Saturday, 20 April 2024
SPECIAL

หนุ่มวิศวกร ถูกสาวหลอกให้รักนาน 3 ปี  หมดเงินไปกว่า 3 ล้าน แถมยังเป็นหนี้อีก 2 ล้าน 

ผู้เสียหายเล่าว่า เมื่อช่วงตุลาคม ปี 63 ไปเจอหญิงสาวรายหนึ่งที่สถานบันเทิง โดยฝ่ายหญิงอ้างว่า ถูกชะตาจึงคุยกันเรื่อยมา และบอกว่ายังไม่มีใคร ต่อมาฝ่ายหญิงอ้างว่า แม่ป่วยเป็นมะเร็ง มีความจำเป็นต้องหาเงินรักษา ตนจึงโอนเงินไปช่วย ประมาณ 50,000-100,000 บาท โดยฝ่ายหญิงบอกว่า ให้ถือเป็นค่าสินสอด เพราะคบกัน ซึ่งในระหว่างที่คุยกัน ฝ่ายชายขอเจอครอบครัวแต่ฝ่ายหญิงก็บ่ายเบี่ยงตลอด อ้างว่าไม่สะดวก

จนเดือนเมษายน ปี 64 ฝ่ายหญิงอ้างว่าต้องใช้เงินเพื่อผ่าตัดแม่ ซึ่งขณะนั่นฝ่ายชายบอกว่าเงินเก็บที่มีหมดแล้ว อาจจะไม่สามารถโอนให้ได้ ฝ่ายหญิงจึงเริ่มขอห่าง ซึ่งฝ่ายชายพยายามติดต่อฝ่ายหญิง จนเดือนพฤษภาคม 2564 ฝ่ายหญิงบอกว่าเธอป่วยเป็นมะเร็ง และขาดการติดต่อไป กระทั่ง ตุลาคม 64 มีบุคคลอ้างว่าเป็นแม่ของฝ่ายหญิง ติดต่อมาหาฝ่ายชายผ่านทางไลน์และบอกว่าลูกสาวเสียชีวิตแล้ว

แต่ผ่านไปสักพัก ก็มีผู้หญิงอ้างว่าเป็นพี่สาวฝาแฝดของฝ่ายหญิง ติดต่อมาเมื่อเดือนมีนาคม 65 หญิงที่อ้างเป็นพี่สาวบอกว่าน้องสาวยังไม่ตาย แต่ถูกจับอยู่ที่มาเลเซีย จำเป็นต้องใช้เงินประกันตัว จำนวน 130,000 บาท เมื่อได้ประกันตัวกลับมาก็อ้างว่ากักตัวตามมาตรการป้องกันโควิด -19 จึงไม่สามารถให้เจอตัวได้ และมีการขอให้โอนเงินเรื่อยมา 
จึงทำให้ฝ่ายชายเกิดข้อสงสัยว่ารักกันจริงหรือมาหลอกกัน และเมื่อไปค้นหาข้อมูลในอินสตาแกรมและโซเชียลก็พบว่า ฝ่ายหญิงใช้ชีวิตกิน เที่ยวหรู และเจอว่าฝ่ายหญิงมีครอบครัวแล้ว เพิ่งซื้อบ้านหลังใหม่ ในพื้นที่เขตสายไหม เปิดร้านขายอาหาร และซื้อรถคันใหม่ ฝ่ายชายพยายามติดต่อไปจนถึงตอนนี้แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จึงต้องเข้าร้องทางเพจสายไหมต้องรอดให้ช่วยเหลือ เพื่อไม่ให้หญิงรายนี้ไปกระทำพฤติกรรมเช่นนี้กับบุคคลอื่นอีก

ทั้งนี้ หนุ่มวิศวกร รายนี้บอกว่า ตั้งแต่ติดต่อกันมา เคยเจอฝ่ายหญิงแค่ 3 ครั้ง ซึ่งทุกครั้งได้เจอที่สถานบันเทิง ไม่เคยเจอครอบครัวของฝ่ายหญิง และสูญเงินกว่า 3 ล้านบาทแถมยังต้องเป็นหนี้จากการกู้เงินอีก 2 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือฝ่ายหญิง ซึ่งทุกวันนี้ตนต้องจ่ายหนี้บัตรเครดิต เดือนละกว่า 1 แสนบาท 

ด้าน นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ระบุ ลักษณะนี้ถือเป็นการฉ้อโกง เพราะฝ่ายหญิงตั้งใจหลอก โดยมีการสร้างเรื่องต่างๆ มาหลอกให้ฝ่ายชายเชื่อและโอนเงินช่วยเหลือ ซึ่งหลังจากนี้จะดำเนินคดี โดยผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความแล้วเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ที่ สภ.บางปะกง จ. ฉะเชิงเทรา

‘วัชรินทร์’ กรรมการไทยหนึ่งเดียวใน ONE ฉายา ‘เปาป้อม’ คิดสั้นปลิดชีพตัวเองด้วยปืนพก เหตุเครียดจากเรื่องงาน

วันนี้ (17 มิย. 66) เฟซบุ๊ก มิสเตอร์ป๋อง ได้โพสต์ข้อความข่าวการจากไปของ สิบตำรวจเอก วัชรินทร์ รัชนิพนธ์ หรือ “เปาป้อม” ฉายาในวงการมวย ซึ่งได้ปลิดชีพตัวเองด้วยปืนพก โดยระบุว่า ...

..กรรมการไทยหนึ่งเดียวในONE อนาคตกำลังไปได้สวย มาด่วนคิดสั้นปลิดชีพตัวเองช็อควงการมวย!!
..เวลา ประมาณ 22.00 น.วันศุกร์ที่ 16 ม.ย.66  ตำรวจ สน.ลาดพร้าว พร้อมกับตำรวจพิสูจน์หลักฐาน และแพทย์นิติเวช รพ.ตำรวจ เข้าตรวจสอบเหตุการณ์ สิบตำรวจเอก วัชรินทร์ รัชนิพนธ์ หรือ “เปาป้อม” ฉายาในวงการมวย เสียชีวิตภายในห้องพัก  ที่คอนโมิเนียมแห่งหนึ่งย่านบางกะปิ  ที่เกิดเหตุใกล้ตัวพบปืน 1 กระบอก 

..พันตำรวจเอกธนาพันธ์  ผดุงการ ผู้กำกับ สน.ลาดพร้าว  ให้ข้อมูลว่า ภายในห้องที่เกิดเหตุไม่พบร่องรอยการต่อสู้ คาดว่า ยิงตัวเองและเสียชีวิตทันที ซึ่งเบื้องต้นพบรอยกระสุนยิงเข้าที่ขมับ  ขณะที่ภรรยา ให้การว่า กลับเข้ามาห้องช่วง 4 ทุ่ม หลังเลิกงาน เมื่อเปิดห้องก็พบว่า สามีเสียชีวิตแล้ว พร้อมระบุว่าสามีมักมีความเครียดเรื่องงาน จึงสันนิษฐานว่าเป็นสาเหตุของการทำร้ายตัวเอง!!

📌อัตชีวประวัติ ส.ต.อ.วัชรินทร์ รัชนิพนธ์
สังกัด สำนักงานจเรตำรวจ กองตรวจราชการที่ 9
ภูมิลำเนา: อ.กะเปอร์ จ.ระนอง

..มีความชื่นชอบมวยมาตั้งแต่เด็ก เริ่มชกมวยตอนอายุประมาณ 9 ขวบ พอจบ ม.3 ก็ได้มาอยู่ค่ายป.ชัยวัฒน์ โดย อ.อรัญ จันทรนุกูลกิจ พามาฝาก กับ”โกล้ง “สยามเมืองใต้ คุณ ชัยวัฒน์ วุฒิไกรสกุล , คุณ บุญโด่ง ศักดิ์ชัยวัฒน์ ,ลุงปิง ภูธร 

..โดยขึ้นมาอยู่ค่ายมวยกับเพื่อน 2 คน โดยโกล้งได้ตั้งชื่อให้เพื่อนชื่อ ฝนแปด และเปาป้อมชื่อ แดดสี่  และศึกษาต่อมัธยมปลายที่โรงเรียนจันทร์หุ่นบำเพ็ญ ชกมวยไปด้วยเรียนหนังสือไปด้วย แต่มาโชคร้ายเลิกมวยตอนอายุ 19 ปี เพราะอุบัติเหตุแขนหัก!!
..จากนั้นด้วยความที่ต้องหาเงินส่งเสียตัวเองเรียนก็รับสอนมวย ตามบ้าน โรงแรม จนมาเรียนต่อที่ มหาลัยรัตนบัณฑิต ต่อมาได้มีโอกาสเข้าอบรมผู้ตัดสินมวยไทยอาชีพและได้สอบเข้าเป็นกรรมการสนามมวยเวทีลุมพินี เมื่อปี พ.ศ. 2556 

📌เกียรติประวัติการทำงาน
-กรรมการยอดเยี่ยมสนามมวยเวทีลุมพินี ปี พ.ศ.2561 ,กรรมการยอดเยี่ยมการกีฬาแห่งประเทศไทยปี พ.ศ.2561,2562
-กรรมการคนเดียวของประเทศไทย ที่ได้รับโอกาสตัดสิน One Lumpinee และ One Championship วันนี้..มีการจัดการแข่งขัน One Lumpinee ทีมงานพยามโทรติดต่อแต่ก็ไม่มีคนรับสาย จนมาทราบข่าวเศร้าดังกล่าว!!

‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ ลวงนักศึกษาจีน เดินทางข้ามประเทศ จากสิงคโปร์มาเขมร เพื่อจับตัวไปเรียกค่าไถ่ 3 ล้านหยวน!!

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ นับวันยิ่งมีกลยุทธเหนือเมฆขึ้นทุกวัน ล่าสุดสามารถหลอกเหยื่อให้เดินทางข้ามประเทศมาให้จับตัวเรียกค่าไถ่กันเลยทีเดียว

เมื่อไม่นานนี้ หน่วยงานด้านการบังคับใช้กฎหมายในหลายประเทศ และสถานทูตจีนในสิงคโปร์ ได้รับแจ้งเหตุการลักพาตัวเรียกค่าไถ่ของนักศึกษาจีนคนหนึ่ง ที่กำลังเรียนในสิงคโปร์ ว่าเขาถูกจับตัวเรียกค่าไถ่เป็นเงินสูงถึง 3 ล้านหยวน (ประมาณ 14.4 ล้านบาท) โดยกลุ่มมิจฉาชีพในกัมพูชา

เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา นักศึกษาจีนรายนี้ได้รับโทรศัพท์ปริศนา อ้างว่าเขากำลังถูกตามจับโดยรัฐบาลจีน และควรหลบหนีออกจากสิงคโปร์เพื่อซ่อนตัว

ด้วยความกลัว นักศึกษาจีนขอความช่วยเหลือจากปลายสาย และได้รับคำแนะนำให้เดินทางมายังสีหนุวิลล์ เมืองชายฝั่งชื่อดังของกัมพูชา โดยจะมีคนช่วยหาที่หลบซ่อนตัวให้

นักศึกษาจีนหลงเชื่อ รีบจับเครื่องบินจากสิงคโปร์ ไปลงที่สีหนุวิลล์ทันที และถูกแก๊งมิจฉาชีพจับตัวไปขัง พร้อมถ่ายคลิปวิดีโอเรียกค่าไถ่จำนวน 3 ล้านหยวน ส่งไปให้พ่อแม่ของเขาที่ประเทศจีน

แต่เมื่อครอบครัวของนักศึกษาจีนผู้เคราะห์ร้ายได้รับคลิปวิดีโอข้อความเรียกค่าไถ่ พวกเขารีบแจ้งตำรวจทันที ซึ่งทางการจีนก็ประสานงานไปยังสถานทูตจีนในกรุงพนมเปญ ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในการตามล่าจับตัวคนร้าย และสามารถช่วยเหลือนักศึกษาจีนที่ถูกลักพาตัวได้อย่างปลอดภัยโดยไม่มีการจ่ายเงินค่าไถ่

ปฏิบัติการครั้งนี้ ต้องใช้เจ้าหน้าที่หลายภาคส่วนทั้ง จีน กัมพูชา และสิงคโปร์ กว่าจะจับกุมแก๊งมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์ และช่วยเหลือเหยื่อออกมาได้ ต่อมา สถานทูตจีนในสิงคโปร์ได้ออกประกาศเตือนนักศึกษา และ ชาวจีนในสิงคโปร์ ให้ระวังอย่าหลงเชื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามประเทศ

ทางการสิงคโปร์ย้ำว่า เจ้าหน้าสิงคโปร์ไม่เคยขอข้อมูลส่วนตัวทางโทรศัพท์ และไม่ควรเปิดเผยชื่อ ที่อยู่ สถานะครอบครัว หรือเลขบัญชีธนาคารกับคนที่เราไม่รู้จักทางโทรศัพท์โดยเด็ดขาด

ในปัจจุบันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ระบาดหนักในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจากข้อมูลของหน่วยงานด้านคดีค้ามนุษย์และลักลอบเข้าเมืองของตำรวจสากล พบว่ากลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้เริ่มมองหาเหยื่อที่เป็นกลุ่มที่มีการศึกษาดี จบระดับมหาวิทยาลัยมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่เชี่ยวชาญด้าน IT หรือสนใจเรื่องเทคโนโลยี ที่มักถูกหลอกไปลงทุนในธุรกิจคริปโตเคอร์เรนซี แชร์ลูกโซ่ หรือเล่นพนันออนไลน์

ในปี 2022 ที่ผ่านมา มีคดีที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในสิงคโปร์มากถึง 771 เคส ที่รวมมูลค่าความเสียหายมากกว่า 97.6  ล้านเหรียญสิงคโปร์ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และมักพบว่าแก๊งมิจฉาชีพเหล่านี้ฝังตัวอยู่ในกัมพูชา ลาว และ พม่า

มาคราวนี้ หลอกลักพาตัวข้ามชาติกันไปเลย แต่ยังโชคดีที่สามารถติดตามตัวช่วยเหลือได้ทันท่วงที เพราะหลายครั้ง เหยื่อที่ถูกลักพาตัวมักถูก กักขัง ทำร้ายร่างกาย หรือล่วงละเมิดทางเพศ 

ดังนั้น เราจึงไม่ควรหลงเชื่อปลายสายที่เราไม่รู้จัก หรือติดต่อเข้ามาด้วยหมายเลขแปลกๆ หากสงสัย หรือรู้ตัวว่าอาจถูกหลอก ควรรีบแจ้งตำรวจก่อนจะทรัพย์จะหายจนสายเกินแก้
 

'LINE TODAY’ เผย ‘เลือกตั้ง 66’ ทำคนไทยสนใจการเมืองเพิ่มขึ้น หลังยอดคอนเทนต์พุ่ง ตอกย้ำว่า ‘การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน’

เมื่อไม่นานนี้ LINE TODAY ได้ออกมาเผย สถิติคนไทย ว่ามีแนวโน้มสนใจเรื่องการเมืองเพิ่มขึ้น และพร้อมเดินหน้าเสิร์ฟคอนเทนต์เพื่อทุกความสนใจของคนไทย ล่าสุดกับการเกาะติดการ ‘เลือกตั้ง 66’ ได้จัดเต็มเสิร์ฟคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องจากพาร์ทเนอร์ผู้ผลิตชั้นนำตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนมาจนถึงวันเลือกตั้ง หากย้อนดูสถิติ พบการเติบโตอย่างน่าสนใจจากพลังแพลตฟอร์มที่ดันให้พาร์ทเนอร์ผู้ผลิตคอนเทนต์ที่ร่วมในโปรเจกต์เติบโตถ้วนหน้า ย้ำพร้อมเดินหน้าตอบโจทย์เนื้อหาความสนใจคนไทยอย่างต่อเนื่อง

เจาะ 4 ความสำเร็จ เรตติ้งคอนเทนต์เลือกตั้งและการเมืองบน LINE TODAY ด้วยแนวคิด ‘รู้สึก รู้ครบ รู้รอบ’ ที่มุ่งเสริมประสบการณ์คอนเทนต์รอบด้านในเหตุการณ์ระดับประเทศอย่างการเลือกตั้งที่ผ่านมา ตั้งแต่ ‘ติดตามไลฟ์และรายงานผล - เกาะติดข่าวสาร - ทดสอบความรู้ - นับถอยหลัง’ พบการเติบโตรอบด้าน ทั้งในแง่ความนิยมจากคนอ่านทุกเพศ ทุกวัย นำไปสู่การเติบโตให้แก่พร์ทเนอร์ผู้ผลิตคอนเทนต์ชั้นนำที่ร่วมโปรเจกต์ นำโดย ไทยรัฐออนไลน์, มติชน, The
MATTER, THE STANDARD, Thai PBS, TODAY และอีกมากมาย

1.) คนแห่ดูไลฟ์ดุเดือด ดันยอดไลฟ์พุ่งสูงถึง 57% ในช่วงใกล้เลือกตั้งที่ผ่านมานั้นได้มีคอนเทนต์ไลฟ์การดีเบตจากพาร์ทเนอร์ที่ระดมแคนดิเดตจากพรรคต่างๆ มาร่วมอภิปรายนโยบายในรูปแบบหลากหลายและเข้มข้น สร้างกระแสในวงกว้าง เรียกผู้ชมดู LIVE แบบสดๆ ผ่าน LINE TO DAY อย่างล้นหลาม ดันยอดวิวให้แก่พาร์ทเนอร์เฉลี่ยถึง 57% สูงขึ้นกว่า 27 เท่า จากช่วงก่อนเลือกตั้ง ขณะที่ยอดเพจวิวจากคอนเทนต์ประเภทบทความข่าวสาร เรื่องการเลือกตั้งและการเมืองจากพาร์ทเนอร์ต่างๆ บน LINE TODAY เพิ่มสูงขึ้นถึง 67% โดยเฉพาะในช่วง 13 - 14 พฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงวันเลือกตั้ง ก็พายอดวิวแตะนิวไฮพุ่งสูงเกิน 100 ล้าน

2.) ควิซมาแรง วัดความรู้ความเข้าใจ ในช่วงที่ผ่านมา LINE TODAY มีแบบทดสอบคำถาม หรือ ควิซทดสอบความรู้ก่อนการเลือกตั้งมากมาย ทั้งสร้างสรรค์ขึ้นโดย LINE TODAY เอง และแบบร่วมกันสร้างสรรค์กับพาร์ทเนอร์ ได้แก่ รู้จัก ‘แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี’ ในศึกเลือกตั้ง 2566, คุณรู้ไหมว่าเขาเลือก นายกฯ กันอย่างไร? และทดสอบความพร้อมก่อนเข้าคูหา : เลือกตั้ง 2566 ที่สามารถชวนคนไทยทั่วประเทศมาร่วมทำควิซทดสอบได้ถึง 150,000 คน

3.) คนรุ่นใหม่สนใจการเมืองมากกว่าเคยในแง่ของประชากรผู้ใช้ LINE TODAY พบว่าคนรุ่นใหม่มีความสนใจคอนเทนต์เลือกตั้งและการเมืองพุ่งสูงขึ้น โดยจำนวนกลุ่มผู้ใช้ ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี เพิ่มขึ้น 63% และบริโภคคอนเทนต์ประเภทการเมืองมากขึ้นเฉลี่ย 67% เป็นนัยยะของการที่คนอายน้อย รวมถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก (first voter) ให้ความสำคัญในเรื่องการเมืองจริงจังมากขึ้น และตอกย้ำว่าการเมืองเป็นเรื่องสำหรับทุกวัย ตามมาด้วยกลุ่มผู้ใช้อาย 30 - 40 ปี เพิ่มขึ้นถึง 61% บริโภคคอนเทนต์การเมืองมากขึ้นถึงวันละ 57% ต่อวัน

4.) เมื่อการเมือง ไม่ได้เป็นแค่กระแสอีกต่อไป แม้จบการเลือกตั้ง ความสนในใจคอนเทนต์เลือกตั้งและการเมืองยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง โดยยอดเพจวิวคอนเทนต์เหล่านี้ยังสูงถึง 4 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเลือกตั้ง เป็นจุดที่ชี้ให้เห็นว่าการเมือง ไม่ได้เป็นเพียงแค่กระแสชั่วคราว แต่ได้กลายเป็นวาระสำคัญที่คนทั้งประเทศให้ความสนใจอย่างจริงจัง ซึ่งแม้จะผ่านช่วงเลือกตั้งไปแล้ว LINE TODAY ก็ยังคงจัดเต็มคอนเทนต์ด้านการเลือกตั้งและ การเมืองที่สอดรับไปกับสถานการณ์ปัจจุบันในหลากหลายแง่มุมจากพาร์ทเนอร์ผู้ผลิตคอนเทนต์ชั้น นำให้คนไทยได้ติดตามอย่างต่อเนื่อง

เมื่อการเมืองไทย สร้างนักการเมืองที่มุ่งหาแต่ผลประโยชน์ และประชาชนที่ยอมซื้อสิทธิ์ ขายเสียง เพื่อแลกกับเงินเล็กๆ น้อยๆ

อนิจจา… ประเทศไทย : อาชีพใหม่กับการเลือกตั้ง

มองในมุมลบ กับการเมือง นักการเมืองในประเทศไทย ปัจจุบันนี้ไม่น่าจะดีไปกว่าเดิมมาก นักการเมืองก็ยังหวังแต่ได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่การงานอำนาจ แสวงหาประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง ประชาชนเองก็หวังแต่เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ จากนักการเมืองที่มาหว่านซื้อเสียง รับจ้างฟังปราศรัย

การเลือกตั้งรอบที่ผ่านมา น่าสะพรึงกลัว เดี๋ยวนี้ มีทั้ง

- มีหัวคะแนนหมู่บ้านฯละ 3-4 คน /ผู้สมัครที่ 1 พรรคการเมือง
- มีคนรับจ้างฟังปราศรัย ค่าหัวครั้งละ 300 บาท มีนายหน้าคอยจัดการส่งสัญญาณ ไปยังเครือข่าย ทุกพรรคที่มีการปราศรัย และต้องการระดมคนฟัง จะมีสายรับงานระดมคนให้ พร้อมรับค่าจ้าง ค่าจัดการ
- ซื้อสิทธิ์ นักการเมืองหว่านเงินลงมาจำนวนมหาศาล ซื้อสิทธิ์จากประชาชน หัวละ 300 ไม่ต้องพูดถึง รอบแรก 500 รอบสอง 500 รวมเป็นหัวละ 1000 บาท ต้องซื้อ 4-50,000 หัว หวังผล 50% พูดถึงตัวเลขเงินที่ใช้กันแล้ว ‘ขนลุกขนพอก’
- ขายเสียง ประชาชนผู้เป็นเจ้าของสิทธิ์ พร้อมจะขายเสียงแลกกันเงินเล็กน้อย เพื่อประทังชีวิต รับจ้างปราศรัยครั้งละ 300 ก็เท่ากับหมู 2 กิโลกรัม
- จ่ายเงินกันมโหฬาร นักการเมืองไม่รู้เอาเงินมาจากไหน จ่ายกันจริงจ่ายกันจัง จ่ายกันแบบผิดกฎหมาย แต่ กกต.ไม่มีปัญญาจับมือใครดม หรือเอาผิดได้ตามกฎหมาย ทั้ง ๆ ที่การใช้เงินก็โฉงเฉง
- ถึงเวลานักการเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง ก็ใช้ตำแหน่ง-อำนาจ ที่ได้มาจากประชาชนด้วยการซื้อ ถอนทุนคืน หรือเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง
- ถอนทุนคืน การถอนทุนคืนก็ต้องมีกำไรด้วย เพื่อรองรับไว้เลี้ยงทีมงาน และรองรับการเลือกตั้งครั้งต่อไปด้วยกับช่วงเวลา 4 ปีระหว่างอยู่ในตำแหน่ง (ถ้าไม่ยุบสภาเสียก่อน)

ลองคิดดูประเทศมันจะดีขึ้นอย่างไร นักการเมืองไม่มีเวลาคิดเรื่องชาติ-บ้านเมือง คิดแต่หาช่องทางถอนทุนคืน คนที่น่าสงสารคือคนสอบตก จ่ายเงินไปพอๆกับคนที่ชนะการเลือกตั้ง แต่แพ้ ไม่มีตำแหน่งหน้าที่-อำนาจ ให้ไปใช้ถอนทุน เว้นแต่เป็นพรรครัฐบาล อาจจะมีตำแหน่งทางบริหารอื่น ๆ ตอบแทนคะแนนปาตี้ลิสต์ ก็พอจะมีหน้ามีตา มีตำแหน่ง-อำนาจให้ก้าวเดินไปในสังคมได้บ้าง และอาจจะพอมีช่องทางใช้อำนาจแสวงหาได้บ้าง

บอกตามตรงว่า ผมเองรักและศรัทธาการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันเป็นระบอบตัวแทน ประชาชนเลือกตัวแทนไปทำหน้าที่แทน เรียกว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แต่ไม่ศรัทธาต่อการได้มาซึ่ง ส.ส. ในสถานการณ์ปัจจุบัน มันไร้เกียรติ์ ไร้ศักดิ์ศรี การประพฤติปฏิบัติของ ส.ส. ก็ไม่น่าศรัทธา ผมจึงไม่ศรัทธาต่อการเลือกตั้งในปัจจุบัน กับการกำกับการเลือกตั้งที่ไม่เป็นไปตามคำขวัญ ‘สุจริต เที่ยงธรรม’

มันเป็นการเลือกตั้งที่สุจริตจริงหรือ ชาวบ้านร้านตลาดรู้กันหมดว่า ใคร พรรคไหน ซื้อเสียงหัวละเท่าไหร่ มีการปราศรัยรับปากว่าจะให้ มีการจัดเลี้ยง มีกาาข่มขู่หัวคะแนนฝ่ายคู่แข่ง และสุดท้ายคือ ซื้อหัวคะแนนคู่แข่ง

มันเที่ยงธรรมจริงหรือ อยากจะถามไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และทุกกลไกของ กกต. เช่น ผู้ตรวจการเลือกตั้งว่า พอใจต่อผลการจัดการเลือกตั้งแล้วหรือ

กลไกลของ กกต. ทุกองคาพยพ พอจะพูดได้เต็มปากเต็มคำอย่างไม่อายใครได้จริงหรือ ว่า เป็นการเลือกตั้งที่ ‘สุจริต เที่ยงธรรม’ ในฐานะองค์กรหลักของประเทศ

‘ก้าวไกล’ นโยบายเร่งด่วน 100 วัน เรื่องฝันๆ หรือทำได้จริง?

ยังมีปัญหาความวุ่นวายให้แก้ หลัง ‘นายพิธา  ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นำ 8 พรรค 313 เสียง ลงนาม ‘เอ็มโอยู’ ประกาศแนวทางนโยบายร่วมกัน 23 ข้อ กับ อีก 5 แนวปฏิบัติของพรรคร่วมรัฐบาล

แต่เส้นทางการก้าวขึ้นสู่อำนาจ ของรัฐบาลก้าวไกลก็ยังไม่ราบรื่น นอกจากต้องหาเสียงสนับสนุนให้ถึง 276 เสียงเพื่อโหวตนายกฯ แล้ว ปัญหาการแช่งชิงตำแหน่ง ‘ประธานสภาฯ’ กับพรรคเพื่อไทยก็ยังตกลงกันไม่ได้

แต่หากพรรคก้าวไกล สามารถฝ่าด่านไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็น่าสนใจว่า ในช่วง 100 วันแรก  ซึ่งก่อนหน้านี้ ‘พิธา’ เคยออกมาแถลง ‘โร้ดแมป’ ที่จะเร่งทำให้ ‘การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต’ จะเป็นไปตามนั้นหรือไม่  วันนี้ลองมาทวนดู ว่าสิ่งที่เคยให้คำมั่นไว้ มีอะไรบ้าง 

สำหรับ 100 วันแรก ที่ ‘ก้าวไกล’ ประกาศจะทำทันที เช่น การเสนอ ครม.ทำรัฐธรรมนูญใหม่ เปิดทางให้มี สสร. จากการเลือกตั้ง ให้รัฐต้องเปิดเผยข้อมูลงบประมาณ เอากฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่พิจารณาค้างมาจากรัฐบาลที่แล้ว มาทำให้เสร็จ ยกเลิกบังคับใส่ชุดนักเรียน และทรงผม พร้อมกับแก้สูตรค่าไฟ เดินหน้าสุราก้าวหน้า ออกโฉนดนิคมสหกรณ์ และนิคมสร้างตนเอง และเปิดเสรีโซลาร์เซลล์

ส่วนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากออกหวยใบเสร็จแล้ว ที่ดูท้าทายมากที่สุดคือ ‘การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาท’

หลังนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นำทีมไปที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อรับฟังข้อเสนอนโยบายสะท้อนปัญหา และข้อกังวลจากตัวแทนภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาท ซึ่งก็พบว่า แม้ก้าวไกลจะตั้งเป้าทำทันที แต่นายพิธา ก็ย้ำว่า การขึ้นค่าแรงจะขึ้นตามใจตัวเองไม่ได้ เพราะต้องคำนึงถึงความสอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ เพื่อให้เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝั่ง ทั้งนายจ้าง ที่จะสามารถควบคุมต้นทุนได้ ขณะที่ลูกจ้างก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทำให้การเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานสามารถเกิดขึ้นได้จริง

‘ค่าแรง 450 บาท’ เป็นโจทย์ต้นๆ ที่พรรคก้าวไกล เลือกหยิบมาเดินหน้าทำ ซึ่งก็อาจเป็นกระจกสะท้อนให้เห็น ว่า นโยบาย 100 วัน ที่อยากเห็น กับความจริงที่เป็น อาจยังเป็นคนละภาพกัน ซึ่งแต่ละเรื่องไม่ง่าย เพราะมีรายละเอียด และความเห็นแตกต่างที่ต้องนำมาพิจารณาให้รอบด้าน ขณะเดียวกันก็ต้องทำงานแข่งกับเวลา เพื่อดำเนินการผลักดันให้ไปถึงเป้าหมายตามที่ตั้งไว้ ซึ่งท้ายที่สุดหากฝ่าด่านอุปสรรคนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็รอลุ้นว่าจะสามารถผลักดันตามที่ประกาศไว้ได้หรือไม่

‘กฤษณะ’ อดีตทนายคุณแม๊ ตัดสินใจปฏิเสธ ไม่ทำคดีให้ ‘แอม ไซยาไนด์’ หลัง ไม่ยอมสารภาพคดีก้อย

จากกรณีที่ ทนายกฤษณะ ศรีบุญพิมพ์สวย ซึ่งเคยเป็นทนายความให้คุณแม่ของแตงโม ออกมาให้สัมภาษณ์กรณีรับว่าความเป็นทนายให้ แอม ไซยาไนด์ โดยยื่นข้อแม้ว่า ต้องรับสารภาพในคดีของก้อย ไม่เช่นนั้นตนจะถอนตัว

ล่าสุดวันนี้ ทนายกฤษณะ เปิดเผยว่า ได้ตัดสินใจถอนตัวจากการเป็นทนายของแอมเมื่อคืนนี้ เหตุผลเพราะแอมไม่รับสารภาพในคดีการเสียชีวิตของก้อย โดยบอกตนตั้งแต่ตอนที่เข้าไปเยี่ยม เมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมาแล้ว ตนมานั่งตรึกตรองดูอีกครั้ง เมื่อเขาไม่รับสารภาพ ทั้งที่ตนอธิบายเหตุผลทุกอย่างให้ฟังแล้ว เขาบอกว่าจะยังสู้ต่อ ตนก็เลยตัดสินใจถอนตัวเมื่อคืนนี้

ขณะที่ ทนายพัช ธันย์นิชา ที่ยังระบุตัวเองว่าเป็นทนายของแอม จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มาพบพนักงานสอบสวน บก.ป. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ฐานช่วยเหลือผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษ ด้วยการทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสียซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิด

‘บิ๊กโจ๊ก’ เผย ‘แอม ไซยาไนด์’ เล่นพนันสูงสุดวันละ 10 ล้าน!! เตรียมจับเจ้าของเว็บฯ ก่อนส่งสำนวนอัยการ 15 คดี อาทิตย์หน้า

(19 พ.ค. 66) พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยหลังจากเมื่อวานที่ผ่านมาได้เข้าไปสอบปากคำนางสาวสรารัตน์ หรือ ‘แอม’ ภายในทัณฑสถานหญิงกลาง แล้วพบว่า ไม่ยอมให้การเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวน และไม่ยอมลงลายมือชื่อในคำให้การที่ให้ไว้เดิม

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า ไม่เหนือความคาดหมายที่ผู้ต้องหาไม่ให้การ หลังจากที่ได้รับคำปรึกษาจากทนายความซึ่งยังคงเป็นนางสาวธันย์พิชา เอกสุวรรณวัฒน์ หรือ ‘ทนายพัช’ และยังไม่มีการเปลี่ยนตัวทนายความ และแม้ว่าผู้ต้องหายังไม่ได้รับสารภาพในข้อหาฆ่าผู้อื่น แต่รับในข้อเท็จจริง ซึ่งก็ยังยืนยันว่าตำรวจมีพยานหลักฐานที่แน่นหนา สามารถดำเนินคดีในชั้นศาลได้

ส่วนการกลับคำให้การไปมาของนางสาวแอม ยืนยันว่า ไม่มีปัญหาในการดำเนินคดี แต่จากการเข้าไปสอบปากคำด้วยตัวเองในเรือนจำ ยังพบว่านางสาวแอม ยังไม่สำนึกผิด ส่วนจะมีที่ปรึกษาทางกฎหมายให้กับนางสาวแอมจะมีความผิดหรือ ขณะนี้ยังไม่พบความผิด

นอกจากนั้น ยังได้สืบสวนถึงแหล่งที่มาของไซยาไนด์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยปละละเลย รวมทั้งกลุ่มเว็บไซต์พนันออนไลน์ ที่พบว่านางสาวแอมโอนเงินไปเล่นพนันกว่า 78 ล้านบาท ขณะนี้ทราบถึงเจ้าของเว็บไซต์ทั้งหมดแล้ว และพบว่าไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว

ส่วนนางสาวแอม ยังยอมรับว่า เล่นการพนันมาตั้งแต่ปี 2563 โดยรวมเงินจากกลุ่มเพื่อน และวงแชร์ วงจำนำรถ และกลุ่มเงินกู้ เพื่อไปเล่นพนัน โดยบางวันเข้าเว็บพนันมียอดเงินสูงถึง 10 ล้านบาท และจากการตรวจสอบยังไม่พบว่า พันตำรวจโทวิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ อดีตสามีของนางสาวแอม เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเล่นพนัน แต่ได้ช่วยเหลือด้านการเงิน ทั้งกู้เงินจากสหกรณ์ และจำนองบ้าน เพื่อเอาเงินไปให้นางสาวแอม

โดยภายในสัปดาห์หน้าจะพบความชัดเจนในการแจ้งข้อกล่าวหา และการออกหมายจับกับบุคลที่เกี่ยวข้อง ส่วนนางสาวแอม ก็จะถูกแจ้งข้อความหา ใช้เอกสารปลอมเพิ่มเติม หลังจากพบว่าปลอมทะเบียนรถของนายแด้ อดีตสามี

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังระบุว่า สำนวนคดีนี้ได้ปรึกษาร่วมกับอัยการอยู่โดยตลอด เพื่อให้การส่งสำนวน และการตรวจสอบสำนวนไปในทิศทางเดียวกัน และพร้อมที่จะส่งสำนวนคดีทั้ง 15 คดี ไปให้อัยการพิจารณาภายในสัปดาห์หน้า โดยคดีนี้จะรวมทั้ง 15 สำนวน ดำเนินคดีศาลอาญา

โดยจะมอบหมายให้พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกอบรม กองบัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะหัวหน้ารวบรวมสำนวนคดี และ พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการกองปราบปราม ซึ่งเป็นผู้ทำคดีและเป็นผู้มีประสบการณ์ในการร้อยเรียงสำนวนทั้ง 15 สำนวนขึ้นเบิกความให้ศาลรับฟัง

ด้าน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยและ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รอง ผบ.ตร. ซึ่งได้รายงานความคืบหน้าคดีให้ทราบโดยตลอด ซึ่งคดีนี้เป็นคดีที่สังคมให้ความสนใจและตนเองได้กำชับเร่งรัดคดีโดยให้ทำให้เร็วแต่ก็ต้องรอบคอบ  ซึ่งทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เองก็มีการประชุมชุดคลี่คลายคดีทุกวัน โดยเฉพาะพนักงานสอบกองปราบปรามและตำรวจภูธรภาค 7 ในการทำงานร่วมกัน และคงจะดำเนินเสร็จสิ้นเร็ว ๆ นี้

ส่วนสำนวนคดีทราบว่าจะมีการรวบรวมและส่งให้อัยการไปมีเดียว 15 สำนวน เน้นย้ำให้ทำอย่างรอบคอบที่สุด เพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้ดีที่สุด พร้อมระบุว่า บางกรณีที่ผู้ต้องหาไม่ให้ความร่วมมือและหลักฐานบางชิ้นไม่สมบูรณ์ ก็ได้กำชับไปแล้วว่าให้ทำให้ดีที่สุดในการรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ แม้ผู้ต้องหาไม่ให้ความร่วมมือก็ให้หาหลักฐานส่วนอื่นไม่ว่าจะเป็นพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานแวดล้อม รวมถึงหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ นำมาร้อยเรียงให้ครบถ้วนสมบูรณ์ก่อนส่งสำนวนให้อัยการ ซึ่งย้ำว่า คดีนี้ตำรวจมีหลักฐานขอให้มั่นใจว่าเอาผิดผู้ต้องหาได้แน่นอน

‘กกต.’ จัดเลือกตั้งใหม่ หน่วย 10 เขต 1 นครปฐม 21 พ.ค.นี้ หลังเจอฝนถล่มจนหน่วยเลือกตั้งล้ม ชวนผู้มีสิทธิเข้าคูหาอีกครั้ง

(19 พ.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้ลงนามคำสั่งคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ 913/2566 ลงวันที่ 18 พ.ค. 2566 เรื่องให้มีการลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หน่วยเลือกตั้งที่ 10 เขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดนครปฐมใหม่ โดยมีสาระสำคัญระบุว่า…

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้รับรายงานกรณีคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง ได้ประกาศงดลงคะแนนตามมาตรา 102 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 ด้วยในวันที่ 14 พ.ค. 66 เวลา 16.45 น. เกิดเหตุฝนตกหนักและลมพัดแรง ทำให้ปะรำที่เลือกตั้งล้ม และในระหว่างนั้นมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางส่วนมาปรากฏตัวในที่เลือกตั้ง แต่คณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งที่ 10 ได้ประกาศงดการลงคะแนน จึงไม่อาจใช้สิทธิเลือกตั้งได้

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 102 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 ประกอบข้อ 5 และข้อ 166 ระเบียบ กกต. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2566 กกต. จึงมีมติให้ยกเลิกการเลือกตั้งของหน่วยเลือกตั้งที่ 10 วันที่ 14 พ.ค. 2566 และกำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 21 พ.ค. 66 เป็นวันลงคะแนนใหม่

ขณะเดียวกัน สำนักงาน กกต. ประจำจังหวัดนครปฐม ได้ออกประกาศเชิญชวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่อยู่บ้านเลขที่ 1 ถึงบ้านเลขที่ 88/100 หมู่ 8 ต.บางแขม อ.เมือง จ.นครปฐม จำนวน 943 คน ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส. ในวันอาทิตย์ที่ 21 พ.ค.66 นี้ ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น. ณ ปะรำบริเวณองค์การบริหารส่วนตำบลบางแขม อ.เมือง จ.นครปฐม

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตุ๋นเงิน ‘ต๋อง ศิษย์ฉ่อย’ อ้างพัวพัน ยาเสพติด ฟอกเงิน พร้อมโชว์บัตรตำรวจให้ดู

“ต๋อง ศิษย์ฉ่อย” วัฒนา ภู่โอบอ้อม ยอดนักสนุกเกอร์ไทย ที่เพิ่งคว้าเหรียญทองสนุกเกอร์ 6 แเดง ชายคู่ ในกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ที่ประเทศกัมพูชา ให้สัมภาษณ์ ผู้สื่อข่าวว่า ก่อนไปแข่งขันซีเกมส์ที่กัมพูชา ตนซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้าน วงเงินบัตรเครดิต 1 แสนบาท ใช้ไป 5-6 หมื่นบาท จากนั้นจะใช้อีก ปรากฏว่า เต็มวงเงิน ก็แปลกใจ แต่คิดว่าไปแข่งซีเกมส์ก่อน กลับมาไทยค่อยมาจัดการ ซึ่งหลังจากได้เหรียญทองกลับมาแล้ว

เหตุเกิดวันที่ 16 พ.ค. ตั้งแต่ราว 11.00 น. มีผู้หญิงโทรมา ถามว่าใช่ วัฒนา ภู่โอบอ้อม หรือไม่ แล้วบอกว่าตนติดหนี้ 8.9 หมื่นบาท ตนยืนยันไม่เคยติดหนี้ แล้วก็ถามว่า เคยไป จ.นครสวรรค์ หรือไม่ ตนบอกว่า ไม่ได้ไป 5-6 ปี แล้ว ทางนั้นก็ให้ติดต่อ สภ.เมืองนครสวรรค์ ตนบอกไปไม่ได้ ติดแข่ง จึงให้ต่อสายไป สภ.เมืองนครสวรรค์ ผู้แอบอ้างเป็นตำรวจ มารับช่วงคุย แล้วให้รอ 10 นาที

ต๋อง กล่าวต่อไปว่า ต่อมา ทางผู้ที่แอบอ้างว่าเป็นตำรวจ บอกว่าตนเองพัวพัน ยาเสพติด ฟอกเงิน ตนสงสัยว่าตำรวจจริงหรือไม่ บุคคลดังกล่าวก็ส่งบัตรประจำตัวให้ดู เป็นยศ พันตำรวจเอก แล้วก็ให้เปลี่ยนมาคุยวิดีโอคอลล์ ทางนั้นถามว่า เปิดบัญชีที่จันทบุรีหรือไม่ แล้วบอกว่า 2 สัปดาห์ก่อน จับพ่อค้ายาเสพติด ชื่อ สัญญา แซ่ลี้ อ้างว่าซื้อบุ๊คแบงค์จากตน 5 หมื่นบาท แล้ว ต๋อง ได้เงินเปอร์เซ็นต์จากการลำเลียงยาเสพติด 10 เปอร์เซ็นต์ 8.5 แสนบาท ตนบอกไม่รู้จัก
.
จากนั้นทางผู้ที่แอบอ้างเป็นตำรวจ บอกว่า ถ้าอย่างนั้น ต้องแสดงความบริสุทธิ์ เช็คเส้นทางการเงิน ถามว่ามีเงินฝากกี่แห่ง ตนก็บอก 5 แห่ง แล้วก็เริ่มให้โอนเงิน เพื่อเช็คเส้นทาง พร้อมขู่ว่า ตอนนี้ชื่อไปอยู่ชั้นศาลแล้ว ถ้าไม่ให้ความร่วมมือ อาจถูกจำคุก 1 ปี 6 เดือน จนก็จิตตก กลัว โอนไปเรื่อยๆ คิดว่าไม่มีปัญหา เพราะเห็นบัตรว่าเป็นตำรวจจริง โอนไปจนเรื่อย ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง ยืมแม่มาอีก 2 แสนบาท ตอนนั้นอยู่โต๊ะสนุกเกอร์ทีบีซี สนุกเกอร์ เตรียมซ้อม จนเพื่อนนักสนุกเกอร์ เอะใจ มาแย่งโทรศัพท์ไป แล้วด่าใส่โทรศัพท์ ก่อนวางสายไป สรุปแล้ว โอนไป 10 รายการ โอนจนแบตเตอร์รี่โทรศัพท์แทบหมด หมดไป 3.2 ล้านบาท เงินสดทั้งตัวเหลือ 8 พันบาทเศษๆ เท่านั้น เพราะเงินที่ได้มา ส่วนใหญ่แปรทรัพย์สินไปซื้อที่ดิน

“เขารู้ข้อมูลหมดทุกอย่าง มาถามว่ามีที่ดินที่ไหน ที่จันทบุรีมีเท่าไหร่ บ้านเมืองนอกมีไหม ผมระวังตัวมาตลอด ไม่คิดเลยว่าจะเจอ อยากเป็นอุทธาหรณ์เตือนใจ อยากเตือนให้ทุกคนรู้ว่ามันอันตรายจริงๆ ผมไม่อาย ที่เปิดเรื่องนี้ขึ้นมา” ต๋อง กล่าว

นอกจากนี้เจ้าตัวยังเปิดเผยอีกว่าจนได้ไปแจ้งความที่ สน.วังทองหลางไว้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะทันหรือไม่ทัน แล้วแต่บุญแต่กรรม ไปสถานีตำรวจ 3 รอบแล้ว เหนื่อยมาก วันที่ 19 พ.ค.ก็มีแข่ง ก็ไม่มีแก่ใจ ตอนนี้ไม่กล้ารับสายใครแล้ว

'ก้าวไกล' ไม่เฟด 112 ดูท่า 'พิธา' จะอดเป็นนายกฯ แวะบ้าน ปชป.ส่อเละ!! เมื่อซุ้มเฉลิมชัยหนุน 'เดชอิศม์' คุมพรรค

'เลียบการเมือง' วันนี้...ส่งท้ายปลายสัปดาห์ ต้องบอกว่าเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลให้จับตาการแถลงบันทึกความเข้าใจ บันทึกความตกลงของ 8 พรรคการเมือง 313 เสียงที่จะเปิดไพ่กันในในวันจันทร์ที่ 22 พ.ค. - วันที่ครบรอบ 9 ปีการรัฐประหารเมื่อปี 2557...แน่ะ...เข้าใจเลือกวัน 

แต่ 'เล็ก เลียบด่วน' สังหรณ์ใจว่าจะไม่ใช่วันมงคลซักเท่าไหร่นะ...

ได้ฟันธงไปเมื่อกลางสัปดาห์ว่า รัฐบาลสูตรก้าวไกลจะไปไม่ถึงดวงดาว วันนี้ก็ยังเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่ในส่วนลึกของหัวใจ 'เล็ก เลียบด่วน' ก็อยากเห็นสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงกับเขา เหมือนกัน...แต่เมื่อดูกระบวนท่าขบวนทัพของพรรคก้าวไกลแล้ว ต้องบอกว่าถ้ายังดำเนินไปด้วยเนื้อหาและท่วงทำนองข่มขู่กดดันชาวบ้าน โดยเฉพาะสมาชิกวุฒิสภา ไม่ใช้คาถาท่านสุนทรภู่ที่ว่า “ปรารถนาสารพัดในปฐพี เอาไมตรีแลกได้ดั่งใจจง” ที่ดร.วิษณุ เครืองาม ยกมาพูดถึงสองครั้งสองคราก็อย่าหมายว่าจะไปถึงดวงดาว...

ปัจจัยชี้ชะตานายกฯ คนที่ 30 ของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์และพรรคก้าวไกลนาทีนี้อยู่ที่...ปมประเด็นจุดยืนการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ที่พรรคก้าวไกลหาเสียงและเคยยื่นต่อสภา ซึ่งถ้ายังยืนยันที่จะแก้ไขหรือยกเลิก หรือแถลงแบบอึมครึมแบบเมื่อวันก่อนก็เหนื่อยหนัก...แต่ถ้าประกาศชัด ว่าจะไม่แตะต้องไม่แก้ไข ก็คงทำให้ได้เสียง ส.ว.หรือแม้กระทั่งส.ส.ที่จะโหวตฟรีจำนวนไม่น้อย...แน่นอนการประกาศอย่างนี้จะมีปฏิกิริยาจากแฟนคลับอื้ออึง...ก็เป็นเรื่องที่พรรคก้าวไกล ต้องชี้แจงเอาเอง เช่นบอกว่ารัฐบาลจะอำนวยความยุติธรรมให้กับคนที่โดนคดี 112 หรือคดีการเมือง...ประมาณนั้น

พูดไปทำไมมี...นาทีนี้ใครที่ตามลุ้นการจัดตั้งรัฐบาลก็ต้องใจร่มๆ ใจเย็นๆ ให้เหมือนพรรคเพื่อไทยที่เดินเกมเนียนสุดๆ ในการรอส้มหล่น...

สรุปว่า อีกประมาณ 60 วันเราถึงจะได้รู้ว่าใครจะเป็นประธานสภา และหลังจากนั้นอีกครึ่งเดือนจะโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี...สิริรวมต้นเดือน ส.ค.เป็นอย่างเร็วถึงจะได้นายกรัฐมนตรี ถึงวันนั้นหวยนายกฯอาจพลิกเป็นอุ้งอิ๊งหรือลุงป้อมไปแล้วก็ได้…!!??

แว้บ!! ไปที่พรรคประชาธิปัตย์กันหน่อย ประการแรกก็ต้องบอกว่า...เลือกตั้งหนนี้ได้ให้บทเรียนกับพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดอย่างเจ็บปวด จาก 52 ที่นั่งเมื่อปี 2562 เหลือ 25 ที่นั่ง  ส.ส.เขต 23 คน ปาร์ตี้ลิสต์ 2 คน คือ คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ และ คุณชวน หลีกภัย...

วันนี้คุณจุรินทร์ได้แสดงสปิริตลาออกจากหัวหน้าพรรคแล้ว ไม่แปลกที่หลายคนถามหาสปิริต เฉลิมชัย ศรีอ่อน  เลขาธิการพรรคที่ประกาศว่าถ้าได้ ส.ส.น้อยกว่าเดิมจะวางมือทางการเมือง...ตรงข้ามตอนนี้มีข่าวลือสะพัดว่ากลุ่มเฉลิมชัย อันมีสองขุนพลภาคใต้ขนาบซ้ายขวา คือเดชอิศม์ ขาวทอง รักษาการรองหัวหน้าพรรคและชัยชนะ เดชเดโช รักษาการรองเลขาธิการพรรค ได้ทอดไมตรีส่งสัญญาณยินดีเข้าร่วมรัฐบาลก้าวไกล

ว่ากันว่าช่วงกลางสัปดาห์ที่ อลงกรณ์ พลบุตร โพสต์เฟซบุ๊กเสนอให้พรรคประชาธิปัตย์ยกมือโหวตสนับสนุนรัฐบาลก้าวไกลนั้น..เป็นเรื่องเดียวกันกับที่กำลังเป็นข่าว...อย่างไรก็ตาม...ถ้าให้คาดเดาตอนนี้กลุ่มเฉลิมชัยน่าจะลุ้นหนักให้ส้มหล่น คือ ก้าวไกลไปไม่ถึงดวงดาว  และพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แล้วพรรคประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมรัฐบาลด้วยความสบายใจกว่า...

ครับ!! ก็ต้องจับตามองว่าจากนี้ไปใครจะเป็นผู้กอบกู้พรรคพระแม่ธรณี...บางกระแสลือกันว่า เฉลิมชัย ศรีอ่อน จะเป็นผู้ทรงอิทธิพลใช้ 17 ส.ส.ใต้ชุดใหม่หนุนให้ 'เดชอิศม์' ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค  ซึ่งถ้าเป็นจริงก็ดูไม่จืด...ส่วนอีกกระแสบอกว่ามวลสมาชิกจะอัญเชิญอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ-ชัยวุฒิ บรรณวัตน์ ให้คัมแบ็ก...ซึ่งนาทีนี้ก็ยากที่จะคาดหมายได้ว่า...เพราะมิรู้เลือดสีฟ้าของอภิสิทธิ์ยังเข้มข้นแค่ไหน? อย่างไร?


 

คนไทยได้เห็นอะไรใน "เลือกตั้ง 66 " บ้าง

ผ่านไปกับการเลือกตั้ง 66 มีทั้งผู้สมหวัง และผู้ผิดหวัง แต่สิ่งสำคัญคือ ประชาชนและประเทศ ต้องเดินหน้าต่อไปพร้อมกับเหล่าบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ต้อง “มุ่งมั่น” ในการพัฒนาบริหารประเทศ

เลือกตั้งที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการเลือกตั้งที่มากไปด้วยสีสัน รวมทั้งมีภาพแปลกตาอยู่ไม่น้อย The State Times รวบรวมสีสัน และความแปลกใหม่ ลองไปดูว่า มีเรื่องราวไหนที่ “ตรงใจ” กับคุณบ้าง 

‘รัฐบาลก้าวไกล’ 310 เสียง คงเป็นแค่ ‘ฝันกลางวัน’ โอกาสได้ ‘นายกฯ คนนอก’ มีน้อย แต่ไม่ควรมองข้าม

เรียนตามตรงว่า ทำข่าวการบ้านการเมือง การเลือกตั้ง การจัดตั้งรัฐบาลมาก็หลายปี แต่ไม่มีปีไหนที่ตื่นเต้นเร้าใจ ชวนระทึกเท่ากับปีนี้

ในชั้นนี้ต้องบอกว่า ถ้าพรรคก้าวไกล 152 เสียงจับมือกับพรรคเพื่อไทย 141 เสียง บวกกับพรรคอื่น ๆ อีก 17 เสียงรวมเป็น 310 เสียงได้ เราก็จะเห็นปรากฏการณ์พรรคอันดับ 1 กับอันดับ 2 จับมือกันตั้งรัฐบาลได้เป็นครั้งแรก จากที่ผ่าน ๆ มา อันดับ 1 กับอันดับ 2 จะแยกวงอยู่คนละข้างแทบทุกครั้ง…

‘เล็ก เลียบด่วน’ ขอสรุปสถานการณ์ ณ วันที่ 17 พ.ค.ว่า น่าเป็นห่วง…โอกาสที่สถานการณ์จะบานปลายขยายวงลงสู่ท้องถนนกันอีกครั้งมีสูงไม่น้อย...

สถานการณ์ขณะนี้ พรรคก้าวไกลเดินหน้าฟอร์มรัฐบาล 310 เสียง พรรคเพื่อไทยโดยคำยืนยันของโทนี่  วู้ดซัม บิดาอุ๊งอิ๊ง ล่าสุดบอกว่าจะยกมือให้ เพราะอ่านขาดว่ายังไงก้าวไกลก็ไปถึงดวงดาว ขณะที่พรรคก้าวไกลเองบรรดาสาวกและว่าที่ ส.ส. หลายรายออกอาการห้าวเป้งจุดไฟในนาครข่มขู่สมาชิกวุฒิสภาหรือ สว. ให้โหวตสนับสนุน ไม่เพียงเท่านั้นยังลามไปกดดันพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ใน 310 เสียงให้โหวตช่วยอีกต่างหาก จนถูกเจ้าของฉายา ‘มีโกนอาบน้ำผึ้ง’ ชวน หลีกภัย กรีดสวนว่า..อย่าจุ้นมาก คนอื่นเขาคิดเองได้…

จะว่าไปแล้ว...สาวกและว่าที่ ส.ส.ของพรรคก้าวไกลไม่ค่อยน่ารัก ขณะที่ว่าที่นายกฯ ทิม พิธา ก็ดูจะออกตัวแรงไปหน่อย...และขณะนี้น่าเป็นห่วงหัวหน้าทีมในอย่างชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค ที่มารับบทผู้จัดการรัฐบาลมือใหม่หัดขับว่าจะเข้าโค้งแหกโค้งไปได้หรือไม่…

ส่องกล้องสถานการณ์ดูแล้ว...ตัวแปรสำคัญที่สุดตอนนี้คือ ส.ว. 250 เสียง ซึ่งฟันธงได้ไม่ยากว่าส่วนใหญ่ไม่เอา ไม่รับสูตรพิธาเป็นนายกฯ โดยก้าวไกลเป็นแกนนำ แม้จะรวมมาได้ 310 เสียงก็ตาม...เหตุผลหลักก็คือประเด็นยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 วิธีคิดต่อสถาบันเบื้องสูง และนโยบายชุดใหญ่ ‘ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม’ หลายอย่างที่มีความล่อแหลม สุ่มเสี่ยง ดังนั้นจะกดดันแค่ไหนเพื่อหวังให้ ส.ว.ซัก 70 เสียงมาโหวตให้ทิม พิธาได้คะแนนผ่าน 376 เสียง เป็นเรื่องที่ปิดประตูตาย..อย่างมากก็จะได้เสียง ส.ว.ไม่เกิน 20 สียง

ตรงกันข้ามหากพลิกจากพรรคก้าวไกล พิธาเป็นนายกฯ ให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ โดยอุ๊งอิ๊งหรือเศรษฐาเป็นนายกฯ มีความเป็นไปได้มากกว่า ส.ว.จะสนับสนุน แต่มีข้อแม้สำคัญดังที่ ส.ว.สมชาย แสวงการ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า พรรคเพื่อไทยต้องเริ่มต้นตั้งแต่บัดนี้ ไม่ยืมมือ ส.ว.ให้โหวตคว่ำสูตรก้าวไกลเสียก่อน...แล้วจึงมาเริ่มต้น…

กล่าวโดยสรุป...อีกครั้ง
ประการแรก - รัฐบาลก้าวไกล 310 เสียงสุดท้ายจะเจอทางตัน เพราะแค่ ส.ว.งดออกเสียงไม่หนุนพิธาเป็นนายกฯ ก็จบข่าว ภายใต้สถานการณ์ที่มีโอกาสวุ่นวาย…

ประการที่สอง - พรรคเพื่อไทยที่รอส้มหล่น จะเดินต่อขยักสองเป็นแกนนำก็ไม่ง่าย...เพราะต้องไปอาศัยเสียงจากขั้วรัฐบาลเดิม มีความเป็นไปได้ที่จะถูกกดให้ลดชั้น สละเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้ ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรืออนุทิน ชาญวีรกูล

ประการที่สาม - ถ้าสูตรเพื่อไทยยังตกลงกันเรื่องตำแหน่งนายกฯ ไม่ได้ สถานการณ์ก็อาจไถลไปใช้บริการมาตรา 272 วรรคสอง...นายกรัฐมนตรีคนนอก หรือนายกฯ นอกบัญชีแคนดิเดต...ซึ่งโอกาสจะเกิดแม้มีน้อย แต่ก็อย่ามองข้าม…

ประการที่สี่ - แม้ไม่มีสุญญากาศทางการเมือง แต่โอกาสที่รัฐบาลลุงตู่จะรักษาการจะลายาวไปเป็นครึ่งปีก็มีโอกาสแม้จะน้อยนิด

ส่งท้ายวันนี้...อยากบอกว่าคิดถึงคำกล่าวของ ‘ป๋าเปรม’ ที่ว่าบ้านเมืองเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ใครอย่าคิดทำเล่น - สวัสดี!! 

‘เนเน่-จิ๊บ’ ผู้สมัคร ส.ส. รทสช. โพสต์ภาพประทับใจในอ้อมกอด ‘บิ๊กตู่’ พร้อมชื่นชมการทำงานของทั้งสอง ขอให้สู้ไปด้วยกัน อย่าถอดใจ

(17 พ.ค.66) หลังจากเกิดปรากฎการณ์ พรรคสีส้มครองที่นั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในกรุงเทพมหานคร ไปได้ถึง 32 ที่นั่ง และล่าสุดเฟซบุ๊กผู้สมัคร ส.ส.กทม เขต 33  ‘เนเน่ รัดเกล้า สุวรรณคีรี’ และผู้สมัคร ส.ส.กทม เขต 30 ‘จิ๊บ ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์’ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ภาพประทับใจในอ้อมกอดของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หมายเลข 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมข้อความว่า… 

“ความประทับใจของวันนี้  #ลุงตู่ บอก "โคตรเชียร์พวกเธอเลย" แล้วดึงไปกอด..   "ขอบคุณพวกเธอทุกคน สู้กันได้ดีมาก รักทุกคนนะ รู้ใช่ไหม อย่าถอดใจแล้วมาสู้ไปด้วยกันต่อนะ" 🤟❤️”

ทั้งนี้ มีประชาชนเข้ามาให้กำลังใจ กันอย่างล้นหลาม

เก็บตกเลือกตั้ง 66 รวมดาว 'ผู้สมัครตัวจี๊ด'

ผลนับคะแนนเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการออกมาแล้ว แต่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นจริงก็ต่อเมื่อ กกต. ส่วนกลางรับรองผลคะแนน และเคลียร์ประเด็นข้อร้องเรียนต่างๆ ซึ่งทุกอย่างมีขั้นตอน และกระบวนการที่พิจารณาอย่างละเอียด แต่ กกต.ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลา 60 วัน 

ระหว่างรอความชัดเจน เราลองมองย้อนกลับไปดูบาง "ผู้สมัคร ส.ส." ที่สร้างสีสัน ตั้งแต่วันรับสมัคร ไปจนถึงวิธิการหาเสียง และนโยบายที่ชูเป็นจุดขาย ซึ่งมีทั้งที่น่าจะเข้าป้าย และอาจต้องผิดหวังจากการเลือกตั้งครั้งนี้

เริ่มที่ "ไอซ์" รัชนก ศรีนอก ว่าที่ ส.ส. พรรคก้าวไกล เขต 28 บางบอน ที่ล้มช้าง บ้านใหญ่เจ้าของพื้นที่เดิม อย่าง "วัน  อยู่บำรุง" จากพรรคเพื่อไทย และ "วณิชชา ม่วงศิริ" จากพรรคประชาธิปัตย์ แบบขาดลอยโดยได้รับคะแนนเสียงถึง 47,592 คะแนน

แน่นอนว่ากระแสพรรคก้าวไกลก็ส่วนหนึ่ง แต่ชื่อของ “ไอซ์ รัชนก” ถูกพูดถึงและเป็นที่จดจำมากในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ด้วยรูปแบบการหาเสียงที่เรียกว่าถึงลูกถึงคน ทั้งการปั่นจักรยาน หิ้วโทรโข่งลุยเดี่ยวเรียกคะแนนเสียงไปตามถนนหนทาง แวะถามสารทุกข์สุกดิบกับผู้คนตามชุมชนต่างๆ และยังมีลูกเล่นหาเสียง ทำพวงมาลัยนโยบายไปแจกผู้ขับขี่ตามสี่แยก นอกจากนี้เธอยังใช้พื้นที่โซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะทำคลิปบรรยากาศการหาเสียง ลง tiktok สร้างกระแส และสื่อสารนโยบายอย่างต่อเนื่อง

คนต่อมา ศรัณย์วุฒิ  ศรัณย์เกตุ โจรกลับใจ ที่ไม่ได้โอกาสกลับเข้าสภา 
บรรยากาศวันรับสมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต หนึ่งในพื้นที่สีสันที่สร้างความฮือฮาได้ไม่น้อย คือที่จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อ  "ศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ"  ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 พรรครวมไทยสร้างชาติ ปรากฏตัวด้วยการแต่งกายแบบนักรบโบราณ 2 มือถือดาบ นำทีมผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค นั่งเกวียนที่มีวัวลากจูง บรรทุกพืชผลทางการเกษตรเข้าสู่พื้นที่รับสมัคร สร้างความสนใจให้ชาวบ้านและสื่อมวลชนที่รอทำข่าวไม่น้อย

แม้ใครจะมองว่าเป็นเพียงสีสันทางการเมือง แต่ถ้าย้อนไปดู ถือว่า "ศรัณย์วุฒิ" เป็น ส.ส.ที่คนอุตรดิตถ์มอบความไว้วางใจมาหลายสมัย ด้วยความเป็นนักการเมืองฝีปากกล้า รวมถึงทรงผม หนวดเครา และจอนยาวที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้เขาได้รับฉายาทั้ง "ส.ส.หนวดงาม"  "นักรบพันธุ์ดุ" และ "ส.ส.เอลวิส" และเป็นหนึ่งใน ส.ส. ที่อภิปรายในสภาสร้างสีสันได้เสมอ 

ในช่วงก่อนเลือกตั้ง ศรัณย์วุฒิ สร้างความฮือฮาด้วยการ "ข้ามค่าย ย้ายขั้ว" จากพรรคฝ่ายค้านเดิม ประกาศตัวเป็น "โจรกลับใจ" เปิดตัวกับพรรครวมไทยสร้างชาติ เดินหน้าสนับสนุน "พลเอกประยุทธ์"  กลับเข้าไปเป็นนายกฯ อีกครั้ง

แต่ในท้ายที่สุด ผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ ของอุตรดิตถ์ เขต 3 ปรากฏว่าหนนี้ เจ้าพ่อคอนเทนต์อย่างศรัณย์วุฒิสอบตก โดยคะแนนเสียงอันดับ 1 ตกเป็นของ รวี เล็กอุทัย ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยกวาดไปถึง 48,779 คะแนน ขณะที่ อดีต ส.ส. อย่างศรัณย์วุฒิ  มาเป็นอันดับ 3 ที่ 12,896 คะแนนเท่านั้น เป็นอันปิดฉากหนึ่งในนักการเมืองมากสีสัน สำหรับเวทีการเมืองสมัยนี้ไปโดยปริยาย 

มาถึง "ครูปรีชา" จากคู่พิพาทหวยด้ง 30 ล้าน  สู่ผู้สมัคร ส.ส. ผลักดันนโยบายแก้ปัญหาราคาสลากแพง
อันที่จริง ชื่อของ "ครูปรีชา ใคร่ครวญ" โด่งดังมาตั้งแต่ ปี 2562 จากกรณีเป็นคู่ความในคดีมหากาพย์หวย 30 ล้าน กับ "หมวดจรูญ" อดีตข้าราชการตำรวจ ทำให้ครูปรีชาเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ ตั้งแต่นั้นมา

แต่ในช่วงก่อนการเลือกตั้งที่ผ่านมา ชื่อของ "ครูปรีชา" กลับมาถูกพูดถึงอีกครั้ง แต่ในบริบทที่เปลี่ยนไป เพราะครั้งนี้เจ้าตัวประกาศลงสมัคร ส.ส. เขต 1 กาญจนบุรี แต่ด้วยติดปัญหาด้านการจัดการ ทำให้สุดท้าย เจ้าตัวจึงเปลี่ยนมาลงสมัครระบบบัญชีรายชื่อเป็น ลำดับที่ 9 ในนามพรรคประชากรไทย โดยเดินทางไปลงสมัครในช่วงบ่ายของวันสุดท้าย 

สำหรับนโยบายหวยๆ ที่ครูปรีชาเสนอคือ การซื้อหวยอย่างเท่าเทียม อย่างมีความสุข ใบละ 80 บาท พร้อมชูมอตโต้ "ยิ้มอย่างมีความสุข ซื้อหวยอย่างมีความสุข เลือกครูปรีชา"

แต่ล่าสุด ผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ ปรากฏว่าพรรคประชากรไทยได้คะแนนเสียงในระบบบัญชีรายชื่อ จำนวน 56,655 คะแนน ไม่พอต่อการได้เก้าอี้ ส.ส ความฝันและนโยบายของครูปรีชา จึงไม่ได้ไปต่อในการเลือกตั้งหนนี้  

อีกหนึ่งสีสันการเลือกตั้งหนนี้ คือการก้าวขาเข้ามาสู่การเมืองเต็มตัวของ  "นอท กองสลากพลัส" หรือ พันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ CEO กองสลากพลัสที่ปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ก่อนออกมาเปิดตัว "พรรคเปลี่ยน" โดยเจ้าตัวนั่งปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 1 ตั้งเป้ากวาด 3 ล้านเสียง พร้อมกับการประกาศ 3 นโยบายหลัก 5 นโยบายรอง แก้ไขปัญหาปากท้องโดยเฉพาะกลุ่มคนหาเช้ากินค่ำผ่านนโยบาย "หวยโอกาส"  ให้สามารถหาเงินได้ปีละ 55,000 ล้านบาทต่อปี นำมาต่อยอดทำนโยบายธนาคารโอกาสและกองทุนโอกาสให้เงินกู้แก่ผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ 

แต่แล้วก็เช่นกัน ผลการเลือกตั้งไม่เป็นทางการปรากฏว่า พรรคเปลี่ยนไม่มี ส.ส. สอบผ่านทั้งแบบเขตและบัญชีรายชื่อ ทำให้พรรคเปลี่ยนของ "นอท" ไม่มีพื้นที่ในสภาในการเลือกตั้งหนนี้ แต่อย่างน้อยตัวเขาและพรรคเปลี่ยนก็แต่งแต้มสีสันให้บรรยากาศการเลือกตั้งครั้งนี้มีชีวิตชีวามากขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top