่แชร์ทอง 360 ล้านบาท มี 61 หมายจับ ตุ๋นเหยื่อขาย ‘ทอง’ ออนไลน์ สุดท้ายเกมเพราะ ‘หนังควาย’

(18 มี.ค. 66) พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.  พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.หน. PCT ชุดที่ 5 , พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น. รอง หน. PCT ชุดที่ 5 พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น. พ.ต.อ.สิทธิศักดิ์ นาคามาตย์ ผกก.กก.สส.บก.น.4 พ.ต.อ.ณรงค์ฤทธิ์  ทองแพ พ.ต.อ.พัชรดนัย การินทร์ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.บช.น. พ.ต.ท.มาโนชย์ ทองแก้ว พ.ต.ต.คณิตนนท์ ถนอมศรี  พ.ต.ต.ชัยวัฒน์ จงเจริญ พ.ต.ต.วรุตม์ คำหล้า พ.ต.ต.ภัสสกรณ์ เฉลียวบุญ พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ ร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 ชุดสืบสวนนครบาล (บก.สส.บช.น.) , กก.สส.บก.น.4 นำกำลังสืบสวนติดตามจับกุมตัว น.ส.วันเพ็ญ โคตรทะแก หรือ กวินา กันยากรสกุล อายุ 34 ปี ชาวจ.นครสวรรค์ ผู้ต้องหาตามหมายจับ ข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” จำนวน 61 หมายจับพร้อมทั้งตรวจยึด โทรศัพท์มือถือจำนวน 2 เครื่อง พบข้อมูลการตั้งวงแชร์อีกหลายวง สมุดบันทึก จำนวน 1 เล่ม ซองใส่ซิม จำนวน 5 ชิ้น เซฟเฮ้าส์ลับ ในชนบทใกล้เขาใหญ่ ในพื้นที่ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เมื่อวันที่ 17 มี.ค. เวลาประมาณ 16.15 น. ที่ผ่านมาพบเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 360 ล้านบาท เหยื่อผู้เสียหายกว่า 200 รายทั่วประเทศ ความเสียหายไม่ต่ำกว่า 37 ล้านบาท 

สืบเนื่องจากเมื่อปลายปี 2563 ต่อเนื่องมาถึงต้นปี 2564 น.ส.วันเพ็ญ โคตรทะแก หรือ กวินา กันยากรสกุล ได้มีการไลฟ์สดผ่านทางเฟซบุ๊กโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนร่วมลงทุนในการ 'ขายทอง' โดยอ้างว่าจะนำทองมาจากต่างประเทศ โดยสามารถสั่งนำเข้ามาได้ในราคาเพียงบาทละ 3,000-4,000 บาท ซึ่งถูกกว่าท้องตลาดทั่วไปมาก ซึ่งต่อมาได้มีผู้เสียหายจำนวนมากหลงเชื่อและโอนเงินมาร่วมลงทุนเป็นจำนวนมาก ซึ่ง น.ส.วันเพ็ญ มีการส่งทองหรือจ่ายเงินตอบแทนให้กับผู้สั่งซื้อหรือร่วมลงทุนใน 2-3 ครั้งแรก ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือมากขึ้นในกลุ่มผู้ที่เคยร่วมลงทุนเดิมและยัง 'ปากต่อปาก' ทำให้ยิ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมการลงทุนจำนวนหน้าใหม่เข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยสุดท้ายเหล่าผู้เสียหายต่าง 'ทุ่มเงิน' จำนวนมากมาร่วมลงทุนซื้อทองกับ น.ส.วันเพ็ญ ซึ่งต่อมาเมื่อได้เงินก้อนใหญ่แล้ว น.ส.วันเพ็ญ ได้ 'หายตัวไป' อย่างไร้ร่องรอยพร้อมเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 37 ล้านบาท เหยื่อผู้เสียหายกว่า 200 รายทั่วประเทศ ต่างได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เพราะเงินส่วนใหญ่ของผู้เสียหายได้ทุบหม้อข้าวมาลงทุนกับ น.ส.วันเพ็ญ ซึ่งกลุ่มผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนในท้องที่เกิดเหตุทั่วประเทศ

ต่อมาได้มีสอบสวนจนนำมาสู่การออกหมายจับ และหมายจับของศาล จำนวน 61 หมายจับทั่วประเทศไทย ซึ่งจากการติดตามของเจ้าหน้าที่พบว่า น.ส.วันเพ็ญไม่เพียงหายตัวไป แต่จากการตรวจสอบการทำธุรกรรมต่าง ๆ ก็ไม่พบความเคลื่อนไหวใดๆอีก เข้าขั้นที่เรียกได้ว่า 'ไร้เงา' ซึ่งต่อมาทีมนักวิเคราะห์แผนประทุษกรรมของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากระบบการรับแจ้งความออนไลน์และข้อมูลแผนประทุษกรรมจากคดีเดิม โดย พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. หรือ หน.PCT ชุดที่ 5 ได้วิเคราะห์ข้อมูลพบ 'ร่องรอย' จากแผนประทุษกรรมการช่วงการก่อเหตุที่ผ่านมา ซึ่งพบ 'ตัวละคร' สำคัญที่คอยดำเนินการทำธุรกรรมให้กับ น.ส.วันเพ็ญฯ ซึ่งต่อมา พล.ต.ต.ธีรเดชฯ ได้ให้พ.ต.ท.มาโนชย์ ทองแก้ว  สว.กก.2 บก.สส.บช.น. พ.ต.ต.คณิตนนท์ ถนอมศรี  สว.กก.1 บก.สส.บช.น. พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์   จุลพิภพ สว.กลุ่มงานสอบสวนฯ ชุด PCT 5 นำกำลังแยกกันลงพื้นที่แกะรอยจนกระทั่งสืบทราบว่า น.ส.วันเพ็ญ หลบหนีไปกบดานอยู่ในพื้นที่ จ.สระบุรี โดยมี 'ลูกน้อง' คอยเป็นผู้ทำธุรกรรมต่าง ๆ ให้เพื่ออำพรางการใช้ชื่อตนเอง ซึ่งแม้จะปกปิดตัวตนอย่างมิดชิด แต่ต่อมาชุด PCT5 ได้พบเบาะแสสำคัญจากร้านอาหารในละแวกพื้นที่กบดานคือ 'หนังควาย' ซึ่งเป็นอาหารที่ น.ส.วันเพ็ญชอบทาน จนนำมาสู่การสืบทราบว่าที่กบดานของ น.ส.วันเพ็ญ ซึ่งเป็น 'เซฟเฮ้าส์ลับ' มีรั้วสูงล้อมรอบมิดชิด ภายในชนบทใกล้เขาใหญ่ ซึ่งต่อมา พล.ต.ต.ธีรเดช ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุด PCT5 และ สืบสวนนครบาลใช้กำลังเจ้าหน้าที่ 'ดักซุ่ม' บริเวณป่าข้างทางใกล้กับเซฟเฮ้าส์ลับดังกล่าว จนกระทั่งได้พบ น.ส.วันเพ็ญ เดินออกมาจากรั้วเซฟเฮ้าส์ลับดังกล่าวลักษณะแต่งกายมิดชิด สวมหมวกปิดบังอำพรางไม่ให้ใครจำได้ แต่ไม่รอดสายตาของ พ.ต.ท.มาโนชย์ ติดตามตัว น.ส.วันเพ็ญมาเป็นเวลากว่า 1 ปี จึงสามารถจดจำลักษณะท่าทางได้แม้จะปิดบังอำพรางไว้แล้วก็ตาม

‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ ใช้ QR Code หลอกดูดเงินผ่านไลน์ ‘ดีอีเอส’ เตือน ปชช. ระวังภัยออนไลน์ - รู้เท่าทันกลโกง

แก๊งคอลเซ็นเตอร์มามุกใหม่ ใช้ QR Code หลอกดูดเงินร้านอาหารผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ทำทีสั่งอาหาร และให้ร้านแสกนเพื่อรับเป็นเพื่อน แท้จริงคือ Scams วอนประชาชนตระหนัก รู้เท่าทันกลโกง และระวังก่อนสแกน

(18 มี.ค. 66) นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ฝ่ายการเมือง (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวที่ได้รับความสนใจจากประชาชนในเรื่องการฉ้อโกงออนไลน์รูปแบบใหม่ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยการใช้ QR Code หลอกดูดเงิน วิธีการคือ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ติดต่อร้านอาหารผ่านแอปพลิเคชันไลน์ หลอกสั่งข้าวกล่องจำนวน 100 กล่อง เพื่อนำไปจัดเลี้ยงประชุม และโอนมัดจำมาก่อน 2,000 บาท วันต่อมา คนร้ายได้โทรศัพท์บอกให้ร้านอาหารสั่งชุดอาหารพิเศษเพิ่ม 7 ชุด และส่ง QR Code มาให้ร้านแอด และบอกว่าจ่ายเงินเพิ่มให้ภายหลัง โดยอ้างว่าเป็น QR Code แอดไลน์เท่านั้น แต่เมื่อแสกน QR Code พบว่า หน้าจอเหมือนถูกไวรัส เจ้าของโทรศัพท์จึงรีบเข้าแอปฯ ธนาคาร เพื่อโอนเงินส่วนใหญ่ออกไปบัญชีอื่นก่อน และโทรศัพท์ก็เริ่มค้าง ระบบรวนจึงรีบปิดเครื่อง

จากกรณีที่เกิดขึ้น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มีความห่วงใยความปลอดภัยของประชาชน จึงขอแจ้งเตือนว่า ในการใช้จ่ายสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ร้านอาหารหลายแห่งเริ่มใช้ QR Code ในการชำระเงินแบบไร้เงินสด แต่เหรียญมีสองด้าน การใช้งานที่ค่อนข้างสะดวกของ QR Code ก็ต้องระวังและมีสติในการใช้งานด้วยเช่นกัน เพราะคนร้ายหรือมิจฉาชีพอาจจงใจใช้ QR Code พิมพ์ URL ซึ่งนำไปสู่เว็บไซต์หลอกลวง (Phishing) หลอกให้กรอกข้อมูลหรือบัญชีธนาคาร หรือหลอกให้โอนเงินไปบัญชีคนอื่นที่ไม่ใช่บัญชีของร้านค้าได้ ดังนั้นประชาชนต้องปกป้องตัวเอง และป้องกันภัยจาก QR Code หลอกลวง หรือ QR Code Scams ดังนี้

‘บิ๊กแจ๊ส’ มอบดอกไม้ต้อนรับ ‘อุ๊งอิ๊ง’ เยือนเมืองปทุมฯ ด้าน ‘เฉลิม’ พร้อมหนุน ลั่น!! บิ๊กแจ๊ส ยังไงก็อยู่เพื่อไทย

(18 มี.ค. 66) เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 66 ที่อาคารยิมเนเซียม 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พรรคเพื่อไทย นำโดย นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรือ ‘อุ๊งอิ๊ง’ ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และนายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ร่วมจัดงาน ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’ เปิดตัวผู้ประสงค์ลงสมัครรับการเลือกตั้ง ส.ส.เขต ทั้ง 400 เขตทั่วประเทศ รวมถึงประกาศนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง โดยมีคณะกรรมการบริหารพรรค, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.), ผู้ประสงค์ลงสมัครรับการเลือกตั้ง ส.ส., สมาชิกพรรค และผู้สนับสนุนพรรคเข้าร่วมงาน จนแน่นสถานที่

บรรยากาศการจัดงานเป็นไปอย่างคึกคักตั้งแต่เปิดเวที ในโอกาสนี้ พล.ต.ท.คำรณ ธูปกระจ่าง (บิ๊กแจ๊ส) นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ร้อยตำรวจเอก ดร.ตรีลุพธ์ ธูปกระจ่าง นายกเทศมนตรีนครรังสิต ได้เดินทางมามอบดอกไม้ให้กำลังใจคุณอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร พรรคเพื่อไทย โดยคุณอุ๊งอิ๊งได้กล่าวขอบคุณบิ๊กแจ๊ส ส่วนนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้กล่าวกับบิ๊กแจ๊สว่าเรายังเหมือนเดิม ทางด้าน ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง ได้พูดว่า บิ๊กแจ๊สจะไปไหนได้ ยังไงอยู่เพื่อไทย มีการโบกธงเพื่อไทย ป้ายสนับสนุนยกเชียร์ พร้อมตะโกนโห่ร้อง ตั้งแต่หน้างานจนถึงบริเวณจัดงาน อากาศครึกครื้นตลอดเวลา

สำหรับพรรคเพื่อไทยในจังหวัดปทุมธานีทั้ง 7 เขต ประกอบด้วย

เขต 1. นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล ที่ครองแชมป์มายาวนาน เป็นถึงอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ขุมกำลังหลักอยู่ที่อำเภอลาดหลุมแก้วและเมืองปทุม

เขต 2.นายศุภชัย นพขำ ลูกชายของนายกแป๊ะ นายสายัณ นพขำ อดีตนายกเทศมนตรีตำบลบ้านกลาง เป็น ส.ส.แชมป์เก่า และลงพื้นที่ตลอด

เขต 3. นายยุทธศักดิ์ ชูประเสริฐ นักการเมืองใหม่ที่เปิดตัวเดินลงพื้นที่มาหลายปีต่อเนื่อง อาสาอยากจะเข้ามาพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่

เขต 4. นายสุทิน นพขำ อดีต ส.ส.ปทุมธานี น้องชายของนายกแป๊ะ นายสายัณ นพขำ อดีตนายกเทศมนตรีตำบลบ้านกลาง ครั้งนี้กลับมาลงสนามสู้ศึกอีกครั้ง

‘พิธา’ ฉะ ‘บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม’ พอกันที 8 ปีที่บริหารประเทศย่อยยับ ลั่น!! เตรียมปิดฉากระบอบปรสิตผ่านบัตรเลือกตั้ง ของ ปชช.

เมื่อวันที่ (17 มี.ค. 66) ช่วงค่ำ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ขึ้นปราศรัยปิดการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคก้าวไกลจังหวัดปทุมธานีที่ตลาดจัมโบ้ ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง โดยนายพิธากล่าวว่าเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญมาก เพราะเป็นวาระสุดท้ายของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร การเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เปลี่ยนรัฐบาลและนโยบาย แต่ต้องปักธงวัฒนธรรมทางการเมืองแบบใหม่ด้วย

นายพิธากล่าวว่าสัปดาห์นี้ พล.อ.ประยุทธ์ทำงานเป็นสัปดาห์สุดท้าย พอกันที 8 ปีที่แปดเปื้อน 8 ปีที่ผ่านมา บริหารประเทศย่อยยับอย่างไร ตอนนี้ก็ยังย่อยยับอย่างนั้น มีโฆษณาออกมาจากพรรครวมไทยสร้างชาติว่านโยบายพรรคการเมืองต่าง ๆ เหมือนไอติมที่แบ่งกันดูด ส่วนพรรคของ พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นไอติมสีน้ำเงินผ่านมือถือ แต่ภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์เองไม่ใช่หรือ ฝนตกไม่ทั่วฟ้า เยียวยาไม่ทั่วถึง ชีวิตสิ้นคำนึง คำนึงถึงแค่ความตาย ครั้งนี้เรามีโอกาสแล้ว เหลือเวลาอีก 60 วัน ถึงเวลาปิดฉากระบอบปรสิตผ่านบัตรเลือกตั้งของประชาชน

‘พิธา’ นำทัพ ‘ก้าวไกล’ ลุย ‘ปทุมฯ’ พื้นที่ยุทธศาสตร์ พร้อมแง้มนโยบายเศรษฐกิจ ก่อนยุบสภา

‘พิธา’ พร้อมปักธง ‘ก้าวไกล’ ปทุมธานี ชี้เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ แง้มเปิดนโยบาย-ทีมเศรษฐกิจ จัดเต็มหลังยุบสภา

วันที่ 17 มีนาคม 2566 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย รังสิมันต์  โรม โฆษกพรรคก้าวไกล และ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ปทุมธานี ทั้ง 7 เขต ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนก่อนขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ ที่ตลาดจัมโบ้ คลองสาม จังหวัดปทุมธานี โดยก่อนหน้านี้ระหว่างวัน พิธา พร้อมกับ เชตวัน เตือประโคน ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ปทุมธานี เขต 6 ได้ขึ้นรถแห่ขอคะแนนจากประชาชนชาวปทุมธานีด้วย

พิธา กล่าวถึงกรณีการแบ่งเขตเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าการแบ่งเขตตามรูปแบบที่ 1 ที่ กกต.เลือกใช้ ถึงแม้ว่าจะมีค่าความเบี่ยงเบนจากค่าเฉลี่ยประชากรที่ไม่เกินร้อยละ 10% ตามเกณฑ์ตัวเลข แต่ก็สร้างความสับสนแก่ประชาชนเป็นอย่างมาก บางเขตเลือกตั้งประกอบด้วยเขตปกครองมากกว่า 3 เขต ฝั่งว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคมีการจัดทีมหาเสียงกันใหม่ เพื่อลดความสับสนและพบปะพี่น้องประชาชน สร้างความเข้าใจให้มากขึ้น อันที่จริงตนคิดว่า กกต. ควรแบ่งเขตเลือกตั้งเสร็จสิ้นตั้งนานแล้ว เพราะตอนนี้ใกล้ช่วงยุบสภา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความสับสนในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง จึงหวังว่าจะไม่มีเจตนาแอบแฝง ช่วงชิงความได้เปรียบในการหาเสียงของผู้มีอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงกฎหมายและผลกระทบต่อประชาชนในอนาคต อย่างไรก็ตาม พรรคก้าวไกล พร้อมสู้ศึกเลือกตั้งไม่ว่าเขตเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร และมั่นใจว่าจะกวาดที่นั่ง ส.ส. ได้เป็นอันดับหนึ่งใน กทม.

ส่วนความคาดหวังต่อผลการเลือกตั้งในจังหวัดปทุมธานี พิธากล่าวว่า ปทุมธานีเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ของพรรคก้าวไกลมาตั้งแต่ครั้งพรรคอนาคตใหม่ ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 พรรคอนาคตใหม่ได้คะแนนเป็นอันดับสอง รวมมากกว่า 147,000 คะแนน หรือคิดเป็น 1 ใน 4 ของคนปทุมธานี เลือกพรรคอนาคตใหม่ วันนี้ลงพื้นที่พบปะประชาชนตั้งแต่เช้า ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวต่อว่า ปทุมธานีเป็นเมืองที่มีการเจริญเติบโตเยอะ มี SMEs มากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ทำให้มีคนย้ายเข้ามาทำงานอยู่อาศัย ดังนั้น โจทย์ที่พรรคก้าวไกลต้องตีให้แตกคือ การแก้ไขปัญหาที่มาพร้อมกับการเจริญเติบโตของเมือง คือ 'คลอง คน ถนน' ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการคมนาคม ปัญหาขยะ ปัญหาความสะอาดของลำคลอง

‘กกต.’ ชี้!! ทำตามกฎหมายทุกขั้นตอน  หลัง ‘ชพก.’ ท้วง!! ปมแบ่งเขต กทม.

(17 มี.ค. 66) ที่สำนักคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายปกรณ์ มหรรณพ กกต.แถลงข่าวชี้แจงข้อท้วงติงจากพรรคการเมือง ถึงกรณีการแบ่งเขตเลือกตั้งเลือกตั้งใหม่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ว่า วันนี้ กกต.จะมีการเรียกประชุมด่วน ซึ่งสืบเนื่องมาจากพิจารณาข้อมูลทุกอย่าง รวมทั้งของพรรคชาติพัฒนากล้า เมื่อมีข้อท้วงติงของพรรคการเมือง เราก็พร้อมที่จะตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง จึงมีการเรียกประชุมด่วนในเวลา 16.00 น.ของวันนี้ สำหรับเรื่องดังกล่าว เราพร้อมให้ข้อมูลและเหตุผล ซึ่งสิ่งที่มีข่าวในช่วงนี้คือการแบ่งเขตของ กกต.กทม.อาจจะมีปัญหา แต่ตนขอยืนยันว่า ผอ.กกต.กทม.และทีมงาน รวมทั้งส่วนกลางที่เกี่ยวข้องได้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการแบ่งเขตอย่างสุดความสามารถ และได้ใช้เวลาในการพิจารณาอย่างเหมาะสม

“โดยเรื่องที่มีข้อท้วงติงของนักการเมืองนั้นบางครั้งอาจจะไม่ตรงกับข้อเท็จจริง อยากจะขอชี้แจงว่าการแบ่งเขตครั้งนี้ กกต.กทม.ยึดหลักตามรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.อย่างเคร่งครัด ซึ่งกฎหมายในมาตรา 27 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ระบุว่าให้แบ่งเขตแต่ละเขตติดต่อกัน และต้องจัดให้มีจำนวนราษฎรในแต่ละเขตใกล้เคียงกันต่างกันไม่เกินบวกลบร้อยละ 10 ซึ่งมาจากรัฐธรรมนูญมาตรา 86 (5) บัญญัติว่าจะต้องแบ่งเขตเลือกตั้งแต่ละเขตให้แต่ละเขตติดต่อกัน และต้องจัดให้มีจำนวนราษฎรในแต่ละเขตใกล้เคียงกัน ซึ่งกฎหมายบัญญัติให้เราปฏิบัติ” นายปกรณ์ กล่าว

นายปกรณ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่เป็นปัญหาคือ กรุงเทพมหานครไม่สามารถกำหนดเขตปกครองเดียวให้เป็นเขตเลือกตั้งได้ เพราะค่าเฉลี่ยของประชากรของกรุงเทพมหานครในหนึ่งเขตเลือกตั้ง มีประมาณ 160,000 คน ตัวอย่างเช่น เขตปกครองในเขตคลองสามวา มีประมาณ 200,000 คน, เขตบางเขน เขตประเวศ เขตลาดกระบังมีเขตละ 180,000 คน, เขตสายไหม 200,000 กว่าคน, เขตหนองจอก เขตบางขุนเทียน มีเขตละ 180,000 กว่าคน, เขตบางแค 190,000 คน

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าทั้ง 8 เขตนี้ ไม่สามารถแบ่งเป็นเขตเดียวของการเลือกตั้งได้ เราจึงได้พิจารณาตามกฎหมายในมาตรา 21 (2) ที่กำหนดว่า ในกรณีที่ไม่สามารถทำตาม (1) ได้ เพราะราษฎรในแต่ละเขตไม่ใกล้เคียงกัน จึงให้แบ่งเขตตามสภาพของชุมชนที่มีราษฎรติดต่อกันประจำ ในลักษณะเป็นเขตชุมชนเดียวกัน โดยจะต้องให้จำนวนประชากรมีจำนวนใกล้เคียงกันมากที่สุด

นายปกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีตามที่เป็นข่าวที่ยกตัวอย่างเขต 8 และ 9 ว่าไม่มีเขตหลัก ซึ่งกฎหมายไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมีเขตหลัก ซึ่งเขต 8 และ 9 มองแล้วมีเขตหลักและจำเป็นต้องเอาแขวงที่ใกล้เคียงมารวมกัน เพื่อให้จำนวนประชากรมีจำนวนใกล้เคียงกันมากที่สุด อย่างไรก็ตามเราได้ปฏิบัติตามมาตรา 27 (2) อย่างเคร่งครัด ทุกเขตจะเป็นลักษณะชุมชนเดียวกัน จำนวนราษฎรจะไม่เกินหลักเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่ง กกต.ได้ออกหลักเกณฑ์ระเบียบที่ว่า จังหวัดแบ่งเขตโดยค่าเฉลี่ยประชากรในจังหวัดเป็นเกณฑ์ แต่ละเขตไม่ควรเกินร้อยละ 10 ของค่าเฉลี่ยประชากร หรือในกรุงเทพมหานครแต่ละเขตไม่ควรเกิน 16,000 คน

‘มณีรัตน์ ลิมป์รัตนกาญจน์’ เลือดใหม่แห่ง ‘ภูมิใจไทย’ ผู้เชื่อมั่นในสังคมดี ต้องเริ่มจากเยาวชนที่มีคุณภาพ

‘ภูมิใจไทย’ ส่ง ‘มณีรัตน์’ คนรุ่นใหม่ ดีกรีนักกฎหมายจาก King’s College London นักธุรกิจมากความสามารถ และนักขับเคลื่อนงานด้านประชาสังคม พ่วงบทบาทในแวดวงการเมืองร่วม 10 ปี ชิงชัยสนาม กทม. เขต 'พระโขนง-บางนา'

นาทีนี้ หลายพรรคการเมืองเริ่มประกาศตัว ว่าที่ผู้สมัครผู้แทนราษฎรในกรุงเทพมหานครกันครบ 33 เขตเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งส่วนใหญ่ มักจะเป็นผู้สมัครหน้าคุ้น ที่ต้องลุ้นว่าในสมัยหน้าพวกเขาเหล่านี้จะกลับเข้ามาทำงานและแก้ปัญหา กทม.ได้โดนใจคนกรุงมากน้อยแค่ไหน

อย่างไรก็ตาม ก็มีหลากหน้าผู้สมัครเลือดใหม่ ที่ต้องยอมรับว่าพรรษาอาจจะยังไม่ถึงขั้นบรมครู แต่เท่าที่รู้หลายคนมีดีกรีและความมุ่งมั่นที่น่าสนใจมาลองทำงานให้คนกรุงดูสักคำรบไม่น้อย เฉกเช่นเดียวกันกับเธอคนนี้ ‘มณีรัตน์ ลิมป์รัตนกาญจน์’ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคภูมิใจไทย เขตพระโขนง-บางนา

ด้วยประสบการณ์ที่เคยร่วมงานกับบรรดาพรรคการเมืองและคนการเมืองชั้นนำของประเทศมามากมาย ในวันนี้ ‘มณีรัตน์ ลิมป์รัตนกาญจน์’ ดีกรีนักกฎหมายจาก King's College สาขาความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายองค์กรและพาณิชย์ ได้เลือกปักธงลงสมัคร ส.ส.ในนามพรรคภูมิใจไทย ด้วยมุมมองทางการเมืองที่คลิกตรงกัน นั่นคือ ‘พูดแล้วทำ’ ซึ่งเธอเชื่อในความเอาจริงเอาจังกับทุกเรื่องของพรรคนี้ เช่นเดียวกันกับบุคลิกส่วนตัวที่ ‘คิด-พูด-ทำ’ ในทุกๆ เรื่องที่โฟกัส

แม้ ‘มณีรัตน์’ จะแลดูเป็นคนรุ่นใหม่วัยเยาว์ แต่ประสบการณ์ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ต้องเรียกว่าโชกโชน ทั้งกับธุรกิจส่วนตัวที่เป็นผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ บริษัทที่ทำธุรกิจด้าน e-Commerce เจ้าแรกๆ ในประเทศไทย และเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของสินค้าหลากหลายแบรนด์ที่เอ่ยชื่อมาทุกคนล้วนรู้จักเป็นอย่างดี ซึ่งปัจจุบันนี้ธุรกิจดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง มียอดขายและกำไรที่น่าพึงพอใจ ภายใต้ความตั้งใจในการที่จะให้ธุรกิจนี้ยืนอยู่และเดินหน้าได้อย่างยั่งยืนต่อเธอและผู้เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม สนามธุรกิจ ที่เธอยังคงยืนเคียงข้างมาจนถึงปัจจุบัน ก็ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตในช่วงระยะเวลาเกือบ 20 กว่าปีมานี้ แต่เธอยังคงเลือกเข้าไปมีบทบาทกับงานภาคประชาสังคม ภาคประชาชน รวมถึงการเข้าร่วมกับงานภาคการเมืองเท่าที่จะมีโอกาส โดยหวังว่าจะมีโอกาสได้ใช้ความรู้ความสามารถในด้านต่างๆ เข้ามาช่วยพัฒนากรุงเทพฯ โดยเฉพาะในมิติของสังคมและเยาวชน ที่เธอเชื่อว่า สังคมดีจะเกิดขึ้นได้จากรากฐานอย่างเยาวชนที่ดี

มณีรัตน์เริ่มมีโอกาสก้าวเข้าสู่บทบาทของงานภาคการเมืองและภาคสังคมควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจตั้งแต่ช่วงปี 2007-2008 โดยเธอได้มีโอกาสเข้าไปทำงานด้านกลยุทธ์ ในฐานะคณะกรรมด้านประชาสัมพันธ์ของพรรคประชาธิปัตย์

ต่อมาในปีเดียวกัน เธอก็ได้ร่วมงานในคณะทำงานด้านเยาวชนของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งเธอมุ่งมั่นในการผลักดันนโยบายด้านเด็กและเยาวชน เพื่อนำเสนอกับผู้ว่าฯ กทม. เพราะถือว่านโยบายด้านเด็กและเยาวชนเป็นสิ่งที่สำคัญไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมือง ตนยอมให้ถูกมองว่าหน้าด้าน แต่ตนอยากให้ผู้ว่าฯ กทม.ทำนโยบายเพื่อเด็กนำไปเป็นกรอบในการปฏิบัติราชการต่อไป 

หลังจากนั้นในปี 2009 ก็ขยับขึ้นมาเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการ ด้านกิจการเยาวชนของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์บริพัตร

เข้าทางปืน ‘พลังประชารัฐ-ก้าวไกล’ ‘ปชป.-รสทช.’ ร่อแร่ ‘ภท.’ สายไหมไม่รอด

ปฏิกิริยาต่อประกาศการแบ่งเขตเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ออกมาเมื่อวันที่ 16 มี.ค. 66 บางพรรคร้องเฮ บางพรรคร้องโฮ…

เฉพาะสนาม กทม. ที่มีประชากร 5,394,910 คน เฉลี่ยราษฎรต่อ ส.ส.1 คนเท่ากับ 163,482.212 นั้น...กกต. เคาะแบบที่1 ออกมาใช้ ‘อรรถวิชช์  สุวรรณภักดี’ รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ไปยื่นฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนประกาศแบ่งเขตดังกล่าวทันที…

เหตุผลหลักของอรรถวิชช์ คือ ผิดหลักเกณฑ์ พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.2561 มาตา 27(1) ที่ระบุหลักเกณฑ์ให้ ‘รวมอำเภอต่าง ๆ เป็นเขตเลือกตั้ง’ หรือต้องมีอำเภอ (เขต) หลัก แต่ปรากฏว่าจาก 33 เขตเลือกตั้งเป็นการรวมตำบล (แขวง) โดยไม่มีเขตหลักถึง 13 เขตเลือกตั้ง...

ไม่เพียงแค่พรรคชาติพัฒนากล้า...แม้แต่พรรคเพื่อไทย โดยสุรชาติ เทียนทอง ส.ส.กทม. และ ดร.อิ่ม ธีรรัตน์ สำเร็จวณิชย์ โฆษกพรรคก็ออกมาแถลงในแนวเดียวกัน...แต่ราย ดร.อิ่ม เธอคิดฟุ้งไปหน่อยว่าอาจเป็นแผนทำให้การเลือกตั้งโมฆะ…

‘ศิรินันท์ รทสช.’ ชูนโยบาย ‘ทักษะแห่งโลกอนาคต’ สร้างทักษะ-โอกาสให้คนทำงาน ก้าวสู่ตลาดแรงงานโลก

(17 มี.ค.66) น.ส.ศิรินันท์ ศิริพานิช ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงการเข้าร่วมงาน ‘CODING ERA Next Wave of Thailand’s Education หรือ ยุคโค้ดดิ้ง คลื่นลูกใหม่แห่งการศึกษาไทย’ ว่า จากการที่ตนคร่ำหวอดในวงการการศึกษามากกว่า 10 ปี ปัจจุบันยังดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการเด็ก สตรี เยาวชน ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาสของพรรค และเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. ได้เตรียมผลักดันนโยบายด้าน Future Skill หรือทักษะแห่งอนาคต ให้เกิดขึ้นจริง เพื่อเตรียมความพร้อม สร้างทักษะการทำงาน และอาชีพแห่งโลกอนาคต พร้อมสร้างบุคลากรที่เป็นที่ต้องการของตลาดโลก นำมาซึ่งรายได้ที่ดี และคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน 

ดังนั้นจึงทำให้มองย้อนไปว่า ตลาดงาน ต้องการใครไปทํางาน และงานอะไรที่ตอนนี้เป็นที่ต้องการ จนสร้างรายได้ที่สูงขึ้น โดยเห็นว่างานด้าน Coding, Robotic, รถพลังงานไฟฟ้า (EV) ล้วนแต่เป็นงานที่ตลาดโลกต้องการในปัจจุบัน จึงต้องพัฒนาทักษะ Future Skill ให้คนไทยอย่างเร่งด่วน ให้มีทักษะด้านอาชีพที่ตลาดโลกต้องการ เมื่อมีความต้องการสูง ก็จะทำให้ได้รับค่าตอบแทนที่สูงด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงต้องเร่งสร้างและพัฒนาทักษะดังกล่าวให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

น.ส.ศิรินันท์ กล่าวว่า แนวทางการสร้าง Future Skill สามารถทำได้ 3 แนวทาง คือ 

1. เพิ่ม Future Skill ในหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียน ประสานกระทรวงศึกษาธิการเดินหน้าเพิ่มหลักสูตร ชุดความรู้ Future Skill และทักษะต่าง ๆ ซึ่งหลักสูตรพวกนี้ทำให้เยาวชน หรือคนที่เรียนสามารถนํามาต่อยอดหารายได้ในระหว่างที่เรียนไปพร้อม ๆ กันได้ 

2. Re-Skill ให้กับพนักงานบริษัท รวมถึงนักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่และยังไม่มีงานทำ ได้เพิ่มทักษะใหม่ๆ และความเชี่ยวชาญให้กับตัวเองตามที่ตลาดโลกต้องการ โดยใช้หลักการประสานมหาวิทยาลัยต่างๆ รวมถึง ภาค เอกชนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญมาร่วมพัฒนาหลักสูตรกับทางรัฐบาล เพื่อให้ได้หลักสูตรการ Re-Skill ที่เหมาะสมและทำได้จริง 

3. ตั้ง ‘สถาบันส่งเสริมทักษะแห่งโลกอนาคต’ รัฐบาลสามารถตั้งสถาบันแห่งการฝึกทักษะแห่งโลกอนาคต ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางในการจัดทําหลักสูตร เพื่อให้เยาวชน และประชาชน สามารถเข้าเรียนได้ โดยทางสถาบันยังเป็นตัวกลางในการประสานกับผู้ประกอบการ เพื่อรับรองว่าหลังจากจบหลักสูตรจะมีงานรองรับทันที รวมทั้งยังสามารถส่งออกแรงงานในทักษะที่ตลาดงานต้องการอีกด้วย ก็จะช่วยขับเคลื่อนภาคธุรกิจระดับมหภาคต่อไป 

“นอกจากนี้ในฐานะนักการเมืองสตรี เราควรเน้นเพิ่มทักษะด้านดิจิทัล (digital literacy) ในกลุ่มสตรีด้วยค่ะ เพราะผู้หญิงมีบทบาทและหน้าที่ที่สำคัญ คือ บทบาทของความเป็น ‘แม่’ มีความใกล้ชิดกับลูก ถ้าเราส่งเสริมทักษะด้านดิจิทัลในกลุ่มผู้หญิงให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง คุณแม่ทุกท่านก็สามารถใช้ทักษะนี้สร้างอาชีพในขณะที่ต้องหยุดทำงานเพื่อเลี้ยงลูก และขณะเดียวกันก็สามารถสอนทักษะเหล่านี้ให้กับลูกๆ ในช่วงเวลาที่อยู่ที่บ้านได้ด้วยค่ะ ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับความเท่าเทียมของเยาวชนหญิงและชาย ซึ่งนักเรียนทุกคนสามารถเข้าถึงทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมและทั่วถึงแล้ว แต่ยังขาดความรู้ด้านดิจิทัลสำหรับการต่อยอดสู่โลกอนาคตค” น.ส.ศิรินันท์ กล่าว 

พร้อมสู้ทุกเขต!! ‘ปชป.’ เปิดตัว ‘นายกฯ หนึ่ง’ ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีฯ คนที่ 10 ดีกรีเด็กนอก ผลงานแน่น พร้อมนำเมืองคอนสู่เมืองมหานคร

(17 มี.ค. 66) นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พร้อมด้วยนายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช และรองเลขาธิการพรรคฯ ร่วมกันต้อนรับและมอบบัตรสมาชิกพรรคฯ ตลอดชีพ ให้กับนายทรงศักดิ์ มุสิกอง หรือ ‘นายกหนึ่ง’ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลปากนคร อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช และเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขต 2 นครศรีธรรมราช (อำเภอเมือง, อำเภอพระพรหม) ซึ่งถือเป็นเขตเลือกตั้งสุดท้ายที่ทางพรรคฯ ได้มีการเปิดตัวในการสู้ศึกเลือกตั้ง

นายชัยชนะ กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณทั้งทางศาลรัฐธรรมนูญ ที่ได้วินิจฉัยคำนิยามคำว่า ‘ราษฎร’ ตรงตามเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง ทำให้ จ.นครศรีธรรมราช ได้มี ส.ส.เพิ่มขึ้นอีก 2 เขต เป็น 10 เขต เหมือนกับในอดีต ซึ่งทางพรรคฯ ก็ได้เร่งคัดเลือกบุคคลที่มีอุดมการณ์และความเหมาะสมที่จะมารับใช้ประชาชนในพื้นที่ จนได้ข้อสรุปว่าพรรคฯ จะส่ง นายทรงศักดิ์ เป็นผู้ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ในเขตที่เพิ่มขึ้นมา นั่นคือ เขต 2  ที่ประกอบด้วย อ.เมืองนครศรีธรรมราช 9 ตำบล 1 เขตเทศบาล และ อ.พระพรหม

ซึ่งก่อนหน้านี้ อ.พระพรหม เคยเป็นส่วนหนึ่งของ อ.เมือง และในปัจจุบัน อ.พระพรหม ถือเป็นอีก 1 พื้นที่ที่รองรับความเจริญของตัวเมืองนครศรีธรรมราช ดังนั้น จึงจำเป็นจะต้องส่งนักการเมืองที่มีประสบการณ์ และวิสัยทัศน์กว้างไกล อย่างนายทรงศักดิ์ มาลงสมัคร ส.ส.ในเขตนี้ เพื่อที่จะได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาต่าง ๆ และผลักดันให้เกิด เมืองมหานครใน จ.นครศรีธรรมราช ตามนโยบายของพรรคฯ ที่มุ่งหวังไว้ว่า จะทำให้เกิดขึ้นได้จริงภายหลังจากการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย 

‘เศรษฐา’ โชว์นโยบาย ‘กระตุ้นศก. ครั้งใหญ่’ หนุนเงินผ่าน ‘กระเป๋าเงินดิจิทัล’ ใช้จ่ายร้านค้าใกล้บ้าน

(17 มี.ค.66) ที่อาคารยิมเนเซียม 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ขึ้นเวทีงาน ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’ เปิดตัวนโยบายใหม่ จากพรรคเพื่อไทย พร้อมผู้ประสงค์ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 400 คน ณ ยิมเนเซียม 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

นายเศรษฐา ได้กล่าวถึงที่ผ่านตนได้เล็งเห็นถึงปัญหาความยากลำบากของประชาชน ได้เห็นปัญหาเศรษฐกิจที่รายได้น้อยลงสวนทางรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น ที่สร้างช่องว่างความเหลื่อมในสังคมให้กว้างขึ้น และเห็นถึงปัญหาทางสิทธิที่ประชาชนถูกรัฐกัดกัน โดยเฉพาะสิทธิในการแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นประชาธิปไตยของประชาชน

ตนจึงขอฝากให้สมาชิกพรรคเพื่อไทยทุกคนที่ประสงค์ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 400 คน ได้เป็นตัวแทนประชาชน นำนโยบายของพรรคเพื่อไทยแก้ไขปัญหาความเป็นเป็นให้พี่น้องประชาชน

นอกจากนี้ การประกาศนโยบายใหม่ ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจใหญ่ ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล โดยการสร้าง ‘กระเป๋าเงินดิจิทัล’ (Digital Wallet) ให้คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ได้จับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันใกล้บ้าน พร้อมเงินติดกระเป๋าที่รัฐจะแจกให้ทุกคน แต่เงินดิจิทัลนี้จะใช้จ่ายได้ เฉพาะกับร้านค้าชุมชน และต้องอยู่ในรัศมี 4 กิโลเมตร เท่านั้น เงินดิจิทัลนี้ มีอายุการใช้งาน 6 เดือน และร้านค้าสามารถนำเงินดิจิทัลมาแลกเป็นเงินบาทได้กับธนาคารรัฐในภายหลัง นโยบายนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหมุนเวียนระดับชุมชน เพื่อให้แน่ใจว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งตั้งแต่ระดับชุมชนขึ้นไปจนระดับประเทศ

นอกจากนี้ นายเศรษฐายังพูดเสริมถึงแนวทางการต่างประเทศของพรรคเพื่อไทยที่จะเปิดประตูการค้าและสร้างโอกาส ให้คนไทยได้มีบทบาทมากขึ้นในเวทีโลก โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของรัฐบาลในการเป็นผู้เจรจาและเชื่อมสายสัมพันธ์กับนานาประเทศ เรียกความมั่นใจและความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในเวทีโลกให้กลับคืนมา

ประชาชนจะได้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากมายท้ังจาก การค้าระหว่างประเทศ การท่องเที่ยวที่จะเติบโตขึ้นหลายเท่า และดึงดูดเงินจากต่างประเทศให้เข้ามาฝากในเมืองไทย เพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทย แล้วพาสปอร์ตไทยจะต้องมีอิทธิพลพาคนไทยเดินทางไปได้ทั่วโลก

‘พิธา’ นำทัพผู้สมัคร ขึ้นรถแห่ ลุยหาเสียงทั่วนครรังสิต ชวน ปชช.ฟังปราศรัย หวัง รักษาแชมป์เขตเดิม-รุกเพิ่มเขตใหม่

(17 มี.ค. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ปทุมธานี 3 เขต ประกอบด้วย นายเจษฎา ถาวรธรรมฤทธิ์ (เขต 2) น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว (เขต 3) และนายสกล สุนทรวาณิชย์กิจ (เขต 4) ลงพื้นที่ตลาดรังสิต จังหวัดปทุมธานี โดยนายพิธาขึ้นรถแห่เชิญชวนประชาชนให้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง และร่วมรับฟังการปราศรัยแนะนำแนวนโยบายพรรคก้าวไกล และเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ปทุมธานี ครบทั้ง 7 เขต ในเย็นวันนี้ ที่ตลาดจัมโบ้ คลองสาม

นายพิธา กล่าวว่า ปัจจุบันเหลือเวลาอีกไม่ถึง 60 วัน จะมีการเลือกตั้งใหม่ เมื่อการเลือกตั้ง 2562 พี่น้องชาวปทุมธานี จำนวน 1 ใน 4 เลือกพรรคอนาคตใหม่ มาคราวนี้เป็นพรรคก้าวไกล ต้องขอคะแนนพี่น้องประชาชนชาวปทุมธานีอีกครั้ง ตนหวังว่าพรรคก้าวไกลจะปักธงในจังหวัดปทุมธานี รักษาแชมป์เขตเดิม เพิ่มเติมเขตใหม่ได้ จึงขอให้ประชาชนกาก้าวไกล 2 ใบ เลือกทั้งคนทั้งพรรค เพื่อให้พรรคก้าวไกลได้เข้าไปเปลี่ยนแปลงประเทศ

สำหรับกำหนดการเวทีปราศรัยใหญ่ที่ปทุมธานี พร้อมเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครครบ 7 เขต จะเริ่มตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ณ ตลาดจัมโบ้ คลองสาม ผู้ปราศรัยนอกจากนายพิธา ยังประกอบด้วย นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล, น.ส.เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล, นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล

‘กรณ์’ ควง ‘ผกก.หนุ่ย’ อ้อน ปชช. เขตบางแค ชูนโยบาย ‘ดูแลแม่-เด็ก’ ให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ

(17 มี.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ลงพื้นที่ เขตบางแค เพื่อเยี่ยมชมการดำเนินงานของศูนย์เด็กเล็กชุมชนศิริเกษม พร้อมทั้งเปิดศูนย์อำนวยการเลือกตั้งเขตบางแค ซึ่งมี พ.ต.อ.ทศพล โชติคุตร์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตบางแค โดยมีว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.มาร่วมให้กำลังใจกันอย่างอบอุ่น ประกอบด้วย นายศราพงศ์ อิศรศักดิ์ ณ อยุธยา นายธนาวุฒิ รัศมีฉาย นายกฤษณ์ สุริยผล นางสาวอรไพลิน อัครเลิศวรปรีชา นายณัฐวรรธน์ พัชรพรนุกูล นายธนาวุฒิ รัศมีฉาย นายรัชตะ สมบัติลาภตระกูล นายสงกรานต์ พงษ์พันนา รวมถึงนางสาววิเวียน จุลมนต์ ที่ปรึกษาทีมนโยบายพรรคชาติพัฒนากล้า โดยมีประชาชนให้การต้อนรับกันอย่างคึกคัก 

หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า พ.ต.อ.ทศพล หรือ ผู้กำกับหนุ่ย เป็นว่าที่ผู้สมัครฯ ที่พรรคได้คัดมาแล้วว่า ประชาชนพึ่งได้แน่นอน โดยเจ้าตัวเองก็เป็นคนขยัน ทำความคุ้นเคยช่วยเหลือพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด ทั้งที่ไม่ได้มีตำแหน่ง บทบาทหน้าที่อย่างเป็นทางการ คนแบบนี้ตนมั่นใจว่าจะมีโอกาสได้สนับสนุน รวมทั้งว่าที่ ผู้สมัคร ส.ส.อีกหลายคนก็มาช่วยเป็นกำลังใจในวันนี้ ซึ่งตอนนี้ต้องยอมรับว่า ยังสับสนกับการแบ่งเขตของ กกต. อยู่ อย่างไรก็ตามแม้พรรคชาติพัฒนากล้าจะเป็นพรรคที่ไม่ใหญ่มาก แต่มั่นใจได้เลยว่า พรรคเราเป็นที่พึ่งให้พี่น้องประชาชนได้อย่างแน่นอน 

นายกรณ์ กล่าวในระหว่างการเข้าเยี่ยมชมศูนย์เด็กเล็กชุมชนศิริเกษม ว่า สิ่งที่ประเทศนี้ไม่เคยลงทุนเลย คือการดูแลเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา จนถึง 6 ขวบ เพราะเป็นช่วงที่สำคัญมากต่อการเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ จึงได้หารือกับผู้เชี่ยวชาญและออกนโยบายว่าจะมีงบให้กับแม่และเด็กเล็ก ตั้งแต่แม่เริ่มตั้งครรภ์ แม่ควรได้รับอาหารการกินที่ดี เพราะจะส่งผลต่อความแข็งแรงของเด็กในครรภ์ ปู่ย่าตายายที่ต้องรับเลี้ยงหลาน งบประมาณที่ได้รับทุกวันนี้ 600 บาทไม่เพียงพอที่จะซื้อนมดี ๆ อาหารดี ๆ และอุปกรณ์การเลี้ยงดูเด็กที่มีมาตรฐาน เราจึงให้ความสำคัญตรงไปที่แม่ เพราะเชื่อว่าโดยสัญชาตญานแม่ทุกคนรักลูก จึงได้เสนองบประมาณในการดูแลแม่และเด็กที่เราคำนวณมาแล้วคือ 2,000 บาทต่อเดือน อีกส่วนคือ สนับสนุนให้มีศูนย์เด็กเล็กที่เราจะจัดงบประมาณ 500 บาท ต่อหัวเด็ก ที่ได้รับการดูแลในศูนย์เด็กเล็กทั่วประเทศ เพื่อให้มีงบประมาณเพียงพอในการเพิ่มมาตรฐานการดูแลเด็ก ทั้งเรื่องโภชนาการที่ถูกต้อง เหมาะสมกับเด็กที่กำลังโต ต้องการสารอาหารมาเสริมพัฒนาการการเติบโต โดยเฉพาะสมองซึ่งเป็นส่วนสำคัญ    

‘แพทองธาร’ นำทัพ พท. เปิดตัวนโยบายใหม่ ชู “คนไทยไร้จน” เติมรายได้ขั้นต่ำ 2 หมื่นทุกครอบครัว

เมื่อวันที่ 17 มี.ค.66 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย ขึ้นเวทีงาน ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’ เปิดตัวนโยบายใหม่ จากพรรคเพื่อไทย พร้อมผู้ประสงค์ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 400 คน ณ ยิมเนเซียม 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

นางสาวแพทองธาร กล่าวบนเวทีประกาศความพร้อมพรรคเพื่อไทยที่จะพาประเทศไทยข้ามผ่านวิกฤตการณ์ต่างๆ ที่กำลังเผชิญทั้งสภาวะยากจน สภาวะสงคราม และโรคระบาด หมดเวลายื้ออำนาจรัฐบาลที่ไม่เข้าใจประชาชน ขาดความรู้ ความเท่าทันสถานการณ์โลก เพราะท่ามกลางปัญหาที่ถูกทับถมเอาไว้ หากคิดไม่ใหญ่ เอาไม่อยู่

พรรคเพื่อไทยจึง ‘คิดใหญ่ ทำเป็น’ พร้อมประกาศ 3 นโยบายที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทยให้อยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี

เริ่มจากนโยบายแรก ลดช่องว่างรายได้คนไทยที่ต้องช่วยเหลือทันที ให้ทุกคนมีรายได้เพียงพอ ต่อการดำรงอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี มีรายได้ที่สูงมากกว่าอัตราเงินเฟ้อ เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยมีอัตราเติบโตของรายได้ต่อหัวโตช้ากว่าประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียน พรรคเพื่อไทยจึงมีนโยบายเติมรายได้ให้ทุกครอบครัวมีรายได้ขั้นต่ำ 20,000 บาท / เดือน เราจะเติมเงินให้ในระยะชั่วคราวไปจนกว่านโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนจะสำเร็จ เพื่อให้เงินหมุนเวียนในระบบ รัฐก็จะมีรายได้จากภาษีเพิ่มขึ้น แพทองธารเพิ่มเติมว่านโยบายนี้อาจดูเหมือนประชานิยม แต่ความจริงแล้วคือการยกระดับ GDP ประเทศ  เงินที่จะใช้ ก็จะมาจากภาษีที่เก็บได้เพิ่มขึ้นนั่นเอง 

ถัดมาในนโยบายที่สองคือการสร้าง Blockchain ที่จะทำให้ไทยการเป็นศูนย์กลาง Fintech (เทคโนโลยีทางการเงิน) ของอาเซียน เปิดโอกาสให้คนไทยสามารถระดมทุนจากทั่วโลกได้ โดยเฉพาะภาคธุรกิจขนาดเล็ก รวมทั้งการระดมทุนให้กับเกษตรกร  ตลอดจนการขายสินค้าล่วงหน้า รวมถึงผู้ที่มีความสามารถทางด้านอื่นๆ ก็จะขายผลงานของตนไปทั่วโลกได้สะดวกขึ้น ผ่านระบบที่ง่ายเหมือนแอพพลิเคชันธนาคารในโทรศัพท์

และนโยบายที่สาม แพทองธารได้เน้นย้ำปัญหา PM2.5  ที่พรรคเพื่อไทยตั้งใจจะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ โดยยกภาพถ่ายดาวเทียมของนาซ่า ที่แสดงร่องรอยสีแดงในประเทศไทย และเพื่อนบ้าน อันเกิดจากการเผาป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอย 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top