Tuesday, 8 October 2024
SPECIAL

‘บิ๊กโจ๊ก’ เผย ‘แอม ไซยาไนด์’ เล่นพนันสูงสุดวันละ 10 ล้าน!! เตรียมจับเจ้าของเว็บฯ ก่อนส่งสำนวนอัยการ 15 คดี อาทิตย์หน้า

(19 พ.ค. 66) พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยหลังจากเมื่อวานที่ผ่านมาได้เข้าไปสอบปากคำนางสาวสรารัตน์ หรือ ‘แอม’ ภายในทัณฑสถานหญิงกลาง แล้วพบว่า ไม่ยอมให้การเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวน และไม่ยอมลงลายมือชื่อในคำให้การที่ให้ไว้เดิม

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า ไม่เหนือความคาดหมายที่ผู้ต้องหาไม่ให้การ หลังจากที่ได้รับคำปรึกษาจากทนายความซึ่งยังคงเป็นนางสาวธันย์พิชา เอกสุวรรณวัฒน์ หรือ ‘ทนายพัช’ และยังไม่มีการเปลี่ยนตัวทนายความ และแม้ว่าผู้ต้องหายังไม่ได้รับสารภาพในข้อหาฆ่าผู้อื่น แต่รับในข้อเท็จจริง ซึ่งก็ยังยืนยันว่าตำรวจมีพยานหลักฐานที่แน่นหนา สามารถดำเนินคดีในชั้นศาลได้

ส่วนการกลับคำให้การไปมาของนางสาวแอม ยืนยันว่า ไม่มีปัญหาในการดำเนินคดี แต่จากการเข้าไปสอบปากคำด้วยตัวเองในเรือนจำ ยังพบว่านางสาวแอม ยังไม่สำนึกผิด ส่วนจะมีที่ปรึกษาทางกฎหมายให้กับนางสาวแอมจะมีความผิดหรือ ขณะนี้ยังไม่พบความผิด

นอกจากนั้น ยังได้สืบสวนถึงแหล่งที่มาของไซยาไนด์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยปละละเลย รวมทั้งกลุ่มเว็บไซต์พนันออนไลน์ ที่พบว่านางสาวแอมโอนเงินไปเล่นพนันกว่า 78 ล้านบาท ขณะนี้ทราบถึงเจ้าของเว็บไซต์ทั้งหมดแล้ว และพบว่าไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว

ส่วนนางสาวแอม ยังยอมรับว่า เล่นการพนันมาตั้งแต่ปี 2563 โดยรวมเงินจากกลุ่มเพื่อน และวงแชร์ วงจำนำรถ และกลุ่มเงินกู้ เพื่อไปเล่นพนัน โดยบางวันเข้าเว็บพนันมียอดเงินสูงถึง 10 ล้านบาท และจากการตรวจสอบยังไม่พบว่า พันตำรวจโทวิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ อดีตสามีของนางสาวแอม เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเล่นพนัน แต่ได้ช่วยเหลือด้านการเงิน ทั้งกู้เงินจากสหกรณ์ และจำนองบ้าน เพื่อเอาเงินไปให้นางสาวแอม

โดยภายในสัปดาห์หน้าจะพบความชัดเจนในการแจ้งข้อกล่าวหา และการออกหมายจับกับบุคลที่เกี่ยวข้อง ส่วนนางสาวแอม ก็จะถูกแจ้งข้อความหา ใช้เอกสารปลอมเพิ่มเติม หลังจากพบว่าปลอมทะเบียนรถของนายแด้ อดีตสามี

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังระบุว่า สำนวนคดีนี้ได้ปรึกษาร่วมกับอัยการอยู่โดยตลอด เพื่อให้การส่งสำนวน และการตรวจสอบสำนวนไปในทิศทางเดียวกัน และพร้อมที่จะส่งสำนวนคดีทั้ง 15 คดี ไปให้อัยการพิจารณาภายในสัปดาห์หน้า โดยคดีนี้จะรวมทั้ง 15 สำนวน ดำเนินคดีศาลอาญา

โดยจะมอบหมายให้พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกอบรม กองบัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะหัวหน้ารวบรวมสำนวนคดี และ พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการกองปราบปราม ซึ่งเป็นผู้ทำคดีและเป็นผู้มีประสบการณ์ในการร้อยเรียงสำนวนทั้ง 15 สำนวนขึ้นเบิกความให้ศาลรับฟัง

ด้าน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยและ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รอง ผบ.ตร. ซึ่งได้รายงานความคืบหน้าคดีให้ทราบโดยตลอด ซึ่งคดีนี้เป็นคดีที่สังคมให้ความสนใจและตนเองได้กำชับเร่งรัดคดีโดยให้ทำให้เร็วแต่ก็ต้องรอบคอบ  ซึ่งทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เองก็มีการประชุมชุดคลี่คลายคดีทุกวัน โดยเฉพาะพนักงานสอบกองปราบปรามและตำรวจภูธรภาค 7 ในการทำงานร่วมกัน และคงจะดำเนินเสร็จสิ้นเร็ว ๆ นี้

ส่วนสำนวนคดีทราบว่าจะมีการรวบรวมและส่งให้อัยการไปมีเดียว 15 สำนวน เน้นย้ำให้ทำอย่างรอบคอบที่สุด เพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้ดีที่สุด พร้อมระบุว่า บางกรณีที่ผู้ต้องหาไม่ให้ความร่วมมือและหลักฐานบางชิ้นไม่สมบูรณ์ ก็ได้กำชับไปแล้วว่าให้ทำให้ดีที่สุดในการรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ แม้ผู้ต้องหาไม่ให้ความร่วมมือก็ให้หาหลักฐานส่วนอื่นไม่ว่าจะเป็นพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานแวดล้อม รวมถึงหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ นำมาร้อยเรียงให้ครบถ้วนสมบูรณ์ก่อนส่งสำนวนให้อัยการ ซึ่งย้ำว่า คดีนี้ตำรวจมีหลักฐานขอให้มั่นใจว่าเอาผิดผู้ต้องหาได้แน่นอน

‘กกต.’ จัดเลือกตั้งใหม่ หน่วย 10 เขต 1 นครปฐม 21 พ.ค.นี้ หลังเจอฝนถล่มจนหน่วยเลือกตั้งล้ม ชวนผู้มีสิทธิเข้าคูหาอีกครั้ง

(19 พ.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้ลงนามคำสั่งคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ 913/2566 ลงวันที่ 18 พ.ค. 2566 เรื่องให้มีการลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หน่วยเลือกตั้งที่ 10 เขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดนครปฐมใหม่ โดยมีสาระสำคัญระบุว่า…

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้รับรายงานกรณีคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง ได้ประกาศงดลงคะแนนตามมาตรา 102 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 ด้วยในวันที่ 14 พ.ค. 66 เวลา 16.45 น. เกิดเหตุฝนตกหนักและลมพัดแรง ทำให้ปะรำที่เลือกตั้งล้ม และในระหว่างนั้นมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางส่วนมาปรากฏตัวในที่เลือกตั้ง แต่คณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งที่ 10 ได้ประกาศงดการลงคะแนน จึงไม่อาจใช้สิทธิเลือกตั้งได้

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 102 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 ประกอบข้อ 5 และข้อ 166 ระเบียบ กกต. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2566 กกต. จึงมีมติให้ยกเลิกการเลือกตั้งของหน่วยเลือกตั้งที่ 10 วันที่ 14 พ.ค. 2566 และกำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 21 พ.ค. 66 เป็นวันลงคะแนนใหม่

ขณะเดียวกัน สำนักงาน กกต. ประจำจังหวัดนครปฐม ได้ออกประกาศเชิญชวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่อยู่บ้านเลขที่ 1 ถึงบ้านเลขที่ 88/100 หมู่ 8 ต.บางแขม อ.เมือง จ.นครปฐม จำนวน 943 คน ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส. ในวันอาทิตย์ที่ 21 พ.ค.66 นี้ ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น. ณ ปะรำบริเวณองค์การบริหารส่วนตำบลบางแขม อ.เมือง จ.นครปฐม

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตุ๋นเงิน ‘ต๋อง ศิษย์ฉ่อย’ อ้างพัวพัน ยาเสพติด ฟอกเงิน พร้อมโชว์บัตรตำรวจให้ดู

“ต๋อง ศิษย์ฉ่อย” วัฒนา ภู่โอบอ้อม ยอดนักสนุกเกอร์ไทย ที่เพิ่งคว้าเหรียญทองสนุกเกอร์ 6 แเดง ชายคู่ ในกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ที่ประเทศกัมพูชา ให้สัมภาษณ์ ผู้สื่อข่าวว่า ก่อนไปแข่งขันซีเกมส์ที่กัมพูชา ตนซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้าน วงเงินบัตรเครดิต 1 แสนบาท ใช้ไป 5-6 หมื่นบาท จากนั้นจะใช้อีก ปรากฏว่า เต็มวงเงิน ก็แปลกใจ แต่คิดว่าไปแข่งซีเกมส์ก่อน กลับมาไทยค่อยมาจัดการ ซึ่งหลังจากได้เหรียญทองกลับมาแล้ว

เหตุเกิดวันที่ 16 พ.ค. ตั้งแต่ราว 11.00 น. มีผู้หญิงโทรมา ถามว่าใช่ วัฒนา ภู่โอบอ้อม หรือไม่ แล้วบอกว่าตนติดหนี้ 8.9 หมื่นบาท ตนยืนยันไม่เคยติดหนี้ แล้วก็ถามว่า เคยไป จ.นครสวรรค์ หรือไม่ ตนบอกว่า ไม่ได้ไป 5-6 ปี แล้ว ทางนั้นก็ให้ติดต่อ สภ.เมืองนครสวรรค์ ตนบอกไปไม่ได้ ติดแข่ง จึงให้ต่อสายไป สภ.เมืองนครสวรรค์ ผู้แอบอ้างเป็นตำรวจ มารับช่วงคุย แล้วให้รอ 10 นาที

ต๋อง กล่าวต่อไปว่า ต่อมา ทางผู้ที่แอบอ้างว่าเป็นตำรวจ บอกว่าตนเองพัวพัน ยาเสพติด ฟอกเงิน ตนสงสัยว่าตำรวจจริงหรือไม่ บุคคลดังกล่าวก็ส่งบัตรประจำตัวให้ดู เป็นยศ พันตำรวจเอก แล้วก็ให้เปลี่ยนมาคุยวิดีโอคอลล์ ทางนั้นถามว่า เปิดบัญชีที่จันทบุรีหรือไม่ แล้วบอกว่า 2 สัปดาห์ก่อน จับพ่อค้ายาเสพติด ชื่อ สัญญา แซ่ลี้ อ้างว่าซื้อบุ๊คแบงค์จากตน 5 หมื่นบาท แล้ว ต๋อง ได้เงินเปอร์เซ็นต์จากการลำเลียงยาเสพติด 10 เปอร์เซ็นต์ 8.5 แสนบาท ตนบอกไม่รู้จัก
.
จากนั้นทางผู้ที่แอบอ้างเป็นตำรวจ บอกว่า ถ้าอย่างนั้น ต้องแสดงความบริสุทธิ์ เช็คเส้นทางการเงิน ถามว่ามีเงินฝากกี่แห่ง ตนก็บอก 5 แห่ง แล้วก็เริ่มให้โอนเงิน เพื่อเช็คเส้นทาง พร้อมขู่ว่า ตอนนี้ชื่อไปอยู่ชั้นศาลแล้ว ถ้าไม่ให้ความร่วมมือ อาจถูกจำคุก 1 ปี 6 เดือน จนก็จิตตก กลัว โอนไปเรื่อยๆ คิดว่าไม่มีปัญหา เพราะเห็นบัตรว่าเป็นตำรวจจริง โอนไปจนเรื่อย ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง ยืมแม่มาอีก 2 แสนบาท ตอนนั้นอยู่โต๊ะสนุกเกอร์ทีบีซี สนุกเกอร์ เตรียมซ้อม จนเพื่อนนักสนุกเกอร์ เอะใจ มาแย่งโทรศัพท์ไป แล้วด่าใส่โทรศัพท์ ก่อนวางสายไป สรุปแล้ว โอนไป 10 รายการ โอนจนแบตเตอร์รี่โทรศัพท์แทบหมด หมดไป 3.2 ล้านบาท เงินสดทั้งตัวเหลือ 8 พันบาทเศษๆ เท่านั้น เพราะเงินที่ได้มา ส่วนใหญ่แปรทรัพย์สินไปซื้อที่ดิน

“เขารู้ข้อมูลหมดทุกอย่าง มาถามว่ามีที่ดินที่ไหน ที่จันทบุรีมีเท่าไหร่ บ้านเมืองนอกมีไหม ผมระวังตัวมาตลอด ไม่คิดเลยว่าจะเจอ อยากเป็นอุทธาหรณ์เตือนใจ อยากเตือนให้ทุกคนรู้ว่ามันอันตรายจริงๆ ผมไม่อาย ที่เปิดเรื่องนี้ขึ้นมา” ต๋อง กล่าว

นอกจากนี้เจ้าตัวยังเปิดเผยอีกว่าจนได้ไปแจ้งความที่ สน.วังทองหลางไว้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะทันหรือไม่ทัน แล้วแต่บุญแต่กรรม ไปสถานีตำรวจ 3 รอบแล้ว เหนื่อยมาก วันที่ 19 พ.ค.ก็มีแข่ง ก็ไม่มีแก่ใจ ตอนนี้ไม่กล้ารับสายใครแล้ว

'ก้าวไกล' ไม่เฟด 112 ดูท่า 'พิธา' จะอดเป็นนายกฯ แวะบ้าน ปชป.ส่อเละ!! เมื่อซุ้มเฉลิมชัยหนุน 'เดชอิศม์' คุมพรรค

'เลียบการเมือง' วันนี้...ส่งท้ายปลายสัปดาห์ ต้องบอกว่าเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลให้จับตาการแถลงบันทึกความเข้าใจ บันทึกความตกลงของ 8 พรรคการเมือง 313 เสียงที่จะเปิดไพ่กันในในวันจันทร์ที่ 22 พ.ค. - วันที่ครบรอบ 9 ปีการรัฐประหารเมื่อปี 2557...แน่ะ...เข้าใจเลือกวัน 

แต่ 'เล็ก เลียบด่วน' สังหรณ์ใจว่าจะไม่ใช่วันมงคลซักเท่าไหร่นะ...

ได้ฟันธงไปเมื่อกลางสัปดาห์ว่า รัฐบาลสูตรก้าวไกลจะไปไม่ถึงดวงดาว วันนี้ก็ยังเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่ในส่วนลึกของหัวใจ 'เล็ก เลียบด่วน' ก็อยากเห็นสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงกับเขา เหมือนกัน...แต่เมื่อดูกระบวนท่าขบวนทัพของพรรคก้าวไกลแล้ว ต้องบอกว่าถ้ายังดำเนินไปด้วยเนื้อหาและท่วงทำนองข่มขู่กดดันชาวบ้าน โดยเฉพาะสมาชิกวุฒิสภา ไม่ใช้คาถาท่านสุนทรภู่ที่ว่า “ปรารถนาสารพัดในปฐพี เอาไมตรีแลกได้ดั่งใจจง” ที่ดร.วิษณุ เครืองาม ยกมาพูดถึงสองครั้งสองคราก็อย่าหมายว่าจะไปถึงดวงดาว...

ปัจจัยชี้ชะตานายกฯ คนที่ 30 ของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์และพรรคก้าวไกลนาทีนี้อยู่ที่...ปมประเด็นจุดยืนการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ที่พรรคก้าวไกลหาเสียงและเคยยื่นต่อสภา ซึ่งถ้ายังยืนยันที่จะแก้ไขหรือยกเลิก หรือแถลงแบบอึมครึมแบบเมื่อวันก่อนก็เหนื่อยหนัก...แต่ถ้าประกาศชัด ว่าจะไม่แตะต้องไม่แก้ไข ก็คงทำให้ได้เสียง ส.ว.หรือแม้กระทั่งส.ส.ที่จะโหวตฟรีจำนวนไม่น้อย...แน่นอนการประกาศอย่างนี้จะมีปฏิกิริยาจากแฟนคลับอื้ออึง...ก็เป็นเรื่องที่พรรคก้าวไกล ต้องชี้แจงเอาเอง เช่นบอกว่ารัฐบาลจะอำนวยความยุติธรรมให้กับคนที่โดนคดี 112 หรือคดีการเมือง...ประมาณนั้น

พูดไปทำไมมี...นาทีนี้ใครที่ตามลุ้นการจัดตั้งรัฐบาลก็ต้องใจร่มๆ ใจเย็นๆ ให้เหมือนพรรคเพื่อไทยที่เดินเกมเนียนสุดๆ ในการรอส้มหล่น...

สรุปว่า อีกประมาณ 60 วันเราถึงจะได้รู้ว่าใครจะเป็นประธานสภา และหลังจากนั้นอีกครึ่งเดือนจะโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี...สิริรวมต้นเดือน ส.ค.เป็นอย่างเร็วถึงจะได้นายกรัฐมนตรี ถึงวันนั้นหวยนายกฯอาจพลิกเป็นอุ้งอิ๊งหรือลุงป้อมไปแล้วก็ได้…!!??

แว้บ!! ไปที่พรรคประชาธิปัตย์กันหน่อย ประการแรกก็ต้องบอกว่า...เลือกตั้งหนนี้ได้ให้บทเรียนกับพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดอย่างเจ็บปวด จาก 52 ที่นั่งเมื่อปี 2562 เหลือ 25 ที่นั่ง  ส.ส.เขต 23 คน ปาร์ตี้ลิสต์ 2 คน คือ คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ และ คุณชวน หลีกภัย...

วันนี้คุณจุรินทร์ได้แสดงสปิริตลาออกจากหัวหน้าพรรคแล้ว ไม่แปลกที่หลายคนถามหาสปิริต เฉลิมชัย ศรีอ่อน  เลขาธิการพรรคที่ประกาศว่าถ้าได้ ส.ส.น้อยกว่าเดิมจะวางมือทางการเมือง...ตรงข้ามตอนนี้มีข่าวลือสะพัดว่ากลุ่มเฉลิมชัย อันมีสองขุนพลภาคใต้ขนาบซ้ายขวา คือเดชอิศม์ ขาวทอง รักษาการรองหัวหน้าพรรคและชัยชนะ เดชเดโช รักษาการรองเลขาธิการพรรค ได้ทอดไมตรีส่งสัญญาณยินดีเข้าร่วมรัฐบาลก้าวไกล

ว่ากันว่าช่วงกลางสัปดาห์ที่ อลงกรณ์ พลบุตร โพสต์เฟซบุ๊กเสนอให้พรรคประชาธิปัตย์ยกมือโหวตสนับสนุนรัฐบาลก้าวไกลนั้น..เป็นเรื่องเดียวกันกับที่กำลังเป็นข่าว...อย่างไรก็ตาม...ถ้าให้คาดเดาตอนนี้กลุ่มเฉลิมชัยน่าจะลุ้นหนักให้ส้มหล่น คือ ก้าวไกลไปไม่ถึงดวงดาว  และพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แล้วพรรคประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมรัฐบาลด้วยความสบายใจกว่า...

ครับ!! ก็ต้องจับตามองว่าจากนี้ไปใครจะเป็นผู้กอบกู้พรรคพระแม่ธรณี...บางกระแสลือกันว่า เฉลิมชัย ศรีอ่อน จะเป็นผู้ทรงอิทธิพลใช้ 17 ส.ส.ใต้ชุดใหม่หนุนให้ 'เดชอิศม์' ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค  ซึ่งถ้าเป็นจริงก็ดูไม่จืด...ส่วนอีกกระแสบอกว่ามวลสมาชิกจะอัญเชิญอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ-ชัยวุฒิ บรรณวัตน์ ให้คัมแบ็ก...ซึ่งนาทีนี้ก็ยากที่จะคาดหมายได้ว่า...เพราะมิรู้เลือดสีฟ้าของอภิสิทธิ์ยังเข้มข้นแค่ไหน? อย่างไร?


 

คนไทยได้เห็นอะไรใน "เลือกตั้ง 66 " บ้าง

ผ่านไปกับการเลือกตั้ง 66 มีทั้งผู้สมหวัง และผู้ผิดหวัง แต่สิ่งสำคัญคือ ประชาชนและประเทศ ต้องเดินหน้าต่อไปพร้อมกับเหล่าบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ต้อง “มุ่งมั่น” ในการพัฒนาบริหารประเทศ

เลือกตั้งที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการเลือกตั้งที่มากไปด้วยสีสัน รวมทั้งมีภาพแปลกตาอยู่ไม่น้อย The State Times รวบรวมสีสัน และความแปลกใหม่ ลองไปดูว่า มีเรื่องราวไหนที่ “ตรงใจ” กับคุณบ้าง 

‘รัฐบาลก้าวไกล’ 310 เสียง คงเป็นแค่ ‘ฝันกลางวัน’ โอกาสได้ ‘นายกฯ คนนอก’ มีน้อย แต่ไม่ควรมองข้าม

เรียนตามตรงว่า ทำข่าวการบ้านการเมือง การเลือกตั้ง การจัดตั้งรัฐบาลมาก็หลายปี แต่ไม่มีปีไหนที่ตื่นเต้นเร้าใจ ชวนระทึกเท่ากับปีนี้

ในชั้นนี้ต้องบอกว่า ถ้าพรรคก้าวไกล 152 เสียงจับมือกับพรรคเพื่อไทย 141 เสียง บวกกับพรรคอื่น ๆ อีก 17 เสียงรวมเป็น 310 เสียงได้ เราก็จะเห็นปรากฏการณ์พรรคอันดับ 1 กับอันดับ 2 จับมือกันตั้งรัฐบาลได้เป็นครั้งแรก จากที่ผ่าน ๆ มา อันดับ 1 กับอันดับ 2 จะแยกวงอยู่คนละข้างแทบทุกครั้ง…

‘เล็ก เลียบด่วน’ ขอสรุปสถานการณ์ ณ วันที่ 17 พ.ค.ว่า น่าเป็นห่วง…โอกาสที่สถานการณ์จะบานปลายขยายวงลงสู่ท้องถนนกันอีกครั้งมีสูงไม่น้อย...

สถานการณ์ขณะนี้ พรรคก้าวไกลเดินหน้าฟอร์มรัฐบาล 310 เสียง พรรคเพื่อไทยโดยคำยืนยันของโทนี่  วู้ดซัม บิดาอุ๊งอิ๊ง ล่าสุดบอกว่าจะยกมือให้ เพราะอ่านขาดว่ายังไงก้าวไกลก็ไปถึงดวงดาว ขณะที่พรรคก้าวไกลเองบรรดาสาวกและว่าที่ ส.ส. หลายรายออกอาการห้าวเป้งจุดไฟในนาครข่มขู่สมาชิกวุฒิสภาหรือ สว. ให้โหวตสนับสนุน ไม่เพียงเท่านั้นยังลามไปกดดันพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ใน 310 เสียงให้โหวตช่วยอีกต่างหาก จนถูกเจ้าของฉายา ‘มีโกนอาบน้ำผึ้ง’ ชวน หลีกภัย กรีดสวนว่า..อย่าจุ้นมาก คนอื่นเขาคิดเองได้…

จะว่าไปแล้ว...สาวกและว่าที่ ส.ส.ของพรรคก้าวไกลไม่ค่อยน่ารัก ขณะที่ว่าที่นายกฯ ทิม พิธา ก็ดูจะออกตัวแรงไปหน่อย...และขณะนี้น่าเป็นห่วงหัวหน้าทีมในอย่างชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค ที่มารับบทผู้จัดการรัฐบาลมือใหม่หัดขับว่าจะเข้าโค้งแหกโค้งไปได้หรือไม่…

ส่องกล้องสถานการณ์ดูแล้ว...ตัวแปรสำคัญที่สุดตอนนี้คือ ส.ว. 250 เสียง ซึ่งฟันธงได้ไม่ยากว่าส่วนใหญ่ไม่เอา ไม่รับสูตรพิธาเป็นนายกฯ โดยก้าวไกลเป็นแกนนำ แม้จะรวมมาได้ 310 เสียงก็ตาม...เหตุผลหลักก็คือประเด็นยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 วิธีคิดต่อสถาบันเบื้องสูง และนโยบายชุดใหญ่ ‘ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม’ หลายอย่างที่มีความล่อแหลม สุ่มเสี่ยง ดังนั้นจะกดดันแค่ไหนเพื่อหวังให้ ส.ว.ซัก 70 เสียงมาโหวตให้ทิม พิธาได้คะแนนผ่าน 376 เสียง เป็นเรื่องที่ปิดประตูตาย..อย่างมากก็จะได้เสียง ส.ว.ไม่เกิน 20 สียง

ตรงกันข้ามหากพลิกจากพรรคก้าวไกล พิธาเป็นนายกฯ ให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ โดยอุ๊งอิ๊งหรือเศรษฐาเป็นนายกฯ มีความเป็นไปได้มากกว่า ส.ว.จะสนับสนุน แต่มีข้อแม้สำคัญดังที่ ส.ว.สมชาย แสวงการ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า พรรคเพื่อไทยต้องเริ่มต้นตั้งแต่บัดนี้ ไม่ยืมมือ ส.ว.ให้โหวตคว่ำสูตรก้าวไกลเสียก่อน...แล้วจึงมาเริ่มต้น…

กล่าวโดยสรุป...อีกครั้ง
ประการแรก - รัฐบาลก้าวไกล 310 เสียงสุดท้ายจะเจอทางตัน เพราะแค่ ส.ว.งดออกเสียงไม่หนุนพิธาเป็นนายกฯ ก็จบข่าว ภายใต้สถานการณ์ที่มีโอกาสวุ่นวาย…

ประการที่สอง - พรรคเพื่อไทยที่รอส้มหล่น จะเดินต่อขยักสองเป็นแกนนำก็ไม่ง่าย...เพราะต้องไปอาศัยเสียงจากขั้วรัฐบาลเดิม มีความเป็นไปได้ที่จะถูกกดให้ลดชั้น สละเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้ ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรืออนุทิน ชาญวีรกูล

ประการที่สาม - ถ้าสูตรเพื่อไทยยังตกลงกันเรื่องตำแหน่งนายกฯ ไม่ได้ สถานการณ์ก็อาจไถลไปใช้บริการมาตรา 272 วรรคสอง...นายกรัฐมนตรีคนนอก หรือนายกฯ นอกบัญชีแคนดิเดต...ซึ่งโอกาสจะเกิดแม้มีน้อย แต่ก็อย่ามองข้าม…

ประการที่สี่ - แม้ไม่มีสุญญากาศทางการเมือง แต่โอกาสที่รัฐบาลลุงตู่จะรักษาการจะลายาวไปเป็นครึ่งปีก็มีโอกาสแม้จะน้อยนิด

ส่งท้ายวันนี้...อยากบอกว่าคิดถึงคำกล่าวของ ‘ป๋าเปรม’ ที่ว่าบ้านเมืองเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ใครอย่าคิดทำเล่น - สวัสดี!! 

‘เนเน่-จิ๊บ’ ผู้สมัคร ส.ส. รทสช. โพสต์ภาพประทับใจในอ้อมกอด ‘บิ๊กตู่’ พร้อมชื่นชมการทำงานของทั้งสอง ขอให้สู้ไปด้วยกัน อย่าถอดใจ

(17 พ.ค.66) หลังจากเกิดปรากฎการณ์ พรรคสีส้มครองที่นั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในกรุงเทพมหานคร ไปได้ถึง 32 ที่นั่ง และล่าสุดเฟซบุ๊กผู้สมัคร ส.ส.กทม เขต 33  ‘เนเน่ รัดเกล้า สุวรรณคีรี’ และผู้สมัคร ส.ส.กทม เขต 30 ‘จิ๊บ ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์’ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ภาพประทับใจในอ้อมกอดของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หมายเลข 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมข้อความว่า… 

“ความประทับใจของวันนี้  #ลุงตู่ บอก "โคตรเชียร์พวกเธอเลย" แล้วดึงไปกอด..   "ขอบคุณพวกเธอทุกคน สู้กันได้ดีมาก รักทุกคนนะ รู้ใช่ไหม อย่าถอดใจแล้วมาสู้ไปด้วยกันต่อนะ" 🤟❤️”

ทั้งนี้ มีประชาชนเข้ามาให้กำลังใจ กันอย่างล้นหลาม

เก็บตกเลือกตั้ง 66 รวมดาว 'ผู้สมัครตัวจี๊ด'

ผลนับคะแนนเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการออกมาแล้ว แต่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นจริงก็ต่อเมื่อ กกต. ส่วนกลางรับรองผลคะแนน และเคลียร์ประเด็นข้อร้องเรียนต่างๆ ซึ่งทุกอย่างมีขั้นตอน และกระบวนการที่พิจารณาอย่างละเอียด แต่ กกต.ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลา 60 วัน 

ระหว่างรอความชัดเจน เราลองมองย้อนกลับไปดูบาง "ผู้สมัคร ส.ส." ที่สร้างสีสัน ตั้งแต่วันรับสมัคร ไปจนถึงวิธิการหาเสียง และนโยบายที่ชูเป็นจุดขาย ซึ่งมีทั้งที่น่าจะเข้าป้าย และอาจต้องผิดหวังจากการเลือกตั้งครั้งนี้

เริ่มที่ "ไอซ์" รัชนก ศรีนอก ว่าที่ ส.ส. พรรคก้าวไกล เขต 28 บางบอน ที่ล้มช้าง บ้านใหญ่เจ้าของพื้นที่เดิม อย่าง "วัน  อยู่บำรุง" จากพรรคเพื่อไทย และ "วณิชชา ม่วงศิริ" จากพรรคประชาธิปัตย์ แบบขาดลอยโดยได้รับคะแนนเสียงถึง 47,592 คะแนน

แน่นอนว่ากระแสพรรคก้าวไกลก็ส่วนหนึ่ง แต่ชื่อของ “ไอซ์ รัชนก” ถูกพูดถึงและเป็นที่จดจำมากในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ด้วยรูปแบบการหาเสียงที่เรียกว่าถึงลูกถึงคน ทั้งการปั่นจักรยาน หิ้วโทรโข่งลุยเดี่ยวเรียกคะแนนเสียงไปตามถนนหนทาง แวะถามสารทุกข์สุกดิบกับผู้คนตามชุมชนต่างๆ และยังมีลูกเล่นหาเสียง ทำพวงมาลัยนโยบายไปแจกผู้ขับขี่ตามสี่แยก นอกจากนี้เธอยังใช้พื้นที่โซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะทำคลิปบรรยากาศการหาเสียง ลง tiktok สร้างกระแส และสื่อสารนโยบายอย่างต่อเนื่อง

คนต่อมา ศรัณย์วุฒิ  ศรัณย์เกตุ โจรกลับใจ ที่ไม่ได้โอกาสกลับเข้าสภา 
บรรยากาศวันรับสมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต หนึ่งในพื้นที่สีสันที่สร้างความฮือฮาได้ไม่น้อย คือที่จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อ  "ศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ"  ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 พรรครวมไทยสร้างชาติ ปรากฏตัวด้วยการแต่งกายแบบนักรบโบราณ 2 มือถือดาบ นำทีมผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค นั่งเกวียนที่มีวัวลากจูง บรรทุกพืชผลทางการเกษตรเข้าสู่พื้นที่รับสมัคร สร้างความสนใจให้ชาวบ้านและสื่อมวลชนที่รอทำข่าวไม่น้อย

แม้ใครจะมองว่าเป็นเพียงสีสันทางการเมือง แต่ถ้าย้อนไปดู ถือว่า "ศรัณย์วุฒิ" เป็น ส.ส.ที่คนอุตรดิตถ์มอบความไว้วางใจมาหลายสมัย ด้วยความเป็นนักการเมืองฝีปากกล้า รวมถึงทรงผม หนวดเครา และจอนยาวที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้เขาได้รับฉายาทั้ง "ส.ส.หนวดงาม"  "นักรบพันธุ์ดุ" และ "ส.ส.เอลวิส" และเป็นหนึ่งใน ส.ส. ที่อภิปรายในสภาสร้างสีสันได้เสมอ 

ในช่วงก่อนเลือกตั้ง ศรัณย์วุฒิ สร้างความฮือฮาด้วยการ "ข้ามค่าย ย้ายขั้ว" จากพรรคฝ่ายค้านเดิม ประกาศตัวเป็น "โจรกลับใจ" เปิดตัวกับพรรครวมไทยสร้างชาติ เดินหน้าสนับสนุน "พลเอกประยุทธ์"  กลับเข้าไปเป็นนายกฯ อีกครั้ง

แต่ในท้ายที่สุด ผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ ของอุตรดิตถ์ เขต 3 ปรากฏว่าหนนี้ เจ้าพ่อคอนเทนต์อย่างศรัณย์วุฒิสอบตก โดยคะแนนเสียงอันดับ 1 ตกเป็นของ รวี เล็กอุทัย ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยกวาดไปถึง 48,779 คะแนน ขณะที่ อดีต ส.ส. อย่างศรัณย์วุฒิ  มาเป็นอันดับ 3 ที่ 12,896 คะแนนเท่านั้น เป็นอันปิดฉากหนึ่งในนักการเมืองมากสีสัน สำหรับเวทีการเมืองสมัยนี้ไปโดยปริยาย 

มาถึง "ครูปรีชา" จากคู่พิพาทหวยด้ง 30 ล้าน  สู่ผู้สมัคร ส.ส. ผลักดันนโยบายแก้ปัญหาราคาสลากแพง
อันที่จริง ชื่อของ "ครูปรีชา ใคร่ครวญ" โด่งดังมาตั้งแต่ ปี 2562 จากกรณีเป็นคู่ความในคดีมหากาพย์หวย 30 ล้าน กับ "หมวดจรูญ" อดีตข้าราชการตำรวจ ทำให้ครูปรีชาเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ ตั้งแต่นั้นมา

แต่ในช่วงก่อนการเลือกตั้งที่ผ่านมา ชื่อของ "ครูปรีชา" กลับมาถูกพูดถึงอีกครั้ง แต่ในบริบทที่เปลี่ยนไป เพราะครั้งนี้เจ้าตัวประกาศลงสมัคร ส.ส. เขต 1 กาญจนบุรี แต่ด้วยติดปัญหาด้านการจัดการ ทำให้สุดท้าย เจ้าตัวจึงเปลี่ยนมาลงสมัครระบบบัญชีรายชื่อเป็น ลำดับที่ 9 ในนามพรรคประชากรไทย โดยเดินทางไปลงสมัครในช่วงบ่ายของวันสุดท้าย 

สำหรับนโยบายหวยๆ ที่ครูปรีชาเสนอคือ การซื้อหวยอย่างเท่าเทียม อย่างมีความสุข ใบละ 80 บาท พร้อมชูมอตโต้ "ยิ้มอย่างมีความสุข ซื้อหวยอย่างมีความสุข เลือกครูปรีชา"

แต่ล่าสุด ผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ ปรากฏว่าพรรคประชากรไทยได้คะแนนเสียงในระบบบัญชีรายชื่อ จำนวน 56,655 คะแนน ไม่พอต่อการได้เก้าอี้ ส.ส ความฝันและนโยบายของครูปรีชา จึงไม่ได้ไปต่อในการเลือกตั้งหนนี้  

อีกหนึ่งสีสันการเลือกตั้งหนนี้ คือการก้าวขาเข้ามาสู่การเมืองเต็มตัวของ  "นอท กองสลากพลัส" หรือ พันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ CEO กองสลากพลัสที่ปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ก่อนออกมาเปิดตัว "พรรคเปลี่ยน" โดยเจ้าตัวนั่งปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 1 ตั้งเป้ากวาด 3 ล้านเสียง พร้อมกับการประกาศ 3 นโยบายหลัก 5 นโยบายรอง แก้ไขปัญหาปากท้องโดยเฉพาะกลุ่มคนหาเช้ากินค่ำผ่านนโยบาย "หวยโอกาส"  ให้สามารถหาเงินได้ปีละ 55,000 ล้านบาทต่อปี นำมาต่อยอดทำนโยบายธนาคารโอกาสและกองทุนโอกาสให้เงินกู้แก่ผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ 

แต่แล้วก็เช่นกัน ผลการเลือกตั้งไม่เป็นทางการปรากฏว่า พรรคเปลี่ยนไม่มี ส.ส. สอบผ่านทั้งแบบเขตและบัญชีรายชื่อ ทำให้พรรคเปลี่ยนของ "นอท" ไม่มีพื้นที่ในสภาในการเลือกตั้งหนนี้ แต่อย่างน้อยตัวเขาและพรรคเปลี่ยนก็แต่งแต้มสีสันให้บรรยากาศการเลือกตั้งครั้งนี้มีชีวิตชีวามากขึ้น

‘กกต.’ ขีดเส้น 7 วัน กรณีใครไม่ได้ไป ‘เลือกตั้ง66’ รีบแจ้งเหตุผลภายใน 15-21 พ.ค. ก่อนจะเสียสิทธิ 5 ข้อ

(16 พ.ค.66) เป็นเรื่องที่ประชาชนคนไทยต้องรู้และปฎิบัติเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย สำหรับผู้ที่ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา รวมถึงไม่ได้ขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าวันที่ 7 พฤษภาคม 2566 และไม่ได้แจ้งเหตุผล หรือแจ้งแล้ว แต่เป็นเหตุผลที่ไม่สมควร จะต้องเสียสิทธิ 5 ข้อที่ประชาชนพึงได้รับ ได้แก่
.
- สิทธิในการยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ส.ส., 
- สิทธิในการสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. หรือสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมัครรับเลือกเป็น ส.ว., 
- สิทธิในการสมัครรับเลือกเป็นกำนันและผู้ใหญ่บ้าน
- ต้องห้ามดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง และข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมือง 
- ต้องห้ามดำรงตำแหน่งรองผู้บริหารท้องถิ่น เลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยเลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น ประธานที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น ที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น หรือคณะที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
.
รวมการจำกัดสิทธิทั้ง 5 ข้อ มีกำหนดระยะเวลาถึง 2 ปี นับแต่วันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
.
แต่จะยกเว้นให้สำหรับผู้มีเหตุอันสมควรที่ทำให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส.ไม่ได้ ดังนี้
.
- เป็นผู้ที่มีธุรกิจจำเป็นเร่งด่วนต้องเดินทางไปพื้นที่ห่างไกล
- เป็นผู้ป่วยและไม่สามารถเดินทางไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้
- เป็นผู้พิการและผู้สูงอายุที่ไม่สามารถเดินทางไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้
- เป็นผู้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร 
- เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ห่างไกลจากที่เลือกตั้งเกินกว่า 100 กิโลเมตร
- เป็นผู้ประสบเหตุสุดวิสัย เช่น อุทกภัย วาตภัย ฯลฯ
.
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เปิดโอกาสสำหรับผู้ที่ไม่ได้ไปใช้สิทธิโดยเข้าข่ายมีเหตุอันสมควรข้างต้น ให้รีบลงทะเบียนแจ้งเหตุภายใน 7 วัน หลังวันเลือกตั้ง ก็คือระหว่างวันที่ 15-21 พฤษภาคม 2566 โดยขอรับแบบ ส.ส. 28 หรือทำหนังสือชี้แจงเหตุที่ทำให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ได้ พร้อมระบุหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน และที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน
.
จากนั้นให้ยื่นหนังสือต่อนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่น จะยื่นด้วยตัวเองหรือมอบหมายให้ผู้อื่นก็ได้ และหากไม่สะดวกเดินทางก็ให้ส่งทางไปรษณีย์พร้อมกับลงทะเบียน หรือจะแจ้งผ่านทางอินเทอร์เน็ตก็สามารถทำได้เช่นกัน
.
หากมีข้อสงสัย สามารถยกหูโทรถามได้ที่สายด่วน 1444 หรือเว็ปไซต์ www.ect.go.th หรือเพจเฟซบุ๊ก สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง

'ส.ส.ก้าวไกล' ลั่น!! ปั้นภูเก็ต เทียบชั้น 'สิงคโปร์-ฮ่องกง' ปลื้มไวรัล!! อย่าเรียก 'คนใต้' ให้เรียก 'คนภูเก็ต'

(16 พ.ค. 66) เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 ผลการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดภูเก็ตพรรคก้าวไกล ชนะการเลือกตั้งทั้ง 3 เขตประกอบด้วยเขตเลือกตั้งที่ 1 ว่าที่ ร.ต.สมชาติ เตชถาวรเจริญ ได้ 18,604 คะแนนเขตเลือกตั้งที่ 2 นายเฉลิมพงศ์ แสงดี ได้ 21,913 คะแนนเขตเลือกตั้งที่ 3 นายฐิติกันต์ ฐิติพฤฒิกุล ได้ 20,421 คะแนน

นายเฉลิมพงศ์ แสงดี ส.ส.ภูเก็ต เขต 2 พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ได้ขึ้นรถแห่รอบภูเก็ต ขอบคุณทุกคะแนนเสียงบริสุทธิ์จากประชาชนที่มอบให้กับพวกผมพรรคก้าวไกลพวกเรามุ่งมั่นตั้งใจทำงานให้กับพี่น้องประชาชนชาวภูเก็ต

”สิ่งที่จะทำเป็นอันดับแรกคือ การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตเป็นสิ่งแรกที่ควรทำ เป็นนัยสำคัญที่คนภูเก็ตมอบให้กับเรา ส่วนเรื่องความแตกแยกหรือวาทกรรมต่าง ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมา ต้องเข้าใจก่อนว่าเป้าหมายของเราคือนำพาจังหวัดภูเก็ตไปสู่ความเจริญก้าวหน้าที่ก้าวไกล จะไม่มีความแตกแยกใดเกิดขึ้นถ้าร่วมมือและสามัคคีกัน คิดว่า จังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดแห่งเกาะสวรรค์ เมืองแห่งไข่มุกอันดามัน ควรพัฒนาไปได้มากกว่านี้ถ้าเทียบกับประเทศสิงคโปร์และฮ่องกงเชื่อว่าคนภูเก็ตต้องการ และเราก็เรียกร้องกันมานานแล้วอย่าปล่อยโอกาสที่คนภูเก็ตมอบให้กับพรรคก้าวไกลแล้วอย่าให้โอกาสเหล่านี้หลุดลอยไป ควรไขว่คว้า อย่ามาขัดแย้งหรืออย่ามาเตะแข้งเตะขากันมันจะเสียเวลา ควรที่จะร่วมมือกันช่วยกันแนะนำกันเข้ามา พร้อมเปิดรับ และ ขอขอบคุณประชาชนพ่อแม่พี่น้องชาวจังหวัดภูเก็ตที่มอบเสียงอันบริสุทธิ์จริง ๆ ทุกคะแนนเสียงให้กับผมและยังคงมุ่งมั่นตั้งใจทำงาน ขอขอบคุณโอกาสที่พ่อแม่พี่น้องชาวภูเก็ตมอบให้พรรคก้าวไกล”

”ในส่วนการเป็นเจ้าภาพจัดงาน Expo 2028 นั้น ขอไปศึกษาในรายละเอียดต่าง ๆ จะนำเสนอปรึกษากับคณะรัฐมนตรี ที่ได้รับการแต่งตั้งแล้ว คิดว่านักธุรกิจทุกท่านที่มีไอเดียนำเสนอในช่วงเวลานี้ก่อนจะรวบรวมเสียงข้างมากเข้ามาได้และจะตั้งรัฐบาลควรจะเตรียมการบ้าน และพร้อมที่จะรับฟังการนำเสนอพร้อมที่จะส่งมอบให้กับข้างบนในการผลักดันโครงการต่าง ๆ ของจังหวัดภูเก็ต

สิ่งที่เป็นประโยชน์กับที่พี่น้องชาวภูเก็ตกับจังหวัดภูเก็ตจะรับฟังเป็นลำดับแรก ยินดีเปิดรับฟังทางภาคธุรกิจและภาคประชาชน เรื่องที่ค้างอยู่ในอดีตนำกลับมาเสนอได้ ยึดผลประโยชน์ของจังหวัดภูเก็ตเป็นหลัก และเปิดกว้างมากขึ้นกับด้อมส้มและด้อมทุกสี เชื่อว่าทุกคนมีหลากหลายความคิด ความหลากหลายคือสิ่งสวยงามมานั่งคุยกันปรึกษากันถกเถียงกันความคิดดี ๆ จะออกมาจากการพูดคุยกัน และยังรับเรื่องร้องเรียนของชาวบ้านเหมือนเดิม” นายเฉลิมพงศ์ กล่าว

ทางด้าน นายฐิติกันต์ ฐิติพฤฒิกุล ว่าที่ส.ส.พรรคก้าวไกล เขต 3 กล่าวว่า หลังจากทราบผลชนะการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดภูเก็ต ในวันนี้ได้ขึ้นรถแห่ไปรอบภูเก็ต ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิ ใช้เสียงแสดงพลัง เลือก พวกเราเป็น ส.ส.ทั้ง 3 เขต และ พรรคก้าวไกล ไปเป็นรัฐบาล เพื่อได้เลือก พิธา เป็นนายกฯ ขอบคุณมาก ที่มาร่วมกันปักธงสีส้มใน จ.ภูเก็ต ขอบคุณทุกรอยยิ้ม 300 นโยบาย ที่ให้ไว้ จะรีบทำทันใด ให้เสร็จเร็ววัน เตรียมตัวเลือกตั้งผู้ว่าฯ กัน

“สำหรับ คำว่า อย่าเรียกคนใต้ให้เรียกคนภูเก็ต ตามสื่อโซเชียล คิดว่า เป็นเรื่องของไวรัลของวัยรุ่นยุคใหม่ ที่มีความสุขได้เลือกพรรคก้าวไกลได้เห็นพรรคก้าวไกลชนะในภาคใต้ เชื่อว่าหลายคนอยากเห็นจังหวัดตัวเองของทุกคนในภาคใต้ดีขึ้นเหมือนภูเก็ต”

เมื่อชาวภูเก็ตได้รับโอกาสนี้พวกเราจะทำให้ดีที่สุด ให้เห็นว่าถ้าได้พรรคก้าวไกลไปเป็น ส.ส.ของท่านในพื้นที่จะเกิดอะไรขึ้นบ้างเชื่อว่าหลังจากนั้นทุกจังหวัดในภาคใต้จะเห็นว่าต้องเลือกพรรคก้าวไกล ในวันข้างหน้า กันต่อไป ล่าสุดได้คุยกับส.ส.โรม กับ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้โทรศัพท์มาแสดงความขอบคุณกับเราแล้ว จะลงมาจัดคาราวานขอบคุณพี่น้องประชาชนในเร็ว ๆ นี้ ส.ส.โรมมาแน่นอนแต่ทางนายกฯ ยังไม่รับปาก เพราะ อยู่ระหว่างการจัดตั้งรัฐบาล

ประเทศไทย ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ วันนี้ได้เสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาล เชื่อว่าทุกคนยอมรับกติกาสากล ให้ผู้ชนะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลทำงานร่วมกัน

เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าทุกพรรคการเมืองทุกคนอยากเห็นประเทศไทย ดีขึ้น อยากเห็นภูเก็ตดีขึ้น ภูเก็ตเป็นจังหวัดแห่งโอกาส พวกเราเป็นการเมืองแห่งความหวังเป็นการเมืองแห่งความเป็นไปได้วันนี้ทำให้ทุกคนเห็นแล้วว่าถ้าเราตั้งใจจริงอะไรก็เกิดขึ้นได้หวังว่าให้ทุกคนเดินเข้ามาช่วยกันสมัครสมาชิกพรรคก้าวไกล ช่วยกันพัฒนา ช่วยกันสร้างประเด็นสาธารณะแก้ไขปัญหาร่วมกันเพื่อให้ภูเก็ตเราไปได้
.
ในส่วนเรื่องเปิดตี 4 ล่าสุดจะผลักดันให้เปิด 24 ชั่วโมง นโยบายคือเปิดอิสระแต่ละพื้นที่ต้องคุยกันเองว่าต้องการปิดกี่โมงเป็นอิสระแต่ละพื้นที่ให้อิสระในการเปิดปิดแบ่งโซนนิ่งกันในแต่ละพื้นที่
.
ส่วนเรื่องกัญชาตามที่ทางหัวหน้าพรรคก้าวไกล ต้องการให้กลับเป็นยาเสพติดก่อน เพื่อป้องกันการนำเข้าจากนักค้ากัญชาจากต่างประเทศ แล้วค่อย ๆปล่อยออกมาทีละนิด เน้นในการรักษา ซึ่งเด็กกับสันทนาการจะยกเว้นไว้ จะเริ่มปล่อยออกมาเมื่อควบคุมได้” นายฐิติกันต์ กล่าว

สูตรจัดตั้งรัฐบาล 5 พรรค ‘309 เสียง’ คงไม่พอ อาจต้องบากหน้าง้อ ‘ภูมิใจไทย’ รวมให้เกิน 376 เสียง

เมื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งได้เสียงมากสุด 152 เสียง ประกาศชัดว่าจะจับมือกับฝ่ายค้านเดิมจัดตั้งรัฐบาล 309 เสียง ได้แก่ ก้าวไกล 152 เสียง เพื่อไทย 141 เสียง ประชาชาติ 9 เสียง ไทยสร้างไทย 6 เสียง เสรีรวมไทย 1 เสียง 

โดย 5 พรรคการเมืองเมื่อรวมเสียงกันแล้วได้แค่ 309 เสียง ยังไม่ถึงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา 750 เสียง คือ 376 เสียง พรรคก้าวไกลยังจะต้องหาเสียงสนับสนุนอีก 67 เสียง ตรงนี้คือประเด็นว่าพรรคก้าวไกลจะเดินเกมอย่างไร ซึ่งก็มีทางเลือกอยู่

-เจรจากับพรรคภูมิใจไทย 70 เสียง ถ้าพรรคภูมิใจไทยตกลงเข้าร่วม ก็จะทำให้เป็นรัฐบาล 6 พรรค 379 เสียง ถ้าเอาแค่นี้ถือว่าเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ เพราะเกินกึ่งไปแค่ 3 เสียง จะให้ใครเจ็บใครป่วย ใครเป็นไข้ไม่ได้เลย

-ที่พิธาประกาศว่าปิดทางรัฐบาลเสียงข้างน้อยนั้น ไม่น่าจะจริง เพราะพรรคก้าวไกลเองก็ยังก้าวไม่ผ่าน 376 เสียง เพื่อปิดสวิตช์ ส.ว. มีอยู่แค่ 309 เสียงเอง เพื่อให้รัฐบาลเดินไปได้ พรรคก้าวไกลอาจจะต้องบากหน้าไปคุยกับ ชาติไทยพัฒนา 10 เสียง หรือรวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง แต่อาจจะยากเพราะทั้งก้าวไกล และเพื่อไทยต่างประกาศไปแล้วว่า “มีเราไม่มีลุง” แต่มีความเป็นไปได้กับการเจรจากับพรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง

ถ้าชาติไทยพัฒนาเข้าร่วม อย่างนั้นก็ต้องเอาพรรคภูมิใจไทยมาด้วยอยู่ดี ประเด็นว่า พรรคภูมิใจไทย จะร่วมกับก้าวไกล และเพื่อไทยได้หรือไม่ ซึ่งก็ไม่ง่ายเพราะมีอะไรหลายอย่างที่เคมีไม่ตรงกัน แต่การเมืองก็คือการเมือง เมื่อผลประโยชน์ลงตัวก็สามารถร่วมกันได้หมด

แต่กล่าวสำหรับประชาธิปัตย์ ไม่น่าจะร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยได้ เพราะมีอะไรมากมายที่เห็นไม่ตรงกัน จะเจรจาร่วมกัน เพื่อลงนามในเอ็มโอยู ก็น่าจะยังยาก พรรคประชาธิปัตย์ จึงควรจะครองตนเป็นฝ่ายค้าน

ยิ่งประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านยิ่งจะเป็นผลดี ผลดีทั้งต่อชาติบ้านเมือง และต่อพรรคเอง ต่อชาติบ้านเมืองเพราะประชาธิปัตย์เคยทำหน้าที่ฝ่ายค้านได้ดีเยี่ยมมาแล้วหลายยุคหลายสมัย ตรวจสอบรัฐบาล อภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ทำได้ดี เป็นผลดีต่อพรรค เพราะถ้าเป็นฝ่ายค้านแล้วทำหน้าที่ได้ดี ประชาชนก็จะเห็นผลงานเห็นฝีมือ อาจจะเป็นช่องทางให้ฟื้นฟูพรรคกลับคืนมาได้ ดีกว่าร่วมหัวจมท้ายกับพรรคที่มีเจตนารมณ์-อุดมการณ์ที่แตกต่างกัน ยิ่งจะนำมาซึ่งความเสื่อม

ประชาธิปัตย์ควรจะนำบทเรียนของการเข้าร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นข้อสรุปว่า เป็นต้นเหตุให้พรรคได้แค่ 25 เสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้หรือไม่

พรรคประชาธิปัตย์ควรจะมานั่งคิดหาเวลาฟื้นฟูพรรค ดีกว่ามานั่งคิดจะเข้าร่วมรัฐบาล เพื่อนำนโยบายที่เป่าประกาศไว้ไปสู่การปฏิบัติ เหมือนคราวที่แล้ว สุดท้ายล้มไม่เป็นท่า วันนี้ประชาชนได้ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเปลี่ยน ด้วยการเลือกก้าวไกล เพื่อไทยมาจำนวนมาก จึงควรให้เจตนารมณ์ของประชาชนเป็นจริง

สมาชิกวุฒิสภา 250 เสียงก็ควรตอบรับให้ความร่วมมือกับเจตนารมณ์ของประชาชนอย่างไม่มีอิดออด เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยาก และล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะยิ่งล่าช้าก็จะยิ่งมีผลกระทบ กระทบทั้งการค้า การลงทุน และความเชื่อมั่น รวมถึงการต่างประเทศ

แม้สมาชิกวุฒิสภาจะมาจากการแต่งตั้งของอดีตหัวหน้า คสช. ก็ตาม แต่ควรใช้ดุลยพินิจพิจารณาเจตนารมณ์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง

ที่มา: นายหัวไทร

14 พ.ค.66 วันสิ้นยุคสองนคราประชาธิปไตย เปิด 4 สูตรตั้งรัฐบาล ‘ก้าวไกล-เพื่อไทย’ ใครกินแห้ว?

แรกสุด ‘เล็ก เลียบด่วน’ ต้องขอแสดงความเสียใจและยินดีกับผู้แพ้พ่ายและผู้ชนะในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา พิเศษหน่อยก็ขอแสดงความยินดีกับพรรคก้าวไกลที่ผงาดขึ้นมาเป็นพรรคอันดับ 1 แทนพรรคเพื่อไทย ส่วนจะเป็น ‘สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง’ หรือ ‘พายุแห่งการเปลี่ยนแปลง’ ก็ดูกันต่อไป

‘เล็ก เลียบด่วน’ ยังไม่ขอส่องผลการเลือกตั้งในวันนี้ แต่จะขอหมายเหตุการณ์เลือกตั้งครั้งที่ 27 ครั้งนี้เอาไว้สัก 3 ประการ

ประการแรก - กระแสความต้องการการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและหลายสิ่งหลายอย่างมีพลานุภาพ เหนือกระสุนในหลายพื้นที่ พลังของคน 3 Gen คือ Gen-Z, Gen-Y รวมถึง Gen-X รวมแล้วเกือบ 40 ล้านมีบทบาทกำหนดทิศทางการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างมีนัยสำคัญ

ประการที่สอง - ระบบบ้านใหญ่ ระบบอุปถัมภ์แบบเดิม ๆ ไม่ใช่สิ่งจีรังยั่งยืนอีกต่อไป การสื่อสารสมัยใหม่  ความคิดใหม่ ๆ ข้อเสนอใหม่ ๆ นโยบายใหม่ ๆ ที่สอดคล้องยุคสมัยโดนใจประชาชนจะเข้ามาแทนที่

ประการที่สาม คำว่า ‘สองนคราประชาธิปไตย’ ที่หมายถึงคนชนบทต่างจังหวัดเป็นคนเลือกตั้ง แต่คนเมืองโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ เป็นคนล้มรัฐบาลนั้นจะไม่มีอีกแล้ว เพราะปัจจุบันกล่าวได้ว่าเมืองกับชนบทเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ทั้งทางกายภาพและความคิดอ่าน

ปรากฏการณ์ ‘ก้าวไกลค่อนแผ่นดิน’ อยู่ใน 3 บริบทดังกล่าวมา...บริบทของความเปลี่ยนแปลงใหม่ที่พลิกโฉมหน้าการเมืองไทย…

หันมากล่าวถึงการจัดสูตรรัฐบาล ซึ่งนาทีนี้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลประกาศเดินหน้าอย่างมั่นอกมั่นใจ ‘เล็ก เลียบด่วน’ ขอสรุปความเป็นไปได้ของสูตรที่สำคัญ ๆ ดังนี้

สูตรที่หนึ่ง - สูตร 309 เสียง โดยมีพรรคก้าวไกล 151 เสียงกับพรรคเพื่อไทย 141 เป็นแกนนำ ซึ่งนายพิธาได้ประสานงานไปแล้ว และเบื้องต้นพรรคเพื่อไทยก็รักษามารยาทเปิดประตูรับพิจารณา แต่ที่สุดแล้วจะไปต่อหรือไม่ก็ยังไม่แน่…

สูตรที่สอง - พรรคเพื่อไทย พลิกข้างเจรจาจับมือกับพรรคภูมิใจไทย พลังประชารัฐ และพรรคเล็ก จัดตั้งรัฐบาล โดยอาจเอาพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมด้วย ให้พรรคก้าวไกลและพรรคลุงตู่เป็นฝ่ายค้าน…

สูตรที่สาม -  พรรคร่วมรัฐบาลเดิมเดินหน้าโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ไปตายเอาดาบหน้า ใช้พลังดูดหรือกลเกมต่าง ๆ ให้ฝ่ายตรงกันข้ามวงแตกพรรคแตก แล้วดึงร่วมรัฐบาล...หากดึงไม่ได้ก็ลากไปเรื่อย ๆ จนถูกคว่ำหรือชิงยุบสภา สูตรนี้เกิดขึ้นได้ยากมากเพราะเสียงของขั้วรัฐบาลเดิมแพ้ขาด ประการสำคัญอาจเป็นชนวนจลาจลนอกสภา…

สูตรที่สี่ - สูตรนายกฯ คนกลางตามมาตรา 272 วรรคสอง กล่าวคือไม่สามารถโหวตเลือกนายกฯ ตามบัญชีได้ ต้องใช้บริการคนกลางหรือคนนอก สูตรนี้พยายามใช้ตอนล้มบิ๊กตู่เมื่อปลายปี 2564 มาแล้ว กะว่าคว่ำบิ๊กตู่แล้วให้บิ๊กป้อมขึ้นนายกฯ ในฐานะนายกฯ คนนอก..คือนอกบัญชี ซึ่งทำไม่สำเร็จ แต่วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนแล้ว บิ๊กป้อมเป็นแคนดิเดตตามบัญชีแล้ว ถ้าพรรคเพื่อไทยกับภูมิใจไทยหนุนก็เดินหน้าได้ อาจจะดึงพรรครวมไทยสร้างชาติ และประชาธิปัตย์มาร่วมด้วย สูตรนี้พรรคเพื่อไทยคงคิดหนัก

ทั้งสี่สูตร ความเป็นไปได้น่าจะอยู่ที่สูตรที่หนึ่งหรือสูตรที่สอง ต้องวัดใจทั้งสองพรรคแกนนำ ถ้าหวยพลิกมาสูตรที่สองเป็นสูตรข้ามขั้วก็แปลว่าพรรคก้าวไกลต้องกินแห้ว

ป.ล.- เล็ก เลียบด่วน ขอแสดงความชื่นชมบิ๊กตู่ที่ได้แสดงความเป็นสุภาพบุรุษประชาธิปไตย ลงคลุกฝุ่นสนามเลือกตั้ง และยอมรับในผลการเลือกตั้งโดยไม่มีข้อแม้

เรื่อง: เล็กเลียบด่วน

อัปเดตผลการเลือกตั้งทั่วประเทศ (อย่างไม่เป็นทางการ)

อัปเดตผลการเลือกตั้งทั่วประเทศ (อย่างไม่เป็นทางการ)
นับแล้ว 99% โดย คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
วันที่ 15 พ.ค. 66 เวลา 14.00 น.

ที่มา: กกต.

‘อลงกรณ์’ เรียกร้องทุกฝ่ายเคารพเสียงประชาชน หนุน ‘ก้าวไกล’ ตั้งรัฐบาล ดัน ‘พิธา’ เป็นนายกฯ

(15 พ.ค. 66) นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรี อดีต ส.ส. และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เขียนเฟซบุ๊กส่วนตัวแสดงความคิดเห็นสนับสนุนพรรคก้าวไกลให้จัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศหลังทราบผลการเลือกตั้ง โดยเขียนไว้อย่างน่าสนใจดังนี้

“ควรเคารพเสียงประชาชน
ให้ ‘ก้าวไกล’ ตั้งรัฐบาลปฏิรูปประเทศ”

ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อประชาชนกว่า 14 ล้านคนเลือกพรรคก้าวไกลเป็นอันดับ 1 ของประเทศ ทั้ง ส.ส.แบบเขตเลือกตั้ง และส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ด้วยความเชื่อมั่นว่า พรรคก้าวไกลจะสร้างการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศสู่อนาคตที่ดีกว่าปัจจุบัน

ผมเชื่อว่า นักการเมืองทุกคนไม่ว่าสังกัดพรรคใด คงยอมรับว่า พรรคก้าวไกลเป็นพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งด้วยวิสัยทัศน์ นโยบายและความเป็นผู้นำของคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โดยไม่มีการซื้อเสียง เป็นชัยชนะที่ขาวสะอาด

ผมหวังว่า ทุกพรรคการเมืองและสมาชิกวุฒิสภาจะเคารพเสียงของประชาชน และเปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกลสามารถจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศและคุณพิธาได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 นำประเทศก้าวข้ามความล้าหลังความยากจนและความแตกแยกขัดแย้ง เดินหน้าปฏิรูปประเทศสร้างศักยภาพใหม่ประเทศไทยให้สำเร็จ และสร้างประชาธิปไตยโดยประชาชนของประชาชนเพื่อประชาชนในระบบรัฐสภาอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

อลงกรณ์ พลบุตร
15 พ.ค. 2566

‘พิธา’ ประกาศจับมือพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมจัดตั้งรัฐบาล ยืนยัน!! พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน

(15 พ.ค. 66) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงข่าวที่พรรคก้าวไกล หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศผลคะแนนเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ สรุปว่าพรรคก้าวไกลได้จำนวน ส.ส. เป็นอันดับ 1 ว่า เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าพี่น้องประชาชนได้แสดงเจตจำนงผ่านคูหาเลือกตั้งให้พรรคก้าวไกลได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่ง จึงขอประกาศว่าพรรคก้าวไกลพร้อมเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล น้อมรับฉันทามติของพี่น้องประชาชน พลิกขั้วเปลี่ยนข้างจากฝ่ายค้านเดิมในการจัดตั้งรัฐบาล

พิธากล่าวว่า ตนพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน พร้อมฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง เชื่อว่าความคิดเห็นที่แตกต่างจะทำให้ตนเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีขึ้น พร้อมเคารพ ให้เกียรติ และต่อยอดจากการต่อสู้ของทุกฝ่ายที่ผ่านมาเพื่อประชาธิปไตย และพร้อมคืนศรัทธาให้ระบอบประชาธิปไตยและระบบรัฐสภา คืนความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพให้กับการเมืองไทย และผู้แทนราษฎรทุกคน

หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ได้โทรศัพท์ติดต่อไปหาแกนนำทั้งหมด 5 พรรคการเมือง ทั้งที่เป็นฝ่ายติดต่อไปและแกนนำของพรรคเหล่านั้นได้ติดต่อมาที่พรรคก้าวไกล ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย และพรรคเสรีรวมไทย ที่จะรวมกันเป็น 308 เสียง และกำลังติดต่อไปยังพรรคเป็นธรรม ซึ่งจะทำให้รวมเป็น 309 เสียง คิดว่าเพียงพอในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก ปิดประตูการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ทุกฝ่ายต้องน้อมรับฉันทามติจากพี่น้องประชาชน

“ได้โทรศัพท์หาคุณแพทองธาร ชินวัตร แสดงความยินดีกับความมุ่งมั่นตั้งใจในการเดินทางหาเสียง ที่ทำได้อย่างดีเยี่ยมไร้ที่ติ และได้เชิญชวนพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม ในการจัดตั้งรัฐบาลตามที่เคยสัญญากับพี่น้องประชาชน” พิธากล่าว

พิธากล่าวต่อว่า การทำงานต่อจากนี้ มีประมาณ 2-3 ส่วน หนึ่งคือการเจรจาจัดตั้งรัฐบาล พรรคก้าวไกลจะนำโรดแมปที่ได้สัญญาไว้กับประชาชนก่อนการเลือกตั้ง เพื่อนำไปพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาเก่า เผชิญปัญหาใหม่ และพร้อมพาประเทศไทยไปสู่อนาคต ทำประชามติให้มี สสร. ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ พัฒนาเศรษฐกิจสร้างความเจริญเติบโตและลดความเหลื่อมล้ำไปในคราวเดียวกัน (Inclusive Growth)

สอง ตั้งทีมงานเพื่อเปลี่ยนผ่านรัฐบาล เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมีคณะทำงานร่วมกับทุกพรรคการเมือง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านอำนาจ เปลี่ยนผ่านรัฐบาล อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ

สาม จะมีการเดินสายพบปะประชาชน ภาคประชาสังคม ข้าราชการ และภาคธุรกิจ เพื่อเดินหน้าทำความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายของพรรคก้าวไกล ให้ผลการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นฉันทามติที่มาจากพี่น้องประชาชน สามารถทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนได้ เพื่อพาประเทศไทยไปสู่อนาคต ไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพและมีอุดมการณ์ เป็นความเปลี่ยนแปลงที่พวกเราถวิลหา

พิธากล่าวว่า วันนี้จะมีการประชุมกรรมการบริหารพรรคในช่วงบ่าย ก่อนเดินทางไปขอบคุณพี่น้องประชาชนที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และหลังจากนั้นจะเดินทางทั่วทุกภูมิภาค เร่งจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้มีสุญญากาศทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ เพื่อไม่ให้มีความไม่แน่นอนหรือความเสี่ยงใด ๆ ต่อประเทศไทย ขอให้พี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน มั่นใจในการทำงานของพรรคก้าวไกล เราจะทำงานอย่างละเอียด รอบคอบ และรวดเร็ว เพื่อพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top