Wednesday, 14 May 2025
SPECIAL

กลุ่มคนรักบุฟเฟต์โวย ร้านดารุมะ ซูชิ ตำรับบุฟเฟต์แซลมอน ปิดร้านอย่างไม่มีกำหนด คนซื้อคูปองล่วงหน้า 199 บาทเดือดร้อน ขณะที่ผู้ลงทุนซื้อแฟรนไชส์พยายามติดต่อเจ้าของเพื่อชี้แจง หวั่นเจ้าของหอบเงินหนี ซ้ำรอย ‘แหลมเกตซีฟู้ด’

วันนี้ (18 มิ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า ในกลุ่มคนรักบุฟเฟต์ (Buffet Lovers) ได้วิพากษ์วิจารณ์กรณีที่ร้านดารุมะ ซูชิ ซึ่งเป็นร้านบุปเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น ที่มีจุดขายคือบุฟเฟต์แซลมอน ซึ่งมีอยู่ 27 สาขา ได้ปิดร้านอย่างไม่มีกำหนด โดยระบุว่าปิดปรับปรุงชั่วคราว ส่งผลกระทบต่อลูกค้าที่ซื้อคูปองล่วงหน้าราคาใบละ 199 บาท และจองที่นั่งเอาไว้แล้ว ไม่สามารถใช้บริการได้ โดยมีความเสียหายตั้งแต่ 2 ใบ สูงสุดนับสิบใบ ขณะที่เฟซบุ๊ก Daruma และเว็บไซต์ darumasushithailand.com ไม่สามารถติดต่อได้ ทำให้ลูกค้าที่ซื้อคูปองล่วงหน้า หวั่นว่า อาจซ้ำรอย “แหลมเกต” ร้านซีฟู้ดชื่อดังที่ปิดร้านหนี จนกลายเป็นคดีความไปแล้วก่อนหน้านี้ 

ขณะนี้กลุ่มผู้เสียหายกำลังตั้งกลุ่มไลน์ "ผู้เสียหาย Daruma Sushi" และหารือกันเพื่อแจ้งความเรียกร้องค่าเสียหาย

อีกด้านหนึ่ง โลกโซเชียลฯ ได้แชร์ภาพจากผู้ใช้เฟซบุ๊ก Krittharawee Arys Pichitpongchai โพสต์ภาพถ่ายโฆษณาเชิญชวนเปิดร้านดารุมะซูชิ ค่าลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ 2,500,000 บาท และข้อความระบุว่า "ขออนุญาตชี้แจงเรื่องร้านดารุมะซูชิ ที่เพชรได้ซื้อแฟรนไชส์มาจาก คุณเมธา ชลิงสุข ทั้งหมด 6 สาขา ซึ่งในขณะนี้ เพชรและเจ้าของสาขาต่างๆ อีก 10 กว่าสาขาซึ่งเป็นผู้เสียหายได้รวมตัวกันรวบรวมหลักฐานทั้งหมดเพื่อเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับบริษัทดารุมะและผู้บริหาร

โดยทางเพชรและผู้เสียหายที่ลงทุนซื้อแฟรนไชส์ได้ทำการลงเงินเพื่อเปิดสาขา โดยมีบริษัทดารุมะเป็นผู้บริหารจัดการและเป็นคนดูแลบัญชีรายรับรายจ่ายทั้งหมดเเต่เพียงผู้เดียว และจะปันผลเป็นรายเดือนให้กับผู้ลงทุน การจัดโปรโมชั่นต่างๆ เป็นการดำเนินการโดยผู้บริหารบริษัทดารุมะ ซึ่งทางผู้ลงทุนไม่มีส่วนในการบริหารจัดการ ณ เวลานี้ทางกลุ่มผู้ลงทุนพยายามติดต่อผู้บริหารบริษัทดารุมะเพื่อรอฟังคำชี้แจง"

‘LGBTQ+’ ตรวจสุขภาพเฉพาะทางได้ที่ไหนบ้าง มาดูกัน!!

เนื่องจากเดือนมิถุนายนของทุกปีถือเป็น Pride Month สำหรับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศหรือ LGBTQ+ ซึ่งปัจจุบันมีการรณรงค์สนับสนุนความเท่าเทียมและความภาคภูมิใจในตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องการดูแลสุขภาพนับเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานสำหรับประชาชนทุกคนรวมถึงกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ
การตรวจสุขภาพ คือ การตรวจร่างกายในภาวะที่ร่างกายเป็นปกติดี ไม่มีอาการเจ็บป่วย โดยมีวัตถุประสงค์ในการค้นหาปัจจัยเสี่ยงและภาวะผิดปกติ เพื่อให้ทราบแนวทางป้องกันการเกิดโรคร้ายแรง ในทุกช่วงอายุควรเข้ารับการตรวจสุขภาพ ซึ่งสามารถเลือกตรวจสุขภาพประจำปีกับโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชนก็ได้

>> การตรวจสุขภาพในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น
มุ่งเน้นไปที่การตรวจร่างกายทั่วไป (ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง) เพื่อค้นหาความผิดปกติ ประเมิน การเจริญเติบโตตามวัย และเฝ้าระวังด้านพัฒนาการ รวมไปถึงการรับวัคซีนต่าง ๆ ตามกำหนดเวลา เพื่อป้องกันการเกิดโรค



>> การตรวจสุขภาพในกลุ่มวัยทำงาน
สำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 18 - 60 ปี โดยการซักประวัติเพื่อค้นหาความเสี่ยงของโรค โดยเฉพาะในกลุ่มที่ครอบครัวเคยมีประวัติป่วยด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง เบาหวาน ประกอบกับการตรวจร่างกายทั่วไป เช่น ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดความดันโลหิต เพื่อช่วยในการคัดกรองภาวะเสี่ยงของโรค ซึ่งควรตรวจร่างกายอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง


 

- ตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำทุกปี ปีละ 1 ครั้ง
- ตรวจการได้ยินปีละ 1 ครั้ง
- แบบประเมินสภาวะสุขภาพ เช่น ภาวะซึมเศร้า การใช้ยาและสารเสพติด การดื่มแอลกอฮอล์ การติดนิโคตินในผู้สูบบุหรี่ เป็นต้น
- การตรวจตา สำหรับผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจวัดสายตาและตรวจคัดกรองโรคต้อหิน ภาวะความดันลูกตาสูง และความผิดปกติอื่นๆ โดยทีมจักษุแพทย์ อย่างน้อย 1 ครั้ง
- การถ่ายภาพรังสีทรวงอก (Chest x-ray) โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น ไอเรื้อรัง เจ็บหน้าอก หรือมีอาการสงสัยว่าเป็นวัณโรคและมะเร็งปอด
- ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) ช่วยคัดกรองภาวะโลหิตจางหรือความผิดปกติอื่นของเม็ดเลือดหรือเกล็ดเลือด

'สร้างอนาคตไทย' ประกาศยุทธศาสตร์ "ปรับ-เติม-เพิ่ม-ลด" ช่วยชาวอีสาน ปลอดหนี้

พรรคสร้างอนาคตไทยลงพื้นที่อีสาน ชูยุทธศาสตร์แก้หนี้สร้างรายได้อย่างเป็นรูปธรรม อุตตม ชี้ปรับโครงสร้างหนี้ – เติมทุน – เพิ่มแหล่งรายได้ - ลดต้นทุน ทางออกวิกฤตปากท้องคนไทย ด้านสนธิรัตน์ ปลุกชาวอีสานร่วมเครือข่าย “พี่น้องสร้างอนาคตไทย” ต่อสู้กับความยากจน ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก  

วันนี้ (18 มิ.ย.) พรรคสร้างคนาคตไทยนำโดย นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค นาย สุพล ฟองงาม ประธานภาคอีสาน นายวิเชียร ชวลิต รองหัวหน้าพรรค นายนริศ เชยกลิ่น โฆษกพรรค นายวัชระ กรรณิการ์ รองเลขาธิการพรรค นายบุญส่ง ชเลธร รองเลขาธิการพรรค และนายสุทธิชัย จรูญเนตร รองประธานภาคอีสาน ได้เดินทางไปที่ตลาดเมืองทองเจริญศรี อ.เมือง จ.อุดรธานี เพื่อเปิดศูนย์ประสานงานพรรค และเปิดตัวผู้แสดงเจตจำนงเป็นสมัคร ส.ส.ในนามพรรคพลังสร้างอนาคตไทย จำนวน 3 เขต ได้แก่ เขต 1 คือ นายโกเมนทร์ ทีฆธนานนท์ เขต 2 คือ นายชัยฤทธิ์ เขาวงศ์ทอง และเขต 6 คือ นายมนตรี พึ่มชัย พร้อมกับการพบปะกับประชาชนทั้ง 3 เขต รวมกว่า 1,200 คน

นายอุตตม กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ได้รับเสียงสะท้อนว่า ชาวอีสานกำลังเผชิญกับ ปัญหาหนี้สิน รายได้ตกต่ำ ข้าวของแพง ต้นทุนการผลิตสูง ซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนคนไทยทั่วประเทศกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ พรรคสร้างอนาคตไทยจึงขอประกาศยุทธศาสตร์ที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว ภายใต้แนวคิด “ปรับ-เติม-เพิ่ม-ลด” เพื่อแก้ไขปัญหานี้ กล่าวคือวันนี้คนไทยทั้งเกษตรกรและผู้ประกอบการ ต้องเผชิญกับปัญหาหนี้สินสะสมมายาวนาน โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์โควิด ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือ ปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลง จากนั้นต้องเติมเงินทุนเพื่อให้นำไปดำเนินกิจการต่อ ขณะเดียวกันก็ต้อง เพิ่มแหล่งรายได้ให้ประชาชนจากกิจกรรมที่ทำอยู่เดิมก่อนหน้านี้ และสุดท้ายต้อง ลดต้นทุนการผลิตเพื่อสร้างผลกำไรให้มากยิ่งขึ้น

“หลายสิบปีที่ผ่านมาหนี้สินของเกษตรกรไม่เคยถูกแก้ไขอย่างเบ็ดเสร็จ การพักหนี้แค่เพียงปีสองปีแต่ดอกเบี้ยเดินอยู่ไม่ได้ช่วยอะไร หากจะทำให้สำเร็จและเป็นรูปธรรม จะต้องมีการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ ยืดหนี้ออกไปนานขึ้น จะเป็น 7-8 ปีก็ได้ แต่เกษตรกรต้องปรับตัวในการที่จะเพิ่มแหล่งรายได้ใหม่ๆ เพื่อให้ธนาคารมั่นใจว่าจะสามารถจ่ายหนี้ได้ โดยภาครัฐต้องช่วยส่งเสริมเงินทุน เทคโนโลยี และช่วยหาตลาด สุดท้ายต้องมีโครงการลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรอย่างจริงจัง” 

ด้านนายสนธิรัตน์ กล่าวว่า การลงพื้นที่อีสานครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่สองของทีมผู้บริหารพรรค โดยพรรคต้องการที่จะเชิญชวนพี่น้องชาวอีสานที่รู้สึกเบื่อหน่ายกับการเมืองแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เข้ามาร่วมเป็นเครือข่าย “พี่น้องสร้างอนาคตไทย” เพื่อที่จะดำเนินกิจกรรมทางการเมือง รวมทั้งแก้ไขปัญหาและขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่อีสานให้เจริญรุ่งเรือง จากที่ผ่านมากว่าสิบปีที่พี่น้องชาวอีสานรวมทั้งชาวไทยทั้งประเทศสูญเสียโอกาสไปมากจากการเมืองแบบเดิมๆ วันนี้ประเทศต้องการความสงบและความร่วมมือกันในการนำพาประเทศออกจากวิกฤต

“ผมไม่กังวลว่ากับคำว่าอีสานเป็นพื้นที่ของใคร จะเจาะได้หรือไม่ แต่ผมมั่นใจว่าพรรคสร้างอนาคตไทยคือหนึ่งในพรรคทางเลือกที่ดีที่พี่น้องชาวอีสานจะพิจารณา และเชื่อว่าพี่น้องทางภาคอีสานก็ต้องการความเปลี่ยนแปลงเหมือนกับพื้นที่อื่นๆทั่วประเทศ พรรคสร้รางอนาคตไทย ขอเชิญชวนประชาชนชาวอีสานมาร่วมเป็นพี่น้องสร้างอนาคตไทย ช่วยกันขับเคลื่อนให้อีสานเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตไปด้วยกัน เพื่ออนาคตของลูกหลานเรา” นายสนธิรัตน์ กล่าว

‘อรรถวิชช์’ ขอรัฐยกเลิกกฎห้ามขายสุรา 14.00-17.00น. ด้วยเหตุผลเก่าแก่เมื่อ 50 ปี หวั่น ข้าราชการเมาแล้วไม่ทำงาน หวังลดอุปสรรคธุรกิจท่องเที่ยว

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า พร้อมด้วยนายบุญสืบ จันทร์แจ่มศรี และทีมเศรษฐกิจพรรคกล้า ประชุมร่วมกับผู้แทนกลุ่มสุราและไวน์ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก (The Asia Pacific International Spirits and Wines Alliance : APISWA) หารือถึงข้อเรียกร้องลดปัญหาอุปสรรค เพื่อกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวและบริการหลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า ไทยเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวแล้ว ช่วงโควิดที่ผ่านมาภาคธุรกิจท่องเที่ยวอ่อนแรงไปมาก กติการใดของรัฐที่แก้ไขแล้วช่วยเค้าได้ต้องรีบทำ เช่น กฎจำกัดเวลาขายสุรา ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี กลายเป็นข้อเสียเปรียบในการดึงนักท่องเที่ยว เมื่อเทียบกับหลายประเทศในอาเซียนที่ไม่ได้ควบคุมเรื่องนี้

'สันติ' เตือน ระวังถูกทวงคืนปตท.อีกรอบ

'สันติ' แนะรัฐบาลอย่าอ้าง "ต้องปล่อยปตท. เพราะอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ กระทรวงการคลังคือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ บ.พลังงาน"

นายสันติ กีระนันทน์ รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย และอดีตรองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้แสดงความคิดเห็นต่อเนื่องจากการแถลงข่าวกรณีวิกฤตพลังงานที่พรรคสร้างอนาคตไทย เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. ที่ผ่านมาว่า 

ในช่วงที่มีวิกฤติราคาพลังงานเกิดขึ้นนั้น ปตท. ซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมพลังงานและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ก็จะตกเป็นจำเลยของสังคมทุกครั้ง และทุกครั้งก็จะมีขบวนการ "ทวงคืน ปตท." เกิดขึ้น ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ผมเชื่อว่า อีกไม่ช้าไม่นาน ชนวนเหตุของราคาพลังงานแพง ซึ่งเป็นต้นทางของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงที่จะตามมานั้น มีโอกาสไม่น้อยที่จะนำไปสู่การเรียกร้องให้มีการ "ทวงคืน ปตท." ออกมาจากตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกในไม่ช้านี้

เมื่อวานนี้ 17 มิถุนายน 2565 ผมได้แสดงทัศนะไปแล้วว่า ในโรงกลั่น 6 โรง ไล่ลำดับความใหญ่โตของขนาดสินทรัพย์ คือ PTTGC, TOP, BCP, IRPC, ESSO, และ SPRC ซึ่ง 2 โรงหลังนั้น (ESSO และ SPRC) มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ต่างชาติ คือ ExxonMobil และ Chevron ในขณะที่ PTTGC, TOP, และ IRPC มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คือ ปตท. ซึ่งถือหุ้นไม่น้อยกว่า 45% และ BCP นั้น มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่เป็นคนไทย ได้แก่ สำนักงานประกันสังคม (14.4%) กองทุนรวมวายุภักษ์ (19.84%) กระทรวงการคลัง (4.76%) รวมแล้วคือ 39% 

และสำหรับ ปตท. ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของโรงกลั่นหลัก ก็มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น 51.1%

จะเห็นได้ว่า ตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยนั้น ยังอยู่ในการควบคุมของรัฐ (โดยกระทรวงการคลัง) ด้วยการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ แม้บริษัทเหล่านั้นจะเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

มักจะมีข้ออ้างว่า เมื่อเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว ผู้ถือหุ้น แม้จะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจ ซึ่งก็เป็นข้ออ้างที่ฟังดูดี แต่เมื่อพิจารณาโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว จะพบว่า เกือบจะไม่มีบริษัทจดทะเบียนใดเลย ที่ไม่มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และโดยสภาพความเป็นจริงอีกเช่นกัน ผู้ถือหุ้นรายใหญ่เหล่านั้น ก็เป็นเจ้าของเดิมและเป็นผู้กำหนดนโยบายหลักในการดำเนินธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนเหล่านั้น นโยบายหลักใด ๆ ที่อาจจะมีผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นรายย่อยอย่างไม่เป็นธรรม ก็มีแนวปฏิบัติให้ไปขออนุมัติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นให้เรียบร้อยก่อนที่จะดำเนินการตามนโยบายนั้น ... นั่นก็คือกระบวนการเพื่อสร้างความโปร่งใส ความยุติธรรม และคำนึงถึงการพัฒนาในระยะยาวเพื่อความยั่งยืน (sustainable development - SD) 

ข้ออ้างที่บอกว่า เมื่อเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไป จึงเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นครับ และหากเป็นเช่นนั้นจริง บริษัทจดทะเบียนทั่วไปในตลาดหลักทรัพย์ฯ คงจะมีผลประกอบการที่เละเทะ เพราะผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือเจ้าของเดิม ก็จะเป็นผู้ที่มีความชำนาญและรู้แจ้งในธุรกิจ มากกว่าผู้ถือหุ้นรายย่อยที่เข้าไปร่วมในการระดมทุน (ในตลาดแรก และเปลี่ยนมือได้ในตลาดรอง) 

ผมพยายามอธิบายเหตุผลอย่างยืดยาวนี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า ใครก็ตามที่พยายามยกข้ออ้างว่า โรงกลั่น 4 โรงใหญ่ของประเทศไทย เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว รัฐจึงเข้าไปยุ่งไม่ได้ เป็นเรื่องไม่จริงครับ

อย่าลืมว่า บริษัทจดทะเบียนนั้น ต้องไม่มุ่งหวังกำไรระยะสั้นที่ทำให้อนาคตของบริษัทสั้นลงด้วย เพราะการกอบโกยโดยไม่คำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย (stakeholder) อย่างรอบด้านนั้น ย่อมทำให้เกิดการรังเกียจบริษัทนั้นในที่สุด และก็คงจะเกิดกระบวนการต่าง ๆ ทางสังคม ตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับบริษัทในกลุ่มพลังงานนี้ก็คือ ขบวนการ "ทวงคืน ปตท." ซึ่งก็อาจจะนับได้ว่าเป็นหนึ่งใน social sanction ที่แสดงให้เห็นว่า stakeholder สำคัญ คือประชาชนซึ่งเป็นลูกค้า ไม่พอใจต่อการได้ "กำไรเกินควร" จากการดำเนินงานที่ไม่โปร่งใส จึงเกิดข้อเรียกร้องเหล่านั้น 

ผมอยากจะเรียนว่า ผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน อย่าประเมินกระบวนการทางสังคมต่ำเกินไปนะครับ เพราะพลังของกระบวนการทางสังคม มีพลังมากกว่าที่ท่านคาดคิดได้ เรามีตัวอย่างมาให้เห็นหลายครั้งแล้วนะครับ ต่อความประมาท ต่อความถือดีในอำนาจรัฐที่ตนเองถือครองอยู่ ... ในที่สุด ก็อยู่ไม่ได้ครับ

ดังนั้น ไม่เป็นการแปลกครับที่รัฐจะใช้โอกาสนี้ "ดูแลโรงกลั่นของรัฐ" ให้มี "ความรับผิดชอบต่อสังคม" ด้วยวิธีการที่โปร่งใส เป็นธรรม ยอมรับได้ และตอบสนองต่อ stakeholder อย่างรอบด้าน

หากท่านไม่มั่นใจว่า ท่านจะกำหนดนโยบาย (เช่น ค่าการกลั่น) ผิดไปจากความต้องการของผู้ถือหุ้น ท่านก็สามารถจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อขออนุมัตินโยบายก็ได้ครับ

มวลชนครอบครัวเพื่อไทย จ.อุบลฯ สวมเสื้อกว่า 2,000 คน โชว์พลังแลนด์สไลด์ รอรับ ‘แพทองธาร’ นำคณะครอบครัวเพื่อไทย ก่อนบุกลุยตีงูเห่า จ.ศรีสะเกษ  ‘ส.ส.อุบลฯ’ เชียร์ ‘อิ๊งค์’ เป็นนายกฯ

เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 18 มิ.ย. 2565 ที่ท่าอากาศยานอุบลราชธานี อ.เมือง จ.อุบลราชธานี  มวลชนใน จ.อุบลราชธานี จ.ยโสธร จ.อำนาจเจริญ ต่างสวมเสื้อสีแดงครอบครัวเพื่อไทย จำนวนกว่า 2,000 คนมาเฝ้ารอต้อนรับคณะของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โดยมี นายเกรียง กัลป์ตินันท์ แกนนำพรรคเพื่อไทย  นายวรสิทธิ์ กัลป์ตินันท์ ส.ส.อุบลราชธานี รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยคณะ ส.ส.อุบลราชธานี ส.ส.ยโสธร ส.ส.อำนาจเจริญ ร่วมรอรับคณะของน.ส.แพทองธาร 

โดยประชาชนที่มารอต้อนรับต่างชูป้ายที่มีภาพของ น.ส.แพทองธาร และนายพานทองแท้ ชินวัตร สมาชิกพรรคเพื่อไทยและบุตรชายของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะเดียว นายเฉลิมพล นายก อบต.ท่าลาด อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ก็มาต้อนรับด้วย โดยประชาชนต่างให้ความสนใจและเรียกนายเฉลิมพล ที่มารอรับ น.ส.แพทองธาร มาร่วมถ่ายภาพ

ทั้งนี้ นายเฉลิมพลยังระบุด้วยว่าตนเองมารอต้อนรับนายกฯคนใหม่ คือ น.ส.แพทองธาร เพราะเหมาะเป็นว่าที่นายกฯ คนใหม่ ส่วนตนเองก็ให้กำลังใจกับพรรคเพื่อไทยมาตลอด ไม่ว่าจะเปลี่ยนมากี่พรรคก็เหมือนเดิม

กระทั่งเวลา 08.25 น. น.ส.แพทองธาร นายพานทองแท้ ชินวัตร พร้อมด้วย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย  นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เลขาธิการพรรคเพื่อไทย  น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยและคณะเดินทางมาถึง นายเกรียง นายวรสิทธิ์และคณะของ ส.ส.ได้มอบเสื้อครอบครัวเพื่อไทยและผูกผ้าขาวม้ารอบเอว น.ส.แพทองธาร และมอบดอกกุหลาบสีแดงเพื่อต้อนรับการมาเยือน จ.อุบลราชธานี เป็นครั้งแรกของหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย 

โดยทันทีที่ น.ส.แพทองธารเดินทางมาถึง ประชาชนต่างเบียดเข้ารุมเพื่อมอบดอกไม้และ ประชาชนบางคนถึงกับหลั่งน้ำตาและส่วนใหญ่ส่งเสียง “ครอบครัวเพื่อไทย” เสียงดังกึงก้องสนามบินอุบลฯ

เห็นแล้วซึ้ง!! สุดประทับใจ ผู้อำนวยการโรงเรียนบรรพตพิสัยพิทยาคม ก้มกราบครูที่เคยสอน แม้ในวันที่ตนเองได้กลับมาเป็นผู้บริหารใหญ่

เมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โลกโซเชียลแห่ชื่นชมและแชร์ต่อ หลังมีผู้ใช้ TikTok ชื่อ “Charinrat1751” ได้โพสต์คลิปวิดีโอความยาวประมาณ 1 นาที พร้อมเขียนแคปชันในคลิปว่า “วันไหว้ครู ปีการศึกษา ๒๕๖๕ ณ รร.บรรพตพิสัยพิทยาคม เมื่อลูกศิษย์มาเป็น ผอ. ผอ. กราบครูที่สอนมา #วันไหว้ครู2565 #ด้วยความเคารพรักยิ่ง #ครูในดวงใจ” กระทั่งคลิปดังกล่าวกลายเป็นภาพที่สุดประทับใจ

โดยคลิปนี้เกิดขึ้นในงานพิธีไหว้ครูของโรงเรียนบรรพตพิสัยพิทยาคม เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 16 มิ.ย. 65 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมใน ต.ท่างิ้ว อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ ส่วนคนในคลิปที่นำพวงมาลัยมาไหว้ครูของโรงเรียนทั้ง 3 ท่าน คือ ดร.ชรินรัตน์ แผงดี เป็นลูกศิษย์ของคุณครูในสถานศึกษาแห่งนี้ วันนี้มาเป็นผู้บริหารของสถานที่ที่เคยเล่าเรียน ในฐานะผู้อำนวยการโรงเรียนบรรพตพิสัยพิทยาคม ขณะที่ครูที่เคยสอนยังคงทำหน้าที่อยู่ที่โรงเรียน ด้วยความเคารพรัก และสำนึกพระคุณครู ผอ. จึงไหว้พร้อมพวงมาลัย แล้วก้มกราบในฐานะลูกศิษย์

‘ศ.สุชาติ’ ชี้ ลาว ศรีลังกา ค่าเงินอ่อนลงมาก เพราะคนขาดความเชื่อมั่น เนื่องจากเป็นหนี้ต่างประเทศมากเกินไป แต่ญี่ปุ่น ตั้งใจอ่อนค่าเงิน เพื่อเพิ่มความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เพิ่มการจ้างงาน และเพิ่มรายได้ประชาชน

ศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวเราได้เห็นค่าเงินของลาว, ศรีลังกา, ปากีสถาน และค่าเงินของญี่ปุ่นอ่อนค่าลงมาก แต่สาเหตุมาจากสิ่งตรงกันข้าม

ในกรณี ประเทศลาว เงินกีบอ่อนค่าลง 53.6% เทียบดอลลาร์ จาก 1 ปีที่ผ่านมา, ศรีลังกาอ่อนค่าลง 82%, ปากีสถานอ่อนค่าลง 31% และยังมีแอฟริกาอีกหลายประเทศที่เงินอ่อนค่าลงนั้น เป็นเพราะเป็นหนี้เงินตราต่างประเทศมากเกินไป

แม้ว่าจะกู้เงินมาสร้างโครงสร้างบริการพื้นฐานก็ตาม แต่รายได้ (GDP) เติบโตไม่ทัน มีเงินสำรองระหว่างประเทศเหลือน้อยไม่เพียงพอในการสร้างความเชื่อมั่น นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศจึงถอนทุนหนี ทำให้ไม่มีเงินซื้อสินค้าต่างประเทศที่จำเป็น ทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำมัน และสินค้าโภคภัณฑ์

การเป็นหนี้มากเกินไปและถูกถอนเงินทุน เนื่องจากเกิดความไม่เชื่อมั่นต่อรัฐบาล แม้คนในประเทศก็ถอนเงินออกไปต่างประเทศด้วย ทำให้เงินตราในประเทศลดค่าลงอย่างมาก จึงทำให้เกิดต้นทุนสูงขึ้นในสินค้านำเข้า แล้วส่งต่อเป็นทอดๆ ทำให้เกิดเงินเฟ้อสูงมากในประเทศ และเกิดการขาดแคลนสินค้านำเข้า เช่น น้ำมัน

ประเทศเหล่านี้ จึงต้องหดตัวทางการผลิต เพราะขาดแคลนสินค้านำเข้าขั้นกลาง ในขณะที่เกิดเงินเฟ้อสูงมาก ไปพร้อมๆ กัน

การแก้ไข คงต้องสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนโลกก่อน ซึ่งอาจต้องหาองค์กรที่น่าเชื่อถือมาค้ำประเงินกู้ ว่ามีจ่ายแน่ อาจต้องเพิ่มภาษี และขายรัฐวิสาหกิจ ไปเจรจาผัดผ่อนหนี้ระยะสั้น เป็นหนี้ระยะยาว แล้วนำเสนอแผนฯ ที่นักลงทุนมองว่าเป็นไปได้

ซีอีโอแบรนด์แฮวอน เจ้าของยาสีฟันแจงปมฟ้องผู้บริโภครายหนึ่ง เรียกค่าเสียหาย 1.7 ล้านบาท ระบุ ไม่มีเหตุผลที่จะฟ้องผู้บริโภค วิพากษ์วิจารณ์ตามจริงได้ แต่ฟ้องเฉพาะคนที่มีเจตนาไม่สุจริต ต้องการดิสเครดิตสินค้าเท่าน้ัน

จากกรณีที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ข้อความระบุว่า ตนถูกเจ้าของผลิตภัณฑ์ยาสีฟันยี่ห้อหนึ่งฟ้องเรียกค่าเสียหาย 1,700,000 บาท เพราะโพสต์ข้อความรีวิวผ่านกลุ่มเฟซบุ๊กกลุ่มหนึ่ง ทั้งที่ครอบครัวใช้ยาสีฟันยี่ห้อดังกล่าวทั้งบ้านมายาวนาน ตนรีวิวตามจริงที่เคยใช้ แต่อยู่ๆ เจ้าของแบรนด์มาฟ้องเรียกค่าเสียหาย ยืนยันว่า ไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่รีวิวตามจริงในฐานะผู้บริโภค ตอนนี้เดือดร้อนมาก ยังไม่มีรายได้ เพิ่งคลอดบุตรด้วย แฟนทำงานคนเดียว จะกินจะใช้ยังลำบาก จะทำยังไงดี 

แต่ทว่าชาวเน็ตได้ขุดข้อความที่เจ้าตัวโพสต์รีวิวยาสีฟันยี่ห้อหนึ่งโดยพาดพิงยี่ห้ออื่น พร้อมกับคอมเมนต์คนที่เข้ามาเตือนว่า ถ้าจะฟ้องก็ฟ้องมาถ้าไม่พอใจเชิญโพสต์อื่น ตนเสียเงินซื้อ พอใจที่จะรีวิวแบบนี้ จนกลายเป็นกระแสพลิกกลับ

ล่าสุดเฟซบุ๊ก Dolhathai Teenakul ของ น.ส.ดลหทัย ทีนะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แฮวอน จำกัด เจ้าของแบรนด์ยาสีฟันแฮวอน (Haewon) โพสต์ข้อความระบุว่า "ไม่มีเหตุผลที่แบรนด์แฮวอน จะฟ้องผู้บริโภคเลยค่ะ ผู้บริโภคย่อมวิพากษ์วิจารณ์สินค้าตามความเป็นจริงได้ อยู่กันมาเกือบ 10 ปี ไม่เคยฟ้องลูกค้าเลยซักคนเดียว สินค้าไหนก็ตาม เราไม่เคยมีความคิดแบบนี้ เพราะแบรนด์แฮวอนโตมาจากความเชื่อมั่นของลูกค้า ทุกคำแนะนำเรายินดีรับฟังเสมอ

‘Lord West’ แห่ง Spithead ส่งคำเตือนถึงกองทัพอังกฤษว่า ‘อ่อนแอเกินกว่าจะปกป้องประเทศจากผู้รุกรานได้’

 

ปัจจุบันคนไทยส่วนหนึ่งมักเอ่ยอ้างว่า การจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์สำหรับการรักษาอธิปไตยของชาติไม่จำเป็นแล้ว ด้วยสมัยนี้ไม่มีใครรบกันแล้ว แต่ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนจนกลายเป็นสงคราม ทำให้สังคมต้องกลับมาคิดทบทวนถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อม ทั้งกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ สำหรับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ดังที่อดีตผู้บัญชาการทหารเรืออังกฤษได้กล่าวเตือนรัฐบาลอังกฤษในรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักร

Lord West แห่ง Spithead (พลเรือเอก Sir Alan William John West) อดีตผู้บัญชาการกองทัพเรืออังกฤษ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๔๙

Lord West แห่ง Spithead (พลเรือเอก Sir Alan William John West) ได้กล่าวเตือนว่า กองทัพของสหราชอาณาจักรอ่อนแอเกินกว่าที่จะป้องกันประเทศในกรณีที่เกิดความขัดแย้งที่ต้องมีการใช้กองกำลังติดอาวุธ จากการประเมินของ Lord West แห่ง Spithead ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพเรืออังกฤษ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๔๙ ได้เน้นย้ำถึงการเพิ่มงบประมาณทางทหารที่ไม่เพียงพอ อันเป็นปัญหาที่สะสมเรื้อรังมานาน โดยเขาบอกว่า งบประมาณในปัจจุบันนั้น "น้อยเกินไป"

Lord West แห่ง Spithead (พลเรือเอก Sir Alan William John West) อดีตผู้บัญชาการกองทัพเรืออังกฤษ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๔๙

Lord West กล่าวว่า 'อาจจะ' เกิดสงครามขึ้นได้ในอนาคต แต่กองทัพอังกฤษ 'ขาดอุปกรณ์และกำลังพลในระดับที่จะทำให้ประเทศมีความมั่นคง' เขากล่าวในฐานะสมาชิกสภาขุนนาง (House of Lords) ในรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักร (UK Parliament) ณ พระราชวัง Westminster ในขณะที่มีการถกเถียงกันในรัฐสภาถึงผลกระทบจากความขัดแย้งในยูเครนหลังจากการบุกของรัสเซีย ซึ่งนำไปสู่ความตึงเครียดระหว่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น


Ben Wallace รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม อดีตร้อยเอกแห่งกองทัพบกสหราชอาณาจักร ผู้ซึ่งจบจากราชวิทยาลัยการทหาร Sandhurst

เดือนมีนาคมที่ผ่านมา Ben Wallace รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม อดีตร้อยเอกแห่งกองทัพบกสหราชอาณาจักร ผู้ซึ่งจบจากราชวิทยาลัยการทหาร Sandhurst ได้ประกาศว่า กองทัพอังกฤษจะมีการลดกำลังทหารลง ๑๐,๐๐๐ นาย โดยอ้างว่า เทคโนโลยีใหม่มี 'ผลกระทบอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยเพราะกำลังพลเพียงไม่กี่นายก็สามารถควบคุมปฏิบัติการทางทหารได้แล้ว' ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นการสั่นคลอนครั้งใหญ่ต่อกองทัพอังกฤษ รัฐมนตรีกลาโหม Wallace ยังกล่าวด้วยว่า กำลังทหารของกองทัพบกอังกฤษโดยรวมจะลดลงเหลือ ๗๒,๕๐๐ นาย ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๘ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางต่อความเคลื่อนไหวดังกล่าว

Lord West ขณะแถลงในรัฐสภา ด้วยฐานะสมาชิกแห่งสภาขุนนาง (House of Lords)

Lord West แถลงในรัฐสภาว่า “แม้จะมีความตั้งใจในทุกรูปแบบ แต่งบประมาณในการป้องกันประเทศก็ยังขาดแคลนซึ่งเป็นมาหลายปีแล้ว และเมื่อมองต่อไปยังอนาคต การขาดแคลนงบประมาณก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ด้วยสมมติฐานที่ว่า ‘เป็นการประหยัดที่มีประสิทธิภาพ’ ซึ่งเป็นเรื่องที่โกหกหลอกลวง เพราะการประหยัดที่มีประสิทธิภาพไม่มีทางเกิดขึ้นได้ และไม่มีจริง การใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการป้องกันประเทศอย่างชัดเจนเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับรัฐบาลในสังคมของเราที่อบอุ่นและมั่นคง แต่เหตุผลที่เราสามารถอยู่ในสังคมที่อบอุ่นและมั่นคงได้ ก็เพราะว่าเราใช้จ่ายงบประมาณในการป้องกันประเทศ” 

“คำกล่าวที่ว่า สงครามไม่ได้แพ้ชนะกันในสนามรบ แต่แพ้ชนะกันด้วยการสร้างขีดความสามารถทางการทหารไว้ล่วงหน้า นั้นเป็นความจริง โดยเฉพาะเมื่อศัตรูสังเกตเห็น ดังนั้นจึงต้องมีการเตรียมไม่ให้เกิดสงคราม ซึ่งต้องใช้ทั้งเวลาและงบประมาณ”


“พวกเราหลายคนได้เคยเตือนถึงการขาดแคลนงบประมาณที่เรื้อรังต่อเนื่องมายาวนาน แต่เราได้รับการบอกตอบครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ‘เราคิดผิด’ ซึ่งความจริงก็คือกองกำลังติดอาวุธของเราอ่อนแอเกินกว่าที่จะป้องกันประเทศจากสงครามได้...และหากมีสงคราม เกรงว่า สักวันพวกเขาอาจจะขาดแคลนอาวุธยุทโธปกรณ์ และกำลังพลในระดับที่จะให้ประเทศของเราปลอดภัย และกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศในปัจจุบันของเรามีขนาดเล็กเกินไป พวกเขาขาดแคลนทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์และกำลังพลทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เพื่อให้เพียงพอสำหรับอัตราการใช้ในสงครามที่จะสูงอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การลดขนาดของกองทัพเป็น ‘ขั้นตอนที่เร็วเกินไป’ ” Lord West กล่าวในรัฐสภา

จีนเปิดตัวเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่สามในวันศุกร์ โดยเรียกชื่อว่าเรือฝูเจี้ยน (Fujian) ซึ่งออกแบบและสร้างในจีนเองภายใต้โครงการขยายแสนยานุภาพทางทหารและยกระดับความทันสมัยของกองทัพจีน ตามรายงานของสื่อทางการจีน

พิธีเปิดตัวเรือฝูเจี้ยนจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่อู่ต่อเรือเจียงนาน ในนครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเต็มไปด้วยริบบิ้นและควันไฟหลากสี รวมทั้งแชมเปญ ทหารเรือจีนต่างยืนเรียงแถวร้องเพลงชาติหน้าเรือฝูเจี้ยน โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าร่วมงาน

สื่อจีนรายงานว่าเรือลำนี้มีระวาง 80,000 ตัน ถือเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่สามของจีนต่อจากเรืองชานตงที่ประจำการเมื่อปีค.ศ. 2019 และเรือเหลียวหนิงซึ่งจีนซื้อมาจากยูเครนเมื่อปีค.ศ.1998 และนำมาปรับปรุงใหม่

สื่อของทางการจีนรายงานว่า เรือฝูเจี้ยนมีลานจอดเครื่องบินแบบยาว ติดตั้งระบบอาวุธทันสมัย รวมถึงมีระบบปล่อยเครื่องบินไอพ่นด้วยพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดทางการทหารด้วย ตามรายงานของสื่อซินหว่าของทางการจีน

คาดว่าหลังจากการเปิดตัวในวันศุกร์ เรือฝูเจี้ยนจะกลับสู่กระบวนการปรับปรุงโฉมและทดสอบในทะเลจริงในอีกหกเดือนข้างหน้า

เวลานี้ จีนคือประเทศที่มีเรือบรรทุกเครื่องบินมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐฯ ซึ่งมีทั้งหมด 11 ลำ ขณะที่อังกฤษมีเรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำ มากเป็นอันดับสาม

การเปิดตัวเรือฝูเจี้ยนของจีนมีขึ้นขณะที่ความตึงเครียดกับสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นในประเด็นที่เกี่ยวกับไต้หวัน และการกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์ของจีนในทะเลจีนใต้ โดยเรือลำใหม่นี้ตั้งชื่อตามมณฑลฝูเจี้ยนซึ่งตั้งอยู่ติดกับช่องแคบไต้หวัน และเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการภาคตะวันออกของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน

‘สมศักดิ์’ ควง 2 ส.ส.หญิงราชบุรี เปิดงานส่งเสริมอาชีพหนุนเลี้ยงไก่ชน-วัวลาน สร้างรายได้เกษตรกร แนะรัฐบาลต้องทำวันสต็อปเซอร์วิสลดขั้นตอนยุ่งยาก ชี้ต้องบูรณาการร่วม 3 ส่วน ราชการ-ประชาชน-การเมือง หากทำได้เศรษฐกิจจะแล่นฉิว

เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรมและประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการส่งเสริมอาชีพกิจกรรมที่ 1 การส่งเสริมอาชีพประชาชนในยุคโลกาภิวัฒน์ โดยมีนายอุดม เพชรคุต รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา นายกอบจ.ราชบุรี นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา น.ส.กุลวลี นพอมรบดี ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม น.ส.ณัฐฐ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วย รมว.ยุติธรรม นายธนวัชร นิติกาญจนา ที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรม นางทัศนีย์ เปาอินทร์ อธิบดีกรมบังคับคดี นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. และประชาชนร่วมงานจำนวนมากจนแน่นงาน โดยก่อนเข้างานมีการคัดกรองโควิด-19 อย่างเข้มงวด

โดยก่อนเข้างานมีกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ชนและวัวลานในจ.ราชบุรี มายื่นหนังสือถึงนายสมศักดิ์ อยากให้มีการเปิดสนามซ้อมไก่ชนและสนามวัวลาน โดยนายสมศักดิ์ ระบุว่า เรื่องนี้ตนจะส่งเรื่องให้ท่านรองผู้ว่าไปพิจารณาและดำเนินการ ซึ่งหากพี่น้องเกษตรกรต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือก็รวมกลุ่มยื่นหนังสือมาได้ โดยการเปิดสนามซ้อมนั้นอยู่ที่การพิจารณาของ ศบค.และ สาธารณสุขจังหวัด ซึ่งสนามจะต้องมีมาตรการป้องกันโควิดอย่างเข้มงวด เช่นการแข่งวัวชน โดยตนคิดว่าตอนนี้น่าจะเปิดได้เพราะมีการผ่อนปรนเรื่องต่างๆเยอะแล้ว หากเปิดได้ก็จะดีเพราะจะมีเงินหมุนเวียนในระบบ และสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านได้อย่างมาก เพราะจะมีเงินหมุนเวียน ทั้งการขายอาหารสัตว์ อุปกรณ์ต่างๆ และพันธุ์ไก่ เป็นการช่วยเกษตรกรอีกทางหนึ่ง

จากนั้นนายวิวัฒน์ กล่าวรายงานว่า จ.ราชบุรี  มีประชากรประมาณ 852,939 คน ประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม อุตสาหกรรม ค้าขาย การบริการ  รับจ้าง ตามลำดับ  จากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด -19 ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ทำให้เศรษฐกิจทุกๆ ด้านต้องหยุดชะงัก ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน ทำให้สูญเสียรายได้ อบจ.ราชบุรี ได้ตระหนักถึง ปัญหาการประกอบอาชีพของพี่น้องประชาชน จึงได้ตั้งข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 เพื่อจัดทำโครงการส่งเสริมอาชีพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชนให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ให้มีความมั่นคงยั่งยืน สนับสนุนทุกอาชีพในการเป็นผู้ผลิตสู่การเป็นผู้ค้าให้ก้าวสู่ความเป็นสากล และเสริมสร้างในการต่อยอดอาชีพให้กับประชาชนให้มีรายได้เพิ่มขึ้นและให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างความเชื่อมั่น  มั่นใจ  ในการเป็นผู้ผลิตและเป็นผู้ค้า ให้ประชาชนทุกอาชีพสามารถมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นจะส่งผลให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี
 
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า หลายเดือนที่ผ่านมา ตนมีโอกาสได้ลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ทั่วทุกภาค พบเจอปัญหาหลายอย่างโดยเฉพาะพี่น้องเกษตรกร ซึ่งเป็นอาชีพหลักของประเทศไทย ขาดโอกาสการพัฒนาพืชเกษตรให้มีคุณภาพสูง เรายังใช้มหาวิทยาลัยน้อยมากในการวิจัยนวัตกรรมต่างๆ คงต้องใช้มหาวิทยาลัย และกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมให้มากขึ้น เพราะโอกาสของไทยยังก้าวไปได้อีกเยอะ อย่างเช่น พืชกระท่อม หากเราวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ให้มากขึ้น ผมเชื่อว่าเกษตรกรของไทยจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านี้อีกมาก

รู้จัก 'Ramsay Hunt Syndrome' โรคที่ทำ 'จัสติน บีเบอร์' อัมพาตครึ่งหน้า

หมอเผยโรค "รัมเซย์ ฮันต์ ซินโดรม" ที่ "จัสติน บีเบอร์" ป่วย ทำอัมพาตครึ่งหน้า เกิดจากไวรัสชนิดเดียวกับอีสุกอีใส เชื้อยังฝังในร่างกาย ทำให้เส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 อักเสบ ที่ทำหน้าที่คุมกล้ามเนื้อใบหน้า การรับรส ย้ำอาการไม่เกิดทันทีทันใด มีอาการอื่นก่อนหน้า

เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึง จัสติน บีเบอร์ ที่ออกมาโพสต์ถึงอาการอัมพาตครึ่งหน้า จากการป่วย "รัมเซย์ ฮันต์ ซินโดรม (Ramsay Hunt Syndrome)" ว่า โรคนี้เกิดจาก Varizella Zoster Virus ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกันกับที่ทำให้เกิดอาการของโรคอีสุกอีใส ซึ่งคนที่เคยเป็นโรคนี้แล้วตัวไวรัสอาจจะยังอยู่ในร่างกาย โดยไม่ก่อให้เกิดโรคได้หลายปี 

แต่เมื่อก่อโรคก็จะเป็นสาเหตุให้เกิดการอักเสบ โดยเฉพาะในตำแหน่งที่ทำให้เกิดโรค อาการของโรคจะเริ่มต้นจากอาการอักเสบทั่วไป ซึ่งเกิดขึ้นเฉพาะที่ ผู้ป่วยจะมีอาการปวด บวม แดง ร้อน ในตำแหน่งบริเวณใบหูของข้างที่เกิดอาการ หรืออาจจะมีไข้ต่ำๆ รู้สึกไม่สบายตัวร่วมด้วยได้

หลังจากนั้นจะพบตุ่มน้ำใส ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของไวรัสชนิดนี้ เกิดขึ้นที่บริเวณใบหู โดยตุ่มน้ำจะทำให้รู้สึกแสบๆ คันๆ หรือแสบร้อนมากกว่าตุ่มคันทั่วๆ ไป การอักเสบติดเชื้อดังกล่าวจะทำให้เส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ซึ่งทำหน้าที่ในการเลี้ยงกล้ามเนื้อใบหน้า หูชั้นใน และการรับรสบางส่วนเกิดการอักเสบ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการอัมพาตของใบหน้าครึ่งซีก หลับตาไม่สนิท ทำให้มีอาการเคืองตา หรือล้างหน้าแล้วแสบตาเนื่องจากน้ำสบู่เข้าตา เป็นต้น

นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผอ.สถาบันประสาทวิทยา กล่าวว่า การขยับกล้ามเนื้อใบหน้าที่เป็นอัมพาตทำให้การพูด การออกเสียง การดื่มน้ำและรับประทานอาหารมีปัญหา อาการจะคล้ายกับอาการเส้นประสาทใบหน้าอักเสบชนิด Bell’s Palsy ซึ่งเป็นการอักเสบของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 เช่นกัน แต่มักจะไม่พบสาเหตุชัดเจน และไม่มีอาการของผื่นหรือตุ่มน้ำใส เนื่องจากอาการอัมพาตของใบหน้าที่เกิดขึ้นเพียงครึ่งซีก ส่วนใหญ่จะค่อยๆ เป็นมากขึ้นในวันนั้นหรือข้ามวัน แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจจะไม่ได้สังเกตอาการตอนเริ่มต้น ทำให้เข้าใจว่าอาการเกิดขึ้นทันทีทันใด ซึ่งจำเป็นต้องแยกจากอาการของกลุ่มโรคหลอดเลือดสมองด้วย เนื่องจากเส้นประสาทดังกล่าวมีส่วนในการรับรส ทำให้การรับรสผิดปกติ และส่วนที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อในหูชั้นใน เช่น อาการหูอื้อ มีเสียงดังในหู หรือการได้ยินผิดปกติร่วมด้วยได้

'ดร.นิว' จี้ 'ผู้ว่าฯ ชัชชาติ' ลงมาอยู่กลางม็อบ พิสูจน์ให้เห็นใครกันแน่ใช้ความรุนแรง

12 มิ.ย. 2565 - ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และคณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์เฟซบุ๊ก ดังนี้

แสดงออกอย่างสงบจนสะเทือนเลือนลั่นขนาดนี้ คุณ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ควรกลับมาลงพื้นที่คั่นกลางระหว่างม็อบสามนิ้วกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไปเลย จะได้พิสูจน์กันชัดๆ ว่าใครใช้ความรุนแรง

'เฉลิมชัย' เร่งแก้ปัญหาปุ๋ยแพงปุ๋ยขาดแคลน 'อลงกรณ์' เจรจารัสเซียซื้อปุ๋ยราคามิตรภาพคืบหน้าพร้อม ดึง 'ธกส.-อตก.' ร่วมโครงการ

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยวันนี้ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบนโยบายให้เร่งช่วยเหลือเกษตรกรเพื่อแก้ไขปัญหาปุ๋ยแพงและปุ๋ยขาดแคลนจากผลกระทบของสงครามรัสเซีย-ยูเครนและปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 

จึงได้พบหารือกับ นิโคไล เชอร์เยฟ ที่ปรึกษาสำนักงานผู้แทนการค้ารัสเซีย ประจำประเทศไทย วิตาลี คิสเซเรฟประธานหอการค้าไทย-รัสเซีย ดร.ยงยุทธ สาระสมบัติ นายกสมาคมส่งเสริมเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทย-รัสเซีย ดร.อาณัติชัย รัตตกุล คณะทำงานที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ.และดร. วนิดา กำเนิดเพ็ชร์ ผู้อำนวยการสำนักการเกษตรต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเกี่ยวกับการนำเข้าปุ๋ยเคมีจากรัสเซียเพิ่มขึ้นในราคามิตรภาพซึ่งจากการหารือรอบแรกผู้แทนการค้ารัสเซียยืนยันว่ารัสเซียกับไทยมีความสัมพันธ์กันมากว่าร้อยปีจึงเห็นด้วยในหลักการที่จะขายปุ๋ยให้ไทยในราคาพิเศษ

“ยังมีเรื่องต้องหารือเกี่ยวกับรูปแบบการนำเข้าจะใช้โมเดลการนำเข้าปุ๋ยจากรัสเซียในราคามิตรภาพโดยสถาบันเกษตรกรหรืออตก.และจำหน่ายสู่เกษตรกรโดยตรงหรือจะเป็นแบบซาอุดีอาระเบียโมเดล คือ ภาครัฐตกลงกันเรื่องราคามิตรภาพและมอบหมายเอกชนผู้ส่งออกนำเข้าของ 2 ประเทศไปเจรจากัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top