Thursday, 29 May 2025
SPECIAL

ร้อยเอ็ด - ชป.6 ปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนอุบลรัตน์เป็นวัลนะ 3 ล้าน ลบ.ม. และอีกใน 5 เขื่อนหลักภาคอีสานเติมน้ำลงแม่น้ำชี ช่วยเจือจางความเค็มการประปาเมืองร้อยเอ็ด คาด 2 วันเอาอยู่

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 16 พ.ค.2564 นายศักดิ์ศิริ  อยู่สุข ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 6 หรือ ชป.6 เปิดเผยว่า สำนักงานชลประทานที่ 6 ได้รับรายงานว่าประชาชนเมืองร้อยเอ็ดได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากน้ำประปามีรสเค็มเป็นผลมาจากคลอไรด์ในน้ำสูง   ซึ่งการประปาส่วนภูมิภาคสาขาร้อยเอ็ดได้ประสานขอให้ปรับเพิ่มการระบายน้ำลงแม่น้ำชีเพื่อเจือจางค่าคอลไรด์ในแม่น้ำชีบริเวณหน้าเขื่อนร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นจุดสูบน้ำดิบของการประปาส่วนภูมิภาคสาขาร้อยเอ็ด ชป.6  จึงได้ประสานเขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น เพื่อปรับเพิ่มการระบายน้ำจากวันละ 1.1 ล้าน ลบ.ม.เป็นวันละ 3 ล้าน ลบ.ม. เพื่อช่วยเติมน้ำลงลำน้ำพองและไหลไปลงแม่น้ำชีที่หน้าเขื่อนมหาสารคาม

" ขณะเดียวกันยังคงมีการปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนลำปาวจังหวัด จ.กาฬสินธุ์ เป็นวันละ 0.10 ล้าน ลบ.ม. เพิ่มการระบายน้ำเขื่อนในแม่น้ำชีตั้งแต่เขื่อนชนบท จ.ขอนแก่น เพิ่มขึ้นเป็นวันละ 0.24 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนมหาสารคาม เพิ่มการระบายน้ำเป็นวันละ 3.10 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนวังยาง จ.กาฬสินธุ์ เพิ่มการระบายน้ำเป็นวันละ 3.86 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนร้อยเอ็ดระบายน้ำวันละ 4.21 ล้าน ลบ.ม. และรักษาระดับน้ำเก็บกักของเขื่อนร้อยเอ็ด  เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับระบบสูบจ่ายน้ำดิบ"

นายศักดิ์ศิริ กล่าวต่ออีกว่า จากการตรวจวัดค่าความเค็มบริเวณหน้าเขื่อนร้อยเอ็ด จุดสูบน้ำดิบของการประปาส่วนภูมิภาคาขาร้อยเอ็ด เมื่อวานนี้ (15 พ.ค.   ) พบค่าความเค็มอยู่ในเกณฑ์ปกติแล้ว แต่น้ำประปาในส่วนบ้านเรือนของประชาชนจะยังมีรสกร่อยเนื่องจากยังมีน้ำที่มีค่าความเค็มค้างในระบบเส้นท่อของการประปาต้องใช้เวลาในการผันน้ำออกจากเส้นท่อคาดว่าน้ำประปาจะกลับเข้าสู่สถานปกติภายใน 1-2 วันนี้ ซึ่งการประปาส่วนภูมิภาคสาขาร้อยเอ็ดได้แจ้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนสามารถใช้น้ำเพื่อการอุปโภคได้โดยไม่เกิดอันตรายใดๆ อย่างไรก็ตาม ชป.6 ได้ประสานงานร่วมกับการประปาส่วนภูมิสาขาร้อยเอ็ด เพื่อให้การควบคุมค่าความเค็มในแม่น้ำชีบริเวณจุดสูบน้ำดิบของการประปาฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด พร้อมสั่งการให้โครงการชลประทานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ค่าความเค็มในแม่น้ำชีอย่างใกล้ชิด อีกด้วย

Vietnamese Boat People รำลึก ‘เรือมนุษย์เวียดนาม’ | LOCK LENS GURU EP.16

???? GURU : ดร.โญธิน มานะบุญ นักวิชาการอิสระ

 ▶️ หัวข้อ : Vietnamese Boat People รำลึก ‘เรือมนุษย์เวียดนาม’ ชีวิตสุดสิ้นหวังของผู้อพยพลี้ภัยกลางทะเล

อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021050108

???? ดำเนินรายการโดย เจ THE STATES TIMES

.

.

5 ทักษะ พัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน ความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ แก้ด้วยวิธีไหน?

เคยไหม? ที่ต้องพูดกับตัวเองว่า ทำไม่ฉันต้องมาเจอกับความสัมพันธ์ที่แย่ๆ ในที่ทำงานครั้งแล้วครั้งเล่า ทำไมเพื่อนร่วมงานไม่ค่อยชอบเรา ทำไมคนมักคอยจับผิดเรา และกลั่นแกล้งเราอยู่เสมอ บรรยากาศในการทำงานไม่มีความสุขอีกแล้ว หรือต้องหนีไปทำงานที่อื่นอีกครั้ง

คุณจะหนีไปไหนคะ? เพราะที่ไหนๆ ก็เหมือนกัน คือมีทั้งคนที่คุณชอบ และคนที่คุณไม่ชอบ มีทั้งคนที่ชอบคุณ และคนที่ไม่ชอบคุณ ถ้าคุณตั้งข้อสังเกตก็จะพบว่า เรื่องแย่ๆ บางเรื่องก็เกิดจากเพื่อนร่วมงาน บางครั้งก็เกิดจากตัวคุณเอง จะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้อย่างไร

คุณเปลี่ยนใครไม่ได้ ถ้าจะเปลี่ยนให้เปลี่ยนที่ตัวคุณเองเท่านั้น

1.) คุณควรทำงานอย่างคนที่มีทัศนคติเชิงบวก

หากคุณต้องการมีความสุข สนุกทุกวัน คุณควรเริ่มต้นด้วยการยุติการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับผู้อื่น การคอยจับผิด การเปรียบเทียบ และการตัดสินพิพากษาผู้อื่น เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้คุณมุ่งความสนใจไปในความคิดเชิงลบมากกว่าเชิงบวก

คุณควรเปลี่ยนความสนใจไปที่ การรู้จักยอมรับในตัวผู้อื่นให้ได้ เหมือนกับที่คุณยอมรับนับถือในตัวเอง คุณควรยอมรับความแตกต่าง มีความเคารพผู้อื่น และบริหารความแตกต่างของคนแต่ละบุคลิกให้ลงตัว

2.) ไม่ด่วนสรุปเรื่องใดๆ ถ้ายังไม่ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์

ข้อนี้ถือเป็นเรื่องที่จำเป็นมากในการทำงานร่วมกับผู้อื่น เป็นเรื่องสำคัญในการพัฒนาความสัมพันธ์ เพราะถ้ามีใครเสียความรู้สึก และเสียศักดิ์ศรีจากการตัดสินของคุณ จะกระทบถึงความสัมพันธ์ทันที ไม่ว่าคุณจะตัดสินใครในเรื่องใดก็ตาม คุณควรเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าคุณได้ข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ ก็เท่ากับว่าคุณพร้อมที่จะรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน

การเข้าใจผิดสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้นคุณควรคำนึงไว้เสมอว่า ทุกๆ คำพูดที่คุณพูดออกไป คำพูดเหล่านั้นจะกลับมาเป็นนายคุณ และคุณจำเป็นต้องรับผิดชอบทุกคำพูด

3.) ควรรู้จักการยอมรับเพื่อนร่วมงาน

คุณควรรักษาศักดิ์ศรีให้กับเพื่อนร่วมงาน ด้วยความสุภาพ อ่อนน้อม มีมารยาทที่ดี ให้เกียรติทุกคนเสมอ และปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเหมาะสม ไม่ควรสร้างสถานการณ์ที่ส่งผลในเชิงลบ เช่น การใส่ร้ายป้ายสี โยนความผิดให้ผู้อื่น วู่วาม ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล

คุณควรเปิดใจให้กว้าง ต้องรู้จักรักษาความรู้สึกของเพื่อนร่วมงาน บางเรื่องกฎเกณฑ์ก็ใช้ไม่ได้ คุณควรผสมผสานระหว่างความถูกต้องกับความถูกใจให้ลงตัว แยกให้ออกระหว่างความสัมพันธ์ส่วนตัวกับหน้าที่การงาน พยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรา คุณควรปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นเดียวกับที่คุณต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อคุณเช่นกัน

4.) พัฒนาทักษะเรื่องการสื่อสารให้เชี่ยวชาญ

คุณควรใส่ใจในคำพูดของเพื่อนร่วมงาน ไม่ควรมองข้าม เพราะคำพูดเหล่านนั้นเป็นผลดีต่อคุณ เป็นการช่วยให้คุณได้เข้าใจความรู้สึกและความกังวลของพวกเขาผ่านในสิ่งที่เขาพูด การตั้งใจฟังไม่มองข้าม ทำให้คุณจับประเด็นในเนื้อหาสาระสำคัญได้อย่างแท้จริง เป็นการหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิด ลดข้อผิดพลาดด้านการสื่อสาร ทำให้การสื่อสารเกิดประสิทธิภาพ สื่อสารได้ถูกต้อง กระชับ ฉับไว และตรงประเด็นมากขึ้น

5.) เมื่อพบปัญหาข้อขัดแย้งต้องรีบแก้ปัญหาให้เร็ว

คุณไม่ควรปล่อยให้สถานการณ์ต่างๆ ลุกลามและแย่ลงเรื่อยๆ สุดท้ายกลายเป็นปัญหาใหญ่ เรื่องไหนเป็นปัญหาที่นำไปสู่ความขัดแย้งต้องรีบแก้ไขทันที ในกรณีถ้าปัญหานั้นเป็นปัญหาใหญ่ คุณคนเดียวไม่สามารถแก้ไขเองได้ ให้คุณนำปัญหานั้นเข้าที่ประชุมระดมสมอง เพื่อหาทางออกร่วมกัน หรือแจ้งไปยังผู้บริหาร เพื่อขอคำแนะนำในการช่วยหาทางออกที่ดีที่สุดต่อไป

ทักษะทั้ง 5 ข้อนี้สามารถนำไปใช้ได้กับการพัฒนาความสัมพันธ์ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ความสัมพันธ์ส่วนตัว ครอบครัว การทำงาน และกับเพื่อน เชื่อว่าคุณสามารถรักษาสัมพัธภาพที่ดีให้มีความสุขและยาวนานได้อย่างแน่นอน

.

เขียนโดย อ.นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์

#Talktonitima


อ้างอิงข้อมูล

https://www.novabizz.com/NovaAce/Relationship/Skill.htm

https://fdirecruit.co.th/10-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B1/

‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ ผู้บุกเบิกเส้นทางการเมือง ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ นักการเมือง ‘แมวเก้าชีวิต’ ที่ครบเครื่องทั้ง ‘ฝีมือ-กึ๋น-บารมี’

ในยุทธจักรการเมืองช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา ตระกูลการเมืองที่ถูกกล่าวขานมากที่สุดคงหนีไม่พ้น ตระกูล ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ เหตุเพราะนักการเมืองรุ่นใหม่ไฟแรงอย่าง ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ได้กระโดดเข้าสู่วงการการเมืองอย่างเต็มตัว ด้วยการตั้งพรรคอนาคตใหม่ เมื่อปี 2561 ก่อนจะเข้าสู่สนามการเลือกตั้ง เมื่อปี 2562 และถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค พร้อมกับตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 10 ปี กรณีให้เงินพรรคกู้ยืมเงิน 191 ล้านบาท 

แม้ว่า จะถูกตัดสิทธิทางการเมือง แต่เชื่อของ ‘ธนาธร’ ก็ไม่ได้ห่างหายจากวงการการเมือง โดยได้ตั้งคณะก้าวหน้า และว่ากันว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ‘พรรคก้าวไกล’ ซึ่งเป็นพรรคสำรองของอนาคตใหม่ และตัว ‘ธนาธร’ แสดงตัวอยู่ฝั่งตรงข้ามรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างชัดเจน จะเห็นได้จากการออกมาวิพากวิจารณ์การทำงานของรัฐบาล อยู่เนืองๆ แม้ไม่ได้ทำงานในฐานะส.ส.แล้วก็ตาม

‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ ไม่ได้มีแค่ ‘ธนาธร’

แต่หากจะย้อนดูเส้นทางทางการเมืองของตระกูล ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ นั้น ผู้บุกเบิกที่แท้จริงนั่นคือ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ ซึ่งเป็นอาแท้ๆ ของ ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ (บุตรของพัฒนา และ สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ) นั่นเอง ต้องยอมรับว่าชื่อชั้นของ ‘สุริยะ’ นั้นได้สั่งสมบารมีทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปี ที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้คนทุกวงการทั้งในด้านการเมืองและธุรกิจ ต่างให้การยอมรับในฝีมือ ที่สำคัญเป็นหนึ่งในบุคคลที่สามารถทำงานให้กับประเทศชาติได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในสีเสื้อพรรคใดก็ตาม

เมื่อย้อนดูเส้นทางชีวิตของ ‘สุริยะ’ เขาไม่เพียงประสบความสำเร็จทางการเมืองเท่านั้น แต่ในช่วงก่อนที่จะเข้าสู่วงการการเมือง ตัวเขาเองนับเป็นนักธุรกิจที่มากด้วยฝีมือ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญที่นำพาเครือ ‘ซัมมิท’ ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เบอร์ 1 ของประเทศ ก่อนที่ผันตัวเองเข้าสู่แวดวงการเมืองเมื่อราวปี 2540

สำหรับประวัติส่วนตัวของ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ เกิดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2497 เป็นคนกรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของ อาฮง แซ่จึง (ถึงแก่กรรม) และบ่วยเชียง แซ่โป่ว (ถึงแก่กรรม) โดยเป็นบุตรคนที่ 4 ในจำนวนพี่น้อง 5 คน (คนที่ 2-5 ใช้นามสกุล จึงรุ่งเรืองกิจ) ดังนี้ สรรเสริญ จุฬางกูร, ดร.พัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ, โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ, สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ อิสริยา จึงรุ่งเรืองกิจ (เดิมชื่อ อริสดา) น้องสาวคนที่ 5

ช่วงวัยเรียน ‘สุริยะ’ กล่าวได้ว่าเป็นคนที่เรียนเก่งมาก หลังจบระดับมัธยมศึกษา จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ได้เข้าศึกษาต่อที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล แต่เพราะด้วยผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น จึงได้เรียนแค่ครึ่งปีเท่านั้น ทำให้ต้องเปลี่ยนแผนไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศแทน

กระทั่งเมื่อปี 2521 จบระดับปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ สหรัฐ อเมริกา ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ ของโลก

หลังจบการศึกษากลับมาจากสหรัฐ อเมริกา ซึ่งในขณะนั้น พี่ชายทั้งสอง คือ ‘สรรเสริญ’ และ ‘พัฒนา’ ต่างเป็นเจ้าของธุรกิจ โดย ‘สรรเสริญ’ เป็นเจ้าของซัมมิท ส่วน ‘พัฒนา’ แยกออกมาเป็นไทยซัมมิท ซึ่งทั้งคู่ต่างต้องการให้ ‘สุริยะ’ ไปช่วยงานของตนเอง

และท้ายที่สุด ‘สุริยะ’ ได้ตัดสินใจไปช่วยงาน ‘สรรเสริญ’ ซึ่งเป็นพี่ใหญ่ของตระกูล ที่ซัมมิท ก่อนแตกตัวออกมาทำธุรกิจของตัวเองในที่สุด ซึ่งคนที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจครั้งนั้น ก็คือ ‘โกมล’ พี่ชายคนกลางนั่นเอง

ถึงแม้ว่า ‘สุริยะ’ จะตัดสินใจไปช่วยงาน ‘สรรเสริญ’ แต่ในด้านความสัมพันธ์กับ ‘พัฒนา’ ยังคงแนบแน่น เพราะถือเป็นน้องชายสุดที่รัก ช่วงที่เรียนอยู่ต่างแดน ‘พัฒนา’ ก็ทำหน้าที่ส่งเสียน้องชายตลอด กระทั่งกลับมาอยู่ไทย ช่วงหนึ่งก็พักที่บ้านเก่าของ ‘พัฒนา’ ที่สุขุมวิท ด้วยอุปนิสัยที่เข้ากับคนได้ทุกคน จึงทำให้ ‘สุริยะ’ มีสายสัมพันธ์อันดีกับพี่น้องทุกคน

และด้วยสายสัมพันธ์อันดีกับพี่น้องทุกคนนี่เอง จึงทำให้ ‘สุริยะ’ สามารถก้าวเข้าสู่วงการการเมืองได้อย่างไม่ลำบากนัก โดยมีพี่ ๆ เป็นแบ็คคอยหนุนหลังให้

ก่อนที่จะฉายแววเป็นนักการเมืองผู้มากด้วยบารมีดังเช่นทุกวันนี้ ‘สุริยะ’ ที่ผันตัวเองจากนักธุรกิจ เข้าสู่เส้นทางการเมืองในสีเสื้อของของพรรคกิจสังคม โดยเริ่มต้นด้วยการที่ปรึกษารัฐมนตรีหลายกระทรวง ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม - ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี - ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ – ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์

ก่อนที่จะได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีครั้งแรก เมื่อปี 2541 ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาล ‘ชวน หลีกภัย’ 

แต่ชื่อเสียงของ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรือกิจ’ เริ่มก้าวสู่ทำเนียบนักการเมืองระดับบิ๊กเนม เมื่อปี 2544 หลังจากแท็กทีม ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ ลาออกจากพรรคกิจสังคม แล้วย้ายมาสังกัดพรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ที่ก่อตั้งพรรคใหม่ในขณะนั้น

ด้วยฐานเสียงของ ส.ส.ภาคเหนือตอนล่างในมือของ ‘สมศักดิ์’ ผนวกกับการมีทุนใหญ่อย่าง ‘สุริยะ’ ทำให้มุ้งการเมืองในชื่อ ‘กลุ่มวังบัวบาน’ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ ‘เจ๊แดง’ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ กลายเป็นมุ้งใหญ่ที่มีอำนาจการต่อรองสูงขึ้นมาในทันที

แน่นอนว่า ด้วยทุนและอำนาจต่อรองในมือ รวมถึงการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี สามารถคุยได้กับทุกก๊กทุกก๊วนการเมืองในพรรคไทยรักไทย ส่งผลให้ ‘สุริยะ’ ขยับขึ้นเป็นแกนนำหลักของ พรรคไทยรักไทย ในเวลาไม่นาน มีตำแหน่งเป็นถึงเลขาธิการพรรค และผู้สมัคร ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ต้น พร้อมตามมาด้วยการเป็นเจ้ากระทรวงเกรดเอ อย่าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (ปี 2544 และปี 2548) และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (ปี 2545 และปี 2548) เรื่อยมา โดย ‘สมศักดิ์’ ช่วยเหลือผลักดันอยู่เบื้องหลัง  

ก่อนรัฐบาลพรรคไทยรักไทยถูกยึดอำนาจเมื่อปี 2549 กลุ่มของ ‘สุริยะ-สมศักดิ์’ ที่ได้แยกออกมาตั้งกลุ่ม ‘วังน้ำยม’ ถูกลดบทบาทลง โดยตำแหน่งสุดท้ายของ ‘สุริยะ’ ในสีเสื้อพรรคไทยรักไทย เหลือเพียงเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีเท่านั้น

หลังถูกยึดอำนาจปี 2549 ‘สุริยะ’ เก็บตัวเงียบ พร้อมข่าวลือที่ว่าเขาหลบไปรักษาอาการป่วยหนักที่ต่างประเทศประกอบกับขณะนั้น โดนพิษการเมืองเล่นงาน ซึ่งถือเป็นรอยด่างในชีวิตการเมือง ทั้งกรณีถูกตัดสิทธิการเมือง 5 ปี ตั้งแต่ 30 พ.ค. 2550 จากคดียุบพรรคไทยรักไทย และถูก คสต. ซึ่งแต่งตั้งขึ้นโดยคำสั่งหัวหน้าคณะรัฐประหาร ตรวจสอบคดีทุจริตจัดซื้อเครื่องตรวจสัมภาระภายในสนามบินสุวรรณภูมิ หรือ CTX 9000 ขณะดำรงตำแหน่ง รมว.คมนาคม เมื่อปี 2548 แต่ต่อมา ป.ป.ช. มีมติยกคำร้องไปเมื่อปลายปี 2555 เนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ

แต่มักมีคำกล่าวว่า คนเก่งย่อมตกงานไม่นาน เมื่อจู่ ๆ ก็ปรากฏชื่อของ ‘สุริยะ’ หวนคืนสนามการเมืองอีกครั้งในนาม พรรคภูมิใจไทย ในปี 2552 เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่เวทีเลือกตั้งในปี 2554 จากการชักชวนของอดีตแกนนำจากไทยรักไทย นำโดย ‘เนวิน ชิดชอบ’ ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ ‘สุชาติ ตันเจริญ’ และ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ แต่การเลือกตั้งในครั้งนั้น ได้จำนวน ส.ส.ต่ำกว่าเป้าอย่างมาก โดยได้มาเพียงแค่ 34 ที่นั่งเท่านั้น ทำให้ต้องกลายเป็นฝ่ายค้านร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ และชื่อของ ‘สุริยะ’ ก็เริ่มหายจากหน้าสื่ออีกครั้ง

แต่แล้วเมื่อปลายปี 2561 ชื่อของ ‘สุริยะ’ ก็กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง เมื่อแท็กทีมกับ สมศักดิ์ เทพสุทิน - สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ตั้ง กลุ่มสามมิตร ก่อนที่จะตั้งเป็น ‘พรรคพลังประชารัฐ’ หนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัย

ภายใต้สีเสื้อของพรรคพลังประชารัฐ แม้จะมีหลายกลุ่มหลายก๊วน เรียกว่าเป็นแหล่งซุ่มมังกรซ่อนพยัคฆ์ แต่ ‘สุริยะ’ ก็ยังมีบทบาทสำคัญอย่างมาก โดยได้รับความไว้วางใจให้เป็นประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคอีสาน ทำให้ได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ และถือว่าเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้พรรคพลังประชารัฐ กวาด ส.ส. มาได้กว่าร้อยที่นั่ง ตามหลังพรรคเพื่อไทยที่มากกว่า ราวสิบที่นั่งเท่านั้น พร้อมกับการได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล

ทำให้ ‘สุริยะ’ ได้หวนคืนกระทรวงอุตสาหกรรมอีกครั้ง ในฐานะเจ้ากระทรวงเป็นคำรบที่ 3 แม้หลายคนจะตั้งข้อสังเกตุว่า ที่ได้ตำแหน่งมา เพราะกุมจำนวนส.ส.ในมือจำนวนมาก

แต่หากมองให้ลึกลงไป รัฐบาลชุดนี้ ที่กำลังผลักดันประเทศให้ปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคใหม่ที่แข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้อย่างยั่งยืน ถ้าจะมองหาใครซักคนในรัฐบาลชุดนี้ ที่มี ‘กึ๋น’ มีฝีมือเจนจัดในเรื่องอุตสาหกรรมของประเทศไทย เชื่อว่าชื่อแรกที่เด้งขึ้นต้องเป็น ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ อย่างแน่นอน

เพราะ ‘บารมี’ และ ‘กึ๋น’ ของ ‘สุริยะ’ ที่สั่งสมมายาวนาน ไม่เพียงได้รับการยอมรับจากแวดวงการเมืองเท่านั้น แต่ในฟากธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม ต่างยอมรับในฝีมือของเจ้ากระทรวงคนนี้ ที่รู้ลึก รู้จริง ในทุกเรื่องที่ภาคอุตสาหกรรมต้องการ

แม้ในชีวิตการเมืองของ ‘สุริยะ’ จะมี ‘รอยด่าง’ อยู่บ้าง จากคดีความที่ถูกกล่าวหาโดยค.ต.ส. และการติดร่างแห คดียุบพรรคไทยรักไทย รวมถึงมีหลานอา อย่าง ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ที่อยู่คนขั้วการเมืองอย่าง ‘ตัดขาด’ ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกัน นอกจาก ‘นามสกุล’ เท่านั้น 

แต่หากพูดถึงฝีไม้ลายมือในการทำงานแล้ว ‘สุริยะ’ ไม่เป็นสองรองใครแน่ เพราะได้ผ่านการพิสูจน์ฝีมือมาแล้ว ไม่เช่นนั้น พรรคการเมืองที่เป็นแกนนำรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชวน พรรคประชาธิปัตย์ รัฐบาลทักษิณ ในนามพรรคไทยรักไทย จนมาถึงรัฐบาลพ.อ.ประยุทธ์ ในสีเสื้อพรรคพลังประชารัฐ ต่างยกให้เป็นมือ ‘ทำงาน’ ในกระทรวงสำคัญ ระดับเกรดเอ ทั้งสิ้น

เช่นนี้แล้ว คงปฏิเสธยากว่าผู้ยิ่งใหญ่ของกลุ่มสามมิตร ในพรรคพลังประชารัฐ นาม ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ คือหนึ่งใน ‘แมวเก้าชีวิต’ ของวงการการเมืองไทยอย่างแท้จริง

???? LOCK LENS GURU เปิดตัว ‘กูรู’ ทั้ง 5 ท่าน ในสัปดาห์นี้ !! (17 พ.ค. - 21 พ.ค)

???? LOCK LENS GURU เปิดตัว ‘กูรู’ ทั้ง 5 ท่าน ในสัปดาห์นี้ !!

???? เริ่ม วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม - วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม

???? ทุกเช้า 8 โมงตรง

???? มาร่วมเจาะลึกประเด็นที่น่าสนใจ ไปกับ ‘กูรู’ ตัวจริง พร้อมกัน เร็วๆนี้

 

????EP.16 วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม

???? GURU : ดร.โญธิน มานะบุญ

นักวิชาการอิสระ

▶️ หัวข้อ : Vietnamese Boat People รำลึก ‘เรือมนุษย์เวียดนาม’ ชีวิตสุดสิ้นหวังของผู้อพยพลี้ภัยกลางทะเล

อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021050108

 

????EP.17 วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม

???? GURU : ผศ.ดร.สุทัศน์ จันบัวลา

อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

▶️ หัวข้อ : ฟ้าผ่า ภัย(ไม่)เงียบ ที่มาพร้อมกับพายุ ฝนฟ้าคะนอง

อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021041704

.

????EP.18 วันพุธที่ 19 พฤษภาคม

???? GURU : ดร.พีรภัทร ฝอยทอง

ทนายความและที่ปรึกษากฏหมาย

▶️ หัวข้อ : โทเคนดิจิทัล ทางเลือกใหม่ของการลงทุนในยุคดิจิทัล

อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021042405

 

????EP.19 วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม

???? GURU : คุณอรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ

คอลัมน์นิสต์อิสระ นักแปล นักเล่าข่าว

▶️ หัวข้อ : รู้จัก Nongshim บะหมี่เบอร์ 1 สัญชาติเกาหลีใต้ สำเร็จบนความศรัทธา ที่แลกมาด้วยการตัดพี่ตัดน้อง

อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021042508

.

????EP.20 วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม

???? GURU : อาจารย์อาทิตยา ทรัพย์สินวิวัฒน์

อาจารย์ประจำสาขานวัตกรรมการสื่อสาร วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

▶️ หัวข้อ : ถอดรหัส 'วันทอง' รอยต่อ 'ความสำเร็จ' ของช่องวัน ขึ้นแท่น “นัมเบอร์วัน” ละครหลังข่าว

อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021050213

 

???? ดำเนินรายการโดย เจ THE STATES TIMES

 

???? ช่องทางรับชม LIVE

Facebook: THE STATES TIMES

YouTube: THE STATES TIMES

รู้จัก ‘โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ’ ‘พี่สาม’...ผู้ Low Profile แต่ High Profit เลือดแท้ ‘ตระกูลจึง’ นอกรั้วธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์

ภายหลังจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ประเทศไทยก็ได้มี 3 ส.ส. จาก 2 พรรคการเมืองใหญ่ ที่ใช้นามสกุลเดียวกันว่า ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’

คนแรกคือ ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ไพร่หมื่นล้าน หัวหน้าพรรค ‘อนาคตใหม่’ (ถูกยุบ)

อีก 2 ท่านคือ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ และ ‘พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ’ ผู้ลงสมัครในฐานะ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคพลังประชารัฐ ในอันดับที่ 2 และ 16

หลายคนอาจจะมองว่าตระกูลเดียวกัน ยังไงก็ตัดกันไม่ขาด!! ต่อให้อยู่ฝ่ายการเมืองแบบคนละฟาก แต่สัมพันธภาพของครอบครัวก็พร้อมจะยอมรับกับเส้นทาง ‘ซ้าย’ หรือ ‘ขวา’ ของคนใน ‘ตระกูล’ แบบรู้เห็นเป็นใจกันบ้างไม่มากก็น้อย

แต่หากมองจาก ‘เส้นทาง’ ในปัจจุบันของ ส.ส. 2 ฟากจากวงเครือญาติเดียวกัน คงพอพูดได้ว่า ‘ยากจะบรรจบ’ เพียงแต่จะให้ฟันธงว่าทั้ง 2 ขั้วการเมืองในตระกูลเดียวกัน มีความขัดแย้งในแง่อื่นๆ หรือไม่นั้น? อันนี้พูดยาก!! พูดยาก!! พูดยาก!!

ทั้งนี้ หากลองไล่เรียงความเป็นมาของ ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ จะพบว่า ตระกูลนี้เติบโตมาจากการทำมาค้าขายธุรกิจชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ ซึ่งปัจจุบันเฉพาะแค่ ‘ซัมมิท’ และ ‘ไทยซัมมิท’ (ธนาธร) ก็น่าจะครอบคลุมส่วนแบ่งตลาดในไทยไปแล้วกว่า 80% แล้ว

….แต่ก็ต้องบอกก่อนว่าตระกูลนี้ไม่ใช่ ‘กงสี’ ธุรกิจฝั่งใครก็ฝั่งนั้น และคนที่แยกธุรกิจออกไปทำเอง ก็ไม่ได้มีความผูกพันกันแต่อย่างใดต่ออีกครอบครัว

ขณะเดียวกันหากลงไปดูสาแหรกเครือญาติแล้ว คนรุ่นใหม่ของตระกูลอย่าง ‘พงศ์กวิน’ และ ‘ธนาธร’ ที่เข้ามาในวงการเมืองด้วยวัยหนุ่มแน่นนั้น ถือเป็นยุคเดียวกันของตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ ด้วยอายุห่างกันแค่ปีเศษๆ

โดยปู่และย่าของทั้งคู่ คือ ‘โหลยช้วง แซ่จึง’ และ ‘บ่วยเซียง แซ่จึง’ ซึ่งทั้ง 2 ท่านมีลูกด้วยกัน 5 คน ได้แก่…

• สรรเสริญ จุฬางกูร

• พัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ (บิดาธนาธร)

• โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ (บิดาพงศ์กวิน)

• สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ

• และ อริสดา จึงรุ่งเรืองกิจ

ทั้งนี้ สรรเสริญ ซึ่งเป็นพี่ใหญ่ ได้เปลี่ยนนามสกุลไปให้แตกต่างจากพี่น้องคนอื่นเป็น ‘จุฬางกูร’ ขณะที่พี่น้องอีก 4 คนใช้นามสกุลร่วมกันคือ ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’

ส่วน ‘ธนาธร’ แห่งอนาคตใหม่ คือ บุตรชายคนโตของ ‘พัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ’ (เสียชีวิต) และ ‘สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ’

ขณะที่ ‘โฟม-พงศ์กวิน’ แห่งพลังประชารัฐ คือ บุตรชายคนโตของ ‘โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ’ ซึ่งทั้งคู่อายุห่างกันเพียงปีเศษเท่านั้น

หลายคนอาจจะรู้จัก ‘ธนาธร’ ดีถึงดีมาก รวมถึงคุณแม่สมพร แต่หลายคนอาจจะแค่คุ้น ‘พงศ์กวิน’ แต่ถ้าย้อนไปมองคุณพ่อ ‘โกมล’ ต้องบอกว่าชื่อนี้คือชื่อของชายชายแห่งตระกูลจึงที่เจนจัดมากๆ ในสังเวียนธุรกิจและการลงทุนสูง

โกมล เป็นน้องคนที่ 3 ของ ‘สรรเสริญ จุฬางกูร’ และเป็นพี่ชายของ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ ซึ่งในวงการสื่อมักจะยกให้เขาเป็นบุคคลที่ ‘Low Profile’ แต่ ‘High Profit’ เป็นคนทำธุรกิจแบบเรียบง่าย ไม่ชอบเปิดตัว 

บ่อยครั้งชื่อของ ‘โกมล’ ปรากฏออกมาในตลาดหุ้น ด้วยการถือหุ้นหลายบริษัท โดยนักลงทุนส่วนใหญ่มักคิดโยงใยว่าเขามีส่วนกับการเก็งกำไรหุ้นร้อนหลายตัวในตลาด ซึ่งในความเป็นจริง ‘เขา’ คือ บ่อทองที่นักธุรกิจรายใหญ่ ต่างวิ่งเข้ามาหาเองเสียมากกว่า จากการที่ลงไปจับอะไร ก็มีโอกาสปังเกือบทั้งสิ้น

โกมลเป็นนักธุรกิจที่มากด้วยกิจการในฐานะเจ้าของ 100% ทุกธุรกิจที่ทำประสบความสำเร็จ ปราศจากปัญหาสภาพคล่อง เขาเป็นเจ้าของธุรกิจรองเท้า ‘แอร์โรซอฟท์’ ที่ผลิตเดือนละ 2 ล้านคู่ ส่งออกไปขายต่างประเทศเป็นหลักที่ 70% โดยมีตลาดหลักอยู่ที่ตะวันออกกลาง

เขามีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเป็นเจ้าของสนามกอล์ฟไพน์เฮิร์สท ย่านรังสิต เป็นเจ้าของอพาร์ตเม้นต์ให้เช่าหลายหมื่นยูนิต ย่านรังสิต เป็นเจ้าของรับเหมาก่อสร้าง ไปจนถึงโรงงานผลิตเคมีสำหรับงานเคลือบหลังคากระเบื้อง 

นอกจากนี้ยังถือหุ้นใหญ่กว่า 60% ในบริษัท อกริเพียวโฮลดิ้งส์ฯ (APURE) ซึ่งหากย้อนไปเมื่อ 5-6 ปีก่อน APURE มีสภาพไม่ต่างจาก IEC (บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) ที่ถูกดร.อดีตมือดีของ ดีแทค เพิ่มทุนไป-มา ทำพังและนำมาสู่ความย่ำแย่ของ IEC) โดยตอนนั้น ‘โกมล’ ออกมาแสดงฝีมือการบริหารด้วยตัวเอง ตั้งแต่การซ่อมบำรุงเครื่องจักรการผลิตใหม่ทั้งหมด ด้วยตัวของเขาเอง ซึ่งมีความรู้ช่างเครื่องเป็นอย่างดี ช่วยประหยัดต้นทุนได้อย่างมากให้กับ APURE 

และไม่เพียงแค่การลงแรงดูเครื่องจักร เขายังลงมาคลุกกับการปรับปรุงคุณภาพการผลิตที่ให้ผลผลิตต่อหน่วยที่สูง ผลิตเม็ดพันธุ์ข้าวโพดที่มีคุณภาพ การบริหารจัดการผลประโยชน์ให้กับชาวไร่ข้าวโพด ทำให้ APURE ฟื้นจากบริษัทขาดทุน สู่บริษัทที่กลับมาสร้างกำไรได้ในเวลาไม่นานนัก โดยผลงานที่ชัดมาจากตัวเลขกำไรของ APURE เมื่อปี 2559 ที่สร้างสถิติสูงสุด 191 ล้านบาท เติบโตจากปี 2558 ที่มีกำไร 96 ล้านบาท โตเกือบเท่าตัว และปี 2557 มีกำไรเพียง 79 ล้านบาท จนในที่สุดกลับมาจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ปีละ 2 ครั้ง ได้ถึงทุกวันนี้

แล้วนั่นก็เป็นเหตุผลให้ต่อมาบรรดาผู้ถือหุ้นรายย่อยกว่า 25,000 คนของบริษัท IEC ตัดสินใจเลือก โกมล เข้ามากอบกู้ IEC ยุคคลุกฝุ่น เพราะมองว่าเป็นคนที่มีความตั้งใจ มีศักยภาพพร้อมทั้งเงินและบุคลากร โปร่งใส ไม่เอาเปรียบ ทำร้ายผู้ถือหุ้น และพร้อมทำธุรกิจใหม่ๆ ที่จะปรับปรุงธุรกิจเดิมที่มีอยู่ให้เดินหน้าต่อไปได้ แม้สุดท้าย IEC จะต้องเดินเข้าแผนฟื้นฟูก็มิได้แคร์ 

ทั้งนี้ หากมองการลงทุนส่วนตัว ‘โกมล’ ก็มักจะถูกเล็งในฐานะแม่เหล็กดึงดูดนักลงทุนรายย่อย เพราะไม่ว่าจะลงทุนหุ้นตัวไหน ก็มักเชื้อเชิญรายย่อยมาร่วมเติมเต็มมูลค่าการซื้อขายตัวนั้นๆ เสมอ เช่น...

การลงทุนใน พร๊อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟ็ค จำกัด (มหาชน) หรือ PF และหุ้นบริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) หรือ BWG จนทำให้ 2 หุ้นที่แทบไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย กลับมาซื้อขายกันอย่างคึก ทั้งมูลค่าซื้อขายที่หนาตาและราคาที่ร้อนแรง โดยรูปแบบการเก็งกำไรหุ้น PF และ BWG ไม่ได้ซับซ้อนซ่อนกระบวนท่าอะไรมากหนัก เป็นการเข้าไล่เก็บหุ้นในกระดาน เหมือนกับปกติที่เคยลงทุนหลายตัวมาในอดีต

แต่ไฮไลต์มันอยู่ตรงที่ ‘โกมล’ มีการขยับพอร์ตหุ้น PF อีกครั้ง ด้วยการเข้าซื้อหุ้น PF เพิ่ม 0.23% วันที่ 25 พ.ค.63 ซึ่งก็เพียงพอที่จะดึงดูดนักลงทุนผสมโรงแห่ซื้อตาม จนราคาพุ่งพรวดเกือบ 40% และจังหวะหุ้นกำลังขึ้นนั่นเอง วันที่ 1 มิ.ย.63 ‘โกมล’ ตัดสินใจเจียดขายหุ้น PF ออกมา 0.07% ได้กำไรเท่าไหร่? ลองคิดเอาดูละกัน?

เช่นเดียวกับหุ้น BWG ที่เก็บเพิ่มช่วงเดือน เม.ย.63 อีกประมาณ 0.52% เกิดภาพเดียวกับหุ้น PF เลย หลัง ‘โกมล’ เข้าเก็บมีแรงผสมโรงเข้าซื้อหุ้น BWG จากนักลงทุนรายอื่นๆ จนราคาปรับขึ้นกว่า 35% จนวันที่ 1 มิ.ย.63 ‘โกมล’ มีการเจียดขายหุ้นออกมา 0.20% ดูจากส่วนต่างราคาหุ้นที่เกิดขึ้น ชัดเจนว่าฟาดกำไรไปไม่น้อยทีเดียว

นี่คือ..ความเจนจัดบนสังเวียนหุ้นและสังเวียนธุรกิจของ โกมล ที่หลายคนอาจจะไม่สังเกต และรู้แค่ว่าเขาเป็นคน Low Profile แต่ High Profit เพราะส่วนหนึ่ง คือ ในบรรดาตระกูล ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ ทั้งหมด เขาน่าจะเป็นคนที่เข้าถึงได้ยากที่สุดคนหนึ่งด้วย เหตุจากการไม่ชอบเปิดตัวหรือเข้าสังคมไฮโซไฮซ้อกับใคร 

แต่ทุกวันนี้ชื่อของ โกมล กลับเริ่มถูกคลิกค้นหาบ่อยหน่อย อาจจะเพราะลูกชายอย่าง ‘โฟม-พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ’ ก้าวเข้าสู่ถนนการเมืองในพรรคประชารัฐ ทำให้คนเริ่มสนใจความเป็นมาของคนอื่นๆ ในตระกูลนอกจาก ‘สุริยะ’ และ ‘ธนาธร’ จึงรุ่งเรืองกิจ 

พูดถึง โฟม เขาเป็นคนหนุ่มที่น่ารัก อัธยาศัยดี ไม่ถือตัว และเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่มีมุมคิดเชิงบวกสูงมาก ซึ่งเขาเล่าให้ฟังไว้ว่า สิ่งที่เขาเป็นทุกวันนี้ ก็มาจากการเลี้ยงดูที่ดีของผู้เป็นพ่อ (โกมล) 

โฟม ขยายความวัยเด็กว่า “พ่อเลี้ยงดูผมอย่างเข้มงวดเรื่องการเงิน พยายามให้เงินลูกไปโรงเรียนน้อยที่สุด เรียนชั้นประถมได้เงินวันละ 5 บาท มัธยมได้วันละ 20 บาท จึงใช้เงินอย่างประหยัดมาโดยตลอด ขณะเดียวกันก็ต้องคิดและเลือกทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง และอย่าเอาแต่บ่น อย่าเอาแต่เป็นผู้ชมที่คอยติ ถ้าอยากเห็นอะไรดีขึ้น ก็ต้องลงมือทำเอง”

โฟม ยังเล่าแตะไปถึงเส้นทางการเมืองของเขาอีกว่า พ่อของเขาไม่เคยบังคับให้เข้ามาเล่นการเมือง เฉกเช่นเดียวกันกับคุณอา (สุริยะ) ที่แม้จะไม่ได้ปฏิเสธการเข้ามาในเส้นทางการเมือง แต่ก็ไม่แนะนำอะไรทั้งนั้น นอกจากบอกให้ไปเรียนรู้เอาเอง 

ฉะนั้นการก้าวเข้ามาของ โฟม ในพรรคเดียวกับคุณอา จึงไม่ได้เกิดจากมีการชี้นำของใคร แต่เขาเลือกตามสิ่งที่คิดว่าถูกต้องตามมุมมองและความคิดส่วนบุคคลภายใต้รั้วครอบครัวจึงรุ่งเรืองกิจฟากฝั่งคุณพ่อและคุณอา โดยเขาเคยเผยว่า เหตุผลง่ายๆ ที่เลือกฟากพรรคปัจจุบัน (พลังประชารัฐ) เพราะเป้าหมายของพรรค ‘ไม่ต้องการความขัดแย้งแบบ 2 ขั้ว’ 

หากจะให้สรุปว่าตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจในวันนี้ มีขั้วความคิด 2 ฟาก คงไม่ได้ผิดอะไรนัก เพราะ โฟม เองก็เคยเผยว่า ตัวเขากับ ‘เอก- ธนาธร’ ลูกพี่ลูกน้องตระกูล ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ ก็ไม่เคยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันใดๆ อยู่แล้ว ยิ่งธุรกิจของตระกูลก็แยกกัน ไม่ได้ร่วมกันแบบ ‘กงสี’ ก็ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวไม่มีความใกล้ชิดกันมากเท่าไร จะคิดเห็นต่างใดๆ ก็ไม่แปลก ซึ่งนั่นคงหมายรวมถึง ‘เส้นทางการเมือง’ ที่มาจากมุมคิดส่วนตัว ไม่ใช่จากฉันทามติของตระกูลรวม!!

ฉะนั้นถึงแม้จะใช้ชื่อตระกูลเดียวกัน แต่เส้นทางและอุดมการณ์ต่างกัน มันก็เป็นเรื่องปกติ!!

เพียงแต่ ‘ตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ’ ของ ‘แท้-เทียม’ วัดกันจากจุดไหน? อันนี้คงต้องดูจากทิศทางและบทบาทของตระกูลส่วนใหญ่ที่ประพฤติกันในวันนี้ 

ส่วนทิศทางของ ‘ครอบครัว’ ที่แค่หยิบนามสกุลเขามาใช้เดินเกมชีวิตแบบต่างสุดขั้ว 

อันนี้ก็อย่าไปเหมารวม!! ว่า ‘จึง’ เป็นแบบนี้แบบนั้นทั้งสาแหรกเชียว!!


ข้อมูลอ้างอิง:
https://www.kaohoon.com/content/369229
https://www.thansettakij.com/content/money_market/216957
https://www.matichonweekly.com/column/article_156902

‘พัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ’ จากน้องชายคนที่สองของตระกูล สู่ประธานอาณาจักรไทยซัมมิท พ่อผู้วางรากฐานให้ลูกชายที่ชื่อ ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’

พัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ ชื่อนี้คุ้นหูแค่ไหน?

หากจะบอกว่า เขาคือ (อดีต) ประธานแห่งอาณาจักรไทยซัมมิทกรุ๊ป ผู้คนในแวดวงธุรกิจคงร้องอ๋อ แต่หากเพิ่มความคุ้นเคยเข้าไปอีกสักนิด เขาคนนี้ คือคุณพ่อบังเกิดเกล้าของ เอก-ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า นั่นเอง

พัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ เดิมมีชื่อว่า นายฮั้งฮ้อ แซ่จึง เป็นบุตรชายคนที่สองของ นายโหลยช้วง แซ่จึง กับนางบ่วยเชียง แซ่โป่ว มีพี่น้องด้วยกัน 5 คน คือ พี่ชาย-นายฮังตง แซ่จึง (เปลี่ยนชื่อและนามสกุลเป็น สรรเสริญ จุฬางกูร) น้องชายคนที่สาม โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ น้องชายคนที่สี่ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และน้องสาวคนเล็ก อิสริยา จึงรุ่งเรืองกิจ

ทั้ง ฮังตง (สรรเสริญ) และ (ฮั้งฮ้อ) พัฒนา เกิดที่เมืองจีน และได้ติดตามป๊าและม้าเดินทางมาที่เมืองไทย โดยเป็น พัฒนา ที่ช่วยกิจการร้านก๋วยเตี๋ยวของพ่อและแม่ จนได้พบรักกับลูกสาวร้านขายกระเพาะปลาที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน นั่นคือ สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ และตัดสินใจแต่งงานกันในเวลาต่อมา

พัฒนาไม่ได้ร่ำเรียนหนังสือสูงนัก เขาจบแค่ ป.4 เพราะต้องช่วยพ่อแม่ขายก๋วยเตี๋ยวตั้งแต่อายุ 8 – 9 ขวบ แต่ต่อมา สรรเสริญ-พี่ชาย ได้ชวนให้ไปช่วยงานที่ร้านซ่อมเบาะ ซึ่งเจ้าตัวลงทุนเปิดร่วมกับเพื่อนที่ชื่อว่า สามอิ้ว ที่แปลว่า สามมิตร แต่กิจการในระยะแรก ๆ ไม่เป็นไปอย่างที่คิด ในที่สุด เพื่อนก็ถอนตัว เหลือแต่คู่พี่น้องที่ต้องลุยกันเอง

“คุณพัฒนาเป็นคนขยัน เขาจะไปเฝ้าร้านตั้งแต่เช้า จนวันหนึ่งโอกาสมาถึง เมื่อเจ้าหน้าที่ของยามาฮ่าเอาเบาะรถมาถามว่า ทำแบบนี้ได้ไหม คุณพัฒนารีบรับเรื่องไว้ แล้วไปควานหาซื้ออะไหล่มาทำเองทุกอย่าง ปรากฏว่าผลงานเป็นที่พอใจ หลังจากนั้น ทางยามาฮ่าก็ป้อนงานเรื่อย ๆ แถมยังได้งานจากฮอนด้า ซูซูกิ และคาวาซากิ พองานเข้าเยอะขึ้น จึงขยับขยายไปแถวสาธุประดิษฐ์ เริ่มสร้างโรงงานและเปลี่ยนชื่อให้อินเตอร์ขึ้นเป็น ซัมมิท ออโต อินดัสตรี จำกัด”

สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อถึงเส้นทางชีวิตของสามี โดยเล่าที่มาที่ไปของการเติบโตทางธุรกิจว่า เป็นเพราะวิสัยทัศน์ของสามี จึงทำให้ธุรกิจเติบโต เนื่องจากหลังจากนั้นไม่นาน พัฒนาได้ขยายไลน์ธุรกิจทำเบาะ ไปทำชิ้นส่วนอะไหล่มอเตอร์ไซค์ และขยายไปยังชิ้นส่วนรถยนต์ในที่สุด

กระทั่งในปี พ.ศ. 2520 พัฒนาจึงแยกตัวธุรกิจออกจากพี่ชาย พร้อมกับซื้อที่ดินย่านบางนาตราด แล้วเปิดบริษัทใหม่ของตัวเอง โดยเปลี่ยนชื่อเพื่อกันความสับสน นำคำว่า ‘ไทย’ เข้ามาใส่ข้างหน้า จึงเป็นที่มาของบริษัทที่ชื่อว่า ไทยซัมมิท จนถึงทุกวันนี้

แม้จะมีคำว่า ‘ซัมมิท’ (Summit) ที่มีความหมายว่า จุดสูงสุด เหมือนกัน แต่บนเส้นทางธุรกิจแล้ว ‘พี่น้องแซ่จึง’ เลือกเดินทางใครทางมัน ไทยซัมมิทภายใต้การบริหารของพัฒนา เติบโตรุดหน้าอย่างรวดเร็ว เนื่องจากปริมาณการใช้มอเตอร์ไซค์ และรถยนต์ของคนไทยในเวลานั้น มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ธุรกิจของเขาก้าวกระโดดไปอย่างรวดเร็ว

และแม้จะไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่พัฒนาก็ยึดถือเรื่องสำคัญในการทำธุรกิจอยู่ 3 อย่าง คือ ระบบดี คนดี และสังคมดี นอกจากนี้ เขายังยึดรูปแบบการบริหารธุรกิจแบบผสมผสาน โดยใช้วิธีบริหารแบบอนุรักษ์นิยม หรือเรียกว่าแบบครอบครัวคนจีน ที่ค่อนข้างเก็บตัว เน้นการทำงาน ไม่เน้นออกงานสังคม 

ผสมกับวิธีบริหารแบบสมัยนิยม ที่มีความเป็นสากล โดยเฉพาะการเน้นการออกไปขยายฐานการลงทุนในต่างประเทศ ทั้งหมดจึงส่งให้ ‘ไทยซัมมิท’ ก้าวขึ้นมาสู่การเป็นอาณาจักรธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์ที่อยู่ลำดับท็อป ๆ ของเมืองไทย

พัฒนาและสมพร แทบจะเรียกว่า เป็นเงาในการทำงานคู่กัน พัฒนาเป็นประธาน สมพรเป็นเลขาฯ ที่รอบรู้และจัดการทุกเรื่องในบริษัท แต่ก้าวข้ามจากเรื่องการงาน พวกเขามีบุตรด้วยกัน 5 คน คือ ชนาพรรณ ธนาธร รุจิรพรรณ สกุลธร และบดินทร์ธร 

พัฒนาเป็นคุณพ่อที่ดูแลใส่ใจลูก ๆ ทุกคนอย่างดี แต่ในคราวเดียวกัน เขาก็สอนให้ลูก ๆ รู้จักความลำบากมาตั้งแต่เล็ก ๆ โดยครั้งหนึ่ง ธนาธรเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า เขาถูกคุณพ่อส่งเข้าโรงงานตั้งแต่อยู่ ป.3 ทุก ๆ ปิดเทอม พ่อจะให้ทำงานนับเหล็ก โดยให้ค่าแรงวันละ 30 บาท หรือเมื่อตอนอายุ 15 – 16 ปี พ่อก็ส่งให้ไปเรียนรู้ชีวิตอยู่สหรัฐอเมริกา งานล้างจาน เจ้าตัวก็เคยทำมาแล้ว 

ครอบครัวจึงรุ่งเรืองกิจของพัฒนา ถือเป็นครอบครัวที่อบอุ่น แต่แล้วเมื่อเข้าสู่ปี พ.ศ. 2545 ก็เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่กับครอบครัว เมื่อพัฒนาเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งตับ 

ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อหัวเรือใหญ่ของบ้านต้องจากไป จึงนำมาสู่การดึงตัว ‘ลูกชายคนโต’ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เวลานั้นกำลังเรียนอยู่ที่อังกฤษกลับมา แม้เจ้าตัวจะสนใจการทำงานด้านเอ็นจีโอมากกว่าการทำธุรกิจ แต่เมื่อในเวลานั้น พี่สาวคนโต (ชนาพรรณ) มีสถานภาพแต่งงานแล้ว ส่วนน้องสาวคนที่สาม (รุจิรพรรณ) กำลังเรียนอยู่ที่ญี่ปุ่น น้องชายคนที่สี่ (สกุลธร) ก็เรียนอยู่ที่อังกฤษ ด้านน้องชายคนเล็ก (บดินทร์ธร) ก็เพิ่งอายุ 10 ขวบ ทั้งหมดจึงเป็นเหตุผลให้เขา ต้องกลับมารับช่วงต่อธุรกิจ และดำเนินงานร่วมกับคุณแม่ทันที

แม้จะไม่ใช่เงาร่างที่ทับซ้อนกันแบบไร้รอยต่อ แถมยังคนละสไตล์กับคุณพ่อ แต่ในวัย 23 – 24 ปี กับตำแหน่งรองประธานกรรมการไทยซัมมิทกรุ๊ป ธนาธรก็ออกตัวลุยธุรกิจตามแบบฉบับคนรุ่นใหม่ ไม่น่าเชื่อว่า นับจากปี พ.ศ. 2544 ที่บริษัทมีรายได้รวม 16,000 ล้านบาท ผ่านมาถึงปี พ.ศ. 2560 ไทยซัมมิทกรุ๊ป มีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 80,000 ล้านบาท โดยขยายฐานการผลิตออกไปต่างประเทศมากกว่า 7 ประเทศ และมีธุรกิจในเครือข่ายทั้งอดีตและปัจจุบันรวมกันอยู่ที่มากกว่า 100 บริษัท

สิ่งที่ธนาธรทำ ดูไม่ไกลจากคำว่า ‘ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น’ แต่แล้วเมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2561 ลูกไม้ต้นนี้ก็กระโดดออกจากร่มไม้ใหญ่ เมื่อเขาได้ทำการจดทะเบียนพรรคการเมืองที่ชื่อ ‘อนาคตใหม่’ พร้อมการประกาศลงสนามการเมืองเต็มตัว หันหลังให้กับอาณาจักร 8 หมื่นล้านที่สร้างมากับมือ 

ในเวลาต่อมา สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า นางสมพรผู้เป็นแม่ ‘ไม่เห็นด้วย’ กับการตัดสินใจของลูกชายครั้งนี้ จนครั้งหนึ่ง ธนาธร เคยเล่าเรื่องราวความขัดแย้งของตนเองกับคุณแม่ ผ่านสื่อออกมาว่า 

“แกเริ่มคำถามแรกว่า สำหรับผมแล้ว ไทยซัมมิท หรือประเทศ อย่างไหนสำคัญกว่ากัน ผมตอบสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า ประเทศไทย”

แม้ไม่อาจทัดทาน แต่สุดท้าย นางสมพรก็อวยพรลูกชายด้วย ‘ส้มมงคล’ ก่อนวันเปิดตัวพรรค เพื่อให้เจ้าตัวสมหวังและมีความเจริญรุ่งเรือง กับเส้นทางที่เลือกเดิน 

ในวันนี้ แม้จะไม่มีชื่อลูกชายคนที่สองของบ้านในฐานะผู้บริหารขององค์กร แต่ลูก ๆ ที่เหลือทั้ง 4 คน ก็ยังคงดำเนินกิจการ และเดินหน้าสานต่อเจตนารมย์ของคุณพ่อต่อไป ดังตามที่สมพรเคยเขียนไว้ในหนังสือที่ระลึกงานศพของพัฒนาที่ว่า ‘สิ่งต่าง ๆ ป่าป๊าสร้างไว้ และอุดมการณ์ของพ่อ ม้าจะสานต่อและรักษาไว้ให้ได้’

นี่คือเส้นทางชีวิตและครอบครัวของผู้ชายที่ชื่อ ‘พัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ’ จากลูกชายคนที่สองของครอบครัวชาวจีนที่เริ่มต้นธุรกิจด้วยการขายก๋วยเตี๋ยว วันเวลาผ่านไป เขา ภรรยา และลูก ๆ ได้ร่วมกันสร้างอาณาจักรธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์ให้เติบใหญ่จนขึ้นไปในระดับประเทศ สมดังคำที่ต้นตระกูลใช้ร่วมกันว่า ซัมมิท หรือจุดสูงสุด

แม้จะเดินทางกันคนละเลน สร้างธุรกิจกันคนละแบบ บางคนเปลี่ยนชื่อ บางคนเปลี่ยนนามสกุล แถมยังมีความเชื่อทางการเมืองที่แตกต่างกันไป แต่ทั้ง ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ และ ‘จุฬางกูร’ มีสายใยบาง ๆ ที่เชื่อมกันไว้ด้วยคำว่า ซัมมิท (Summit) ซึ่งสุดท้าย ไม่จะเชื่อมกันแบบไหน อย่างไร

ปฏิเสธไม่ได้ว่า สายใยนี้ เหนียว แน่น และแข็งแรง ไม่เป็นสองรองใครในประเทศนี้เลยทีเดียว...


อ้างอิงข้อมูล

https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/1696715,

https://www.bbc.com/thai/thailand-44001760,

https://www.bbc.com/thai/thailand-44276427,

https://www.nationweekend.com/content/special_article/9746,

https://www.prachachat.net/general/news-572052,

https://www.sarakadee.com/2007/01/14/thanatorn/ 

เมืองเล็กๆที่ “Arosa” (อาโรซา) ความธรรมดาที่แสนพิเศษในสวิส เส้นทางที่เต็มไปด้วย ‘กระรอก’ และหิมะแห่งความงาม

ถ้าพูดถึงสวิตเซอร์แลนด์ก็คงจะต้องนึกถึงธรรมชาติ ภูเขาสูงตระหง่าน ทะเลสาปแสนสวย ทุ่งหญ้าเขียวขจีแซมดอกหญ้าสีเหลือง นี่คือสิ่งที่แม้วี่จะอยู่มา 20 ปีแล้ว แต่ไม่เคยเบื่อและยังตกหลุมรักสวิสอยู่ วันนี้เลยอยากมาแบ่งปันสถานที่หนึ่งซึ่งรักมากและไปทุกปีให้ทุก ๆ คนได้รู้จัก

Arosa (อโรซ่า) เป็นเมืองเล็ก ๆ ตั้งอยู่ที่ความสูง 1,700 เมตร จากระดับน้ำทะเล ในรัฐ Graubünden (กราวบึนเด่น) เมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องอากาศที่บริสุทธิ์และวิวที่สวยงามเพราะมีภูเขาล้อมรอบ ภูเขาที่เป็นจุดเด่นของเมืองก็คงจะเป็นภูเขา Weisshorn (ไวซ์ฮอร์น) ที่มีความสูง 2,653 เมตร จากระดับน้ำทะเล เมืองนี้เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวและคนสวิสเองรู้จักเป็นอย่างดีว่าเป็นสวรรค์ของคนเล่นสกี รวมถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงมาที่นี่เพื่อทรงสกีและไอซ์เสก็ต อยู่บ่อยครั้ง หากต้องการตามรอยเสด็จฯ ให้ไปที่โรงแรม Arosa Kulm Hotel & Alpin Spa ภายในโรงแรมจะมีพระบรมฉายาลักษณ์ของราชสกุลมหิดลมากมาย โดยเฉพาะห้อง 427 เป็นห้องที่ราชสกุลมหิดลเลือกประทับเป็นประจำและข้างในยังคงถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีเลยทีเดียว (ที่มา: สารคดี สถานที่ตามรอยพระบาทในหลวงรัชกาลที่ 9)

ช่วงเวลาที่วี่ชอบไปคือช่วงเดือนเมษายนหรือพฤษภาคม ช่วงนี้เป็นเหมือนช่วงเบรคซีซั่น เพราะโรงแรมใหญ่ ๆ และกระเช้าขึ้นเขาที่สำคัญ ๆ จะปิดบริการหมด ซึ่งเหมาะกับวี่ที่ชอบเที่ยวแบบสบาย ๆ คนไม่ค่อยเยอะ การเดินทางก็สามารถขับรถไปได้ง่าย ๆเพียงแต่ทางค่อนข้างชันแถมต้องขับรถข้ามเขาที่มีโค้งร้อยกว่าโค้ง ใครเมารถแนะนำให้เอามะม่วงดอง บ๊วยเค็มและยาดมติดกระเป๋าไปด้วย แต่ถ้าไม่อยากขับรถก็สามารถนั่งรถไฟจากเมือง Chur (คัวร์) ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงก็มาถึงแล้ว แถมตลอดเส้นทางที่ไต่เขามายังสวยสะกดอีกต่างหากทำให้หนึ่งชั่วโมงเป็นช่วงเวลาที่เพลิดเพลินไม่น่าเบื่อเลย

เกริ่นมาตั้งนานยังไม่ยอมเข้าเรื่องสักทีเนอะ เมื่อลงจากรถไฟก็จะเจอวิวของทะเลสาบ Obersee (โอเบอร์เซ) แต่ถ้าขับรถมาเห็นทะเลสาปกับสถานีรถไฟเมื่อไหร่ ก็จะเห็นที่จอดรถลานกว้าง ๆ เลย เนื่องจากวี่ไปช่วงเมษา ดังนั้นส่วนมากทะเลสาปที่วี่เห็นก็คือจะปกคลุมไปด้วยหิมะ บางปีหนาวมาก ๆ ทั้งทะเลสาปก็กลายร่างเป็นน้ำแข็งไปหมด ดูสวยไปอีกแบบ

เดินออกจากตรงนี้ไปไม่ไกลก็จะเป็นทาง Hiking ที่สามารถเดินเล่นได้ง่าย ๆ ชิล ๆ ประมาณเด็กเดินได้ผู้ใหญ่เดินดี เส้นทางที่วี่เดินคือเข้าทางหนึ่งออกอีกทางหนึ่งระยะทางจะประมาณ 5 กิโลเมตรเท่านั้น เมื่อเริ่มเดินผ่านทางเข้ามาแล้ววี่จะหยิบถุงถั่วออกมา ส่วนใหญ่วี่จะใช้เป็นถั่ว Hazelnut (ฮาเซลนัท) เดินไปเขย่าถุงไป เจ้ากระรอกทั้งหลายจะชินกับเสียงคนและเสียงถุงพลาสติกอยู่แล้ว

เมื่อกระรอกเริ่มออกมา แนะนำให้เบาเสียงลง ไม่เคลื่อนไหวเร็ว ๆ ช่วงแรกเอามือที่ถือถั่ววางลงบนพื้นก่อน เมื่อกระรอกเริ่มกล้าที่จะมาเอาถั่วที่มือเราทีนี้เราก็ขยับยกมือให้สูงขึ้น บางตัวถึงกับปีนขึ้นมาเอาบนขาเลยทีเดียว สิ่งนึงที่อยากบอกคืออย่าจับตัวน้อง เพราะน้องเป็นกระรอกป่าไม่ได้เชื่องถึงขนาดจะให้อุ้มได้ อาจโดนกัดและอาจมีเชื้อโรค สังเกตได้ว่าบางตัวจะขี้ตกใจมากเป็นพิเศษอาจเป็นเพราะเคยโดนจับนี่แหละ แล้วเขาจะไม่มาเอาถั่วอีกเพราะจะไม่เชื่อใจและขี้กลัวไปเลย เดินไปตามทางก็จะมีกระรอกไปตลอดทั้งทางเช่นกัน

ที่มากพอ ๆ กับกระรอกก็เห็นจะเป็นนก ซึ่งก็มีหลากหลายสายพันธุ์และสวยงามมาก เราสามารถทุบถั่วให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ และวางบนขอนไม้เดี๋ยวเจ้านกตัวน้อยก็จะบิ่นมาคาบไปกินเตรียมกล้องพร้อมชักภาพได้เลย หรือจะทำแบบวี่คือวางถั่วที่ฝ่ามือยื่นออกจากตัวยืนให้นิ่งที่สุดและร้องเพลงรอ กว่าเจ้านกจะมาเกาะมือและกินถั่วที่มืออาจมีเหน็บกินกันบ้าง และถึงแม้ว่าเส้นทางจะเพียงห้ากิโลเมตรเท่านั้นแต่วี่ให้เวลาตัวเองดื่มด่ำกับความสวยงามของธรรมชาติ เสียงนกเจื้อยแจ้ว และเจ้ากระรอกที่วิ่งไปมาขวักไขว่อย่างเต็มที่

แม้สวิสจะมีสิ่งปลูกสร้างมากขึ้นกว่ายี่สิบปีที่แล้วที่วี่มาอยู่ใหม่ ๆ แต่ยังคงรักษาธรรมชาติไว้ได้อย่างดี มีทาง Hiking ทั่วไปและมีหลายระดับความยากตามความฟิตของแต่ละคนให้เลือก และวิวทิวทัศน์ระหว่างทางที่สวยงาม เอาแค่วิวหน้าต่างห้องนอนที่บ้านวี่เอง ตื่นมาวิวไม่เคยเหมือนเดิมเลยสักวัน วี่ชอบธรรมชาติ ชอบที่เปิดหน้าต่างมาตอนเช้าแล้วได้ยินเสียงกระดิ่งของวัวข้างบ้าน เสียงนกคุยกันเจื้อยแจ้ว หรือภาพแกะของเพื่อนบ้านเล็มหญ้าอย่างเอร็ดอร่อย บางครั้งการมีความสุขได้กับความธรรมดาในโลกปัจจุบันถือเป็นความโชคดีที่สุดแล้ว...

‘สรรเสริญ จุฬางกูร’ พี่ใหญ่ตระกูลจึง ผู้ก่อตั้งและประมุขคนแรกกลุ่มซัมมิท อาณาจักรมูลค่าแสนล้าน

“ฮั่นตง แซ่จึง” นามของลูกชายคนโต ของอาฮงและม้วยเฮียง ฮั่นตงผู้นี้คือ ผู้สืบทอด “ตระกูลจึง” พ่อแม่หอบหิ้วนั่งสำเภามาจากเมืองจีน ยุคเสื่อผืนหมอนใบมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารที่ประเทศไทย  วันเวลาผ่านไป “ฮั่นตง” เติบใหญ่ รัฐบาลไทยจึงให้เหล่าคนจีนโพ้นทะเล ตั้งนามสกุลเป็นไทยได้ “แซ่จึง” จึงเปลี่ยนมาเป็น “จึงรุ่งเรืองกิจ” ในภาษาไทย แต่ “ฮั่นตง” พี่ใหญ่ขอตั้งนามสกุลของเขาเอง เปลี่ยนทั้งชื่อและนามสกุลเป็น “สรรเสริญ จุฬางกูร” ผู้ก่อตั้งและประมุขคนแรกกลุ่มซัมมิท คอร์ปอเรชัน อาณาจักรชิ้นส่วนยานยนต์แสนล้าน 

ว่ากันว่าในยุคสร้างเนื้อสร้างตัว “สรรเสริญ” พี่ใหญ่ตระกูลจึงทำงานตั้งแต่อายุ 9 ขวบ เป็นช่างซ่อมเบาะรถยนต์ ต่อมาได้ชวนเพื่อนอีกสองคนทำกิจการห้องแถวเล็กๆ ชื่อร้าน “สามมิตร” แต่ทำได้ไม่นานปีเศษๆก็แยกย้ายกันไป ด้วยมีหัวด้านค้าขายของ “สรรเสริญ” จึงมุ่งมั่นผันตัวเป็นเถ้าแก่ในวัยเพียงแค่ 26 ปี ลงทุน “ห้างหุ้นส่วนจำกัด สามมิตรชัยกิจ” กับลูกน้องเพียงแค่ 6 คนเท่านั้น ก่อนที่น้องๆทั้ง 4 คนจะเข้ามาร่วมกันทำธุรกิจ คือ พัฒนา (พ่อของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า) เมื่อสมรสกับสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็แยกตัวออกมาตั้งกลุ่มไทยซัมมิท  , โกมล (พ่อของพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อและกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ)  , สุริยะ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม) และอิสริยา 

วันเวลาผ่านไปหลายสิบปี ในวันนี้ “สรรเสริญ จุฬางกูร” มีพนักงานในเครือมากกว่า 10,000 คน  ภายใต้ร่มเงาชื่อ “ซัมมิท คอร์ปอเรชั่น” บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และตัวถังรถยนต์ อาณาจักรมูลค่าแสนล้านในปัจจุบัน  ส่งต่อให้กับทายาทผู้ชายล้วนทั้ง 6 คนดูแลอาณาจักร

“สรรเสริญ จุฬางกูร” พี่ใหญ่ตระกูลจึง สมรสกับหทัยรัตน์ จุฬางกูร มีบุตรชายทั้งหมด 6 คน คือ นายอภิชาติ จุฬางกูร ,นายทวีฉัตร จุฬางกูร ,นายณัฐพล จุฬางกูร (ไฮโซนัท เพื่อนสนิทซุปเปอร์สตาร์อั้ม พัชราภา)  ,นายกรกฤช จุฬางกูร (สามีของนางเอกหน้าหวาน บี มาติกา)  ,นายวุฒิภูมิ จุฬางกูร และนายอัครพงศ์ จุฬางกูร ซึ่งทั้งหมดได้เข้ามาเป็นเจนที่ 2 บริหารอาณาจักรยักษ์ใหญ่แห่งนี้

หากไม่ได้แตกสาแหรกคน “แซ่จึง” ออกมา ชาวบ้านอย่างเราๆก็คงไม่รู้ว่า ตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจและจุฬางกูรมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดแน้นแฟ้นขนาดไหน ทายาทรุ่นที่ 2 ของฝั่งจุฬางกูร ก็มีหน้ามีตาในแวดวงสังคมชั้นสูง ส่วนฝั่งจึงรุ่งเรืองกิจ ก็เข้มข้นในแวดวงการเมืองทั้ง 2 ฝั่ง สองฝ่าย ผนวกกับพื้นฐานทางธุรกิจมูลค่ามหาศาลขนาดนี้ คน “แซ่จึง” แม้จะต่างครอบครัว แต่ก็ขยายอำนาจ แผ่ซ่านไปในทุกที่จริง ๆ 

บุกเมืองหลวงจีน!! ทุเรียนไทยแรงหยุดไม่อยู่ ลูกค้าชาวจีนอุดหนุนล้นหลาม หลังยกพลโชว์พลัง​ในงาน​ 'Thai Fruit Festival'​

เกษตรฯ ปักกิ่ง จับมือ ททท.ร่วมห้างใหญ่คาร์ฟูร์  นำทัพผลไม้ไทยบุกตลาดออนไลน์และออฟไลน์ยอดขายกระฉูด

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) เปิดเผยวันนี้ว่า กระทรวงเกษตรฯ ยังเดินหน้าฝ่าวิกฤตโควิด-19 ด้วย​ '5  ยุทธศาสตร์'​ ของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีเกษตรฯ​ ผ่านการเร่งขยายไปตลาดจีน​ เพื่อส่งออกผลไม้ไทยให้มากที่สุด​ โดยใช้ราชาแห่งผลไม้​อย่างทุเรียนเป็นหัวขบวน​ (Thai fruit brand leader) ด้วยกลยุทธ์ออนไลน์และออฟไลน์ระหว่างวันที่​ 14​ พ.ค.​ ถึง​ 31​ พฤษภาคม

สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำกรุงปักกิ่ง ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานปักกิ่ง และห้างคาร์ฟูร์สาขา ซวงจิ่ง เมืองปักกิ่ง จัดกิจกรรมเทศกาลผลไม้ไทย 'Thai Fruit Festival'​ เพื่อประชาสัมพันธ์ผลไม้ไทย สถานที่ท่องเที่ยว วัฒนธรรมไทยให้กับผู้บริโภคจีน 

โดย สปษ. ปักกิ่งได้จัดเรือผลไม้ขนาดใหญ่​ เพื่อนำเสนอทุเรียน มังคุด ลำไย มะพร้าวน้ำหอม ลิ้นจี่ เงาะ มะม่วง กล้วยไข่ ชมพู่ทับทิมจันทร์ รวมถึงผลไม้แกะสลัก ร่วมจัดแสดงผ่านช่องทางออฟไลน์ของห้างคาร์ฟูร์และช่องทาง Live Stream โดยมีนางสาวปทุมวดี อิ่มทั่ว อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายเกษตร) ประจำกรุงปักกิ่ง ได้เข้าร่วมกิจกรรม​ Live-stream บนแพลตฟอร์มออนไลน์ของคาร์ฟูร์​ เหม่ยถวนและซูหนิง เพื่อตอกย้ำความนิยมของผลไม้ไทยที่ได้รับความนิยมสูงในจีน 

ไฮไลท์​ในงานอยู่ที่การนำเสนอข้อมูล​ ตั้งแต่วิธีการเลือก ประโยชน์ของผลไม้ยอดนิยมชาวจีน ได้แก่ ทุเรียน มังคุด และมะพร้าวน้ำหอม พร้อมแนะนำผลไม้ชนิดอื่นๆ ของไทย ที่ผู้บริโภคจีนยังไม่รู้จักมากนัก อาทิ ลองกอง ขนุน ชมพู่ เป็นต้น รวมทั้งประชาสัมพันธ์คุณภาพมาตรฐานของผลไม้ไทยที่ส่งออกมายังประเทศจีน​ ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์​ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคชาวจีน 

นอกจากนี้ยังมีการสาธิตทำข้าวเหนียวทุเรียนที่นอกจากจะมีรสชาติที่อร่อยเป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และเป็นการเผยแพร่วิธีการรับประทานทุเรียนที่แปลกใหม่ให้กับชาวจีน ในช่วง Live Stream มีกิจกรรมส่งเสริมการขายทุเรียนราคาพิเศษ และมอบรางวัลกับให้ผู้เข้าชมที่ร่วมตอบคำถามเกี่ยวกับผลไม้ไทย

สำหรับกิจกรรมเทศกาลผลไม้ไทยในครั้งนี้จัดติดต่อกันนาน 15​ วัน ตั้งแต่วันที่ 14​ – 31​ พฤษภาคม 2564 สามารถดึงดูดความสนใจจากผู้เข้าชมในช่องทางออฟไลน์และออนไลน์เป็นอย่างมาก โดยในช่องทางออนไลน์​ สามารถสร้างยอดวิวได้มากถึง 200,000 คน ซึ่งทางห้างคาร์ฟูร์​ สาขาซวงจิ่ง ได้นำเข้าผลไม้ไทยทั้งหมด​ เพื่อจำหน่ายในช่วงเทศกาลผลไม้ไทย ทั้งในช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ กว่า 300 ตัน โดยแบ่งเป็นทุเรียน จำนวน 150 ตัน  มังคุด 20 ตัน และมะพร้าวน้ำหอม จำนวน 2,000 ลูก ตั้งเป้าว่าจะสามารถขายทุเรียนในเทศกาลผลไม้ไทยดังกล่าวได้มากกว่า 100 ตัน 

งานเทศกาลผลไม้ไทยครั้งนี้​ สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำกรุงปักกิ่ง ททท. ปักกิ่ง และห้างคาร์ฟูร์ สาขา ซวงจิ่ง ร่วมกันจัดขึ้น​ เพื่อส่งเสริมการค้าขายสินค้าผลไม้ไทย โดยจะเน้นการขายสินค้าผลไม้สดนำเข้าจากประเทศไทย คุณภาพสูง สินค้าอาหารแบรนด์ไทยชั้นนำ เป็นต้น 

ทั้งนี้งานเทศกาลผลไม้ไทยของห้างคาร์ฟูร์ ได้จัดขึ้นทุกปี และในปีนี้ได้ผลตอบรับเกินความคาดหมายและเป็นทางน่าพอใจเป็นอย่างมาก งานดังกล่าวยังได้รับความสนใจจากสื่อหลายสำนัก ได้แก่ Beijing TV, Beijing Youth Daily, Beijing News, Beijing business today, People's Daily ฯลฯ โดยหลังจากการไลฟ์สดสตรีมห้างคาร์ฟูร์สาขาซวงจิ่ง​ มีการขายสินค้าผลไม้ทั้งหมดมากกว่างานเทศกาลไทยในปีที่แล้วถึง 105% อัตราการขายผลไม้โซนร้อนมากกว่าปีที่แล้ว 201% อัตราการขายทุเรียนมากกว่าปีที่แล้ว 238% การซื้อทุเรียนผ่านช่องทางออนไลน์ของห้างคาร์ฟูร์สาขาซวงจิ่งเพิ่มมากขึ้น​ 800% ส่วนการขายทุเรียนออนไลน์ของห้างคาร์ฟูร์ทั่วปักกิ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 551% โดยห้างคาร์ฟูร์สาขาซวงจิ่งเป็นสาขาที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในประเทศจีน

ถอดรหัส สภาพภูมิอากาศเมืองไทย สวรรค์แห่งการตั้งรกราก ที่ใคร ๆ ก็อยากมาอยู่อาศัย

ตอนนี้เชื่อแน่ว่าหลาย ๆ ท่าน คงได้ยินข่าวดังตามสื่อช่องทางต่าง ๆ ที่กำลังเป็นกระแสฮิต นอกจากข่าวการติดตามสถานการณ์โควิด-19 ในแต่ละวันแล้ว นั่นก็คือข่าวการตั้งกลุ่มชักชวนกันย้ายตัวเองไปอาศัยอยู่ในประเทศอื่น ๆ  ซึ่งคิดว่าก็คงเป็นเรื่องที่น่าจะมีการพูดถึงไปอีกซักระยะหนึ่งในสภาวะปัจจุบันที่โควิด-19 กำลังระบาดในประเทศไทยขณะนี้ 

สำหรับในวันนี้ผู้เขียนจะไม่ก้าวล่วง หรือพูดถึงว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว แต่จะแสดงให้เห็นถึงลักษณะข้อดีสำหรับที่ตั้งของประเทศไทยในปัจจุบันกับภูมิอากาศที่เหมาะสมในการตั้งรกรากที่อยู่อาศัย ในรูปแบบเชิงภูมิศาสตร์และวิทยาศาสตร์กันครับ ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าถ้าให้ประชากรทั่วโลก โหวตเลือกว่าอยากไปอยู่ประเทศไหนกันมากที่สุดในบั้นปลายของชีวิต ผู้เขียนเชื่อแน่ว่าประเทศไทยต้องติดอันดับต้น ๆ อย่างแน่นอน 

ในการเป็นประเทศปลายทางที่มีผู้คนอยากมาอยู่อาศัย จะเห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวประเทศเราในสถานการณ์ปกติ หรือแม้แต่ต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศแถบยุโรปที่มักจะมาแต่งงานกับภรรยาชาวไทย เพื่อให้ได้อยู่อาศัยในประเทศไทยในช่วงบั้นปลายของชีวิต โดยเฉพาะแถวภาคอีสานที่มีเป็นจำนวนมาก จนบางหมู่บ้านถูกขนานนามว่า เป็นหมู่บ้านเขยฝรั่งเลยทีเดียว 

สำหรับที่ตั้งของประเทศไทยนั้น ตั้งอยู่อยู่ระหว่างเส้นละติจูดที่ 5 องศา 37 ลิปดาเหนือ กับ 20 องศา 27 ลิปดาเหนือ และระหว่างลองจิจูดหรือที่ 97 องศา 22 ลิปดาตะวันออก กับ 105 องศา 37 ลิปดาตะวันออก เมื่อดูลักษณะภูมิประเทศแล้ว ด้านทิศตะวันออกจะมีชายแดนติดกับประเทศกัมพูชา ทิศตะวันตกติดกับประเทศพม่า ทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับประเทศลาว และทิศเหนือติดกับประเทศลาวและประเทศพม่า ส่วนทิศใต้จะติดประเทศมาเลเซีย และถูกล้อมรอบด้วยมหาสมุทรขนาบด้านข้างซ้ายและขวา นอกจากนั้นเมื่อดูที่ตั้งของประเทศไทย แล้วด้านตะวันออกถัดไปจากประเทศเพื่อนบ้านก็จะเป็นมหาสมุทรที่เรียกว่าทะเลจีนใต้ ส่วนทิศใต้ก็จะถูกล้อมรอบด้วยทะเลอ่าวไทยในด้านตะวันออก และทะเลอันดามันในด้านตะวันตก ส่วนทิศเหนือเมื่อไล่ขึ้นไปข้างบนต่อจากประเทศลาว เวียดนาม ก็จะเป็นประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ จากลักษณะพิกัดที่ตั้งของประเทศไทยดังกล่าว ทำให้ประเทศไทยมีภูมิประเทศที่ประกอบไปด้วยทั้งภูเขา ที่ราบสูง ที่ราบต่ำ แม่น้ำ ตลอดทั้งมหาสมุทร ซึ่งส่งผลให้มีสภาพอากาศที่แตกต่างกัน เรียกว่าอยู่ในประเทศเดียวมีครบทุกอย่างไม่ต้องไปหาที่ไหนเลยทีเดียว “นี้คือข้อดีข้อแรกของประเทศไทยครับ”

ทีนี้เราลองมาดูลักษณะภูมิอากาศของประเทศไทยกันบ้างครับ จากพิกัดที่ตั้งของประเทศไทยที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ประเทศไทยมีฤดูกาล 3 ฤดู คือ ฤดูฝนในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม ซึ่งได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ พัดเอาความชื้นและฝนเข้ามา ฤดูหนาวในช่วงประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดเอาความหนาวเย็นลงมา และฤดูร้อนในช่วงประมาณ เดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือเป็นมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ โดยในช่วงนี้อาจมีลมพัดเข้ามาหลายทิศทาง ทำให้อากาศมีความแปรปรวน ส่งผลให้บางครั้งฤดูกาลในประเทศไทยอาจไม่แน่นนอน โดยอาจมีฝนตกในช่วงฤดูร้อน หรืออากาศหนาวในช่วงเดือนมีนาคมก็เป็นไปได้ 

ทีนี้จะมาพูดถึงลักษณะของการเกิดฤดูกาลในประเทศไทยกันบ้างนะครับ ทั้งนี้โดยทั่วไปประเทศไทยตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่าใกล้กับเส้นศูนย์สูตร และถูกขนาบด้วยมหาสมุทร ทำให้เราถูกเรียกว่าเป็นประเทศในเขตร้อนชื้น คือประเทศที่มีความร้อนสูงเนื่องจากการทำมุมองศากับดวงอาทิตย์ของประเทศไทย เมื่อเปรียบเทียบกับหลาย ๆ ประเทศ เราอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่า ในขณะเดียวกันประเทศเราก็มีความชื้นเนื่องจากไอน้ำที่ถูกพัดพามาจากมหาสมุทรที่ขนาบข้างอยู่นั่นเองครับ เพราะฉะนั้นแล้วในสภาวะกาลปกติแล้วประเทศไทยจึงมีความร้อนค่อนข้างจะสูง โดยช่วงที่ร้อนจะกินเวลาค่อนข้างจะยาว คือช่วงฤดูร้อนเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม และเลยไปถึงช่วงหน้าฝนด้วยคือประมาณเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม แต่อย่างไรก็ตามในระหว่างหน้าร้อนก็ไม่ใช่ว่าประเทศไทยจะร้อนตลอดเวลา เพราะในระหว่างร้อน ๆ ก็จะมีลมหนาวที่พัดมาจากประเทศจีนแผ่ลงมาเป็นระยะ ๆ เสมอ พอมาเจอกับลักษณะอากาศร้อนชื้นทำให้มีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดฝนฟ้าคะนอง ซึ่งก็จะเป็นผลดีต่อการปลูกพืชของเกษตรกรในหน้าแล้ง 

โดยทั่วไปแล้วการเกิดพายุฤดูร้อนจะเกิดช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งก็เป็นช่วงหน้าแล้งพอดี ส่งผลให้ประเทศไทยเราสามารถปลูกพืชในหน้าแล้งที่ไม่ต้องการน้ำมากได้ ได้แก่ อ้อย มันสำประหลัง ซึ่งนับว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ “เห็นไหมละครับข้อดีอีกข้อของประเทศไทย ในขณะที่เป็นฤดูแล้งก็ยังมีฝนตกลงมาให้พอปลูกพืชได้” 

มาดูกันต่อนะครับ พอในช่วงฤดูฝนหรือที่เราเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่าฤดูมรสุม ประเทศไทยก็จะมีฝนตกชุก และเมื่อเกิดพายุในหน้ามรสุม ซึ่งจะเป็นพายุที่มีความรุนแรงสูง และกินพื้นที่เป็นระยะกว้าง โดยทั่วไปพายุที่พบส่วนใหญ่จะก่อตัวในมหาสมุทรแถวทะเลจีนใต้ ลักษณะทั่วไปของพายุนั้นเพื่ออยู่ในมหาสมุทรจะมีความรุนแรงหรือความเร็วลมสูง แต่เมื่อเคลื่อนที่ขึ้นฝั่งความรุนแรงของพายุก็จะลดลง จากพิกัดที่อยู่ของประเทศไทย เมื่อพายุเคลื่อนเข้าหาฝั่ง ก่อนที่พายุจะเคลื่อนมาถึงประเทศไทย ก็จะผ่านประเทศเพื่อนบ้านเราก่อน คือเวียดนาม กัมพูชา และลาว ซึ่งจะเป็นประเทศที่เปรียบเสมือนเมืองหน้าด่านที่รับอิทธิพลของพายุก่อนที่จะมาถึงไทย ส่งผลให้พายุมีความเร็วลมลดลงเมื่อมาถึงไทย ทำให้ผลกระทบที่เกิดจากพายุของประเทศไทยมีน้อย เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ยกเว้นมีบางปีที่พายุก่อตัวแล้วเคลื่อนที่ลงใต้ไปยังอ่าวไทย และเคลื่อนที่ผ่านภาคใต้ของประเทศไทย ก็จะมีผลกระทบกับประเทศไทยสูง เนื่องจากไม่มีประเทศเพื่อนบ้านคอยรับลมพายุ แต่จะมีค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับการเคลื่อนที่ผ่านมาด้านบนของประเทศไทย 

“เห็นไหมละครับข้อดีของประเทศไทยอีกข้อ เหมือนเรามีเมืองหน้าด่านที่คอยรับศึกจากพายุแทนเรา พอข้าศึกเคลื่อนที่มาถึงประเทศไทยเราก็อ่อนล้าหมดแรงลดความรุนแรงลง เหลือแค่การพาเอาฝนมาตกในประเทศไทยเท่านั้น” 

'ลดหย่อนภาษี' สิทธิประโยชน์ดี ๆ ที่กิจการ SMEs ควรรู้

ความเข้าใจในหลักการจัดเก็บและสิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ควรให้ความสำคัญ เพราะไม่เพียงแต่กิจการจะสามารถจัดการเพื่อชำระภาษีภายในกำหนดเวลาอย่างถูกต้องและครบถ้วนตามกฏหมายแล้วเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปสู่ภาระภาษีที่มีจำนวนน้อยที่สุด โดยไม่ใช่การหลีกเลี่ยง ซึ่งจะช่วยขจัดปัญหาภาษีอากร และเสริมสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินงานให้ธุรกิจมีความยั่งยืนได้

รูปแบบของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) จำแนกได้ทั้งในรูปของนิติบุคคล (ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด) และ บุคคลธรรมดา (เจ้าของคนเดียว คณะบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญ) ดังนั้นภาระภาษีที่เกี่ยวข้องจึงเป็นไปตามรูปแบบของ SMEs ที่ผู้ประกอบการเลือก 

อย่างไรก็ตามในปีภาษี 2563 หากเปรียบเทียบระหว่างอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลกับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา พบว่า SMEs ที่เป็นนิติบุคคล มีอัตราภาษีสูงสุดที่ต้องจ่าย ต่ำกว่า SMEs ที่เป็นบุคคลธรรมดา ถึง 15% (นิติบุคคล 20% บุคคลธรรมดา 35% ) 

โดยในช่วงกำไรสุทธิ 300,000 บาท แรกของ SMEs นิติบุคคลที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาท จะได้รับการยกเว้นภาษี ส่วนในกรณีที่มีผลขาดทุนไม่ต้องเสียภาษี และสามารถนำผลขาดทุนสุทธิ 5 ปีย้อนหลังมาเป็นรายจ่ายทางภาษีได้ 

นอกจากนี้กรมสรรพากรยังมีมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจ SMEs นิติบุคคล โดยให้สิทธิประโยชน์ในการหักค่าใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ดังนี้ 

1.) การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาในอัตราเร่ง

2.) รายจ่ายจากการจ้างเงินผู้สูงอายุ รายจ่ายเพื่อการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม รายจ่ายในการฝึกอบรมพัฒนาฝีมือแรงงาน รายจ่ายค่าธรรมเนียมจากการรับชำระเงินด้วยบัตรเดบิตผ่านเครื่อง EDC รายจ่ายเพื่อส่งเสริมการเนินธุรกิจของ SMEs หักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่า 

3.) รายจ่ายเพื่อการลงทุนในเครื่องจักรหักเป็นรายจ่ายได้ 1.5 เท่า 

4.) SMEs รายใหม่ (New Start-Up) ที่จดทะเบียนจัดตั้งในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ (นราธิวาส ปัตตานี ยะลา) ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 รอบระยะเวลาบัญชี 

นอกจากนี้กรมสรรพากรกำหนดมาตรการดูแล SMEs นิติบุคคล จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ ในปีภาษี 2563 ได้แก่

1.) ลดภาระดอกเบี้ยจ่าย ช่วงเมษายน ถึง ธันวาคม 2563 นำมาเป็นรายจ่ายเพิ่มได้ 1.5 เท่า

2.) รายจ่ายค่าจ้างพนักงานตั้งแต่มกราคม ถึง กรกฏาคม 2563 นำมาหักรายจ่ายได้ 3 เท่า 

3.) เงินบริจาคหรือสินทรัพย์ช่วย COVID-19 หักเป็นรายจ่ายได้ไม่เกิน 2% ของกำไรสุทธิ ตั้งแต่ 5 มีนาคม 2563 ถึง 5 มีนาคม 2564 

4.) รายจ่ายในการต่อเติม ปรับปรุงทรัพย์สินของกิจการโรงแรม นำมาเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่า 

5.) การอบรมสัมมนาในประเทศ นำมาเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่า 

6) ลดอัตราภาษี ณ ที่จ่าย เพื่อเพิ่มสภาพคล่องผู้ประกอบการที่มีรายได้จากค่าจ้างทำของ ค่าบริการ ค่านายหน้า ค่าวิชาชีพอิสระ ลดเหลือ 1.5% ในช่วงเมษายน ถึง กันยายน 2563 และ ลดเหลือ 2% ในช่วงเดือนตุลาคม 2563 ถึง กันยายน 2564

และในปีภาษี 2564 กรมสรรพากรได้ปรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุน SMEs สู่ความปกติรูปแบบใหม่ หรือ New Normal ในยุคดิจิทัล โดยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ถึง 2 เท่า สำหรับค่าซื้อหรือจ้างทำ หรือค่าใช้บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือซอฟต์แวร์ (Software) ที่จ่ายให้แก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างทำหรือผู้ให้บริการ ที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เฉพาะในส่วนที่ไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565 อีกด้วย

จากสิทธิประโยชน์ทางภาษีของ SMEs นิติบุคคล ดังกล่าวข้างต้น อาจเป็นทางเลือกที่ผู้ประกอบการ SMEs ขนาดใหญ่ พิจารณาเลือกจดทะเบียนธุรกิจในรูปแบบของนิติบุคคล เพื่อให้ได้เปรียบมากกว่าในรูปแบบของบุคคลธรรมดา 

ทั้งนี้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องจัดให้มีระบบบัญชีที่มีประสิทธิภาพ เพื่อบันทึกรายรับรายจ่ายของกิจการ รวมถึงการเก็บใบเสร็จหรือใบสำคัญต่าง ๆ ไว้ให้ครบถ้วน เพื่อใช้เป็นหลักฐานสำคัญในการแสดงรายการต่างๆ ของธุรกิจ และคำนวณภาษีตามฐานกำไรสุทธิของกิจการต่อไป


ข้อมูลอ้างอิง : เว็บไซต์สรรพากร https://www.rd.go.th/47331.html
 

คอร์รัปชั่น...ไหมครับท่าน ตอนที่ 5 การป้องกัน และการปราบปรามการทุจริต

การแก้ปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบในประเทศไทยนั้นยังพอมีหนทางที่จะทำได้ ซึ่งตอนที่ผ่านมานั้น ผู้เขียนได้เสนอแนะในเรื่องการใช้งบการเงินในฐานะเครื่องมือที่ทรงพลังในการส่งสัญญาณที่ผิดปกติของแต่ละองค์กรภาครัฐไปแล้วนั้น สรรสาระ ประชาธรรม ตอนนี้ จะกล่าวถึงองค์ประกอบในการแก้ปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบที่มีองค์ประกอบสำคัญในภาพใหญ่สองด้าน นั่นคือ (1) การป้องกันการทุจริต และ (2) การปราบปรามการทุจริต ซึ่งศาสตราจารย์ ดร. อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในโอกาสครบรอบ 4 ปีการจัดตั้ง ป.ป.ช. ว่า 

“…มีวิธีใดบ้างที่สามารถแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นให้น้อยลงไปได้นั้น เห็นว่าการแก้ปัญหาดังกล่าวมี 2 วิธี คือ การป้องกันและการปราบปราม สำหรับการป้องกันนั้นถ้าได้ผล การปราบปรามก็จะมีความสำคัญน้อยลง ดังนั้น การแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นจึงควรเน้นหนักที่การป้องกัน แต่การที่จะทำให้การทุจริตลดน้อยลงได้นั้น ในทางปฏิบัติทำได้ยากมาก เพราะการทุจริตคอร์รัปชั่นนั้นฝังรากลึกในระบบราชการ การแก้ปัญหาดังกล่าวให้ได้ผลจึงยากมาก ดังนั้น ก่อนที่จะมีมาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงควรศึกษาอย่างเป็นระบบว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นมีวิธีการอย่างไรบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน…” 

ในประเด็นนี้ นักคิด นักปฏิบัติ และผู้คร่ำหวอดในวงการธรรมาภิบาล เช่น ดร.บัณฑิต นิจถาวร ได้กล่าวไว้ว่า “มี 2 สาเหตุที่ทำให้ปัญหาคอร์รัปชั่นแก้ยาก สาเหตุแรก การบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอ อีกเหตุผลหนึ่ง คือ สังคมเองอ่อนแอ” และเมื่อวิเคราะห์บริบทสำคัญย้อนกลับไปในอดีตนั้น จะพบว่า การที่ประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับระบบอุปถัมภ์ และระบบอิทธิพลสูง ทำให้ปัญหาคอร์รัปชั่นรุนแรงและแก้ไขยาก ที่น่ากลัวกว่านั้น คือ ดร.บัณฑิต กล่าวว่า “...คนพร้อมจะช่วยกันทำความผิด พร้อมช่วยคนผิดให้พ้นผิด และที่แย่ที่สุด คือ พร้อมสรรเสริญคนผิด เพียงเพราะเขารวย ไม่ตั้งคำถามเกี่ยวกับที่มาที่ไปของความร่ำรวย ยอมรับนับถือ จนกลายเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม ทำให้คนยิ่งกล้าทำผิดเพราะนอกจากจะรวยแล้ว ไม่ถูกจับแล้ว ยังมีคนสรรเสริญ มีหน้ามีตาในสังคม ในสังคมไทยเรื่องนี้ชัดเจน และเป็นความอ่อนแอ ทำให้คอร์รัปชั่นกลายเป็นบันไดไต่เต้าให้กับคน จากที่ไม่มีอะไรเลย กลายเป็นคนที่สังคมรู้จัก ร่ำรวย มีตำแหน่ง แม้จะโกงบ้านโกงเมือง...”

กลับมาที่การแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น เมื่อการป้องกันสำคัญกว่าการปราบปราม และหากสังคมเข้มแข็ง มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อกรณีการทุจริตประพฤติมิชอบ ปัญหาคอร์รัปชั่นจะเบาบางลง ดังนั้น หากเรามองไปดูประเทศอื่นที่แต่เดิมปัญหาคอร์รัปชั่นรุนแรง ว่าประเทศเหล่านั้นแก้ปัญหาได้อย่างไร และสามารถนำมาปรับใช้กับประเทศไทยได้อย่างไร เราจึงควรพิจารณากลุ่มประเทศที่ได้รับคะแนน ดัชนีการรับรู้เรื่องคอร์รัปชั่น (Corruption Perception Index--CPI) จัดทำโดย องค์กรความโปร่งใสสากล (Transparency International) ซึ่งประเทศที่มีค่า CPI-2020 เกินครึ่งมีเพียง 57 ประเทศเท่านั้นจากการเปิดเผยข้อมูลใน 180 ประเทศและประเทศไทยได้คะแนนดังกล่าวที่ 36 คะแนนอยู่ในลำดับที่ 104 โดยที่ประเทศที่มีคะแนนเกินครึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศในทวีปยุโรป สำหรับประเทศในแถบเอเชีย สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีคะแนนสูงที่สุด 85 คะแนน อยู่ในลำดับที่ 3 ของโลก ในขณะที่ฮ่องกง และญี่ปุ่นอยู่ในลำดับที่ 11 และ 19 ตามลำดับ (77 และ 74 คะแนน) องค์กรนี้ตั้งขึ้นมาในปี 2536 โดยมีพันธกิจสำคัญ คือการหยุดการคอร์รัปชั่น และส่งเสริม ความโปร่งใส ความรับผิดรับชอบ ความซื่อสัตย์ในทุกภาคส่วน ทุกระดับในสังคม (Our mission is to stop corruption and promote transparency, accountability and integrity at all levels and across all sectors of society.)

ความน่าสนใจก็คือ หากย้อนเวลากลับไปในช่วงทศวรรษ 1960-1970 ทั้งสิงคโปร์และฮ่องกง ประสบปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบอย่างหนัก มีคำกล่าวของคนฮ่องกงในยุคนั้นว่า แค่ก้าวขาออกจากบ้านก็ต้องโดนรีดไถแล้ว แต่ประมาณ 30-40 ปีต่อมาทั้งสองกลับมีการพัฒนาอย่างยิ่งยวด ทั้งที่หากมองจุดตั้งต้นทางเศรษฐกิจนั้นประเทศไทยมีจุดเริ่มต้นทางการเงินและทรัพยากรสูงกว่าประเทศสิงคโปร์ และฮ่องกง จุดพลิกผันสำคัญประการหนึ่งที่ทั้งคนสิงคโปร์และฮ่องกงยอมรับคือ การแก้ปัญหาการคอร์รัปชั่นทำให้ประเทศทั้งสองมีความเจริญก้าวหน้ามีการพัฒนาเช่นทุกวันนี้ สอดคล้องกับคำกล่าวที่เป็นแคมเปญรณรงค์ขององค์กรความโปร่งใสสากลในปี 2547 ที่ว่า เมื่อมีคอร์รัปชั่นทุกคนเป็นผู้จ่าย (With corruption everyone pays)

น่าสนใจอย่างยิ่งละครับ

งานศึกษาจำนวนมากสรุปว่า “ความตั้งใจของคนในชาติ และผู้นำ” มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับการทุจริตประพฤติมิชอบ โดยที่สิงคโปร์และฮ่องกงจัดตั้งหน่วยงานพิเศษสำหรับการต่อสู้กับการคอร์รัปชั่นโดยเฉพาะ (ก็คล้าย ๆ ป.ป.ช. บ้านเรา) และหน่วยงานดังกล่าวเต็มไปด้วยคนหนุ่มสาวที่ไฟแรงและมีอุดมการณ์ในการต่อสู้กับคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบ เป็นทั้งผู้นำการเปลี่ยนแปลงและเป็นที่พึ่งให้กับผู้ชี้เบาะแสการทุจริตประพฤติมิชอบ รายงานของ Transparency International เองก็ให้ข้อเสนอแนะในแนวทางเดียวกัน คือ ผู้นำรัฐบาลมีบทบาทสำคัญ และจะต้องแสดงออกชัดเจนถึงพันธกรณี โดยมีกำหนดระยะเวลาแน่นอนในการต่อต้านคอร์รัปชั่น

กรณีของฮ่องกงนั้น ได้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาพยนตร์เรื่อง I Corrupt All Cops (2009) ผลงานการกำกับของ หว่อง จิ้ง (Wong Jing) คำอธิบายของภาพยนตร์ดังกล่าวให้ข้อมูลว่า หว่อง จิ้ง เติบโตทันที่จะเห็นสภาพสังคมฮ่องกงในยุคที่ ตำรวจกับโจรแทบไม่ต่างกัน มาจนกระทั่งในช่วงทศวรรษที่ 80-90 ที่ผู้ปกครองฮ่องกงปราบปรามคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง จนทำให้วันนี้ ฮ่องกงกลายเป็นเมืองที่มีความโปร่งใสมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

I Corrupt All Cops เริ่มต้นด้วยการฉายให้เห็นความฟอนเฟะของสังคมฮ่องกงยุค 50-70 ที่ตำรวจในฐานะผู้รักษากฎหมาย คือ “หัวโจก” ใหญ่ของการรีดนาทาเร้นประชาชน โดยรัฐบาลที่ปกครองเกาะฮ่องกง ทำได้แค่ “หลี่ตา” แถมตัวหัวหน้าตำรวจยังรู้เห็นเป็นใจกับแก็งค์มาเฟีย โดยรับส่วยแลกกับการให้ความคุ้มครองอย่างถูกกฎหมายและไม่ต้องถูกจับ การก่อตั้งหน่วย Independent Commission Against Corruption (ICAC) กลายเป็นความหวังที่เหลือของคนฮ่องกง แม้ว่าช่วงแรก ๆ คนจะมองว่าเป็นเพียงหน่วยงาน “เสือกระดาษ” ที่ตั้งขึ้นมาก็ไม่แตกต่างจากตำรวจทั่วไป แต่โชคดีที่หน่วยงานใหม่นี้เต็มไปด้วย คนหนุ่มไฟแรง นักศึกษาจบใหม่ที่มีอุดมการณ์ต่อต้านคอร์รัปชั่น อยากเห็นสังคมฮ่องกงดีขึ้น ต่างเข้ามาสมัครเป็นพนักงาน ท้ายที่สุด ICAC ได้รับการยกย่องว่าเป็นรูปแบบการต่อสู้กับการทุจริตคอร์รัปชั่นที่ดีรูปแบบหนึ่งของโลก

แต่กว่าจะเห็นความสำเร็จ คนที่เคยต่อสู้กับความอยุติธรรม และการคอร์รัปชั่นมาก่อนจะรู้ว่าไม่ง่าย

ความน่าสนใจคือ แล้วจะนำมาปรับใช้กับประเทศไทยอย่างไร และจะฝ่าด่าน “แบบไทย ไทย” ได้หรือไม่ น่าติดตามในตอนหน้านะครับ

อัพเดตข้อมูลข่าวสารเล็กน้อยครับ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีของเล่นใหม่ คือ คลังข้อมูลการป้องกันการทุจริต (Anti-Corruption Toolbox) สำหรับให้ประชาชนและเครือข่ายเข้าไปใช้บริการ ทั้งการเล่นเกม การแจ้งเบาะแส และข้อมูลต่าง ๆ น่าสนใจครับในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชน ก็ขอให้ผู้สนใจลองดาวน์โหลดโปรแกรมดังกล่าวไปทดลองใช้ เพื่อยืนยันว่าอย่างน้อยเราก็พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเล็ก ๆ ที่จะไม่ทนต่อการทุจริตคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบ

คราวหน้าจะมาพูดถึงกรณีศึกษาประเทศสิงคโปร์และฮ่องกงครับ ว่าเค้าประสบความสำเร็จในการต่อสู้คอร์รัปชั่นอย่างไร และการมีส่วนร่วมของประชาชนสำคัญไม่แพ้การมีผู้นำที่ดีอย่างไร

 

“พอเพียงสู่ความยั่งยืน” จากมุมมองของครูบัญชี (ตอนที่1)

ในแต่ละปีสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยผลิตบัณฑิตหลากหลายสาขาออกมารับใช้สังคมเป็นจำนวนมากบางส่วนออกไปประกอบอาชีพเป็นพนักงานประจำในองค์การทั้งภาครัฐและเอกชน แต่ก็มีบัณฑิตบางส่วนที่มีความคิดไม่อยากเป็นพนักงานประจำอยากมีกิจการเป็นของตนเอง แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดีในการกำหนดรูปแบบและประเภทของกิจการวิธีการดำเนินงานจะทำอย่างไรให้ธุรกิจดำรงอยู่และเติบโตได้ในอนาคตเมื่อเกิดปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ จะมีวิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไร

ในบทความนี้ ผู้เขียนจะนำเสนอแนวความคิดเพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับบัณฑิตหรือผู้ที่มีความสนใจอยากมีธุรกิจเป็นของตนเองในการนำไปปรับใช้ สำหรับการเป็นผู้ประกอบการในอนาคต โดยใช้ข้อมูลทางด้านบริหารธุรกิจโดยเฉพาะทางด้านศาสตร์บัญชี เพื่อทำให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต

การเป็นผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Micro, Small and Medium-Sized Enterprises หรือ MSME) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่จะเริ่มต้นการประกอบธุรกิจเนื่องจากวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมถือเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ จากการรับทราบรายงานสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมปี 2563 ของคณะรัฐมนตรี ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) รายงานพบว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product GDP) ของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Micro, Small and Medium-Sized Enterprises: MSME) ปี 2562 มีมูลค่า 5,963,156 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35.3 ต่อ GDP รวมทั้งประเทศเพิ่มขึ้นจากในปีก่อนที่มีสัดส่วนร้อยละ 34.6 ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ GDP MSME ยังคงขยายตัวได้สูงมาจากการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ได้แก่ การบริโภคของภาครัฐ และภาคเอกชน และรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลให้ภาคการค้าและภาคการบริการ ยังคงเติบโตได้ในอัตราที่สูง 

ในทางกลับกันดัชนีความเชื่อมั่นของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมปี 2562 อยู่ที่ระดับ 47.5 เท่ากับค่าเฉลี่ยของปี 2561 และเมื่อจำแนกตามกลุ่มธุรกิจ พบว่าผู้ประกอบการ MSME ภาคการค้า และภาคการบริการ มีระดับความเชื่อมั่นเฉลี่ยในปี 2562 ลดลง ในขณะที่ผู้ประกอบการภาคการผลิตมีระดับความเชื่อมั่นสูงขึ้น 

อย่างไรก็ตามค่าเฉลี่ยของดัชนีความเชื่อมั่นของ MSME ยังต่ำกว่าค่าฐานที่ 50 แสดงถึงความเชื่อมั่นที่ไม่ดีนักโดยมีสาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวของภาคการส่งออกที่เกิดจากความต้องการของตลาดโลกลดลงการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติสงครามการค้าระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและสหรัฐอเมริการวมทั้งค่าเงินบาทโดยเฉลี่ยที่แข็งค่ารวมทั้งปัญหาภัยแล้งที่ส่งผลต่อภาคการเกษตรและรายได้ของเกษตรกร

หากสังเกตจากรายงานของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ถึงแม้นว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) ของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Micro, Small and Medium-Sized Enterprises: MSME) ปี 2562 มีมูลค่า 5,963,156 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35.3 ต่อ GDP รวมทั้งประเทศเพิ่มขึ้นจากในปีก่อนที่มีสัดส่วนร้อยละ 34.6 แต่ดัชนีความเชื่อมั่นของ MSME ในช่วง 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน) ของปี 2563 มีค่าเท่ากับ 42.5 ลดลงจากค่าเฉลี่ย 46.1 ในช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยสาเหตุหลักมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSME) เป็นอย่างมากโดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้ประมาณการอัตราการขยายตัวของ GDP MSME ในปี 2563 อยู่ในช่วงระหว่างร้อยละ 0.5 ถึงร้อยละ 6.2 (ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในประเทศ) 

ทั้งนี้จากการสำรวจความเห็นของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSME) จำนวน 2,700 รายพบว่าวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSME) มีแผนการปรับตัวทางธุรกิจคิดเป็นร้อยละ 84.8 ซึ่งส่วนใหญ่จะปรับตัวในด้านการลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น รองลงมา คือ การพัฒนาคุณภาพสินค้าและรูปแบบบรรจุภัณฑ์ และ การเพิ่มประเภทสินค้าและรูปแบบการให้บริการ นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมการขายในตลาดออนไลน์มากขึ้น และสิ่งที่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSME) ต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือในการขายสินค้าออนไลน์มากที่สุด ได้แก่ การส่งเสริมทักษะในการทำตลาดออนไลน์ การสนับสนุนต้นทุนขนส่งสินค้า และ การประชาสัมพันธ์สินค้าออนไลน์ท้องถิ่น ในส่วนของมาตรการช่วยเหลือโดยตรงต่อธุรกิจ MSME ที่มีความต้องการ แต่ยังไม่สามารถเข้าถึงได้ ได้แก่ มาตรการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ มาตรการพักชำระหนี้ มาตรการลดหย่อนภาษีและยกเว้นภาษีและเงินกู้ฉุกเฉิน โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อรักษาสภาพคล่องของกิจการซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ทั้งนี้ปัญหาสำคัญที่ทำให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSME) ไม่สามารถเข้าถึง แหล่งเงินทุน ได้แก่ การขาดหลักประกันหรือมีหลักประกันไม่เพียงพอปัญหาด้านประวัติการชำระหนี้ที่ผ่านมาและการขาดเอกสารหลักฐานแสดงรายได้ (https://www.ryt9.com/s/cabt/3190747

แม้นว่าวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจะมีความสำคัญเพียงใดก็ตาม ในบทบาทของผู้ประกอบการ (Entrepreneurs) ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบกับการองค์การได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสภาพปัญหาภายในองค์กร เช่น ต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ คุณภาพสินค้า รูปแบบบรรจุภัณฑ์ รูปแบบการให้บริการ ช่องทางการส่งเสริมการขาย หรือสภาพปัญหาภายนอกองค์กร เช่น ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดต่อมาตรการด้านภาษี หรือแม้นกระทั่งแหล่งเงินทุนขององค์การ ดังนั้น แนวทางการดำเนินงานที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่องค์การได้นั้น หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (Philosophy of Sufficiency Economy) เป็นแนวทางในเบื้องต้นสำหรับการประกอบธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการได้อย่างยั่งยืน

หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (Philosophy of Sufficiency Economy) เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตให้แก่พสกนิกรชาวไทย โดยมีแนวคิดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอก โดยต้องอาศัยความรู้ความรอบคอบและความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการนำวิชาต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน ขณะเดียวกันต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหนี้ที่ของรัฐนักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับให้มีสำนึกในคุณธรรมความซื่อสัตย์สุจริตและให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม มีการดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งวัตถุสังคมสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี (สุเมธตันติเวชกุล, 2550, http://www.rdpb.go.th/th/Sufficiency

จากแนวหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (Philosophy of Sufficiency Economy) จะพบว่าเป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ดังนั้นในการที่จะเป็นเริ่มต้นการเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจใด ๆ หากนำแนวหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน โดยอาศัยความรู้ความรอบคอบและความระมัดระวังอย่างยิ่งก็จะทำให้ธุรกิจมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอก

ในการเป็นผู้ประกอบการนั้น อาจจะเริ่มต้นจากการเป็นเจ้าของธุรกิจเพียงคนเดียว หรืออาจจะมีหุ้นส่วนรวมกันหลายคน ดังนั้น ผู้ประกอบการต้องมีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับรูปแบบของธุรกิจเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการบริหารจัดการ โดยรูปแบบของธุรกิจสามารถสรุปได้ ดังต่อไปนี้

บุคคลธรรมดา : บุคคลทั่วไป ที่มีชีวิตอยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (มาตรา 15)

คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล : บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกันเหมือนห้างหุ้นส่วนสามัญ แต่ไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้จากกิจการที่ทำนั้น (มาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร)

ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล : บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ตกลงเข้ากันเพื่อการทำกิจการร่วมกัน โดยมีวัตถุประสงค์แบ่งปันกำไรที่ได้จากกิจการที่ทำ (มาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร)

ห้างหุ้นส่วนสามัญที่จดบุคคล : บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปมาลงทุนและเป็นเจ้าของกิจการร่วมกัน โดยทะเบียนนิติบุคคลหุ้นส่วนทุกคนไม่จำกัดความรับผิด และต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ห้างหุ้นส่วนจำกัด : บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป มาลงทุนและเป็นเจ้าของกิจการร่วมกัน หุ้นส่วนมีทั้งที่จำกัดความรับผิดและไม่จำกัดความรับผิด และต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

บริษัทจำกัด : บุคคลตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปมาลงทุนและเป็นเจ้าของกิจการ ผู้ถือหุ้นรับผิดในหนี้ต่าง ๆ ไม่เกินจำนวนเงินที่ผู้ถือหุ้นแต่ละคนลงทุน และต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

วิสาหกิจชุมชน : กิจการของชุมชนที่เกี่ยวกับการผลิตสินค้า การให้บริการ หรือการอื่นที่ดำเนินการโดยคณะบุคคลที่มีความผูกพัน มีวิถีชีวิตร่วมกัน และรวมตัวประกอบกิจการดังกล่าว เพื่อสร้างรายได้และเพื่อการพึ่งพาตนเองของครอบครัว ชุมชนและระหว่างชุมชน โดยมีการยื่นขอจดทะเบียนวิสาหกิจชุมชน ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน 2548 กับกรมส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนการเกษตร 

ที่มา : https://www.rd.go.th/publish/fileadmin/user_upload/SMEs/infographic/360_1_2.pdf

หลายท่านเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คงจะพอมีแนวทางในการเริ่มต้นการเป็นผู้ประกอบการ เพื่อประกอบธุรกิจในเบื้องต้นบ้างแล้ว โดยเฉพาะการเป็นผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ถือเป็นกำลังหลักสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลพยายามเร่งพัฒนายกระดับให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเติบโตอย่างมีศักยภาพ มีความสามารถในการทำธุรกิจให้อยู่ในระดับสากลมากขึ้น และสามารถอยู่ได้เช่นเดียวกับธุรกิจขนาดใหญ่ และมีการส่งเสริมเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในระดับหนึ่ง

ขณะเดียวกันต้องถือว่าเป็นความโชคดีของประชาชนชาวไทยทุกกลุ่มทุกอาชีพที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ทรงพระราชทานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (Philosophy of Sufficiency Economy) ไว้ให้เป็นสมบัติอันล้ำค่าเพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตและดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน 

ในตอนต่อไปผู้เขียนจะกล่าวถึงประเภทและขนาดของของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSME) เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบข้อมูลต่อจากการกำหนดรูปแบบของธุรกิจ 

หมายเหตุ: แนวคิดและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ในบทความเป็นของผู้เขียนไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานที่สังกัด 

‘เมืองแปร’ มิแปรเปลี่ยนใจ สถานที่แห่งความทรงจำ กาลครั้งหนึ่งในเมียนมา

ผมมีโอกาสได้เดินทางไปในเมียนมาตั้งแต่เหนือจรดใต้ ได้พบสถานที่มากมาย ผู้คนหลากหลายวัฒนธรรมและแนวคิด รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยว แต่มีสถานที่หนึ่งที่มีความงดงามทั้งสถานที่ท่องเที่ยว ผู้คนจนผมไม่มีวันลืม ที่นั่นคือ ‘เมืองแปร’ หรือ ‘เมืองปีย์’ ในภาษาพม่านั่นเอง

เมืองแปร ห่างจากย่างกุ้งออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 300 กิโลเมตร โดยการเดินทางสามารถไปได้ 2 ทางคือเดินทางผ่านเมืองมอว์บิ (Hmawbi) ขึ้นไปทางเมืองสายาวดี (Tharawaddy) จนถึงเมืองแปร ซึ่งเส้นนี้ระยะทางจะอยู่ที่ประมาณ 300 กิโลเมตร แต่หากคุณเป็นสายท่องเที่ยวแวะเมืองนั้นเมืองนี้ด้วยแล้วละก็สามารถไปอีกทางหนึ่งคือไปทางรัฐอิรวดีผ่านเมืองซาลุน (Zalun) แวะสักการะเจดีย์ Zalun Pyi Taw Pyan ที่มีตำนานว่าเคยเกือบฆ่าพระนางวิคตอเรียมาแล้ว โดยเรื่องราวนี้มีอยู่ว่าเมื่ออังกฤษยึดพม่าเป็นเมืองขึ้นได้แล้วก็ขนทองเหลืองกลับไปอังกฤษเพื่อหลอมทำปืนใหญ่ ซึ่งทองเหลืองที่ติดไปด้วยในครั้งนั้นคือพระพุทธรูปแห่งเมืองซาลุนแห่งนี้ 

เมื่อไปถึงช่างหลอมปืนใหญ่ก็ป่วยด้วยโรคที่ไม่สามารถรักษาหายตายไปเรื่อย ๆ ส่วนพระนางวิคตอเรียในขณะนั้นก็ทรงพระสุบินประหลาดว่ามีคนน่ากลัวมาบอกว่าหากไม่นำพระพุทธรูปแห่งเมืองซาลุนที่อยู่ในห้องเก็บทองเหลืองสำหรับหล่อปืนใหญ่กลับไปคืน พระนางจะสิ้นพระชนม์ภายใน 10 วัน เมื่อพระนางตื่นจากความฝันก็ทรงให้เหล่าทหารไปค้นหาว่ามีพระพุทธรูปนี้จริงไหม สรุปว่ามีจริง…ทำให้พระนางรีบส่งพระพุทธรูปนี้กลับจากอังกฤษมายังพม่าเพื่อกลับมาประดิษฐานยังที่นี่นับจากนั้นเป็นต้นมา

พระพุทธรูป Zalun Pyi Taw Pyan ที่พระนางวิคตอเรียแห่งสหราชอาณาจักรยังหวาดหวั่นในความศักดิ์สิทธิ์

แต่เส้นทางนี้จะสมบุกสมบันกว่าเส้นทางแรกและมีระยะทางยาวกว่า 100 กิโลเมตร และยังใช้เวลาเดินทางมากกว่าทางแรกมากกว่า 2 ชั่วโมงอีกด้วย หากใครใจไม่รักในการเที่ยวแบบลุย ๆ เสียเวลานั่งรถชมวิวไปเรื่อยแล้วละก็แนะนำเส้นทางแรกดีกว่า

เมื่อมาถึงเมืองแปรแล้ว ที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายแต่สถานที่ที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่เลย ผมขอแนะนำ 2 ที่สำหรับใครที่มาเมืองแปรแล้วถ้าไม่มาที่นี่ถือว่ามาไม่ถึง ที่แรกคือแหล่งมรดกโลกอาณาจักรศรีเกษตร (Thayay Khittayar Ancient Cities) ที่นี่คือจุดกำเนิดของจักรวรรดิเมียนมาที่ยิ่งใหญ่ ที่นี่เป็นอาณาจักรของชาวพิว (Pyu) ในภาษาไทยมักจะเขียนว่าพยู หรือ ปะยู เป็นอาณาจักรเก่าแก่ที่เจริญรุ่งเรืองในช่วงเดียวกันกับอาณาจักรฟูนัน ศูนย์กลางของอาณาจักรอยู่ที่เมืองศรีเกษตร ปัจจุบันคือเมืองเมืองฮมอซา (Hmawza) ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองแปร (Pyay) ไปทางใต้ 6 ไมล์ มีอาณาบริเวณครอบคลุมบริเวณลุ่มแม่น้ำอิรวดีในภาคกลาง และภาคใต้ของประเทศพม่าในปัจจุบัน ชนชาติปะยูนับถือพระพุทธศาสนา ได้รับความเจริญทางอักษรศาสตร์จากอินเดีย ชนชาติพิวนั้นมีเชื้อสายเดียวกับพม่า โดยอพยพลงมาจากทิเบตและทางตอนใต้ของจีน ในยุคที่รุ่งเรืองอาณาจักรนี้มีอำนาจปกครองเกือบตลอดแหลมมลายู จากนั้นถูกชนชาติมอญและอาณาจักรน่านเจ้ารุกราน และเริ่มเสื่อมถอยลงเรื่อย ๆ หลังจากนั้นก็ตกอยู่ในอำนาจของอาณาจักรพุกาม เมื่อพระเจ้าอโนรธามังช่อ ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรพุกาม เข้ามารุกรานทำให้อาณาจักรศรีเกษตรล่มสลายไป

มีหลักฐานมากมายว่าชาวพิว มีความสัมพันธ์กับชาวพม่าในยุคต่อ ๆ มา โดยแสดงออกมาทางสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ที่พบในเมืองศรีเกษตร อย่างเช่นเจดีย์ขนาดใหญ่แบบก่อตัน เป็นเจดีย์ทรงระฆังชื่อว่าเจดีย์บอบอจี (Bawbaw Gyi) และเจดีย์ปะยาจีย์ (Pya Gi) ซึ่งเชื่อว่าเป็นต้นแบบให้กับงานสถาปัตยกรรมของพม่าในยุคต่อ ๆ มา ได้แก่ เจดีย์ชเวดากอง มิงกาลาเจดีย์ เจดีย์ธรรมยันสิกะ เป็นต้น มีเจดีย์วิหารเป็นสิ่งก่อสร้างจากอิฐที่มีลักษณะรวมกันระหว่างเจดีย์ก่อตันและอาคาร (วิหาร) ที่เข้าไปใช้สอยพื้นที่ภายในในการประกอบพิธีกรรมได้ เจดีย์วิหารที่สำคัญ ได้แก่ วิหารเบเบจี (Bebe Gyi) และวิหารเลเมียทนา (Limyethna) อาคารลักษณะนี้เชื่อว่าพัฒนาไปเป็นเจดีย์วิหารที่มีขนาดใหญ่ในสมัยพุกามต่อมา นอกจากนี้ยังพบหลักฐานงานประติมากรรมที่ทำจากหินสลัก ประติมากรรมดินเผา ซึ่งพบว่าเป็นดินชนิดเดียวกับอิฐที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารและเจดีย์ ประติมากรรมสำริด โดยมีการพบหลักฐานชิ้นสำคัญคือ ประติมากรรมสำริดกลุ่มนักดนตรีและนักเต้นรำ โดยที่ท่ารำนั้นแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างอารยธรรมของอาณาจักรอินเดียและอาณาจักรศรีเกษตร

อีกสถานที่หนึ่งที่ผมขอแนะนำในแปรคือ ภูเขาอะก๊อกต่อง (A Kauk Taung) รูปหินสลักพระพุทธเจ้าที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำอิรวดี หากใครจะเดินทางไปชมจะต้องไปลงเรือของชาวบ้านแล้วเดินทางไปยังที่แห่งนี้  เชื่อว่ารูปสลักหินที่นี่มีอายุร่วมสมัยกับอาณาจักรศรีเกษตรคือมากกว่า 2500 ปีเลยทีเดียว

แม้ผมจะเคยไปมาแล้ว แต่ที่นี่ก็ยังอยู่ในความประทับใจไม่ลืมเลือนและหากสถานการณ์ในเมียนมาเข้าสู่ภาวะปกติเมื่อใด ผมจะกลับไปเยือนอีกครั้งแน่นอน และที่นี่คือ “เมืองแปร สถานที่ที่เวลาไม่เคยทำให้มนต์เสน่ห์ของเมืองแปรเปลี่ยนไป”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top