Wednesday, 14 May 2025
SPECIAL

'นักเขียนซีไรต์' กร้าว!! เหตุผลที่ต้อง 'เป็นสลิ่ม​ต่อไป' เพราะนักการเมืองไร้สำนึก ปั่นคนเกลียดกันเพื่ออำนาจตน

(11 มิ.ย.65) วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซีไรต์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ว่าเป็นสลิ่ม​ต่อไป...

เหตุผลที่ผมเป็นสลิ่ม ก็เพราะผมต้องการให้  'ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้' และมีการปกครองด้วย 'ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข'

ส่วนเรื่องการเมือง ก็ว่าทีละเรื่อง​ ทีละคน​ ทีละพรรค​ไม่เป็นกองเชียร์นักการเมืองเฉพาะเรื่อง เฉพาะคน หรือเฉพาะพรรค​ เพราะการเมืองและนักการเมืองเป็นเรื่องอำนาจและผลประโยชน์ที่พวกเขาต้องมาก่อน!

ประชาชนมาก่อนตอนเลือกตั้งเท่านั้น!

ถ้าไม่มีพระมหากษัตริย์และสถาบันพระมหากษัตริย์​ ปล่อยให้นักการเมืองแย่งชิงกันเป็นประมุข​ แย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์กันเอง​ 'เพื่อประชาชน' บ้านเมืองหายนะแน่ๆ​ เพราะไม่มีใครเกรงใจใคร

ยามมีศึกสงครามก็จะเหมือนกับนักการเมืองในประเทศต่างๆ​ ส่วนมาก​ ที่ตัดสินใจตามใจตนเป็นหลัก​ ส่วนพลเมืองมีหน้าที่เป็นเหยื่อ

'นายกฯ' ปลื้ม!! 'ไทย-เยอรมนี' ร่วมมือพัฒนา EV ผลักดันไทยสู่ฐานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าแห่งเอเชีย

(11 มิ.ย.65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมความร่วมมือระหว่างไทย และเยอรมนี จัดแข่งขันความคิดสร้างสรรค์สำหรับการคมนาคมยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต 'EV Hackathon: Future EV Mobility Creative Contest for Sustainability #EV4Sustain' หัวข้อการแข่งขัน คือ ยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) มุ่งขับเคลื่อนพันธมิตรเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน (Partners for Sustainable Growth) ระหว่างเดือน มิ.ย.-ส.ค.นี้ เนื่องในวาระครบรอบ 160 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยและเยอรมนี ที่ร่วมกันผลักดันยานยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย เพื่อพัฒนาและต่อยอด นโยบายส่งเสริมการใช้รถ EV และนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green (BCG) Economy) ของรัฐบาล

นายธนกร กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากภาคีที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคเอกชน ในการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศที่มีหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยในทุกมิติ ทั้งการศึกษา สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม และสอดรับกับนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ด้วยการลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า ตามนโยบาย 30@30 ที่รัฐบาลมุ่งให้ความสำคัญ เนื่องจากเป็นนวัตกรรมที่มิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วยลดภาวะทางอากาศ โดยรัฐบาลตั้งเป้าผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) รถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์และพัฒนาประเทศไทยสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าโลกภายในปี ค.ศ. 2030

จิบชายามบ่าย ปัง ๆ สไตล์ผู้ดีอังกฤษ บนโรงแรมห้าดาวสุดหรูใจกลางกรุงเทพ

สายจิบชามาทางนี้! วันนี้บอสจะพาไปจิบชายามบ่ายแบบหรูหราปัง ๆ บนโรงแรมห้าดาวอย่าง Siam Kempinski Hotel Bangkok กับ Afternoon Tea ที่ หนุมานบาร์ (Hanumanbar) Afternoon Tea ที่ โรงแรมสยามเคมปินสกี้ เป็นอีกหนึ่งบาร์ชายามบ่ายที่กำลังมาแรงในช่วงนี้ บวกกับได้สัมผัสประสบการณ์การดื่มชาแบบผู้ดีอังกฤษทั้งทางด้านรสชาติ และบรรยากาศรอบๆที่สบาย ๆ บวกกับเสียงดนตรี รู้สึกเหมือนนั่งจิบชาอยู่ที่สวนดอกไม้ สำหรับใครที่เป็นสายชอบดื่มชากับทานขนม แนะนำที่นี่ให้เป็นหนึ่งในชุดน้ำชายามบ่าย และตอนนี้เป็นช่วง Special กับSummery Dream Afternoon Tea – Limited Edition Tea

เปิดทุกวัน : 2PM - 5AM (สำหรับ Summery Dream Afternoon Tea ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2565)
คะแนนสำหรับที่นี่
ราคา 8.5/10  
บรรยากาศ 9/10 
การบริการ 8.5/10

บรรยากาศที่นั่งหน้าบาร์ที่หันหน้าเข้าหาโถงของโรงแรม

หนุมานบาร์ (ขึ้นมาจากที่จอดรถจะอยู่ด้านซ้ายมือ)

โรงแรมตกแต่งด้วยดอกไม้โทนชมพู ม่วง

ตู้เค้กด้านหน้าบาร์ แต่ละอันน่ากินมาก เห็นแล้วอยากสั่งทุกอันเลย

ฟังดนตรีไป จิบชาไป

เมนูชา และ Afternoon tea ของเราวันนี้

เราสั่งชาเป็นอารมณ์ Mixed Fruit รสชาติหอมเบอร์รี่มาก

'เพื่อไทย' ชี้!! ปลุกหวยบนดิน อุดจุดอ่อนรัฐหาเงินไม่เป็น แนะ!! ยึดตามโมเดลทักษิณ คนไทยไม่เสียประโยชน์

ฟื้นหวยบนดิน ประชาชนต้องได้ประโยชน์ 'อรุณี' ชี้รัฐบาล 'ประยุทธ์' คิดฟื้นหวย 2 ตัว 3 ตัว เหตุอยากหารายได้เสริมเติมจุดอ่อนรัฐหาเงินไม่เป็น ย้ำทำตามไทยรักไทยไม่เสียหายถ้าคนไทยได้ประโยชน์ 

ดร.อรุณี กาสยานนท์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลออกมาโยนหินถามทาง เตรียมแก้กฎหมายเปิดช่องทางจำหน่ายสลากตัวเลข 3 หลัก หรือการฟื้นหวยบนดิน 2 ตัว 3 ตัวภายในปีนี้ว่า...

สิ่งที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความพยายามจะทำอีกครั้ง ต้องเป็นการกลับมาที่ดีกว่าเดิม ประชาชนต้องได้ประโยชน์จากการขายหวยบนดินครั้งนี้ เหมือนอย่างที่รัฐบาล ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยทำ  โครงการหวยบนดินในขณะนั้น สามารถขจัดอิทธิพลมืดและสร้างรายได้ให้กับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจำนวนมาก มีการแบ่งสัดส่วนรายได้จากการขายหวยบนดินกระจายไปยังภาคส่วนต่างๆ อย่างชัดเจน โดยสมทบเข้ากองทุนจ่ายเงินรางวัล  ค่าดำเนินการของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล  แบ่งไปยังการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ และมีการแบ่งสัดส่วนเข้าการกุศล ซึ่งคือการให้ทุนการศึกษานักเรียนต่างจังหวัดมีโอกาสไปศึกษาต่อในต่างประเทศ หรือที่เรียกว่าโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน (ODOS ) ซึ่งเป็นการนำเอา 'ความหวังของคนยากจน' มาสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับคนยากจน สร้างทุนมนุษย์ สร้างความเจริญให้กับบ้านเกิดและประเทศได้อย่างมหาศาล และยังมีการจัดสัปดาห์วิทยาศาสตร์ โครงการประกวดเรียงความ ฯลฯ  แต่ละเดือนยังมีเงินเหลืออย่างน้อย 700 ล้านบาท หรือปีละ 8,400-10,000 ล้านบาท จากเดิมอยู่ในมือของเจ้ามือหวยและส่งส่วยผู้มีอิทธิพล  

แต่สุดท้ายถูกระงับไป และยังถูกดำเนินคดีโดยคณะกรรมการอิสระที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารอย่างคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ก่อนส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ในปี 2549 รัฐบาลหลังจากการยึดอำนาจยังได้ดำเนินการขายหวยบนดินต่อ ทั้งที่การแก้ไข พ.ร.บ.สำนักงานสลากฯ ยังไม่แล้วเสร็จ และยังไม่มีการดำเนินคดีกับรัฐบาลในขณะนั้นเหมือนที่ดำเนินการเอาผิดกับรัฐบาล ดร.ทักษิณ แต่อย่างใด 

ดร.อรุณี กล่าวอีกว่า หากหวยบนดินของรัฐบาล ดร.ทักษิณ ยังอยู่ รายได้เข้ารัฐอาจมีมากกว่า 1 แสนล้านบาท เด็กไทยในต่างจังหวัดที่มีศักยภาพจะถูกมองเห็นและได้มีโอกาสไปเรียนต่อยังต่างประเทศอีกหลายร้อยคน ทั้งหมดคือโอกาสที่เสียไปของประเทศทั้งสิ้น 

ดร.อรุณี ได้ตั้งคำถามด้วยว่า อยากทราบว่าวัตถุประสงค์ของการฟื้นหวยบนดินนั้น เป็นเพราะรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ต้องการหารายได้เสริมเติมจุดอ่อนของตนที่ไม่มีความรู้ความสามารถที่จะสร้างงาน สร้างโอกาส หรือสร้างนโยบายใหม่ๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ หารายได้เข้าประเทศใช่หรือไม่  ต้องการหารายได้เพื่อใช้หนี้สาธารณะที่ตนเองได้ก่อขึ้นเกือบ 10 ล้านล้านบาท และเป็นหนี้ที่กู้มาแจกทั้งสิ้น ใช่หรือไม่ 

นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา เข้ารับปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการจัดการการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

เมื่อวันที่ 10  มิถุนายน ที่ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา เข้ารับปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการจัดการการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยมี ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรีเป็นประธานในพิธี การมอบใบปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการจัดการการท่องเที่ยว ซึ่งการเข้ารับปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ในครั้งนี้ ได้ผ่านการคัดเลือก และรับรองจากคณะกรรมการสภามหาวิทยา ลงมติเอกฉันท์ มอบเป็นเกียรติประวัติสืบไป

เนื่องจากสวนนงนุชพัทยา เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดครั้งนี้เช่นกัน ในระหว่างที่มีการล็อกดาวน์ ได้มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงสวนนงนุชพัทยาครั้งใหญ่ มีการปรับเปลี่ยน New Normal New Nongnooch Garden (นิว นอร์มอล นิว สวนนงนุช) เช่น เปิดโรงเลี้ยงสำหรับการเพาะชำต้นอ่อน  ประติมากรรมภาพวาดด้วยหิน สวนไดโนเสาร์ เป็นต้น

นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุช พัทยา  ได้หาแนวทางการจัดการดำเนินกิจกรรมมากมายเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภาคตะวันออก เช่น การจัดกิจกรรมภายใต้โครงการ “ไทยเที่ยวไทย”เพื่อส่งเสริมกระตุ้นการท่องเที่ยว ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ให้เจริญเติบโต มีการต้อนรับ คาราวานกลุ่มรถสปอร์ต Lotus Car ตัวจริงจากประเทศอังกฤษ จำนวน 25 คัน ถือเป็นรถสปอร์ตหรูแห่งยุค ที่ออกมาร่วมสร้างสีสัน กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว

'นพพล' พร้อมตัดงบเกษตร-มหาดไทย ชี้!! ไม่คุ้มกับภาระกิจดูแลประชาชน

'นพพล' พร้อมตัดงบเกษตร-มหาดไทย ชี้!! ไม่คุ้มกับภาระกิจดูแลประชาชน เผยเกษตรกรสุดทนชลประทานปล่อยน้ำเอาใจนักการเมืองมากกว่าปล่อยเกษตรกรขาดน้ำทำนา 

นายนพพล เหลืองทองนารา ส.ส.พิษณุโลก พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาพื้นที่พิษณุโลกพบปัญหา ภัยแล้งหนักมาก เพราะเกษตรกรหลายพื้นที่ขาดน้ำทำนา กรมชลประทานจะปล่อยน้ำเอาใจนักการเมืองใหญ่ในรัฐบาล  ไม่ปล่อยให้เกษตรกร กระทบการปลูกข้าวนาปี  ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเรื้อรังแก้ไม่จบ ส่งผลให้คนในพื้นที่ ชี้ว่าปัญหาน้ำ เกิดจากการเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่กรมชลประทาน ชาวบ้านเอือมระอากับการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ 

ที่ผ่านมาหาแนวทางในการแก้ปัญหาให้เกษตรกรในพื้นที่รวมทั้งการหารือกับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหาให้กับเกษตรกร สามารถแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง แต่เกรงว่าปัญหาจะวนกลับมาที่เดิม สร้างปัญหาให้เกษตรกรไม่รู้จบ 

นายนพพล กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้จากการที่ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการพิจารณางบประมาณประจำปี 2566 จะพุ่งเป้าในการพิจารณากระทรวงเกษตรและสหกรณ์รวมทั้งกระทรวงมหาดไทย เพราะกระทรวงทั้งสองกระทรวงทำงานไม่สมกับงบประมาณที่ได้รับจัดสรร ปล่อยปละละเลย ไม่แก้ปัญหาให้กับประชาชน

เปิดเที่ยวบินประวัติศาสตร์ พาเด็กไทยกลับไปศึกษาต่อจีน ภายใต้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนตลอดช่วง 2 ปี

นับเป็นอีกความสำเร็จของกลุ่มเด็กไทย ภายใต้การร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่ภาครัฐ, เอกชน, สมาคมนักเรียนไทย-จีน รวมถึงบรรดานักเรียนและผู้ปกครอง ที่รวมพลัง #พาเด็กไทยกลับจีน ตลอด 2 ปีหลังร่วมต่อสู้กันอย่างมีความหวัง เพื่อให้เด็กทุกคนได้กลับไปศึกษา ณ สาธารณรัฐประชาชนจีนอีกครั้ง

เพราะอย่างที่ทราบดีว่าปัจจุบันมีนักเรียนไทยที่กำลังศึกษาต่อที่ประเทศจีน ประสบปัญหายังกลับไปเรียนไม่ได้มีจำนวนมาก ซึ่งความยากลำบากที่นักเรียน/ นักศึกษากลุ่มนี้ต้องประสบ ก็มีตั้งแต่ ทุนรัฐบาลที่หลายคนกำลังจะถูกยกเลิกไป จนถึงถูกบังคับให้ลาออก, หลายคนต้องเสียค่าเช่าที่พักฟรีๆ เป็นปีเพราะขนของกลับไม่ได้, ค่าเทอมที่ต้องจ่ายเต็มแต่คุณภาพการเรียนออนไลน์ที่ไม่ช่วยอะไร, การฝึกงานหรือการทำตัวจบที่ค้างคาไปต่อไม่ได้ ฯลฯ ซึ่งถือว่าหนักหนามาก และกระทบต่อแผนการชีวิตและครอบครัว

นายสรวง สิทธิสมาน นายกสมาคมนักเรียนไทย-จีน ได้เปิดเผยพร้อมขอบคุณทุกการช่วยเหลือนี้ว่า ตามที่กลุ่มร้องขอเปิดวีซ่านักเรียน (จีน) ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการส่วนใหญ่ในนามสมาคมนักเรียนไทย-จีน ได้ขอความอนุเคราะห์ช่วยเหลือจากท่านในด้านต่างๆ เพื่อช่วยเหลือนักเรียน/นักศึกษาไทยให้สามารถกลับไปศึกษาต่อ ณ สาธารณรัฐประชาชนจีนมาตั้งแต่กลางปี 2563 นั้น

.
บัดนี้ด้วยความช่วยเหลือจากหลายฝ่าย ทำให้ความพยายามเรียกร้องเปิดวีซ่านักเรียนจีนของนักศึกษาไทยตลอด 2 ปี นั้นประสบความสำเร็จ จนเกิดเป็นเที่ยวบินแรกของนักศึกษาไทยในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2565 ที่ผ่านมา อันนำไปสู่การทยอยอนุมัติรายชื่อเดินทางกลับสาธารณรัฐประชาชนจีนของนักเรียน/นักศึกษาไทยในระยะยาว ซึ่งปัจจุบันเที่ยวบินที่สองกำลังดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนศกนี้ และเริ่มเข้าสู่การดำเนินการเที่ยวบินที่สามในลำดับถัดไป
.
ในนามของสมาคมนักเรียนไทย-จีน ร่วมกับกลุ่มร้องขอเปิดวีซ่านักเรียน (จีน) จึงขอขอบคุณท่านและผู้เกี่ยวข้องในหน่วยงานของท่านที่ให้ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือในด้านต่างๆ จนนำไปสู่ความสำเร็จในการเรียกร้องเปิดวีซ่านักเรียนจีนของนักศึกษาไทย ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา
.
สำหรับความสำเร็จดังกล่าวเกิดขึ้นผ่านความอนุเคราะห์จากบุคคล รวมถึงองค์กรอีกหลายภาคส่วน เพื่อผลักดันให้เกิดเที่ยวบินแรกของโลกและเที่ยวบินถัดๆ ไป ในการพานักเรียน/นักศึกษาไทยกลับไปยังประเทศจีน เพื่อทำการศึกษาต่อ ได้แก่...

จับตา!! ‘Doomsday Clock’ เมื่อนาฬิกาวันสิ้นโลก เดินมาถึงจุด ‘100 วินาที’ ก่อนเที่ยงคืนแล้ว!!

นาฬิกาเป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้วัดและกำหนดสิ่งต่างต่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาในยุคเริ่มแรกตั้งแต่ นาฬิกาแดด นาฬิกาทราย นาฬิกาไขลาน นาฬิกาออโตเมติก จนกระทั่งนาฬิกาไขดิจิตอล ไปจนถึงนาฬิกาชีวภาพในวิชาชีววิทยา ฯลฯ 

จากหลักการทำงานของนาฬิกาดังกล่าวข้างต้น ทำให้มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งรวมตัวกันเพื่อจัดทำนาฬิกาสำหรับทำหน้าที่พยากรณ์จุดจบของโลกขึ้นมา 

Doomsday Clock (นาฬิกาวันสิ้นโลก) จัดทำขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ (ค.ศ. 1947) โดยสมาชิกคณะกรรมการวิทยาศาสตร์และความมั่นคงในคณะผู้จัดทำหนังสือจดหมายเหตุของนักวิทยาศาสตร์ปรมาณู (Bulletin of the Atomic Scientists) ซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการด้านต่าง ๆ ที่เคยได้รับรางวัลโนเบล ๑๘ คนร่วมอยู่ด้วย 

Doomsday Clock ไม่ได้เป็นนาฬิกาที่เป็นตัวเรือน แต่เป็นเพียงแผ่นหน้าปัดนาฬิกาที่ถูกจัดทำขึ้น มีลักษณะเป็นเชิงสัญลักษณ์ โดยเปรียบการนับถอยหลังจากเกิดมหันตภัยต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น สงครามนิวเคลียร์ หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยิ่งนาฬิกาถูกปรับให้เข้าใกล้เที่ยงคืนมากเท่าใด บรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างก็เชื่อว่าโลกของเราก็ยิ่งเข้าใกล้การเกิดภัยพิบัติมากขึ้นเท่านั้น

ประวัติของ Doomsday Clock นาฬิกาที่แสนจะแปลกประหลาดและไม่เป็นมงคลเรือนนี้ เริ่มขึ้นภายหลังการสิ้นสุดของมหาสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัยนั้นประชาชนพลโลกทั่วไปยังไม่มีความรู้ถึงภัยร้ายแรงจากอาวุธนิวเคลียร์ รู้อย่างมากแค่ว่า อาวุธนิวเคลียร์เป็นอาวุธที่มีอานุภาพรุนแรงจนสามารถบีบให้ญี่ปุ่นยอมแพ้ฝ่ายสัมพันธมิตรได้สำเร็จ กลุ่มคนที่เล็งเห็นและตื่นตัวถึงภัยคุกคามนี้เป็นพวกแรก ๆ ก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่ก็คือ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มที่ประดิษฐ์ระเบิดปรมาณูขึ้นมานั่นเอง

Eugene Rabinowitch ผู้ร่วมกันก่อตั้ง Bulletin of the Atomic Scientists

จากความกังวลเรื่องนี้เองทำให้ Eugene Rabinowitch นักชีวะ-ฟิสิกส์ กับ Hyman Goldsmith นักฟิสิกส์ ชาวอเมริกัน จึงได้ร่วมกันก่อตั้งนิตยสารชื่อ Bulletin of the Atomic Scientists ขึ้นมา แปลเป็นภาษาไทยว่า จดหมายเหตุจากนักวิทยาศาสตร์ปรมาณู ซึ่งเริ่มตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๘๘ (ค.ศ. 1945) โดยมีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากมายในยุคนั้นให้การสนับสนุนมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Morton Grodzins, Hans Bethe, Anatoli Blagonravov, Max Born, Harrison Brown, Stuart Chase, Brock Chisholm, E.U. Condon, Albert Einstein, E.K. Fedorov, Bernard T. Feld, James Franck, Ralph E. Lapp, Richard S. Leghorn, J. Robert Oppenheimer, Lord Boyd Orr, Michael Polanyi, Louis Ridenour, Bertrand Russell, Nikolay Semyonov, Leó Szilárd, Edward Teller, A.V. Topchiev, Harold C. Urey, Paul Weiss, James L. Tuck ฯลฯ

Hyman Goldsmith ผู้ร่วมกันก่อตั้ง Bulletin of the Atomic Scientists

จุดประสงค์ของนิตยสารก็คือ เป็นแหล่งความรู้สำหรับผู้ที่มีความสนใจในวิทยาศาสตร์ และ ให้ความรู้แก่ประชาชนชาวอเมริกันในเรื่องของอันตรายจากอาวุธนิวเคลียร์ และต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ (ค.ศ. 1947) จึงได้เพิ่ม Doomsday Clock (นาฬิกาวันสิ้นโลก) เข้าไป อันเป็นการเริ่มต้นการเดินของนาฬิกาเรือนนี้ วิธีการอ่านค่าเวลาจากนาฬิกาวันสิ้นโลกนั้นไม่ยากเลย โดยส่วนประกอบและลักษณะรูปลักษณ์ของจะไม่ต่างจากนาฬิกาทั่วไป ประกอบด้วย เข็มยาว เข็มสั้น จุดบอกเวลา ฯลฯ แต่จุดกำหนดเวลาบนหน้าปัดจะมีเพียงเลข ๙ ไปจนถึงเลข ๑๒ คือ มีแต่ส่วนบนซ้ายของหน้าปัทม์นาฬิกา ซึ่งเมื่อเวลาเที่ยงคืนมาถึงจะหมายถึงว่า โลกได้เข้าถึงขีดสุดแห่งความหายนะแล้ว และเป็นการเข้าสู่วันสิ้นโลก แต่เมื่อ ภยันตราย ความรุนแรง และเหตุวิกฤต ลดลงเมื่อใด เข็มเวลาก็จะยิ่งออกห่างจากเวลาเที่ยงคืนมากขึ้นเรื่อย ๆ ยกตัวอย่าง เช่น เวลา 23:55 น. จะวิกฤตน้อยกว่าเวลา 23:58 น. 

การบ่งบอกว่า โลกเข้าใกล้จุดหายนะที่เป็นการสิ้นสุดของโลกมากน้อยขนาดไหน จะใช้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกเป็นตัวแปร ตัวกำหนด เช่น สงคราม ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ภัยคุกคามของระเบิดนิวเคลียร์ สภาวะโลกร้อน ฯลฯ เดิมทีนาฬิกาเรือนนี้ถูกแขวนบนกำแพงในสำนักงานของจดหมายเหตุฯ ภายในมหาวิทยาลัยชิคาโก และกลายเป็นตัวแทนเชิงสัญลักษณ์ของภัยคุกคามสงครามนิวเคลียร์ที่ชาติต่าง ๆ ต่างพากันสะสมไปจนทั่วโลก ทว่า หลัง พ.ศ. ๒๕๕๐ มีการนำเอาผลสะท้อนอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงพัฒนาการใหม่ ๆ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งอาจทำให้เกิดภัยต่อมนุษยชาติอย่างร้ายแรงจนไม่อาจกู้คืนหรือแก้ไขได้

RDS-1 ระเบิดปรมาณูลูกแรกของสหภาพโซเวียต

เวลา 23:53 น. หรือ ๗ นาทีก่อนเที่ยงคืน ถูกตั้งให้เป็นเวลาตอนที่ Doomsday Clock (นาฬิกาวันสิ้นโลก) เริ่มเดินเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ (ค.ศ. 1947)  โดยสมัยนั้นเป็นช่วงที่โลกเพิ่งผ่านพ้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ มาได้ไม่นาน และกำลังก้าวเข้าสู่ยุคนิวเคลียร์ พร้อมกับการก่อตัวขึ้นของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตหรือที่รู้จักกันในชื่อของ “สงครามเย็น (Cold war)” สองปีต่อมา นาฬิกาถูกปรับให้เป็นเวลา 23:57 น. โดยเกิดจากการที่สหภาพโซเวียตทดลอง RDS-1 ระเบิดปรมาณูลูกแรกเป็นผลสำเร็จ จึงนับเป็นประเทศที่สองของโลกที่ครอบครองอาวุธมหาประลัยชนิดนี้ ภายหลังสหรัฐอเมริกาเพียง 4 ปี และเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันสะสมอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย 

การทดลองระเบิดไฮโดรเจน ซึ่งมีประสิทธิภาพการทำลายล้างสูงกว่าระเบิดปรมาณูหลายเท่าตัว

ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ (ค.ศ. 1953) นาฬิกาถูกปรับให้เหลือเวลา ๒ นาทีก่อนเที่ยงคืน อันเป็นผลมาจากสหรัฐฯ กับโซเวียตตัดสินใจทดลองระเบิดไฮโดรเจน ซึ่งมีประสิทธิภาพการทำลายล้างสูงกว่าระเบิดปรมาณูหลายเท่าตัว หลังจากที่นาฬิกาถูกปรับให้ใกล้เที่ยงคืนไปหลายครั้ง ในที่สุดเวลาก็ได้ถูกเลื่อนให้ออกห่างจากเวลาเที่ยงคืนเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ (ค.ศ. 1960) สาเหตุจากท่าทีประนีประนอมของทั้งสองขั้วอำนาจต่อวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น เช่น วิกฤตสุเอซ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ (ค.ศ. 1956) และมีความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์ของทั้งสองฝ่ายผ่านการประชุมต่าง ๆ 

วิกฤตสุเอซ

ประวัติการปรับเวลาของ Doomsday Clock ตั้งแต่ครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๙๐ (ค.ศ. 1947) จนถึง พ.ศ. ๒๕๖๐ (ค.ศ. 2017)   

สามปีให้หลังต่อมา เวลาของ Doomsday Clock ถูกปรับเป็น 23:48 น. หรือ ๑๒ นาทีก่อนเที่ยงคืน อันเป็นผลมาจากสนธิสัญญาห้ามทดลองอาวุธนิวเคลียร์บนพื้นดิน แต่ยังคงอนุญาตมีการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ที่ใต้ดินอยู่ สนธิสัญญานี้แสดงให้เห็นว่า มีความพยายามจากทั้งสองฝ่ายที่จะลดอัตราการสะสมอาวุธนิวเคลียร์ลง และร่วมกันปกป้องสภาพอากาศที่เสียหายจากการทดลองอาวุธนิวเคลียร์

'หม่อมปลื้ม' โพสต์ขออภัย ภท. ยันเจตนาดีเรื่องกัญชา แต่ด้วยสไตล์ที่สื่อออกมา อาจกวนประสาทเล็กน้อย

จากกรณีที่พรรคภูมิใจไทยมีมติให้ ส.ส.แต่ละเขต รัฐมนตรีของพรรค และสมาชิกพรรคทั่วประเทศ ไปร้องทุกข์กล่าวโทษ รายการ 'The Daily Dose โลกการเมือง’ ทางเพจเฟซบุ๊ก Voice TV ดำเนินรายการโดย ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล หัวข้อ 'ไม่สนเยาวชนติดกัญชาบ้างเลยหรือ' โดยระบุว่า มีเนื้อหาเบือนข้อเท็จจริง ใส่ร้ายป้ายสี จากนโยบายปลดล็อกกัญชาโดยมีกฎหมายมารองรับนั้น

ล่าสุด (11 มิ.ย.65) ม.ล.ณัฏฐกรณ์ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงกรณีดังกล่าว โดยมีเนื้อหาดังนี้...

“ผมได้ขอให้ทีมงานถอนคลิปย่อยที่ตัดแล้วที่ไปโพสต์ทางช่องทาง Youtube/FB ที่พาดพิงท่าน รองนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล และพรรคภูมิใจไทยออกไปเรียบร้อยแล้วนะครับ

มันเป็นของรายการสด #Liveยามเช้า The Daily Dose วันที่ 9 มิถุนายน เวลา 06.30 น. การจัดรายการมีเจตนารมณ์สร้างความบันเทิงประกอบด้วยสาระต่อสังคม และรวมไปถึงการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ไม่มีเจตนาที่จะดูหมิ่นดูแคลนใคร ถ้าเนื้อหาในคลิปทำให้สมาชิกพรรคภูมิใจไทย รวมถึงทั้งหัวหน้าพรรคมีความรู้สึกว่าไม่เหมาะสมและเสียดสีเเรงเกินไปนั้นผมขออภัย

รวมถึงที่อาจจะได้สื่อสารเชิงลบแบบตลกขบขันไปว่า ในสมัยวัยหนุ่มอาจจะมีบางท่านในคณะรัฐมนตรีที่เคยชอบกัญชา ซึ่งเป็นเพียงแค่มุกในการดำเนินรายการ

ผมเชื่อว่า เราอยู่ในสังคม และระบบนิเวศวิทยาทางการเมืองเดียวกัน และไม่จำเป็นที่จะต้องมานำเรื่องขึ้นศาลเพื่อฟ้องร้องกันโดยมิจำเป็น หากการจัดรายการทำให้มีความรู้สึกเสื่อมเสียเกียรติยศหรือศักดิ์ศรีของผู้ซึ่งถูกพาดพิง ผมยินดีถอดถอนเนื้อหาออกให้ตามที่ได้สั่งการให้มีการกระทำไปแล้ววันนี้

หวังเป็นอย่างยิ่งว่ากระทรวงสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่ตำรวจภายใต้นโยบายกัญชากึ่งเสรีใหม่ที่นำเสนอโดยผู้ซึ่งมีอำนาจ ณ เวลานี้ จะสามารถควบคุมไม่ให้ทุกคนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเข้าถึงการสูบเสพติดกัญชาได้ครับ

'รองฯ รอย' นำทีมบุก ยึดยาไอซ์ กว่า 200 โล ซุกซ่อนอยู่ในรูปปั้นโมอาย ในลานจอดรถ ท่าเรือแหลมฉบัง

(8 มิ.ย.65) ที่บริเวณลานจอดรถ ท่าเรือแหลมฉบัง พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร,พล.ต.ท สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส.,พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ ผบก.ภ.จว. ยะลา ได้ร่วมกันแถลงข่าวว่า เมื่อประมาณช่วงเดือนมีนาคม 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ภ.จว.ยะลา ร่วมกับ สตม., บช.ปส., ภ.2 และสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย ได้รับแจ้งเบาะแสขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ ในเครือข่ายของคนจีนไต้หวัน นาย PUN สงวนนามสกุล ชาวไต้หวัน และได้ตรวจสอบประวัติพบว่าเป็นบุคคลตามหมายจับของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ในการพยายามลักลอบนำเฮโรอีนและเคตามีนออกนอกประเทศไทย โดยนาย PUN มีแฟนเป็นหญิงไทย ทราบชื่อว่านางสาวจู นามสมมุติ จึงได้ทำการสืบสวนติดตามพฤติกรรมพบว่ามีการเดินทางเข้าออกประเทศไทยไปประเทศไต้หวันอยู่บ่อยครั้ง และพบพฤติกรรมน่าสงสัยในการติดต่อเช่าโกดังสินค้าในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและลงพื้นที่เข้าทำการตรวจสอบโกดังสินค้าดังกล่าว พบว่าภายในโกดังสินค้ามีรูปปั้นโมอายอยู่ภายใน ซึ่งเชื่อว่าภายในรูปปั้นน่าจะมีสิ่งของผิดกฎหมายซุกซ่อนอยู่

จากการสืบสวนพบว่ามีการส่งรูปปั้นเข้ามาจากประเทศไต้หวัน และนำเข้ามาในประเทศไทยเมื่อประมาณต้นปี พ.ศ.2565 โดยสำแดงผ่านพิธีทางศุลกากรว่านำเข้ามาในประเทศเพื่อจัดนิทรรศการ แสดงโชว์แต่เมื่อนำเข้ามาในประเทศไทยแล้วได้นำเอารูปปั้นดังกล่าวมาก็บไว้ในโกดังสินค้าและไม่ได้นำออกไปจัดนิทรรศการ หรือแสดงโชว์ที่อื่นแต่อย่างใด โดยมี นางสาวกัญญาภัค สงวนนามสกุล ทำหน้าที่เป็นผู้ติดต่อและจ่ายค่าใช้จ่ายในการเช่าโกดังและว่าจ้างเคลื่อนย้ายรูปปั้นจากท่าเรือแหลมฉบังไปเก็บไว้ในโกดังสินค้าดังกล่าว

ซึ่งจากการติดตามพฤติกรรมของ นางสาวจู พบว่ามีการโอนเงินให้แก่ นางสาวกัญญาภัคฯ จำนวนหลายครั้งโดยที่ นางสาวจู และ นางสาวกัญญาภัคฯ ไม่พบว่าประกอบอาชีพและมีรายได้ที่แน่นอน แต่พบมีเงินหมุนเวียนในบัญชีเป็นจำนวนหลายสิบล้านบาท

ต่อมาประมาณปลายเดือนพฤษภาคม 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนจนทราบว่ามีการเตรียมการที่จะขนย้ายรูปปั้นดังกล่าวกลับไปยังประเทศไต้หวัน โดย นางสาวกัญญาภัคฯ ทำหน้าที่เป็นผู้ติดต่อว่าจ้างบริษัทโลจิสติกส์ ในพื้นที่ อ.แหลมฉบัง ให้ทำการขนย้ายรูปปั้นเพื่อทำการส่งรูปปั้นดังกล่าวกลับไปที่ประเทศไต้หวันและได้มีการขนย้ายรูปปั้นดังกล่าวจากโกดังสินค้าในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร นำมาเก็บรักษาไว้ที่บริษัทฯ พื้นที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ระหว่างที่รอคิวการขนส่งลงเรือเพื่อเดินทางไปยังประเทศไต้หวันต่อไป ซึ่งจะเห็นได้ว่ากลุ่มชาวจีนไต้หวันกลุ่มนี้มีพฤติกรรมในการนำเอารูปปั้นเข้ามาในประเทศไทย โดยสำแดงว่านำมาใช้จัดนิทรรศการหรือแสดงโชว์ จากนั้นจะ ซุกซ่อนยาเสพติดไว้ในรูปปั้นดังกล่าวแล้วนำออกนอกประเทศไทย โดยจะสั่งการให้กลุ่มของผู้หญิงไทยทำหน้าที่ในการจัดหาสถานที่ เป็นโกดังสินค้าทำการเก็บรูปปั้นและเมื่อนำเอายาเสพติดซุกซ่อนไว้เรียบร้อยแล้วก็จะจัดส่งรูปปั้นดังกล่าวออกนอกประเทศ

'รองฯ รอย' รุดสอบ 3 ผตห. 'แก๊งค้ายา' ใช้รถกู้ภัยยิงสู้ ซิ่งหนี ขณะขนยาบ้า 2.4 ล้านเม็ด หลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนภาค 2 รวบตัวคาห้องเช่า ที่เขาชะเมา จว.ระยอง

(8 มิ.ย.65) เวลาประมาณ 16.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.ภ.2 ตำรวจภูธรภาค 2 ร่วมกับ ตำรวจภูธรภาค 1, บก.ทล. และ ภ.จว.ฉะเชิงเทรา ภายใต้การอำนวยการ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร., พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. (ปป.) และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศอ.ปส.ตร.)  พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.ภ.2, พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจตร ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รอง ผบช.ภ.2, พล.ต.ต. ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.ภ.2, พล.ต.ต.นันทวุฒิ สุวรรณละออง ผบก.ภ.จว.ฉะเชิงเทรา, พล.ต.ต.ชยานนท์ มีสติ ผบก.ภ.จว.สระบุรี, พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม ผบก.สส.ภ.1

ได้ร่วมกันแถลงข่าว การจับกุมตัว...
1) นายจิรายุทธ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1424 ลาดพร้าว 87 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ เป็นคนคนขับรถตู้กู้ภัย
2) น.ส.ทิพวรรณ หรือทิพย์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 37/40 ซ.คู้บอน 27 แขวงท่าแล้ง เขตบางเขน กรุงเทพ เป็นภรรยานายจิรายุทธฯ คนนั่งมาด้วย
3) นายชาญณรงค์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 20 ซ.โพธิ์แก้ว 3 แยก 2 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นขับรถกู้ภัยมารับพาหลบหนี 

โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมายอันก่อให้เกิดการแพร่กระจายในหมู่ประชาชน”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชุดสืบสวน ภาค.2 สามารถจับกุม นายจิรายุทธฯ และ น.ส.ทิพวรรณฯ จับกุมได้ที่ห้องเช่า เลขที่ 13 ม.3 ต.ซ้ำฆ้อ อ.เขาชะเมา จ.ระยอง ส่วน นายชาญณรงค์ฯ จับกุมได้ที่ อ.เมือง จว.ฉะเชิงเทรา ซึ่ง พล.ต.อ.รอย ได้เดินทางไปสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 3 รายด้วยตัวเอง


 
คดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันนี้ 5 มิ.ย.65 เวลาประมาณ 14.00 น. มีเหตุผู้ขับขี่รถยนต์ตู้พยาบาล สีขาว ทะเบียน 1 นข 4280 กรุงเทพมหานคร ใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจจุดตรวจในเขตพื้นที่ จว.สระบุรี และ จว.พระนครศรีอยุธยา เพื่อเปิดทางหลบหนีมุ่งหน้าเข้าเขตกรุงเทพมหานคร มีคนร้ายบนรถยนต์ตู้คันดังกล่าว จำนวน 2 คน เป็นชาย 1 คน และหญิง 1 คน เมื่อเข้าเขตกรุงเทพมหานคร ได้ขับขี่หลบหนีเข้าไปภายในซอยวัดแป้นทอง บริเวณจุดทิ้งขยะ ซ.หนองระแหง 5 ถ.ไทยรามัญ แขวงสามวาตะวันตก เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ ได้นำยาบ้าบรรจุเป็นห่อใหญ่จำนวน 6 ห่อ จำนวน 2,400,000 เม็ด ไปทิ้งพงหญ้าภายในซอยดังกล่าว หลังจากนั้นได้ขับขี่รถยนต์ตู้คันดังกล่าวไปทิ้งไว้ท้ายซอยราษฎร์อุทิศ 44/1 ถ.ราษฎร์อุทิศ แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร แล้วหลบหนีไป ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนขยายผลจนทราบว่า ผู้ที่นำยาบ้าไปทิ้งไว้คือ นายจิรายุทธฯ และ น.ส.ทิพวรรณฯ สองสามีภรรยา โดยหลังเกิดเหตุ ได้มี นายชาญณรงค์ฯ เป็นคนขับรถมารับพาหลบหนีไป  

'ชัชชาติ' จ่อชง ศบค.ไฟเขียว คนกรุงถอดแมสก์ - ปิด 'ผับ - บาร์' ตี 2 

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ จ่อชง ศบค. ไฟเขียวคนกรุงถอดหน้ากากอนามัยในที่โล่ง สถานที่เปิด ลั่นถึงเวลากลับใช้ชีวิตปกติ พร้อมเล็งขยายเวลาเปิดผับ บาร์ คาราโอเกะ ถึงตีสอง ขยายเวลาเศรษฐกิจกลางคืน

วันนี้ (5 มิ.ย.) ที่สวนหลวงพระราม 8 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงแนวโน้มการผ่อนคลายมาตรการสวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่กรุงเทพฯ ว่า กรณีนี้ต้องอยู่กับการพิจารณาของ ศบค. เป็นหลัก แต่ทาง กทม.จะให้ความเห็นไปว่า สถานการณ์ใน กทม. เริ่มลดน้อยลง คงต้องเริ่มให้ถอดหน้ากากในพื้นที่เปิดโล่ง ขณะที่เศรษฐกิจก็เริ่มกลับมา แต่ย้ำว่าขอให้เป็นไปตามหลักการแพทย์เพื่อให้เกิดความมั่นใจ แต่เชื่อว่าสถานการณ์คลี่คลายขึ้น คนก็พร้อม ซึ่งจะนำเรื่องนี้หารือกับ ศบค. อย่างเป็นทางการ

‘อดีตบิ๊ก ศรภ.’ เอือม!! ส.ส.ไม่รู้ ‘ตชด.-บำนาญ’ มีไว้ทำไม พูดหวังเรตติ้ง แต่สะท้อนถึงวุฒิภาวะ

5 มิ.ย. 65 - พลโทนันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า วันนี้มีเรื่องแปลกๆ มาเล่าให้ฟังครับ ผมไปอยู่ในสวนบ้านนอก เพิ่งกลับมาพอเปิดหนังสือพิมพ์อ่าน ก็เจอเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่า คนที่เป็น ส.ส.จะด้อยปัญญาถึงขนาดพูดออกมาในที่ประชุมรัฐสภาได้  

1.) ตชด.มีไว้ทำไม ตามแนวชายแดนที่เป็นป่าเขา ซึ่งหลายแห่งทุรกันดาน รถยนต์เข้าไปไม่ถึง เป็นภาระหน้าที่ของตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ เป็นด่านหน้าปกป้องประเทศ ในพื้นที่ที่มีทั้งการลักลอบขนยาเสพติด ของเถื่อนนานาชนิด การก่อความไม่สงบต่างๆ การค้ามนุษย์ การลักลอบเข้าประเทศไทย การตัดไม้ทำลายป่าของขบวนการทั้งคนไทยและต่างชาติ เป็นแม้กระทั่งยามบอกเหตุไฟป่า แล้วยังเป็นครู ที่สอนหนังสือแก่เด็กๆสอนการทำกินให้ประชาชนชายขอบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเขาชาวดอยและอื่นๆทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบ แม้กระทั้งการดูแลรักษาพยาบาลเบื้องตน  ฯลฯ  ลองไปนอนจุดตะเกียงอ่านหนังสือดูสักเดือนไหมครับ!

โดยเฉพาะพื้นที่ที่อ่อนไหวต่อการเกิดกรณีขัดแย้งระหว่างประเทศ หากมีการตั้งฐานปฏิบัติการทางทหารอาจ เกิดการเผชิญหน้ากันมาได้โดยง่าย (วัตถุประสงค์ของการจัดตั้ง ตชด. นั้น เนื่องมาจาก ข้อตกลงในสนธิสัญญากรุงเจนีวาระหว่างไทยกับฝรั่งเศสกำหนดห้ามไม่ให้มีกำลังทหารในระยะ 25 กิโลเมตรจากแนวชายแดน ดังนั้น ตชด.จึงเป็นกำลังสำคัญ ที่ได้รับมอบหมายภารกิจ ในการรักษาความสงบตามพื้นที่แนวตะเข็บชายแดนของชาติ)

'เติร์ก' มือกีต้าร์โพสต์ขอโทษหลังถูกขุดอดีต ด้านนักร้องนำรับไม่ได้ ขอรับผิด ลาออกจากวง

เรียกว่าเป็นประเด็นท็อปปิคร้อนโลกออนไลน์ข้ามวัน จากกรณีสมาชิกของวงดนตรี Gym and Swim ได้โพสต์วิจารณ์พาดพิงผลงานของดาราและศิลปินวัยรุ่นชื่อดัง บิวกิ้น - พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล และ พีพี - กฤษฏ์ อำนวยเดชกร อีกทั้งยังมีข้อความที่พาดพิงถึงเพศสภาพ

จนกลายเป็นเรื่องราวที่วิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลอย่างครุกรุ่น ชาวเน็ตยกทัวร์ไปลงต้นโพสต์ยับ ส่งผลให้ #แบนgymandswim พุ่งทะยานติดเทรนด์ทวิตเตอร์ข้ามวัน 

โดยทางค่าย Parinam Music ต้นสังกัดของ Gym and swim ได้ออกแถลงการณ์ขอโทษถึงกรณีดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจของค่ายเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ ตามที่ได้นำเสนอไปแล้วนั้น (https://www.facebook.com/thestatestimes/posts/598043985371399)

ต่อมา “เฉลิม” นักร้องนำวง Gym And Swim ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ประกาศยุติการเป็นสมาชิกวง หลังเพื่อร่วมวงเหยียดศิลปินอื่น ซึ่งระบุข้อความว่า

“ในวงที่ร่วมสร้างกันขึ้นมา คงปัดให้เป็นความรับผิดชอบของใครเพียงคนเดียวไม่ได้จริงๆ ตอนนี้มีเพียงความรู้สึกเสียใจอย่างมาก แต่ผมคิดว่าคำขอโทษควรมาพร้อมบทลงโทษครับ ผมคิดว่าทุกคนก็คงรู้สึกเหมือนกันว่าการรับผิดร่วมกันคือสิ่งที่สมควรกระทำ สิ่งที่จะแสดงได้ว่าผมไม่เห็นด้วย กับสิ่งเหล่านี้ทั้งในตอนนี้ และในอนาคต และจะไม่เพิกเฉยเมื่อเห็นการกระทำลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก ผมจึงขอยุติบทบาทสมาชิกวง Gym and Swim ตั้งแต่ตอนนี้ครับ”

ในขณะที่ “เติร์ก มือกีตาร์” ได้ออกมาโพสต์ขอโทษ หลังโดนขุดข้อความที่พาดพิงถึงศิลปินอื่นๆในอดีตจนถูกทัวร์ลงอย่างหนัก โดยระบุว่า “ขออนุญาตแถลงครับ ผมเติร์ก จากวง Gym and Swim ก่อนอื่นเลยต้องแจ้งว่าความเห็นที่เป็นประเด็นทุกประเด็นในขณะนี้เป็นความเห็นของผมแต่เพียงผู้เดียว มิใช่ฉันทามติ หรือความคิดเห็นใดของสมาชิกวง Gym and Swim ท่านอื่นๆ

ประเด็นเรื่องการใช้คำที่ไม่เหมาะสม ในโพสต์หนึ่งที่เกี่ยวข้อง กับ บิวกิ้น และพีพี ผมขอยอมรับว่าถ้อยคำดังกล่าวเป็นถ้อยคำที่ไม่เหมาะ และขออภัยในการใช้คำดังกล่าว ทั้งนี้ โดยส่วนตัวแล้วผมเปิดกว้างและเคารพในเรื่องเพศวิถี ที่แตกต่าง หลากหลาย และหลงใหลในวัฒนธรรม LGBTQIA+ ซึ่งเป็นความสวยงามของสังคมสมัยใหม่ และตัวผมเองก็มีเพื่อนๆ ในวัฒนธรรมดังกล่าวที่น่ารักและเป็นกัลยาณมิตรที่ดี

โดยการใช้ถ้อยคำดังกล่าวนั้นมีลักษณะเป็นการไม่ให้เกียรติความหลากหลายทางเพศวิถีอย่างแท้จริง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความอ่อนด้อยทางวุฒิภาวะในการสื่อสาร

ซึ่งผมขอน้อมรับคำติ และขออภัยผู้่่ที่เกี่ยวข้องทุกท่านในประเด็นนี้เป็นอย่างสูงครับ

โดยผมจะนำประสบการณ์และบทเรียนในครั้งนี้ไปปรับปรุง วิธีคิดและการแสดงออกของผมให้มีความเหมาะสมต่อไปในอนาคต เพื่อเป็นการพัฒนาสังคมและวัฒนธรรมต่อไป เพื่อให้สังคม และวัฒนธรรมนี้พัฒนาไปในทางที่ดีมากยิ่งขึ้น

ประเด็นที่สองที่ต้องการจะพูดถึง คือการวิพากย์ไลน์อัพของมิวสิคเฟสติวัลนั้น ความคิดเห็นดังกล่าวเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผม ซึ่งการการแสดงออกมาโดยประชดประชันและขาดความยั้งคิด ซึ่งก่อให้เกิดความรำคาญใจ หรือไม่สบายใจ ส่วนนี้ผมขออนุญาตขออภัยในการแสดงความคิดเห็นโดยใช้ถ้อยคำดังกล่าวอีกครั้งหนึ่งครับ

ขอแสดงความนับถือ เติร์ก”

หนูน้อยวัย 11 ปี ฝึกเต้นบัลเลต์ด้วยตัวเอง จนดังเป็นไวรัล สร้างแรงบันดาลใจให้คนนับล้าน

คลิปวิดีโอสารคดี “Little Giants” ที่ผลิตโดย Bilibili แพลตฟอร์มวิดีโอชื่อดังแดนมังกร ได้เผยเรื่องราวของ อูกังอวิ๋น (邬刚云) หรือ อวิ๋นเอ๋อร์ (云儿) สาวน้อยวัย 11 ปี ผู้โชว์การแสดงเต้นบัลเลต์ในร้านขายหมูของนางหลี่ ผู้เป็นแม่ จนกลายเป็นไวรัลและสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คน

ครอบครัวของเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ อยู่ในหมู่บ้านน่าตั๋ว หนึ่งในหมู่บ้านที่ห่างไกลและยากจน ในมณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) หมวยน้อยหลงรักการเต้นตั้งแต่มีอายุเพียง 7 ปี “การเต้น ทำให้หนูมีความสุขที่สุด” เธอเรียนรู้การเต้นบัลเลต์ด้วยตนเองจากอินเทอร์เน็ต และใช้ร้านขายหมูของแม่เป็นที่ฝึกซ้อม

ในวันที่ เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ ไม่ได้ไปโรงเรียนก็ต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อไปช่วยแม่ขายหมู แม้จะต้องตื่นเช้า แต่เธอก็มีความสุขมาก เพราะจะได้เต้น โดยในช่วงเวลาที่ลูกค้าไม่พลุกพล่าน แม่ของเธอจะช่วยเธอยืดกล้ามเนื้อ กดขาและนับจังหวะ ซึ่งใครที่มาซื้อหมูที่ร้านก็จะได้เห็นเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ฝึกท่าพื้นฐานต่างๆ เช่น การตีลังกา การทำสะพานโค้ง เป็นต้น

บ่อยครั้งผู้คนที่สัญจรไปมาต่างมองว่าเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ทำอะไรแปลกๆ ต่างไปจากเด็กทั่วไป แต่แม่ของเธอไม่คิดเช่นนั้น เธอสนับสนุนลูกสาวเต็มที่และมักจะอัดคลิปวิดีโอของลูกลงยูทูป (YouTube) เสมอ

“ถ้าเธอชอบเต้น ผู้ใหญ่อย่างเราก็ควรสนับสนุน” นางหลี่กล่าว

ความจริงแล้วพรสวรรค์ของเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ ถูกพบครั้งแรกโดยครูอนุบาลของเธอ หลังทราบว่าเธอเรียนรู้การเต้นจากการดูคลิปวิดีโอเพียงเท่านั้น ครูจึงแนะนำให้นางหลี่ ส่งเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ไปเรียนเต้นอย่างจริงจัง ดังนั้น เมื่อเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ มีอายุได้ 8 ปี นางหลี่จึงส่งเธอไปเรียนบัลเลต์ ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงถึง 2,000 หยวน (ประมาณ 10,000 บาท) ต่อเทอม ด้วยสถานะการเงินของครอบครัวในขณะนั้น ที่มีเพียงพ่อของเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ ซึ่งทำงานเป็นคนขับรถบรรทุก ต้องหาเลี้ยงครอบครัวเพียงลำพัง เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์จึงไปเรียนบัลเลต์ได้แค่เทอมเดียว แต่เธอก็ยังคงเรียนรู้และฝึกฝนด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top