Sunday, 6 October 2024
SPECIAL

ตำรวจไซเบอร์จับพ่อค้าป้ายทะเบียนปลอม พบส่งขายทั่วไทย ค้นบ้านเจอของกลางอื้อ

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้มีตรวจสอบการกระทำความผิดตามสื่อสังคมออนไลน์ ระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก

สืบเนื่องจากกรณีมีข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมรถยนต์หรูติดป้ายทะเบียนปลอมวิ่งผ่านด่านเก็บค่าผ่านทางโดยไม่ชำระค่าบริการจำนวนหลายครั้ง เช่น กรณีรถ BMW ติดป้ายแดงปลอมวิ่งผ่านด่าน M-Flow ค้างค่าชำระกว่า 7,000 บาท กรณีต่างชาติขับรถเบนซ์ป้ายแดงปลอม ผ่านด่าน M-Flow พบว่าค้างค่าผ่านทางสูงสุด 20 อันดับแรก และ อีกหลายกรณี เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์จึงออกสืบสวนหาข่าว จากการสืบสวนทราบว่าได้มีเพจเฟซบุ๊กชื่อ“ขายป้ายแดง พร้อมเล่ม” ได้มีการโพสต์ขายแผ่นป้ายทะเบียนที่ไม่ได้ออกโดยกรมการขนส่งทางบก (ป้ายปลอมและสมุดคู่มือประจำรถปลอม) ส่งขายออนไลน์ทั่วประเทศ ในราคา 3,500 – 8,500 บาท เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำการล่อซื้อจนทราบว่าผู้ที่เป็นแอดมินเพจดังกล่าวชื่อ นายศิวพัฒน์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวนายศิวพัฒน์ฯ ได้แล้วที่จังหวัดสระบุรี ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนขยายผลจนทราบว่ามีผู้ร่วมขบวนการ (ผู้ส่งของ) ได้มาจากการส่งแผ่นป้ายทะเบียนพร้อมสมุดคู่มือประจำรถปลอมจากพื้นที่จังหวัดตราด ทราบชื่อภายหลังคือ นายอติรุจ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญา

จนกระทั่งวันที่ 11 ก.ค.2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นบ้านหลังหนึ่งใน ต.หนองเสม็ด อ.เมืองตราด จ.ตราด โดยพบแผ่นป้ายทะเบียนอยู่ในบ้านจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการตรวจยึด และจับกุมนายอติรุจ ในความผิดฐาน “ร่วมกันปลอมเอกสารราชการและโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” และนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.สอท.4 เพื่อตรวจสอบและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

จากการสอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น นายอติรุจ ให้การรับว่าตนเองได้ซื้อแผ่นป้ายทะเบียน
(ป้ายแดง) พร้อมสมุดคู่มือประจำรถมาจากนายศิวพัฒน์ฯ ผ่านเพจเฟซบุ๊ก ซึ่งนายศิวพัฒน์ฯ เป็นแอดมิน
ในราคา 3,500 บาท และตนเป็นผู้นำส่งให้กับลูกค้าที่สั่งซื้อผ่านบริษัทขนส่งเอกชนแห่งหนึ่งเป็นประจำ ซึ่งตนเองได้สั่งซื้อมาแล้วจำนวนหลายครั้ง แต่ไม่ทราบว่าแผ่นป้ายทะเบียนดังกล่าวเป็นของปลอม และตนเองมาทราบข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการจับกุมเกี่ยวกับผู้ที่ใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ (ป้ายแดง) พร้อมสมุดคู่มือประจำรถปลอมทางโทรทัศน์และสื่อต่างๆ จนตนเองได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.4 จับกุมตามหมายจับของศาลอาญาในวันนี้

ตำรวจไซเบอร์ ขอเตือนพี่น้องประชาชนว่าการซื้อขายแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์หรือสมุดคู่มือประจำรถในเพจต่างๆ อาจจะถูกเจ้าของเพจที่เป็นมิจฉาชีพหลอกหรืออาจจะได้แผ่นป้ายรถยนต์และสมุดคู่มือประจำรถปลอม ซึ่งจากหลายครั้งที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กวดขันจับกุมผู้ที่กระทำผิดในการใช้และครอบครองแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์และสมุดคู่มือประจำรถที่ผิดกฎหมายมาตลอด จึงขอเตือนพี่น้องประชาชนว่าถ้าต้องการแผ่นป้ายทะเบียนและสมุดคู่มือประจำรถที่ถูกกฎหมายควรจะไปติดต่อที่กรมการขนส่งทางบกในพื้นที่ต่างๆ เพื่อไม่ให้เป็นเหยื่อของมิจฉาชีพต่อไป

‘ตร.’ คุมตัว ‘โอลาฟ’ มือฆ่าโหดนักธุรกิจเยอรมัน ส่ง สภ.หนองปรือ เร่งสอบสวนเค้นหาเหตุจูงใจ

(12 ก.ค. 66) จากกรณีการหายตัวไปของ นายฮันส์ ปีเตอร์ แรลเตอร์ มัค (MR.HANS PETER RALTER MACK) อายุ 62 ปี นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชาวเยอรมัน ตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา จนกระทั่งวันที่ 10 ก.ค. ตำรวจไล่กล้องวงจรปิด พบว่า โตโยต้า รีโว สีดำ จค 7679 ชลบุรี ซึ่งนายโอลาฟ ชาวเยอรมัน และเป็นเพื่อนสนิทของนางเพธา ได้รับช่วงต่อในการบรรทุกตู้แช่แข็งขับวนรอบๆ ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี เป็นระยะทางกว่า 160 กม. ก่อนจะขับเข้ามาจอดในหมู่บ้านโชคชัย การ์เด้น โฮม 1 ซึ่งห่างจากลานจอดรถชั่วคราวที่รถเบนซ์ของนายฮันส์ถูกนำไปจอดทิ้งไว้

จากนั้นตำรวจจึงนำกำลังเข้าตรวจสอบ จนทราบว่าตู้แช่แข็งถูกนำมาซุกซ่อนไว้ในบ้านทาวน์โฮมชั้นเดียว ภายในหมู่บ้านโชคชัย การ์เด้น โฮม 1 หมู่ 5 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี จึงรีบนำกำลังเข้าตรวจสอบ พร้อมด้วยตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน เขต 2 ชลบุรี ภายหลังเจ้าหน้าที่เปิดตู้แช่ พบร่างนายฮันส์ถูกฆ่าหั่นเป็น 13 ส่วน บรรจุใส่ถุงดำแล้วนำไปแช่แข็งไว้ จากการตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคล เบื้องต้นยืนยันว่าเป็นศพนายฮันส์ ปีเตอร์ นักธุรกิจชาวเยอรมัน ที่หายตัวไป ศพถูกแช่แข็ง ทำให้ศพยังอยู่ในสภาพยังไม่เน่าเปื่อย แต่พบว่าที่ศีรษะมีร่องรอยถูกตีด้วยของแข็งหลายครั้งจนเป็นแผลฉกรรจ์ ตำรวจจึงได้ส่งศพให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ทำการชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้ง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. มีการขอศาลอาญาออกหมายจับ ผู้ต้องหา 3 ราย ประกอบด้วย 1.) MRS.PETRA CHRISTL GRUNDGREIF (เพตรา) ชาวเยอรมัน 2.) MR.OLAF THORSTEN BRINKMANN (โอลาฟ) ชาวเยอรมัน และ 3.) นายซาฮ์รูค คารีม อุดดิน ชาวปากีสถาน สัญชาติไทย ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันซ่อนเร้นอำพรางศพ และต่อมา นางเพตรา ถูกจับกุมเป็นรายแรก ก่อนที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ออกมาเปิดเผยว่า รู้พิกัดของผู้ต้องหาอีก 2 รายแล้ว อยู่ระหว่างปฏิบัติการล่าตัว

ต่อมาช่วงค่ำวันเดียวกัน ชุด บก.ตม. 3 ไล่ล่าตัวผู้ต้องหา ฆ่าหั่นศพนักธุรกิจชาวเยอรมัน ตรวจสอบวงจรปิดตามเส้นทางที่คาดว่า นายโอลาฟจะใช้หลบหนีหลังมีการขโมยรถ จยย.ในการหลบหนี พบว่าหนีออกนอกพื้นที่ จ.ชลบุรีแล้ว มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ จึงติดตามมากระทั่งสามารถจับกุมตัวได้ในห้องพักหลังร้านอาหาร พื้นที่ สน.ประเวศ ก่อนนำตัวไปทำบันทึกจับกุมที่ สน.ประเวศ ตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ จากนั้นนำตัวไปสอบปากคำที่ สภ.หนองปรือ จ.ชลบุรี

โดยเมื่อเวลา 23.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัว นายโอลาฟ ธรอสเทน บริงก์มันน์ มาที่ สภ หนองปรือ โดยได้ควบคุมตัวเข้าห้องสอบสวนทันที โดยผู้สื่อข่าวได้สอบถาม นายโอลาฟ ธรอสเทน บริงก์มันน์ ว่ามีไรจะพูดหรือไม่?

ทางด้าน นายโอลาฟ ธรอสเทน บริงก์มันน์ ไม่ได้พูดอะไร ใช้เสื้อปิดหน้าปิดตา ก่อนเดินเข้าทางด้านหลัง สภ.หนองปรือ ทันที พร้อมนำตัวเข้าห้องสอบสวน เพื่อสอบถามอย่างละเอียดถึงมูลเหตุจูงใจ ที่ก่อเหตุในครั้งนี้

‘ต๋อง ศิษย์ฉ่อย’ เล่านาทีโดนหลอกจนสูญเงิน 3.2 ล้าน เผย!! ช่วงแรกผวา ‘นอนไม่หลับ-กินข้าวไม่ลง’ รู้สึกเหนื่อย

(11 ก.ค.66) สืบเนื่องจากกรณีข่าวแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์แอบอ้างเป็นตำรวจหลอกลวง นายวัฒนา ภู่โอบอ้อม หรือ ‘ต๋อง ศิษย์ฉ่อย’ ให้โอนเงินสูญเงินไป 3.2 ล้านบาท

ล่าสุด ‘ต๋อง ศิษย์ฉ่อย’ ได้มาเปิดใจผ่านรายการ ‘คุยแซ่บ Show’ เผยนาทีโดนหลอกสูญเงิน 3.2 ล้าน ท้อใจโอกาสได้เงินคืนไม่ถึง 1%

ต๋อง เผย ชีวิตหลังโดนหลอกรู้สึกเข่าแทบทรุด การใช้ชีวิตหลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไป ต้องไปปิดอายัดบัญชีธนาคารทั้งหมด เบอร์โทรศัพท์มือถือก็ต้องเปลี่ยนใหม่ ผลกระทบที่เกิดขึ้นเยอะมาก และเราก็ต้องประหยัดขึ้น ทำอะไรระวังตัวเองมากขึ้น ยอมรับว่าช่วงเกิดเหตุ 2 สัปดาห์แรกนอนหลับไม่สนิท กินข้าวก็ไม่ลง รู้สึกเหนื่อย และใช้ความคิดค่อนข้างเยอะ บอกเลยว่าไม่โดนด้วยตัวเองไม่มีทางเข้าใจ

ตำรวจไซเบอร์จับคาผ้าเหลือง เครือข่ายสรรพากรเก๊หนีจนมุมคากุฏ

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้มีตรวจสอบการกระทำความผิดตามสื่อสังคมออนไลน์ ระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก

สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.3 ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีที่มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โทรไปหาผู้เสียหายหลอกว่ามาจากกรมสรรพากร แล้วอ้างว่าจะทำเรื่องลดภาษีให้ แต่ไม่ต้องเดินทางมาที่สำนักงาน ต่อมาให้แอด LINE แล้วกรอกลิงก์ทำตามขั้นตอน หลังจากนั้นมือถือผู้เสียหายค้าง ทำอะไรไม่ได้ เมื่อใช้การได้ปกติพบว่าเงินในบัญชีที่ติดตั้งแอพธนาคาร 3 บัญชีถูกโอนออกไปหมด รวมมูลค่าประมาณ 2 ล้านบาท จากการรวบรวมพยานหลักฐาน เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.3 ได้ขออนุมัติศาลจังหวัดมหาสารคาม ออกหมายจับ นายอันนพ อายุ 46 ปี ชาว จ.กำแพงเพชร

ต่อมาในวันที่ 10 ก.ค.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้สืบทราบว่า นายอันนพฯ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ มาปรากฏตัวบริเวณวัดแห่งหนึ่งใน อ.ไทรงาม จ.กำแพงเพชร จึงได้เดินทางมาตรวจสอบ พบผู้ต้องหาอยู่ภายในวัดดังกล่าว จึงได้แสดงตัว และอ่านหมายจับ รวมทั้งได้ให้ผู้ต้องหาตรวจสอบหมายจับและอ่านหมายจับเอง ซึ่งผู้ต้องหายอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริงและไม่เคยถูกจับตามหมายจับนี้มาก่อน จึงได้แจ้งให้ผู้ต้องหา ทราบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดในฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนและร่วมกันเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน” และได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน บก.สอท.3 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พ.ต.อ.มรกต แสงสระคู ผกก.2 บก.สอท.3 ได้ฝากเตือนให้ผู้เสียภาษีระมัดระวังกลลวงจากมิจฉาชีพด้วย ซึ่งในปีที่แล้ว พบมีการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรโทรศัพท์หลอกลวงผู้เสียหายภาษีในกรณีต่างๆ เช่น อ้างว่าจะคืนภาษีให้ อ้างว่าเป็นหนี้ภาษีอากรค้างกรมสรรพากร หรือในเรื่องอื่นๆ โดยมีเงื่อนไขให้กดลิงก์ปลอมตามที่ส่งให้ทางแอพพลิเคชั่น LINE หรือให้แจ้งรหัส OTP 6 หลัก โดยอ้างว่าจะดำเนินการให้ จึงขอย้ำเตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากร โทรหาส่ง SMS แจ้งให้ประชาชนยื่นแบบหรือให้ชำระภาษีประจำปี เพราะอาจทำให้ท่านสูญเสียทรัพย์สินได้

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3, พ.ต.อ.มรกต แสงสระคู ผกก.2 บก.สอท.3 ได้สั่งการให้ พ.ต.ต.ธเนตร กาละกุล สว.กก.2 บก.สอท.3 พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

‘ตร.’ คุมตัว 2 ต่างชาติสอบเข้ม ปม ‘นักธุรกิจเยอรมัน’ หายตัวไป ล่าสุด ‘ทีมสืบฯ’ พบพิรุธเส้นทางการเงิน คาด!! อาจเอี่ยวคดีนี้ 

(10 ก.ค. 66) ศูนย์ข่าวศรีราชา - ผบก.สส.ภาค 2 นำทีมบุกตรวจค้นบ้านพัก 1 ในผู้ต้องสงสัยชาวต่างชาติเกี่ยวข้องการหายตัวไปของนักธุรกิจอสังหาฯ ชาวเยอรมันช่วงกลางดึกที่ผ่านมา หลังเชิญตัวชาวต่างชาติ 2 รายสอบปากคำ แต่ยังไม่ให้การใดๆ ส่วนผู้สูญหายยังไม่รู้ชะตากรรม

จากกรณีการหายตัวไปของ นายฮันส์ ปีเตอร์ แรลเตอร์ มัค (MR.HANS PETER RALTER MACK) อายุ 62 ปี นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชาวเยอรมัน พร้อมรถยนต์เมอร์เซเดส เบนซ์ คูเป้ อี 350 สีบรอนซ์เทา หมายเลขทะเบียน ญศ 7146 กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา จนภรรยาต้องประกาศตั้งรางวัลให้ผู้พบเห็นรถยนต์เป็นเงินจำนวน 100,000 บาท และเจอตัวผู้สูญหายจะให้รางวัลสูงถึง 3,000,000 บาท

โดยระบุว่าสามีหายไปหลังออกจากบ้านไปพูดคุยกับนายหน้าชาวต่างชาติที่รู้จักกันไม่นานเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินบนเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี มูลค่าหลายร้อยล้านบาท ก่อนจะมีการตามเจอรถยนต์ซึ่งถูกนำมาจอดทิ้งที่ลานจอดรถข้างคอนโดฯ ภายในซอยเขาน้อย เมืองพัทยา และมีผู้พบเห็นว่ามีผู้หญิงนั่งมาด้วย

จนนำสู่การตรวจสอบอย่างละเอียดภายในรถเบนซ์คันดังกล่าว แต่เจ้าหน้าที่ได้ออกมาเปิดเผยว่า ส่อแววร้าย เพราะพบว่าภายในรถยนต์มีการน้ำยาบางชนิดเข้ามาทำความสะอาดเบาะ และอีกหลายจุด ซึ่งเชื่อว่าเป็นความพยายามในการทำลายหลักฐาน และจากการตรวจสัญญาณโทรศัพท์มือถือครั้งสุดท้ายของผู้สูญหายพบพิกัดบริเวณแนวชายแดน จ.สระแก้ว นั้น

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่วงกลางดึกคืนที่ผ่านมา (9 ก.ค.) พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภาค 2 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ทวี กุดแถลง ผกก.สภ.หนองปรือ และเจ้าหน้าที่ทีมสืบสวนได้เชิญตัวชาวต่างชาติ 2 ราย ซึ่งเดินทางมาพร้อมทนายความเพื่อให้ปากคำเพิ่มเติม แต่ทั้งหมดยังคงปิดปากเงียบและยืนยันว่าจะให้ทนายความเป็นผู้จัดการเท่านั้น

โดยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญตัว 1 ในผู้ต้องสงสัยเป็นหญิงชาวต่างชาติเข้ามาให้ปากคำแล้ว แต่ยังยืนยันว่าจะให้ทนายความเป็นผู้ดำเนินการเช่นกัน

จากนั้น พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภาค 2 ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนภาค 2 สนธิกำลังร่วมเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนจังหวดชลบุรี เจ้าหน้าที่สืบสวนตำรวจท่องเที่ยว และเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง นำหมายค้นที่ 129/2566 เข้าไปตรวจค้นภายในบ้านเลขที่ 21/302 หมู่บ้านโชคชัย การ์เด้น 2 ม.10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง ซึ่งเป็นบ้านของ 1ในผู้ต้องสงสัยแต่ยังไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทีมสืบสวนได้พบเส้นทางการเงินที่ผิดปกติ รวมจำนวนกว่า 2 ล้านบาท ที่อาจมีส่วนเกี่ยวโยงกับคดีดังกล่าว แต่จะต้องรอรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม ขณะที่ นายฮันส์ ปีเตอร์ แรลเตอร์ มัค ยังไม่ทราบชะตากรรมว่าเป็นตายร้ายดีเช่นไร

‘ตร.สภ.ร่อนพิบูลย์’ พลาดท่าถูกแทงคอเสียชีวิต ขณะเข้าระงับเหตุหนุ่มเมายาอาละวาด

(8 ก.ค. 66) เมื่อเวลา 21.30 น. วันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา ร.ต.ต.บุญธรรม แก้วรัตน์ รอง สวป.สภ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช ทำหน้าที่ร้อยเวร 20 ได้รับแจ้งว่ามีเหตุลูกเมายาบ้าเกิดอาการอาละวาดคลุ้มคลั่ง ที่บ้านเลขที่ 254/1 บ้านป่ากล้วย หมู่ 3 ต.ควนชุม อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช ร.ต.ต.บุญธรรม จึงนำกำลังตำรวจสายตรวจในปกครองเดินทางไปบ้านที่เกิดเหตุเพื่อระงับเหตุ

เมื่อไปถึงบ้านที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นบ้านปูชั้นเดียว ภายในบ้านพบนายรพีพัฒน์ ช่วยสวัสดิ์ อายุ 28 ปี ลูกชายเจ้าของบ้านมีอาการเมายาเสพติดกำลังอาละวาดส่งเสียงดังเอะอะโวยวายอยู่ในบ้าน ซึ่งเมื่อ ร.ต.ต.บุญธรรม มาถึงได้สั่งวางกำลังตำรวจตามยุทธวิธีเพื่อเข้าระงับเหตุ โดยมีอุปกรณ์เป็นไม้ง่ามเตรียมพร้อมเข้าระงับเหตุ ปรากฏว่าขณะที่ ร.ต.บุญธรรม กำลังเจรจาได้พยายามเจรจาเข้าพูดคุยโดยตัวนายรพีพัฒน์ซึ่งกำลังแอบอยู่ในบ้าน ปรากฏว่าทันใดนั้นนายรพีพัฒน์ได้วิ่งออกจากบ้านพุ่งเข้าหา ร.ต.ต.บุญธรรม และใช้มีดเดือยไก่ยาวประมาณ 24 ซม. แทงเข้าไปที่ลำคอของ ร.ต.ต.บุญธรรม จำนวน 1 แผลฉกรรจ์ แผลกว้าง 2 ซม. ยาว 2.5 ซม. และลึก 4 ซม. ตัดเส้นเลือดใหญ่ที่ลำคอจนทำให้ ร.ต.ต.บุญธรรม ล้มฟุบจมกองเลือดหมดสติทันที ก่อนที่กำลังตำรวจทั้งหมดจะรุมบุกเข้าชาร์ทจับกุมตัวนายรพีพัฒน์ ไว้ได้ทันควัน พร้อมอาวุธมีดเดือยแก่ยาว 24 ซม. ของกลางที่ใช้ก่อเหตุและค้นตัวพบยาบ้าจำนวน 4 เม็ดด้วย

ส่วนร่างของ ร.ต.ต.บุญธรรม ทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยได้รีบนำส่ง รพ.ร่อนพิบูลย์ และส่งต่อ รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช เพื่อให้แพทย์ช่วยเหลือชีวิตเป็นการด่วน ซึ่งมีอาการยังไม่รู้สึกตัว เสียเลือดมาก เส้นเลือดใหญ่ที่คอขาด ได้ทำการต่อห้ามเลือด และยังมีเส้นเลือดเส้นเล็กที่ขาดอีก หัวใจหยุดเต้นหลายรอบ หมอทำการ CPR กลับมามีชีพจร หัวใจกลับมาทำงาน ความดันเพิ่มขึ้น หมอได้ให้ยาเต็มจำนวนที่ร่างกายจะรับได้ แต่ยังไม่ได้ผ่าตัดเนื่องจากยังไม่ตอบสนอง ไม่สามารถให้ยาสลบได้ ได้ย้าย ร.ต.ต.บุญธรรมฯ จากห้องผ่าตัด มาอยู่ห้อง ICU ล่าสุด ร.ต.ต.บุญธรรม ได้เสียชีวิตแล้วเมื่อเช้าวันนี้ (8 ก.ค.) ที่ รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนตำรวจและญาติๆ สำหรับ ร.ต.ต.บุญธรรม ปัจจุบัน อายุ 54ปี

หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.สมชาย ซื่อต่อตระกูล ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช ได้เดินทางไปยังสภ.ร่อนพิบูลย์ เพื่อสอบสวนปากคำนายรพีพัฒน์ ด้วยตนเอง แต่นายรพีพัฒน์ยังให้การวกไปวนมา เนื่องจากยังไม่ส่างจากยาเสพติด พร้อมทั้งประชุมตำรวจสภ.ร่อนพิบูลย์ เพื่อดำเนินคดีนายรพีพัฒน์อย่างเต็มที่ต่อไป

‘ตำรวจ ดส.’ บุกทลาย!! ฟิตเนสซาวน่าย่านรัชดา พบแอบเปิดมั่วเซ็กซ์ชายรักชาย ซากถุงยางเกลื่อนพื้น

(8 ก.ค.66) ตำรวจ ดส. นำชายกว่า 36 คน ซักถามหลังจากบุกเข้าตรวจค้นสถานบริการฟิตเนสและอบซาวน่าแห่งหนึ่ง ลักษณะเป็นอาคารพาณิชย์ 5 ชั้น ปลูกติดกันหลายคูหา ถนนรัชดาภิเษก ก่อนถึงแยกมไหสวรรค์ กรุงเทพฯ 

พ.ต.ต.ยศชนินทร์ ประเสริฐโสภา สารวัตร กก.ดส. เผยว่า ได้รับคำสั่งจาก พ.ต.อ.ธีรศักดิ์ จันทราพิพัฒน์ ผกก.ดส. หลังจากได้รับเรื่องร้องเรียนว่า สถานบริการดังกล่าวแอบเปิดให้บริการลูกค้ากลุ่มชายรักชายเข้ามามีเพศสัมพันธ์ จึงส่งสายลับแฝงตัวเข้าไปสืบทราบว่ามีการแจกจ่ายถุงยางอนามัยหลังเสียค่าบริการ 200 บาท จึงนำกำลังเข้าตรวจค้นสถานที่ดังกล่าวช่วงเวลา 22.00 น. พบว่าบริเวณชั้น 1 เป็นเคาน์เตอร์ต้อนรับลูกค้า ชั้น 2 เป็นห้องฟิตเนส ส่วนชั้น 3 ชั้น 4 มีลักษณะถูกแบ่งเป็นห้องเล็กๆ พบบางส่วนอยู่ภายในห้อง มีถุงยางอนามัยที่ผ่านการใช้ตกที่พื้นและในถังขยะ ส่วนชั้น 5 เป็นห้องอบซาวน่า พบมีผู้ใช้บริการจำนวน 31 คน พนักงาน 4 คน และ เจ้าของสถานบริการ 1 คน  

จากการซักถามส่วนใหญ่ยอมรับว่า เข้ามาใช้สถานที่เพื่อหาคู่มีเพศสัมพันธ์จริง จึงลงบันทึกประจำวันไว้ก่อนปล่อยตัวกลับไป เนื่องจากไม่พบหลักฐานการค้าประเวณี พร้อมตรวจหาสารเสพติด ซึ่งทั้ง 31 คนไม่พบว่ามีสารเสพติดในร่างกาย ส่วนพนักงาน 4 คน เจ้าของสถานบริการ พิจารณาข้อกล่าวหาเป็นธุระจัดหาหรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งชายหรือหญิงตามประมวลกฎหมายอาญา และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี 

นอกจากนี้จากการตรวจสอบประวัติคดีพบว่า 1 ในผู้มาใช้บริการมีหมายจับของ สภ.เมืองสมุทรสงคราม ในข้อหาฉ้อโกง จึงประสานให้ สภ.เมืองสมุทรสงครามมารับตัวไปดำเนินคดี 

รายงานข่าวแจ้งว่าฟิตเนสดังกล่าว เปิดให้บริการลูกค้าชายที่มีรสนิยมชอบไม้ป่าเดียวกัน โดยเก็บค่าเข้าใช้บริการคนละ 200 บาท ซึ่งพนักงานประจำเคาน์เตอร์ จะมีกุญแจตู้ล็อกเกอร์เก็บเสื้อผ้า และมีสายรัดข้อมือให้คนละ 1 เส้น โดยเป็นที่รู้กันว่า ลูกค้ารายใดที่มีรสนิยมเป็นฝ่ายรุก ก็จะนำสายรัดข้อมือรัดไว้ที่ข้อมือข้างขวา ส่วนผู้ที่เป็นฝ่ายรับจะนำสายรัดข้อมือรัดไว้ที่ข้อมือข้างซ้าย หากลูกค้าถูกใจกันก็จะเปิดห้องพักเพื่อมีเพศสัมพันธ์

‘ตำรวจ ปส.’ สกัดจับยาบ้ากว่า 22 ล้านเม็ด-ไอซ์ 620 กก. ทลาย 7 เครือข่าย รวบ 17 ผู้ต้องหา จ่อขยายผลจับคนสั่งการ

(7 ก.ค. 66) พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.พลัฏฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส., พล.ต.ต.สมกิต พุ่มวารี ผบก.ขส., พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ บุญยืนอนนต์ ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผบก.ปส.3 พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. และ กอ.รมน. ร่วมแถลงผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติด ตามนโยบาย ตร. ประกอบกับการเดินหน้าทำลายเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่และรายย่อย ตามนโยบายเร่งด่วนของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. อย่างเข้มข้น

ล่าสุดตำรวจ ปส. (NSB) สามารถทลาย 7 เครือข่าย ผู้ต้องหา 17 คน พร้อมของกลาง ยาบ้า 22 ล้านเม็ด ไอซ์ 620 กก. รถยนต์ 12 คัน ยึดทรัพย์สินเกี่ยวเนื่องจากการค้ายาเสพติด 8 ล้านบาท

คดีที่ 1 ตำรวจ ปส. (NSB) โดยตำรวจ บก.ปส.2 และ บก.ขส. ได้สืบสวนขยายผลจนทราบว่า ในวันที่ 12 มิ.ย. 66 กลุ่มเครือข่ายยาเสพติดในภาคอีสาน จะลักลอบลำเลียงยาเสพติดเป็นจำนวนมาก จาก อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม เพื่อไปส่งในพื้นที่ตอนใน โดยมีนายสุวิทย์ ใช้รถกระบะยี่ห้อเชฟโรเลต รุ่นโคโลราโด สีเทา หมายเลขทะเบียน บร 75xx มหาสารคาม เป็นยานพาหนะในการลำเลียงยาเสพติดในครั้งนี้ ตำรวจ บก.ปส.2 และ บก.ขส. ได้เฝ้าติดตามในพื้นที่ จนพบรถกระบะเป้าหมายดังกล่าวที่บริเวณสี่แยกบ้านธาตุ จ.สกลนคร จึงได้ติดตามไป จนรถเป้าหมายรู้ตัวว่าถูกติดตามและได้หลบหนีเข้าไปในซอยบ้านพักแห่งหนึ่ง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น ก่อนจะจับกุมตัวได้พร้อมของกลางยาบ้าที่ซุกซ่อนอยู่ในท้ายกระบะ และในห้องโดยสารรถ 5 กระสอบ รวม 2 ล้านเม็ด จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน ปส.2 เพื่อดำเนินคดีและขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการต่อไป

คดีที่ 2 จากการสืบสวนขยายผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ซึ่งเป็นเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ทางภาคเหนือ ทราบว่านายพีรวัฒน์ กับพวก ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องเชื่อมโยงในการลำเลียงยาเสพติด โดยจะลำเลียงยาเสพติดจากภาคเหนือ ไปส่งให้กับผู้รับช่วงต่อในพื้นที่ภาคกลาง ตำรวจ บก.สกส. และ บก.ขส. จึงวางกำลังติดตาม

จนกระทั่งวันที่ 13 มิ.ย. 66 เวลาประมาณ 12.50 น. พบรถยนต์ต้องสงสัย ทะเบียน บว 54XX สระบุรี ขับขี่ไปถึงเส้นทางหลวงหมายเลข 21 (สระบุรี-หล่มสัก) จึงได้สกัดจับกุม ได้ที่บริเวณลานวัดโคกกระต่ายทอง ต.จำปา อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีนายพีรวัฒน์ เป็นผู้ขับขี่ และมีนายพงษ์ นั่งข้างคู่คนขับ จากการตรวจค้นพบไอซ์ 500 กก. ซุกซ่อนอยู่บริเวณที่นั่งผู้โดยสารด้านหลังคนขับ และซุกซ่อนอยู่ภายในท้ายกระบะ ได้ที่บริเวณลานวัดโคกกระต่ายทอง ต.จำปา อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา และสามารถสกัดจับกุมนายรักชาติ ผู้ขับขี่รถยนต์ หมายเลขทะเบียน บห 19XX สระบุรี และนายวิชัย (นั่งคู่คนขับ) ซึ่งทำหน้าที่คุ้มกัน/สำรวจเส้นทาง ในการลำเลียงยาเสพติดครั้งนี้ ได้ที่ บริเวณลานจอดรถตลาดนัด ในพื้นที่ ต.กุดนกเปล้า อ.เมือง  จ.สระบุรี จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีตามกฎหมายและออกหมายจับติดตามผู้ต้องหาที่หลบหนี และบุคคลในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

คดีที่ 3 เมื่อวันที่ 18 – 19 มิ.ย. 66 ตำรวจ ปส.2 ได้สืบสวนขยายผลเครือข่ายนักค้ายาเสพติด รายสำคัญ จนทราบว่าจะมีการลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ จ.บึงกาฬ โดยใช้รถยนต์ขับผ่านเส้นทาง จ.บึงกาฬ, จ.สกลนคร, จ.อุดรธานี, จ.ขอนแก่น, จ.ชัยภูมิ จึงติดตามความเคลื่อนไหว ต่อมาวันที่ 19 มิ.ย.66 พบรถยนต์เป้าหมายวิ่งผ่านถนนหมายเลข 201 ถนนชัยภูมิ-สีคิ้ว บริเวณหน้าบริษัทแห่งหนึ่ง ลักษณะเป็นรถที่มีการบรรทุกสิ่งของอย่างหนัก ก่อนจะจอดรถนานผิดปกติ ตำรวจ ปส.2 จึงแสดงตัวเข้าตรวจค้น พบนายธนพัฒน์หรือเฟส เป็นผู้ขับขี่ พบไอซ์ บรรจุในถุงชาสีเขียวอ่อน 3 กระสอบ จำนวน 120 ก้อน น้ำหนัก 120 กก. ซุกซ่อนในห้องโดยสารด้านหลังคนขับ สอบสวนนายธนพัฒน์ รับว่า ลำเลียงยาเสพติดมาแล้ว 5 ครั้ง โดยได้รับค่าจ้างล่วงหน้าบางส่วน เงินที่เหลือจะได้รับเมื่องานสำเร็จ จากนั้นจึงจับกุมและนำตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน ปส.2 เพื่อดำเนินคดีและขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการต่อไป

คดีที่ 4 เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 66 ตำรวจ บก.สกส. และ บก.ขส. ได้ขยายผลจากการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดในภาคกลาง จนสามารถจับกุมนายปกรณ์ และนายฉัตรชัย โดยจากการสืบสวนพบว่านายฉัตรชัย จะนำยาเสพติดจากพื้นที่ จ.สุโขทัย ไปส่งให้กับลูกค้าในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา จึงได้เฝ้าติดตามจับกุม จนกระทั่งเมื่อวันที่  28 มิ.ย.66 เวลาประมาณ 10.00 น. พบรถยนต์ หมายเลขทะเบียน บม 35XX สุโขทัย กำลังลำเลียงยาเสพติด ที่บริเวณถนนในพื้นที่ จ.อยุธยา จึงได้ทำตรวจค้นจนสามารถ จับกุมนายฉัตรชัย ได้บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อ สาขาโก่งธนู  จ.ลพบุรี พร้อมยาบ้าที่ถูกซุกซ่อนไว้บริเวณที่นั่งด้านหน้าข้างคนขับ และท้ายกระบะโดยมีผ้าใบสีดำคลุมปิดอำพรางไว้ รวม 3 ล้านเม็ด และสามารถสกัดจับกุมนายปกรณ์ ขับรถยนต์ หมายเลขทะเบียน บน 66XX ตาก ซึ่งทำหน้าที่คุ้มกัน/สำรวจด่าน ได้ที่บริเวณริมถนนในพื้นที่ หมู่ 1 ต.สำพะเนียง อ.บ้านแพรก จ.พระนครศรีอยุธยา จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย และขยายผลออกหมายจับบุคคลในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

คดีที่ 5 เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 66 ตำรวจ ปส. 3 จับกุม นายเจษฎากร และนายอภิเษก พร้อมยาบ้า 6 ล้านเม็ด โดยก่อนการจับกุม ตำรวจ ปส.3 สืบทราบว่าเครือข่ายยาเสพติดจะลำเลียงยาบ้าจาก อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เข้ามาซุกซ่อนไว้ในพื้นที่ ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย ก่อนจะส่งมอบให้กับเครือข่าย โดยใช้รถกระบะในการลำเลียง จึงนำกำลังเฝ้าติดตามรถเป้าหมาย พบรถกระบะ บว-66XX สระบุรี จอดอยู่บริเวณท้ายถนนบ้านน้ำลัดซอย 16 หมู่ 3 ต.ริมกก อ.เมือง จ.เชียงราย จนกระทั่งเวลา 23.00 น. พบนายอภิเษก ขับขี่รถจักรยานยนต์และมีนายเจษฎากร ซ้อนท้ายก่อนลงรถจักรยานยนต์ แล้วขับรถกระบะเป้าหมายออกไป ตำรวจ ปส.3 จึงติดตามไปจับกุมได้ที่ บริเวณแยกห้วยปลากั้ง ถ.เลี่ยงเมืองเชียงรายตะวันตก ตรวจค้นในรถพบยาบ้า ซุกซ่อนอยู่บริเวณในห้องโดยสารและท้ายรถกระบะ รวม 6 ล้านเม็ด และได้ติดตามไปจับกุมนายอภิเษก ได้ที่บริเวณแยกขัวแคร่ ต.บ้านดู่ อ.เมือง จ.เชียงราย จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน ปส.3 เพื่อดำเนินคดีและขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการต่อไป

คดีที่ 6 เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 66 ตำรวจ ปส.1 ร่วมกับ บก.ขส. และ ปส.2 จับกุม 6 ผู้ต้องหา คือ นายเจริญชัย หรือโจ, น.ส.เกศินี หรือแกล้ม, นายสุพรรณ หรือเบ็นซ์, น.ส.รัฐชิตา หรือเบ็นซ์, นายโยธณัฐ หรือดรีม และ น.ส.ธิติมา หรือทิพย์ โดยก่อนการจับกุม ตำรวจ ปส.1 สืบสวนทราบว่าเครือข่ายของนายสุพรรณ หรือเบนซ์ จะใช้รถยนต์ 3 คัน ลำเลียงยาเสพติดมาจากริมฝั่งแม่น้ำโขงด้าน อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ขับรถมุ่งหน้า จ.นครราชสีมา จึงได้สะกดรอยติดตาม และสามารถสกัดจับได้บริเวณสถานีน้ำมัน ขาเข้ากรุงเทพมหานคร ต่อเนื่องบริเวณสถานีน้ำมัน (ขาเข้า) ต่อเนื่องบริเวณถนนมิตรภาพ ตรวจค้นภายในห้องโดยสารรถพบยาบ้า 9 กระสอบ และอีก 3 กระสอบ อยู่ด้านท้ายกระโปรงรถยนต์ รวมยาบ้า 5 ล้านเม็ด เบื้องต้นได้ขยายผลตรวจยึดทรัพย์สิน มูลค่ารวมกว่า 8 ล้านบาท จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน ปส.1 เพื่อดำเนินคดีและขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการต่อไป

คดีที่ 7 เมื่อวันที่ 5 ก.ค.66 ตำรวจ บก.สกส. และ บก.ขส. ร่วมกันสืบสวนขยายผลจากการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดในภารอีสาน ทราบว่า เครือข่ายนี้จะขนยาเสพติดล็อตใหญ่ไปส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ตอนใน จึงร่วมกันสืบสวนจับกุม จนกระทั่งวันที่ 5 ก.ค.66 เวลาประมาณ 08.00 น. พบรถกระบะต้องสงสัย ทะเบียน ผว xxxx ขอนแก่น ขับขี่ผ่าน จ.มุกดาหาร มุ่งหน้าไป จ.มหาสารคาม และ จ.นครราชสีมา น่าเชื่อว่ามีการลำเลียงยาเสพติดไปส่งให้ลูกค้าตามข้อมูลที่มี จึงได้สกัดจับกุม ได้ที่บริเวณริมถนนมิตรภาพ ต.โตนด อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา โดยมี นายอิสระ เป็นผู้ขับขี่ จากการตรวจค้นพบยาบ้า ซุกซ่อนอยู่บริเวณท้ายกระบะติดตั้งตู้ทึบ จำนวน 15 กระสอบ จำนวน 6,000,000 เม็ด จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมยาเสพติดของกลาง รถกระบะ 1 คัน โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง นำส่งพนักงานสอบสวน ปส.2 ดำเนินคดีตามกฎหมาย และสืบสวนขยายผล เพื่อจับกุมบุคคลในเครือข่ายมาดำเนินคดีต่อไป

สำหรับเดือน มิ.ย. 66 ตำรวจ ปส. สามารถจับกุมยาเสพติดรายสำคัญ 18 คดี  ผู้ต้องหา 30 คน ของกลาง ยาบ้า 18 ล้านเม็ด, ไอซ์ 1,983 กก., เฮโรอีน 46 กก. และ ยาอี 5,865 เม็ด โดยยาเสพติดของกลางที่ตรวจยึดมาได้นั้นพนักงานสอบสวนจะส่งไปตรวจพิสูจน์ยังหน่วยที่กำหนดไว้ อาทิ สำนักงาน ป.ป.ส.,กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ หลังจากนั้นยาเสพติดของกลางจะถูกเก็บรักษาไว้ที่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อการทำลายต่อไป

‘แจ๊บ’ พ่อเลี้ยงฆ่าโบกปูนลูกบุณธรรม ขอ ตร.ยกเลิกทำแผน หวั่นไม่ปลอดภัย เตรียมฝากขังพรุ่งนี้ ลุ้นคัดค้านประกันตัว

(5 ก.ค. 66) จากกรณี น.ส.นิรมล หรือ ‘มิ้นท์’ พรหมคุณ อายุ 30 ปี เดินทางเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางเขน ว่า นายยุทธนา หรือ ‘แจ๊บ’ มาดี อายุ 29 ปี สามีของ น.ส.นิรมล ก่อเหตุฆาตกรรมใช้ไม้เบสบอลทุบตี ด.ญ.อริศสา หรือ ‘ใหม่’ (สงวนนามสกุล) อายุ 12 ปี ลูกบุญธรรม ที่รับอุปการะมาจากญาติห่างๆ จนเสียชีวิต ก่อนจับยัดถังพลาสติกโบกปูนทับ เพื่ออำพรางศพ หลังจากนั้น ทั้งคู่ได้เดินทางเพื่อไปสารภาพกับญาติเด็ก แต่ นายยุทธนา ออกอุบายว่า ไปหาเพื่อน ก่อนหลบหนีไป โดยเหตุเกิดขึ้นเมื่อช่วงเวลา 01.00 น. วันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา กระทั่งเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมนายยุทธนา ไว้ได้ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (5 ก.ค.) ที่ สน.บางเขน พ.ต.อ.อนันต์ วรสาตร์ ผกก.สน.บางเขน เปิดเผยถึงความคืบหน้าว่า เบื้องต้นได้แจ้งข้อกล่าวหานายยุทธนาใน 2 ข้อหาคือ ทำร้ายร่างกายผู้อื่น เป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย และลอบฝังซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพหรือส่วนของศพ เพื่อปิดบังการเกิดการตายหรือเหตุแห่งการตาย ซึ่งผู้ต้องหาให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา และไม่ประสงค์ที่จะทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เนื่องจากเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย

ส่วน น.ส.นิรมล พนักงานสอบสวนกำลังเตรียมแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันลอบฝังซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพหรือส่วนของศพ เพื่อปิดบังการเกิดการตายหรือเหตุแห่งการตาย ส่วนประเด็นที่ น.ส.นิรมลทำร้ายผู้ตายจริงหรือไม่ จากการไล่กล้องวงจรปิดเราดูเฉพาะวันเกิดเหตุ และการมาให้ปากคำในช่วงที่ผ่านมา เป็นการให้ปากคำในฐานะพยาน แต่หลังจากที่แจ้งข้อกล่าวหากับ น.ส.นิรมล ตำรวจต้องไปไล่ดูกล้องวงจรปิดทั้งหมด เพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน

ส่วนเรื่องที่ผู้ต้องหาอ้างว่าผู้ตายติดการพนัน และขโมยเงินไปเล่นการพนันนั้น ต้องรอการตรวจสอบสวนก่อน ซึ่งผู้ต้องหาให้การแต่เพียงว่า ผู้ตายมักจะขโมยเงิน และสินค้าอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ น.ส.นิรมลต้องรับผิดชอบลูกค้า ในฐานะที่เป็นบริษัทแพ็คของส่ง ซึ่งครั้งนี้มีการขโมยเงินจำนวนมากถึงหลักหมื่น

อย่างไรก็ตาม ในวันพรุ่งนี้ (6 ก.ค.) พนักงานสอบสวน สน.บางเขน จะนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังที่ศาลอาญารัชดา ส่วนจะคัดค้านการประกันตัวหรือไม่ ให้อยู่ในดุลยพินิจของพนักงานสอบสวนต่อไป

‘พนักงานปั๊ม’ น้ำตาตก!! ลูกค้าชักดาบค่าน้ำมันกว่าครึ่งหมื่น เผย ตนได้ค่าแรงวันละ 300 ไม่พอชดใช้ วอนลูกค้ากลับมาจ่ายเงิน

(5 ก.ค. 66) พ.ต.ท.ชัยทัต แย้มโพธิ์ใช้ รอง.ผกก.(สอบสวน) สภ.ปลวกแดง ได้รับแจ้งความจาก น.ส.ฐิติรัตน์ แซ่เตียว อายุ 23 ปี พนักงานเสมียนปั๊มเชลล์ ที่หมู่ 5 ตำบลแม่น้ำคู้ อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ได้รับมอบหมายจากเจ้าของปั๊ม ให้มาแจ้งความ ว่าเมื่อวันที่ 5 ก.ค. เวลา 02.00 น. ถูกลูกค้าชาย ขับรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ โตโยต้า วีออส สีดำ ไม่ทราบแผ่นป้ายทะเบียน เข้ามาเติมน้ำมันใส่ถังสำรอง จำนวน 1 ถัง ที่อยู่ท้ายกระโปรงหลังรถ หลังจากเติมเสร็จ บอกว่าจะสแกนจ่ายเงินยอด 5,000.40 บาท พอเด็กปั๊มหันหลัง สุดท้ายก็รีบขึ้นรถ ขับหนีออกไปโดยไม่จ่ายเงิน จึงนำหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิด มาแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ร้อยเวรเพื่อให้นำตัวลูกค้าคนดังกล่าวมารับผิดชอบและดำเนินคดีตามกฎหมาย
.
จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดจากผู้เสียหาย พบรถยนต์เก๋งสีดำไม่ทราบยี่ห้อ และเลขทะเบียน ขับเข้ามาเติมน้ำมันที่จุดจ่ายที่ 1 โดยมีชายรูปร่างสูงผอม สวมใส่เสื้อสีเหลือง กางเกงขายาวสีดำ เดินลงจากรถฝั่งคนขับ และเดินมาเปิดท้ายกระโปรงหลัง เพื่อให้พนักงานปั๊มเติมน้ำมันลงในถังสำรอง ที่จัดเตรียมมาหลังจากเติมเสร็จก็ขับออกไป ตามที่ผู้เสียหายได้มาแจ้งความ

นายสมยศ พนักงานปั๊มในคลิป ให้การณ์ว่า ได้มีลูกค้าชายขับรถยนต์เก๋งเข้ายี่ห้อ โตโยต้า วีออส สีดำ จอดที่จุดจ่ายที่แรก บอกตนว่าขอเติมน้ำมัน ดีเซล 5,000 บาท ใส่ถังสำรองด้านหลัง ตนก็เอะใจทำไมรถเก๋งเติมน้ำมันดีเซล ปกติเคยเห็นแต่รถกระบะมาเติม พอตนเติมให้เต็มถัง ลูกค้าก็ไม่จ่ายเงินและก็ขับหนีไป อยากวอนให้ลูกค้าสงสารตน ช่วยมาจ่ายเงินด้วย เพราะตนโดนทางปั๊มหักเงิน ต้องชดใช้เอง ค่าแรงตนแค่ 300 กว่าบาท กี่วันถึงจะชดใช้หมด

ด้านเจ้าหน้าที่ร้อยเวรรับแจ้งความ พร้อมตรวจสอบกล้องวงจรปิดจากผู้เสียหาย เพื่อดูลักษณะรูปพันสันฐานผู้ก่อเหตุ และประสานชุดสืบตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามจุดต่างๆ เพื่อติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

‘สมาคมฯ ฟุตบอล’ ได้รายชื่อ 24 มือดีจุดพลุแฟลร์ เร่งดำเนินคดี  หลังป่วนงาน AFF 2022 ทำให้เกิดเพลิงไหม้-ทรัพย์เสียหาย

เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 66 ตามที่สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้แจ้งความร้องทุกข์กรณี กลุ่มแฟนบอลบางส่วนทำผิดระเบียบการแข่งขันและผิดกฎหมายกรณีวางเพลิงเผาทรัพย์ ทำให้เกิดเพลิงไหม้ ด้วยการจุดพลุแฟลร์ ในการแข่งขันฟุตบอลรายการ AFF MITSUBISHI ELECTRIC CUP 2022 ระหว่างทีมชาติไทยกับทีมชาติฟิลิปปินส์ ในวันที่ 26 ธันวาคม 2565 และ ระหว่างทีมชาติไทยกับทีมชาติมาเลเชีย วันที่ 10 มกราคม 2566 ณ ธรรมศาสตร์ สเตเดียม ตามประจำวันลำดับ ที่ 19 ลงวันที่ 13 มกราคม 2566 เวลา 12.44 น. นั้น

ล่าสุด สมาคมฯ ได้ติดตามความคืบหน้าคดีข้างต้นจากสถานีตำรวจภูธรคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ได้ความว่า อยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานเพื่อขอออกหมายจับกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ร่วมกันกระทำความผิด จำนวน 24 ราย อย่างเร่งด่วนต่อไป​ ประกอบด้วย 1.) แกนนำกลุ่ม นาย ป. นามสกุล ป. อายุ 44 ปี มีภูมิลำเนาอยู่บางบอนใต้ เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร

สมาชิกกลุ่ม ที่เคลื่อนไหวอีก 23 ราย ประกอบด้วย

1.) นาย ธ. นามสกุล ว. อายุ 25 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ กทม., 2.) นาย ส. นามสกุล อ. อายุ 48 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดนนทบุรี, 3.) นาย ฉ. นามสกุล จ. อายุ 40 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดพิจิตร, 4.)นาย ว. นามสกุล จ. อายุ 36 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดปทุมธานี, 5.) นาย อ. นามสกุล พ. อายุ 39 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดระนอง, 6.) นาย ก. นามสกุล ก. อายุ 44 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ กทม., 7.) นาย ธ. นามสกุล ส. อายุ 27 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดนครนายก, 8.)นาย น. นามสกุล ช. อายุ 37 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ กทม., 9.) นาย อ. นามสกุล ส. อายุ 48 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ กทม., 10.) นาย ส. นามสกุล อ. อายุ 38 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดชลบุรี

11.) นาย ม. นามสกุล ศ. อายุ 42 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์, 12.) นาย ศ.นามสกุล ถ. อายุ 42 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ กทม., 13.) นาย ย.นามสกุล จ. อายุ 46 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดนนทบุรี, 14.) นาย น. นามสกุล อ. อายุ 40 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ กทม., 15.) นาย อ. นามสกุล ฤ. อายุ 42 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ กทม., 16.) นาย ณ. นามสกุล ช อายุ 43 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดสระบุรี

17.) นาย ก.นามสกุล ส. อายุ 44 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ กทม., 18.) นาย ณ.นามสกุล ว. อายุ 40 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดร้อยเอ็ด, 19.) นาย ก.นามสกุล จ. อายุ 41 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดสมุทรปราการ, 20.) นาย ก. นามสกุล ข. อายุ 26 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดตราด, 21.) นาย ช. นามสกุล ฟ. อายุ 30 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ กทม., 22.) นาย ธ. นามสกุล ป. อายุ 53 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ กทม., 23.) นาย ช. นามสกุล บ. อายุ 32 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดนนทบุรี

ทั้ง 24 ราย ปรากฏตามภาพถ่าย ซึ่งสมาคมฯ จะดำเนินคดีจนถึงที่สุด นอกจากจะเป็นความผิดอาญาตามกฎหมายในประเทศไทยแล้ว ยังเป็นความผิดตามระเบียบข้อบังคับของ เอเอฟซี และฟีฟ่า อีกด้วย และอาจถูกปรับทำให้เกิดความเสียหายต่อสมาคมฯ สมาคมจะใช้สิทธิ์ตามกฏหมายฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้เกี่ยวข้องเต็มจำนวน

ทั้งนี้ ในการแข่งขันฟุตบอลรายการระดับนานาชาติ ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ได้เกิดเหตุการณ์แฟนบอลจุดพลุ ในสถานที่จัดการแข่งขันหลายครั้งจนเป็นเหตุให้สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ถูกลงโทษปรับเงิน คือ

วันที่ 6 กันยายน 2557 การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย 2014 รุ่นอายุไม่เกิน 16 ฤดูกาล รอบคัดเลือก คู่ระหว่างทีมชาติไทย 0 : 1 ทีมชาติมาเลเซีย ณ สนามเมืองทอง ถูกปรับเงิน 11,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 363,000 บาท)

วันที่ 17 ธันวาคม 2559 การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน 2016 คู่ระหว่าง ทีมชาติไทย 2 : 0 ทีมชาติอินโดนีเซีย ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน ถูกปรับเงิน 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 1,076,790 บาท)

วันที่ 26 ธันวาคม 2565 การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน 2022 คู่ระหว่าง ทีมชาติไทย 4 : 0 ทีมชาติฟิลิปปินส์ ณ ธรรมศาสตร์ สเตเดียม เมื่อแฟนบอลกลุ่มหนึ่งแสดงความดีใจด้วยการจุดพลุบริเวณอัฒจันทร์หลังประตูฝั่งทิศใต้ ถูกปรับเงิน 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 687,770 บาท)

และล่าสุด เอเอฟซี มีคำสั่งปรับเงิน สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ จำนวน 70,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 2.4 ล้านบาท จากการที่มีแฟนบอลกลุ่มหนึ่งทำผิดระเบียบ โดยการจุดพลุ ระหว่างการแข่งขันฟุตบอลชายหาด ชิงแชมป์เอเชีย รอบสุดท้าย ที่ ประเทศไทย เป็นเจ้าภาพ เมื่อวันที่ 16-26 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา

พ่อเลี้ยงใจเหี้ยม!! โมโหลูกวัย 12 แอบกินของที่ต้องส่งลูกค้า ใช้ไม้เบสบอลตีดับ อำพรางศพยัดใส่ถังน้ำแข็งโบกปูนทับ

(4 ก.ค. 66) คดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญกลางกรุง ‘ฆ่ายัดถังโบกปูน’ ถูกเปิดเผย หลัง ร.ต.อ.ธนศักดิ์ พ้องเสียง รอง สว.(สอบสวน) สน.บางเขน รับแจ้ง น.ส.อภิญญา หรือ ‘เบลล์’ อายุ 24 ปี ว่า ด.ญ.อริศสา หรือ ‘น้องใหม่’ อายุ 12 ปี ซึ่งเป็นหลานสาวถูกนายยุทธนา หรือ ‘แจ๊บ’ อายุ 29 ปี พ่อเลี้ยง ทำร้ายจนเสียชีวิตภายในบ้านหลังหนึ่ง ในซอยพหลโยธิน 48 แยก 19 ขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพฯ

ที่เกิดเหตุเป็นบ้านทาวเฮ้าส์ 2 ชั้น ประกอบกิจการรับจ้างแพ็กสินค้าใส่กล่องเพื่อส่งมอบให้บริษัทขนส่ง จากการตรวจสอบบริเวณครัวหลังบ้านชั้นล่าง พบถังพลาสติก ขนาด 200 ลิตร สีน้ำเงิน วางอยู่ใต้เคาน์เตอร์อ่างล้างจาน เมื่อนำถังดังกล่าวออกมาเปิดดูพบมีการถมด้วยดินอยู่ชั้นบนสุด และมีการโบกปูนทับในชั้นรองลงมา เมื่อนำดินและปูนออก เจ้าหน้าที่พบศพ ด.ญ.อริศสา หรือ ‘น้องใหม่’ หลานสาวของผู้แจ้ง สภาพศพเปลือย มีถุงขยะสีดำและผ้าขนหนูสีชมพูห่อหุ้มร่างเอาไว้ ตรวจสอบเบื้องต้น พบบาดแผลถูกตีด้วยของแข็งตามใบหน้าและร่างกายหลายแห่ง คาดเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 48 ชั่วโมง

จากการสอบสวน น.ส.อภิญญา ผู้แจ้งเหตุ ให้การว่า ด.ญ.อริศสา พักอยู่กับ นายยุทธนา และ น.ส.นิรมล ซึ่งรับเลี้ยง ด.ญ.อริศสา ที่ผ่านมาทราบว่า ด.ญ.อริศสา มีอุปนิสัยค่อนข้างก้าวร้าว และชอบลักขโมยข้าวของภายในบ้าน จน น.ส.นิรมล และ นายยุทธนา ต้องว่ากล่าวตักเตือนและทำโทษด้วยการตีอยู่หลายครั้ง แต่ ด.ญ.อริศสา ยิ่งถูกทำโทษ ก็ยิ่งมีการต่อต้าน ที่ผ่านมาทั้งนายุทธนา และ น.ส.นิรมล นำเรื่องมาปรึกษาตน ซึ่งก็ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร

จนกระทั่งเมื่อเวลา 19.00 น.ที่ผ่านมา น.ส.นิรมล และ นายยุทธนา มาหาตนที่บ้าน ย่านรามอินทรา นายยุทธนา ยอมรับว่า ได้ใช้ไม้เบสบอลตี ด.ญ.อริศสา จนเสียชีวิต ตั้งแต่ช่วง 01.00 น. ของวันที่ 2 ก.ค. 2566 เนื่องจากจับได้ ด.ญ.อริศสา ขโมยอาหารเสริมซึ่งเป็นสินค้า ที่ต้องแพ็กนำส่งให้ลูกค้าไปกิน โดยหลังจากที่พลั้งมือตีลูกที่ตัวเองรับมาเลี้ยงจนตาย นายยุทธนา ได้วางแผนจะทำลายศพด้วยการหั่นแต่ไม่กล้า

จึงไปซื้อถังพลาสติกขนาดใหญ่มาใส่ศพโบกปูนและถมดินทับ ก่อนที่จะตัดสินใจมารับสารภาพและให้ช่วยแจ้งความ โดยหลังจากที่ตนแจ้งความแล้ว นายยุทธนา ก็ได้เดินทางไปหาเพื่อนแถวแฟลตดินแดงแล้วไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย ส่วน น.ส.นิรมล ผู้เป็นภรรยา ขณะนี้ฝ่ายสืบสวนนำตัวไปสอบปากคำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เบื้องต้นพนักงานสอบสวน ได้มอบร่างผู้ตาย ให้แพทย์นิติเวชนำไปผ่าชันสูตร อย่างละเอียดอีกครั้ง จากนั้นได้ประสานให้ฝ่ายสืบสวนติดตามตัวนายยุทธนา มาดำเนินคดี ส่วน น.ส.นิรมล นั้น ต้องรอผลสอบปากคำว่ามีส่วนรู้เห็นมากน้อยเพียงใด หากพบว่ามีพฤติกรรมร่วมกันกระทำความผิดก็จะแจ้งข้อหาดำเนินการในฐานะผู้ร่วมกันฆ่าฯ และร่วมกันซ่อนเร้นอำพรางศพ

'โตโยต้า' นำ 'สองแถวไฟฟ้า' ให้ลองใช้ฟรีในเมืองพัทยา ปลุกกระแสพัฒนาเมืองยั่งยืนปราศจากมลภาวะ

'โตโยต้า' เอาด้วย!! นำ 'สองแถวไฟฟ้า' ให้มาทดลองใช้ในพื้นที่เมืองพัทยาจำนวน 12 คัน ในต้นปี 2567 เพื่อพัฒนาเมืองที่ยั่งยืนปราศจากมลภาวะ โดยเมืองพัทยาไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

ไม่นานมานี้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา พร้อมด้วยคุณสุรภูมิ อุดมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และคุณเรวัฒน์ เชี่ยงฉิน ประธานกรรมการ สหกรณ์เดินรถพัทยา จำกัด ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการพัฒนาเมืองที่ยั่งยืนปราศจากมลภาวะ (ฉบับที่ 2) ซึ่งมีนายวุฒิศักดิ์ เริ่มกิจการ รองนายกเมืองพัทยา เรือตรีปราโมทย์ ทับทิม ปลัดเมืองพัทยา สมาชิกสภาเมืองพัทยา หัวหน้าส่วนราชการ พร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน เข้าร่วมสักขีพยาน ณ ห้องประชุมทัพพระยา ศาลาว่าการเมืองพัทยา 

การพัฒนาเมืองอัจฉริยะถือเป็นวาระสำคัญ ที่จะพัฒนาเมืองท่องเที่ยวของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายและสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ตลอดจนเพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศตามแนวทางการขับเคลื่อนประเทศไทย ทางพัทยาได้มีแนวทางการส่งเสริมเมืองพัทยา ให้เป็นเมืองท่องเที่ยวอัจฉริยะ ที่พร้อมผลักดันตามนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนให้เมืองพัทยาใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ทันสมัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการให้บริการ ตลอดจนการลดใช้จ่าย ด้วยการลดการใช้ทรัพยากรของเมือง และประชาชน 

โดยเน้นการออกแบบการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจ ภาคประชาชนในการพัฒนาเมือง ภายใต้แนวคิด การพัฒนาเมืองน่าอยู่ เมืองทันสมัย ให้ประชาชนในเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดี จากโครงการพัฒนาเมืองต้นแบบที่ยั่งยืนปราศจากมลภาวะ (Decarbonized Sustainable City) ที่ได้เริ่มโครงการตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2563 เป็นต้นมา ซึ่งได้เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันเมืองอัจฉริยะต้นแบบให้แก่ประเทศไทย ทั้งในด้านการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยการนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้าประเภทต่างๆ มาให้บริการ รวมทั้งรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฮโดรเจน ซึ่งเป็นมิติใหม่ทางด้านพลังงาน เข้ามาใช้ในการเดินทาง อีกทั้งการสร้างสถานีต้นแบบเติมไฮโดรเจนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงแห่งแรกของประเทศไทย

ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญของเมืองพัทยา ที่จะได้สานต่อความร่วมมือดังกล่าว ในการนำรถยนต์สองแถวไฟฟ้าเข้ามา ทดลอง ภายใต้โครงการ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อเมืองพัทยา ทั้งด้านการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม เพื่อเตรียมความพร้อมของเมืองพัทยา ให้ไปสู่เมืองอัจฉริยะผ่านความร่วมมือระหว่าง บริษัท โตโยต้า เมืองพัทยา และสหกรณ์เดินรถพัทยา ภายใต้โครงการความร่วมมือ 'โครงการพัฒนาเมืองที่ยั่งยืนปราศจากมลภาวะ' ที่ทุกภาคส่วนร่วมกับขับเคลื่อนพัฒนาเมืองพัทยา ให้เป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก และเป็นต้นแบบของการจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและการเดินทางที่ทันสมัย ซึ่งจะนำพาเมืองพัทยาให้เป็นพื้นที่ต้นแบบในการสร้างสมดุลระหว่าง เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม เพื่อก้าวไปสู่เมืองอัจฉริยะ และปราศจากมลภาวะต่อไป

‘ตร.ไซเบอร์’ เตือนภัยหลังแอปธนาคารแห่ล่ม มิจฉาชีพปล้นทรัพย์ผ่านลิงก์ปลอมให้อัปเดต

(3 ก.ค.66) เพจกองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี - บก.ปอท. โพสต์ระบุว่า…

ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาระบบบริการโอนเงินต่างธนาคารเกิดขัดข้อง ส่งผลต่อการทำธุรกรรมผ่าน Mobile Banking, Internet Banking ไม่สามารถดำเนินการได้ชั่วคราว

เตือนประชาชนระวัง มิจฉาชีพจะอาศัยจังหวะนี้ ส่งข้อความการอัปเดต Mobile Banking แนบลิงก์ปลอม ให้เหยื่อเผลอกดลิงก์ ส่งผลให้ถูกขโมยข้อมูลส่วนบุคคล หรือ ถูกติดตั้งแอปรีโมทเพื่อเข้าควบคุมโทรศัพท์ สุดท้ายถูกคนร้ายโอนเงินออกจากบัญชี

การอัปเดตแอปพลิเคชัน Mobile Banking
กดอัปเดตผ่าน Apple Store หรือ Play Store เท่านั้น

แจ้งความออนไลน์ www.thaipoliceonline.com
Line : @police1441 แชตบอทกับหมวดขวัญดาว

‘ตร.’ บุกจับ คู่ผัวเมียสอนเทรด ตุ๋นลูกศิษย์ลงทุน-เก็งกำไร อ้างไม่ได้ตั้งใจโกง แต่ตรวจพบมีประวัติเคยฉ้อโกงติดตัว

วันที่ (29 มิ.ย. 66) พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น./ หัวหน้าชุด PCT 5, พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง, พ.ต.อ.นิวัตน์ พึ่งอุทัยศรี รอง ผบก สส.บช.น., พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าว/ บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.ยิ่งยศ ลีชัยอนันต์, พ.ต.ท.พัชรพงษ์ กาญจนวัฎศรี รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าว/ บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.สมพงษ์ เกตุระติ สว.กก.วิเคราะห์ข่าว/ บก.สส.บช.น. ร่วมกับ พ.ต.อ.โสภณ ม่วงเฟื่อง ผกก.สภ.เมืองเชียงราย ได้ร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุม น.ส.ธรรยชนก อายุ 37 ปี ชาวจังหวัดเชียงราย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนครปฐม ที่ จ.300/2565 ลงวันที่ 26 ส.ค. 65 และนายกนก หรือ ‘นายเก้าทัพ’ อายุ 36 ปี ชาวจังหวัดเชียงราย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนครปฐม ที่ จ.209/2565 ลงวันที่ 17 มี.ค. 66 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกง และร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” จับกุมตัวได้ที่บ้านหลังหนึ่ง หมู่ 12 ตำบลท่าสาย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา

สืบเนื่องจากช่วงเดือน ส.ค. 62 กลุ่ม K1FX Trader Club ได้มีการประชาสัมพันธ์ในช่องทางออนไลน์ว่า ได้มีการจัดตั้งบริษัทกองทุนชื่อ ‘Ascension Wealth’ มีระบบการลงทุนที่ปลอดภัย รับผลกำไรที่ยั่งยืน ด้วย Copy Trade Investment โดยมีการการันตีผลตอบแทนขั้นต่ำเดือนละ 5 % ของเงินต้น และมีการประกันเงินทุน 100% พร้อมด้วยกรมธรรม์คุ้มครองการลงทุน ทำให้กลุ่มผู้เสียหายหลงเชื่อมั่นว่า บริษัทกองทุนดังกล่าวมีการแบ่งปันผลกำไรได้จริง จึงได้มีการลงทุนรวมเป็นเงินกว่า 24 ล้านบาท

ต่อมาโบรกเกอร์ FTG ซึ่งเป็นโบรกเกอร์ที่นายกนก ใช้ได้ปิดตัวลง ผู้เสียหายได้สอบถามขอดูข้อมูลจากนายกนก แต่นายกนกก็ไม่ให้ข้อมูลใดๆ แก่ผู้เสียหาย หลังจากนั้นผู้เสียหายก็ติดต่อกับนายกนกฯยากขึ้น และไม่ได้รับผลตอบแทน ซึ่งต่อมาผู้เสียหายได้พยายามติดต่อกับนายกนก เรื่อยมาเพื่อขอทุนคืน แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จึงเชื่อว่าถูกฉ้อโกงเงิน จึงได้เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครปฐม เพื่อดำเนินคดี

กระทั่งศาลจังหวัดนครปฐมได้พิจารณาออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งคู่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการที่ 5 กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ สืบนครบาล ร่วมกับชุด PCT5 จึงรีบทำการสืบสวนหาเบาะแส จนสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองรายดังกล่าวมาดำเนินคดีได้

จากการสอบสวน น.ส.ธรรยชนก หรือโดนัท ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยอ้างว่า นายกนก หรือเคน หรือนายเก้าทัพ สามีเป็นคนเอาบัญชีธนาคารตนไปรองรับเงินที่ผู้เสียหายลงทุนเทรดเก็งกำไรค่าเงิน (Forex) ส่วนนายกนก หรือเคน ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้ข้อมูลว่าเดิมทีตนเองรับราชการ มีความรู้และสนใจเรื่องการลงทุนเทรดเก็งกำไรค่าเงิน (Forex) จึงได้ตัดสินใจลาออกจากราชการเพื่อมาทำธุรกิจเรื่องการลงทุนเทรดเก็งกำไรค่าเงิน (Forex) อย่างเต็มตัว

นายกนก หรือเคน หรือนายเก้าทัพ ให้การอ้างว่า ความจริงแล้วตนไม่ได้มีเจตนาที่จะฉ้อโกงผู้เสียหาย แต่เนื่องจากประสบปัญหานำเงินที่ได้จากผู้เสียหายไปลงทุนนั้นขาดทุนซึ่งตนพยายามที่จะชดใช้คืนผู้เสียหายแต่ละรายอยู่ และไม่ได้หลบหนีไปไหน พร้อมที่จะเดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

จากการตรวจสอบประวัติคดีของ น.ส.ธรรยชนก ในฐานข้อมูลสำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่าปัจจุบัน ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดธัญบุรี ที่ 502/2564 ลงวันที่ 17 ส.ค.2564 กระทำความผิดฐาน ‘ฉ้อโกง’ ท้องที่ สภ.คูคต อีก 1 หมายจับ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประสานแจ้งให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบดำเนินการอายัดตัวผู้ต้องหาเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายเป็นที่เรียบร้อย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครปฐม เพื่อดำเนินคดีต่อไป

ด้าน พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวแจ้งเตือนภัยไปยังพี่น้องประชาชนว่าในสังคมปัจจุบัน มิจฉาชีพมีเล่ห์เหลี่ยมกลโกงมากมายหลายรูปแบบ ตลอดจนการลงทุนต่างๆ มีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ชัดเจนก่อนทำการลงทุน ตลอดจนขอให้ประชาชนได้โปรดใช้สติในการใช้ชีวิตในสังคม อย่างหลงเชื่อกลโกงต่างๆ ของมิจฉาชีพซึ่งมีอยู่มากมาย ควรมีสติวิเคราะห์ถึงพฤติกรรม กลโกง

หากไม่แน่ใจ หรือสงสัยว่าบุคคลที่เข้ามาเสนอผลประโยชน์ นั้นจะเป็นมิจฉาชีพ หรือไม่ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบ หรือแจ้งเบาะแสการกระทำความผิด มายังเพจ ‘สืบสวนนครบาล IDMB’ ได้ตลอด 24 ชม. แม้จะเป็นคดีที่มีความเสียหายไม่มาก แต่หากเป็นคดีที่ประชาชนเดือดร้อน เราทำทันที ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top