Wednesday, 9 July 2025
SPECIAL

‘โตเกียวโอลิมปิก’ ภาพสะท้อนความยิ่งใหญ่ ท่ามกลางวิกฤติ! กับ ‘อ.น้ำนุ่น’ | LOCK LENS GURU EP.40

LOCK LENS GURU รายการที่จะพาทุกคนมาเจาะลึกประเด็นที่น่าสนใจ ไปกับ 'กูรู' ตัวจริง 

‘อาจารย์อาทิตยา ทรัพย์สินวิวัฒน์’
อาจารย์ประจำสาขานวัตกรรมการสื่อสาร วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

???? ดำเนินรายการโดย เจ THE STATES TIMES

ติดตามผลงานเพิ่มเติมได้ที่ : https://thestatestimes.com/post/2021071008
.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
- ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
- รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
- สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
- แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“เฉลิมชัย” นำทัพคิกออฟแคมเปญขายมังคุดวันที่ 8 เดือน 8  ดีเดย์พรุ่งนี้ผนึกทุกภาคส่วนจำหน่ายทั่วประเทศ ทั้งออนไลน์ออฟไลน์ในราคาโปรโมชั่น 4 โล 100 มีออร์เดอร์ในมือกว่า 100 ตันพร้อมส่งตรงถึงบ้าน

นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ และนางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ร่วมแถลงข่าววันนี้ว่าตามที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ขยายโครงการ “เกษตรกรแฮปปี้” โดยจะจัดแคมเปญใหญ่ในวันพรุ่งนี้ วันที่ 8 เดือน 8 (สิงหาคม) ผ่านระบบออนไลน์ โดยใช้สถานที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พระราม9  เป็นจุดคิกออฟกระจายสินค้า ภายใต้มาตรการควบคุมโรคของ ศบค. เพื่อให้ทุกภาคส่วนทั่วประเทศสั่งซื้อมังคุดล่วงหน้าในราคา 4 โล 100 สำหรับมังคุดคละเกรดคุณภาพสดอร่อยภายใต้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เช่น บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด (ท็อปส์ และ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์)  บริษัท ไปรษณีย์ไทย สมาคมขนส่งโลจิสติกส์ บริษัทแกร็บ ร้านธงฟ้า ฯลฯ

โดยนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะหัวหน้าทีมพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) เฉพาะกิจ ที่มีคณะทำงานเป็นตัวแทนมาจากหลายภาคส่วน กล่าวว่า ขณะนี้มีความพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะรับออร์เดอร์มังคุดภายใต้แคมเปญดังกล่าว โดยจะใช้ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พระราม 9 และเซ็นทรัล เวสต์เกต เป็นจุด Drop off เพื่อกระจายสินค้า ขณะนี้เป็นที่น่ายินดีว่าหลังจากเริ่มเปิดรับพรีออร์เดอร์มาเป็นเวลา 2 วัน ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเป็นจำนวนมากที่สั่งซื้อกันเข้ามาในจำนวนเกิน 100 ตันแล้ว และจะเริ่มจัดส่งตรงถึงบ้านเริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป 

“ท่านรัฐมนตรีเฉลิมชัยย้ำว่า เราต้องดูแลชาวสวนทุกจังหวัดในภาคใต้พาฝ่าวิกฤตโควิดไปด้วยกัน แม้วันนี้จะมีสัญญาณที่ดีว่าราคามังคุดทั้งหน้าแผงและหน้าล้งปรับตัวสูงขึ้น แต่ยังมีความไม่แน่นอนของเสถียรภาพราคา จึงต้องมีมาตรการเสริมเพื่อช่วยกระตุ้นการบริโภค โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคในประเทศที่เป็นส่วนที่สำคัญในภาวะที่การส่งออกยังมีอุปสรรคจากสถานการณ์โควิด-19” นายอลงกรณ์ กล่าว

ทั้งนี้คณะทำงานฟรุ้ทบอร์ดเฉพาะกิจมีผู้แทนมาจากหลายภาคส่วน ที่มาร่วมผนึกกำลังกันแก้ไขปัญหาราคามังคุด รวมถึงผลไม้อื่น ๆ เช่นลำไย เงาะ ลองกอง ทุเรียนที่กำประสบปัญหาล้นตลาดอาทิ นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ รับผิดชอบการขายแบบ B to G นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ ประธานคณะอนุกรรมการธุรกิจการเกษตร นายกฤชฐา โภคาสถิตย์ ประธานอนุกรรมการ  อีคอมเมิร์ซ กระทรวงเกษตรฯ.รับผิดชอบการขายแบบ B to B รวมถึงการขายผ่านเครือข่ายสภาอุตสาหกรรม หอการค้า การขายตรงถึงผู้บริโภครวมถึงช่องทางอื่น ๆ ในขณะที่นางดรุณวรรณจะรับผิดชอบการขายและประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย โดยมีนายณฐกร สุวรรณธาดา และนายวิเชียร สุขพันธ์ คณะทำงานที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯรับผิดชอบแหล่งผลิตผลไม้และจุดกระจายผลไม้

“มังคุดภายใต้แคมเปญนี้ เป็นมังคุดดี สดจากต้น อร่อย ส่งตรงจากสวนเมืองใต้ ที่ตั้งใจปลูกโดยชาวสวนแท้ ๆ รับประกันคุณภาพโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การซื้อมังคุดครั้งนี้ รับทันทีสองต่อคือได้ทานมังคุดดี ๆ และยังมีส่วนช่วยสร้างรอยยิ้ม และส่งกำลังใจให้ชาวสวนมังคุดด้วย ภายใต้แนวคิด “คนกินยิ้มได้ เกษตรกรไทย Happy” สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสั่งซื้อได้ที่ช่องทางต่าง ๆ ตามที่ได้แจ้งไว้ในช่วงต้น” นางดรุณวรรณ กล่าว

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้รัฐมนตรีเกษตรฯ ในฐานะประธาน Fruit Board ได้สั่งการล่วงหน้าให้ทุกส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ช่วยกันซื้อมังคุด เช่น กรมชลประทาน กรมส่งเสริมการเกษตร และกรมส่งเสริมสหกรณ์ ทำให้ช่วยระบายมังคุดออกจากแหล่งผลิตหลายร้อยตัน และขอให้ภาครัฐภาคเอกชนช่วยกันซื้อมังคุดให้มากที่สุด และนายเฉลิมชัยจะเป็นผู้นำในการคิกออฟแคมเปญด้วยตัวเองในวันอาทิตย์นี้ด้วย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยการชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมือง  ในวันที่ 7 ส.ค.2564 ซึ่งอาจเข้าข่ายการกระทำที่ผิดกฎหมาย และเสี่ยงต่อการติดหรือแพร่เชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19)

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่มีกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง จำนวนหลายกลุ่ม นัดหมายการชุมนุมเพื่อร่วมกันทำกิจกรรมในวันนี้  ( 7 ส.ค.2564)  สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยในความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนที่จะเข้าร่วม รวมถึงพี่น้องประชาชนทั่วไป ในพื้นที่บริเวณใกล้เคียง ที่อาจได้รับผลกระทบในการใช้ชีวิตประจำวันจากการจัดกิจกรรรมดังกล่าว

การชุมนุมทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมาพบว่ามีบางกลุ่มดำเนินการจัดกิจกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิดทางกฎหมายและละเมิดต่อสิทธิของผู้อื่นหลายลักษณะ เช่น การวางเพลิงเผาทรัพย์ ซึ่งทรัพย์สินของผู้อื่นหรือทรัพย์สินของทางราชการ เข้าข่ายความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์, การสาดสี/พ่นสี ใส่ทรัพย์สินของผู้อื่นหรือทรัพย์สินของทางราชการ เข้าข่ายความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ และการใช้ยานพาหนะขับขี่หรือจอดในลักษณะการกีดขวางการจราจร เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ  เป็นต้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนทุกกลุ่มที่จะร่วมชุมนุมจัดกิจกรรมในวันนี้ ซึ่งนอกจากจะสุ่มเสี่ยงและอาจเข้าข่ายกระทำผิดทางกฎหมายแล้ว ยังอาจมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19)  ร่วมถึงเป็นผู้แพร่เชื้อได้ตลอดเวลา และขอประชาสัมพันธ์มายังพี่น้องประชาชนให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังบริเวณทีมีการชุมนุมและพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อสวัสดิภาพของทุกคน

“DeFi” โลกการเงินไร้กฎหมาย (จริงหรือ?)

ปัจจุบันระบบการเงินการธนาคารของโลกเราพัฒนาไปมาก เราสามารถทำธุรกรรมทางการเงินผ่านคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือได้อย่างสะดวกสบายจากที่บ้าน แทบไม่ต้องไปต่อแถวทำธุรกรรมอะไรที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินอีกต่อไป

แต่โลกการเงินก็ยังไม่หยุดพัฒนาเพียงเท่านี้ ตอนนี้กระแสของโลกการเงินในยุคใหม่ที่กำลังมาแรงและถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ คือ โลกการเงินแบบ DeFi

DeFi ย่อมาจากคำว่า Decentralized Finance หรือระบบการเงินที่ไม่มีตัวกลางเหมือนในระบบการเงินในปัจจุบันที่เรามีธนาคาร หรือ สถาบันการเงินเป็นตัวกลางในการตรวจสอบการทำธุรกรรมต่าง ๆ

>>> ตัวอย่างเช่น เราไปทำการฝากเงินกับธนาคาร ธนาคารก็จะบันทึกข้อมูลการทำธุรกรรมการฝากเงินเข้าไปในระบบของธนาคาร ส่วนเราก็จะได้ข้อมูลนั้นกลับมาในรูปแบบของสมุดบัญชีเงินฝาก หากเราต้องการตรวจสอบดูว่าเรามีเงินคงเหลือในธนาคารเท่าไหร่ เราก็สามารถนำสมุดบัญชีเงินฝากนั้นไปอัพเดทที่ธนาคาร แล้วเราจะเห็นข้อมูลล่าสุดที่เป็นปัจจุบัน

ธนาคารจึงมีบทบาทสำคัญในระบบการเงินของโลกเรามาโดยตลอด เพราะทุกคนมีความเชื่อมั่นว่าข้อมูลที่เรามีอยู่กับธนาคารนั้นมีความถูกต้อง เงินที่เราฝากไว้กับธนาคารจะไม่สูญหายหรือถูกขโมยไปไหน เว้นแต่ธุรกิจของธนาคารจะล้มละลายและต้องปิดกิจการไป

อย่างไรก็ตาม เมื่อคริปโตเคอร์เรนซีเริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้น เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต่อมาเทคโนโลยีดังกล่าวก็ถูกนำมาต่อยอดในรูปแบบ Smart Contract  หรือ สัญญาอัจฉริยะ ที่เราสามารถแปลงเงื่อนไขสัญญาต่าง ๆ มาอยู่ในรูปแบบของโค้ดและโค้ดนั้นก็จะสามารถทำงานได้ทันทีที่ตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงไว้

ยกตัวอย่างเช่น หากผมทำสัญญากับบริษัทไว้ว่า ถ้ามีคนอ่านบทความของผมเกิน 10,000 วิว ผมจะได้รับเงิน 1,000 บาท และต่อจากนั้นที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 1,000 วิว ผมจะได้เพิ่มอีก 100 บาท เวลาที่บริษัทจะจ่ายเงิน บริษัทก็จะต้องส่งคนมาตรวจสอบว่ามีบทความนี้มียอดวิวเท่าไหร่แล้ว หลังจากตรวจแล้วก็ต้องนำเรื่องไปเสนอผู้มีอำนาจในการอนุมัติเพื่อสั่งจ่าย ต่อจากนั้นฝ่ายบัญชีถึงจะทำการจ่ายเงินให้กับผมได้

แต่ถ้าเราเปลี่ยนใหม่มาเขียนข้อตกลงดังกล่าวไว้ในรูปแบบของ Smart Contract โค๊ดที่เราเขียนไว้ก็จะสามารถเช็กยอดวิวบนบทความผมได้ตลอดเวลา และเมื่อยอดวิวถึงตามข้อกำหนดที่ตกลงกันเอาไว้ ระบบก็จะโอนเงินมาเข้าบัญชีผมทันทีโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องมีใครมานั่งนับ ตรวจสอบ แล้วก็ทำเรื่องจ่ายเงินอีก

เมื่อมีคนเห็นถึงประโยชน์ของ Smart Contract ที่ทำให้การทำธุรกรรมต่าง ๆ มีความสะดวก โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้บนเทคโนโลยีบล็อกเชน จึงมีการต่อยอดนำเอาเทคโนโลยีดังกล่าวมาพัฒนาเป็นระบบการเงินที่ไร้ตัวกลาง หรือ DeFi โดยสิ่งที่เข้ามาทำหน้าที่แทนธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เป็นตัวกลาง คือ Smart Contract ที่เขียนเงื่อนไขต่าง ๆ ขึ้นไว้นั่นเอง 

ประโยชน์หลักของการเงินแบบ DeFi คือ การที่ไม่มีกลางเข้ามากินส่วนต่าง ทำให้ผู้ใช้บริการได้รับผลตอบแทนมากขึ้น เพราะเราไม่ต้องเสียค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมให้ตัวกลางเหล่านั้น

เช่น คนที่ต้องการปล่อยกู้ กับ คนที่ต้องการกู้เงิน สามารถกู้เงินกันได้โดยตรง ไม่ต้องมีธนาคารมาเป็นตัวกลาง คนกู้ก็เสียดอกเบี้ยถูกลง ส่วนคนให้กู้ก็ได้ดอกเบี้ยมากขึ้น เพียงแต่เราก็จะมีความเสี่ยงถ้าคนกู้ไม่ยอมชำระหนี้ แล้วเราจะไปติดตามทวงคืนยาก ต่างจากการฝากเงินไว้กับธนาคารที่เราสามารถไปถอนเงินเมื่อไหร่ก็ได้

แต่ Smart Contract สามารถเข้ามาช่วยแก้ปัญหาในส่วนนี้ได้ โดยคนกู้อาจจะต้องมีหลักประกันอะไรเข้ามาวางไว้ในระบบ และถ้าถึงกำหนดชำระหนี้แล้วไม่ชำระ ระบบก็จะโอนหลักประกันนั้นให้เจ้าหนี้ได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาไปฟ้องร้องกันทีหลัง

อย่างไรก็ตาม ระบบการเงินแบบ DeFi ที่ทำให้ตัวกลางหรือสถาบันการเงินหายไปนั้น สิ่งที่ตามมา คือ หน่วยงานที่กำกับดูแลสถาบันการเงินเหล่านั้น ก็จะไม่สามารถเข้าไปช่วยกำกับดูแลแพลตฟอร์ม DeFi ต่าง ๆ ได้

ดังนั้น หากผู้ใช้บริการเกิดปัญหาเราก็จะไม่สามารถไปเรียกร้องให้หน่วยงานกำกับดูแลเข้ามาช่วยเหลือได้

ยกตัวอย่าง เช่น หากเราถอนเงินออกจากแพลตฟอร์ม DeFi แห่งหนึ่งไม่ได้ เราจะไปร้องเรียนให้ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ สำนักงาน ก.ล.ต. เข้ามาช่วยจัดการกับแพลตฟอร์ม DeFi ดังกล่าวไม่ได้ เพราะหน่วยงานเหล่านั้นไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลแพลตฟอร์ม ​DeFi 

ทำให้หลายคนเข้าใจว่า DeFi เป็นโลกการเงินที่ไร้กฎหมาย คนที่ใช้บริการทุกคนต้องรับความเสี่ยงและต้องดูแลรับผิดชอบตัวเอง หากถูกแพลตฟอร์ม DeFi หลอกลวง หรือโกง เราไม่สามารถเรียกร้องจากใครได้

ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดนะครับ เพราะ โลกการเงินแบบ DeFi เป็นระบบการเงินที่ไร้ตัวกลาง ทำให้แพลตฟอร์มต่าง ๆ ไม่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขของหน่วยงานกำกับดูแลในการประกอบธุรกิจเท่านั้น

แต่ก็ไม่ได้ความว่าใครจะเข้ามาโกงใครในโลก DeFi ก็ได้ครับ

เพราะการโกงหรือหลอกลวงไปให้ได้ซึ่งทรัพย์สินของบุคคลอื่น เป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามกฎหมายอาญา และยิ่งเป็นการหลอกคนจำนวนมาก ๆ ก็จะถือว่าเป็นการฉ้อโกงประชาชนที่มีโทษหนักขึ้นด้วย

ถ้าใครจำคดี Forex3D กันได้ บริษัทที่ให้บริการ Forex3D เขาก็ไม่ได้มีใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย หากใครไปลงทุนกับบริษัทนั้นก็จะต้องรับความเสี่ยงกันเอาเอง ซึ่งช่วงแรกมีกรณีที่คนถอนเงินแล้วมีความล่าช้าใช้เวลาเป็นเดือนกว่าที่จะได้เงินคืน แบบนี้เราก็ไม่สามารถไปร้องเรียนให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาช่วยเหลือได้ เพราะบริษัทเขาไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย

แต่ภายหลังเมื่อมีการเปิดโปงออกมาว่า Forex3D นั้น ความจริงแล้วไม่ได้มีการประกอบธุรกิจจริง แต่บริษัทดังกล่าวหลอกลวงให้คนเข้ามาลงทุนในลักษณะของแชร์ลูกโซ่ ผู้เสียหายจึงสามารถรวมตัวกันไปแจ้งความเอาผิดฐานฉ้อโกงประชาชนกับ DSI

ซึ่งไม่ต่างจากโลกการเงินแบบ DeFi ที่แม้ว่าเราจะไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม แต่ถ้าแพลตฟอร์ม DeFi นั้นมีลักษณะหลอกลวงคนเข้าไปลงทุนในลักษณะของแชร์ลูกโซ่ เราก็สามารถแจ้งความเอาผิดเจ้าของแพลตฟอร์มดังกล่าวได้

เพียงแต่ความยากของการดำเนินคดีกับพวกที่โกงในโลกการเงินแบบ DeFi นี้อาจจะยากเสียหน่อย เพราะต้องอธิบายการทำผิดนั้นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการ ศาล เข้าใจก่อนว่า DeFi คืออะไร คนที่หลอกลวงคนให้เข้ามาลงทุนได้ทรัพย์สินอะไรไปบ้าง ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาได้ไปอาจจะไม่ใช่เงินจริง ๆ แต่เป็น คริปโตเคอร์เรนซี เราก็ต้องอธิบายเรื่องของคริปโตเคอร์เรนซีหรือสินทรัพย์ดิจิทัลให้คนในกระบวนการยุติธรรมเข้าใจด้วย เขาถึงจะช่วยเราเอาผิดได้

สรุปแล้ว โลกการเงินแบบ DeFi แม้จะเป็นระบบการเงินที่ไร้ตัวกลาง ไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจ แต่ก็ไม่ใช่โลกที่ไร้กฎหมาย เรายังสามารถดำเนินคดีอาญากับคนที่เข้ามาหลอกลวงหรือฉ้อโกงได้เหมือนระบบการเงินปกติ เพียงแต่โลกการเงินแบบ DeFi นี้ เราจะต้องใช้ความระมัดระวังตัวมากขึ้นในการทำธุรกรรมต่าง ๆ เนื่องจากไม่มีธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ สำนักงาน ก.ล.ต. เข้ามาช่วยสอดส่องดูแลนั่นเอง


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ขอดเกล็ดมังกร!! 1​ ศตวรรษ​ พรรคคอมมิวนิสต์จีน ความยิ่งใหญ่​ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง​ ที่หาใครปรับตัวตามยาก

เป็นที่ทราบกันดีว่าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนคือสถาบันทางการเมืองที่ปกครองประเทศจีนมาอย่างยาวนาน และที่จีนพัฒนาประเทศมาได้ถึงขั้นนี้นั้น พรรคคอมมิวนิสต์ก็ถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินนโยบายและบริหารราชการแผ่นดิน จนถึงวันนี้ที่คนจีนสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าตัวเองเป็นประเทศมหาอำนาจของโลกไปแล้ว

เมื่อไม่นานมานี้ เพิ่งจะมีการฉลองอย่างเอิกเกริกในวาระครบ 100 ปี การก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ซึ่งหากย้อนกลับไปดูประเทศจีนในยุคก่อตั้งพรรคเมื่อร้อยปีที่แล้ว เทียบกับประเทศจีนในวันนี้ การเดินทางอันสุดเหลือเชื่อของพรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องผ่านอะไรมาบ้างในแต่ละยุคสมัย ? และเพราะเหตุใดที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนจึงถูกนักวิเคราะห์ทั่วโลกขนานนามว่า “พรรคคอมมิวนิสต์ที่ปรับตัวมากที่สุดในโลก” ?

พรรคคอมมิวนิสต์ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1921 ซึ่งเชื่อกันว่า Timeline ประวัติศาสตร์ของจีนในช่วงนี้เป็นยุคที่ตกต่ำและมืดหม่นที่สุด นับตั้งแต่จีนพ่ายแพ้อย่างน่าอับอายในสงครามฝิ่น อันเป็นเหตุให้เสียดินแดนฮ่องกงและเกาลูนไป จนยุคล่มสลายของราชวงศ์ชิงในปี 1912 ซึ่งอำนาจการปกครองก็เปลี่ยนไปอยู่ในมือของ ‘พรรคกั๋วหมินตั่ง’ หรือที่คนไทยรู้จักกันในนามก๊กมินตั๋ง ซึ่งก็คือพรรคประชาธิปไตยนั่นแหละครับ

สำหรับพรรคคอมมิวนิสต์นั้นผงาดขึ้นมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนสามารถปฏิวัติประเทศและเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองสำเร็จ ทำให้จีนเริ่มต้นยุคสมัยที่ปกครองประเทศด้วยรูปแบบสังคมนิยมในปีค.ศ. 1949 ภายใต้การนำของประธานเหมา หรือ เหมาเจ๋อตง

พรรคคอมมิวนิสต์ในยุคประธานเหมาเป็นรูปแบบที่นักวิชาการนิยามว่า “คอมมิวนิสต์แบบลัทธินิยม” หรือ “หรือคอมมิวนิสต์ในแบบเหมาเจ๋อตง” (Maoist - communism) ซึ่งเน้นไปที่การปลูกฝังให้คนหนุ่มสาวเป็นคอมมิวนิสต์ในแบบที่เหมาต้องการ เกิดลัทธิบูชาบุคคล เกิดการ “ปฏิวัติวัฒนธรรม” ที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 10 ล้านชีวิต แต่สุดท้ายแล้ว การบริหารของรัฐบาลในยุคนั้นก็ยังไม่สามารถพาให้คนจีนหลุดพ้นจากความยากจนได้เสียทีเดียว

ด้วยความที่การปกครองของเหมานั้นถูกครหาว่า “ได้ไม่คุ้มเสีย” จึงเป็นหน้าที่ของผู้นำรุ่นต่อไปอย่าง “เติ้งเสี่ยวผิง” ที่จะต้องเข้ามาปฏิรูปแนวคิดทางการบริหารประเทศใหม่ ไม่ต้องเน้นอุดมการณ์ แต่เน้นไปที่ความเป็นจริง ด้วยวิสัยทัศน์ที่มองว่าการปกครองในรูปแบบดั้งเดิมของคอมมิวนิสต์ยังมีจุดอ่อน ปรับตรงไหนได้ก็ต้องปรับ เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ซึ่งทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ในยุคสมัยของผู้นำเติ้งถูกมองว่าปกครองแบบ “เศรษฐกิจนิยม”

“ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ขอเพียงจับหนูได้ก็คือแมวที่ดี”

“ไม่ว่าจะเป็นอุดมการณ์ทุนนิยมหรือสังคมนิยม ขอเพียงทำให้คนจีนรวยได้ก็ถือเป็นอุดมการณ์ที่ดี”

นั่นทำให้วิธีการของผู้นำเติ้งมีรูปแบบของการผสมผสานระหว่างทุนนิยมและสังคมนิยม ซึ่งก็ได้ผลลัพท์อย่างเป็นรูปธรรมเลยครับ เศรษฐกิจจีนกลับมาเติบโต ประชาชนจีนกลับมาลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง

การปกครองในรูปแบบ “เศรษฐกิจนิยม” นี้ถูกใช้มาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งประเทศจีนเติบโตขึ้นมาและมีบทบาทมากขึ้นบนเวทีโลก ซึ่งก็เป็นวิวัฒนาการขั้นต่อไปของพรรคคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของ “สีจิ้นผิง” ซึ่งไม่ได้มีเป้าหมายแค่การยืนบนลำแข้งตัวเอง หรือทำให้ประชาชนลืมตาอ้าปากเท่านั้น แต่คือการทำให้ประเทศจีนกลับมายิ่งใหญ่ เป็นมหาอำนาจโลกเหมือนอย่างในอดีต ขึ้นมาตีคู่กับเจ้าโลกในยุคปัจจุบันอย่างสหรัฐฯ 

การปกครองของพรรคคอมิวนิสต์ในยุคนี้ถูกนักวิเคราะห์ทั่วโลกเรียกว่า “ชาตินิยม” คือ อะไรก็ตามที่จะทำให้ประเทศจีนแข็งแกร่ง ผู้นำก็จะนำประชาชนให้มุ่งไปทางนั้นอย่างพร้อมเพรียง ไม่ว่าจะเป็นการบุกตลาดการค้า ตีตลาดนวัตกรรมเทคโนโลยี และผนึกกำลังสร้างห่วงโซ่อุปทานของตัวเองขึ้นมา โดยมิได้เกรงกลัวแรงต้านใด ๆ ทั้งสิ้น

ซึ่งเพื่อเป้าหมายในการเป็นหนึ่ง ผมมองว่าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนในปัจจุบันอยู่ในช่วงเวลาที่เข้มแข็งที่สุดในประวัติศาสตร์ เนื่องจากมีความผสมผสานระหว่างการใช้อุดมการณ์เพื่อรวมใจคนในชาติ และการออกนโยบายเชิงรุกเพื่อเดินเกมเศรษฐกิจ เป็นมังกรนักล่าที่ครบเครื่อง มีทั้งเขี้ยวเล็บ มีทั้งปีก และยังสามารถพ่นไฟได้อีกด้วย!! 

สำหรับการปรับตัวในครั้งต่อไปของพรรคคอมมิวนิสต์ในยุคหลังโควิด-19 นั้นจะเป็นอย่างไรก็คงจะต้องติดตามดูกันไปครับ เพราะช่วงนี้ทางฝั่งสหรัฐฯ ก็กำลังเดินเกมรวบรวมพรรคพวกและพันธมิตรเพื่อเข้าสกัดการเจริญเติบโตของจีนอยู่เช่นกัน

จะเป็นอย่างไรไม่รู้ รู้แต่ว่าเกมนี้จะมีผลกระทบต่อประเทศไทยไม่มากก็น้อย...ไม่ดีก็ร้ายอย่างแน่นอน


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สัตหีบ (หลวงพ่ออี๋) ร่วมหน่วยงานพื้นที่ มอบสิ่งของช่วยเหลือประชาชนได้รับผลกระทบจากโควิด-19

เมื่อวันที่ 6 ส.ค.64 ที่บริเวณโดมอเนกประสงค์วัดสัตหีบ (หลวงพ่ออี๋) ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พระครูทัสนียคุณากร เจ้าคณะอำเภอสัตหีบ เจ้าอาวาสวัดสัตหีบ พร้อมด้วย นายกิตติพงษ์ กิติคุณ นายอำเภอสัตหีบ พล.ร.ต.ประสาทพร สาทรสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ พล.ร.ต.ศุภชัย ธนสารสาคร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ ดร.สะพอระ เผือกประพันธุ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 8 จังหวัดชลบุรี   พ.ต.อ.ปัญญา ดำเล็ก ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรสัตหีบ นายณรงค์ บุญบรรเจิดศรี นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองสัตหีบ นายไพโรจน์ มาลากุล ณ อยุธยา นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลเขตรอุดมศักดิ์ นายเอกชัย วิริยะธรรมทวี ไวยาวัจกรวัดสัตหีบ และกิ่งกาชาดอำเภอสัตหีบ ร่วมเป็นประธานมอบสิ่งของ อาทิ ข้าวสาร ปลากระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำมันพืช น้ำปลา ให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยมีกำนันผู้ใหญ่บ้าน และประธานชุมชนในตำบลสัตหีบ เป็นผู้แทนรับมอบเพื่อนำไปแจกให้กับประชาชน จำนวน 500 ชุด

ภาพข่าว  สมนึก เชื้อสนุก
 

'กาฬสินธุ์' เดินหน้าตามวาระแห่งชาติเปลี่ยนขยะเป็นพลังงานไฟฟ้า

เทศบาลตำบลกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ เดินหน้าโครงการสร้างระบบการจัดการขยะเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิง (RDF) และผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะมูลฝอย เผยในอนาคตจะไม่มีบ่อขยะเดิมที่ “หลักเมือง” อีกแล้ว เพราะขยะในบ่อเดิมจะถูกนำออกและเข้าสู่ระบบทำลายจนหมด และพัฒนาเป็นลานสุขภาพ สนามกีฬาในร่มและสาธารณะประโยชน์อื่นๆ โดยยึดประชาชนและชุมชนเป็นศูนย์กลาง

 วันที่ 6 สิงหาคม 2564 นางสาววิจิตรา ภูโคก นายกเทศมนตรีตำบลกมลาไสย อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ กล่าวถึงความคืบหน้าของการดำเนินโครงการสร้างระบบการจัดการขยะเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิง (RDF) และผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะมูลฝอย ของ ทต.กมลาไสยว่า เนื่องจากปัญหาขยะถือเป็นวาระแห่งชาติ ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งส่งผลกระทบกับประชาชนจากปริมาณขยะในบ่อขยะมีเพิ่มขึ้นทุกวัน จึงได้เร่งรัดให้มูลนิธิสิ่งแวดล้อมศึกษา สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อม ดำเนินการจัดทำข้อกำหนดขอบเขตงานหรือ TOR เพื่อให้มีการประมูลหาเอกชนมาดำเนินการ เนื่องจากโครงการมีการลงทุนสูงมาก โดยให้แนวทางในการจัดทำ TOR ว่า ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของชุมชนและประชาชนเป็นหลัก และต้องแก้ปัญหาขยะอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการร่าง TOR จากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งตัวแทนจากเทศบาลตำบลโนนบุรี และเทศบาลเมืองบัวขาว ที่จะร่วมเป็นศูนย์กำจัดขยะในโครงการนี้ รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ตัวแทนจากสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติเละสิ่งแวดล้อม จ.กาฬสินธุ์ ตัวแทนจากสาธารณสุข อ.กมลาไสย และตัวแทนภาคประชาชนมาร่วมร่าง TOR ฉบับนี้ โดยขอให้เรื่องเร่งด่วนที่กำหนดไว้ใน TOR คือการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่อยู่รอบบ่อขยะ ต้องได้รับการดูแลเยียวยาทันทีที่เริ่มโครงการ ต้องไม่มีบ่อขยะเหลืออยู่อีก เอกชนที่เข้ามาดำเนินโครงการต้องนำขยะทั้งหมดที่มีอยู่ที่บ่อขยะทั้งบนดินและใต้ดินของทุกบ่อขยะ ทั้งที่  ทต.หลักเมือง ทต.โนนบุรี และ ทม.บัวขาว ออกให้หมด และจะทำการพัฒนาปรับปรุงพื้นที่บ่อขยะให้เป็นที่ๆประชาชนได้ใช้ประโยชน์ได้ เช่น ทำเป็นสวนสาธารณะ เป็นศูนย์กีฬาในร่ม โดยเอกชนเป็นผู้ลงทุนทั้งหมด

“นอกจากนี้ใน TOR ยังกำหนดให้เอกชนต้องมีกองทุนเพื่อดูแลสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโครงการ โดยมีคณะกรรมการภาคประชาชนเป็นผู้ดูแลกองทุนนี้ มีการตรวจวัดมลภาวะที่เกิดขึ้นทุกๆ 3 นาที 5 นาที แจ้งให้ประชาชนทราบผ่านจอแสดงผลที่ติดอยู่ทุกหมู่บ้านรอบๆที่ตั้งโครงการ  มีการทำประกันภัยให้กับประชาชนรอบบ่อขยะ ถ้าเกิดผลกระทบจากการดำเนินการของเอกชน เอกชนต้องแปลงขยะเป็น RDF ที่แห้งกว่าขยะสดก่อนการขนย้าย  และห้ามไม่ให้รถขนถ่าย RDF วิ่งผ่านที่ชุมชนหนาแน่น เอกชนต้องแบ่งรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าโดยไม่หักค่าใช้จ่ายให้กับเทศบาล นำไปใช้ในการพัฒนาชุมชน และยังมีเรื่องอื่นๆอีกมากใน TOR ที่เป็นประโยชน์กับประชาชน” นางสาววิจิตรากล่าว
ด้านนายวุฒิชัย สรรพลุน รองนายก ทต.กมลาไสย กล่าวว่า ข้อกำหนดใน TOR ยังให้เอกชนพัฒนาการจัดเก็บขยะมูลฝอยให้กับเทศบาล รวมถึงการพัฒนาบุคลากรของเทศบาลในการเก็บรวบรวม และกำจัดขยะมูลฝอยอย่างมีประสิทธิภาพด้วย ตนเชื่อว่า เมื่อโครงการได้เริ่มดำเนินการ ปัญหาขยะมูลฝอยของ จ.กาฬสินธุ์ จะลดลงอย่างมาก และมั่นใจว่าโครงการนี้จะแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยของ จ.กาฬสินธุ์ได้อย่างยั่งยืน


ขณะที่นายจรัส นาชัยเริ่ม อายุ 83 ปี ชาวบ้านเมืองใหม่ เขต ทต.กมลาไสย กล่าวว่า ตนเห็นด้วยกับโครงการก่อสร้างโรงงานขยะ เนื่องจากที่ผ่านมาขยะทำให้เกิดปัญหาต่อมลพิษ และเป็นบ่อเกิดของโรคภัยหลายชนิด ปัญหาที่พบในการจัดการขยะมูลฝอยในภาพรวมทั่วไป คือการเก็บรวบรวมที่ไม่เป็นระเบียบ มีกลิ่นเหม็น บางครั้งมีขยะตกหล่น มีน้ำเสียจากรถขนขยะ และปริมาณขยะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การที่จะมีโครงการดังกล่าว  ที่จะเป็นการกำจัดขยะอย่างถูกวิธี และมีการแปรสภาพขยะเป็นพลังงานไฟฟ้า จะเป็นประโยชน์ต่อชุมชน นอกจากนี้ยังจะเกิดการสร้างงาน ให้กับคนในชุมชนอีกด้วย 

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาตนและเพื่อนบ้านได้ร่วมประชาคม และเห็นชอบในโครงการดังกล่าว และยังเคยไปดูงานหลายแห่ง เห็นผลดีของโรงงานขยะ จึงอยากจะเห็นโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นในชุมชนของตน เพราะขยะถือเป็นวาระแห่งชาติ ที่ทุกคน ทุกฝ่าย ควรที่จะมาร่วมสนับสนุน เพราะจะเป็นประโยชน์กับประชาชนและชุมชนอย่างแท้จริง

‘รัฐบาล’ เร่งกระจายชุดตรวจ ATK 1.1 ล้านชุด เน้น 13 จังหวัด สีแดงเข้ม ย้ำ!! ต้องแจกอย่างทั่วถึง เป็นธรรม

เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้จัดสรรและกระจายชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ที่ได้รับจากสมาพันธรัฐสวิส จำนวน 1.1 ล้านชุด เพื่อใช้ประโยชน์ตามความเหมาะสมแล้ว โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้กระจายชุดตรวจ ATK ตามความจำเป็นเร่งด่วน อย่างทั่วถึง เป็นธรรม ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้จัดสรรไปยังจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด ตามจำนวนผู้ป่วยและความเหมาะสมแล้ว ดังนี้ กรุงเทพมหานครจำนวน 200,000 ชุด นนทบุรี ปทุมธานี จังหวัดละ 75,000 ชุด พระนครศรีอยุธยา สมุทรสาคร นครปฐม ชลบุรี สมุทรปราการ และฉะเชิงเทรา จังหวัดละ 75,000 ชุด 4 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา จังหวัดละ 45,000 ชุด และสำรองที่กระทรวงสาธารณสุขจำนวน 150,000 ชุด

นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ได้รับมอบจากสมาพันธรัฐสวิส และได้แจกจ่ายแล้วนี้ จะมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้ไทยสามารถควบคุมจำกัดวงของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ในส่วนของเครื่องช่วยหายใจ จำนวน 102 เครื่อง ที่ได้รับมอบจากสมาพันธรัฐสวิส ในโอกาสเดียวกันนี้ จะได้แจกจ่ายตามความเหมาะสมต่อไป

Beethoven’s Ode to Joy “ปีติศังสกานท์” เพลงอมตะแห่งสหภาพยุโรป (Anthem of Europe) จากกวีที่หูหนวก...

ภาพถ่ายต้นฉบับของ บทกวี An die Freude (Ode to Joy) ซึ่งประพันธ์โดย Johann Christoph Friedrich (von) Schiller กวีเอกชาวเยอรมัน

Ode to Joy หรือ ปีติศังสกานท์ เป็นคำทั่วไปที่ใช้เรียกเพลงท่อนที่สี่และเป็นท่อนสุดท้ายของ Symphony No. 9 (ซิมโฟนีหมายเลข 9) ของ Ludwig van Beethoven นักประพันธ์เพลงชื่อดังชาวเยอรมัน สำหรับการขับร้อง เพลงนี้ใช้ข้อความจากบทกวี An die Freude (Ode to Joy) ซึ่งประพันธ์โดย Johann Christoph Friedrich (von) Schiller กวีเอกชาวเยอรมันเช่นกัน

Ode หรือ ศังสกานท์ เป็นศัพท์บัญญัติที่คณะอนุกรรมการบัญญัติศัพท์วรรณกรรมบัญญัติขึ้น จากคำ ode ซึ่งหมายถึง บทร้อยกรองประเภทหนึ่ง ที่ประพันธ์ขึ้นเป็นอนุสรณ์ หรือเพื่อสรรเสริญ สดุดี บุคคล สัตว์ สิ่งของ เหตุการณ์ ตลอดจนสิ่งที่เป็นนามธรรม อย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วนใหญ่มีความยาวพอสมควร และมีลักษณะสำคัญคือ เป็นบทร้อยกรองที่มีรูปแบบประณีต ซับซ้อน ใช้ภาษาและถ้อยคำที่สูงส่ง สง่างาม มีท่วงทำนองการเขียนเป็นแบบพิธีการ แสดงอารมณ์และความคิดที่สูงส่ง 

คำว่า “ศังสกานท์” เป็นการบัญญัติศัพท์ด้วยวิธีสร้างคำขึ้นใหม่ โดยนำคำภาษาสันสกฤต “ศงฺส”  ซึ่งแปลว่า สรรเสริญ มารวมกับคำ “กานท์” ซึ่งแปลว่าบทกลอน ศังสกานท์ จึงมีความหมายว่า บทกลอนเพื่อสรรเสริญ อย่างไรก็ดี ศัพท์นี้คณะอนุกรรมการบัญญัติศัพท์วรรณกรรมได้คิดขึ้นเพื่อเสนอให้ทดลองใช้กัน ยังไม่ได้ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการบัญญัติศัพท์ภาษาไทย
(ที่มา : จดหมายข่าวราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ 1 ฉบับที่ 11 พฤศจิกายน 2532)

Ludwig van Beethoven ผู้ประพันธ์เพลง Ode to Joy

Ludwig van Beethoven (17 ธันวาคม พ.ศ. 2313 (ค.ศ. 1770) - 26 มีนาคม พ.ศ. 2370 (ค.ศ. 1827)) เป็นนักประพันธ์เพลงและนักเปียโนชาวเยอรมัน Beethoven ยังคงเป็นหนึ่งในนักประพันธ์เพลงที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันตก ผลงานของเขาติดอันดับหนึ่งในละครเพลงคลาสสิกที่มีการแสดงมากที่สุด และขยายช่วงการเปลี่ยนผ่านจากยุคคลาสสิกไปสู่ยุคโรแมนติกในดนตรีคลาสสิก ตามอัตภาพอาชีพของเขาแบ่งออกเป็นช่วงต้น ช่วงกลาง และช่วงปลาย ยุคแรก ๆ ซึ่งเขาเริ่มนำเสนอผลงานนั้น เริ่มจาก พ.ศ. 2345 (ค.ศ. 1802) ถึงราวปี พ.ศ. 2355 (ค.ศ. 1812) ยุค "กลาง" ของเขาแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการส่วนบุคคลจากรูปแบบ "คลาสสิก (Classical)" ตามแบบของ Joseph Haydn และ Wolfgang Amadeus Mozart และบางครั้งก็มีลักษณะของความ "เก่งกล้า (Heroic)" ในช่วงเวลานี้เขาเริ่มมีอาการหูหนวกมากขึ้น ในช่วง "ปลาย" ของเขาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2355 จนกระทั่งถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2370 เขาได้ขยายนวัตกรรมทางดนตรีของเขาทั้งรูปแบบและการแสดงทางดนตรี

Beethoven ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2370 อายุ 56 ปี

https://www.youtube.com/watch?v=erWU0NHm1Xg

Johann Christoph Friedrich (von) Schiller ผู้ประพันธ์บทกวี An die Freude (Ode to Joy)

Johann Christoph Friedrich (von) Schiller (10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2302 (ค.ศ. 1759) - 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2348 (ค.ศ. 1805)) เป็นนักเขียนบทละคร กวี และปราชญ์ชาวเยอรมัน โดย 17 ปีสุดท้ายของชีวิต Schiller ได้พัฒนามิตรภาพที่มีประสิทธิผลหากค่อนข้างซับซ้อนกับ Johann Wolfgang von Goethe (นักเขียนนิยาย นักเขียนบทละคร นักสิทธิมนุษยชน นักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา และนัการเมืองชาวเยอรมัน) นำไปสู่ช่วงเวลาที่เรียกว่า Weimar Classicism อันเป็นขบวนการวรรณกรรมและวัฒนธรรมของเยอรมัน ซึ่งสังเคราะห์แนวคิดมนุษยนิยมใหม่จากแนวจินตนิยม ลัทธิคลาสสิค และยุคแห่งการรู้แจ้ง สันนิษฐานว่าเป็นการตั้งชื่อตามเมือง Weimar ประเทศเยอรมนี ด้วยนักเขียนชั้นนำของ Weimar Classicism ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ที่นั่น Schiller  และ Goethe ยังทำประพันธ์ผลงานร่วมกันใน Xenien ซึ่งเป็นชุดของบทกวีเสียดสีสั้น ๆ ที่ทั้ง Schiller และ Goethe ต่างท้าทายวิสัยทัศน์เชิงปรัชญาของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย

อนุสาวรีย์ของ Goethe (ซ้าย) และ Schiller (ขวา) สองเสาหลักแห่งวรรณคดีเยอรมัน

Ode to Joy ตัดตอนจาก ซิมโฟนีหมายเลข 9 ของ Beethoven ซึ่งกล่าวว่า เขาได้รับแรงบันดาลใจในการประพันธ์ซิมโฟนีนี้จากบทกวี  An die Freude (Ode to Joy) ของ Johann Christoph Friedrich (von) Schiller ความพิเศษของ ซิมโฟนีหมายเลข 9 ในช่วงเกิดขึ้นมีหลายเรื่อง ด้วยเป็นผลงานการประพันธ์ซิมโฟนีชิ้นสุดท้ายของ Beethoven การสร้างความประทับใจอย่างมากมายในขณะออกแสดงครั้งแรก ณ กรุงเวียนนาในปี พ.ศ. 2377 (ค.ศ. 1824) ซึ่งขณะนั้น Beethoven ได้สูญเสียการได้ยินไปแล้ว และอีกหนึ่งความพิเศษคือในท่อนที่ 4 ซึ่งเป็นท่อนสุดท้ายของซิมโฟนี Beethoven ได้นำบทกวี  An die Freude มาให้นักร้องขับร้อง โดยให้เสียงร้องมีความสำคัญเท่าเครื่องดนตรีในวง หลังออกแสดงครั้งแรก เพลงนี้ยิ่งมีความหมายต่อทั้งโลกอย่างมากมายจนทุกวันนี้

Ode to Joy ถูกนำมาใช้เป็น "เพลงชาติของยุโรป (Anthem of Europe)" เป็นเพลงชาติที่ใช้โดยสององค์กร ได้แก่ สภายุโรปในปี พ.ศ. 2515 และต่อมาโดยสหภาพยุโรป (EU) ในปีพ.ศ. 2514 รัฐสภาแห่งสภายุโรปได้ตัดสินใจเสนอให้นำบทเพลง "Ode to Joy" จากเพลงซิมโฟนีหมายเลข 9 ของ Beethoven มาใช้เป็นเพลงประจำสภายุโรปในฐานะตัวแทนของยุโรปทั้งหมด โดยนำข้อเสนอแนะของ Richard von Coudenhove-Kalerg นักการเมืองชาวออสเตรียในปี พ.ศ. 2498 โดยทั่วไปแล้วเพลงของ Beethoven ถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับเพลงประจำชาติยุโรป คณะกรรมการรัฐมนตรีของสภายุโรปได้ประกาศเพลงประจำชาติยุโรปอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2515 ณ เมืองสตราสบูร์ก : ท่อนโหมโรงของ "Ode to Joy" อันเป็นท่อนที่ 4 ของซิมโฟนีหมายเลข 9 ของ Ludwig van Beethoven ผู้ควบคุมวง Herbert von Karajan ถูกขอให้เรียบเรียงเพื่อการบรรเลงเครื่องดนตรีสามชุด สำหรับการแสดงเดี่ยวเปียโน, สำหรับเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่า และสำหรับวงดุริยางค์ซิมโฟนี และเขาได้ดำเนินการการแสดงเพื่อใช้ในการบันทึกเสียงอย่างเป็นทางการ 

Herbert von Karajan

Ode to Joy ในฐานะเพลงประจำชาติยุโรปได้รับการเปิดตัวในวันยุโรปในปี พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) ในปี พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1985) ผู้นำรัฐและรัฐบาลของสหภาพยุโรปได้ใช้เพลงนี้เป็นเพลงชาติอย่างเป็นทางการของประชาคมยุโรปในขณะนั้น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) สหภาพยุโรป ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายให้ Ode to Joy แทนที่เพลงชาติของประเทศสมาชิก แต่ใช้เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองค่านิยมที่ชาวยุโรปทั้งหมดมีร่วมกัน ตลอดจนความสามัคคีในความหลากหลาย เป็นการแสดงออกถึงอุดมคติของยุโรปที่รวมกันเป็นหนึ่ง เสรีภาพ สันติภาพ และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และจะต้องรวมอยู่ในรัฐธรรมนูญยุโรปพร้อมกับสัญลักษณ์อื่น ๆ ของยุโรป

อย่างไรก็ตาม สนธิสัญญาที่ล้มเหลวในการให้สัตยาบัน และถูกแทนที่ด้วยสนธิสัญญา Lisbon ซึ่งไม่ปรากฏสัญลักษณ์ใด ๆ ต่อมาจึงมีการประกาศญลักษณ์แนบมากับสนธิสัญญา ซึ่งประเทศสมาชิกสิบหกประเทศได้รับรองสัญลักษณ์ที่เสนออย่างเป็นทางการ รัฐสภายุโรปจึงตัดสินใจว่าจะใช้เพลงเพลงประจำชาติยุโรปให้มากขึ้น เช่น ในโอกาสที่เป็นทางการ ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2551 รัฐสภาได้เปลี่ยนกฎขั้นตอนเพื่อให้เล่นเพลงประจำชาติยุโรปในพิธีเปิดรัฐสภาหลังการเลือกตั้ง และในการประชุมอย่างเป็นทางการ

https://www.youtube.com/watch?v=Jo_-KoBiBG0

"Ode to Joy" เป็นเพลงประจำสภายุโรป (CoE) และสหภาพยุโรป (EU) ในบริบทของ CoE เพลงนี้ถูกใช้เพื่อเป็นตัวแทนของยุโรปทั้งหมด ในบริบทของสหภาพยุโรป เพลงนี้ใช้เพื่อเป็นตัวแทนของสหภาพและประชาชน ใช้ในโอกาสต่าง ๆ เช่น วันยุโรป และกิจกรรมที่เป็นทางการ เช่น การลงนามในสนธิสัญญา รัฐสภายุโรปพยายามที่จะใช้ประโยชน์จากดนตรีให้มากขึ้น Hans-Gert Pöttering ประธานแห่งรัฐสภายุโรปในขณะนั้นกล่าวว่า เขารู้สึกซาบซึ้งใจเมื่อได้ยินเพลง "Ode to Joy" อันเป็นเพลงประจำรัฐสภายุโรป ในระหว่างการเยือนอิสราเอล และเห็นว่า ควรจะใช้ในยุโรปให้บ่อยขึ้น

Ode to Joy ได้รับการบันทึกเป็นพิเศษโดย Berlin Radio Symphony Orchestra ใน Version ที่มีลักษณะ "สุภาพ เรียบร้อย และเข้มแข็ง"

Deutschlandfunk สถานีวิทยุสาธารณะของเยอรมนี ได้ออกอากาศเพลงประจำชาติยุโรปร่วมกับ Deutschlandlied เพลงชาติของเยอรมนี ก่อนเที่ยงคืนตั้งแต่วันส่งท้ายปีเก่า พ.ศ. 2549 ทั้งสองเพลงได้รับการบันทึกเป็นพิเศษโดย Berlin Radio Symphony Orchestra ใน Version ที่มีลักษณะ "สุภาพ เรียบร้อย และเข้มแข็ง" ในพิธีลงนามสนธิสัญญา Lisbon พ.ศ. 2550 ผู้มีอำนาจเต็มของประเทศสมาชิก 27 ประเทศของสหภาพยุโรปได้เข้าร่วม ในขณะที่มีการบรรเลงเพลง "Ode to Joy" และคณะนักร้องประสานเสียงของเด็ก ๆ ชาวโปรตุเกส 26 คนร้องเพลงต้นฉบับด้วยภาษาเยอรมัน

สาธารณรัฐโคโซโวได้ใช้ "Ode to Joy" เป็นเพลงชาติจนกระทั่งมีเพลง “Europe” เป็นเพลงชาติของตัวเอง

ในปี พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008) สาธารณรัฐโคโซโวได้ใช้ "Ode to Joy" เป็นเพลงชาติจนกระทั่งมีเพลง “Europe” เป็นเพลงชาติของตัวเอง และเล่นเพลงนี้เมื่อมีการประกาศเอกราช เพื่อเป็นการแสดงถึงบทบาทของสหภาพยุโรปในการที่โคโซโวได้รับเอกราชจากเซอร์เบีย "Ode to Joy" ที่เรียบเรียงในเจ็ดรูปแบบที่แตกต่างกัน ถูกนำมาใช้ในวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) ระหว่างพิธีเฉลิมฉลองผู้เป็นสมาชิกสภาวิจัยแห่งยุโรป (European Research Council : ERC) คนที่ 5,000 เพื่อแสดงถึงความสำเร็จของการวิจัยของยุโรป "Ode to Joy" ถูกใช้เป็นเพลงประจำกอบการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปปี พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) และการแข่งขันฟุตบอลฟุตบอลโลก พ.ศ. 2561 (ค.ศ. 2018) รอบคัดเลือกของยุโรปเมื่อเริ่มต้นของทุกนัดการแข่งขัน ในปี พ.ศ. 2560 สมาชิกรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรจากพรรคแห่งชาติสก็อตแลนด์ได้ผิวปากก่อน แล้วร้องเพลง "Ode to Joy" ระหว่างการลงคะแนนที่รัฐสภาเพื่อประท้วง Brexit ในปี พ.ศ. 2561 (ค.ศ. 2018) เพลงชาติญี่ปุ่นและ "Ode to Joy" เพลงประจำชาติแห่งสหภาพยุโรป ได้ถูกบรรเลงระหว่างการลงนามอย่างเป็นทางการของข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจสหภาพยุโรป-ญี่ปุ่น ณ กรุงโตเกียว "Ode to Joy" เพลงประจำชาติยุโรปมักจะถูกนำมาบรรเลงเมื่อมีการลงนามในข้อตกลงทางเศรษฐกิจหรือการเมืองอย่างเป็นทางการระหว่างสหภาพยุโรปกับรัฐบาลต่างประเทศ 

https://www.youtube.com/watch?v=E9dLGDCdg3g

"Rise, O Voices of Rhodesia" เพลงชาติของอดีตสาธารณรัฐโรดีเซีย และอดีตสาธารณรัฐซิมบับเวโรดีเซีย (สาธารณรัฐซิมบับเวในปัจจุบัน) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) ถึง พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) ก็ใช้ทำนองเพลง "Ode to Joy" ด้วย 

"Rise, O Voices of Rhodesia" เพลงชาติของอดีตสาธารณรัฐโรดีเซีย (สาธารณรัฐซิมบับเวในปัจจุบัน) ก็ใช้ทำนองเพลง "Ode to Joy" ด้วย

https://www.youtube.com/watch?v=fd9ndlieJxg


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“ถุงยางอนามัย” เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยคุมกำเนิดและป้องกันโรคที่เกิดจากเพศสัมพันธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการใช้ถุงยางอนามัยมาตั้งแต่สมัยอดีตกาล และประเทศไทยยังเป็นประเทศที่ผลิตถุงยางมากที่สุดในโลกอีกด้วย!

สวัสดีค่ะ…กลับมาเจอกับป้าหมึกคนสวยแสนซนกันอีกแล้วนะคะ วันนี้สิ่งที่ป้าอยากจะมาเล่าอาจจะดูเป็นเรื่อง 18+ นิดนึง แต่ป้าเล่าทั้งทีก็ต้องมีสาระอยู่แล้วค่ะ ซึ่งในวันนี้เรื่องที่ป้าอยากมาเล่านั้นก็คือ…“ถุงยางอนามัย” นั่นเอง

อันที่จริง ในสมัยก่อนจะมีประโยคเด็ดคือ “ยืดอกพกถุง” ที่เชิญชวนให้ผู้ชายแท้ รวมไปถึงเหล่าชายรักชายเนี่ยได้พกถุงยางกัน ไม่ใช่ถุงกับข้าวนะคะ ถุงยางอนามัยนี้แหละ ป้าได้ลองไปสืบค้นถึงประวัติของถุงยางอนามัยมา มีความน่าสนใจมาก ๆ เลยล่ะค่ะคุณ ถ้าพร้อมแล้ว มา ป้าจะเล่าให้ฟัง 

ถุงยางอนามัย หรือ Condom จะทำจากวัสดุยางพารา หรือโพลียูรีเทน โดยถุงยางอนามัยนั้นผลิตขึ้นเพื่อให้ผู้ชายใช้สวมครอบอวัยวะเพศของตนเอง เพื่อช่วยป้องกันการตั้งครรภ์และช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิส หนองใน และเอดส์ได้

เครดิตภาพ : https://www.tcijthai.com/news/2014/08/archived/5164

โดยสมัยก่อนได้มีการบันทึกว่า ในสมัยของกษัตริย์ฟาโรห์แห่งประเทศอียิปต์โบราณเมื่อกว่าห้าพันปีมาแล้ว มีการนำลำไส้ใหญ่ของแกะ มาทำเป็นอวัยวะเพศชายขณะร่วมเพศ เพื่อป้องกันการคุมกำเนิด ไม่ให้มีทายาท

และในปี ค.ศ. 1564 สมัยก่อนมีการใช้ปลอกผ้าลินินสวมอวัยวะเพศชายเพื่อป้องกันโรคซิฟิลิสที่ระบาดอย่างหนักจากการมีเพศสัมพันธ์ และเมื่อย้อนกลับไปที่ประเทศอิตาลีในปี ค.ศ. 1707 นายแพทย์ชาวอังกฤษ ชื่อ Dr. Condom ได้คิดประดิษฐ์ปลอกสวมบนอวัยวะเพศชายเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Venereal diseases) ภายหลังจึงได้มีการพัฒนานำเอาลำไส้แกะและยางธรรมชาติมาใช้ในการผลิตถุงยางอนามัย จึงได้มีการตั้งชื่อถุงยางอนามัยดังกล่าวว่า Condom ตามชื่อนายแพทย์ชาวอังกฤษผู้คิดค้นอีกด้วยค่ะ

หลังจากนั้นก็ได้มีการพัฒนาเจ้าตัวถุงยางอนามัยให้มีรูปแบบที่หลากหลาย และ มีเนื้อสัมผัสที่แตกต่าง กลิ่น รวมไปถึง มีขนาดที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นอีกด้วยล่ะค่ะ โดยในประเทศไทยนั้นที่วางขายตามท้องตลาด ก็จะมีไซส์ขนาด 49 , 52 และ 54 ค่ะ 

ป้าเชื่อว่าผู้ชายหลาย ๆ คนอาจจะงงและสับสนว่าตัวเองมีขนาดเท่าไร ป้ามีวิธีวัดมาฝากกันค่ะ เผื่อเวลาเราจะต้องซื้อและใช้งานจริง จะได้มั่นใจ ไม่คับและไม่หลวมไปนะคะ 

ก่อนอื่นเลยให้เรานำสายวัดตัวมาก่อนนะคะ หลังจากนั้นทำอวัยวะเพศให้แข็งตัวแล้วนำสายวัดมาวัดรอบ โดยใช้หน่วยเป็นเซนติเมตรหรือนิ้ว ก็ได้ค่ะ วัดโดยการพันรอบไปที่อวัยวะเพศของเรานะคะ หลังจากนั้นให้กะขนาดตามไซส์ของถุงยางตามนี้เลยค่ะ  

เครดิตภาพ : http://mythailandguide.com/วัดขนาดอวัยวะเพศชาย

49 มม. สำหรับรอบวง 11-12 ซม. หรือใหญ่ประมาณ 4.5 นิ้ว 
52 มม. สำหรับรอบวง 12-13 ซม. หรือใหญ่ประมาณ 5 นิ้ว 
54 มม. สำหรับรอบวง 13-14 ซม. หรือใหญ่ประมาณ 5.5 นิ้ว 
56 มม. สำหรับรอบวง 14-15 ซม. หรือใหญ่ประมาณ 6 นิ้ว ขึ้นไป

พอเราทราบถึงขนาดของถุงยางอนามัยแล้ว ป้าก็จะมาสอนวิธีการใส่กันค่ะ ซึ่งการใส่ถุงยางอนามัยมีขั้นตอนที่ไม่ยากค่ะ ลองฝึกกันดูตามนี้นะคะ

เครดิตภาพ : https://www.dsc-clinic.sg/Patient-Care/Prevention%20and%20Education/Prevention/Pages/Condoms--Lubricants.aspx

ขั้นตอนที่ 1 เตรียมถุงยางอนามัยขึ้นมาให้พอดีกับไซส์ของเรา
ขั้นตอนที่ 2 ฉีกซองถุงยางอนามัย 
ขั้นตอนที่ 3 ครอบถุงยางอนามัยไปที่อวัยวะเพศ 
ขั้นตอนที่ 4 จับส่วนบนที่เป็นจุกไล่ลมออกแล้วค่อย ๆ ครอบไปที่อวัยวะเพศจนสุด 

เมื่อเสร็จภารกิจแล้วให้ห่อทิชชู่แล้วทิ้งถังขยะนะคะ ไม่ควรทิ้งลงโถส้วมเพราะอาจทำให้เกิดการอุดตันได้ค่ะ ขั้นตอนไม่ยากและสามารถทำได้ง่าย ๆ ค่ะ แต่ป้าก็มีคำเตือนเกี่ยวกับการใช้ถุงยางอนามัยนะคะ อย่างเช่น

- ไม่ควรสวมถุงยางอนามัยซ้อนกัน 2 ชั้น เพราะจะทำให้เกิดการเสียดสีของผิวสัมผัสและจะทำให้เกิดการขาดได้ง่ายค่ะ 
- ควรเลือกถุงยางอนามัยที่มีขนาดไซส์พอดี เพราะถ้าเราเลือกไซส์เล็กไปก็จะทำให้ขาดง่าย ไซส์ใหญ่ไปก็จะหลวมทำให้หลุดได้ง่ายค่ะ 
- และที่สำคัญอันนี้ป้าอยากจะเตือนจริง ๆ นะคะ ควรพกถุงยางอนามัยเป็นของตัวเอง ไม่ควรรับจากคู่นอนนะคะ เพื่อป้องกันโรคที่เกิดจากเพศสัมพันธ์ค่ะ 

นอกจากถุงยางอนามัยจะช่วยในเรื่องของการคุมกำเนิดแล้ว ยังสามารถช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อีกด้วย เช่น ป้องกันโรคเอดส์ ไวรัสตับอักเสบบี หูดหงอนไก่ หนองในเทียม หนองในแท้ พยาธิในช่องคลอด ซิฟิลิส โรคเริม แผลริมอ่อน 

และป้าก็มีเกร็ดความรู้เล็ก ๆ มาฝากด้วยค่ะ นั้นก็คือ ประเทศไทยของเราผลิตและส่งออกถุงยางอนามัยมากที่สุดของโลก และประเทศไทยของเรามีพิพิธภัณฑ์ถุงยางอนามัยด้วยค่ะ ! ตั้งอยู่ที่ สำนักรังสีและเครื่องมือแพทย์ (อาคาร 9 ชั้น 8) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ถ้าใครสนใจก็สามารถไปเยี่ยมชมได้นะคะ 

เครดิตภาพ : https://db.sac.or.th/museum/museum-detail/217

ก็หวังว่าสิ่งที่ป้าเล่าจะช่วยให้ประโยชน์แก่พ่อหนุ่มหลาย ๆ คนที่ยังลังเลหรือไม่กล้า กลัวที่จะพกถุงยางอนามัย หรือ ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะต้องใช้ไซส์อะไร เชื่อป้าเถอะค่ะ พกไว้อุ่นใจแน่นอนค่ะ แล้วก็มาพบกันใหม่ในครั้งหน้า วันนี้ป้าก็ขอให้ Have a good day นะคะ :)

เขียนโดย: ป้าหมึกอยากเล่า หญิงใหญ่แห่งท้องทะเล ผู้สรรหาความรู้ในเรื่องที่อยากเล่า


แหล่งที่มา 
https://www.rama.mahidol.ac.th/atrama/issue017/varieties-corner http://www.satit.up.ac.th/BBC07/AroundTheWorld/other/6.htm 
https://www.playcondom.com/condom-select/

แม่ฮ่องสอน - ผบ.ร.7 พัน.5 ช่วยเกษตรกรช่วงโควิดระบาด รับซื้อข้าวโพดหวาน แจกจ่ายกำลังพลและครอบครัว สร้างความสุขใจ- อิ่มท้อง

วันที่ 6 ส.ค.64 เวลา 09.00 น. พ.อ.สันติพงษ์ ชิงดวง ผบ.ร.7 พัน.5 ได้สั่งการให้ฝ่ายกิจการพลเรือน ดำเนินการรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรเป็นข้าวโพดหวานพันธุ์ชูก้า จำนวน 100 กิโลกรัม เพื่อช่วยเหลือเกษตกร บ้านทุ่งโป่ง ต.ทุ่งยาว อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเชื้อไวรัส (โควิด-19) โดยรับซื้อในราคาตลาด ซึ่งผลผลิตดังกล่าวที่รับซื้อทั้งหมดจะได้นำไปมอบให้แก่กำลังพลและครอบครัวไว้รับประทาน สร้างความสุขใจอิ่มท้อง และมีโภชนาการ รวมถึงเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจต่อไป

พ.อ.สันติพงษ์ ชิงดวง กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเชื้อไวรัส (โควิด-19) ยังคงเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกษตรกรในพื้นที่ได้รับผลกระทบและความเดือดร้อนเป็นวงกว้าง  พืชผลทางการเกษตรราคาตกต่ำ ไม่สามารถนำออกสู่ตลาดเพื่อจำหน่ายได้ ถึงแม้ผลผลิตจะมีจำนวนเพิ่มขึ้น แต่ไม่สามารถระบายผลผลิตออกได้ทัน เนื่องจากการประกาศยกระดับมาตรการป้องกันโควิด-19 ห้ามการเดินทางข้ามพื้นที่ตอนกลางคืนซึ่งมีผลกระทบต่อการขนส่งสินค้า ดังนั้นเพื่อเป็นการช่วยเหลือแบ่งเบาปัญหาดังกล่าว ทางกองพันทหารราบที่ 5 กรมทหารราบที่ 7 จึงได้สั่งการให้กำลังพลได้ช่วยเหลือประชาชนโดยการรับซื้อผลผลิตเกษตรจากเกษตรกรผู้ปลูกถึงที่ โดยรับซื้อตามราคาตลาด และยินดีรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรตามศักยภาพของหน่วย โดยการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนไปอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลง และขอเป็นกำลังใจให้ก้าวข้ามผ่านวิกฤตโควิดนี้อย่างปลอดภัย

นครนายก – “อนุทิน” ลงพื้นที่มอบวัคซีนและอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับอสม. พร้อมเยี่ยมเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานหน้างานเพื่อเป็นขวัญกำลังในในพื้นที่โรงพยาบาล และโรงพยาบาลสนาม

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่มอบวัคซีนและอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับอสม.ในพื้นที่จังหวัดนครนายก พร้อมเยี่ยมเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานหน้างานเพื่อเป็นขวัญกำลังในในพื้นที่โรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนาม ที่ห้องโถง โรงพยาบาลนครนายก นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะผู้ติดตามได้เดินทางไปมอบวัคซีน ให้กับอสม.ในพื้นที่จังหวัดนครนายก และตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานหน้างานในจุดตรวจต่าง ๆ ภายในโรงพยาบาลนครนายก

โดยมีนายอำพล อังคภากรณ์กุล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายกรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครนายก พร้อมทีมงานคณะแพทย์ ส.ส. นายกอบจ.นายกเทศมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ จากนั้นได้เดินทางไปตรวจพื้นที่โรงพยาบาลสนาม วังยาวริเวอร์ไซค์ ตำบลสาริกา อำเภอเมืองนครนายก เพื่อเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายได้ร่วมพลังในการให้บริการประชาชนอย่างดีที่สุด สำหรับจังหวัดนครนายกซึ่งเป็นพื้นที่สีแดงเข้ม มีอำเภอที่มีผู้ป่วยสูงสุดได้แก่อำเภอองครักษ์ 1,235 ราย รองลงมาอำเภอบ้านนา 926 ราย อำเภอเมืองนครนายก 874 ราย และอำเภอปากพลี 105 รายนอกนั้นเป็นผู้ติดเชื้อที่มีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด 428 ราย จำนวนผู้ป่วยทั้งสิ้น 3,568 ราย รักษาหายกลับบ้านได้แล้ว1,483 รายยังรักษาอยู่ 2,047 ราย เสียชีวิต 38 รายมีสถานกักกันของทางราชการ 6 แห่ง โรงพยาบาลสนาม 11 แห่ง 4 อำเภอ จัดตั้งศูนย์พักคอย จำนวน 35 แห่ง


ภาพ/ข่าว  สมบัติ เนินใหม่ / รัชชานนท์ เนินใหม่ / ผู้สื่อข่าวจังหวัดนครนายก

กรุงเทพฯ - สภากาชาดไทยผนึกกำลัง - รัฐ - เอกชน ให้ความช่วยเหลือผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่บ้าน (Home Isolation)

จากสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครมีผู้ติดเชื้อรายใหม่จำนวนมาก ทำให้การบริการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลไม่เพียงพอต่อการดูแล สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จึงได้เปิดระบบดูแลผู้ป่วยโควิดกลุ่มสีเขียวที่บ้าน (Home Isolation: HI) แต่เนื่องจากมีผู้ลงทะเบียนเป็นจำนวนมาก ทำให้พบว่ายังคงมีบางส่วนที่ลงทะเบียนแล้วแต่ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งผู้ป่วยบางส่วนที่รอการติดต่อเป็นระยะเวลานาน กลายเป็นผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดง และบางส่วนก็เสียชีวิตแล้ว

สภากาชาดไทย โดยสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ เล็งเห็นความสำคัญในส่วนนี้ จึงประสานความร่วมมือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด19 (ศบค.) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข สำนักอนามัย ศูนย์เอราวัณ แพทยสภา กรุงเทพมหานคร และทีมอาสาสมัครภาคเอกชน ผนึกกำลังร่วมดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่บ้าน (Home Isolation) หลังลงทะเบียนในระบบ Home Isolation ในกรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ และปทุมธานี และได้ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการ Home Isolation กับ สปสช.

ทั้งนี้ สปสช. สภากาชาดไทย ร่วมกับทีมงานจิตอาสา เช่น Let’s be heroes หมอริทช่วยโควิด Thai CoCare HICV และอาสาสมัครของสภากาชาดไทยเอง ได้รับผู้ป่วยมาอยู่ในการดูแลในเบื้องต้น จำนวน 3,163 ราย ซึ่งผู้ป่วยจำนวนดังกล่าว ได้ลงทะเบียนในระบบ Home Isolation แล้ว โดยมีสถานีกาชาดที่ 11 วิเศษนิยม กรุงเทพฯ เป็นผู้ประสานงานหลักกับ สปสช. ในการให้ความช่วยเหลือผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่บ้าน ซึ่งหลังจากผู้ป่วยผ่านการติดต่อประสานงาน ประเมินและคัดกรองอาการแล้ว ผู้ป่วยจะได้รับการประเมินอาการทางโทรศัพท์วันละ 2 ครั้ง (Telemedicine) อาหาร 3 มื้อ ปรอทวัดไข้แบบดิจิตอล เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว ยา Favipiravir ยาฟ้าทะลายโจร และยาพื้นฐานอื่น ๆ โดยด่วน

ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม – 5 สิงหาคม 2564 สำนักงานบรรเทาทุกข์ฯ สภากาชาดไทย ได้ให้ความช่วยเหลือผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่บ้าน (Home Isolation) ตามการประเมินและคัดกรองอาการของผู้ป่วยดังนี้

1. ลงทะเบียนผู้ป่วยและรับเข้าระบบรักษาพยาบาล จำนวน 3,163 ราย

2. ประเมินอาการทางโทรศัพท์วันละ 2 ครั้ง (Telemedicine) โดยทีมแพทย์ พยาบาลอาสาสมัคร จาก Let’s be heroes หมอริทช่วยโควิด Thai CoCare HICV และอาสาสมัครของสภากาชาดไทย จำนวน 2,778 ราย

3. ส่งชุดอาหารพร้อมรับประทาน จำนวน 1,600 ราย ถึงบ้านผู้ติดเชื้อโควิด-19 เบื้องต้นก่อนที่จะได้รับอาหารกล่อง

4. ส่งอาหารกล่อง 3 มื้อ  จำนวน 1,383 ราย ถึงบ้านผู้ติดเชื้อโควิด-19 ตลอดระยะเวลา Home Isolation

5. ส่งปรอทวัดไข้แบบดิจิตอล  จำนวน 1,012 ราย ถึงบ้านผู้ติดเชื้อโควิด-19

6. ส่งเครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว  จำนวน 868 ราย ถึงบ้านผู้ติดเชื้อโควิด-19

7. ส่งยา Favipiravir และยาอื่น ๆ จำนวน 1,400 ราย ถึงบ้านผู้ติดเชื้อโควิด-19

โดยมีอาสาสมัครจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกสภากาชาดไทย ได้ให้การสนับสนุนงานด้าน Telemedicine โทรศัพท์คัดกรองข้อมูลผู้ป่วย และจัดส่งอาหาร ยา เวชภัณฑ์ต่างๆ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการติอต่อ ดูแล และรักษาพยาบาลได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ปทุมธานี – ยอดทะลุ ‘บิ๊กแจ๊ส’ ปิดบัญชีรับบริจาคสร้างเตาเผาศพ หลังได้เงินกว่า 6 ล้านถวายหลวงพ่อชำนาญ

เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2564 เวลา 10:30 น. ที่วัดชินวรารามวรวิหาร ตำบลบางขะแยง อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ได้มอบเงินรับบริจาคสร้างเตาศพ จำนวน 3,000,000 บาท โดยมีประชาชนและชมรมต่าง ๆ เข้าร่วมถวายเงินและบริจาคเพิ่มเติมเข้ามาโดยมอบให้กับ พระมงคลวโรปการ (หลวงพ่อชำนาญ) ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เจ้าอาวาสวัดชินวรารามวรวิหาร เพื่อนำไปสร้างเตาศพไร้มลพิษ จำนวน 6 เตา ปัจจุบันวัดชินวรารามวรวิหาร ได้ดำเนินการสร้างเตาเผาศพเสร็จแล้วจำนวน 2 เตา ซึ่งมีเตาเผาเดิมที่ทางวัดใช้อยู่จำนวน 2 เตาเป็นเตาหลัก1 เตาสำรองอีก 1 เตา  และกำลังก่อสร้างอีกจำนวน 4 เตา หากสร้างเสร็จทางวัดจะมีเตาเผาศพจำนวน 9 เตา เพื่อรองรับจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดโควิด-19

ในส่วนของทาง อบจ.ปทุมธานีได้เปิดบัญชีให้ประชาชนร่วมบริจาคเงิน ได้กว่า 6,000,000 บาท และได้นำมามอบให้กับทางวัดเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2564 จำนวน 2,000,000 บาท โดยวันนี้ได้นำมอบเงินเพิ่มอีกจำนวน 3,000,000 บาท เมื่อครบจำนวนที่ทางวัดต้องการทาง อบจ.จึงได้ปิดบัญชีแล้ว หากประชาชนมีความประสงค์จะร่วมบริจาคค่าน้ำมันเผาศพ สามารถร่วมสมทบบุญที่ ชื่อบัญชี พระมงคลวโรปการ ธนาคารกรุงเทพ เลขที่บัญชี 9123002777

ด้าน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายก อบจ.ปทุมธานี กล่าวว่า ที่ได้ทำโครงการนี้ขึ้นมา เนื่องจาก หลวงพ่อชำนาญ เจ้าอาวาสวัดชินฯ ได้มีการเผาศพให้กับผู้ที่เสียชีวิตจากโควิดฟรี เมื่อมีผู้เสียชีวิตจากโควิดเกิดขึ้น ทางกู้ภัยจะมาเอาโลงศพที่วัดชินฯ เพื่อที่จะเอาไปใส่ศพมา เมื่อมาถึงวัดก็จะรีบเผาเลย ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2564 จนถึงวันนี้ทางวัดชินฯได้เผาศพไปแล้วจำนวน 131 ศพ ดังนั้นโครงการที่เกิดขึ้นมา กว่า 10 วันนี้ ได้มีผู้บริจาคเงินมาร่วมสมทบทุนสร้างเตาเผาศพเป็นเงินว่า 3,000,000 บาท วันนี้ อบจ.ได้เปิดบัญชีแล้ว เป็นการหมดภารกิจในส่วนนี้ไป จึงได้นำเงินทั้งหมดมาถวายท่าน เพื่อเป็นค่าเตาเผาศพจำนวน 3,000,000 บาท ซึ่งเราได้รับเงินที่บริจาคมาทั้งหมดเกือบ จำนวน 6,000,000 บาท ต้องขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ช่วยกันบริจาคเงินทำบุญในครั้งนี้ ซึ่งเงินที่เหลือจะเป็นยอดของกองทุนน้ำมันและค่าใช้จ่ายในการเผาศพต่อไป


ภาพ/ข่าว ประภาพรรณ ขาวขำ/รายงาน

อยู่บ้านนาน แต่ร่างห้ามพัง!! จัดท่านั่ง Work From Home อย่างไร? ไม่ให้เสียสุขภาพ

ด้วยสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทำให้หลายออฟฟิศปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน จากเดิมที่พนักงานทุกคนต้องนั่งทำงานในออฟฟิศ ก็เปลี่ยนมาเป็น Work From Home คือสามารถทำงานหรือประชุมผ่านโน้ตบุ๊กหรือคอมพิวเตอร์จากที่ใดก็ได้ ซึ่งภาวะเหล่านี้น่าจะส่งผลกระทบกับพวกเราทุกคนไปอีกนานจนกว่าการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 จะดีขึ้น

อย่างไรก็ตามการนั่งทำงานผ่านโน้ตบุ๊กหรือคอมพิวเตอร์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน การใช้งานกล้ามเนื้อซ้ำ ๆ รวมทั้งการจัดระเบียบร่างกายที่ไม่ถูกต้องย่อมทำให้เกิดการเมื่อยล้า และนำไปสู่อาการปวดเมื่อยได้ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า ไหล่ โดยอาการปวดเมื่อยดังกล่าวมีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่าการทำงานที่ออฟฟิศในสถานการณ์ปกติ ดังนั้นหากมีการจัดท่าทางที่เหมาะสมขณะใช้โน้ตบุ๊กหรือคอมพิวเตอร์ จะมีส่วนช่วยคลายความเจ็บปวดจากการ Work From Home ได้

สำรวจตัวเองกันหน่อย
คุณกำลังนั่งท่าแบบนี้หรือเปล่า ??

ท่านั่งที่ไม่เหมาะสม : ไหล่ห่อ หลังค่อม ศีรษะยื่นไปข้างหน้า เท้าลอยจากพื้น
ระดับความสูงของที่พักแขนไม่เท่ากับความสูงของโต๊ะ ส่งผลให้เกิดภาวะเกร็งของกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ 

การจัดระเบียบร่างกายที่เหมาะสมขณะนั่งทำงาน

ศีรษะ ตั้งตรง ไม่ก้มหรือเงยจนเกินไป ควรวางหน้าจอให้อยู่ในระดับสายตา ห่างออกไประมาณ 2.5 ฟุต 

คอ ตั้งตรงแล้ว ไม่เอียงคอหรือหันไปด้านใดด้านหนึ่ง

หลัง นั่งพิงพนักเก้าอี้ ไม่แอ่นหรืองอหลัง อาจมีหมอนใบเล็ก ๆ รองรับส่วนโค้งบริเวณหลังส่วนล่าง

แขนและข้อศอก แขนแนบชิดกับลำตัว วางแขนลงบนที่พักแขนให้แขนทำมุม 90 องศา ข้อศอกและข้อมือควรอยู่ในระนาบเดียวกัน 

ขา วางต้นขาแนบชิดไปกับที่นั่ง และปล่อยขาลงไปให้เท้าแนบพื้น 

เข่า งอเข่า 90 องศา  

เท้า วางเท้าบนพื้นให้เต็มฝ่าเท้า ถ้าหากเท้าไม่ถึงพื้นให้หาอะไรมารองหรือปรับระดับเก้าอี้ลง

มาดู 9 ข้อควรปฏิบัติง่าย ๆ ขณะนั่งทำงาน แล้วลองไปปรับใช้กันดูดีกว่า 

1.) นั่งทำงานในที่มีแสงสว่างเพียงพอ ไม่ควรให้แสงสะท้อนจากภายนอกสะท้อนเข้าตาโดยตรง ควรใช้แสงไฟแบบเดย์ไลท์หรือไฟสีขาว

2.) ปรับสภาพแวดล้อมโต๊ะทำงานให้คอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊กอยู่ทางด้านหน้าและปรับให้หน้าจออยู่ในระดับเดียวกับสายตา

3.) เลือกเก้าอี้ที่มีเบาะที่นั่งสามารถรองรับต้นขาได้พอดีและมีที่พักแขนอยู่ในระดับเดียวกับโต๊ะ

4.) ปรับระดับความสูงเก้าอี้ให้พอเหมาะ เมื่อนั่งแล้วเข่างอทำมุม 90 องศา เท้าวางบนพื้นได้เต็มฝ่าเท้า หากเท้าไม่ถึงพื้นสามารถหาที่พักเท้ามาวางได้

5.) ไม่วางเมาส์หรือคีย์บอร์ดไกลเกินไปเพราะทำให้ต้องเอื้อมแขนหรือก้มหลัง

6.) ขณะนั่งทำงานควรนั่งหลังชิดพนักพิงหรือพิงเอนหลังเล็กน้อย

7.) ควรเปลี่ยนอิริยาบถทุก 45-50 นาที 

8.) พักสายตาจากหน้าจอบ้าง การจ้องหน้าจอนาน ๆ ทำให้ตาแห้ง ลองกระพริบตาถี่ ๆ หรือมองออกไปในระยะไกล

9.) หมั่นยืดกล้ามเนื้อโดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า แขน ไหล่

.

เขียนโดย: กภ.คณิต คล้ายแจ้ง นักกายภาพบำบัด ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลศิริราช


ข้อมูลอ้างอิง
https://www.bangkokhospital.com/content/work-from-home-and-office-syndrome
https://www.ergonomicshelp.com/blog/working-from-home-ergonomics
https://www.bbc.com/worklife/article/20200508-how-to-work-from-home-comfortably-ergonomic-tips-covid-19


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top