Friday, 30 May 2025
SPECIAL

ชลบุรี - ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการและชมรมภริยากองเรือยุทธการ มอบของเยี่ยมบำรุงขวัญ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับกำลังพลและเจ้าหน้าที่ที่ฏิบัติงาน ในสถานที่เฝ้าระวังสังเกตอาการกองเรือยุทธการ

วันที่ 11 พ.ค.64 พล.ร.อ.สุทธินันท์  สมานรักษ์ ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ และคุณสุนันท์  สมานรักษ์ ประธานชมรมภริยากองเรือยุทธการ พร้อมคณะ มอบของเยี่ยมบำรุงขวัญ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับกำลังพลกองเรือยุทธการ และเจ้าหน้าที่ที่ฏิบัติงาน ในสถานที่เฝ้าระวังสังเกตอาการกองเรือยุทธการ  ณ กองการฝึก กองเรือยุทธการ ในการนี้ได้ติดตามการดำเนินการเพื่อให้มีความพร้อมในการรับการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เกิดขึ้นกับกำลังพลของกองเรือยุทธการ และประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงได้ตลอดเวลา

ทั้งนี้ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ มีดำริให้จัดตั้งสถานที่เฝ้าระวังสังเกตอาการกองเรือยุทธการเพื่อเป็นสถานที่รองรับกำลังพลกลุ่มเสี่ยงของกองเรือยุทธการ และประชาชนในพื้นที่บริเวณใกล้เคียง ภายใต้กรอบการพึ่งพาตนเอง ด้วยขีดความสามารถที่มี โดยการใช้บุคลากรทางการแพทย์ของกองเรือยุทธการ ร่วมกับแพทย์จากโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ กรมแพทย์ทหารเรือ ปฏิบัติงานในการดูแลกำลังพล และครอบครัวของกองเรือยุทธการที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยง จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตลอดจนประชาชนที่กองเรือยุทธการได้รับการประสานจากโรงพยาบาล หรือหน่วยงานในพื้นที่ใกล้เคียง เป็นการแบ่งเบาความแออัดของโรงพยาบาลภาครัฐบาล ซึ่งปัจจุบันได้จัดเตรียมพื้นที่ของกองการฝึก กองเรือยุทธการ ให้สามารถรองรับผู้ติดเชื้อ/กลุ่มเสี่ยง ได้ประมาณ 200 เตียง

กองเรือยุทธการ และชมรมภริยากองเรือยุทธการ ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ กำลังพล และบุคลากรทางการแพทย์ รวมพลังต่อสู้เพื่อฝ่าวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน ให้เป็นไปตามนโยบายที่ผู้บัญชาการทหารเรือเน้นย้ำอยู่เสมอ “พลังสามัคคี พลังราชนาวี”


ภาพ/ข่าว  สมนึก เชื้อสนุก

อยุธยา - ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาและประธานมูลนิธิเพื่อการศึกษาและสังคม มอบหน้ากากอนามัย พร้อมเชิญชวนพี่น้องร่วมฉีดวัคซีนโควิด-19 ยิ่งเร็วเท่าไหร่ ยิ่งฟื้นบ้านเมืองได้เร็วเท่านั้น

วันนี้ (13 พฤษภาคม 2564) เมื่อเวลา 11.00 น. ณ ห้องประชุมศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายภานุ แย้มศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้การต้อนรับ นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และประธานมูลนิธิเพื่อการศึกษาและสังคม เดินทางมาเป็นประธานในพิธีมอบหน้ากากอนามัย จำนวน 10,000 ชิ้น พร้อมด้วย ปลัดกระทรวง พม. รองปลัดกระทรวง พม. ผู้ตรวจราชการกระทรวง พม. อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ ร่วมพิธีมอบหน้ากากอนามัยให้แก่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อจัดสรรไปยังอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) นำไปกระจายต่อยังประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มคนเปราะบางที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด - 19 โดยมี นางสาวนฤมล พงษ์สุภาพ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พระนครศรีอยุธยา นางกันตา ดีเติม ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมต้อนรับและรับมอบหน้ากากอนามัย

โดย นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และประธานมูลนิธิเพื่อการศึกษาและสังคม กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) อย่างกว้างขวางทั่วโลกในปัจจุบัน หนึ่งในมาตรการที่ได้ผลในการชะลอการแพร่ระบาด คือ การสวมใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการได้รับเชื้อและลดการแพร่กระจายเชื้อดังกล่าว มูลนิธิเพื่อการศึกษาและสังคม จึงเห็นถึงความสำคัญในการส่งมอบหน้ากากอนามัยให้แก่ประชาชนที่ขาดแคลน และกลุ่มเปราะบาง เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยอย่างจริงจัง เป็นการลดการแพร่ระบาดของการติดเชื้อ ในระหว่างรอการฉีดวัคซีนเพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ โดยมีอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครือข่ายการทำงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในพื้นที่ เป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยกระจายหน้ากากอนามัยไปยังพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ประธานรัฐสภา กล่าวอีกว่า การฉีดวัคซีน ถือเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด ผมฉีดแล้ว จะมีผลข้างเคียงบ้างเล็กน้อย เหมือนเราฉีดวัคซีนทั่วไปที่เราเคยฉีดกัน จึงขอถือโอกาสนี้มีส่วนร่วมเชิญชวนพี่น้องชาวพระนครศรีอยุธยา ถ้าท่านมีความพร้อมควรจะได้ไปฉีดวัคซีนกัน หากเราสามารถฝ่าวิกฤตนี้ไปได้ จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าประเทศเราไม่มีการขยายตัวของเชื้อรุนแรง และเราจะกลับสู่ภาวะปกติเร็วขึ้นกว่าที่คาดหมายไว้ ยิ่งเร็วเท่าไหร่ จะสามารถฟื้นบ้านเมืองได้เร็วเท่านั้น เพราะโรคมีส่วนเกี่ยวข้องกับทุกฝ่าย ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเรื่องสุขภาพ แต่รวมถึงเศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ อีกด้วย

ด้าน นายภานุ แย้มศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ณ วันนี้มีผู้ป่วยสะสม จำนวน 507 ราย หายแล้ว 240 ราย รักษาอยู่ 263 ราย เสียชีวิตสะสม 4 ราย จากประชากรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทั้งสิ้น 822,955 คน โดยมีผู้สูงอายุ จำนวน 185,359 คน กลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่ม จำนวน 72,355 คน รวมเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่มีความจำเป็นต้องได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในลำดับแรก จำนวน 257,712 คน ขณะนี้มีการลงทะเบียนจองวัคซีนแล้ว 12,344 คน ซึ่งระหว่างที่รอการฉีดวัคซีนนี้ การสวมหน้ากากอนามัยจึงเป็นมาตรการที่สำคัญยิ่งของทุกคนที่จะช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อได้ ทั้งนี้ ยังได้มอบให้ อสม. อปท. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ไปเคาะประตูบ้านเพื่อสอบถามความต้องการฉีดวัคซีนและช่วยลงทะเบียนประชาชนเป้าหมายกลุ่ม 60 ปีขึ้นไป และผู้มีโรคเรื้อรัง 7 ประเภทที่ต้องการฉีด ในห้วงวันที่ 12 - 18 พ.ค.64 ให้รีบลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้มากที่สุด เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ในการหยุดเชื้อ เพื่อชาติ เพื่ออยุธยา เมื่อทราบจำนวนวัคซีนที่เหลือจากผู้ไม่ประสงค์จะลงทะเบียนฉีดแล้ว จะได้วางแผนเตรียมจัดสรรให้กลุ่มอื่นที่มีความจำเป็นและต้องการฉีดวัคซีนดังกล่าวต่อไป


ภาพ/ข่าว  สุจินดา อุ่นขาว รายงานจากอยุธยา

นครนายก - มอบถุงยังชีพพระราชทาน ให้ประชาชนที่ประสบวาตภัย ในอำเภอบ้านนา

จังหวัดนครนายก จัดพิธีมอบถุงยังชีพพระราชทาน ให้กับประชาชนที่ประสบวาตภัย จำนวน 207 รายในพื้นที่อำเภอบ้านนา โดยมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่เป็นตัวแทนรับมอบ เพื่อนำส่งมอบให้กับผู้ประสบวาตภัย 

ที่หอประชุมอำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก นางวจิราพร อมาตยกุล นายอำเภอบ้านนา ได้เป็นประธานในพิธีถวายเครื่องราชสักการะหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นประธานในพิธีมอบถุงยังชีพพระราชทานของมูลนิธิราชประชาราชนุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ แก่ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน เพื่อมอบให้กับผู้ประสบวาตภัย จำนวน 207 ชุดพร้อมน้ำดื่ม ใน 6 ตำบลให้กับครอบครัวผู้ประสบวาตภัย ทั้งนี้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจและบรรเทาความเดือดร้อนในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5,6,7 พฤษภาคม 2564


ภาพ/ข่าว  สมบัติ เนินใหม่ / รัชชานนท์ เนินใหม่ ผู้สื่อข่าวจังหวัดนครนายก

ปทุมธานี - ฮือฮา ผู้ว่าฯปทุมธานี จับมือ นายแพทย์ สสจ.หักเงินเดือน "คนละครึ่งเดือน" ประกันแพ้วัคซีนโควิด-19 คุ้มครองสูงสุด1,000,000 บาท"

วันที่ 12 พ.ค. 64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ยิมเนเซียม 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี พร้อมด้วย นายแพทย์สุรินทร์ สืบซึ้ง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดปทุมธานี นายนิติชัย วิริยานนท์ นายอำเภอคลองหลวง  ได้ตรวจเยี่ยมสถานที่ในการดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้แก่ประชาชนที่ลงทะเบียนเอาไว้ในวันที่ 7 มิถุนายนที่จะถึงนี้ โดยยิมเนเซียม 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แห่งนี้ สามารถรองรับผู้ที่จะเข้ามาใช้บริการฉีดวัคซีนได้ประมาณ 3,000 คน

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามนายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี กรณีในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์ แอพพลิเคชั่นไลน์ กันอย่างกว้างขวาง สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมากในขณะนี้ โดยมีข้อความการแชร์ใจความว่า“ประกันแพ้วัคซีนโควิด-19 คุ้มครองสูงสุด1,000,000 บาท" ผู้ว่าฯปทุม จับมือ นายแพทย์ สสจ.หักเงินเดือน "คนละครึ่งเดือน" ซื้อประกันคุ้มครองสร้างความมั่นใจ

คนอายุ 60 ปี ขึ้นไป และเป็น 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

โทรมา สายด่วนชาวปทุม 02-5815658/065-9505772 , Line : สายด่วนโควิด-19 ชาวปทุม หรือ ID : @718myvcs

นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ยังกล่าวถึงกรณีดังกล่าวอีกว่าได้มีการประชุมกันในเรื่องนี้โดยเป้าที่เราต้องการคือคนอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งมีโรค 7 โรคด้วยกัน ปรากฎว่าที่เราสำรวจมีด้วยกัน 3 แสนกว่าคน ซึ่งมาลงทะเบียนเพียงสามหมื่นกว่าคน ดังนั้นจึงได้วางรูปแบบใหม่คือหากการลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชันไลน์ไม่สะดวกก็ให้ อสม.และ รพ.สต.รับลงทะเบียนให้ด้วยและเราก็มาจัดคิวการฉีดวัคซีน

ซึ่งหลายคนบอกว่าไม่มั่นใจกลัวผลข้างเคียง ซึ่งทางนายแพทย์สาธารณสุขกับทางทีมหมอจึงได้เสนอว่าถ้าเราสามารถซื้อประกันให้ได้เพื่อความมั่นใจเราก็น่ารองดู ซึ่งทางตนเองกับ สสจ.ปทุมธานี จึงได้ช่วยกันออกเงินเดือนคนละครึ่งเดือนก่อนเพื่อซื้อประกันให้กับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปที่มีโรค 7 โรคและมีรายได้ไม่สูงมากนักหรือคนที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐก็จะทำให้ประชาชนมั่นใจมากขึ้นเพราะประกันนี้คุ้มครองมากสุดถึง 1,000,000 บาทซึ่งมี 2 กรณีด้วยคือเสียชีวิตได้ 1,000,000 บาทกับหากเจ็บป่วยจะชดเชยรายได้วันละ 1,000 บาทเพื่อให้ประชาชนได้มั่นใจ โดยเมื่อช่วงเช้านี้ ทางจังหวัดได้มีการดำเนินทันทีพบมีผู้สนใจเป็นจำนวนมาก โดยประชาชนต้องนำบัตรประชาชน ใบรับรองว่าป่วยทั้ง 7 โรค และ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เราถึงทำประกันให้เพื่อความมั่นใจของประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปและมาฉีดวัคซีนกันให้มากที่สุดเพื่อให้ปทุมธานีปลอดภัย

พร้อมกันนี้ นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ยังได้กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้ว่า "เราทำงานเรื่องโควิดมีด้วยกัน 4 เรื่องคือ เรื่องที่ 1.คือการป้องกันซึ่งประชาชนและหน่วยงานราชการให้ความร่วมมือกันอย่างดี เรื่องที่ 2 คือ การค้นหาโดยจัดเจ้าหน้าที่ออกค้นหาผู้ติดเชื้อทั้งตลาด สนามกีฬา โรงงานต่างๆซึ่งยิ่งค้นหามากก็จะทำให้ประชาชนปลอดภัยมากยิ่งขึ้นหากใครป่วยก็จะดำเนินการรักษาอาการ เรื่องที่ 3.คือการรักษานั้นได้ทำงานกับทุกภาคส่วนทั้งบุคลากรทางการแพทย์ทั้งราชการและเอกชนช่วยกันเป็นอย่างดี และเรื่องที่ 4.คือการส่งกลับซึ่งหากส่งกลับแล้วเข้าบ้านไม่ได้เราก็มีสถานที่ที่พักได้เช่นในจวนผู้ว่าราชการจังหวัด บ้านพักผู้ว่าราชการจังหวัดและสถานที่ต่าง ๆ ที่เราได้เตรียมเอาไว้แล้ว

สำหรับพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดอย่างหนักนั้นทาง เราพยายามค้นหาผู้ติดเชื้อให้มากที่สุดโดย สคร.4 จังหวัดสระบุรี และ ทางกระทรวงสาธารณสุข ก็มาช่วยเราค้นหาซึ่งทางเราจะพยายามทำให้ได้วันละ 4,000 คนเพื่อที่จะนำผู้ป่วยมารักษาให้เร็วที่สุดโดยตนเองต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่อนุเคราะห์เรื่องโรงพยาบาลสนาม และ อาหาร ซึ่งความร่วมแรงร่วมใจของพี่น้องปทุมธานีจะสามารถผ่านเรื่องราวนี้ไปได้อย่างแน่นอน


ภาพ/ข่าว  สมเกียรติ ทรัพย์เฉลิม / รายงาน

ขอนแก่น - พร้อมใจส่งกำลังใจให้ทัพนักกีฬาไทยสู้ศึกโอลิมปิก ด้วยการร่วมวิ่งธงชาติไทย รวมใจสู่ชัยชนะ เส้นทางขอนแก่น-นครราชสีมา

เมื่อเวลา 07.00 น.วันที่ 13 พ.ค. 64 ที่ สนามกีฬาจังหวัดขอนแก่น อ.เมือง จ.ขอนแก่น นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น  นำประชาชนชาวขอนแก่น   ร่วมกิจกรรมวิ่งธงชาติไทย รวมใจสู่ชัยชนะ  ซึ่งการกีฬาแห่งประเทศไทย หรือ กกท. ร่วมกับภาครัฐ และภาคเอกชน ได้กำหนดจัดกิจกรรม ระหว่างวันที่ 28 .ค. - 27 พ.ค.  ซึ่งเป็นการวิ่งระยะไกล ผ่าน 35 จังหวัด 61 วัน ทั่วทุกภูมิภาค รวมระยะทาง 4,606 กิโลเมตร โดยมีประชาชนชาวขอนแก่นให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมาก ท่ามกลางมาตรการควบคุมและป้องกันจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด

โดยที่ ผวจ.ขอนแก่น ได้เชิญธงชาติไทย จากแท่นพำนักจุดปล่อยด้านหน้าสนามกีฬากลาง จ.ขอนแก่น และนำวิ่งธงชาติไทย จากจุดปล่อยตัวประจำวัน ไปตาม ถ.เหล่านาดี เพื่อส่งต่อให้กับคณะนักวิ่งที่ผ่านการคัดเลือกจากคณะทำงาน ซึ่งประกอบด้วยศิลปิน  ดารา นักแสดง  คณะผู้บริหาร จากหน่วยงานราชการ และเอกชนรวมไปถึงประชาชนผู้ที่สนใจ ได้มีส่วนร่วมในการวิ่งส่งต่อธงชาติไทย คนละ 1 กิโลเมตร

นายสมศักดิ์  จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น กล่าวว่า กิจกรรม "FLAG OF NATION" วิ่งธงชาติไทย รวมใจสู่ชัยชนะ ซึ่งเมื่อวานที่ผ่านมา คณะนักวิ่งได้วิ่งเข้าเขต จ.ขอนแก่น ผ่านทาง จ.เพชรบูรณ์และในวันนี้ขอนแก่นเป็นจุดปล่อยตัวเพื่อส่งต่อให้กับ จ.นครราชสีมา ตามแผนงานที่คณะทำงานได้กำหนดไว้ เพื่อส่งต่อกำลังใจไปถึงนักกีฬาทีมชาติไทย ที่จะเข้าแข่งขันโอลิมปิก 2020 ผ่านการวิ่งคนละ 1 กิโลเมตร ต่อเนื่อง 61 วัน 35 จังหวัด ระยะทาง 4,606 กิโลเมตร หรือเทียบเท่าระยะทางกรุงเทพฯ ไปยังกรุงโตเกียว

" กิจกรรมดังกล่าว เริ่มมาตั้งแต่ วันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา และวันนี้อยู่ในความรับผิดชอบของ จ.ขอนแก่น ซึ่งชาวขอนแก่นทุกคนพร้อมใจที่จะส่งกำลังใจให้กับทัพนักกีฬาไทยผ่านการจัดกิจกรรมดังกล่าว ดูได้จากจำนวนนักวิ่งที่สมัครร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการจัดกิจกรรม รวมไปถึงการรอให้การต้อนรับในจุดแวะพักต่างๆ ที่ทุกคนต่างร่วมด้วยช่วยกันเพื่อให้ทัพนักกีฬาไทยประสบความสำเร็จในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก Road To Tokyo 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ที่กำลังจะมาถึง"

ผวจ.ขอนแก่น กล่าวต่ออีกว่า การวิ่งครั้งนี้ขอนแก่น จัดอยู่ในลำดับที่ 27 จากจำนวนทั้งสิ้น 35 จังหวัด โดยขบวนธงชาติไทย ที่ออกวิ่งวันนี้นับเป็นกิโลเมตรที่ 1 ของจังหวัด นับรวมการจัดกิจกรรมเมือเข้าเขตตัวเมืองขอนแก่นอยู่ที่  3,544 กม. ของการจัดกิจกรรม  โดยในการวิ่งนั้นจะใช้เส้นทางขอนแก่น-บ้านแฮด-บ้านไผ่ สิ้นสุดที่ อ.พล จากนั้นจะส่งต่อให้กับ จ.นครราขสีมา ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้

 

กาฬสินธุ์ – สยบดราม่า “จนทิพย์” น้องโวลต์ เด็กเก่งสอบติดแพทย์ ชี้แจงว่าจนจริง สิ่งของที่มีมาจากการทำงานเก็บเงินซื้อ

เปิดใจ “น้องโวลต์” นักเรียนเก่งสอบติดแพทยศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม หลังเจอกระแสดราม่า “จนทิพย์” ระบุสิ่งของเครื่องใช้ที่เห็นทุกอย่างได้มาจากการทำงานตั้งแต่เรียนม.3เก็บเงินซื้อ เพื่อใช้ในการศึกษา พร้อมชี้แจงและขอบคุณผู้ใจบุญ ขณะที่นายอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ลงพื้นที่ให้กำลังใจ พ่อปลูกผักขายจนจริง พร้อมตั้งคณะกรรมการและที่ปรึกษาดูแลบัญชีเบิกจ่ายค่าเล่าเรียน 

จากกรณีที่มีการนำเสนอข่าวและโลกออนไลน์เผยแพร่เรื่องราวของนางสาวณัฐวดี เหล่าบุบผา หรือน้องโวลต์ อายุ 18 ปี นักเรียนโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ อยู่บ้านเลขที่ 14 หมู่ 9 บ้านหามแห ต.โพนทอง อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ ที่สอบติดแพทย์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม แต่ฐานะทางบ้านยากจน พ่อปลูกพืชผักขาย โดยมีการเปิดรับบริจาค กระทั่งนายอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ไปตรวจสอบ พบมีผู้ใจบุญบริจาครวมจำนวนเงินกว่า 2,700,000 บาท และได้ปิดรับบริจาคไปแล้ว เนื่องจากเพียงพอสำหรับการเรียนแพทย์แล้วนั้น

ทั้งนี้ต่อมาเรื่องดังกล่าวกลับกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากในโลกออน์ไลน์มีการจับโป๊ะภาพจากคลิปวีดีโอต่าง ๆ ของน้องโวลต์ที่ออกมาก่อนหน้านี้ โดยมีชาวเน็ตจับผิดเห็นไอแพดโปร ซึ่งมีราคากว่า 25,000 บาท นอกจากนี้ยังมีแอปเปิ้ล เพนซิล ขวดน้ำหอมดิออร์ยี่ห้อหรู รถยนต์ อินเตอร์เน็ตไวไฟ การจัดฟัน มีการตั้งข้อสงสัยว่าจนจริงหรือไม่ กระทั่งมีข้อความ “จนทิพย์” เป็นอันดับ 1 ในทวิตเตอร์ มีการพูดคุยกันมากว่า 2 แสนครั้ง รวมทั้งโลกออนไลน์มีการพูดคุยกันจำนวนมาก

ล่าสุดเมื่อเวลา 08.30 น.วันที่ 13 พฤษภาคม 2564 นายสมเจตน์ เต็งมงคล นายอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ พร้อมด้วย พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบและให้เข้าเยี่ยมครอบครัวนางสาวณัฐวดี เหล่าบุบผา หรือน้องโวลต์ อายุ 18 ปี ที่บ้านเลขที่ 14 หมู่ 9 บ้านหามแห ต.โพนทอง อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์อีกครั้ง หลังมีกระแสดราม่า โดยพบครอบครัวน้องโวลต์อาศัยอยู่บ้านพัก ลักษณะเพิงหมาแหงนมุงสังกะสี ปลูกสร้างอยู่กลางสวนท้ายหมู่บ้านเหมือนเดิม โดยน้องโวลต์ พร้อมด้วยนายธนวุฒิ เหล่าบุบผา อายุ 53 ปี พ่อน้องโวลต์ และครอบครัว รอให้ข้อมูล

นางสาวณัฐวดี เหล่าบุบผา หรือน้องโวลต์ อายุ 18 ปี กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องขอกราบขอบพระคุณผู้ใจบุญที่ช่วยกันบริจาคเงินให้กับตนทุกท่าน ไม่คาดคิดว่าจะมีผู้ใจบุญบริจาคเงินจำนวนมากขนาดนี้ ซึ่งยืนยันว่าตนจะนำไปเป็นทุนการศึกษาในการเรียนแพทย์ เพราะอยากเป็นหมอมารักษาคน และจะทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด

นางสาวณัฐวดี กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีมีกระแสดราม่าจนทิพย์ บอกว่าครอบครัวของตนไม่จนจริงนั้น ที่จริงแล้วไม่อยากพูด แต่เมื่อมีกระแสมีก็พร้อมที่จะชี้แจงทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องการจัดฟัน ตนทำงานพาดไทม์หลังเลิกเรียนหารายได้พิเศษมาตั้งแต่ ม.3 ซึ่งตอนนั้นฟันมีปัญหาได้ไปพบแพทย์แนะนำให้จัดฟันและรักษาไปด้วยเริ่มทำตอนม.4 ตอนนั้นพอมีเงินเก็บจากการทำงานจึงตัดสินใจรักษา เรื่องที่ 2 ไอแพด ตนทำงานเก็บพาดไทม์เช่นกัน พยายามเก็บหอมรอมริบประมาณ 1 ปีเศษ จึงซื้อมาใช้เพื่อค้นคว้าข้อมูลในการเรียน ส่วนอินเตอร์เน็ตไวไฟก็เป็นของพี่ชายที่ติดตั้งไว้ทำงานมีค่ารายเดือน 600 บาท พี่ชายเป็นคนชำระ

 นางสาวณัฐวดี กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีน้ำหอมนั้นตนซื้อมาในอินเตอร์เน็ตมือสอง ราคา 300 บาท มีน้ำหอมเหลือก้นขวด เอามาตั้งไว้เฉย ๆ ไม่ได้ใช้ ส่วนรถยนต์นั้นไม่ใช้ของครอบตน เป็นรถยนต์ของน้า ซื้อให้ลูกสะใภ้ใช้ ซึ่งหลังเกิดกระแสครั้งนี้ตนก็รู้สึกเสียใจ เพาะสิ่งที่ตนพูดไปนั้นเป็นความจริง ครอบครัวยากจนจริง ๆ ตนต้องทำงานหาเงินเรียนมาตั้งแต่ ม.3 ไม่อยากขอเงินพ่อ แม่อย่างเดียว และอยากให้ครอบครัวดีขึ้น กระทั่งมีความสนใจอยากเรียนแพทย์และอยากเป็นหมอ อย่างไรก็ตามขณะนี้ตนก็ได้ปิดบัญชีแล้ว และยืนยันว่าจะตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด

ด้านนายสมเจตน์ เต็งมงคล นายอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ กล่าวว่า  จากการตรวจสอบล่าสุดสอบครอบครัวนี้ค่อนข้างยากจน พ่อปลูกผักขาย ส่วนแม่ไม่มีอาชีพ ขณะที่น้องโวลต์นั้นก็เป็นเด็กเรียนเก่งขยัน อย่างไรก็ตามล่าสุดพบว่ามีผู้บริจาคเข้ามา รวมจำนวน 3,795,000 บาท ซึ่งขณะนี้ได้ปิดรับจาคและปิดบัญชีแล้ว โดยเบื้องต้นได้ให้น้องไปทำแผนค่าใช้จ่ายเรียนแพทย์ 6 ปีมาว่า มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ และจะตั้งเป็นคณะกรรมการและที่ปรึกษาในการเบิกไปใช้จ่าย ส่วนที่เหลือก็จะเก็บไว้แยกบัญชีออกมาเป็นทุนไว้เรียนต่อแพทย์เฉพาะทางต่อไป เพื่อให้เงินบริจาคเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้ใจบุญและความตั้งใจของน้องโวลต์

กรุงเทพฯ - มูลนิธิมาดามแป้ง หนุนสร้างซุ้มพ่นฆ่าเชื้อโควิด ในชุมชนพื้นที่เสี่ยงสีแดงคลองเตย-บ่อนไก่

มูลนิธิมาดามแป้ง หนุนสร้างซุ้มพ่นฆ่าเชื้อโควิด ในชุมชนพื้นที่เสี่ยงสีแดงคลองเตย-บ่อนไก่ 

ทีมอาสากล้าใหม่ มูลนิธิมาดามแป้ง ลงพื้นที่คลองเตยและบ่อนไก่พัฒนา สร้างซุ้มพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโควิด-19 ในจุดเสี่ยงของแต่ละชุมชน

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่กระจายไปหลายพื้นที่และทวีความรุนแรงขึ้นในเขตพื้นที่สีแดงของกรุงเทพมหานคร อย่างเขตคลองเตยและเขตปทุมวัน นอกจากให้ความช่วยเหลือด้านอาหารจากครัวมาดาม กล่องน้ำใจแก่ผู้กักตัว การออกฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อในพื้นที่ติดเชื้อต่อเนื่องทุกวันแล้ว ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา มูลนิธิมาดามแป้ง ขอเสริมความมั่นใจให้ชาวบ้านที่ต้องดำเนินชีวิตประจำวันนอกบ้าน ท่ามกลางสถานการณ์ความเสี่ยง ด้วยการมอบหมายให้อาสาที่มีฝีมืองานช่าง ลงพื้นที่สร้างซุ้มพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจุดเข้า-ออก และจุดผ่านสำคัญภายในชุมชน

ด้านมาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ ประธานกรรมการมูลนิธิมาดามแป้ง และ ซีอีโอ บมจ.เมืองไทยประกันภัย กล่าวว่า "เราอยากทำงานแบบบูรณาการตามสถานการณ์ ต้องทำแบบรอบด้านมันถึงจะสำเร็จ เพราะชาวบ้านยังต้องออกมาทำมาหากินเลี้ยงปากท้อง สัญจรผ่านพื้นที่สาธารณะ ดังนั้น อะไรที่จะช่วยบรรเทาปัญหา คลายความวิตกกังวลลงได้ เราก็ส่งทีมอาสาไปทำทันที ซึ่งขณะนี้ติดตั้งซุ้มนี้ครบทุกจุดตามเป้าหมายแล้ว ก็ช่วยให้ทุกคนมั่นใจขึ้นเวลาออกมาทำงานนอกบ้าน"

สำหรับชุมชนที่มูลนิธิได้ติดตั้งซุ้มดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว อาทิ ชุมชนพัฒนาใหม่, ชุมชน 70 ไร่, ชุมชนล็อค 4-5-6, ชุมชนล็อค 1-2-3, ชุมชนวัดคลองเตยใน, ชุมชนร่มเกล้า, ชุมชนโรงหมู, ชุมชนบ่อนไก่พัฒนา, ชุมชนเคหะบ่อนไก่ เป็นต้น โดยซุ้มดังกล่าวจะพ่นน้ำฆ่าเชื้อที่ได้รับมาตรฐานจากกรมอนามัย ที่สามารถสัมผัสกับผิวหนังมนุษย์ได้ มีลักษณะการฉีดพ่นแบบละอองฝอยทำให้น้ำยามีประสิทธิภาพสูงขึ้น 

ทั้งนี้ มูลนิธิมาดามแป้งยังมีแผนดำเนินตั้งซุ้มพ่นฆ่าเชื้อในอีกหลายจุดนอกเหนือจากภายในชุมชน อาทิ จุดตรวจคัดกรองประชาชนที่มีความเสี่ยง และจุดบริการฉีดวัคซีนที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดตั้งอีกด้วย  ประชาชนที่สนใจร่วมบริจาคสมทบทุนได้ที่บัญชี 092-2-61340-0 ธนาคารกสิกรไทย ชื่อบัญชี มูลนิธิมาดามแป้ง เพื่อโครงการสร้างสังคมแห่งการให้

นครพนม - นรข.นครพนม บูรณาการหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ยึดกัญชา 188 กก. วางทิ้งริมฝั่งแม่น้ำโขง

วันที่ 12 พฤษภาคม 2564 ที่สโมสรทหารสัญญาบัตร หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง นครพนม น.อ.ฤทธิ์ นาทวงษ์ ผบ.นรข.เขตนครพนม พร้อมด้วย พ.อ.วิทธิพงศ์ อรรคคำ รอง ผบ.บก.ควบคุมที่ 1 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี พ.ต.อ.จตุรงค์ มหิทธิโชติ ผกก.สส.ภ.จว.นครพนม พ.ต.ท.อัศรายุทธ ทองลอง สว.ส.รน.กก.10 บก.รน. ตำรวจน้ำนครพนม นายประพันธ์ศักดิ์ บุตรรัตต์ ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มงานบริหารปกครอง และนายจักรพงศ์ เที่ยงภักดิ์ ปลัดอำเภองานป้องกัน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงข่าวการตรวจยึดกัญชาจำนวน 188 แท่ง/กิโลกรัม ภายหลังชาวบ้านแจ้งว่าจะมีขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในพื้นที่

จากเมื่อวันที่ 10  พฤษภาคม 2564 นรข.เขตนครพนม ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าจะมีการลักลอบลำเลียงและซุกซ่อนยาเสพติดบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงด้านตอนท้ายเมืองลงไปในตำบลท่าค้อ อำเภอเมืองนครพนม จึงได้มีการรายงานผู้บังคับบัญชาและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันวางแผน โดย น.ท.วรภัทร แสงสุวรรณ หัวหน้า สน.เรือเขตนครพนม ได้นำกำลังพลร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอเมืองนครพนมลาดตระเวนและซุ่มตรวจการณ์ ทั้งทางบกและทางน้ำ ซึ่งใช้อยู่ 2 วัน กระทั่งเช้าวันนี้ เวลาประมาณ 5.45 น. ในขณะที่ชุดลาดตระเวนทางบกเดินลาดตระเวนริมฝั่งแม่น้ำโขงก็ได้ตรวจพบวัตถุต้องสงสัยเป็นกระสอบสีดำ จำนวน 4 กระสอบวางอยู่ใกล้กับสวนสมุนไพรบ้านท่าค้อ จึงได้มีการส่งสัญญาณและวางกำลังซุ่มอยู่บริเวณดังกล่าวจนเวลาผ่านไป 4 ชั่วโมงก็ไม่มีผู้ใดเข้ามาในพื้นที่ที่มีวัตถุต้องสงสัยวางเจ้าหน้าที่จึงได้ตัดสินใจเข้าทำการตรวจสอบ

ขณะเดียวกันชุดลาดตระเวนทางน้ำก็ได้ตรวจพบกระสอบสีดำลอยอยู่ในน้ำในบริเวณใกล้เคียงกันอีก 1 กระสอบ เจ้าหน้าที่จึงได้นำของกลางทั้งหมดมารวมกัน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าวัตถุภายในกระสอบเป็นยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 (กัญชา) จำนวน 188  แท่ง/กิโลกรัม จึงได้ร่วมกันทำบันทึกตรวจยึดไว้เป็นหลักฐานพร้อมนำของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครพนม เพื่อติดตามสืบสวนสอบสวนหาขบวนการผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 


ภาพ/ข่าว  สุเทพ หันจรัส ผสข.นครพนม

แม่ฮ่องสอน - ฝ่ายความมั่นคง ยืนยันชัดไม่มีกองกำลังใด ๆ เดินทางเข้ามายังชายแดนแม่สามแลบ และไม่มีการสู้รบในพื้นที่ริมฝั่งลำน้ำสาละวินมา 12 วันแล้ว

ภายหลังจากมีกระแสข่าวว่า จะมีบุคคลแปลกหน้า ที่คาดว่าจะเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดน หรือ BGF กว่า 100 นาย เดินทางจาก อ.แม่สอด จ.ตาก เตรียมเข้ามาในพื้นที่ริมแม่น้ำสาละวิน รวมไปถึงการแชร์ข้อความแจ้งเตือนประชาชนในเพจเครือข่ายต่าง ๆ โดยมีการ ระบุข้อความ ว่ามีรถขนกองกำลังดังกล่าว มาจาก อ.แม่สอด จ.ตาก 5-6 คัน จนเป็นเหตุให้ราษฏรในพื้นที่แม่สามแลบเกิดความหวาดกลัวไม่อยากให้มีสงครามกันขึ้นอีก

ด้านฝ่ายความมั่นคง ได้เปิดเผยว่า ขณะนี้พื้นที่ชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอน บริเวณริมแม่น้ำสาละวิน ไม่มีปฏิบัติการทางทหาร ไม่มีการสู้รบในฝั่งเมียนมา เงียบสงบมาเป็นระยะเวลา 12 วัน สถานการณ์เข้าสู่ภาะวะปกติ จึงขอชี้แจ้งข้อเท็จจริงว่า กระแสข่าวที่บอกว่าจะมีบุคคลแปลกหน้าหรือกองกำลังพิทักษ์ชายแดนเดินทางมานั้น เป็นข่าวเท็จ ส่วนกรณีมี รถทหารที่เดินทางเข้าออกพื้นที่บ้านแม่สามแลบ อ.สบเมย  จ.แม่ฮ่องสอน ในช่วงนี้เป็นเพียงการสับเปลี่ยนกำลังของทหารในพื้นที่เท่านั้น และฝ่ายทหารยืนยันว่า เรามีจุดยืน เป็นกลางไม่สนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีหน้าที่ทำให้ประชาชนปลอดภัย และรักษาอธิปไตย


ภาพ/ข่าว  สุกัลยา / ถาวร อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน

กาฬสินธุ์ – ชาวบ้านพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำพิธีไหว้ผีปู่ตา จุดบั้งไฟไล่โรคร้ายโควิด

ชาวบ้านในตำบลบัวบาน อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ร่วมกันประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์กราบไหว้เลี้ยงผีปู่ตา และบวงสรวงวิญญาณบรรพบุรุษ พร้อมจุดบั้งไฟเสี่ยงทายฟ้าฝน เพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนถึงฤดูทำนา และขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขับไล่สิ่งชั่วร้าย ขอให้ชาวบ้านรอดพ้นจากวิกฤติโรคร้าย โดยเฉพาะโรคโควิด-19 ให้สูญหายไปจากโลกนี้

เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2564 ที่บริเวณดอนปู่ตาบ้านตูม หมู่ 4 และหมู่ 19 ต.บัวบาน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ นางละมุล ภักดีนอก ผู้ใหญ่บ้านตูม หมู่ 4 นายสเตรสฉัน (สะ-เตรด-ฉัน) ภูนาสูง ผู้ใหญ่บ้านตูม หมู่ 19 และนายบรรเจิด สุธรรมมา พ่อขะจ้ำ หรือปราชญ์ชาวบ้าน นำชาวบ้านประกอบพิธีกราบไหว้เลี้ยงผีปู่ตา และบวงสรวงดวงวิญญาณบรรพบุรุษตามประเพณีวิถีชีวิตของคนอีสาน เพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนถึงฤดูทำนา และขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้ชาวบ้านรอดพ้นจากวิกฤติโรคร้ายต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคโควิด-19  โดยทุกคนที่เข้าร่วมพิธีต้องสวมหน้ากากอนามัย ขณะที่ อสม. ได้ตั้งจุดคัดกรอง และล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อโควิด-19 อย่างเคร่งครัด

นางละมุล ภักดีนอก ผู้ใหญ่บ้านตูม หมู่ 4 กล่าวว่า การประกอบพิธีเลี้ยงผีปู่ตา หรือปู่หอเหนือ และบวงสรวงดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รุกขเทวา ที่สถิตอยู่ ณ บริเวณดอนปู่ตาก็เพื่อขอให้ปกปักรักษาสรรพชีวิต และพืชพันธุ์ธัญญาหาร ให้อุดมสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ถือเป็นการสืบสานประเพณีวิถีชีวิตของชาวอีสาน ที่มีการสืบทอดให้อยู่คู่ชุมชนมาหลายชั่วอายุคน ซึ่งในส่วนของชาวบ้านตูม ก็ได้ปฏิบัติสืบเนื่องมาเป็นประจำทุกปี โดยชาวบ้านที่มาร่วมพิธี จะนำใบมะพร้าวมาทำเป็นสัญลักษณ์ แทนทรัพย์สินสิ่งของ เช่น บ้านเลขที่ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ โฉนดที่ดิน โดยเขียนเลขที่บ้าน ทะเบียนรถ เลขที่โฉนด นส 3 ก. มาสักการบูชาที่ศาลปู่ตา จากนั้นวางไว้ในบริเวณพิธี เพื่อความเป็นสิริมงคล เพื่อให้ผีปู่ตา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองรักษา

ด้านนายสเตรสฉัน (สะ-เตรด-ฉัน) ภูนาสูง ผู้ใหญ่บ้านตูม หมู่ 19 กล่าวว่า พิธีเลี้ยงผีปู่ตา หรือปู่หอเหนือ บวงสรวงดวงวิญญาณบรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านตูมร่วมกันจัดขึ้นดังกล่าว ถือเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีก่อนแยกย้ายกันลงมือทำนา ทั้งนี้หลังจากร่วมกันประกอบพิธีบวงสรวง ด้วยไก่ต้ม เหล้าขาว และเครื่องบวงสรวงต่างๆแล้ว ชาวบ้านก็จะร่วมกันแห่บั้งไฟไปรอบๆศาลปู่ตา 3 รอบ จากนั้นทำการจุดบั้งไฟเสี่ยงทายฟ้าฝน

นายสเตรสฉัน (สะ-เตรด-ฉัน) กล่าวอีกว่า เนื่องจากในช่วงนี้เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งอำเภอยางตลาดมีผู้ติดเชื้อมากที่สุดใน จ.กาฬสินธุ์มาถึง 34 ราย จากจำนวนสะสมทั้งจังหวัด 94 ราย ถึงแม้ผู้ติดเชื้อจะหายดีแล้ว แต่โรคนี้ยังมีการแพร่ระบาดอยู่ในหลายภูมิภาค และอาจจะแฝงตัวอยู่ในพื้นที่ ดังนั้นในการประกอบพิธีเลี้ยงผีปู่ตาในครั้งนี้ นอกจากชาวบ้านได้ขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายแล้วยังจุดบั้งไฟขับไล่โรคโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดทำให้มีผู้ได้รับเชื้อเจ็บป่วย  และเสียชีวิตให้หนีหายไป

อย่างไรก็ตามสำหรับจากการจุดบั้งไฟขับไล่โควิด-19 และเสี่ยงทายฟ้าฝนครั้งนี้ พ่อขะจ้ำหรือปราชญ์ชาวบ้านทำนายจากการที่บั้งไฟพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าว่า ฝนฟ้าจะดี มีตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารจะอุดมสมบูรณ์ และอาจจะเกิดภาวะอุทกภัย น้ำป่าไหลหลาก ซึ่งชาวบ้านจะได้อธิษฐานขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวง รวมทั้งขับไล่โรคติดเชื้อโควิด-19 สูญหายไปจากสังคมไทยอีกด้วย

(สัมภาษณ์ นายสเตรสฉัน (สะ-เตรด-ฉัน) ภูนาสูง ผู้ใหญ่บ้านตูม หมู่19)

กระบี่ – ฮือฮา ! อีกครั้ง เจ้าของร้านจำหน่ายอะไหล่ยนต์ชื่อดัง ผุดไอเดียร์ สุดบรรเจิด ให้รถฉุกเฉิน รพ.เปลี่ยนยางฟรี ไม่มีคิดเงิน

หลังจากที่สร้างความฉือฮา มาแล้ว ติดสติกเกอร์ชื่อร้าน ท้ายรถ ปะยางฟรีตลอดชีพ หวังช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายให้ รพ.ช่วงวิกฤติโควิด 19

วันที่ 12 พ.ค.64 หลังจากที่นายจักรพันธ์ วรรณประเสริฐ อ.47 ปี เจ้าของเจ้าของร้านประดับยนต์ ชื่อร้าน ส่งเสริมออโต้ เซ็นเตอร์ ตั้งอยู่เลขที่ 304 ม.6 ต.ปกาสัย อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ ได้สร้างความฮือฮาให้แก่ลูกค้าที่เข้าไปใช้บริการของร้าน ด้วยไอเดียร์สุดแปลกแหวกแนว มาแล้ว เมื่อเดือนที่ผ่านมา แปะสติกเกอร์ชื่อร้านท้ายรถ (ส่งเสริมออโต้ เซ็นเตอร์) ปะยางฟรีตลอดชีพ และล่าสุดทางเจ้าของร้านได้ผุดให้เดียร์ใหม่ อีกแล้ว โยได้ประกาศผ่านเฟสบุค ให้รถฉุกเฉิน ของ โรงพยาบาลในจังหวัดกระบี่ทุกโรง นำรถมาเปลี่ยนยงฟรี ไม่คิด พร้อมดูแลหลังการขายปะยางให้ฟรีตลอดชีพด้วย

ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบที่ร้านดังกล่าว พบว่าทางร้านกำลังเปลี่ยนยางให้ รถฉุกเฉิน ของโรงพยาบาลอ่าวลึก จากการสอบถามนายอรัญ คชาวุธ อายุ 52 ปี พนักงานขับรถ โรงพยาบาลอ่าวลึก ทราบว่า วานนี้ 11 พ.ค.ทางหัวหน้าฝ่ายของ รพ.อ่าวลึก ได้โทรมาแจ้งให้ตนนำรถไปเปลี่ยนยางที่ร้านส่งเสริมออโต้ เซ็นเตอร์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.เหนือคลอง โดยบอกว่าทางเจ้าของร้านยินดี เปลี่ยนยาง ให้รถฉุกของ รพ.ฟรี ทุกโรงที่อยู่ในจังหวัดกระบี่ ซึ่งตนเห็นว่ารถที่ตนขับอยู่ยางเริ่มสึกหรอ เพื่อความปลอดภัยจึงรีบนำรถมาเปลี่ยนยาง ซึ่งรถของตนได้เปลี่ยนยงเป็นคันแรก 

ด้านนายจักรพันธ์ (เจ้าของร้านฯ)เปิดเผยว่า ทางร้านเปิดให้บริการจำหน่ายอะไหล่รถยนต์ ยางรถยนต์ ล้อแม็กซ์ อุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ และบริการตั้งศูนย์ถ่วงล้อ ซ่อมช่วงล่าง ยกสูง โหลดเตี้ย และประดับยนต์มากว่า 14 ปี มีลูกค้าทั้งขาประจำและขาจรเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง และในช่วงนี้ เป็นช่วงวิกฤติโควิด 19 ตนเห็นว่ารถฉุกเฉินของโรงพยาบาล แต่ละแห่ง ถูกนำออกมาวิ่งใช้งานรับส่งผู้ป่วยกันอย่างต่อเนื่องในแต่ละวัน ทำให้ยางรถสึกเร็วกว่าปกติ ตนจึงเกิดไอเดียร์ เปลี่ยนยางรถให้ฟรี ไม่คิดเงิน เฉพาะ รพ.ในจังหวัดกระบี่ พร้อมบริการหลังการขายฟรี ไม่ว่าจะเป็นตั้งศูนย์ ถ่วงล้อ ทุก 1 หมื่น กม.

นายจักรพันธ์ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา เกิดวิกฤติโควิด 19 ถึง 2 รอบ ทำให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการกับทางร้าน มีจำนวนลดลง ตนก็เลยปิ้งไอเดียร์ ขึ้นมาว่ารถทุกคัน ที่มีสติกเกอร์ “ส่งเสริมออโต้ เซ็นเตอร์”ติดอยู่ที่รถ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าเก่าหรือใหม่ หากว่ารถล้อรั่ว ซึม เข้ามาใช้บริการปะยาง ทางร้านก็จะปะให้ฟรี ไม่คิดเงิน ซึ่งเหมือนกับว่าทางร้านได้ช่วยดูแลสังคมอีกด้านหนึ่ง ในการลดค่าใช้จ่ายของลูกค้า และตอนนี้เกิดวิกฤติโควิด 19 ระบาดระลอก 3 ตนก็เลยอยากช่วยแบ่งเบาโรงพยาบาล ที่เห็นบุคลากรทุกคนทำงานกันอย่างหนัก คิดไอเดียร์ โดยการเปลี่ยนยางให้ฟรี ไม่คิดเงินแม้บาทเดียว     

นายจักรพันธ์ ยังกล่าวถึงผลกระทบในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วยว่า ทางร้านได้รับผลกระทบด้วย เนื่องจากการเข้าใช้บริการของลูกค้าลดน้อยลง แต่ทางร้านก็ได้มีการแก้ปัญหาด้วยการพูดคุยกับตัวแทนจำหน่ายขอส่วนลดพิเศษเพื่อมาช่วยสนับสนุนเป็นส่วนลดให้แก่ลูกค้า โดยพบว่าช่วงนี้ลูกค้าหายไปประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีข้อดี ทางร้านสามารถดูแลให้บริการลูกค้าหลังการขายได้อย่างเต็มที่


ภาพ/ข่าว  ณัฏฐพงษ์  ศรีปล้อง รายงาน

บุรีรัมย์ - พิธีเปิด “ครัวพระราชทาน อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย” จังหวัดบุรีรัมย์

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ทรงห่วงใยและทรงตระหนักถึงความเดือดร้อนของราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จึงพระราชทานพระราชานุญาตให้สภากาชาดไทย โดยสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ จัดตั้ง “ครัวพระราชทาน อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย” ณ โดมสวนรมย์บุรี 200 ปี เทศบาลเมืองบุรีรัมย์ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ในระหว่างวันที่ 11 – 20 พฤษภาคม 2564 เพื่อประกอบอาหารปรุงสุกใหม่สำหรับนำไปมอบให้แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์

โดยในวันนี้ (12 พฤษภาคม 2564) เวลา 10.00 น. พลโท นายแพทย์อำนาจ บาลี ผู้อำนวยการสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิด “ครัวพระราชทาน อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย” มอบอาหารพระราชทาน จำนวน 3,500 ชุด ให้แก่นายอำเภอและผู้แทนชุมชน แบ่งเป็นอำเภอเมืองบุรีรัมย์ 1,500 ชุด และอำเภอคูเมือง 2,000 ชุด ณ โดมสวนรมย์บุรี 200 ปี เทศบาลเมืองบุรีรัมย์ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมเดินทางไปเยี่ยมผู้ป่วยติดเตียง ผู้ยากไร้ และผู้พิการ ในพื้นที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ เพื่อมอบอาหารพระราชทาน น้ำดื่ม และชุดธารน้ำใจกู้ชีวิตฝ่าวิกฤติโควิด-19 ยังความปลาบปลื้มแก่ประชาชนที่ได้รับอาหารพระราชทานและต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น

อาหารปรุงสุกใหม่จากครัวพระราชทาน อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย จะแจกจ่ายไปยังประชาชนในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ โดยคำนึงถึงการบริหารจัดการครัวที่เน้นความสะอาด ถูกสุขลักษณะ ประกอบอาหารปรุงสดใหม่ สะอาด โดยเน้นให้ผู้ประกอบอาหารแต่งกายตามมาตรฐาน คือ สวมหมวกคลุมผม สวมผ้ากันเปื้อน สวมหน้ากากอนามัย และสวมถุงมือ รวมถึงการแจกจ่ายอาหารพระราชทานที่มีการจัดระเบียบการรักษาระยะห่างทางสังคม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบริจาคเงิน 99 บาท ในโครงการ “พลังใจ 99 บาท ก้าวผ่านวิกฤต COVID-19” เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ต้องกักกันตน ผู้สูงวัยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ และไร้ที่พึ่ง เพื่อลดความเสี่ยง ป้องกัน และเยียวยาในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ผ่านการดำเนินงานของสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สำนักงานบริหารกิจการเหล่ากาชาด สถานีกาชาด เหล่ากาชาดจังหวัด และกิ่งกาชาดอำเภอ ด้วยการสแกน QR CODE ผ่านแอปพลิเคชันธนาคารในระบบ E-DONATION หรือโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาสำนักสีลม ชื่อบัญชี "สภากาชาดไทย เพื่อภัยพิบัติ" ประเภทบัญชี “กระแสรายวัน” เลขที่ 001-1-34567-0 หรือธนาคารกรุงไทย สาขาสุรวงศ์ ชื่อบัญชี "สำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย" ประเภทบัญชี “กระแสรายวัน” เลขที่ 023-6-06799-0 สอบถามเพิ่มเติมโทร.1664

สงขลา - เทศบาลนครสงขลา จับมือสาธารณสุขจังหวัดสงขลา และโรงพยาบาลสงขลาเปิดจุดคัดกรองกลุ่มเสี่ยง เร่งตรวจหาเชื้อโควิด-19 ให้กับประชาชน

ในพื้นที่เขตเทศบาลนครสงขลากลุ่มเป้าหมายวันนี้เป็นพนักงานเซเว่นอีเลฟเว่นทุกสาขา บริเวณถนนทะเลหลวง 36 คน และแม่ค้าตลาดรถไฟ 280 คน รวม 316 คน

วันนี้  12 พ.ค.64 ที่บริเวณลาน 5 ไร่ตรงข้ามพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา เทศบาลนครสงขลา ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลาและโรงพยาบาลสงขลาเปิดจุดคัดกรองกลุ่มเสี่ยงตรวจหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุกให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่เขตเทศบาลนครสงขลา  ในวันนี้ กลุ่มเป้าหมายเป็นพนักงานเซเว่นอีเลฟเว่น ทุกสาขาบริเวณถนนทะเลหลวง เขตเทศบาลนครสงขลา จำนวน 36 คน และแม่ค้าตลาดรถไฟ จำนวน 280 คนรวม 316 คน โดยตั้งจุด swab ที่บริเวณลาน 5 ไร่ตรงข้ามพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติจังหวัดสงขลา เขตเทศบาลนครสงขลา

โดยประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ทั้งพนักงานเซเว่นอีเลฟเว่น และแม่ค้าตลาดรถไฟก็เดินทางมาเพื่อทำการคัดกรอง บริเวณจุด swab อย่างต่อเนื่องมีการจัดระเบียบ ตรวจคัดกรองเข้มทั้งการวัดอุณหภูมิร่างกาย ใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือและจัดระยะห่าง ในการคัดกรองเข้าไปบริเวณที่ทำการตรวจหาเชื้อ covid-19

ในวันนี้ กลุ่มเป้าหมายทุกคนให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี โดยตั้งใจเดินทางมาตรวจคัดกรองเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง ที่ต้องเผชิญสภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-19 รอบที่ 3 ในครั้งนี้ หลังจากเมื่อวานนี้ได้ทำการคัดกรองกลุ่มเสี่ยง กลุ่มเป้าหมาย เป็นแม่ค้าตลาดทรัพย์สินพลาซ่าและพนักงานร้านลีวิวัฒน์และประชาชนถนนเทศบาล 1 รวม 220 คน ไปเรียบร้อยแล้ว

เนื่องจากยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่ ในพื้นที่เทศบาลนครสงขลาที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้เทศบาลนครสงขลาปฏิบัติการเชิงรุกตรวจหาเชื้อโควิด-19 ให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงพร้อมเน้นย้ำให้ประชาชนปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขและให้ความร่วมมือในการรับผิดชอบต่อสังคมอย่างเคร่งครัดอีกด้วย


ภาพ/ข่าว  นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

ชลบุรี - รมว.สุชาติ มอบ ผู้ช่วยฯ ลุยพัทยา ตรวจเยี่ยมการตรวจโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบการ

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ จ.ชลบุรี ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจการตรวจโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบการ

วันที่ 12 พ.ค.64 เวลา 08.00 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจลูกจ้างที่เข้ารับการตรวจโควิด-19 เชิงรุกเพื่อผู้ประกันตนในสถานประกอบการในพื้นที่ จ.ชลบุรี โดยมี นายสมชัย รัตนโอภาส ประธานบริหารโรงแรมในเครือเอวันกรุ๊ป และโรงแรมมิตร์บีช ตลอดจนคณะผู้บริหารเมืองพัทยา และคณะผู้บริหารโรงพยาบาลพญาไท ศรีราชา ร่วมให้การต้อนรับ ณ โรงแรมเอ วัน เดอะรอยัลครูซ พัทยา จ.ชลบุรี พร้อมนี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงานได้บรรยายสรุปเกี่ยวกับระบบการตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบกิจการ

นายสุรชัย กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากสภาพปัญหาในปัจจุบันได้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง และมีอัตราการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้มีดำริกำชับให้กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพิ่มจุดตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุกแก่แรงงานในสถานประกอบการเพื่อเร่งควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดในจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม เช่น นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง สมุทรสาคร และพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น

ในวันนี้ ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน มอบหมายให้ผมลงพื้นที่จังหวัดชลบุรี เพื่อมาตรวจเยี่ยมให้กำลังใจลูกจ้างและเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบการแก่ลูกจ้าง พร้อมทั้งให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ผู้ปฏิบัติงาน รวมทั้งตัวแทนจาก 6 บริษัทผู้ประกันตน ม.33 ที่เข้ารับการตรวจจำนวนทั้งหมด 346 ราย ประกอบด้วย บริษัท เอ-วัน พัทยา จำกัด จำนวน 28 ราย บริษัท เอ-วัน พัทยา จำกัด สาขาโรงแรมมิตร์บีช จำนวน 27 ราย บริษัท วั่นอี้ จำกัด จำนวน 56 ราย บริษัท วั่นอี้ จำกัด สาขาเอ-วัน พัทยาบีช รีสอร์ท จำนวน 2 ราย บริษัท สี่หุ่น จำกัด จำนวน 38 ราย และบริษัท วันทมิตร จำกัด จำนวน 95 ราย

อยุธยา - สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานอุปกรณ์ทางการแพทย์แก่โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

วันที่ 12 พฤษภาคม 2564 เวลา 19.45 น. นายแพทย์โชคชัย  ลีโทชวลิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา คณะผู้บริหาร ข้าราชการ ประกอบพิธีรับมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์พระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี  ประธานในพิธีถวายความเคารพเปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพถวายราชสักการะพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  

ตามที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องให้อากาศผสมออกซิเจนอัตราการไหลสูงจำนวน 5 เครื่อง  ผ่านทางกองทุนชัยพัฒนาสู้ภัย covid-19 (และโรคระบาดต่าง ๆ )มูลนิธิชัยพัฒนาให้กับโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยานำไปใช้ประโยชน์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID) ทำให้มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นจำนวนมากและเครื่องให้ออกซิเจนด้วยอัตราการไหลอากาศสูง (high flow oxygen therapy) เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีความจำเป็นและสำคัญในการช่วยชีวิตผู้ป่วยภาวะหายใจล้มเหลวหรือมีภาวะพร่องออกซิเจน จำนวน 5 เครื่อง โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยารู้สึกซาบซึ้ง และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นจนหาที่สุดไม่ได้

ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอพระบรมราชานุญาตถวายพระพรชัยมงคลด้วยความจงรักภักดี  ขออัญเชิญพลานุภาพแห่งพระศรีรัตนตรัย  พระบารมีแห่งพระสยามเทวาธิราช ตลอดจนพระบรมเดชานุภาพแห่งสมเด็จพระบูรพมหากษัตราธิราชเจ้าทุกพระองค์ ได้โปรดดลบันดาลอภิบาล และประทานพรให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระเกษมสำราญ พระราชหฤทัยชื่นบาน มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน

พระเกียรติคุณขจรขจายแผ่ไพศาล  สถิตเป็นมิ่งขวัญร่มเกล้า  แก่พสกนิกรชาวไทยตราบกาลนิรันดร์ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้


ภาพ-ข่าว ศูนย์ข่าวสารประชาสัมพันธ์โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา / สุจินดา อุ่นขาว รายงานจากอยุธยา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top