Thursday, 22 May 2025
SPECIAL

'ผกก.แม่สอด' สุดทน!! ชี้มือโพสต์ขบวนการ Fake News หยุดทำร้ายชาวแม่สอดได้แล้ว

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2564 พ.ต.อ.ภูเบศ แสงอร่าม ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรแม่สอด จังหวัดตาก พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนและชุดปราบปรามอาชญากรรม และชุดสายตรวจปฎิบัติการพิเศษ สภ.แม่สอด จ.ตาก ได้ร่วมกันแถลงข่าว ถึงการสืบสวน สอบสวนติดตาม หาข่าวและข้อเท็จจริง ขบวนการสร้างข่าวปลอม หรือเฟกนิวส์ Fake News ภายหลังหลังจากที่มีกลุ่มขบวนการ สร้างเพจบล็อก และโพสต์ข่าวปลอม เป็นเฟกนิวส์ มีข้อความเพื่อพุ่งเป้าทำลายชื่อเสียง ของเจ้าหน้าที่และสร้างความสับสนให้สังคมแม่สอด

โดยได้โพสต์ตามสังคมออนไลน์ ทั้งในพื้นที่และทั่วประเทศ จนสร้างความเสียหาย ระหว่างหน่วยงานไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็น การปล่อยข่าวว่าเจ้าหน้าที่มีส่วนรู้เห็นหรือเรียกรับเงิน เรื่องขบวนการลักลอบขนแรงงาน ฯลฯ รวมทั้งการทำเพจปลอมกล่าวหาให้ร้ายระหว่างหน่วยภาครัฐ แล้วนำไปลง จนสร้างความสับสนให้กับพี่ประชาชนในพื้นที่ไปแล้วนั้น จึงขอชี้แจงให้ประชาชนทุกท่านทราบข้อเท็จจริงและอย่าหลงเชื่อหรือส่งต่อแชร์ข้อมูลบิดเบือนใด ๆ เพราะเป็นความผิดตามกฎหมายอาญา และความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

พันตำรวจเอกภูเบศ แสงอร่าม ผกก.แม่สอด เปิดเผยอีกว่า สุดจะทนกับพฤติกรรมของกลุ่มผู้สูญเสียผลประโยชน์ชายแดนที่กำลังดิ้นเพราะการจับกุมของเจ้าหน้าที่สร้างความเสียหาย จนไปว่าจ้างทำบล็อกเฟกนิวส์ขึ้นมาโจมตี เจ้าหน้าที่หน่วยต่าง ๆ​ ไม่ว่าเป็น ตำรวจ ปกครอง ทหาร บุคลากรทางการแพทย์ ทำให้ได้รับความเสียหาย และเกิดความเข้าใจผิดกับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ เรื่องนี้ยืนยันว่าตนเองยอมไม่ได้ จำเป็นต้องจัดการให้เด็ดขาด เพราะคนพวกนี้กำลังทำร้ายชาวแม่สอดและชาวจังหวัดตากอย่างไม่ละอายใจ ปล่อยไว้มีแต่จะทำลายสังคม

ผู้กำกับการ สภ.แม่สอด กล่าวย้ำอีกว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีมีการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนในสื่อออนไลน์ ตามที่เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงที่ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ประจำจุดตรวจบ้านห้วยหินฝน หมู่ที่ 6 ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก ได้ร่วมกันตรวจสอบพบคนไทยที่ลักลอบเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งในห้วงระหว่างเดือน มกราคม -  31 กรกฎาคม 2564 ได้มีการตรวจพบเป็นจำนวนมากถึง 498 ราย (ชาย 161 คน หญิง 337 คน) และมีการตรวจพบว่าเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 จำนวนร่วม 30 คน ผู้ถูกจับกุมส่วนใหญ่จะเป็นคนไทย

ส่วนคนต่างด้าวที่ลักลอบเข้ามาจะหลบเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นในการหลบหนีเข้าเมือง เนื่องจาก ไม่สามารถเดินทางผ่านจุดตรวจ บ้านห้วยหินฝนนี้ได้เพราะถ้าเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบก็จะถูกจับกุมดำเนินคดี จากการซักถามปากคำผู้ถูกจับกุมพบว่า มีการจ่ายเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้กับผู้นำพาลักลอบเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร รายละประมาณ 6,000 - 12,000 บาท ซึ่งสอดคล้องกับพยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพบจากโทรศัพท์ของผู้ถูกจับกุม มีข้อมูลการสนทนาทางไลน์​ และสลิปการโอนเงินให้กับกลุ่มผู้นำพา

หากคิดจำนวนผู้ลักลอบที่ถูกจับกุมแล้ว ที่ผ่านมามีเงินที่กลุ่มขบวนการนี้ได้ไปเป็นจำนวนหลายล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาให้ความสนใจ และทาง พล.ต.ต.ปริญญา วิศิษฐฎากุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก จึงได้สั่งการให้ ผกก.สภ.แม่สอด ทำการสืบสวนขยายผลถึงกลุ่มขบวนการผู้กระทำความผิดดังกล่าว

ภายหลังที่ สภ.แม่สอด ได้มีการสืบสวนขยายผลกลุ่มขบวนการลักลอบนำพาคนเข้าเมืองโดยผิดกฏหมาย และกวดขันจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างเข้มงวด ซึ่งที่ผ่านมาได้ร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่จับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อาวุธสงคราม และความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ อย่างต่อเนื่อง

ต่อมาประมาณเดือน มิ.ย. 2564 ได้ตรวจพบว่ามีการจัดทำสื่อภาพซึ่งนำรูปเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นในพื้นที่ อ.แม่สอด จว.ตาก มาประกอบข้อความบิดเบือนข้อเท็จจริง เผยแพร่ในสื่อออนไลน์เพื่อลดความน่าเชื่อถือของเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคง และในเดือนกรกฎาคม 2564 ได้มีการนำสื่อภาพซึ่งมีรูปของนายตำรวจระดับสูง ของจังหหวัดตาก และข้าราชการตำรวจ มาประกอบข้อความบิดเบือนข้อเท็จจริง ออกมาเผยแพร่ในสื่อออนไลน์เป็นครั้งที่ 2 ขณะนี้ทราบตัวและแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ทำการเผยแพร่ส่งต่อแชร์ข้อมูลดังกล่าวแล้ว และอยู่ระหว่างสืบสวนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการลักลอบนำพาคนเข้าเมืองโดยผิดกฏหมายดังกล่าวหรือไม่


ภาพ/ข่าว วรภา พันลุตัน จ.ตาก

สมุทรสาคร - อนุทิน เปิด รพ.สนาม FAI ในโรงงาน เพื่อแยกผู้ติดเชื้อโควิดป้องกันแพร่สู่ชุมชน

เมื่อเวลา 15.00 น. ของวันที่ 4 สิงหาคม 2564 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะเดินทางมาตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามในโรงงาน ( Factory isolation / FAI ) ณ บริษัท ปัญจพล ไฟเบอร์คอนเทนเนอร์ จำกัด (สาขาบางปลา) ต.บ้านเกาะ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร โดยมีนายธีรพัฒน์ คัชมาตย์  รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร นายสุรศักดิ์ ผลยังส่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร นายศรัณยู เตชะวิบูลย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ปัญจพล ไฟเบอร์คอนเทนเนอร์ จำกัด พร้อมส่วนราชการภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องร่วมต้อนรับ 

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 ของประเทศไทย ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจังหวัดสมุทรสาคร ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นอันดับที่ 2 รองจากกรุงเทพมหานคร ประกอบกับเป็นจังหวัดที่มีจำนวนโรงงานและสถานประกอบการจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดความแออัดของผู้ติดเชื้อในหน่วยบริหารหลักทั้งโรงพยาบาลรัฐทั้ง3แห่ง และโรงพยาบาลเอกชนอีก1 แห่งในจังหวัดสมุทรสาคร ดังนั้นแนวคิดของการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในโรงงาน( Factory isolation ) นับเป็นการแบ่งเบาภารกิจของโรงพยาบาล โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ทั้งการจัดทำสถานที่ จัดหาอุปกรณ์และเครื่องมือที่จำเป็นเพื่อดูแลพนักงานและเจ้าหน้าที่ของตนเองที่มีการติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรือผู้ติดเชื้อที่อยู่ในเกณฑ์สีเขียว จัดระบบการดูแลรักษาพยาบาลของผู้ติดเชื้อโดยประสานความร่วมมือของโรงพยาบาลที่มีหน้าที่ดูแลผู้ประกันตนตามหลักประกันสุขภาพและนับเป็นความเสียสละของผู้ประกอบการโรงงาน แสดงถึงความร่วมมือต่อนโยบายภาครัฐในการควบคุมโรคและสนับสนุนระบบการรักษาพยาบาลของประเทศไทย

นอกจากนี้ทางด้าน นายอนุทินฯกล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงสาธารณสุขได้เดินหน้านโยบายการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) หากผลเป็นบวกสนับสนุนการดูแลรักษาที่บ้าน (Home Isolation) และการดูแลที่ชุมชน (Community Isolation) ส่วนสถานประกอบการหรือโรงงานได้ให้จัดทำโรงพยาบาลสนามในโรงงานและศูนย์พักคอย เพื่อแยกผู้ติดเชื้อออกมา ช่วยลดการแพร่เชื้อในโรงงานและในชุมชน สำหรับ บริษัท ปัญจพล ไฟเบอร์ คอนเทนเนอร์ จำกัด ได้ใช้อาคารโรงงานของตนเองมาดำเนินการเป็นโรงพยาบาลสนามและศูนย์พักคอยขนาด 100 เตียง รองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งในโรงงานตนเองและชุมชนบางปลาโดยรอบ มีบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลวิชัยเวชมาช่วยดูแล ผ่านการประเมินตามมาตรฐานของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ถือว่ามีความปลอดภัยต่อชุมชนโดยรอบ

ทั้งนี้ โรงพยาบาลสนามในโรงงานของสมุทรสาคร ขณะนี้มีจำนวน 1,140 แห่ง รวม 33,365 เตียง มีการใช้งานแล้ว 3,179 เตียง คงเหลือ 30,186 เตียง ขณะที่การดูแลผู้ติดเชื้อในชุมชนมีจำนวน 34 แห่ง รวม 4,000 กว่าเตียง ทำให้มีพื้นที่แยกกักโดยเฉพาะ ช่วยลดอัตราการใช้เตียง ทำให้มีเตียงรองรับผู้ติดเชื้ออาการรุนแรง โดยการดูแลรักษาในทุกระบบใช้แนวทางตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขเหมือนกันทั้งหมด

ส่วนเรื่องของวัคซีนไฟเซอร์นั้น นายอนุทินฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลพยายามจัดหาวัคซีนชนิด mRNA  มาฉีดบู๊สเตอร์ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ นับตั้งแต่ อสม.ขึ้นมา ซึ่งก็ต้องเป็นไปตามที่ได้มีการนำเข้า และการฉีดวัคซีนชนิดนี้จะต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้ที่เข้ารับการฉีดด้วย แต่ที่ผ่านมามีบุคลากรทางการแพทย์จำนวนมากฉีดบู๊สเข็ม 3 ด้วยวัคซีนแอสตราเซเนกาไปแล้วและได้ผลดีมาก


ภาพ/ข่าว  ชูชาต แดพยนต์ ทีมข่าวสมุทรสาคร

นครพนม - เตรียมพัฒนาศักยภาพ อสม. เสริมกำลังแพทย์คัดกรองผู้ป่วยโควิด พร้อมเสริมความรู้ให้ประชาชน

วันที่ 4 สิงหาคม 2564 ที่อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายแพทย์มานพ ฉลาดธัญญกิจ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครพนม และท้องถิ่นจังหวัดนครพนม ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจและติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานระดับอำเภอ ตลอดจนกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เกี่ยวกับการป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสโควิด -19 ในพื้นที่ พร้อมรับฟังปัญหาและหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน

โดยในการลงพื้นที่ในครั้งนี้ทางอำเภอนาแกได้ชี้แจงถึงแนวทางการดำเนินงานเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรบุคคล ที่ปัจจุบันบุคลากรทางการแพทย์มีไม่เพียงพอต่อการให้บริการ เนื่องจากในแต่ละวันมีผู้ที่มาจากพื้นที่เสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลากรทางการแพทย์เริ่มมีความเหนื่อยล้า ดังนั้นจึงได้มีการปรับแผนการบริหารบุคคลากร โดยการพัฒนากลุ่มคนไข้ผู้ป่วยโควิดที่มีความเข้าใจในด้าน social และเทคโนโลยีที่ปัจจุบันสามารถช่วยเหลือผู้อื่นและตนเองได้ตามปกติให้เข้าใจในการตรวจวัดอุณหภูมิ การวัดออกซิเจนในเลือดของแต่ละคนว่าควรมีค่าเท่าไหร่อย่างไร และสอนวิธีการส่งข้อมูลเพื่อติดต่อกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในจุดสังเกตอาการ เพื่อให้คนไข้ได้ช่วยดูแลซึ่งกันและกันได้มากยิ่งขึ้น

ซึ่งนอกจากจะเป็นการลดภาระให้กับบุคลากรทางการแพทย์แล้ว ยังส่งผลดีต่อผู้ป่วยด้วยเพราะเมื่อมีความสงสัยอะไร จะสามารถวัดได้ทันทีตลอดเวลาเนื่องจากเครื่องอยู่ในพื้นที่ของผู้ป่วยอยู่แล้ว รวมถึงยังช่วยลดความเสี่ยงให้กับบุคลากรทางการแพทย์เนื่องจากความอ่อนล้าในการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งข้อมูลยังเป็นแบบเรียลไทม์ตลอดเวลานั่นหมายถึงผู้ป่วยทุกคนมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกันในระหว่างพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวทางปฏิบัติ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ก็ได้มีการเสนอให้ทางพื้นที่เตรียมการเพิ่มศักยภาพให้กับ อสม. เพื่อมาเป็นอีกกำลังหนึ่งในการช่วยบุคลากรทางการแพทย์ในการดูแลประชาชนในชุมชนและในศูนย์พักคอย (Community Isolation :CI) เพราะปัจจุบันยังใช้บุคลากรทางสาธารณสุขทั้งหมด ซึ่งในส่วนนี้จะมีการการเตรียมแผนพัฒนา ให้ อสม. มีความรู้ในเรื่องของการเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจหาเชื้อด้วย Antigen test kit ซึ่งเป็นทักษะขั้นสูงขึ้นสำหรับ อสม.ทุกคน เพราะการเก็บเชื้อตัวอย่าง ต้องมีความแม่นยำ ถูกต้อง ก่อนที่จะนำมาทดสอบกับน้ำยา ซึ่งถ้า อสม. ในพื้นที่ได้สามารถทำได้ก็จะทำให้แต่ละชุมชนสามารถดูแลกันได้เลยในเบื้องต้น เพราะมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการป้องกันการเกิดคลัสเตอร์ในแต่ละชุมชนได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังได้เสนอแผนการอบรมให้ความรู้ประชาชนในเรื่องของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่เรื่องของโรค สถานการณ์ของโรค การป้องกันตนเอง การดูแลสุขภาพจิตใจทั้งในกรณีที่เป็นผู้ป่วยและกรณีของคนในชุมชนที่ป่วยแล้วกลับมา จะมีการดูแลกันอย่างไรให้ถูกต้องและไม่เกิดการแพร่ระบาด ซึ่งในส่วนนี้แต่ละท้องถิ่นจะนำเงินกองทุนตำบลมาใช้ในการอบรมพัฒนาความรู้ให้กับประชาชนและมีแผนงานโครงการอยู่แล้ว แต่ติดปัญหาในการอบรมเนื่องจากไม่สามารถรวมกลุ่มกันได้เกิน 50 คน ดังนั้นในส่วนนี้จึงได้หาทางออกด้วยกัน โดยได้เตรียมการอบรมในลักษณะออนไลน์ที่ให้แต่ละตำบลหมู่บ้านสามารถเข้าถึงได้ พร้อมกับการเชื่อมต่อโปรเจคเตอร์ของแต่ละแห่งฉายกระจายความรู้ให้ประชาชนในชุมชนได้ดูพร้อม ๆ กัน


ภาพ/ข่าว  สุเทพ หันจรัส นครพนม

สระแก้ว - สส.ชลบุรีเขต 7 มอบเตียงสนามศูนย์ฟื้นฟูพักคอยรอกลับบ้าน จำนวน 40 ชุด เทศบาลเมืองจังหวัดสระแก้ว

เมื่อเวลา 07.00 น ขอที่ 3 สิงหาคม 24 สส.กวินนาถ ตาคีย์ ชลบุรี เขต 7 รองหัวหน้าพรรคพลังท้องถิ่นไท เดินทางรับมอบเตียงสนาม จากนายอมรเทพ โรจนลภัสปรีดา แซ่คู ผู้ช่วยดำเนินงานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 27 และเลขานุการกรรมาธิการการปกครอง เป็นตัวแทนครอบครัวชาวนาและกัลยานิมิตรผู้ใหญ่ผู้ใจบุญ เพื่อรับส่งมอบให้กับศูนย์พักฟื้นคอยการกลับบ้านของผู้ป่วย covid จำนวน 40 ชุด ให้กับเทศบาลเมืองจังหวัดสระแก้ว และยังมีบริษัทคนีน์จำกัดและผลิตภัณฑ์ออแกนิคฆ่า เพื่อให้นำมาฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อให้ชาวบ้านในอำเภอบางละมุงจังหวัดชลบุรีด้วย

เนื่องด้วยการรับมอบตียงสนาม ให้กับศูนย์พักฟื้นคอยรอการกลับบ้านได้รับการประสานงานมาจาก นายเอกชัย พิทยานุรักษากุล ผอ.กองช่าง เทศบาลเมืองจังหวัดสระแก้ว และนายไพรวัลย์โมรา เป็นผู้ติดต่อประสานงานมายัง สส.กวินนาถ ตาคีย์ (ชลบุรีเขต 7) รองหัวหน้าพรรคพลังท้องถิ่นไท ด้วยเทศบาลจังหวัดสระแก้วกำลังจะทำศูนย์ฟื้นฟูพักรอคอยการกลับบ้าน ซึ่งในขณะนี้ได้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากและมีความต้องการเตียงสำหรับจัดทำศูนย์พักฟื้นคอย เป็นอย่างมากจึงได้ติดต่อประสานงานมายัง สส.เชลบุรีเขต 7 นางสาวกวินนาถ ตาคีย์ หัวหน้าพรรคพลังท้องถิ่นไท ซึ่งนายไพรวัลย์ โมรา ทราบว่าสส.กวินนาถ ตาคีน์ ชลบุรีเขต 7 รองหัวหน้าพรรคพลังท้องถิ่นไทยได้ทำโครงการมอบเตียงสนาเสำหรับ ศูนย์พักฟื้นฟูรอคอยการกลับบ้านอยู่แล้ว

สส.กวินนาถ ตาคีย์ ชลบุรีเขต 7 หัวหน้าพรรคพลังท้องถิ่นไทย จึงได้เดินทางไปรับเตียงสนามพร้อมเดินทางไปมอบเตียงสนามให้กับศูนย์พักฟื้นฟูรอคอยการกลับบ้านที่ เทศจังหวัดสระแก้ว จำนวน 40 ชุด โดยมีนายตระกุล สุขกุล นายกเทศบาลเมืองจังหวัดสระแก้ว พร้อมคณะทำงานให้การต้อนรับ หลังจากนั้น สส.กวินนาถ ตาคีย์ ชลบุรีเขต7 ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมที่ศูนย์พักฟื้นฟูรอคอยการกลับบ้าน ของเทศบาลเมืองจังหวัดสระแก้วได้จัดทำขึ้นมา ได้พบว่า การบริหารงานการจัดทำศูนย์พักฟื้นรอการกลับบ้าน ได้มีระบบ การอุปโภค ครบครัน อำนวยความสะดวกและสถานที่กว้างใหญ่ พร้อมรับผู้ป่วย ได้เป็นจำนวนมากและพร้อมทีมงานบริหารงานทีมแพทย์จิตอาสาให้การดูแลผู้ที่มาพักฟื้นคอยการกลับบ้านแบบดีที่สุดแน่นอน...


ภาพ/ข่าว  สมชาย โคตล่ามแขก ผู้สื่อข่าวพัทยาจังหวัดชลบุรี

จับเฒ่าจีน!! ‘หนีหมายคดีล้มละลาย แอบซุกบริษัทย่านปทุม’ พบหลักฐานดำเนินคดีในความผิดทางการเงิน มีหมายจับของศาลจีนคดีล้มละลายเช่นกัน

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3 และ ว่าที่ พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3 ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

ให้ห้วงที่ผ่านมา กก.สส.บก.ตม.3 คอยสอดส่งพฤติกรรมและบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มคนต่างด้าวที่กระทำผิดกฎหมายหรือมีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งอาจนำไปสู่การก่ออาชญากรรมในประเทศไทย ในครั้งนี้ชุดสืบสวน กก.สส.บก.ตม.3 ได้รับการร้องเรียนว่ามีบุคคลคล้ายคนจีนน่าสงสัยว่าอาจหลบหนีเข้าเมืองหรือหลบหนีความผิดบางประการ โดยมีพฤติกรรมหลบ ๆ ซ่อน ๆ และระมัดระวังตัวสูง จึงได้ทำสืบสวนหาข้อมูลจนทราบข้อเท็จจริงว่าหลบหนีคดีมาจากประเทศจีนและอยู่เกินในราชอาณาจักรมาเป็นเวลานาน รายละเอียดการสืบสวนและดำเนินการจับกุมมีดังนี้

หลังจากได้รับการร้องเรียนของประชาชนในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ย่านอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี โดยมีข้อมูลว่ามีชายมีอายุลักษณะคล้ายคนจีน อาศัยอยู่ในบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีลักษณะมีป้ายบริษัทอยู่หน้าบ้าน แต่ไม่พบเห็นว่ามีใครเข้ามาต่อติดงานบริษัทดังกล่าว โดยนาน ๆ ครั้งจะมีชายคนหนึ่งลักษณะคล้ายคนจีนปรากฏตัวออกมาจากบ้านหลังดังกล่าว และขณะเดินออกมาจากบ้านจะมีท่าทีที่ระวังตัวเป็นอย่างมาก เป็นที่น่าสงสัยว่าอาจหลบหนีเข้ามาหรือหนีความผิดบางอย่าง

ชุดสืบสวนได้ทำการสืบสวนอยู่ระยะหนึ่งจนได้ข้อมูลว่า ชายคนดังกล่าวคือนาย Rong สัญชาติจีน อายุ 59 ปี เข้ามาในประเทศไทยในลักษณะเป็นนักท่องเที่ยว ตั้งแต่เดือน มกราคม พ.ศ.2559 ปัจจุบันอยู่เกินในราชอาณาจักร (Overstay) มา 1,956 วัน (ประมาณ 5 ปีครึ่ง) และยังมีข้อมูลว่าถูกดำเนินคดีที่ประเทศจีนในความผิดทางการเงินจนมีหมายจับของศาลประเทศจีนในคดีล้มละลาย จึงได้นำเรียนข้อมูลผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นและมีความเห็นว่าพฤติกรรมของนาย Rong ซึ่งอยู่แบบหลบซ่อนไม่ขออยู่ต่อในประเทศไทยโดยวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและเปิดเผย สุ่มเสี่ยงเป็นพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์อาจนำไปสู่การก่ออาชญากรรมในประเทศไทยซึ่งพบเห็นบ่อยครั้งที่ผ่านมา ซึ่งได้อนุมัติให้ดำเนินการจับกุมโดยทันที

เมื่อได้รับการอนุมัติดังกล่าว ชุดสืบสวนได้ดำเนินการเข้าจับกุมโดยวางแผนแฝงตัวซุ่มดูอยู่หลายวันจนกระทั่ง นาย Rong ได้ปรากฏตัวจึงเข้าไปแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเพื่อขอตรวจสอบ แต่เมื่อนาย Rong พบเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็รีบหลบเข้าไปในรถยนต์และทำการล็อครถไม่ยอมออกมาให้ตรวจสอบ ซึ่งเป็นระยะเวลากว่า 5 ชั่วโมงถึงยินยอมออกมาจากรถและให้มีการตรวจสอบหนังสือเดินทาง ซึ่งผลการตรวจสอบก็ปรากฏชัดว่าอยู่เกินในราชอาณาจักรตรงตามข้อมูลทางสืบสวนจริง จึงได้จับกุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี

การแจ้งข้อกล่าวหา

แจ้งข้อกล่าวหา นาย Rong ว่า “เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (Overstay) จำนวน 1,956 วัน”ภายหลังจับกุมนาย Rong รับว่าตนกระทำผิดตามที่กล่าวหา ให้ข้อมูลเบื้องต้นว่าถูกดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับการระดมทุนในประเทศจีน ซึ่งมีการกู้ยืมเงินจำนวนมากแต่ยังปกปิดจำนวน เมื่อสถานการณ์เริ่มย่ำแย่ได้เดินทางทางหลบหนีเข้ามายังประเทศไทยตั้งแต่ปี ค.ศ.2016 ภายหลังถูกฟ้องคดีและล้มละลายในเวลาต่อมาจนมีหมายจับในปี ค.ศ.2018 และ 2019 ตามลำดับ ในกรณีเงินทุนที่เอาเข้ามาใช้ในประเทศในการเปิดบริษัทนั้นชุดสืบสวนจะมีการสืบสวนต่อไปและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือ www.immigration.go.th

ชลบุรี - ผู้ใหญ่ใจดี! ‘สโมสรโรตารี่ อีคลับ ดอลฟิน พัทยา อินเตอร์เนชั่นแนล’ มอบถุงยังชีพช่วยเหลือประชาชนชาวสัตหีบ ยามวิกฤติโควิด-19

วันนี้ (4 ส.ค.64) โมสรโรตารี่ อีคลับ ดอลฟิน พัทยา อินเตอร์เนชั่นแนล นำโดย นายกชนัญดา กองพล และนายกก่อตั้ง อดีตผู้ช่วยผู้ว่าการภาค 3340 ดร.ออทม่า ดีเทอร์ นำถุงยังชีพมาช่วยเหลือประชาชนชาวสัตหีบ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไว้รัสโควิด-19 ที่กำลังวิกฤติทำให้ประชาชนไม่สามารถออกมาประกอบอาชีพได้ตามปกติ โดยมี นายกิตติพงษ์ กิติคุณ นายอำเภอสัตหีบ เป็นผู้แทนรับมอบ ซึ่งภายในถุงยังชีพก็จะประกอบด้วยเครื่องบริโภค ข้าวสาร ไข่ไก่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำมันพืช เป็นต้น และจะนำไปมอบต่อให้กับผู้นำชุมชนของแต่ละตำบลมารับไปแจกให้กับประชาชนที่เดือดร้อน

ในการนี้ นายกิตติพงษ์ กิติคุณ นายอำเภอสัตหีบ ได้นำคณะสโมสรโรตารี่ อีคลับ ดอลฟิน พัทยา อินเตอร์เนชั่นแนล ลงพื้นที่ไปเยี่ยมชมการทำอาหารและนำถุงยังชีพไปมอบให้กับโรงครัวสนามที่วัดสามัคคีบรรพต ต.บางเสร่ และโรงครัวสนามเทศบาลตำบลเกล็ดแก้ว  ซึ่งได้ตั้งเป็นครัวสนามทำอาหารแจกให้กับประชาชนของแต่ละพื้นที่อีกด้วย

นายกชนัญดา กองพล  นายกสโมสรโรตารี่ อีคลับ ดอลฟิน พัทยา อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า เนื่องจากปัจจุบันโควิด-19 ได้แพร่ระบาดอย่างหนักทั้งจังหวัดชลบุรีและจังหวัดอื่นๆ รวมทั้งพื้นที่อำเภอสัตหีบด้วย ทางสโมสรโรตารี่ อีคลับ ดอลฟิน พัทยา อินเตอร์เนชั่นแนล

ได้ตระหนักและมีความเห็นใจประชาชนที่ไม่สามารถออกมาประกอบอาชีพได้อย่างปกติ จึงได้นำเครื่องอุปโภคบริโภคมามอบให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งจะเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านในช่วยวิกฤตินี้ และขอฝากไปยังประชาชนชาวสัตหีบ ให้ร่วมกันป้องกันตนเอง ปฎิบัติตามมาตรการของสาธารณสุขอย่างเต็มที่ และขอให้มีกำลังใจต่อสู้เพื่อจะได้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน


ภาพ/ข่าว  นันทชัย เชื้อสนุก / สมนึก เชื้อสนุก รายงาน

ตม.จว.ขอนแก่น ลงพื้นที่ตรวจสอบแรงงาน นายจ้างเจอพิษเศรษฐกิจ ผงะซ้ำ! ถูกตุ๋นต่อวีซ่าเถื่อนลูกจ้างกัมพูชา เร่งสาวหาตัวการ

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.เอกกมนต์ พรชูเกียรติ รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.วีรยศ การุณยธร รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.ปรีชา กองแก้ว รอง ผบก.ตม.4 และ พ.ต.ท.สราวุฒิ ปรีดากร สวญ.ตม.จว.ขอนแก่น ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

ตามนโยบายสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองให้ดำเนินการสืบสวนจับกุมและขยายผลขบวนการที่กระทำความผิดเกี่ยวกับบุคคลต่างด้าว และสกัดกั้นแรงงานที่ทะลักออกมาจากพื้นที่จังหวัดที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดย ตม.จว.ขอนแก่นร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ปูพรมตรวจสอบสถานประกอบการ ที่สุ่มเสี่ยงต่อการนำแรงงานต่างด้าวที่มาจากพื้นที่จังหวัดเสี่ยงแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสมาทำงานโดยผิดกฎหมาย ซึ่งจากการตรวจสอบไซต์งานก่อสร้างหมู่บ้านจัดสรรในพื้นที่ อ.เมือง จ.ขอนแก่น พบแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา จำนวน 6 ราย ถือหนังสือเดินทางที่มีตราประทับขออยู่ต่อ ในราชอาณาจักร ของ ตม.จว.ปทุมธานี โดยเมื่อตรวจสอบโดยละเอียดแล้วพบว่าตราประทับวันอนุญาตของ ตม.จว.ปทุมธานี ไม่ปรากฏลายมือชื่อของเจ้าพนักงานผู้อนุญาต ซึ่งมีลักษณะผิดปกติ จึงได้นำตัวบุคคลต่างด้าวสัญชาติกัมพูชากลุ่มดังกล่าวทั้ง 6 ราย มาตรวจสอบเอกสารสำคัญประจำตัวโดยละเอียดที่ ตม.จว.ขอนแก่น

โดยจากการตรวจสอบผ่านระบบสารสนเทศตรวจคนเข้าเมือง (Biometrics) ไม่พบการขออนุญาตอยู่ต่อในราชอาณาจักรตามที่ได้มีปรากฎในตราประทับในหนังสือเดินทางแต่อย่างใด จึงได้ประสานไปยัง ตม.จว.ปทุมธานี ตามที่ระบุในหนังสือเดินทางว่าเป็นผู้อนุญาตอยู่ต่อให้กับกลุ่มบุคคลต่างด้าวกลุ่มดังกล่าว ได้รับแจ้งว่าไม่มีการแจ้งขออนุญาตอยู่ต่อในราชอาณาจักรตามที่ได้ประทับตราในหนังสือเดินทางแต่อย่างใด

จึงทราบว่าตราประทับอนุญาตดังกล่าวเป็นตราประทับปลอม จากการสอบถามนายจ้างของบุคคลต่างด้าวคือนายพุฒศิษฐ์ อายุ 47 ปี สัญชาติไทย แจ้งว่าตนได้ว่าจ้างให้ น.ส.ทิพย์วรรณ อายุ 30 ปี เป็นผู้นำหนังสือเดินทางของบุคคลต่างด้าวไปทำการขออยู่ต่อให้กับแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา น.ส.ทิพย์วรรณ รับว่าตนนำหนังสือเดินทางของแรงงานต่างด้าวไปมอบให้ น.ส.จอย ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง เพื่อทำเรื่องขออยู่ต่อฯ

จนมาปรากฏว่าตราประทับดังกล่าวเป็นตราประทับปลอม เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.ขอนแก่น จึงแจ้งข้อกล่าวหาให้บุคคลต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาจำนวน 6 ราย ทราบว่า “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” และ “เป็นบุคคลต่างด้าวสัญชาติกัมพูชามีและใช้เอกสารปลอม”(ตราประทับวันอนุญาตอยู่ต่อ) แล้วนำตัวส่ง พงส.สภ.เมืองขอนแก่นเพื่อดำเนินการ พร้อมเร่งรัดสืบสวนขยายผลสู่ตัวการขบวนการปลอมตราประทับเพื่อมารับโทษทางกฎหมายอย่างถึงที่สุดต่อไป

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ  รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือ www.immigration.go.th

 

 

แม่ทัพภาคที่ 4 ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติ ศูนย์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ไวรัสโคโรน่า 2019 ชายแดนไทย-เมียนมา​ ด้านจังหวัดระนอง ชุมพร สกัดกั้นสิ่งผิดกฎหมายทุกชนิด ควบคู่กับการป้องกันไวรัสโควิด19

(4 ส.ค.64)​ ค่ายรัตนรังสรรค์ ตำบลราชกรูด อำเภอเมือง จังหวัดระนอง พลโท เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4 /ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ตรวจเยี่ยมติดตามการปฏิบัติงานของ "ศูนย์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ไวรัสโคโรน่า 2019 ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ด้านจังหวัดระนอง ชุมพร และการสกัดกั้นแรงงานต่างด้าว" โดยมีพลตรีศานติ ศกุนตนาค ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 5/ ผู้บัญชาการกองกำลังเทพสตรี หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับและร่วมประชุม

โดยแม่ทัพภาคที่ 4 ได้รับฟังบรรยายการสรุปผลการปฏิบัติงาน พิจารณาหารือถึงปัญหาข้อขัดข้องในห้วงที่ผ่านมา ทั้งการสกัดกั้นผู้ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองตามแนวชายแดน รวมไปถึงการลักลอบนำสิ่งผิดกฎหมายเข้ามายังราชอาณาจักร ตลอดจนมอบนโยบายการปฏิบัติการสกัดกั้น โดยให้ปฏิบัติตามพันธกิจของกองทัพบก 3 ประการ ได้แก่ การเฝ้าตรวจและป้องกันชายแดน การจัดระเบียบพื้นที่ และการแก้ไขปัญหาความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน ตลอดจนการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ยังคงเฝ้าระวังป้องกัน สกัดกั้นการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกดหมายตามช่องทางธรรมชาติ นำไปสู่การขยายผลจับกุมขบวนการ ตลอดจนการสกัดกั้นการลักลอบนำเข้าสินค้าทางการเกษตร การสกัดกั้นการลักลอบนำถังอ็อกซิเจนออกนอกราชอาณาจักร โดยกำชับเจ้าหน้าที่วางกำลังเฝ้าตรวจ ร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพิ่มความถี่เฝ้าระวังพื้นที่ และการกระทำสิ่งผิดกฎหมายตามแนวชายแดนอย่างเข้มข้นทุกตารางนิ้ว โดยปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19 ตามแนวชายแดนควบคู่กัน เเละให้การช่วยเหลือประชาชนในทุกโอกาส

พลโท เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4 /ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 กล่าวว่า "จากสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้าน บริเวณชายแดนไทยเมียนมา​ ที่ผ่านมีการติดตาม เฝ้าระวังสถานการณ์ตามแนวชายแดน และผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายของแรงงานต่างด้าวที่จะเข้ามายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเดินทางมาทำงาน และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ในส่วนของพื้นที่ภาคใต้ 254 กม. ที่มีชายแดนติดกับประเทศเมียนมา​ ด้านจังหวัดชุมพร จังหวัดระนอง โดยสถานการณ์ของไวรัส Covid-19 ทั้ง 2 จังหวัด 

"อาจจะมีตัวเลขที่ขยับขึ้นแต่ยังคงอยู่ในสถานการณ์ที่สามารถควบคุม และรองรับได้ แต่หากมีปัจจัยภายนอกสถานการณ์ของไวรัส Covid-19 จากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งหากมีการลักลอบ และการอพยพเข้ามาทำให้จะต้องมีการบริหารสถานการณ์ ยากลำบากมากยิ่งขึ้น

"เพราะฉะนั้นในส่วนของพื้นที่แนวชายแดนไทยเมียนมา ด้านจังหวัดชุมพร จังหวัดระนอง ในวันนี้ให้จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์โคโรนา 2019 ตามแนวชายแดนไทยเมียนมาขึ้นมา โดยให้กองกำลังเทพสตรีเป็นผู้ดำเนินการในการจัดตั้ง เพื่อติดตามสถานการณ์ด้านการข่าว ทั้งในการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 การเข้ามาของแรงงานต่างด้าวที่อาจมีการเคลื่อนย้ายเข้ามา บริเวณขอบแนวชายแดน ซึ่งจำเป็นที่จะต้องใช้งานด้านการข่าวจากทุกหน่วยในการประเมินสถานการณ์ เพื่อรองรับหากมีการอพยพที่อาจจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ภายใน 2 จังหวัด

"สำหรับการปฏิบัติงานมีการจัดกำลังเฝ้าตรวจตามแนวชายแดนอย่างเข้มงวด เเละเต็มกำลัง ในส่วนของกองกำลังเทพสตรี โดยหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 25 มีขั้นตอนปฏิบัติอยู่ด้วยกัน 3 ขั้น ทั้งการเฝ้าระวังตามแนวชายแดนทางทะเล ลำน้ำ การตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ด่านความมั่นคง จุดข้าม จุดล่อแหลมต่างๆ และเส้นทางรองได้ร่วมมือกับจังหวัดชุมพร จังหวัดระนอง บูรณาการกำลังกับอาสาสมัครรักษาดินแดน ตำรวจภูธร และหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 25 ซึ่งมีการแปรสภาพเป็นจุดตรวจคัดกรอง โดยเพิ่มอาสาสมัครสาธารณสุข เพื่อดูแลเรื่องการตรวจ Covid-19 จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมามีการจับกุม ผู้ลักลอบเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย รวมทั้งการนำพามาได้โดยตลอด" 

ในส่วนของการสกัดกั้นแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ไทย – เมียนมา (ระนอง-ชุมพร) มีสภาพพื้นที่ปฏิบัติการ และมีช่องทาง ท่าข้าม ที่ลุยข้าม จำนวน 39 จุด ประกอบด้วย  ช่องทางที่ถูกต้องตามกฎหมาย 5 ช่องทาง, จุดผ่านแดนถาวร 4 จุด, จุดผ่อนปรนการค้าชายแดน 1 จุด, ช่องทางที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย 34 ช่องทาง, ช่องทางธรรมชาติ 9 ช่องทาง, ท่าข้าม 18 ท่าข้าม และที่ลุยข้ามมาได้ จำนวน 7 แห่ง

มีการวางกำลังจัดวางกำลังเป็น 3 แนว คือ...

แนวที่ 1 พื้นที่ตามแนวชายแดนกำลังทางบก โดยวางกำลังเป็นชุดเฝ้าตรวจชายแดน จำนวน 9 ชุดเฝ้าตรวจชายแดน เพื่อลาดตระเวนเฝ้าตรวจ ควบคุมภูมิประเทศสำคัญตามแนวชายแดน และเสริมช่องว่างด้วยชุดปฏิบัติการทางบก จำนวน 8 ชุดปฏิบัติการ เพื่อลาดตระเวนเฝ้าตรวจตามแนวชายแดน, กำลังทางน้ำ วางกำลัง 1 จุดตรวจ (จุดตรวจเกาะสะระนีย์) และ 1 ชุดปฏิบัติการทางน้ำ (ชุดปฏิบัติการลาดตระเวนทางน้ำและชายฝั่ง หรือชุดปฏิบัติการฉลาม)

แนวที่ 2 พื้นที่ชั้นกลาง จัดตั้งด่านตรวจ จุดตรวจ/จุดสกัด จำนวน 6 จุด ประกอบด้วย พื้นที่จังหวัดระนอง จำนวน 5 จุด และพื้นที่จังหวัดชุมพร จำนวน 1 จุด มีการจัดเตรียมกำลัง 1 หมวดปืนเล็กเป็นกองหนุน ปฏิบัติภารกิจเชิงรุกตามแผนเผชิญเหตุและหรือภาพข่าวที่ปรากฏ

และแนวที่ 3 พื้นที่ชั้นใน เป็นการตั้งจุดตรวจร่วมของฝ่ายปกครองในการสกัดกั้นเส้นทางหลบเลี่ยงจุดตรวจสำคัญ พื้นที่ จังหวัดระนอง จำนวน 5 จุดตรวจ และพื้นที่ จังหวัดชุมพร (อำเภอท่าแซะ) จำนวน 4 จุดตรวจ และมีการวางกำลังเพิ่มเติม จำนวน 10 ชุดปฏิบัติการ ในภารกิจเฝ้าระวังตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา สกัดกั้นสิ่งผิดกฎหมายทุกชนิดเข้ามาในราชอาณาจักร ควบคู่กับการป้องกันไวรัสโควิด 19 ด้วย

ที่มา: นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

สิ้นลาย!! “ไอ้เล็ก” หัวหน้าขบวนการขนเวียดนามข้ามประเทศ กก.สส.บก.ตม.4 รวบครบขบวนการ

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.เอกกมนต์ พรชูเกียรติ รอง ผบก.ตม.4 ,พ.ต.อ.วีรยศ การุณยธร รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.ปรีชา กองแก้ว รอง ผบก.ตม.4 และ พ.ต.อ.พิษณุ สิทธิฑูรย์ ผกก.สส.บก.ตม.4 ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

กก.สส.บก.ตม.4 ร่วมกับ ตม.จว.อุดรธานี จับกุมตัว MR.MAI อายุ 26 ปี สัญชาติเวียดนาม ในพื้นที่ อ.เมือง จ.อุดรธานี ในข้อหา “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และ “เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน” ตาม พ.ร.บ.บริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว

ตามนโยบายสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองให้ดำเนินการสืบสวนจับกุมและขยายผลขบวนการลักลอบขนคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและความผิดอื่น ๆ ประกอบกับก่อนเกิดเหตุเจ้าหน้าที่สืบสวน กก.สส.บก.ตม.4 สืบทราบว่า MR.MAI บุคคลต่างด้าว สัญชาติเวียดนาม ผู้เคยต้องโทษในความผิดกรณีเป็นผู้ก่อให้ผู้อื่นช่วยเหลือหรือช่วยด้วยประการใด ๆ แก่คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายให้พ้นจากการถูกจับกุม และตัวการช่วยเหลือหรือช่วยด้วยประการใดๆ แก่คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายให้พ้นจากการถูกจับกุม อีกทั้งเป็นหัวหน้าขบวนการลักลอบขนคนต่างด้าวสัญชาติเวียดนามเข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมายในราชอาณาจักร โดย MR.MAI ถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดให้มีโทษทั้งจำทั้งปรับ มาแล้วถึง 2 ครั้ง

หลังพ้นโทษได้รับการปล่อยตัวได้หลบหนีไปซ่อนตัว เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.สส.บก.ตม.4 เร่งล่าตัว สืบสวนหาข่าวจนทราบว่า MR.MAI หนีมาหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี จึงวางแผนเข้าจับกุม จนกระทั่ง ได้รับแจ้งจากสายข่าวไม่ประสงค์ออกนามว่า พบตัว MR.MAI อยู่ที่ ต.หนองบัว อ.เมือง จ.อุดรธานี จึงประสาน เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.อุดรธานี เข้าทำการจับกุม พบ MR.MAI เร่ขายของอยู่ริมถนน จึงแสดงตัวเข้าทำการจับกุม จากการตรวจสอบโดยระบบสารสนเทศตรวจคนเข้าเมือง (Biometrics) พบว่าการอนุญาตสิ้นสุด จึงแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบว่า “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” และ “เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน” ตาม พ.ร.บ.บริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว จึงนำตัวส่ง พงส.สภ.เมืองอุดรธานี เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือ www.immigration.go.th

การตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของคนยุคใหม่อาจจะต้องอาศัยการบอกต่อหรือการแสดงความคิดเห็นต่อการบริโภคหรืออุปโภคสินค้านั้น ๆ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นและสามารถตัดสินใจซื้อได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งมีผลต่อสินค้าที่จะสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว

การบอกต่อ (word-of-mouth) เป็นการตลาดภาคพลเมือง (citizen marketing) คือการที่ผู้บริโภครีวิวสินค้าและบริการด้วยความสมัครใจ โดยใช้ความรู้และประสบการณ์ของตนเอง โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าด้วยความคิดเห็น บทวิเคราะห์ รูปภาพ วิดิโอ หรือจัดทำเป็นโพสต์ในโซเชียลมีเดีย หรือในเว็บไซต์ แต่ความหมายของ “การตลาดภาคพลเมือง” ไม่ได้หมายถึง การชักชวนให้ซื้อสินค้าและบริการเท่านั้น เพราะการรีวิวสินค้าโดยกลุ่มผู้บริโภค อาจจะนำไปสู่การปฎิเสธ หรือการต่อต้านสินค้าและบริการได้เช่นกัน 

การตลาดภาคพลเมือง มีพลัง และมีอิทธิพลอย่างมาก เพราะมาจากคนทั่วไปที่ใช้สินค้าและบริการ ความคิดเห็นต่าง ๆ จึงมีความเป็นอิสระ ไม่ได้มาจากชุดคำพูดที่เอเจนซีโฆษณาสร้างสรรค์ให้ หรือไม่ได้มาจากนักเขียนรีวิว ที่ได้รับค่าตอบแทนจากเจ้าของสินค้าและบริการ

เมื่อมีการรีวิวจากผู้ซื้อหลาย ๆ ราย ที่ให้รายละเอียดต่าง ๆ โดยมีเจตนาที่จะแจ้งให้ผู้คนทั่วไปที่กำลังสนใจในสินค้าหรือบริการได้ทราบถึง ข้อดี ข้อเสีย ความพึงพอใจ ความผิดหวังในคุณภาพและการใช้งาน

ในกลุ่มผลิตภัณฑ์นั้น สินค้าอุปโภคบริโภคที่อยู่ในตลาดมายาวนาน ผู้ใช้จำนวนมากอาจมีความภักดีในสินค้า (brand loyalty) ในระดับระดับหนึ่ง จากประสบการณ์ส่วนตัวที่พอใจในคุณภาพ จึงไม่มีการรีวิวตัวผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในตลาดมานานหลายปีมากนัก แต่หากเป็นสินค้าชนิดใหม่ ที่เพิ่งปรากฎในตลาด จะมีการรีวิวมากมาย จากผู้ที่ได้ลองซื้อมาใช้ รีวิวเหล่านี้ มีผลต่อความสำเร็จของสินค้า

ผู้ที่รีวิวสินค้าและบริการเหล่านี้ ใช้สิทธิของผู้บริโภคในการวิจารณ์ได้อย่างเต็มที่ โดยอาจแชร์ความไม่พอใจ ความแตกต่างจากความคาดหวังและกฎเกณฑ์ส่วนตัว ลักษณะสินค้าที่ไม่ตรงปก บางครั้งมีการแนะให้ปรับปรุงสินค้าราวกับเป็นผู้มีส่วนในการออกแบบและวางแผนการตลาดของผลิตภัณฑ์ จนถือว่าเป็นผู้บริโภคที่เรียกว่า proactive consumer หรือผู้บริโภคเชิงรุก หรือ prosumer (producer+consumer)

การรีวิวสินค้านั้น เป็นการบอกต่อ (word-of-mouth) ชนิดหนึ่ง ในอดีต การบอกต่อจากคนหนึ่งไปสู่อีกคน จนเกิดการรับรู้ในกลุ่มใหญ่ขึ้นนั้นใช้เวลานาน จากหนึ่งคนกว่าจะรู้กันทั้งหมู่บ้าน จนรู้กันทั่วจังหวัดและประเทศอาจต้องใช้เวลาเป็นปี แต่ในยุคดิจิทัล การสื่อสารด้วยโซเชียลมีเดียและอินเตอร์เน็ต ทำให้การบอกต่อ ในลักษณะของการรีวิว ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีที่จะรับรู้กันได้ทั้งโลก !!

การทำการตลาดภาคพลเมือง โดยผู้บริโภคเชิงรุกนั้น สร้างผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบได้รุนแรง มีพลังไม่แพ้การโฆษณาที่ใช้งบประมาณมหาศาล

เหตุการณ์ที่แสดงถึงผลกระทบด้านลบต่อสินค้าและบริการ ที่เริ่มต้นโดย citizen marketing มีให้เห็นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงเวลาที่สังคมแตกแยก แบ่งฟาก และนำการเมืองเข้ามาปนกับนโยบายการดำเนินธุรกิจ เห็นได้จากเหตุการณ์ที่ผลิตภัณฑ์ขนมปัง ฟาร์มนมสด ร้านสุกี้ ร้านชาไต้หวัน และสินค้าอื่น ๆ ที่ประกาศตัวว่า ไม่ยินดีให้บริการ “สลิ่ม” ไม่ว่านโยบายที่เชื่อมธุรกิจเข้ากับจุดยืนทางการเมืองดังกล่าว จะมาจากเจ้าของผลิตภัณฑ์เอง หรือคนอื่นถือวิสาสะจัดชุดข้อมูลให้เอง การบอกต่อของสังคมและกลุ่มผู้บริโภค ทำให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจอย่างชัดเจน สินค้าเหลือค้างบนชั้นวางในร้านสะดวกซื้อและซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายนมและไอศครีม ซึ่งเคยเป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยม กลายเป็นลูกค้าลดฮวบ 
Citizen marketing ทำโดยผู้ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในธุรกิจ และไม่แคร์ว่า ยอดขายจะลด หรือลูกค้าจะหดหาย เพราะไม่ใช่ปัญหาของนักการตลาดภาคพลเมือง ซึ่งโฟกัสไปที่การกระจายข้อมูลให้กว้างที่สุด แรงที่สุด และเร็วที่สุด 

ในขณะที่นักการตลาดมืออาชีพ จะต้องเก็บข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายในมิติต่าง ๆ เช่น เพศ อายุ การศึกษา รายได้ รสนิยม ไลฟสไตล์ เพื่อนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมการบริโภคอย่างรอบคอบ นักการตลาดพลเมืองมองสินค้าและบริการแบบแบน ๆ เท่านั้นคือ “เชียร์” หรือ “ต่อต้าน”

การทำการตลาดโดยแสดงการกีดกัน หรือเลือกผู้บริโภค (discriminatory marketing) มีอยู่รอบตัวแต่เราไม่ได้สร้างประเด็น เช่น การตั้งราคาสินค้าให้สูงย่อมเป็นการแบ่งชนชั้น การที่ร้านอาหารตั้งราคาอาหารสูงลิ่ว แม้ว่าคุณภาพและปริมาณอาหารจะไม่ได้ต่างจากร้านทั่วไปมากนัก ถือว่าเป็นการคัดเลือกลูกค้า ร้านกาแฟก็เช่นกัน การทำการตลาดแบบกีดกัน เป็นการเลือกอย่างเต็มใจของผู้ผลิตสินค้าและผู้ให้บริการ การตั้งราคาสินค้าแพงย่อมมียอดขายน้อยกว่าสินค้าราคาถูกกว่า ร้านอาหารราคาแพง ได้ลูกค้าที่มีกำลังซื้อมากกว่า แต่ต้องรับแรงกดดันและการคาดหวังของผู้จ่ายเงินเช่นกัน

ในยุคที่บรรยากาศของสังคมเต็มไปด้วยความคับข้องใจทางการเมือง จุดยืนทางการเมืองถูกนำมาใช้ในลักษณะ การตลาดแบบกีดกันมากขึ้น เช่น

>> โรงแรมที่เชียงใหม่ ประกาศตัวว่าไม่ต้อนรับสลิ่ม 
>> ร้านอาหารย่านซอยอารีย์ในกรุงเทพฯ ประกาศตัวว่าพนักงานที่ร้านไม่พูด “นะจ๊ะ” เพื่อเหน็บนายกรัฐมนตรี ถ้าลูกค้าได้ยินขอให้แจ้งทางร้าน จะไล่พนักงานออก 
>> แท็กซี่ติดสติกเกอร์ด้านข้างรถว่า “ไม่รับตำรวจและทหาร” 
>> ร้านขายเนื้อสัตว์และผักสดในตลาด แขวนป้ายประกาศไว้ว่า “ไม่ขายให้ทหารและตำรวจในเครื่องแบบ”

การประกาศแบบกีดกันกลุ่มลูกค้า เป็นสิทธิที่เจ้าของธุรกิจทำได้โดยไม่มีข้อห้าม และเมื่อมี citizen marketing เข้าร่วมช่วยทำการตลาด โดยการบอกต่อ ความต้องการที่จะกีดกันลูกค้ากลุ่มที่ไม่ชอบก็ได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็วเช่นกัน แต่ในขณะที่การกีดกันด้วยราคานั้น สามารถปรับเปลี่ยน แก้ไขไปตามสถานการณ์โดยรอบ เช่น สภาพเศรษฐกิจ โดยการลดราคาให้ถูกกว่าเดิม หรือออกสินค้ารุ่นใหม่ในราคาใหม่

แต่การกีดกันกลุ่มผู้บริโภคด้วยทัศนคติทางการเมือง นอกจากกลุ่มที่ระบุแล้ว ยังมีผลทำให้กลุ่มผู้บริโภคทั่วไปที่ไม่ฝักใฝ่การเมืองฝ่ายใด เลี่ยงที่จะใช้บริการนั้นด้วย เพราะความรู้สึกว่าผู้ประกอบธุรกิจไม่รู้จักแยกแยะ และกังวลว่า การไปใช้บริการทั้งในร้านอาหาร พักในโรงแรม หรือขึ้นแท็กซี่ อาจไม่รื่นรมย์ ต้องระวังตัวทั้งคำพูด การแต่งกาย และพฤติกรรมต่าง ๆ จึงขอตัดปัญหาโดยการเลือกผู้ให้บริการรายอื่น และการตีตราให้ธุรกิจนั้นจะเป็นที่จดจำไปอีกนาน แม้จะกลับลำภายหลัง ก็ยากที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้
ผู้ประกอบธุรกิจ เชื่อมั่นว่าจะดำเนินธุรกิจเชิงกีดกันกลุ่มผู้บริโภค ควรตั้งชื่อร้านอาหาร โรงแรม และสินค้าต่าง ๆ ให้ชัดเจนไปเลยว่าต้องการลูกค้ากลุ่มไหน สีไหน วัยไหน นอกจากจะให้ความสะดวกแก่กลุ่มผู้บริโภคที่ไม่ต้องการแล้ว ยังช่วยเรียกกลุ่มที่ต้องการให้มาสนับสนุนธุรกิจด้วย

ในต่างประเทศเช่นในสหรัฐอเมริกา มีกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค โดยร้านอาหารไม่สามารถปฎิเสธลูกค้าด้วยพื้นฐานของ เพศสภาพ เชื้อชาติ สีผิว หรือศาสนา แต่ร้านอาหารมีสิทธิปฎิเสธลูกค้าที่แต่งกายไม่เหมาะสม หรือมีลักษณะที่อาจมีผลกระทบต่อลูกค้าอื่น ๆ ได้ และมีการฟ้องร้องระหว่างร้านอาหารและลูกค้าที่ถูกปฎิเสธ มากมายตลอดมา
การปฎิเสธกลุ่มลูกค้าในเมืองไทย คงไม่ถึงกับขึ้นโรงขึ้นศาล แต่น่าจับตามองเป็นกรณีศึกษา ว่าจะไปต่อได้ตลอดไปจนกลายเป็นแนวทางการตลาดที่ได้รับความนิยมหรือไม่


เขียนโดย : แพท แสงธรรม นักวิชาการอิสระ ด้าน Communication facilitator และอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านอื่น ๆ ระยะเวลามากกว่า 23 ปี

จนท.อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ตรวจยึดรถบรรทุกขนไม้ท่อนเถื่อน โดยกระทำความผิดไม้หวงห้ามไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2564 เวลา 19.16 น. คณะเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ภายใต้การนำของ นายบัณฑิต ฉิมชาติ เจ้าพนักงานป่าไม้อาวุโส ทำหน้าที่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติศรีน่าน เจ้าหน้าที่สำนักงานสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามที่ 3 ภาคเหนือ (สปป.3) เจ้าหน้าที่สายตรวจปราบปรามสายที่ 2 ส่วนป้องกันทรัพยากร สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 (แพร่) เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันและพัฒนาป่าไม้นาหมื่น และเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจำนวนหนึ่ง ร่วมกันตรวจยึดไม้ประดู่ท่อนจำนวน 7 ท่อน ปริมาตร 0.94 ม3 คิดเป็นค่าเสียหายที่รัฐพึ่งได้รับ 32,900 บาท พร้อม รถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า (รถตู้) สีบอนด์เงินมีแถบข้างสีเลือดหมู ทะเบียน ฮษ 9984 กทม จำนวน 1 คัน

โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิด

1. ตามพระราชบัญญัติป่าไม้พุทธศักราช 2484 มาตรา 11 ประกอบมาตรา 73 ฐานร่วมกันทำไม้หวงห้ามโดยมิได้รับอนุญาต มาตรา 48 ประกอบมาตรา 73 มีไม้อันยังมิได้แปรรูป (ไม้ประดู่ท่อนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต

2. ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 ประกอบมาตรา 31 ฐานร่วมกันทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยมิได้รับอนุญาตและประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่

106/2557 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2557 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ ข้อที่ 2 ข้อหาฐานมีไม้กระยาเลยท่อน (ไม้ประดู่) ไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต

3. ตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มาตรา19 (2) ประกอบมาตรา 42 ฐานร่วมกันเก็บหานำออกไปทำด้วยประการใด ๆ ให้เป็นฮันตรายหรือทำให้เสื่อมสภาพ ซึ่งไม้(ไม้ประดู่ท่อน) หรือทรัพยากรธรรมชาติอื่น

พฤติการณ์แห่งคดี ตามคำสั่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าแห่งชาติที่ 1/2561 เรื่อง การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่า ลงวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2561 คำสั่งอนุกรรมการขับเคลื่อนการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่า ที่ 3 /2561 เรื่อง ตั้งศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า (ศปก.พป.) ส่วนหน้า จังหวัดน่านและแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานประจำศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า (แปก.พป.) ส่วนหน้า จังหวัดน่าน ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 และตามการลาดตระเวนระบบเชิงคุณภาพ(Smart Patrol System) จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นของกลาง

หลังจากที่เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้ร่วมกันออกตรวจลาดตระเวนป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดกฎหมายเกี่ยวกับการป่าไม้ในพื้นที่รับผิดชอบท้องที่บ้านประมงปากนาย หมู่ 17 ตำบลนาทะนุง อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน จากการสืบทราบข่าวว่า มีกระบวนการลักลอบทำไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ บริเวณป่ารอยต่ออุทยานแห่งชาติศรีน่าน อุทยานแห่งชาติขุนสถานและอุทยานแห่งชาติลำน้ำน่าน เมื่อลักลอบทำไม้แล้วเสร็จ จะชักลากไม้บรรทุกด้วยเรือยนต์หางยาวมาส่งบริเวณท่าโปะข้ามฟาก(อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน-อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์) ท้องที่บ้านประมงปากนาย หมู่ที่ 17 ตำบลนาทะนุง อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน ตามวันและเวลาดังกล่าว จนท.ชุดจับกุม มาถึงบริเวณที่ได้รับแจ้งได้จัดกำลังลงตรวจสอบทางน้ำและเดินตรวจสอบบริเวณท่าโป๊ะ

ขณะที่คณะเจ้าหน้าที่ตรวจมาถึงบริเวณ ที่เกิดเหตุสังเกตเห็นรถตู้และกลุ่มคนประกอบด้วยผู้ชายและผู้หญิงประมาณ 8-10 คน รวมกลุ่มนั่งดื่มเครื่องดื่มอยู่ห่าง จากรถตู้ประมาณ 2-3 เมตร หน.ชุดจึงได้สั่งการให้คณะเจ้าหน้าที่แสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่เพื่อขออนุญาตตรวจสอบ กลุ่มคนดังกล่าว เมื่อเห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่จึงจะพยายามเข้ามาทำร้ายเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จึงได้ตะโกนบอกให้อยู่ในความสงบ อย่าได้คิดขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ โดยได้มีการพูดจาโต้ตอบกับกลุ่มคนดังกล่าวในการปฏิบัติหน้าที่ได้บันทึกภาพและวิดีโอไว้เป็นหลักฐาน

ซึ่งคณะเจ้าหน้าที่จำได้ว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวมี นายอิทธิพล ได้เข้ามาพูดจาข่มขู่เจ้าหน้าที่ และนายหนึ่งไม่ทราบชื่อ-นามสกุลจริง ได้เข้ามาใช้เท้าถีบ นายเอกลักษณ์ ทาอิน พนักงานพิทักษ์ป่าประจำอุทยานแห่งชาติศรีน่าน คณะเจ้าหน้าที่จึงได้ป้องกันตัวและระดมกำลังเข้าช่วยเหลือเมื่อกลุ่มคนดังกล่าวเห็นเจ้าหน้าที่มาจำนวนมาก จึงได้ใช้อาศัยความชุลมุนวิ่งลงเรือยนต์หางยาว ซึ่งจอดรออยู่จำนวน 4 ลำหลบหนีไปทางด้านทิศใต้ของแม่น้ำน่าน คณะเจ้าหน้าที่จึงได้พยายามติดตามแต่ไม่ทัน สันนิษฐานว่ากลุ่มคนที่ประกอบด้วยผู้ชายและผู้หญิงดังกล่าวน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการชักลากไม้ที่บรรทุกอยู่ภายในรถตู้ จนท.ชุดจับกุมจึงได้สั่งการให้ตรวจสอบรถตู้คันดังกล่าว พบว่าเป็นรถตู้ที่ใช้ปฏิบัติในราชการตำรวจของสถานีตำรวจภูธรนาหมื่น อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน ยี่ห้อโตโยต้า (รถตู้ สีบอนด์เงินมีแถบข้างสีเลือดหมู ทะเบียน ฮษ 9984 กทม  มีโลโก้สำนักตำรวจแห่งชาติติดที่ประตูด้านคนขับและด้านผู้โดยสารทั้งสองด้าน ด้านข้างมีสติกเกอร์คำว่า POLICE ติดที่ด้านข้างของรถทั้งสองด้านส่วนท้ายทั้งสองข้างติดสติกเกอร์ สภ.นาหมื่นและคำว่าเหตุด่วนเหตุร้ายแจ้ง191 ทั้งสองด้าน

โดยรถตู้คันดังกล่าวไม่มีคนขับและมีกุญแจเสียบอยู่ที่จุดสตาร์ทรถยนต์จอดหันหัวขึ้นไปทางถนนและด้านท้ายห่างจากลำน้ำน่าน ประมาณ 2 เมตร โดยเปิดประตูผู้โดยสารฝั่งด้านซ้ายสามารถมองเห็นเข้าไปด้านในพบว่าไม้ท่อนจำนวนหนึ่งบรรทุกอยู่ภายในห้องโดยสาร โดยได้ถอดเบาะออกทั้งหมดคงเหลือเพียงแค่ที่นั่งของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า สันนิษฐานได้ว่า การถอดเบาะดังกล่าวไม่ได้ถูกถอดมาด้วยความบังเอิญแต่ถูกถอดออกมาเพื่อชักลากไม้ท่อนที่บรรทุกอยู่ภายในรถ จึงได้ร่วมกันตรวจสอบโดยละเอียด พบว่าเป็นไม้กระยาเลยท่อนที่บรรทุกอยู่ภายในรถเป็นไม้กระยาเลยท่อนชนิดไม้ประดู่ มีลักษณะใหม่ไม่มีร่องรอยการเป็นเครื่องมือเครื่องใช้มาก่อนแต่อย่างใดและไม่พบร่องรอยดวงตาของพนักงานเจ้าหน้าที่ตีประทับไว้บริเวณหน้าตัดของไม้กระยาเลยท่อน (ไม้ประดู่) แต่อย่างใด คณะเจ้าหน้าที่ได้พยายามส่งเสียงเรียกหาเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวหรือผู้ที่ซึ่งจะมาแสดงตนเป็นเจ้าของ ปรากฏว่าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเข้ามาแสดงตน จึงได้ลงความเห็นร่วมกันแล้วเห็นว่า

การกระทำกล่าวเป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติ พุทธศักราช 2504 เนื่องจากไม้ประดู่ม่อนเป็นประเภท ก พื้นที่ที่พบไม้ประดู่อยู่นั้นอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าฝั่งขวาแม่น้ำน่านตอนใต้ และชาติศรีน่าน จึงเป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 จึงได้ร่วมกันตรวจยึดไม้กระยาเลยท่อน(ไม้ประดู่) โดยการตรวจนับวัดขนาดได้ไม้กระยาเลยท่อน (ไม้ประดู่ จำนวน 7 ท่อนและใช้ดวงตา ตีประทับไว้ที่หน้าตัดของไม้ประดู่ท่อนทั้ง 2 ด้านทุกท่อน พร้อมตรวจยึดรถยนต์ (รถตู้) คันดังกล่าวไว้เป็นของทั้งหมด นำส่ง ร.ต.อ.วินัย โนติ้บ พงส.สภ.นาหมื่น เพื่อติดตามคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป


ภาพ/ข่าว  ปฏิญญา เรือนงาม รายงาน

ลำปาง - พม.ลำปางจิตอาสาพระราชทาน 904 จับมือหลายหน่วยงานบรรเทาทุกข์อัคคีภัยผู้เฒ่า2 ตายายตำบลสบป้าดแม่เมาะ

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2564 เวลา 10.00 น. นางจินจณา โอสถธนากร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดลำปาง มอบหมายให้ นางวรรณวิไล กันเพ็ชร์ พร้อมด้วย นายอำเภอแม่เมาะ ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ประสบอัคคีภัย นายสังเวียน ไชยยา บ้านเลขที่ 4/1 ม.1 ต.สบป้าด อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง โดยมอบเครื่องอุปโภค-บริโภค ,ชุดเครื่องครัว และเงินสงเคราะห์เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย จำนวน 8,000 บาท พร้อมด้วย นายพนมพร ตุ้ยกาศ นายอำเภอแม่เมาะ ,นางธนวรรณ ตุ้ยกาศ นายกกิ่งกาชาดอำเภอแม่เมาะ ,นายณรงค์ฤทธิ์  นุปิง ผู้อำนวยการศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดลำปาง (วิทยากรจิตอาสาพระราชทาน 904) ได้สนับสนุนเงินสงเคราะห์ครอบครัวรายได้น้อยคนไร้ที่พึ่งจำนวน 3,000 บาท พร้อมเครื่งอุปโภคบริโภค ,นายประทีป มูลเภา พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดลำปาง จำนวน 2,000 บาท และมูลนิธิปอเต็กตึ๊ง จำนวน 12,000 บาท ณ อำเภอแม่เมาะ จ.ลำปาง


ภาพ/ข่าว  ปฏิญญา เรือนงาม รายงาน

ปทุมธานี - ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ลงพื้นที่ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ และประชาชน ในการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2564 เวลา 9.00 น. ณ เทศบาลเมืองคูคต ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ลงพื้นที่ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ และประชาชน ในการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้กับประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ในการตรวจแบบ Antigen Test Kits (ATK ) โดยมีนางสุภารมย์ โลทะกะ นายกเทศมนตรีเมืองคูคต พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และหัวหน้าส่วนราชการเทศบาลเมืองคูคต คอยให้การต้อนรับ 

ด้านนายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า การตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ในการตรวจแบบ Antigen Test Kits (ATK ) หากมีผลตรวจเป็นลบสามารถกลับบ้านได้เลย หรือมาตรวจซ้ำได้ภายใน 14 วัน แต่หากมีผลเป็นบวก คือ ติดเชื้อ หรือมีอาการน่าสงสัยจะส่งเข้ากระบวนการเอ็กซเรย์ปอด พร้อมประสานกับโรงพยาบาลประชาธิปัตย์ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและช่วยในการค้นหาผู้ป่วยได้เร็วยิ่งขึ้น เทศบาลเมืองคูคต จึงได้จัดรูปแบบการตรวจคัดกรองใหม่ โดยการใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ซึ่งประชาชนสามารถรู้ผลภายในเวลา 15-20 นาที โดยได้รับการรับรองจากทางการแพทย์ว่า มีความแม่นยำมากกว่า 90%  ซึ่งชุดตรวจ ATK เป็นเครื่องมือสำคัญในการคัดกรองเชื้อไวรัสโควิด-19 ในชุมชน เพราะทราบผลเร็วประมาณ 20 นาที เมื่อทำครบระบบอย่างนี้ผู้ป่วยสีเขียวก็จะสามารถพักรักษาตัวที่บ้าน ส่วนผู้ป่วยสีเหลืองก็จะไปโรงพยาบาลสนาม ส่วนผู้ป่วยสีส้มสีแดงก็จะเข้าสู่ระบบโรงพยาบาลของรัฐ พี่น้องประชาชนก็จะสามารถที่จะมั่นใจในระบบสาธารณสุขของจังหวัดได้ 


ภาพ/ข่าว วะจะนะชัย วาจาพารวย / รายงาน

สมุทรปราการ - ผู้ปิดทองหลังพระ “ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม” เหมา 20 ตัน ช่วยเกษตรกรชาวสวน ฝ่าวิกฤตโควิด-19

ผู้สื่อข่าวเปิดเผยว่า เมื่อเวลา 11.00 น. ของวันที่ 3 สิงหาคม 64 ภายในบ้านใหญ่ ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ได้มีรถบรรทุกขนาดใหญ่ภายในรถคันดังกล่าวได้บรรจุผลไม้มาเต็มคันรถ คาดว่ามีจำนวนไม่ต่ำกว่า 20 ตัน หรือ (20,000 กิโลกรัม)

จากการสอบถามทราบว่า ภายในรถบรรทุกนั้น ได้มีการลำเรียงผลไม้มาเป็นจำนวนมากหลายชนิด โดยการสนับสนุนจากนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ประธานหอการค้าจังหวัดสมุทรปราการ ที่มีความห่วงใยพี่น้องเกษตรกรชาวสวนจังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้ให้การสนับสนุนพี่น้องเกษตรกรชาวสวน โดยการเหมาสวนผลไม้ของพี่น้องชาวสวนจังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 20 ตัน หรือ 20,000 กิโลกรัม เพื่อเป็นการช่วยเหลือและให้กำลังใจเกษตรกรชาวสวนทางภาคใต้ฟันฝ่าวิกฤต covid-19

โดยนาย ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ประธานหอการค้าจังหวัดสมุทรปราการ กล่าวว่า ผลไม้ทั้งหมดสั่งตรงมาจากสวนผลไม้ของพี่น้องเกษตรกรชาวสวนในจังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 20 ตัน หรือ 20,000 กิโลกรัม เพื่อเป็นการช่วยเหลือและอุ้มพี่น้องเกษตรกรชาวใต้ ฟันฝ่าวิกฤต covid-19 โดยผลไม้ทั้งหมดที่ช่วยเกษตรกรอุดหนุนมานั้น จะนำไปแจกจ่ายให้กับผู้ป่วยตามโรงพยาบาลต่าง ๆ โรงพยาบาลสนาม  รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ และพี่น้องประชาชนในชุมชน

นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ประธานหอการค้าจังหวัดสมุทรปราการ ยังกล่าวต่ออีกว่า “เป็นเวลาที่พวกเรา ต้องช่วยกัน”  อีกทั้งได้กล่าวถึงการอุดหนุนผลผลิตต่าง ๆ เช่น มังคุด, ส้มโอทับทิมสยาม, เงาะโรงเรียน และ ลองกอง ด้วยการใช้งบประมาณส่วนตัวในการสนับสนุนซื้อผลไม้จากพี่น้องชาวสวน จำนวนกว่า 20,000 กิโลกรัม จากจังหวัดนครศรีธรรมราช

อีกทั้ง ยังเป็นการแสดงออกถึงความรักและความห่วงใยที่มีต่อพี่น้องเกษตรกรชาวใต้ และจะนำผลผลิตทั้งหมดส่งมอบให้กับพี่น้องประชาชนจังหวัดสมุทรปราการ แทนความห่วงใยที่มีต่อบุคลากรทางการแพทย์ที่ยังคงปฎิบัติหน้าที่อย่างเหน็ดเหนื่อย  รวมถึงประชาชนที่เดือดร้อนประชาชนที่ขาดรายได้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

โดยทางด้าน เกษตรกรผู้ปลูกไม้ผล ต่างขอบคุณในความมีน้ำใจที่คุณเอ๋ หรือนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ประธานหอการค้าจังหวัดสมุทรปราการ  ได้ให้การสนับสนุนผลผลิตของพี่น้องชาวสวนทางภาคใต้ เเละยังเป็นการได้ระบายผลผลิตเพื่อนำมาแจกจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนในจังหวัดสมุทรปราการได้อีกด้วย ซึ่งถือเป็นการให้ความช่วยเหลือได้อีกหนึ่งทาง

นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ยังได้กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า อย่างไรก็ตาม การให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในจังหวัดสมุทรปราการ ด้วยโครงการวัคซีนชิโนฟาร์ม และโรงพยาบาลสนาม ของทาง อบจ. สมุทรปราการ ที่ประสบความสำเร็จนั้นเป็นเพียงมิติด้านเดียวในการทำงาน แต่ยังมีประชาชนพี่น้องของเราในจังหวัดสมุทรปราการและต่างจังหวัด ที่ยังรอคอยความช่วยเหลืออยู่ตนจึงพยายามผลักดันให้ทุกโครงการที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนนั้น สามารถดำเนินไปแบบควบคู่กันได้ในทุกมิติ


ภาพ/ข่าว  คิว-ข่าวสมุทรปราการ  รายงาน

นราธิวาส - กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จัดพิธีรดน้ำศพ และส่งศพวีรชนทหารกล้ากลับภูมิลำเนา จังหวัดขอนแก่น

ณ วัดบางนรา ตำบลบางนาค อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส พลโท เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เป็นประธานในพิธีรดน้ำศพและวางหรีดเคารพศพ อาสาสมัครทหารพราน เกียรติขจร นาคดี  อายุ 24 ปี  กำลังพลตำเเหน่ง ผู้ช่วยเครื่องยิงจรวด กองร้อยทหารพรานที่ 4509 ปฏิบัติงานกองร้อยทหารพรานที่ 4514 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 45 ซึ่งเสียชีวิต จากเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนยิงลูกระเบิดแบบเอ็ม 79 เข้าใส่ฐานปฏิบัติการ ชุดปฏิบัติการจรยุทธ์ บริเวณบ้านแฆแบะ ตำบลนานาค อำเภอตากใบ เขตรอยต่อกับบ้านปาดังยอ หมู่ที่ 3 ตำมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายตามแนวชายแดนไทย - มาเลเซีย โดยแรงระเบิดทำให้เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการประยุทธ์ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 4 นาย และเสียชีวิต จำนวน 1 นาย เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2564 เวลา 02.30 น. ที่ผ่านมา

ในการนี้ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้เป็นผู้แทนวางหรีดเคารพศพของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี , พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบกและวางหรีดเคารพศพ ในนามแม่ทัพภาคที่ 4 /ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมกันนี้พันเอกทวีรัตน์ เบญจาทิกุล ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 45 ได้เป็นผู้แทน ครอบครัวของอาสาสมัครทหารพราน เกียรติขจร นาคดี รับมอบเข็มบางระจัน เพื่อประกาศเกียรติคุณยกย่องเชิดชูเกียรติแก่วีรชนผู้กล้า ที่เสียสละเพื่อความสงบของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดจนรับมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาเบื้องต้น และเนื่องจากอาสาสมัครทหารพราน เกียรติขจร มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) ประกอบกับอยู่ในช่วงสถานการณ์ประกาศล็อกดาวน์ 29 จังหวัดของประเทศไทย ครอบครัวจึงไม่สามารถเดินทางมาร่วมพิธี และรับศพได้ แม่ทัพภาคที่ 4 จึงได้สั่งการหน่วยต้นสังกัดดำเนินการอย่างสมเกียรติ เพื่อนำศพอาสาสมัครทหารพราน เกียรติขจร นาคดี กลับไปประกอบพิธีทางศาสนายังภูมิลำเนาต่อไป ก่อนเข้าสู่พิธีรดน้ำศพตามลำดับ ขณะที่ พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ฝากความห่วงใย และแสดงความเสียใจมายังครอบครัวผู้สูญเสีย พร้อมสั่งการเร่งช่วยเหลือเยียวยาด้านสิทธิต่าง ๆ ตามระเบียบของทางราชการอย่างเร็วที่สุด

จากนั้น เวลา 15.30 น. พลตรี ปิยพงษ์ วงศ์จันทร์ ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการข่าวกรอง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เป็นผู้แทนแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นประธานพิธีส่งศพของอาสาสมัครทหารพราน เกียรติขจร นาคดี  ณ ท่าอากาศยานนราธิวาส (สนามบินบ้านทอน) ตำบลโคกเคียน อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส โดยศพผู้กล้าถูกคลุมด้วยธงชาติอย่างสมเกียรติ เคลื่อนผ่านทหารกองเกียรติยศที่ยืนให้ความเคารพไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งจะมีพิธีรับศพ ณ ท่าอากาศยานขอนแก่น ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ก่อนจะเคลื่อนย้ายศพไปประกอบพิธีทางศาสนายังภูมิลำเนา ณ บ้านเลขที่ 109 หมู่ที่ 7 ตำบลวังสวาบ อำเภอภูผาม่าน  จังหวัดขอนแก่นต่อไป 


ภาพ/ข่าว  แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top