Saturday, 31 May 2025
SPECIAL

กาฬสินธุ์ – เห็ดเผาะหายากคนแห่เข้าป่า เก็บได้กินปีละครั้ง ราคาพุ่งกิโลกรัมละ 500 บาท

ผลกระทบจากการเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระทั่งบรรยากาศการเก็บเห็ดเผาะในป่าสงวนแห่งชาติดงระแนงที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งพบว่ามีชาวบ้านในพื้นที่และต่างจังหวัด แห่เข้ามาหาเก็บไปเป็นอาหารจำนวนมาก คนเก็บเยอะกว่าเห็ด และกลายเป็นของป่าหายากได้กินปีละครั้ง จึงทำให้ราคาแพงถึง ก.ก.ละ 400-500 บาท

เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการติดตามผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ที่ จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต และการประกอบอาชีพของประชาชนทุกสาขา ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า แม่ค้า และผู้บริโภคทั่วไป ที่ต่างปรับตัวเพื่อเพื่อความอยู่รอด โดยเฉพาะในส่วนของการหาอาหารยังชีพ ในสภาวะที่ตลาดในเมือง และตลาดนัดหลายแห่งปิดตัวลง ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 จึงพบว่าตามแหล่งน้ำ ป่าธรรมชาติ มีชาวบ้านออกหาอาหารตามฤดูเป็นจำนวนมาก เช่นที่บริเวณป่าดงระแนงพื้นที่รอยต่อหลายตำบลของ อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ พบว่ามีชาวบ้านในพื้นที่และต่างจังหวัด แห่เข้ามาหาเก็บไปเป็นอาหารจำนวนมาก โดยเฉพาะเห็ดเผาะ มีคนเก็บเยอะกว่าเห็ด และกลายเป็นของป่าหายาก เพราะมีปีละครั้งจึงทำให้ราคาแพงถึง ก.ก.ละ 400-500 บาท

นายศักดิ์กล ทองขันธ์ อายุ 68 ปี ชาวบ้านตูม หมู่ 19 ต.บัวบาน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ในช่วงนี้จะพบว่าประชาชนอกหาอาหารตามธรรมชาติ เช่น ลงจับปลาตามแหล่งน้ำ และเข้าป่าหาแหย่ไข่มดแดง เก็บเห็ด ดอกกระเจียว และผักหวานป่า ซึ่งเป็นอาหารตามฤดูกาล เพื่อนำมาประกบอาหารในครัวเรือน ทดแทนการเข้าไปหาซื้อตามท้องตลาดในเมือง และตลาดนัด ซึ่งเสี่ยงต่อการได้ติดเชื้อโควิด-19 นอกจากนี้ ยังเป็นการลดรายจ่ายในครัวเรือนชดเชยการซื้ออาหารจากร้านค้า และบรรเทาความเดือดร้อนจากการขาดแคลนอาหารในช่วงนี้เป็นอย่างดี

ด้านนายนิรันดร์  วันยุทธิ์ อายุ 38 ปี  บ้านเลขที่ 41 หมู่ 2 บ้านดอกเจี้ย ต.น้ำอ้อม อ.กระนวน จ.ขอนแก่น กล่าวว่า ในช่วงเริ่มต้นฤดูฝนซึ่งเห็ดเผาะจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ตนและเพื่อนบ้าน ได้เดินทางข้ามจังหวัดมาหาเก็บเห็ดเผาะที่บริเวณป่าดงระแนง ซึ่งเห็ดเพาะของที่นี่ จะมีรสชาติกรอบ หอม นุ่ม มัน อร่อยกว่าเห็ดจากป่าดงต่าง ๆ จึงพบว่ามีชาวบ้านทั้งในพื้นที่และต่างอำเภอ ต่างจังหวัด นำอุปกรณ์สำหรับหาเก็บเห็ดเผาะที่เกิดอยู่ใต้ผิวดิน โดยจับกลุ่มกันเข้ามาหาเป็นจำนวนมาก

นายนิรันดร์กล่าวอีกว่า เห็ดเผาะถือเป็นของป่าหายาก จะเกิดปีละครั้งและระยะสั้น ๆ หรืออย่างนานไม่เกิน 1 เดือนในช่วงเริ่มต้นฤดูฝนเท่านั้น พอเห็ดเผาะเกิดทีจึงมีชาวบ้านเข้ามาหาเก็บไปประกอบอาหาร ซึ่งสามารถปรุงเป็นอาหารได้หลายเมนู เช่น นึ่ง แกง ห่อหมก เป็นต้น อย่างไรก็ตาม สำหรับปีนี้ที่เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ซึ่งตลาดหลายแห่งปิด และผู้คนไม่กล้าเข้าไปหาซื้ออาหารตามท้องตลาด จึงพบว่าพากันแห่เข้ามาเก็บเห็ดเผาะเป็นจำนวนมาก ทำให้เผาะที่หายากอยู่แล้ว หายากกว่าเดิมอีก ทำให้มีการซื้อขายกันในราคาที่สูงถึง ก.ก.ละ 400 บาท หรือหากนำไปขายต่อราคา ก.ก.ละ 500 บาททีเดียว สำหรับตนจะไม่ขาย เพราะหายาก เมื่อเก็บได้แล้วจะนำไปประกอบอาหาร หรือหากได้มากๆก็จะเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อถนอมไว้กินนาน ๆ

สุโขทัย - หนุ่มใหญ่วัย 56 ปี ผันอาชีพช่างตัดผม มาทำฝักและด้ามมีดสร้างรายได้ดี สืบทอดตำนาน

จังหวัดสุโขทัยเรียกได้ว่ามีของดีครบครัน ทั้งเรื่องท่องเที่ยว ของกิน ของใช้ ของตกแต่ง มีทุกหย่อมหญ้า เฉดเช่นเดียวกับที่บ้านของลุงอ๊อก” นายมนตร์ชัย ช่วยเพ็ญ หรือลุงอ๊อก” อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 3/2 ม.11 ต.บ้านไร่ อ.ศรีสำโรง จ.สุโขทัย เปลี่ยนอาชีพที่เรียนรู้มาหวังสร้างเป็นอาชีพ สร้างตัวเลี่ยงครอบครัวด้วยอาชีพที่เรียนและฝึกฝนมา แต่ชีวิตก็เรียนรู้ไม่เลิก และมาพบอาชีพที่ใจรัก และมีความสุขกับอาชีพและเป็นนายตัวเอง จนสร้างรายได้ที่มั่นคง ยั่งยืน และจะถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นให้คงอยู่สืบต่อไป

นายมนตร์ชัย ช่วยเพ็ญ หรือลุงอ๊อก” ได้เล่าให้ฟังว่าเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว ตนเองได้ประกอบอาชีพเป็นช่างตัดผม มีลูกค้ามาใช้บริการเลื่อย ๆ มีรายได้พอกินและพอมีเก็บเลี้ยงดูครอบครัว แต่ไม่รู้เป็นด้วยเพราะอะไรมีลูกค้าโทรจองคิวตัดผมตลอดไม่ว่างเว้น รายได้ต่อวันเกือบ 1,200 บาท สมัยนั้นเงินหลักพันถือว่าเยอะมาก แต่ระหว่างเป็นช่างตัดผม ก็คิดเสมอว่าตนเองไม่ค่อยมีความสุขกับอาชีพนี้เท่าที่ควร เมื่อความรู้สึกมันขัดกับอาชีพเดิมที่ทำทุกวันเรียกว่ามีรายได้ทุกวันไม่ขาดมือ เมื่อว่างจากการตัดผม ก็เลยหาไม้มาทำด้ามมีดกับฝักมีดที่ปู่ได้มอบมีดให้ไว้เป็นมรดกสืบทอดและของที่ปู่รักตกมาสู่ตน ประกอบกับตนเองเป็นคนชอบอะไรที่เกี่ยวกับมีดอยู่แล้ว เมื่อมีเวลาก็จะจับมีดมาชื่นชมมาดูวิเคราะห์และศึกษา ทำฝักมีดเองบ้าง มันเป็นช่วงที่มีความสุขและหายเหนื่อยทันที จนเพื่อนๆที่มาสังสรรค์ที่บ้านและได้เห็นมีดที่ตนเองทำไว้ สวย ใช้ดี และแปลกตา เพื่อนจึงนำมีดมาให้ทำแบบที่ตนเองทำบ้าง นับตั้งแต่วันนั้นด้วยความที่ปากต่อปาก บอกต่อกันไปเรื่อยๆ ตนเองก็เริ่มมีงานทำด้ามมีดและฝักมีดมากขึ้น ลูกค้ามากพอสมควร นอกจากลูกค้าในหลายๆที่ หลายจังหวัด ยังมีลูกค้าจากทั่วประเทศ และลูกค้าจากต่างประเทศก็ให้ความสนใจสั่งทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตอนนี้ก็มีลูกค้าจากประเทศเกาหลี ได้สั่งทำไว้จำนวนมากและต้องเตรียมส่งงานภายในเดือนพฤษภาคมนี้

ตลอดระยะเวลาที่หันมาเอาดีประกอบอาชีพด้านนี้ ก็สร้างรายได้ให้ตนเองและครอบครัวเป็นอย่างมาก ส่วนเวลาในการทำแต่ละชิ้นก็จะใช้เวลา 2–3 วันหรือ 4-5 วัน ก็ได้ชิ้นงาน 1 ชิ้นงานที่สมบูรณ์ และปราณีตตามแบบของเราที่ใส่ใจรายละเอียดให้ลูกค้า เลยทำอาชีพนี้แทนการตัดผมมาตลอด ตอนนี้มีออเดอร์มาต่อเนื่อง ด้วยความที่มีเคล็ดลับบางอย่างเฉพาะตัวในการทำฝักมีดและด้ามมีด จึงได้รับความไว้วางใจและชื่นชอบในการทำชิ้นงานและได้รับความสนใจจากลูกค้า

มีความสุขในครอบครัวและในอาชีพนี้มาก นอกจากนี้ลูกชายก็เริ่มมีฝีมือมาสานต่อคอยช่วยได้อีกแรง จนเขาได้ก่ออาชีพเพิ่มรับงานเสริมทำป้ายไม้ด้วย ป้ายชื่อบ้าน ป้ายชื่อ - นามสกุล ป้ายชื่อตำแหน่ง เป็นต้น นอกจากงานทำฝักมีดและด้ามมีด ในเรื่องราคาของด้ามมีดและฝักมีดผมคิดราคาตายตัว ไม่ว่าลูกค้าจะเป็นข้าราชการชั้นสูง ๆ หรือลูกค้าทั่วไป ก็คิดราคาตามใบมีด คือ นิ้วละ 100 บาท เช่น ใบมีดยาว 10 นิ้ว ราคาด้ามมีดก็ 1,000 บาท ส่วนเรื่องราคาฝักมีดก็ต้องขึ้นอยู่กับลวดลายและไม้ที่ใช้ทำตามความต้องการของลูกค้าผู้ที่สนใจเข้าชมติดตาม FB : Pronphanomwan Chuaypen  FB : มนตร์ชัย ช่วยเพ็ญ หรือติดต่อ 090-252-8190

ปทุมธานี - ตร.ปทุมฯ สกัดจับพระดัง "หลวงตาหนูที" ขนม้าและหมูใส่รถตู้ ก่อนนำส่งเจ้าคณะอำเภอสึกทันที พบประวัติถูกจับมาแล้วหลายครั้งไม่เข็ด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 7 พ.ค. 64 ตร.สภ.ปากคลองรังสิต จ.ปทุมธานี ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่ามีคนนำม้ามาปล่อยอยู่บริเวณสนามเด็กเล่น ริมถนนซ่อมสร้าง ม.2 ต.บ้านใหม่ อ.เมือง จ.ปทุมธานี จึงให้สายตรวจไปตรวจสอบแต่ไม่พบโดยมีชาวบ้านบอกว่าก่อนตำรวจมาถึงมีพระขับรถตู้มาแล้วนำม้าขึ้นรถหลบหนีไปแล้ว ต่อมามีพลเมืองดีแจ้งว่าพบรถตู้ ยี่ห้ออีซูซุ สีเหลือง หมายเลขประจำตัว ฒว-9319 กรุงเทพมหานคร สภาพเก่าโดยมีพระภิกษุสงฆ์เป็นคนขับและคาดว่าเป็นรถคันเดียวกันกับที่ชาวบ้านแจ้ง กำลังขับมุ่งหน้าไปทางสะพานปทุมธานี2 เจ้าหน้าที่ฯจึงวิทยุสกัดแต่ก็ไม่ทัน แต่ยังมีพลเมืองดีขับตามและโทรศัพท์แจ้งเป็นระยะ

จนกระทั่งต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สภ.คลองหลวง นำโดย พ.ต.ต.สิงหา เฟื่องแก้ว สว.จร และ ร.ต.อ สุระพล  วงศ์วันดี ร้อยเวรจราจร สภ.คลองหลวง พร้อมกำลังสามารถสกัดจับได้บริเวณถนนพกลโยธิน(ขาออก) หน้า ม.ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง โดยพบพระหนูที สุตธัมโม อายุ 72 ปี อ้างอยู่สำนักสงฆ์หินทราย ต.หนองหว้า อ.บัวลาย จ.นครราชสีมา ชื่อตามบัตรประชาชนระบุชื่อนายหนูที ทินราช อยู่บ้านเลขที่ 126/61 ม.4 ต.หนองบัว อ.เมือง จ.อุดรธานี พร้อมด้วยลูกม้าเพศผู้สีเหลืองอ่อน อายุประมาณ 2 ปีเศษ และลูกหมูป่าผสมเพศผู้ สีดำ อายุประมาณ 5 เดือน จึงได้ควบคุมตัวและสอบถามโดยพระดังกล่าวตอบเพียงว่าเพิ่งมาจาก จ.สุพรรณฯ และจะกลับ สักนักสงฆ์ จ.นครราชสีมา ส่วนม้าและหมูญาติโยมถวายมา และเมื่อตรวจสอบเรื่องใบขับขี่รถยนต์ก็ไม่มี ใบสุทธิพระก็ไม่มีแถมรถทะเบียนขาดการต่อภาษีมาแล้วร่วม 6 ปี จึงประสานนายไพรัตน์ รุ่งสว่าง ปศุสัตว์ อ.คลองหลวงมาตรวจสอบพร้อมแจ้งข้อหาเคลื่อนย้ายสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาต จากรั้นจึงนิมนต์พระหนูที (หลวงตาหนูที) ไปพบพระแสนพล พลยุโต พระวินยาธิการ อ.คลองหลวง และ พระครูวิจิตร อาภากร เจ้าคณะ อ.คลองหลวง เจ้าอาวาสวัดสว่างภพ เพื่อทำการตรวจสอบในพฤติกรรม

ต่อมาพระหนูที ฯ ยอมรับสารภาพว่านำสัตว์ทั้งหมดที่มีคนมาถวาย ขับรถตระเวนไปตามสถานที่ต่าง ๆ ในหลาย ๆ จังหวัด ซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกจับมาแล้วหลายครั้งไม่ว่าจะเป็นในเขตกรุงเทพฯเขตจังหวัดสระแก้วอรัญประเทศซึ่งตนเคยนำสุนัขมาออกบิณฑบาตพร้อมกับวัวและแพ้แต่ทุกครั้งที่ถูกจับก็จะถูกเจ้าหน้าที่ยึดไปหมด แล้วตนก็ไม่เคยเป็นวาจาลาสิกขาบท  จนกระทั่งมาครั้งนี้ตนไม่มีหนทางไปและไม่รู้จะไปประกอบอาชีพอะไรเพราะอายุมากแล้วเมื่อได้สัตว์มาต้นก็จะห่มผ้าเหลืองแล้วก็ตะเวนไปตามที่ต่าง ๆ โดยได้นำม้า ชื่อ"จิ๋ว" ที่มีความเชื่องและหมู ชื่อ"จู๊ด" มาต่อเวรดึกบิณฑบาตด้วย แล้วเมื่อตนทำไม่ดีครั้งนี้ ก็ขอยอมสึก แต่โดยดี ทางเจ้าคณะอำเภอจึงได้ให้ทำการลาสิกขาบทและเป็นวาจา พร้อมกับนำชุดขาวมาให้สวมใส่ ก่อนที่ จะได้มอบตัวให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการตามความผิดพ. รบจราจรส่วนทางด้านสัตว์ทั้ง 2 ตัวทางปศุสัตว์ อ.คลองหลวง ได้ยึดไว้ตรวจสอบต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในสังคมออนไลน์ เคยมีการโพสต์ภาพ พระหนูที สุตธัมโมกับ*สมหวัง" สุนัขแสนรู้ที่ช่วยพระภิกษุลากรถเข็นบิณฑบาตทุกเช้า ถูกคนขับรถบรรทุกสิบล้อขโมยหายไป วอนให้ช่วยกันสอดส่องตามหา เจ้าสมหวัง เป็นสุนัขแสนรู้ที่ช่วยลากรถล้อเลื่อนใส่ของที่ได้รับจากการบิณฑบาต เดินนำหน้าพระสงฆ์รูปหนึ่ง จนเป็นที่เอ็นดูของชาวบ้านที่พบเห็น


ภาพ/ข่าว  สมเกียรติ ทรัพย์เฉลิม

ปวดหลังร้าวลงขา อาจไม่ใช่กระดูกทับเส้นเสมอไป | LOCK LENS GURU EP.11

ปวดหลังร้าวลงขา อาจไม่ใช่กระดูกทับเส้นเสมอไป | LOCK LENS GURU EP.11

???? GURU : กภ. อุสา บุญเพ็ญ นักกายภาพบำบัด

▶️ หัวข้อ : ปวดหลังร้าวลงขา อาจไม่ใช่กระดูกทับเส้นเสมอไป

อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021032808

???? ดำเนินรายการโดย เจ THE STATES TIMES

.

.

ทุเรียนไทยยังโดนใจจีน!! ปิดดีล​ 45​ นาที​ ขนเต็มลำ​ 25​ ตัน​ ส่งตรงจีนกว่าหมื่นลูก หลัง​ 'ก.เกษตรฯ'​ โชว์!! กลยุทธ์สั่งซื้อล่วงหน้า​ พาทุเรียนไทยทุบสถิติขายหมดล็อตสองในจีน เกลี้ยง!!

'อลงกรณ์'​ เผยเคล็ดลับแพลตฟอร์มพรีออเดอร์ดันทุเรียนไทยขายดีในจีน​ ด้านเจ้ากระทรวงเกษตรสั่งขยายผลสินค้าเกษตรอื่นๆ​ ต่อทันที

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้​ (Fruit Board) เปิดเผยถึงความสำเร็จของ​ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นครั้งที่​ 2​ ภายใน​ 2​ สัปดาห์​ ในการส่งออกทุเรียนทางเครื่องบินล็อตที่สองไปจีนจำนวน 25 ตัน​ (11,200ลูก) สู่เมืองซีอาน​ เมืองเอกของมณฑลส่านซีในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน​ ด้วยกลยุทธ์ 'ระบบสั่งซื้อล่วงหน้า'​ (Pre order platform) เมื่อวันที่​ 8​ พ.ค.​ ที่ผ่านมา​ โดยใช้เวลาขายออนไลน์หมดภายในเวลาเพียง​ 45​ นาที 

“ก่อนหน้านี้​ เราได้ทดลองขายด้วยแพลตฟอร์มใหม่เป็นครั้งแรก​ 20​ ตัน​ ใช้เวลา​ 9​ ชั่วโมง​ ซึ่งตื่นเต้นกันมาก​ เพราะว่าขายไม่ถึงวันได้เกือบหมื่นลูกเต็มลำเครื่องบิน​ โดยและขนขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิส่งไปยังเมืองเซินเจิ้นเมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา 

"แต่เมื่อวานนี้​ เราใช้เวลาขายไม่ถึงชั่วโมงกับการขายทุเรียนเต็มลำ​ 25​ ตัน​ ผ่านระบบสั่งซื้อล่วงหน้า( Pre-Order platform) เป็นครั้งที่​ 2​ ไปยังประเทศจีน​ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของผลไม้ไทย" 

สำหรับในรอบที่​ 2​ นี้​ เป็นการเปิดตลาดตอนในของจีนอย่าง​ มณฑลส่านซี​ ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือด้วยแพลตฟอร์มใหม่​ บนความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตร, กระทรวงพาณิชย์,  บริษัทเอกชนและสหกรณ์ผลไม้​ เช่น​ สหกรณ์เมืองขลุง จังหวัดจันทบุรี​ และเป็นการสร้างแบรนด์ทุเรียนไทยในระดับสหกรณ์ผลไม้​ (Cooperative Farm based Branding) ตามแนวทางเกษตรสร้างสรรค์​ (Creative Agriculture) ต่อไปเกษตรกรชาวสวนทุเรียนและสหกรณ์จะสามารถขายได้ราคาสูงขึ้น 

หลังความสำเร็จในครั้งนี้​ ทาง ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์​ ก็ได้สั่งการให้ขยายผลไปยังสินค้าเกษตรอื่นๆ​ ต่อทันที

นายอลงกรณ์​ กล่าวต่อไปว่า ปัจจัยความสำเร็จคือ​ การเน้นคุณภาพและมาตรฐานของทุเรียนในระบบ​ GAP และ​ GMP ระบบตรวจสอบย้อนกลับ​ (Traceability) ระบบการประกันสินค้า, ระบบทรัพย์สินทางปัญญา​ (สร้างแบรนด์) การสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า​ (Trust) และความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน ภาคเกษตรกรและกระทรวงเกษตรฯ​ 

โดยทั้งหมดอยู่​ ภายใต้​ '5 ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย'​ ​ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายการปฏิรูปไม้ผลทั้งระบบของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) และการขับเคลื่อนโมเดล​ 'เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด' ที่ร่วมกับนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์ โดยโครงการนี้ไม่ได้ใช้งบประมาณใดๆ​ แต่เป็นระบบที่ให้เอกชนรับผิดชอบการขายและการขนส่งโลจิสติกส์ภายใต้แพลตฟอร์มที่คณะอนุกรรมการอีคอมเมิร์ซของกระทรวงเกษตรฯและฟรุ้ทบอร์ดออกแบบ 

อลงกรณ์​ ทิ้งท้ายอีกว่า​ หลังจากออเดอร์ของทุเรียนไทยดีลถึงมือชาวเมืองซีอานและผู้ประกอบการจีน​ พวกเขาต่างตื่นเต้นที่จะได้ลิ้มรสทุเรียนคุณภาพสดจากสวนทุเรียนเมืองจันทบุรีถึงกับขึ้นป้ายต้อนรับที่สนามบินกันเลยทีเดียว

Resilience Skill จะช่วยให้เรามองอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นเรื่องธรรมชาติที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตมนุษย์ และมองว่าอุปสรรคเหล่านี้ จะเป็นตัวช่วยในการพัฒนาตัวเอง ให้เข้มแข็งขึ้น

Resilience Skill หมายถึง ความสามารถในการฟื้นตัว เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีความกดดันสูงและมีความยากลำบาก โดยที่ยังสามารถกลับมาเป็นคนที่มีความมั่นคงดังเดิม มีความมั่นใจ มองโลกในแง่ดี และสามารถกลับมาดำเนินชีวิตอย่างเข้มแข็งและมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม 

Resilience สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกมิติของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว ครอบครัว และการทำงาน

ไม่มีใครคาดเดาได้ว่า อนาคตจะเกิดและไม่เกิดอะไรขึ้นบ้าง การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และทักษะที่ทุกคนต้องมีเพื่อติดสปริงตัวเอง ในการดีดตัวออกมาจากหลุมพราง และสามารถฟื้นคืนชีพให้ได้เร็วที่สุด ทักษะหนึ่งเดียวที่คนทุก Generation ต้องมี คือ ทักษะ Resilience เป็น How to ที่มีความมีความยืดหยุ่นสูง สามารถสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวคุณ คนในครอบครัว อาชีพ และธุรกิจของคุณ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Resilience Skill จะช่วยให้เรามองอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นเรื่องธรรมชาติที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตมนุษย์ และมองว่าอุปสรรคเหล่านี้ จะเป็นตัวช่วยในการพัฒนาตัวเอง ให้เข้มแข็งขึ้น ไม่ว่าจะเจอเรื่องราวที่ยากลำบากแค่ไหนก็ตาม

Resilience ทักษะที่สามารถสร้างได้ โดยอาศัยปัจจัย หลัก 6 ประการ ดังนี้

1.) การนับถือตัวเอง  ความเคารพตัวเอง รู้สึกถึงคุณค่าภายในตัวเอง ไม่ต้องรอพึ่งพาใคร หรือสิ่งใด เริ่มต้นที่ตัวเอง การควบคุมอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติให้เร็วที่สุด ก่อนแก้ไขปัญหานั่นเอง

2.) ความทะเยอทะยาน คนที่มี Resilience มีเป้าหมายชัดเจน และมุ่งความสนใจไปที่การลงมือทำ มากกว่าสิ่งอื่น เป็นนักต่อสู้ ล้มแล้วลุก มีความอดทนสูง รู้จักการรอคอยความสำเร็จ และสิ่งแวดล้อมภายนอกไม่มีผลต่อชีวิตของพวกเขา

3.) การเลือกคบคน คนที่เลือกเข้ามาในชีวิต คนที่ต้องใช้เวลาดีๆ ร่วมกัน ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสุขและความสำเร็จ พวกเขาให้ความสำคัญมาก พวกเขาจะหลีกเลี่ยงคนประเภทบุคคลเป็นพิษ (Toxic Person) เช่น คนคิดลบ อีโก้ เย่อหยิ่ง และเห็นแก่ตัว พวกเขาจะพิจารณาอย่างถี่ถ้วนในการคบคน พวกเขาจะเข้าใจในการสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาว ว่าต้องมี 2 ทาง คือทั้งให้ และรับ กำหนดความสัมพันธ์ด้วยการ ชนะ ชนะ ไปด้วยกัน

4.) รู้จักการวางตัวให้เหมาะสม พวก Resilience จะฉลาดในการวางตัว มีผลงานและการกระทำเป็นที่ประจักษ์ เพื่ออธิบายความเป็นตัวตน หรือเรียกว่าเป็นคนอยู่เป็น พวกเขาจะรู้จักพูดให้เกียรติผู้อื่น พูดดี มีมารยาทเสมอ ในขณะเดียวกัน พวกเขายังคงความเป็นตัวเองอย่างชัดเจน เพราะพวกเขาเข้าใจว่าคนมีความมั่นใจในตัวเอง อย่างแท้จริง คือ การที่รู้และเข้าใจตัวเอง ว่าตัวเองกำลังทำอะไร เพื่ออะไร โดยไม่ต้องพยายามเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น

5.) รู้จักดูแลตัวเองและคนที่รักเป็นอย่างดี พวก Resilience จะฉลาดในการใช้ชีวิตมาก จะบริหารจัดการเวลาได้เก่ง สามารถสร้างสมดุลของชีวิต และการทำงานได้เป็นอย่างดี รู้เวลาว่าตื่นเช้ามาต้องทำทานอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ต้องออกกำลังกายแบบไหนให้เหมาะกับช่วงเวลา มีวิธีขจัดความเครียดออกไปได้อย่างง่ายดาย รวมถึงเอาใจใส่คนที่เขารักด้วย และที่สำคัญไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิต พวกเขายังคงลุกขึ้นมาทำหน้าที่และรับผิดชอบได้เป็นอย่างดี

6.) ชื่นชมยินดีกับความสำเร็จของผู้อื่นอย่างจริงใจ พวกเขาไม่ตัดสินคนอื่น แต่จะมองเห็นข้อดี และฉลาดในการเรียนรู้จากจุดแข็งของคนอื่น พวกเขายินดีกับความสำเร็จของผู้อื่นด้วยความซาบซึ้งเสมือนว่าเป็นความสำเร็จของตัวเอง พวกเขาไม่ชอบการแย่งชิง เพราะเขารู้ว่าตัวเขาเองก็มีดีมากพอ และในโลกใบนี้มีโอกาสและมีทรัพยากรมากพอที่เอื้ออำนวยต่อความสำเร็จของเขา จึงทำให้เขาชื่นชมคนอื่นด้วยความจริงใจเสมอ

เป็นธรรมดาที่มนุษย์ มีความรู้สึกผิดหวัง เสียใจ ไม่พอใจ ท้อแท้ สิ้นหวัง และหมดกำลังใจไปบ้าง ซึ่งก็เป็นกลไกในการทำงานที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่ก็อย่าให้ความคิดลบๆ เหล่านี้ดึงเราจมดิ่งอยู่กับความรู้สึกเหล่านั้นนานเกินไป จงหมั่นพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ก้าวเดินต่อไปทีละขั้นๆ ผิดตรงไหนแก้ตรงนั้น เรียนรู้จากข้อผิดพลาด ทำให้ดีกว่าเดิม และทบทวนตัวเองอย่าให้พลาดซ้ำ เพราะทุกก้าวของชีวิต มีพลังงานชีวิตซ่อนเร้น คนที่มีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิตต่างรู้กฎเหล่านี้ดี

.

เขียนโดย อ.นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์

#Talktonitima


อ้างอิงข้อมูล

https://thestandard.co/podcast/thesecretsauce239/

https://www.mreport.co.th/experts/business-and-management/038-Mental-Resilience-Skill-Future-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B9%88

ธุรกิจสุขภาพ - ความงาม ยังปัง! ท่ามกลางสังคมที่ต้อง ‘ดูเด่น ดูดี’

กระแสสุขภาพและความงาม รวมไปถึงการสร้างรูปร่างให้ดูดี เป็นหนึ่งในเทรนด์ที่มาแรงมากในปัจจุบัน เพราะไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง หรือ ผู้ชาย ต่างก็มีความต้องการที่จะให้ตนเองมีรูปร่างที่ดูดี มีทรวดทรงสวยงามชัดเจน ใครที่มีกล้ามเนื้อ แขน ขา หน้าท้อง ที่ดูดีสมส่วน ย่อมสร้างความมั่นใจเฉิดฉาย โชว์สัดส่วนได้ไม่อายใคร

แน่นอนว่า จากกระแสดังกล่าว จึงทำให้กลุ่มธุรกิจและสินค้า ต่างหันมาให้ความสนใจ พร้อมผลิตสินค้าและพัฒนาธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าวอย่างคึกคัก ทั้งกลุ่มที่สนใจในเรื่องการลดน้ำหนัก การดูแลและรักษารูปร่างให้สวยงามอยู่เสมอ

สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและสัดส่วน ที่มาแรงคงหนีไม่พ้น เรื่องอาหารการกิน ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และการออกกำลังกาย

อย่างที่ทราบกันดีว่า หากต้องการให้สุขภาพแข็งแรง ร่างกายดูดี จะต้องเริ่มจากภายใน เพราะฉะนั้น ‘อาหารเพื่อสุขภาพ’ จึงเป็นส่งแรกที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ ทั้งนี้ หากมองในแง่การตลาดแล้ว ธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ เป็นธุรกิจมีอัตราการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้เคยประเมินมูลค่าการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพในปี 2562 เอาไว้ว่า มูลค่าของตลาดนี้ อยู่ที่ประมาณ 88,731 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านั้น 2.4%

โดยกลุ่มโปรตีนจากพืชและนมพืช จะมีมูลค่าประมาณ 6,725 ล้านบาท และมีแนวโน้มขยายตัว 6.4% ตามความนิยมบริโภคอาหารโปรตีนสูงเพื่อสร้างสมดุลทางโภชนาการทดแทนเนื้อสัตว์ การเสริมสร้างกล้ามเนื้อ รวมถึงการรักษาสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงของโรคที่เกิดจากการบริโภคอาหารประเภทเนื้อสัตว์

ขณะที่ผู้บริโภคบางกลุ่ม ที่ไม่เพียงแต่บริโภคอาหารเพื่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังใช้อาหารเสริมร่วมด้วย เพราะเมื่อรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป จากการเลือกบริโภคอาหารบางอย่าง งดรับประทานอาหารบางชนิด ทำให้ต้องใช้อาหารเสริมเพื่อเติมเต็มสารอาหารในส่วนที่ร่างกายต้องการ ทำให้ธุรกิจ ‘อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ’ มีแนวโน้มมีอนาคตสดใสเช่นกัน โดยเฉพาะการที่คนไทยต้องเผชิญกับโรคโควิด-19 ทำให้ ผู้คนต่างหันมาใส่ใจสุขภาพตัวเองมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้มูลค่าทางการตลาดอาหารเสริมจะเติบโตก้าวกระโดดไม่หยุด

ขณะเดียวกันทางด้าน บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด ได้เผยภาพรวมของมูลค่าตลาดอาหารเสริมในปี 2563 ที่พุ่งสูงถึง 23,916 ล้านบาท หรือเติบโตราว 10% จากปี 2562 ที่มีมูลค่า 20,876 ล้านบาท มาจากเทรนด์การรักษาสุขภาพและรูปร่างให้ดี โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Y ที่หันมาให้ความสนใจมากขึ้น สอดคล้องกับผลการสำรวจของสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ในปี 2563 ที่ระบุว่า ประชาชนชาวไทย 45.39% ได้หันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายทั้งกลางแจ้งหรือในร่ม เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ

ขณะที่ด้าน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ก็ได้มีการสำรวจเทรนด์การออกกำลังกายของคนไทยในช่วงอายุ 20 ปีขึ้นไปอีกว่า ในช่วง 2 ปีมานี้ มีคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำประมาณ 13 ล้านคน ในจำนวนนี้ เป็นกลุ่มคนวัยทำงาน อายุ 25 - 44 ปี ประมาณ 5.4 ล้านคน โดยเป้าหมายการออกกำลังกาย มีความหลากหลายมากขึ้น นอกเหนือจาก เป้าหมายเดิมทางด้านสุขภาพหรือป้องกันรักษาโรค (91.3%) โดยเป้าหมายใหม่ที่น่าสนใจและมีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้แก่ การรักษาหุ่น/เสริมสร้างกล้ามเนื้อ (47.0%) อยากลดน้ำหนัก (44.3%) เพื่อรักษาป้องกันโรค 40.0% ขณะที่ความต้องการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตนเอง (22.6%)

จากพฤติกรรมดังกล่าวนี้ จึงส่งผลให้มูลค่าตลาดของธุรกิจออกกำลังกาย (ฟิตเนส) ที่มีมูลค่าราว 10,000 – 12,000 ล้านบาท จากจำนวนผู้ประการกว่า 800 ราย ยังคงมีโอกาสเติบโตอีกมาก (หากพ้นช่วงโควิด) ตามการประเมินของศูนย์วิจัยกสิกรไทย

สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสุขภาพความงามและการดูแลรูปร่าง ดังที่ยกเป็นตัวอย่างมา เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกลุ่มธุรกิจที่ผู้บริโภคแตะต้องได้ เข้าถึงได้ไม่ยาก และใช้เงินจับจ่ายไม่สูงมากนัก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ด้านภาพลักษณ์ที่ดีแก่ตัวเอง แต่สำหรับใครคนไหนที่อยากหล่อสวยแบบทันใจสายด่วน อาจต้องเลือกวิธีศัลยกรรมความงาม ที่ต้องแบกรับความเสี่ยงจากการผ่าตัด

แต่อย่างไรก็ตาม ในแง่โลกธุรกิจที่กำลังมองหาช่องทางในการลงทุนต่อจากนี้นั้น การเกาะกระแสสุขภาพ ก็ยังไปได้อีกยาวๆ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นเมกะเทรนด์ของโลก เพียงรู้ว่าผู้บริโภคกลุ่มไหนกำลังต้องการอะไรให้ได้ แล้วรีบจับเป็นพอ!!


อ้างอิง :

https://www.bangkokbanksme.com/en/supplement-food-after-growth-covid-19

https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/835566

https://kasikornresearch.com/SiteCollectionDocuments/analysis/k-social-media/sme/fitnessBT/Fitness_BT2020.pdf

อดให้ตาย!! สุดท้ายกลายเป็น ‘ต้าวอ้วน’

เจ็บปวดทุกครั้งที่เพื่อนสาวคนสนิทย่องมากระซิบข้างหูเบาๆ ว่า “ช่วงนี้แกน้ำหนัก...’ ยังๆๆ ไม่ทันจะจบประโยค ในหัวของอิชั้นก็ตัดคำว่า ‘น้ำ’ ซึ่งเป็นส่วนประกอบในคำๆ นี้ออกไปเป็นที่เรียบร้อย หลงเหลือไว้เพียงแต่คำว่า ‘หนัก’ กระแทกใจให้ช้ำและย้ำว่า ‘ฉันอ้วน’ ใช่ไหม? เธอถึงเอ่ยคำนี้ออกมา

เพื่อนสาวอาจมิมีเจตนา แต่จิตใจของฉันหาคิดเยี่ยงนั้นไม่ พร้อมยอมรับอยู่ในใจว่าเรื่อง ‘หนักๆ’ มันเป็นปัญหาทางกายที่ก้าวก่ายไปสู่ปัญหาระดับชาติ ของคนมี ‘พุง’ และส่วนย้อยแบบยวบยาบ ครั้นคิดอยากลดน้ำหนัก ก็ดูจะ ‘ดีแต่พูด’ เพราะวันๆ ระหว่างที่เอาแต่เม้าท์สากกะบรรดา Friend ว่าจะหยุดปาก แต่ 2 นิ้วยังคงลากชีสเค้กเพิ่มชั้นครีมหนา 2เซ็นให้ลิ้นได้สัมผัสรสอยู่เล้ย

แต่เอาเถอะ!! ผลสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าใครจะเตือนหรือหยาบคายใส่ หากคิดว่าวันนี้อิชั้นคิดจะปฏิวัติกาย เพื่อผายอก ยกก้น ให้หนุ่มๆ อยากชนบั้นท้าย และปรายตามองพุงที่เรียบแป้ ก็ต้องเริ่ม!!

เอาจริงๆ นะ จากประสบการณ์ส่วนตัวแล้ว ‘การลดน้ำหนัก’ มันไม่ใช่เรื่องยากอันใดหรอก แต่มันเป็นเรื่องของการข่มจิต โดยเฉพาะก่อนที่คิดจะต่อยอดไปฟิตเนส และโยกค่าๆๆ ท่าพิสดารให้กายเพรียวด้วยแล้ว ควรหันมาข่มจิต ‘คุมพฤติกรรม’ อันผิดเพี้ยนให้อยู่หมัด แต่อย่าทะลึ่ง ‘อด’ ตามตำราใครก็ไม่รู้ ให้เสียเวลาซะล่ะ เพราะสุดท้ายร้อยทั้งร้อย ‘โยโย่’ จนกลับมากลายสภาพเป็น ‘ไอ้ต้าวอ้วน’ ให้เพื่อนเรียก แถมสุขภาพพังๆ พ่วงมาด้วยได้ง่ายๆ!!

พร่ำมาซะเยอะ ได้เวลาบอกทริก ของคนอยากเพรียว โดยชีวิตและสุขภาพไม่ (น่าจะ) พัง แต่แค่ต้องโต้กับพฤติกรรมที่ไม่คุ้นเคยกันให้ได้ตามนี้...

***คำเตือน ควรใช้จักรยานในการรับชม เพราะทริกดังกล่าวเป็นผลจากการปฏิบัติเป็นการส่วนตัว บวกกับอ้างอิงทฤษฎีชี้นำเบาๆ ซึ่งอาจมีผลลัพธ์และผลข้างเคียง (ที่ไม่ได้เกิดจากวัคซีน) แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล***

>> ทริกแรก เราไม่ได้อ้วนเพราะสูดอากาศเข้าไป

อาจจะดูโหดไปนิดสำหรับการเริ่มต้นของคนอยากเพรียว เพราะมันเป็นการค่อยเป็นค่อยไปแบบสุดทรมาน ที่เริ่มจากการ ‘ลดเนื้อสัตว์’ เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว จากนั้นก็ต้องควบคุมปริมานคาร์โบไฮเดรตตาม และเริ่มดื่มน้ำแทนอาหารสัก 1 มื้อ จากนั้นค่อยเปลี่ยนมาดื่มเป็นน้ำผักผลไม้แทนอาหารทั้ง 3 มื้อ ส่วนเรื่องของระยะเวลาในการประพฤติตน อันนี้ขอบอกเลยว่าอยู่กับความอึดและเป้าน้ำหนักว่าอยากให้มันวูบลงไปที่เท่าไร อ้อ!! วิธีการนี้ส่วนตัวว่าเวิร์ก เพราะการหันมาดื่มน้ำผัก ผลไม้ (สกัดเย็น) ไม่ได้ดีแค่เรื่องช่วยลดน้ำหนัก แต่ยังช่วยล้างสารพิษ ช่วยเรื่องการขับถ่าย และช่วยไปจนถึงชะลอความแก่ที่จะมาเยือนได้อีกด้วย

>> ทริกต่อมา กินให้เป็นเวลาซะ

ตรงนี้เป็นการฝืนแก้พฤติกรรมของชีวิตยุคใหม่ ที่มักจะไปเบียดเบียนช่วงเวลาของการบริโภคอาหาร เช่น จากที่เคยกินครบ 3 มื้อ และอดอาหารไปจนถึงเช้า ก็กลายเป็น กินดึก นอนดึก ตื่นเช้า พอเป็นแบบนี้แล้วร่างกายจะมีโอกาสทรุดโทรม ป่วยง่าย ฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเบสิกที่ต้องยึดติดไว้เลย เช้ากินซะ (ใช้พลังงานและหัวสมองมากสุดในวัน) เที่ยงซัดกันได้ แต่เบาๆ ปริมาณจากที่เคยทานปกติลงสักเกือบครึ่ง (ช่วยลดอาการหนังท้องตึงหนังตาหย่อนในออฟฟิศได้ดีเชียวนะ) ส่วนเย็นอยากกินต้องได้กิน แต่ควรหากิจกรรมอื่นๆ ควบคู่ เช่น การเล่นกีฬา และสันทนาการอื่นๆ จะเริ่ดมาก

>> ทริกสุดท้าย การนอนคือการอดอาหารตามธรรมชาติ

ที่จริงแล้ว ธรรมชาติของคนเรานั้นจะมีมาตรการอดอาหารในตัวทุกวันอยู่แล้ว ซึ่งนั่นก็คือช่วงเวลาของ ‘การนอน’ โดยการนอนเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายของคนเราจะได้หยุดพักทุกสิ่งอย่าง และอดอาหารตามธรรมชาติ เช่นเดียวกันกับตอนที่เราป่วย ที่ทำให้ร่างกายสั่งงดความอยากอาหารลง เพื่อให้ช่วงเวลาในการอดอาหารนี้ไปซ่อมแซมส่วนต่างๆ รวมไปถึงกำจัดสารพิษที่เข้ามาในร่างกาย นั่นหมายความว่าการนอนที่เหมาะสม ในช่วงเวลาที่เพียงพอ แต่ต้องถูกช่วงเวลานะ (เขานอนกันตอนไหนก็หัดนอนตามๆ กันซะ ไม่ใช่เอาแต่ท่อง Netflix) จะช่วยเผาผลาญส่วนเกินของร่างกายได้วิธีหนึ่ง แถมช่วงเวลานี้เราจะไม่เพลียจากการได้นอนพักผ่อนด้วย

จริงๆ ทริกที่เล่ามาให้ฟังทั้งหมดนี้ หลายคนก็คงจะเคยทำกันมาแล้ว สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง แต่ถือเป็นวิธีลดน้ำหนักที่ไม่ไปบั่นทอนสุขภาพเท่าไรนัก ดีกว่าการหักดิบแบบ ‘อดอาหาร’ ไปเลย ซึ่งส่วนตัวก็เคยทำ และมองว่ามันเป็นวิธีที่เห็นผลเหมือนไม่น้อย แต่ผลที่ตามมา คือ สุขภาพจิตเรามันจะย่ำแย่ พร้อมๆ ไปกับสุขภาพที่ค่อยๆ ทรุดโทรมจากการขาดสารอาหาร ยิ่งเราต้องใช้ชีวิตนอกบ้าน ทำงาน แถมตอนนี้ต้องเร่งประสิทธิภาพของร่างกายสู้กับสารพัดเชื้อโรคในสังคมด้วยแล้ว จึงอยากช่วยยันให้ว่า ‘อดอาหาร’ แบบหักดิบ ไม่เป็นผลดีเลยแม้แต่น้อย

อย่างไรซะ ที่เล่าๆ มาก็เป็นวิธีการที่อาจจะเกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล นั่นหมายความว่าถ้าเราอยากชัวร์ในการพรากพุงอย่างสุขภาพดี ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ควบคู่ไปด้วย รับรองชัวร์คูณ 2


อ้างอิง:

https://absolute-health.org/th/blog/post/service-regenerative-detox-fasting-detox.html

https://www.happymarketing.co.th/content/5246/อดอาหาร-เพื่อฟื้นฟูสุขภาพ

???? LOCK LENS GURU  เปิดตัว ‘กูรู’ ทั้ง 5 ท่าน ในสัปดาห์นี้ ( 10 - 14 พ.ค.) !! 

???? LOCK LENS GURU  เปิดตัว ‘กูรู’ ทั้ง 5 ท่าน ในสัปดาห์นี้ !! 
???? เริ่ม วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม - วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม  
???? ทุกเช้า 8 โมงตรง   
???? มาร่วมเจาะลึกประเด็นที่น่าสนใจ ไปกับ ‘กูรู’ ตัวจริง พร้อมกัน เร็วๆนี้
.
????EP.11 วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม
???? GURU : กภ. อุสา บุญเพ็ญ 
นักกายภาพบำบัด 
▶️ หัวข้อ  : ปวดหลังร้าวลงขา อาจไม่ใช่กระดูกทับเส้นเสมอไป
อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021032808
.
????EP.12 วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม
???? GURU : คุณสรวง  สิทธิสมาน
นักเรียนไทยในเซี่ยงไฮ้ ที่ใช้ชีวิตในประเทศจีนมานานกว่า 5 ปี 
▶️ หัวข้อ  : ชาตินิยมจีน : ความรักชาติในแบบจีน ๆ เป็นอย่างไร ?
อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021031310
.
????EP.13 วันพุธที่ 12 พฤษภาคม
???? GURU : คุณหยก THE STATES TIMES  
Host & Content Creator 
▶️ หัวข้อ : เมื่อ Eco-Friendly กลายเป็นกระแสหลักของโลก
อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021032807
.
????EP.14 วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม
???? GURU : คุณตาล วัณย์ทิศากร  พิณแพทย์
สาวสัตหีบชาวไทย ที่ใช้ชีวตในประเทศสวิตเซอร์แลนด์มากกว่า 21 ปี 
▶️ หัวข้อ : การคมนาคมใน ‘สวิตเซอร์แลนด์’ ดินแดนแห่งสวรรค์บนดิน
อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021042513
.
????EP.15 วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม
???? GURU : อาจารย์ระวีวรรณ  ทรัพย์อินทร์  
อาจารย์ประจำสาขาการเงิน คณะการจัดการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยบูรพา
▶️ หัวข้อ : มายาคติ...ต่อผู้สูงอายุ
อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021040304
.
???? ดำเนินรายการโดย เจ  THE STATES TIMES
.
???? ช่องทางรับชม LIVE 
Facebook: THE STATES TIMES
YouTube: THE STATES TIMES

ฉันอยากผอม…ฉันเลย (คลั่ง) ผอม

“ถ้าเธอผอม เธอจะน่ารัก/สวยกว่านี้นะ”

“เสียดาย ทำไมอ้วน ไม่น่าปล่อยตัวแบบนี้เลย”

“ไปทำไรมา…ทำไมอ้วนขึ้นแบบนี้ล่ะ”

ไม่แน่ใจว่าหลาย ๆ คน จะเคยได้ยินคำพูดเหล่านี้จากคนใกล้ ๆ ตัว กันบ้างไหมคะ ? ว่าถ้าสมมุติเราผอม หรือ เราลดน้ำหนักได้สัก 5 – 6 กิโล เราคงจะมีความสุขนะ แล้วเราก็จะดูดีมากๆ

ขอบอกว่า ผู้เขียนเอง ก็เคยมีประสบการณ์ ยอมหันมาลดน้ำหนักจากเสียงเอื้อนเอ่ยของชาวบ้านเขาเล่ามา แล้วเราก็ว่าตามไปได้ดีมาแชร์กันค่ะ ซึ่งกว่าจะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ มันไม่ง่ายเลย…

ในช่วงสมัยมัธยมปลาย แต่ก่อนหนักประมาณ 70 กิโลกรัม ด้วยความที่ตัวเองนั้นสูงเพียงแค่ 170 ก็เลยจะดูอวบนิด ๆ (หรือประมาณว่าจ้ำม่ำค่ะ ????) ในช่วงเวลานั้นเรามีความรู้สึกแค่ว่าหิว ก็ทาน ชอบทานพวกของทอด ของมัน หมูกระทะต้องสามชั้น เบคอนเท่านั้น ผักไม่ค่อยแตะค่ะ เพราะรู้สึกว่าไม่อร่อย แต่ก็ทานบ้างนะคะ

เพื่อน ๆ พอเจอเราเข้าไปก็ตกใจว่าทำไมดูอ้วนขึ้น มีแก้ม มีพุง ขนาดนี้ ตัวผู้เขียนก็แค่ตอบไปว่า ก็เรากิน ไม่ได้ดม… เพื่อน ๆ ก็ต่างพากันหัวเราะชอบใจ แต่ในใจเราก็เจ็บเหมือนกันนะคะ เราก็อยากให้เพื่อนทักว่า ดูดีขึ้น

แต่สภาพตอนนั้นไอ้เราก็คงไม่อยากไปบังคับให้เพื่อนพูดโกหก เพื่อเอาใจหรอกค่ะ ว่าแล้วก็เลยเริ่มหาวิธีลดน้ำหนัก แต่ไม่ว่าจะออกกำลังกาย ทานผัก ผลไม้ (รู้สึกตัวเบาลงนะคะ) แต่น้ำหนักก็ยังคงเท่าเดิม ก็เลยเริ่มหาวิธีลัดเพื่อที่อยากจะดูผอม ดูดีในสายตาเพื่อน ๆ (กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วด้วย อยากดูเป็นเฟรชชี่เด็กปี 1 น่ารัก ๆ)

ตอนนั้นก็เลยเริ่มวิธีเบสิคง่าย ๆ ก่อนเลยคือ ไม่ว่าเราจะทานอะไรเข้าไปจนอิ่มแล้ว … เราจะไปล้วงคอ!!

ใช่ค่ะ!! การล้วงคอจะทำให้เราอาเจียนสิ่งที่เราทานไปทั้งหมดให้ออกมา ซึ่งในตอนนั้นเราจะรู้สึกดีกับตัวเองมากเลยค่ะ รู้สึกท้องเบาหวิว

( เครดิตภาพ : pobpad )

ใช่ค่ะ!! การล้วงคอจะทำให้เราอาเจียนสิ่งที่เราทานไปทั้งหมดให้ออกมา ซึ่งในตอนนั้นเราจะรู้สึกดีกับตัวเองมากเลยค่ะ รู้สึกท้องเบาหวิว

ยังๆๆ พอเราทำไปได้ระยะหนึ่ง เริ่มรู้สึกว่า ตัวเองยังผอมไม่พอ ทีนี้เลยตัดสินใจอดอาหารเพิ่มค่ะ กินวันล่ะมื้อ ถ้าหิวก็ดื่มน้ำเปล่า ตอนนั้นเราผอมมากเลยค่ะจากน้ำหนัก 70 กว่าเราเหลือประมาณ 60 กิโลในช่วงเวลาไม่ถึง 2 เดือน

แต่ชีวิตช่วงนั้น มันก็จะแปลกๆ นิด ตรง ‘นิสัย’ และความรู้สึกของเราเปลี่ยนไปค่ะ เริ่มรู้สึกหงุดหงิด โวยวายง่าย ทำให้คนรอบข้างเรา เพื่อนของเราแม้กระทั่งคุณพ่อคุณแม่ไม่อยากจะคุยกับเราเลยค่ะ

เรากลายเป็นคนล่ะคนไปเลย เราเสียใจมากเลยค่ะ พอคิดแบบนั้น ก็เลยลองหาข้อมูลดูว่าตัวเรามีอาการอะไรกันแน่ แล้วก็ได้ไปเจอกับโรคหนึ่งที่ชื่อว่า ‘โรคคลั่งผอม’ หรือ ‘Anorexia Nervosa’ ซึ่งโรคนี้เป็นโรคที่หลาย ๆ คนเป็น โดยเฉพาะคนที่อยากผอม หรือ ต้องการที่จะผอมมากกว่านี้

จริงๆ แล้ว โรคคลั่งผอมนั้น เพื่อนๆ หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินจากการที่ศิลปินหรือพวกนางแบบเป็นกัน อย่าง อดีตสมาชิก OH MY GIRL อย่าง ‘จินอี’ ที่ในวงเธอผอมที่สุด แต่กลายเป็นว่าที่เธอต้องออกจากวง เพราะเธอรู้สึกว่าตัวเองอ้วนมากในตอนขึ้นเวที จึงพยายามลดน้ำหนักจนกลายเป็นโรคคลั่งผอม

( เครดิตภาพ : WM Entertainment )

ขออ่านต่อไปอีกนิด เริ่มหลอนละ เพราะโรคนี้เป็นอาการที่เกิดจากภาวะจิตใจที่กระทบไปสู่ร่างกาย ยังไงน่ะหรือ ภาวะจิตใจในที่นี้คือเจอแรงกดดันจากคนใกล้ตัว ที่คิดว่าทำไมตัวเองถึงโดนคนอื่นบอกว่าอ้วน หุ่นไม่ดี คนที่เป็นโรคนี้จะมีสภาพจิตใจที่ค่อนข้างแย่เลยทีเดียวค่ะ จะต้องการลดน้ำหนัก พอลดได้ก็จะดีใจจนลดต่อไปเรื่อย ๆ แต่ผู้ป่วยจะไม่มีทางพอใจในรูปร่างของตนเอง ไม่อยากทานอะไรเพราะจะกลัวกลับไปอ้วน ทำให้ร่างกายไม่ได้รับพลังงาน อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย

ที่น่ากลัว คือ ผู้ป่วยโรคนี้มีสิทธิ์ที่จะเสียชีวิตได้เลยนะคะ ฉะนั้นใครที่เข้าข่าย ควรไปพบแพทย์เพื่อให้หมอตรวจดูอาการ และรักษาอย่างถูกวิธี พอเสร็จจากการรักษา ก็ต้องยอมรับตัวเอง และ คอยประคับประคองจิตใจไม่ให้กลับไปคลั่งผอมอีก

เชื่อไหมว่า พอผู้เขียนได้อ่านบทความนี้โดยละเอียด ก็แอบกลัวที่จะลุกลามจนต้องไปหาหมอรักษา เลยกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ทานอาหารเหมือนเดิม พอทานข้าว ทานขนมได้ ทีนี้ไม่หยุดเลยค่ะ จนทำให้น้ำหนักเราดีดขึ้นเกือบ 10 กิโลกรัม หรือหลาย ๆ คนอาจจะรู้จักที่เรียกว่า โยโย่เอฟเฟกต์ ( YoYo Effect ) ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดจากการที่ร่างกายอดอาหารและ พอกลับไปทานอาหารร่างกายปรับตัวไม่ทันจึงเกิดภาวะน้ำหนักขึ้นอย่างรวดเร็ว

ตอนนั้นบอกได้เลยว่าท้อใจ และหมดกำลังใจในการใช้ชีวิตเลยค่ะ แต่พอได้เข้ามหาวิทยาลัยเพื่อน ๆ เจอเราสภาพนี้ตอนแรกก็กลัวนะคะว่าเพื่อน ๆ จะรับไม่ได้ ไม่อยากคุยกับเรา…

แต่กลายเป็นว่าเพื่อน ๆ ในมหาลัยต่างรักและเอ็นดูเรา ไม่ใช่เพราะเราอ้วนดูน่าแกล้งนะคะ แต่เป็นเพราะเราจริงใจ และ เป็นมิตร เพื่อน ๆ ต่างมีความสุขเวลาอยู่กับเรา เราเป็นคนสนุก เฮฮาด้วย

จากวันที่เรากำลังเข้าใกล้สภาวะ ‘โรคคลั่งผอม’ และหลุดออกมาได้จนถึงวันนี้ ทำให้เราเริ่มเข้าใจแล้วว่า มนุษย์เราไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหน อ้วน ผอม ดูดี หุ่นไม่ดีหรืออะไรก็ตาม แต่ถ้าเรามีจิตใจที่ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส อะไร ๆ ก็จะดีขึ้นเองค่ะ

แต่ยังไงซะ ส่วนตัวก็ยังไม่ยอมท้อในการลดน้ำหนักนะคะ ยังคงพยายามลดน้ำหนักอยู่ เช่น ปรับพฤติกรรมการกิน ทานผักผลไม้ ออกกำลังกาย ดื่มน้ำเยอะ ๆ ใส่กำลังใจดีๆ เข้ามาในกาย และใช้ชีวิตให้มีความสุข ลดด้วยความที่อยากให้สุขภาพดี ไม่ต้องภาพลักษณ์ดี คิดแบบนี้กันดีกว่าค่ะ

อ้อ!! แล้วก็ไม่ต้องให้ เค้าหรือใครคนนั้น มาตัดสินเราด้วยล่ะ Have a good day ค่ะ ????

ว่าแล้ว ช่วงนี้ เหงาจัง ร้านบุฟเฟ่ต์ปิด!!


อ้างอิง:

https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/โรคคลั่งผอม เป็นโรคหรือแค่วิตกกังวล

https://www.lovefitt.com/tips-tricks/เทคนิคหยุดโยโย่ เอฟเฟกต์

ย้อนฟิล์มเก่า ‘ฮันนะซัง สวยสั่งได้’ กรณีศึกษาสะท้อนสังคมปัจจุบัน ฉันควรเป็น ‘ฮันนะ’ หรือ ‘เจนนี่’ ดี?

...ไม่รู้ว่าค่านิยมของสังคมในสมัยนี้เป็นอะไรกันหมด

...เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงการยึดโยงกับอุดมคติอันโหดร้ายที่ว่า...

>> ‘คนสวย จะต้องผอม’

>> ‘ยิ่งผอม ยิ่งดูดี ’

>> ‘ผู้ชาย ชอบผู้หญิงผอม’

เรื่องนี้มีปัจจัยชวนคิด ที่ก่อให้เกิดค่านิยมในโลกที่กำลังให้ความสำคัญกับเรื่องรูปลักษณ์ / เรือนร่าง อยู่ 3 ปัจจัย…

1.) การเปลี่ยนแปลงของค่านิยมในสังคมที่บูชาวัตถุ ทำให้คนในปัจจุบันมองว่า ร่างกายเป็นทรัพย์สินรูปแบบหนึ่ง

2.) การพัฒนาเทคโนโลยีแห่งความงามรุดหน้ามาก แพทย์สามารถทำศัลยกรรมให้ร่างกายมนุษย์ไร้ที่ติ หรือใช้กรรมวิธีต่างๆ เพื่อให้ผู้หญิง ผู้ชาย สวยหล่อได้ดังใจปรารถนา

และ 3.) อิทธิพลของสื่อที่กระตุ้นค่านิยมเรื่องรูปลักษณ์ เรือนร่าง สร้างรูปร่างในอุดมคติของวัยรุ่นขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นนายแบบ นางแบบ ดารา นักร้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ

แล้วทำไมถึงเป็นแบบนั้น ?

ความคิดเหล่านี้ เกิดจากอิทธิพล และแรงกดดันของสังคม ที่ยังให้ความสำคัญกับผู้หญิง หรือผู้ชายที่มีหน้าตา รูปร่างสวยงาม รวมถึงมีร่างกายผอมเพรียว โดยเฉพาะยิ่งปัจจุบันด้วยแล้ว คนจะมองแต่รูปลักษณ์ภายนอกอย่างฉาบฉวย หรือมักมีการเปรียบเทียบรูปร่างตัวเองกับผู้อื่น

พูดง่ายๆ ก็คือ เพียงเพราะว่ามนุษย์ต้องการการยอมรับจากสังคม!! และเมื่อสังคมมองเห็นว่าสิ่งไหนดี ก็พยายามเป็นไปตามที่สังคมวางไว้ ส่วนใครที่ไม่เป็นไปตามสิ่งที่สังคมมองว่าดี ก็จะถูกบูลลี่ ล้อเลียน หรือกลายเป็นคนที่ผิดแปลกไปเลยในสังคมนั้น ๆ

กรณีศึกษาที่เทียบเคียงกับกรณีดังกล่าวได้ดีมาจากภาพยนตร์เกาหลีเรื่องนานมาแล้วเรื่องหนึ่งอย่าง ‘200 Pounds Beauty ฮันนะซัง สวยสั่งได้’ ที่สะท้อนเรื่องนี้ได้ชัดมากอ

จากเนื้อเรื่อง ‘ฮันนะ’ เป็นสาวร่างท้วมน้ำหนักกว่า 200 ปอนด์ แต่พรสวรรค์ของเธอ คือ มีเสียงร้องเป็นเลิศ แต่เธอก็ทำได้แค่ต้องหลบอยู่ใต้หลังเวทีแล้วคอยร้องลิปซิงค์ให้กับนักร้องสาวสวย หุ่นดี และมีชื่อเสียงโด่งดังอย่าง ‘เอมี่’ จากการเกลี้ยกล่อมของ ‘ซังจุน’ โปรดิวเซอร์เพลง ที่ฮันนะเองนั้นตกหลุมรัก

เพื่อต้องการเอาชนะใจของซังจุน ฮันนะจึงยอมทำทุกอย่าง และก็มีความสุขเสมอที่ได้ทำ เพียงเพราะอยากใกล้ชิดกับซังจุน

แต่สาวร่างท้วมคนนี้ ไม่เคยคิดเลยว่าน้ำหนักเจ้ากรรมของเธอ !! จะเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวง...ทั้งต่อ ‘ซังจุน’ และคนรอบข้าง

และนี่ก็คือจุดเปลี่ยน !! เมื่อฮันนะรู้ว่าถูกทีมงานในค่ายเพลงมองเหมือนเธอเป็นตัวตลกคนหนึ่ง และแกล้งมาทำดี เพราะต้องการใช้ประโยชน์จากเสียงของเขาเท่านั้น แต่มันคงไม่เจ็บปวดมากเท่าไหร่ หากหนึ่งในนั้นไม่ใช่ ซังจุน โปรดิวเซอร์คนที่เธอแอบรักมานาน

เรื่องนี้ทำให้ฮันนะเสียใจและคิดจะฆ่าตัวตาย แต่สุดท้ายเธอเลือกทำสิ่งตรงข้าม ฮันนะได้ตัดสินใจไปทำศัลยกรรมแปลงโฉมทั้งตัว ทั้งดูดไขมัน ลดความอ้วน เปลี่ยนตา ปรับจมูก แต่งปาก ทำทุกอย่างที่ทำได้ จนเหมือน ‘ตายแล้วเกิดใหม่’ เพราะหลังจากนั้นฮันนะเอง ก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ และทำเป็นไม่รู้จักใครอีกเลย แม้แต่พ่อของเธอเอง

จากนั้น ฮันนะ กลายเป็นนักร้องสาวสวยเสียงดี ชื่อ ‘เจนนี่’ หลังจากเขากลับไปสมัครเป็นนักร้องเงาเสียงที่ค่ายเดิมกับซังจุนอีกครั้ง ด้วยความที่สวยครบทุกอย่างแล้ว แถมมีพรสวรรค์เสียงดีเป็นทุนเดิม เจนนี่ หรือฮันนะเลยได้เป็นนักร้องจริง ๆ และสามารถกลับมามัดใจซังจุนได้ด้วยความสวยของเขา ซึ่งทุกอย่างก็ดูจะเป็นแบบที่ฮันนะใฝ่ฝัน

หลังจากที่ฮันนะ ได้เป็นที่ต้องการ เป็นที่ยอมรับของสังคมและคนที่เขารักมากขึ้น แต่ฮันนะกลับรู้สึกว่าเธอ...

>> ‘พราก’ ตัวตนของตัวเองออกไปจากชีวิต

>> ‘พราก’ ครอบครัว คือ พ่อที่เธอรักให้ถอยห่างออกไป

>> ‘พราก’ เพื่อน ที่เคยอยู่เคียงข้างกายให้หมดสิ้นความหมาย

แม้ว่าจะมีทั้งความสวยพร้อม และรูปลักษณ์ภายนอกที่ครบสมบูรณ์ตามที่ต้องการแล้วก็ตาม แต่นี่คือสิ่งที่เธอต้องเสียไปทั้งหมด

ทว่า จนแล้วจนรอด สุดท้ายวันหนึ่ง ซังจุน ก็ได้รู้ความจริงว่า เจนนี่สาวสวย คือ ฮันนะสาวอ้วน และเขาก็ยอมรับไม่ได้ที่ฮันนะทำศัลยกรรมมา แถมซังจุนก็ยังมองว่า สุดท้ายแล้วจะเป็นฮันนะหรือเจนนี่ ก็เป็นแค่สินค้าที่จะทำเงินให้ซังจุนเท่านั้น

อย่างไรเสีย ฉากจบของเรื่อง เกิดขึ้นในงานคอนเสิร์ต โดย เจนนี่ หรือ ฮันนะ ได้สารภาพว่าตัวเองคือ ฮันนะสาวอ้วนที่คอยเป็นลิปซิงค์ให้ศิลปินหลังเวที แถมยังทำศัลยกรรมมาทั้งตัว แต่สุดท้าย ก็เป็นไปตามพลอตเรื่องของหนังที่รู้อยู่แล้วว่าต้องจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง เพราะแฟนคลับก็รับได้ในสิ่งที่เขาเป็น จากผลงานและความสามารถของเขา และเธอก็ได้ใจของ ซังจุน รวมถึงได้สิ่งที่เธอเสียไป ไม่ว่าจะเป็นตัวตน ครอบครัว และเพื่อนกลับมา

ถึงกระนั้น หากสะท้อนภาพเสียดสีเจ็บๆ จากภาพยนตร์เรื่องนี้จะพบว่า ‘ความดูดี’ กำลังกลายเป็นบรรทัดฐานของสังคมที่น่าเศร้า สังคมที่โลกสวยและชอบพูดหน้าฉากว่า ‘นิยมคนดี คนเก่ง’ กลับเทียบไม่ได้เลยกับ ‘ความดูดี’ ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้สื่อให้เห็นชัดจาก ฮันนะ ที่ต่อให้มีความสามารถแค่ไหน แต่รูปร่างหน้าตาไม่ผ่าน ก็ไร้ประโยชน์

ว่าแต่สังคมเราทุกวันนี้ ยังเป็นแบบนั้นกันจริงๆ อยู่หรือเปล่า?

สุดท้ายแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ คืออะไร?

...ภาพลักษณ์ที่ดูดี

...ความสามารถ

...หรือ จิตใจดีๆ แบบไหน คือ คำตอบ?

แล้วสรุปเราควรจะเลือกเป็น ‘ฮันนะ’ หรือ ‘เจนนี่’ ดีในสังคมทุกวันนี้?

Migration of Generation Me ย้ายประเทศกันเถอะ

ปรากฎการณ์ 'ย้ายถิ่น' ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรนัก แต่เมื่อถูกนำมาใช้เป็นประเด็นในการเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อจะสื่อว่า “ประเทศนี้ไม่น่าอยู่” ทำให้กลายเป็นกระแสที่สังคมจับตามอง โดยเฉพาะเมื่อมีคนเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มจากจำนวนหมื่น สู่จำนวนหลายแสน จนใกล้หลักล้านอย่างรวดเร็ว

อันที่จริงแล้ว การย้ายถิ่นฐานเพื่อแสวงหาโอกาสที่ดีกว่า มีมาตั้งแต่โบราณกาล จึงได้มีคนต่างเชื้อชาติอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก อย่างในสหรัฐอเมริกา ผู้คนจากทวีปเอเชีย เริ่มอพยพเข้าไปหางานทำ และสร้างฐานะกันมากมายจนเป็นปรากฎการณ์สำคัญที่ต้องมีการปรับตัวบทกฎหมายว่าด้วยผู้อพยพเข้าประเทศและการถือสัญชาติกันเลยทีเดียว

ทั้งนี้ หากย้อนไปในช่วงทศวรรษ 1960s มีผู้อพยพจากเอเชียจำนวน 5 แสนคน และเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมทุกทศวรรษตลอดมา ส่งผลให้ปัจจุบันมีจำนวนผู้อพยพจากเอเชียอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ถึง 14 ล้านคน และถือเป็น 31% ของผู้อพยพทั้งหมดจำนวน 45 ล้านคน 

สำหรับการอพยพจากประเทศบ้านเกิด ไปยังประเทศอื่นนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากเหตุผลด้านเศรษฐกิจ เพื่อแสวงหาโอกาส ในการเพิ่มคุณภาพชีวิต เพิ่มการศึกษา เพิ่มรายได้ให้กับตนเอง และก็ยังมีสาเหตุอื่น ๆ อีก ได้แก่ การแสวงหาเสรีภาพทางศาสนา เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและครอบครัวจากภัยทางการเมือง จากสงคราม หรือภัยธรรมชาติ 

แรงผลักดัน และความจำเป็นในการอพยพไปยังประเทศอื่นในส่วนนี้ จึงไม่เกี่ยวกับความรู้สึกเกลียดชังแผ่นดินเกิดหรือไม่แต่อย่างใด!! เพราะผู้คนที่ยังคงรักประเทศบ้านเกิด ยังเห็นคุณค่าทางวัฒนธรรมและยึดมั่นในสิ่งต่าง ๆ ที่คุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก ก็ย้ายถิ่นฐานโดยพกความรักชาติติดตัวไปด้วย

ย้อนกลับมาที่ภาพในปัจจุบัน การร้องตะโกนว่า ประเทศบ้านเกิดของตนนั้น ไม่เอื้ออำนวยต่อการใช้ชีวิต อาจดูเป็นชุดคำพูดที่ไม่เป็นความจริงสำหรับพลเมืองทั้งประเทศไทย เพราะผู้คนจำนวนมาก ยังใช้ชีวิตอย่างปกติสุข ยอมรับวิถีของสังคม กฎหมาย และความมานะอุตสาหะ พัฒนาตนเองจนประสบความสำเร็จได้ และเห็นว่าความเป็นไปในบ้านเกิดยังให้ความสุขแก่ชีวิตได้ 

การประกาศก้องว่าจะย้ายประเทศ จึงไม่สามารถสร้างความตระหนกตกใจ ให้กับใครได้ ไม่ว่าจะมีความพยายามที่จะปั่นกระแสขนาดไหน การอ้างถึงปรากฎการณ์ “สมองไหล” ก็ไม่มีน้ำหนัก เพราะคำว่าสมองไหล หมายถึงการสูญเสียทรัพยากรบุคลากรที่มีความรู้ความชำนาญพิเศษ เช่น แพทย์ พยาบาล วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ ช่างทักษะระดับสูง นักวิชาการ และอื่น ๆ 

ฉะนั้นหากระดับความสามารถทางวิชาชีพของท่านใด อยู่ในระดับกลุ่มแรงงาน จะไม่อยู่ในข่ายสมองไหล เมื่อมีการแสดงออกถึงความใฝ่ฝันที่จะไปสร้างอนาคตในประเทศอื่น จึงไม่มีใครต้าน และต่างอวยพรให้ไปดีมีชัย!! 

ทีนี้ลองมาดูภาพการอพยพของผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) ที่ไปสร้างชีวิตใหม่ทั้งในยุโรป ออสเตรเลีย และอเมริกา เป็นการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานกันสักเล็กน้อย

กลุ่มคนใน SEA ซึ่งประกอบด้วยกัมพูชา ลาว เวียดนาม มาเลเชีย ไทย และฟิลิปปินส์นั้น ต่างกระจายตัวทำงานอยู่ในภาคส่วนต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมันนี ฝรั่งเศส แคนาดา และอีกหลายประเทศทั่วโลก (ยังมีธุรกิจที่ผู้อพยพจาก SEA เป็นเจ้าของกิจการรวมอยู่ด้วย)

การสำรวจในปี 2019 พบว่า มีผู้อพยพชาวฟิลิปปินส์อยู่ในสหรัฐฯ 2 ล้านคน, เวียดนาม 1.4 ล้านคน, ไทย 2.5 แสนคน, ลาว 1.8 แสนคน และเมียนมา 1.5 แสนคน นี่คือจำนวนคนอพยพสะสมมาตั้งแต่ทศวรรษ 1960s 

ว่าแต่สงสัยไหมว่า ทำไมต้องเป็นสหรัฐฯ ? 

เพราะสหรัฐฯ เป็นประเทศที่ดึงดูดนักเรียนนักศึกษาจากทุกมุมโลก ผู้คนในวัยเรียนจึงวางแผนที่จะไปศึกษาต่อในสหรัฐฯ และการได้ศึกษาต่อจนจบการศึกษา ยังเป็นการกรุยทางให้อยู่ต่อเพื่อฝึกงาน ทำงาน หรือวางแผนที่จะย้ายมาตั้งรกรากอย่างถาวร 

เรื่องนี้น่าสนใจตรงจำนวนนักเรียนนักศึกษาจาก SEA ที่ศึกษาต่อในอเมริกานั้น สามารถสะท้อนถึงโอกาสและคุณภาพทางการศึกษาในประเทศต้นทางไปพร้อมกัน เพราะหากประเทศต้นทางจัดการศึกษาได้ทั่วถึงและมีคุณภาพดี จำนวนพลเมืองที่เดินทางออกไปแสวงหาการศึกษาในประเทศอื่นจะไม่สูงนัก 

ทั้งนี้ ตัวเลขนักศึกษาจากทวีปเอเชียที่เข้าศึกษาต่อในสหรัฐฯ ในช่วงปี 2019-2020 มากที่สุดจะประกอบไปด้วย... 

1. จีน 2. อินเดีย 3. เกาหลีใต้ 4. ซาอุดิอาราเบีย 5. เวียดนาม  6. ใต้หวัน 7. ญี่ปุ่น 8. เนปาล 9. อิหร่าน 10. ตุรกี

กลุ่มคนพลัดถิ่น (Diaspora) ไม่ว่าจะด้วยความเต็มใจ หรือถูกบีบบังคับจากสถานการณ์เลวร้ายต่าง ๆ จากทวีปเอเชีย ในสหรัฐอเมริกา ที่มีจำนวนมากที่สุด มีดังนี้... 

1. จีน 2. อินเดีย 3. ฟิลิปปินส์ 4. เวียดนาม 5. เกาหลี

ส่วนข้อมูลจำนวนนักศึกษาจากประเทศไทย ที่เข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ในปี 2018 รวมทั้งสิ้น 6,636 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยกว่าประเทศอื่น ๆ เช่นนักศึกษาจากเวียดนามในปีเดียวกันมีจำนวนมากกว่า 3 หมื่นคน อินโดนีเซีย 9,000 คน และมาเลเชีย 7,864 คน ในขณะที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งมีประชากรไม่ถึง 6 ล้านคน มีนักศึกษาจากสิงคโปร์กำลังศึกษาในสหรัฐฯ ในปี 2020 เป็นจำนวนถึง 4,500 คน โดยในจำนวนนี้เรียนในระดับปริญญาตรี 40% ปริญญาโทและเอก 30% อีก 30% เป็นการฝึกงานหรือเพิ่มเติมทักษะทางวิชาชีพ

การมีความใฝ่ฝันที่จะแสดงหาสังคมที่ให้โอกาสแก่เรา ในการสร้างฐานะ หากดูเพียงรายได้ที่มากกว่า เมื่อเทียบกับเกณฑ์รายได้ในเมืองไทยก็คงไม่ผิดอะไร แต่การไปอยู่ต่างแดน ยังมีมิติอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่นสัดส่วนรายได้ต่อค่าครองชีพ การปรับตัวในสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่าง ความสามารถในการสื่อสารอย่างคล่องแคล่ว ความสุขทางใจ ความรู้สึกที่มั่นคงอันได้จากความอบอุ่นของครอบครัวที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง การได้รับการยอมรับจากสังคมรอบตัว และการมีสถานภาพเป็นผู้มาอาศัย หรือเป็นคนพลัดถิ่นในประเทศใหม่ 

ถึงกระนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้ที่ย้ายถิ่นฐานจะได้แค่เงิน แต่ไร้ซึ่งความสุขไปทั้งหมด เพราะความสามารถทางภาษา และการปรับตัวทางวัฒนธรรมและสังคมนั้น เป็นความสามารถส่วนตัว การที่จะมีความสุขในสภาพแวดล้อมใหม่ ไม่ได้มีกำแพงกั้นสำหรับใคร

แต่หัวใจสำคัญคือ การสร้างต้นทุนไว้ให้พร้อม ทั้งเงินเก็บ ผลการศึกษาที่จะช่วยให้ได้เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยมีระดับ ความชำนาญทางภาษาที่ใครได้ยินได้ฟังแล้วนับถือว่าเป็นผู้มีการศึกษา รวมถึงการซึมซับวัฒนธรรมของประเทศนั้น เพื่อใช้ปรับตัวให้มีความสบายใจ และสร้างเพื่อนใหม่ได้ แม้ชาติพันธุ์จะแตกต่าง แต่เมื่อมีความรู้ความสามารถ ก็จะทำให้ได้รับการยอมรับมากขึ้น และรอดตัวจากการเหยียดเชื้อชาติได้ในสถานการณ์ปกติ

‘มหากาพย์การอดอาหาร’ สู้เพื่อความยุติธรรม หรือเพื่อเจตนาอันใด?

เลขที่ออก 94...

ขึ้นต้นมาด้วยตัวเลข ไม่ได้ใบ้หวยแต่อย่างใด แค่หยิบยกเอาตัวเลขจากข่าวที่หลายคนติดตามกันมานานพอสมควร นั่นคือ การอดอาหารประท้วง ของ พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน ที่เมื่อสัปดาห์ก่อน มีรายงานออกมาว่า เพนกวินมีน้ำหนักลดฮวบลง ตัวเลขอยู่ที่ราว ๆ 94 กิโลกรัม จากน้ำหนัก 110 กิโลกรัม สาเหตุก็มาจากการประท้วงอดอาหาร หลังจากไม่ได้รับการประกันตัวจากศาลเสียที

80 กว่าวันกับการอยู่ในเรือนจำ และ 40 กว่าวันกับการอดอาหาร รวมกับอีก 9 ครั้งในการยื่นขอประกันตัว และหากนับถึงเวลาที่บทความนี้ออกสู่สายตาคุณ น่าจะทราบผลแล้วว่า การยื่นขอประกันตัวครั้งที่ 10 ของเพนกวิน (ในวันที่ 6 พ.ค.) ผลจะออกมาเป็นเช่นไร

กลับมาที่กิจกรรม ‘การอดอาหารประท้วง’ กันอีกที หลายคนอาจพอทราบกันมาบ้าง ว่าเป็น ‘กิจกรรมเชิงสัญลักษณ์’

สืบย้อนกลับไป การอดอาหารประท้วงมีมานานตั้งแต่ยุคโรมัน เคยมีการอดอาหารประท้วงจักรพรรดิโรมัน เพื่อขออนุมัติการเดินทางจากเหล่าขุนนาง หรือแม้แต่ที่อินเดีย ก็เคยมีการอดอาหารที่หน้าบ้านพวกเศรษฐี เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมที่ถูกข่มเหงรังแก รวมถึงการอดอาหารอยู่หน้าบ้านคู่กรณี เพื่อประท้วงที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในบันทึกของประวัติศาสตร์ยุคใหม่ เรื่องราวการอดอาหารที่ผู้คนคุ้นเคย คงหนีไม่พ้น การอดอาหารในตำนานของ ‘มหาตมะ คานธี’ ในการต่อสู้เรียกร้องเอกราชของอินเดียจากอังกฤษ ช่วงปี ค.ศ. 1919 – 1947

หรืออีกเหตุการณ์สำคัญในช่วงปี ค.ศ. 1981 นักโทษกองกำลังกู้ชาติของไอร์แลนด์เหนือ ที่ถูกจับกุมในข้อหาก่อความไม่สงบ จากสาเหตุการประท้วงให้มีการแบ่งแยกดินแดนจากอังกฤษ ต่อมานักโทษเหล่านี้ได้ทำการประท้วงด้วยการอดอาหาร จนมีผู้เสียชีวิตไปถึง 10 ราย จนเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำเอารัฐบาลอังกฤษ ภายใต้การนำของนางมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ นายกรัฐมนตรี ถูกกล่าวหาว่าใจร้ายใจดำ เนื่องจากปล่อยให้มีเหตุการณ์ยืดเยื้อจนมีคนตายในที่สุด

มาที่เมืองไทยของเรา หลายคนยังจำกันได้ ครั้งหนึ่งเคยมีเหตุการณ์อดอาหารประท้วงของ พลตรีจำลอง ศรีเมือง และ ร.ต. ฉลาด วรฉัตร ในการขับไล่ พลเอกสุจินดา คราประยูร ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เมื่อปี พ.ศ. 2535

และล่าสุด เหตุการณ์การอดอาหารของเพนกวิน-พริษฐ์ (รวมไปถึง รุ้ง – ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล) หลังจากที่ทั้งสองคนทำการยื่นขอประกันตัวต่อศาล เรียกว่ายื่นแล้วยื่นอีก แต่ยื่นยังไงก็ไม่ผ่าน จนต้องออกมาอดอาหารประท้วงกันอย่างที่เห็น

หยิบยกเหตุการณ์จากอดีตสู่ปัจจุบันมาเล่าถึง เพื่อสะท้อนให้เห็นว่า พฤติกรรมการอดอาหาร ถูกนำมาใช้ ‘ข้อเรียกร้อง’ ต่อเรื่องราวใดเรื่องราวหนึ่ง กันมานักต่อนัก

แต่เรื่องที่ควรรู้อย่างหนึ่งของการอดอาหารประท้วง คือ หลักการสำคัญนี้... “เป็นการกระทำที่ไม่มีเจตนาฆ่าตัวตาย หรือไม่ได้เป็นการประกาศฆ่าตัวตาย แต่เป็นการทรมานร่างกายของผู้ประท้วง เพื่อเรียกร้องคู่กรณีให้หันมาพิจารณาปัญหาที่เกิดขึ้น จากการกระทำอันอยุติธรรมของคู่กรณีต่อผู้ประท้วง”

ขอขีดเส้นใต้ตัวโตๆ ตรงประโยค >> ‘จากการะทำอัน อยุติธรรม ของคู่กรณีต่อผู้ประท้วง’ ไว้สักนิด แล้วตัดภาพกลับมาคิดต่อกับเรื่องราว ‘การอดอาหารของเพนกวินและรุ้ง’ เพราะอย่างที่เล่าไปว่า พวกเขาได้ทำการขอยื่นประกันตัวต่อศาลมาหลายครั้ง จนภาพที่ออกมา ดูเหมือนว่า กระบวนการยุติธรรม ทำหน้าที่ ‘ไม่ค่อยจะยุติธรรม’ สักเท่าไร

พูดง่ายๆ คือ ถ้าจะหยิบประโยคที่ขีดเส้นใต้ข้างต้นมาเรียบเรียงเหตุการณ์นี้ใหม่ จะตีความได้ว่า ‘เพนกวิน-รุ้ง อดอาหารประท้วง จากการกระทำอันอยุติธรรมของศาล’ ขยายความเพิ่มอีกนิด เพนกวิน-รุ้ง อดอาหารจากการที่ศาลไม่ยอมให้ประกันตัว เพราะศาลทำหน้าที่อย่างไม่ยุติธรรม

ใช่หรือไม่?

มาดูข้อเท็จจริงทางด้านศาลกันบ้าง เล่าโดยย่อในประเด็นที่ว่า การพิจารณาการปล่อยตัวชั่วคราวจากกรณีนี้ ศาลต้องใช้หลักกฎหมายตามมาตรา 108/1 ซึ่งหัวใจสำคัญมีอยู่ว่า หากให้ประกันแล้ว จะไม่ไปก่อเหตุภยันตรายประการอื่น หรือพูดง่ายๆ ว่า เรื่องที่เคยกระทำมาแล้ว ห้ามไม่ให้กลับไปทำอีก

แต่จากข้อเท็จจริงอีกเช่นกัน ที่ผ่านมา ทั้งเพนกวินและรุ้ง ไม่เคยมีการยื่นคำร้องใน ‘เงื่อนไขนี้’ ไปที่ศาลเลย มากไปกว่านั้น ในการขึ้นไต่สวนหลายครั้งที่ผ่านมา ยังมีพฤติกรรมขอถอนกระบวนการพิจารณา ถอนทนาย พร้อมทั้งไม่ลงชื่อในรายงานกระบวนพิจารณา รวมถึงนำรายงานกระบวนพิจารณาไปเขียนเอง ภายหลังจากที่ศาลลงจากบัลลังก์ไปแล้ว ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ จึงเป็นเหตุให้ขาดความน่าเชื่อถือ และทำให้ศาล ไม่เชื่อว่า จำเลยจะกระทำตามเงื่อนไขได้

กรณีกลับกัน ในรายของ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข, นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา (ไผ่ ดาวดิน) เเละนายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม (หมอลำแบงค์) เหล่าผู้ต้องหาที่อยู่ในกรณีเดียวกัน แต่ทั้ง 3 คน ได้มีการลงชื่อในคำร้อง และยืนยันต่อศาล ขอให้ศาลทำการไต่สวน และทำการแถลงต่อศาลด้วยตนเองว่า จะไม่กระทำลักษณะที่ถูกฟ้อง และจะไม่ก่อเหตุร้ายประการอื่น เมื่อศาลรับเงื่อนไข จึงนำมาสู่การได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวอย่างที่ปรากฎ

เรื่องเดียวกัน แต่ผลออกมาต่างกัน!!

สาเหตุง่ายๆ ไม่ซับซ้อน!! ก็เพราะการกระทำที่ไม่เหมือนกันไง!!

เรื่องราวเหล่านี้ ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่ ‘ความยุติธรรมหรืออยุติธรรม’ หากแต่อยู่ที่การปฏิบัติตาม ‘หลักการ’ หรือไม่? ซึ่งสุดท้าย ก็ต้องย้อนกลับไปถามถึง ‘เจตนา’ ของผู้อดอาหารประท้วงแล้วล่ะว่า ทำไมถึงไม่ยอมรับหลักการนั้น?

อย่างที่บอกไปว่า ก่อนบทความนี้จะออกสู่สายตาคุณ ข่าวการยื่นขอประกันตัวครั้งที่ 10 ของเพนกวิน น่าจะทราบผลกันแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม การเข้าใจถึงหลักการ รู้ถึงที่มาที่ไปของปัญหาที่เกิด น่าจะเป็น ‘สาระสำคัญ’ มากกว่าความขุ่นข้องหมองใจ ต่อเรื่องราวการประท้วงที่ไม่เป็นผล หรือแม้แต่การพากันทุกข์ใจต่อร่างกายที่ทรุดหนักของเพนกวิน หรือรุ้งเองก็ตาม

ถึงตรงนี้ หน้าประวัติศาสตร์ของ ‘การอดอาหาร’ อาจไม่มีความหมายใดๆ เลย ถ้าเราไม่พยายามเข้าใจถึง ‘บริบท’ ที่เกิดขึ้นรอบข้าง

อดอาหารน่ะ ‘อดได้’ แต่ถ้าขาดความรู้และปัญญา ปัญหามันก็ไม่มีทางหมดไปได้ร้อก!!


ข้อมูลอ้างอิง:

https://en.wikipedia.org/wiki/Hunger_strike,

https://www.matichon.co.th/columnists/news_253996,

https://www.naewna.com/local/569779,

https://www.facebook.com/800980833325664/posts/871902402900173/,

https://prachatai.com/journal/2006/03/7610

มหากาพย์!! 'กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล'

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติขยายเวลาการบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือ Personal Data Protection Act (PDPA) ออกไปอีก 1 ปี ทำให้กฎหมายฉบับนี้จะเลื่อนไปมีผลใช้บังคับในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2565

โดยเหตุผลที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอให้ ครม. พิจารณาเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ คือ... 

1.) การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้ มีรายละเอียดมากและซับซ้อน

2.) การปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อให้การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสมดังเจตนารมณ์ของกฎหมาย

3.) สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดระบาดยังมีอยู่ต่อเนื่องและรุนแรงยิ่งขึ้น ทำให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนจำนวนมากไม่พร้อมที่จะปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
 
เท่ากับว่ากฎหมายฉบับนี้ออกมาตั้งแต่ปี 2562 แต่กว่าจะได้บังคับใช้เต็มรูปแบบ (ถ้าไม่ถูกเลื่อนอีกรอบ) ก็ปี 2565 เลย 

3 ปีที่กฎหมายออกมาแล้วกว่าจะมีผลใช้บังคับอาจจะดูว่านาน แต่ถ้าเพื่อน ๆ ได้ทราบประวัติศาสตร์ของกฎหมายคุ้มครองส่วนบุคคลนี้แล้วจะตกใจกว่านี้ครับ

เพราะกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้ ถือเป็นมหากาพย์การร่างกฎหมายที่ยาวนานที่สุดฉบับหนึ่งของประเทศไทยเลยทีเดียว

เท่าที่ผมลองสืบค้นดู ก็พบว่า (ร่าง) พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ของประเทศไทยเริ่มต้นร่างครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2541 โดยสาเหตุที่ต้องเริ่มต้นร่างกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในขณะนั้น ก็เนื่องมาจากรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 34 บัญญัติไว้ว่า... 

“มาตรา ๓๔ สิทธิของบุคคลในครอบครัว เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวย่อมได้รับความคุ้มครอง”

แต่กว่าที่ร่างกฎหมายคุ้มครองฉบับแรกจะถูกเสนอให้ ครม. พิจารณาได้ ก็ต้องรอถึงปี พ.ศ. 2549  หรือ กว่า 8 ปีนับแต่ที่เริ่มต้นร่างขึ้น และแม้ว่าคณะรัฐมนตรีจะได้มีมติเห็นชอบในหลักการดังกล่าวแล้ว แต่กระบวนการที่จะผ่านออกมาเป็นกฎหมายให้ใช้บังคับได้นั้น ก็จะต้องกลับไปผ่านการพิจารณาของรัฐสภาเสียก่อน

และอย่างที่ทุกท่านทราบกันก็คือ กว่าที่กฎหมายฉบับนี้จะคลอดออกมาเป็น พ.ร.บ. คุ้มครองส่วนบุคคลได้ก็ในปี 2562 ซึ่งรวมเวลาทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นร่างจนผ่านออกมาเป็นกฎหมายได้ก็ใช้เวลาไปทั้งสิ้น 21 ปี 

เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อกฎหมายออกมาแล้วก็ต้องให้หน่วยงานต่าง ๆ มีการเตรียมความพร้อมเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ กฎหมายจึงให้เวลาอีก 1 ปี กว่าที่จะมีผลใช้บังคับ 

ปรากฏว่าเมื่อใกล้จะครบ 1 ปี คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ก็ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งออกมา ทำให้กฎหมายลูกของ พ.ร.บ. ดังกล่าวก็ยังร่างไม่เสร็จ ทำให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ขอให้รัฐบาลเลื่อนการบังคับใช้ไปอีก 1 ปี

จนแล้วจนรอด เมื่อใกล้ถึงวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2564 ที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจะมีผลใช้บังคับเต็มรูปแบบ ครม. ก็มีมติให้เลื่อนการบังคับใช้ไปอีก 1 ปี เท่ากับว่าตั้งแต่เริ่มต้นร่างจนถึงวันที่จะเริ่มมีผลใช้บังคับจริงในปี 2565 (ถ้าไม่ถูกเลื่อนอีกรอบ) รวมเป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 24 ปีเลยทีเดียว 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลออกไปรอบล่าสุด แต่กระทรวงดิจิทัลฯ ก็ได้มีการประกาศมาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลออกมาแล้ว

ดังนั้น ผู้ที่ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller) ซึ่งก็คือ ผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ตัดสินใจเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ก็ต้องมีหน้าที่ตามมาตรฐานดังกล่าวด้วย เช่น ต้องมีการกำหนดสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล (Access Control) ให้มีความเหมาะสม ไม่ใช่ว่าทุกคนในหน่วยงานสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของคนอื่นได้ตามอำเภอใจ คนที่จะเข้าถึงข้อมูลได้ต้องมีหน้าที่ความรับผิดชอบโดยตรง เป็นต้น

นอกจากนี้ เรายังมีกฎหมายฉบับอื่น ๆ ที่มีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลด้วยเช่นกัน เช่น พ.ร.บ. การประกอบข้อมูลเครดิต พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ ฯลฯ ซึ่งหน่วยงานหรือองค์กรใดที่อยู่ภายใต้การกำกับกฎหมายนั้น ๆ ก็จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวด้วยเช่นกัน

สำหรับหน่วยงานหรือบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ถ้าถามว่าระหว่างรอกฎหมายบังคับใช้ในอีก 1 ปีข้างหน้าจะต้องทำอย่างไรดี ผมก็ขอแนะนำให้เริ่มศึกษาและดำเนินการไปได้เลยครับ เพราะตอนนี้ผมคิดว่าคนไทยส่วนใหญ่ตระหนักและเข้าใจถึงความสำคัญของข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองแล้ว 

การที่หน่วยงานเราให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลของลูกค้าหรือบุคคลที่มาใช้บริการของหน่วยงานเรานั้น ย่อมทำให้เราได้รับความไว้วางใจจากบุคคลดังกล่าวด้วย 

ถ้าไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ผมก็แนะนำให้ดูจากแนวทางของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรปที่ชื่อว่า “General Data Protection Regulation (GDPR)” ซึ่งประเทศไทยเราใช้เป็นแนวทางในการร่างกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฉบับปัจจุบัน หรือ ไม่ก็ลองอ่าน “แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล Version 3.0 ที่จัดทำโดยศูนย์วิจัยกฎหมายและการพัฒนา คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตามลิงค์นี้ก็ได้ครับ https://www.law.chula.ac.th/wp-content/uploads/2020/12/TDPG3.0-C5-20201224.pdf

และเดี๋ยวตอนที่กฎหมายฉบับนี้จะเริ่มใช้บังคับจริงในปีหน้า ผมจะมาเขียนอธิบายถึงสิทธิหน้าที่ของเจ้าของข้อมูล และผู้ที่เก็บรวบรวม หรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคลให้ได้อ่านกันอีกทีนะครับ อย่าลืมติดตามเข้ามาอ่านกันได้
 

‘ทบิลิซี’ Tbilisi แดนแห่งความงาม ที่หลบเร้นอยู่ในหุบเขาจอเจียร์

เมืองสวยชดช้อยแห่งหนึ่ง อยู่ในหุบเขา ณ เทือกเขาคอเคซัส เปรียบประหนึ่งสาวงามร่างสูงโปร่งระหง โครงหน้ารูปไข่ แววตาเย้า ทั้งร่าเริงและเคร่งขรึมดุดันในที...จะเป็นอื่นใดไปไม่ได้เลยหากไม่ใช่ ‘ทบิลิซี’ เมืองหลวงของประเทศจอร์เจียนั่นเอง

จะเรียกว่าจับพลัดจับผลูได้ไปเยือนประเทศนี้โดยบังเอิญก็เป็นได้ หลายปีก่อนผมเดินทางโดยจักรยาน เริ่มที่อิหร่าน โดยต้องการไปจบทริปที่ตุรกี ก่อนออกทริปไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีประเทศน่าแวะอย่างจอร์เจียด้วย แต่เนื่องจากแผนและเวลาค่อนข้างยืดหยุ่น เมื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม จึงตัดสินใจปั่นอ้อมขึ้นไปทางเหนือ เลาะเข้าไปเที่ยวประเทศซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโซเวียต ปัจจุบันเป็นไทแก่ตัวแล้ว แต่ยังคงเป็นรัฐกันชนระหว่างกลุ่มอำนาจโลกขั้วตะวันออกและตะวันตก 

โดยทำเลที่ตั้งของทบิลิซีเอง เอื้อให้เป็นเมืองสวยได้ไม่ยากเลย เพราะเป็นหุบเขายาว ๆ มีแม่น้ำไหลผ่ากลาง สองฝั่งเป็นเนินสูงต่ำ ราบบ้าง ชันบ้าง บ้านเรือนสูงต่ำน้อยใหญ่ปลูกสร้างลดหลั่นกันไป ศาสนสถานแทรกแซมเป็นระยะ ๆ ถนนตรอกซอยคดเคี้ยว สถาปัตยกรรมเก่าแก่น้อยใหญ่ อายุอานามแตกต่างกันเรียงรายเบียดเสียดกัน ทว่ายังมีพื้นที่สีเขียวทั้งต้นไม้ใหญ่ริมถนนและสวนสาธารณะสำหรับพักผ่อน ถนนในย่านเมืองเก่าปูด้วยก้อนหิน ตึกทรงทันสมัยออกแบบและก่อสร้างโดยผ่านการวางแผนอย่างรอบคอบ จึงกลมกลืนและไม่บดบังภูมิทัศน์

เมืองก่อร่างสร้างขึ้นบนไหล่เขา จึงเดินเล่นเพลิน ขยันก็ขึ้นไปยังจุดชมวิวซึ่งมีมากมายหลายจุดให้เลือก วันนี้เดินขึ้นเนินนี้ พรุ่งนี้เดินขึ้นอีกเนิน ได้ออกกำลังกายพร้อมกับหย่อนใจในเวลาเดียวกัน 

ตามผนังอาคารมักเห็นงานพ่นสเปรย์ประเภทกราฟฟิตี้สวย ๆ บางวันจึงสนุกไปกับการเดินตามถ่ายรูปศิลปะบนผนังเหล่านี้ พื้นที่ท้ายสะพานในย่านใจกลางเมืองถูกจัดสรรให้เป็นตลาดแบกะดิน พ่อค้าแม้ค้านำสมบัติมือสองผลัดกันชมมาวางขายกันในราคาย่อมเยา ลูกค้าเลือกชมและต่อรองราคา แล้วตกลงซื้อเมื่อพอใจทั้งสองฝ่าย อีกโซนใกล้กันขายงานศิลปะประเภทภาพวาด ทบิลิซีเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวามาก

ศิลปะการแสดงยังคงเฟื่องฟูต่อเนื่อง โรงละครหุ่นกระบอกเปิดการแสดงทุกวัน ซึ่งผู้แสดงต้องอาศัยทักษะในการเชิด เรื่องราวมีทั้งร่วมสมัยและที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ขึ้นอยู่กับผู้กำกับ ละครเวทีซึ่งใช้นักแสดงจริงเป็นอีกทางเลือกในการเสพศิลปะ หรือหากชอบความชดช้อยอ่อนหวานอลังการก็ตีตั๋วเข้าชมบัลเล่ต์ได้ นักแสดงหลายคนจากเมืองนี้ไปโด่งดังที่มอสโกในฐานะนางเอกพระเอก การันตีคุณภาพคับโรง แม้กระทั่งดนตรีที่เกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ ซึ่งขับขานก้องกังวานในโบสถ์ฟังแล้วซาบซึ้งขนลุกกันเลยทีเดียว 

เมืองนี้ผลิตนักเขียนผู้ฝากผลงานวรรณกรรม...เป็นที่รู้จักในประเทศและทั่วโลกหลายท่าน อย่างเช่น โนดาร์ ดุมบัดเซ่ นักเขียนดังที่หนังสืออย่างน้อยสองเล่มของเขาได้รับการแปลและตีพิมพ์เป็นภาษาไทย ได้แก่ ความรื่นรมย์ของชีวิต และ คืนวันอันแสนงาม นอกจากนี้ ยังมีนักคิดนักเขียนอีกหลายคนกำเนิดเกิดมาจากเมืองนี้ด้วย

ใคร ๆ ก็ชอบออนเซ็นใช่ไหม เมืองนี้มีน้ำพุร้อนและโรงอาบน้ำด้วย เวลาอากาศหนาว แถมบางวันในฤดูใบไม้ผลิฝนดันตกและลมแรง หรือบางครั้งก็ทำงานจนเครียด ร่างกายขมึงตึงปวดเมื่อย การไปแช่น้ำร้อนให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายจึงเกือบเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลยล่ะ

ระบบขนส่งสาธารณะราคาย่อมเยาและครอบคลุม มีให้เลือกทั้งรถไฟใต้ดิน บนดิน พัฒนากันมาตั้งแต่สมัยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต ปัจจุบันยังใช้การใช้งานได้ดีมีประสิทธิภาพ จะว่าไปค่าครองชีพไม่แพงเลย เทียบแล้วพอ ๆ กับบ้านเรา ส่วนราคาโรงแรมโฮสเทลมีตั้งแต่ไร้ดาวไปจนถึงห้าดาว ค่าอาหารเครื่องดื่มเทียบเป็นเงินไทยก็มื้อละประมาณสี่ห้าสิบบาท หากไปนั่งทานตามภัตตาคารต้องจ่ายมากกว่าเป็นเรื่องธรรมดา วัฒนธรรมอาหารนั้นผสมผสานความเป็นตะวันตก อย่างเมนูขนมปังและชีส ในขณะที่สำรับกับข้าวรับมาจากโลกตะวันออก หนีไม่พ้นข้าวราดต้มผัดแกงทอดอะไรต่าง ๆ คนบ้านเมืองนี้ปลูกองุ่นและทำไวน์กันมานานนับพันปี จึงถือเป็นเครื่องดื่มสามัญประจำประเทศ หาซื้อง่าย มีตั้งแต่ราคาลิตรละไม่เท่าไหร่ไปจนถึงไวน์คุณภาพสูงแพงลิบลิ่ว สุรากลั่นดีกรีสูงประเภทวอดก้า หรือเบียร์สำหรับซื้อหามาจิบยามบ่ายยามเย็นก็มากมี มนุษย์คอทองแดงน่าจะหลงรักประเทศนี้เพราะเหตุผลนี้ล่ะ

แม้หน้าตา สีตา สีผม ผิวพรรณจะเป็นฝรั่ง แต่นิสัยใจคอของคนจอร์เจียกระเดียดไปทางเอเชีย เพราะโฉ่งฉ่างกระโตกกระตาก และมักไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยด้วยประการทั้งปวง ความอิเหละเขะขะยังเห็นได้ทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งตามตลาด ที่เห็นแล้วขำคือพฤติกรรมพ่อค้าแม่ค้าริมฟุตบาทพากันเก็บข้าวของวิ่งหนีกันจ้าละหวั่นเวลาเทศบาลมากวดขัน สิ่งละอันพันละน้อยอันเป็นปกติสามัญของที่นี่แหละที่เป็นสีสัน

สรุปก็คือ เมืองอันเปี่ยมเสน่ห์นี้ไม่เหมาะสำหรับรีบ ๆ ไปเยือนรีบ ๆ จากไป แต่เหมาะที่จะแช่อยู่นาน ๆ ค่อย ๆ ซึมซับความประทับใจกันไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top