Thursday, 25 April 2024
SPECIAL

เก็บตกเลือกตั้ง 66 รวมดาว 'ผู้สมัครตัวจี๊ด'

ผลนับคะแนนเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการออกมาแล้ว แต่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นจริงก็ต่อเมื่อ กกต. ส่วนกลางรับรองผลคะแนน และเคลียร์ประเด็นข้อร้องเรียนต่างๆ ซึ่งทุกอย่างมีขั้นตอน และกระบวนการที่พิจารณาอย่างละเอียด แต่ กกต.ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลา 60 วัน 

ระหว่างรอความชัดเจน เราลองมองย้อนกลับไปดูบาง "ผู้สมัคร ส.ส." ที่สร้างสีสัน ตั้งแต่วันรับสมัคร ไปจนถึงวิธิการหาเสียง และนโยบายที่ชูเป็นจุดขาย ซึ่งมีทั้งที่น่าจะเข้าป้าย และอาจต้องผิดหวังจากการเลือกตั้งครั้งนี้

เริ่มที่ "ไอซ์" รัชนก ศรีนอก ว่าที่ ส.ส. พรรคก้าวไกล เขต 28 บางบอน ที่ล้มช้าง บ้านใหญ่เจ้าของพื้นที่เดิม อย่าง "วัน  อยู่บำรุง" จากพรรคเพื่อไทย และ "วณิชชา ม่วงศิริ" จากพรรคประชาธิปัตย์ แบบขาดลอยโดยได้รับคะแนนเสียงถึง 47,592 คะแนน

แน่นอนว่ากระแสพรรคก้าวไกลก็ส่วนหนึ่ง แต่ชื่อของ “ไอซ์ รัชนก” ถูกพูดถึงและเป็นที่จดจำมากในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ด้วยรูปแบบการหาเสียงที่เรียกว่าถึงลูกถึงคน ทั้งการปั่นจักรยาน หิ้วโทรโข่งลุยเดี่ยวเรียกคะแนนเสียงไปตามถนนหนทาง แวะถามสารทุกข์สุกดิบกับผู้คนตามชุมชนต่างๆ และยังมีลูกเล่นหาเสียง ทำพวงมาลัยนโยบายไปแจกผู้ขับขี่ตามสี่แยก นอกจากนี้เธอยังใช้พื้นที่โซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะทำคลิปบรรยากาศการหาเสียง ลง tiktok สร้างกระแส และสื่อสารนโยบายอย่างต่อเนื่อง

คนต่อมา ศรัณย์วุฒิ  ศรัณย์เกตุ โจรกลับใจ ที่ไม่ได้โอกาสกลับเข้าสภา 
บรรยากาศวันรับสมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต หนึ่งในพื้นที่สีสันที่สร้างความฮือฮาได้ไม่น้อย คือที่จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อ  "ศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ"  ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 พรรครวมไทยสร้างชาติ ปรากฏตัวด้วยการแต่งกายแบบนักรบโบราณ 2 มือถือดาบ นำทีมผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค นั่งเกวียนที่มีวัวลากจูง บรรทุกพืชผลทางการเกษตรเข้าสู่พื้นที่รับสมัคร สร้างความสนใจให้ชาวบ้านและสื่อมวลชนที่รอทำข่าวไม่น้อย

แม้ใครจะมองว่าเป็นเพียงสีสันทางการเมือง แต่ถ้าย้อนไปดู ถือว่า "ศรัณย์วุฒิ" เป็น ส.ส.ที่คนอุตรดิตถ์มอบความไว้วางใจมาหลายสมัย ด้วยความเป็นนักการเมืองฝีปากกล้า รวมถึงทรงผม หนวดเครา และจอนยาวที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้เขาได้รับฉายาทั้ง "ส.ส.หนวดงาม"  "นักรบพันธุ์ดุ" และ "ส.ส.เอลวิส" และเป็นหนึ่งใน ส.ส. ที่อภิปรายในสภาสร้างสีสันได้เสมอ 

ในช่วงก่อนเลือกตั้ง ศรัณย์วุฒิ สร้างความฮือฮาด้วยการ "ข้ามค่าย ย้ายขั้ว" จากพรรคฝ่ายค้านเดิม ประกาศตัวเป็น "โจรกลับใจ" เปิดตัวกับพรรครวมไทยสร้างชาติ เดินหน้าสนับสนุน "พลเอกประยุทธ์"  กลับเข้าไปเป็นนายกฯ อีกครั้ง

แต่ในท้ายที่สุด ผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ ของอุตรดิตถ์ เขต 3 ปรากฏว่าหนนี้ เจ้าพ่อคอนเทนต์อย่างศรัณย์วุฒิสอบตก โดยคะแนนเสียงอันดับ 1 ตกเป็นของ รวี เล็กอุทัย ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยกวาดไปถึง 48,779 คะแนน ขณะที่ อดีต ส.ส. อย่างศรัณย์วุฒิ  มาเป็นอันดับ 3 ที่ 12,896 คะแนนเท่านั้น เป็นอันปิดฉากหนึ่งในนักการเมืองมากสีสัน สำหรับเวทีการเมืองสมัยนี้ไปโดยปริยาย 

มาถึง "ครูปรีชา" จากคู่พิพาทหวยด้ง 30 ล้าน  สู่ผู้สมัคร ส.ส. ผลักดันนโยบายแก้ปัญหาราคาสลากแพง
อันที่จริง ชื่อของ "ครูปรีชา ใคร่ครวญ" โด่งดังมาตั้งแต่ ปี 2562 จากกรณีเป็นคู่ความในคดีมหากาพย์หวย 30 ล้าน กับ "หมวดจรูญ" อดีตข้าราชการตำรวจ ทำให้ครูปรีชาเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ ตั้งแต่นั้นมา

แต่ในช่วงก่อนการเลือกตั้งที่ผ่านมา ชื่อของ "ครูปรีชา" กลับมาถูกพูดถึงอีกครั้ง แต่ในบริบทที่เปลี่ยนไป เพราะครั้งนี้เจ้าตัวประกาศลงสมัคร ส.ส. เขต 1 กาญจนบุรี แต่ด้วยติดปัญหาด้านการจัดการ ทำให้สุดท้าย เจ้าตัวจึงเปลี่ยนมาลงสมัครระบบบัญชีรายชื่อเป็น ลำดับที่ 9 ในนามพรรคประชากรไทย โดยเดินทางไปลงสมัครในช่วงบ่ายของวันสุดท้าย 

สำหรับนโยบายหวยๆ ที่ครูปรีชาเสนอคือ การซื้อหวยอย่างเท่าเทียม อย่างมีความสุข ใบละ 80 บาท พร้อมชูมอตโต้ "ยิ้มอย่างมีความสุข ซื้อหวยอย่างมีความสุข เลือกครูปรีชา"

แต่ล่าสุด ผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ ปรากฏว่าพรรคประชากรไทยได้คะแนนเสียงในระบบบัญชีรายชื่อ จำนวน 56,655 คะแนน ไม่พอต่อการได้เก้าอี้ ส.ส ความฝันและนโยบายของครูปรีชา จึงไม่ได้ไปต่อในการเลือกตั้งหนนี้  

อีกหนึ่งสีสันการเลือกตั้งหนนี้ คือการก้าวขาเข้ามาสู่การเมืองเต็มตัวของ  "นอท กองสลากพลัส" หรือ พันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ CEO กองสลากพลัสที่ปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ก่อนออกมาเปิดตัว "พรรคเปลี่ยน" โดยเจ้าตัวนั่งปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 1 ตั้งเป้ากวาด 3 ล้านเสียง พร้อมกับการประกาศ 3 นโยบายหลัก 5 นโยบายรอง แก้ไขปัญหาปากท้องโดยเฉพาะกลุ่มคนหาเช้ากินค่ำผ่านนโยบาย "หวยโอกาส"  ให้สามารถหาเงินได้ปีละ 55,000 ล้านบาทต่อปี นำมาต่อยอดทำนโยบายธนาคารโอกาสและกองทุนโอกาสให้เงินกู้แก่ผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ 

แต่แล้วก็เช่นกัน ผลการเลือกตั้งไม่เป็นทางการปรากฏว่า พรรคเปลี่ยนไม่มี ส.ส. สอบผ่านทั้งแบบเขตและบัญชีรายชื่อ ทำให้พรรคเปลี่ยนของ "นอท" ไม่มีพื้นที่ในสภาในการเลือกตั้งหนนี้ แต่อย่างน้อยตัวเขาและพรรคเปลี่ยนก็แต่งแต้มสีสันให้บรรยากาศการเลือกตั้งครั้งนี้มีชีวิตชีวามากขึ้น

‘กกต.’ ขีดเส้น 7 วัน กรณีใครไม่ได้ไป ‘เลือกตั้ง66’ รีบแจ้งเหตุผลภายใน 15-21 พ.ค. ก่อนจะเสียสิทธิ 5 ข้อ

(16 พ.ค.66) เป็นเรื่องที่ประชาชนคนไทยต้องรู้และปฎิบัติเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย สำหรับผู้ที่ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา รวมถึงไม่ได้ขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าวันที่ 7 พฤษภาคม 2566 และไม่ได้แจ้งเหตุผล หรือแจ้งแล้ว แต่เป็นเหตุผลที่ไม่สมควร จะต้องเสียสิทธิ 5 ข้อที่ประชาชนพึงได้รับ ได้แก่
.
- สิทธิในการยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ส.ส., 
- สิทธิในการสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. หรือสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมัครรับเลือกเป็น ส.ว., 
- สิทธิในการสมัครรับเลือกเป็นกำนันและผู้ใหญ่บ้าน
- ต้องห้ามดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง และข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมือง 
- ต้องห้ามดำรงตำแหน่งรองผู้บริหารท้องถิ่น เลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยเลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น ประธานที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น ที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น หรือคณะที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
.
รวมการจำกัดสิทธิทั้ง 5 ข้อ มีกำหนดระยะเวลาถึง 2 ปี นับแต่วันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
.
แต่จะยกเว้นให้สำหรับผู้มีเหตุอันสมควรที่ทำให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส.ไม่ได้ ดังนี้
.
- เป็นผู้ที่มีธุรกิจจำเป็นเร่งด่วนต้องเดินทางไปพื้นที่ห่างไกล
- เป็นผู้ป่วยและไม่สามารถเดินทางไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้
- เป็นผู้พิการและผู้สูงอายุที่ไม่สามารถเดินทางไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้
- เป็นผู้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร 
- เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ห่างไกลจากที่เลือกตั้งเกินกว่า 100 กิโลเมตร
- เป็นผู้ประสบเหตุสุดวิสัย เช่น อุทกภัย วาตภัย ฯลฯ
.
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เปิดโอกาสสำหรับผู้ที่ไม่ได้ไปใช้สิทธิโดยเข้าข่ายมีเหตุอันสมควรข้างต้น ให้รีบลงทะเบียนแจ้งเหตุภายใน 7 วัน หลังวันเลือกตั้ง ก็คือระหว่างวันที่ 15-21 พฤษภาคม 2566 โดยขอรับแบบ ส.ส. 28 หรือทำหนังสือชี้แจงเหตุที่ทำให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ได้ พร้อมระบุหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน และที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน
.
จากนั้นให้ยื่นหนังสือต่อนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่น จะยื่นด้วยตัวเองหรือมอบหมายให้ผู้อื่นก็ได้ และหากไม่สะดวกเดินทางก็ให้ส่งทางไปรษณีย์พร้อมกับลงทะเบียน หรือจะแจ้งผ่านทางอินเทอร์เน็ตก็สามารถทำได้เช่นกัน
.
หากมีข้อสงสัย สามารถยกหูโทรถามได้ที่สายด่วน 1444 หรือเว็ปไซต์ www.ect.go.th หรือเพจเฟซบุ๊ก สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง

'ส.ส.ก้าวไกล' ลั่น!! ปั้นภูเก็ต เทียบชั้น 'สิงคโปร์-ฮ่องกง' ปลื้มไวรัล!! อย่าเรียก 'คนใต้' ให้เรียก 'คนภูเก็ต'

(16 พ.ค. 66) เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 ผลการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดภูเก็ตพรรคก้าวไกล ชนะการเลือกตั้งทั้ง 3 เขตประกอบด้วยเขตเลือกตั้งที่ 1 ว่าที่ ร.ต.สมชาติ เตชถาวรเจริญ ได้ 18,604 คะแนนเขตเลือกตั้งที่ 2 นายเฉลิมพงศ์ แสงดี ได้ 21,913 คะแนนเขตเลือกตั้งที่ 3 นายฐิติกันต์ ฐิติพฤฒิกุล ได้ 20,421 คะแนน

นายเฉลิมพงศ์ แสงดี ส.ส.ภูเก็ต เขต 2 พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ได้ขึ้นรถแห่รอบภูเก็ต ขอบคุณทุกคะแนนเสียงบริสุทธิ์จากประชาชนที่มอบให้กับพวกผมพรรคก้าวไกลพวกเรามุ่งมั่นตั้งใจทำงานให้กับพี่น้องประชาชนชาวภูเก็ต

”สิ่งที่จะทำเป็นอันดับแรกคือ การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตเป็นสิ่งแรกที่ควรทำ เป็นนัยสำคัญที่คนภูเก็ตมอบให้กับเรา ส่วนเรื่องความแตกแยกหรือวาทกรรมต่าง ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมา ต้องเข้าใจก่อนว่าเป้าหมายของเราคือนำพาจังหวัดภูเก็ตไปสู่ความเจริญก้าวหน้าที่ก้าวไกล จะไม่มีความแตกแยกใดเกิดขึ้นถ้าร่วมมือและสามัคคีกัน คิดว่า จังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดแห่งเกาะสวรรค์ เมืองแห่งไข่มุกอันดามัน ควรพัฒนาไปได้มากกว่านี้ถ้าเทียบกับประเทศสิงคโปร์และฮ่องกงเชื่อว่าคนภูเก็ตต้องการ และเราก็เรียกร้องกันมานานแล้วอย่าปล่อยโอกาสที่คนภูเก็ตมอบให้กับพรรคก้าวไกลแล้วอย่าให้โอกาสเหล่านี้หลุดลอยไป ควรไขว่คว้า อย่ามาขัดแย้งหรืออย่ามาเตะแข้งเตะขากันมันจะเสียเวลา ควรที่จะร่วมมือกันช่วยกันแนะนำกันเข้ามา พร้อมเปิดรับ และ ขอขอบคุณประชาชนพ่อแม่พี่น้องชาวจังหวัดภูเก็ตที่มอบเสียงอันบริสุทธิ์จริง ๆ ทุกคะแนนเสียงให้กับผมและยังคงมุ่งมั่นตั้งใจทำงาน ขอขอบคุณโอกาสที่พ่อแม่พี่น้องชาวภูเก็ตมอบให้พรรคก้าวไกล”

”ในส่วนการเป็นเจ้าภาพจัดงาน Expo 2028 นั้น ขอไปศึกษาในรายละเอียดต่าง ๆ จะนำเสนอปรึกษากับคณะรัฐมนตรี ที่ได้รับการแต่งตั้งแล้ว คิดว่านักธุรกิจทุกท่านที่มีไอเดียนำเสนอในช่วงเวลานี้ก่อนจะรวบรวมเสียงข้างมากเข้ามาได้และจะตั้งรัฐบาลควรจะเตรียมการบ้าน และพร้อมที่จะรับฟังการนำเสนอพร้อมที่จะส่งมอบให้กับข้างบนในการผลักดันโครงการต่าง ๆ ของจังหวัดภูเก็ต

สิ่งที่เป็นประโยชน์กับที่พี่น้องชาวภูเก็ตกับจังหวัดภูเก็ตจะรับฟังเป็นลำดับแรก ยินดีเปิดรับฟังทางภาคธุรกิจและภาคประชาชน เรื่องที่ค้างอยู่ในอดีตนำกลับมาเสนอได้ ยึดผลประโยชน์ของจังหวัดภูเก็ตเป็นหลัก และเปิดกว้างมากขึ้นกับด้อมส้มและด้อมทุกสี เชื่อว่าทุกคนมีหลากหลายความคิด ความหลากหลายคือสิ่งสวยงามมานั่งคุยกันปรึกษากันถกเถียงกันความคิดดี ๆ จะออกมาจากการพูดคุยกัน และยังรับเรื่องร้องเรียนของชาวบ้านเหมือนเดิม” นายเฉลิมพงศ์ กล่าว

ทางด้าน นายฐิติกันต์ ฐิติพฤฒิกุล ว่าที่ส.ส.พรรคก้าวไกล เขต 3 กล่าวว่า หลังจากทราบผลชนะการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดภูเก็ต ในวันนี้ได้ขึ้นรถแห่ไปรอบภูเก็ต ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิ ใช้เสียงแสดงพลัง เลือก พวกเราเป็น ส.ส.ทั้ง 3 เขต และ พรรคก้าวไกล ไปเป็นรัฐบาล เพื่อได้เลือก พิธา เป็นนายกฯ ขอบคุณมาก ที่มาร่วมกันปักธงสีส้มใน จ.ภูเก็ต ขอบคุณทุกรอยยิ้ม 300 นโยบาย ที่ให้ไว้ จะรีบทำทันใด ให้เสร็จเร็ววัน เตรียมตัวเลือกตั้งผู้ว่าฯ กัน

“สำหรับ คำว่า อย่าเรียกคนใต้ให้เรียกคนภูเก็ต ตามสื่อโซเชียล คิดว่า เป็นเรื่องของไวรัลของวัยรุ่นยุคใหม่ ที่มีความสุขได้เลือกพรรคก้าวไกลได้เห็นพรรคก้าวไกลชนะในภาคใต้ เชื่อว่าหลายคนอยากเห็นจังหวัดตัวเองของทุกคนในภาคใต้ดีขึ้นเหมือนภูเก็ต”

เมื่อชาวภูเก็ตได้รับโอกาสนี้พวกเราจะทำให้ดีที่สุด ให้เห็นว่าถ้าได้พรรคก้าวไกลไปเป็น ส.ส.ของท่านในพื้นที่จะเกิดอะไรขึ้นบ้างเชื่อว่าหลังจากนั้นทุกจังหวัดในภาคใต้จะเห็นว่าต้องเลือกพรรคก้าวไกล ในวันข้างหน้า กันต่อไป ล่าสุดได้คุยกับส.ส.โรม กับ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้โทรศัพท์มาแสดงความขอบคุณกับเราแล้ว จะลงมาจัดคาราวานขอบคุณพี่น้องประชาชนในเร็ว ๆ นี้ ส.ส.โรมมาแน่นอนแต่ทางนายกฯ ยังไม่รับปาก เพราะ อยู่ระหว่างการจัดตั้งรัฐบาล

ประเทศไทย ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ วันนี้ได้เสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาล เชื่อว่าทุกคนยอมรับกติกาสากล ให้ผู้ชนะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลทำงานร่วมกัน

เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าทุกพรรคการเมืองทุกคนอยากเห็นประเทศไทย ดีขึ้น อยากเห็นภูเก็ตดีขึ้น ภูเก็ตเป็นจังหวัดแห่งโอกาส พวกเราเป็นการเมืองแห่งความหวังเป็นการเมืองแห่งความเป็นไปได้วันนี้ทำให้ทุกคนเห็นแล้วว่าถ้าเราตั้งใจจริงอะไรก็เกิดขึ้นได้หวังว่าให้ทุกคนเดินเข้ามาช่วยกันสมัครสมาชิกพรรคก้าวไกล ช่วยกันพัฒนา ช่วยกันสร้างประเด็นสาธารณะแก้ไขปัญหาร่วมกันเพื่อให้ภูเก็ตเราไปได้
.
ในส่วนเรื่องเปิดตี 4 ล่าสุดจะผลักดันให้เปิด 24 ชั่วโมง นโยบายคือเปิดอิสระแต่ละพื้นที่ต้องคุยกันเองว่าต้องการปิดกี่โมงเป็นอิสระแต่ละพื้นที่ให้อิสระในการเปิดปิดแบ่งโซนนิ่งกันในแต่ละพื้นที่
.
ส่วนเรื่องกัญชาตามที่ทางหัวหน้าพรรคก้าวไกล ต้องการให้กลับเป็นยาเสพติดก่อน เพื่อป้องกันการนำเข้าจากนักค้ากัญชาจากต่างประเทศ แล้วค่อย ๆปล่อยออกมาทีละนิด เน้นในการรักษา ซึ่งเด็กกับสันทนาการจะยกเว้นไว้ จะเริ่มปล่อยออกมาเมื่อควบคุมได้” นายฐิติกันต์ กล่าว

สูตรจัดตั้งรัฐบาล 5 พรรค ‘309 เสียง’ คงไม่พอ อาจต้องบากหน้าง้อ ‘ภูมิใจไทย’ รวมให้เกิน 376 เสียง

เมื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งได้เสียงมากสุด 152 เสียง ประกาศชัดว่าจะจับมือกับฝ่ายค้านเดิมจัดตั้งรัฐบาล 309 เสียง ได้แก่ ก้าวไกล 152 เสียง เพื่อไทย 141 เสียง ประชาชาติ 9 เสียง ไทยสร้างไทย 6 เสียง เสรีรวมไทย 1 เสียง 

โดย 5 พรรคการเมืองเมื่อรวมเสียงกันแล้วได้แค่ 309 เสียง ยังไม่ถึงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา 750 เสียง คือ 376 เสียง พรรคก้าวไกลยังจะต้องหาเสียงสนับสนุนอีก 67 เสียง ตรงนี้คือประเด็นว่าพรรคก้าวไกลจะเดินเกมอย่างไร ซึ่งก็มีทางเลือกอยู่

-เจรจากับพรรคภูมิใจไทย 70 เสียง ถ้าพรรคภูมิใจไทยตกลงเข้าร่วม ก็จะทำให้เป็นรัฐบาล 6 พรรค 379 เสียง ถ้าเอาแค่นี้ถือว่าเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ เพราะเกินกึ่งไปแค่ 3 เสียง จะให้ใครเจ็บใครป่วย ใครเป็นไข้ไม่ได้เลย

-ที่พิธาประกาศว่าปิดทางรัฐบาลเสียงข้างน้อยนั้น ไม่น่าจะจริง เพราะพรรคก้าวไกลเองก็ยังก้าวไม่ผ่าน 376 เสียง เพื่อปิดสวิตช์ ส.ว. มีอยู่แค่ 309 เสียงเอง เพื่อให้รัฐบาลเดินไปได้ พรรคก้าวไกลอาจจะต้องบากหน้าไปคุยกับ ชาติไทยพัฒนา 10 เสียง หรือรวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง แต่อาจจะยากเพราะทั้งก้าวไกล และเพื่อไทยต่างประกาศไปแล้วว่า “มีเราไม่มีลุง” แต่มีความเป็นไปได้กับการเจรจากับพรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง

ถ้าชาติไทยพัฒนาเข้าร่วม อย่างนั้นก็ต้องเอาพรรคภูมิใจไทยมาด้วยอยู่ดี ประเด็นว่า พรรคภูมิใจไทย จะร่วมกับก้าวไกล และเพื่อไทยได้หรือไม่ ซึ่งก็ไม่ง่ายเพราะมีอะไรหลายอย่างที่เคมีไม่ตรงกัน แต่การเมืองก็คือการเมือง เมื่อผลประโยชน์ลงตัวก็สามารถร่วมกันได้หมด

แต่กล่าวสำหรับประชาธิปัตย์ ไม่น่าจะร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยได้ เพราะมีอะไรมากมายที่เห็นไม่ตรงกัน จะเจรจาร่วมกัน เพื่อลงนามในเอ็มโอยู ก็น่าจะยังยาก พรรคประชาธิปัตย์ จึงควรจะครองตนเป็นฝ่ายค้าน

ยิ่งประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านยิ่งจะเป็นผลดี ผลดีทั้งต่อชาติบ้านเมือง และต่อพรรคเอง ต่อชาติบ้านเมืองเพราะประชาธิปัตย์เคยทำหน้าที่ฝ่ายค้านได้ดีเยี่ยมมาแล้วหลายยุคหลายสมัย ตรวจสอบรัฐบาล อภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ทำได้ดี เป็นผลดีต่อพรรค เพราะถ้าเป็นฝ่ายค้านแล้วทำหน้าที่ได้ดี ประชาชนก็จะเห็นผลงานเห็นฝีมือ อาจจะเป็นช่องทางให้ฟื้นฟูพรรคกลับคืนมาได้ ดีกว่าร่วมหัวจมท้ายกับพรรคที่มีเจตนารมณ์-อุดมการณ์ที่แตกต่างกัน ยิ่งจะนำมาซึ่งความเสื่อม

ประชาธิปัตย์ควรจะนำบทเรียนของการเข้าร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นข้อสรุปว่า เป็นต้นเหตุให้พรรคได้แค่ 25 เสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้หรือไม่

พรรคประชาธิปัตย์ควรจะมานั่งคิดหาเวลาฟื้นฟูพรรค ดีกว่ามานั่งคิดจะเข้าร่วมรัฐบาล เพื่อนำนโยบายที่เป่าประกาศไว้ไปสู่การปฏิบัติ เหมือนคราวที่แล้ว สุดท้ายล้มไม่เป็นท่า วันนี้ประชาชนได้ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเปลี่ยน ด้วยการเลือกก้าวไกล เพื่อไทยมาจำนวนมาก จึงควรให้เจตนารมณ์ของประชาชนเป็นจริง

สมาชิกวุฒิสภา 250 เสียงก็ควรตอบรับให้ความร่วมมือกับเจตนารมณ์ของประชาชนอย่างไม่มีอิดออด เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยาก และล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะยิ่งล่าช้าก็จะยิ่งมีผลกระทบ กระทบทั้งการค้า การลงทุน และความเชื่อมั่น รวมถึงการต่างประเทศ

แม้สมาชิกวุฒิสภาจะมาจากการแต่งตั้งของอดีตหัวหน้า คสช. ก็ตาม แต่ควรใช้ดุลยพินิจพิจารณาเจตนารมณ์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง

ที่มา: นายหัวไทร

14 พ.ค.66 วันสิ้นยุคสองนคราประชาธิปไตย เปิด 4 สูตรตั้งรัฐบาล ‘ก้าวไกล-เพื่อไทย’ ใครกินแห้ว?

แรกสุด ‘เล็ก เลียบด่วน’ ต้องขอแสดงความเสียใจและยินดีกับผู้แพ้พ่ายและผู้ชนะในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา พิเศษหน่อยก็ขอแสดงความยินดีกับพรรคก้าวไกลที่ผงาดขึ้นมาเป็นพรรคอันดับ 1 แทนพรรคเพื่อไทย ส่วนจะเป็น ‘สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง’ หรือ ‘พายุแห่งการเปลี่ยนแปลง’ ก็ดูกันต่อไป

‘เล็ก เลียบด่วน’ ยังไม่ขอส่องผลการเลือกตั้งในวันนี้ แต่จะขอหมายเหตุการณ์เลือกตั้งครั้งที่ 27 ครั้งนี้เอาไว้สัก 3 ประการ

ประการแรก - กระแสความต้องการการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและหลายสิ่งหลายอย่างมีพลานุภาพ เหนือกระสุนในหลายพื้นที่ พลังของคน 3 Gen คือ Gen-Z, Gen-Y รวมถึง Gen-X รวมแล้วเกือบ 40 ล้านมีบทบาทกำหนดทิศทางการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างมีนัยสำคัญ

ประการที่สอง - ระบบบ้านใหญ่ ระบบอุปถัมภ์แบบเดิม ๆ ไม่ใช่สิ่งจีรังยั่งยืนอีกต่อไป การสื่อสารสมัยใหม่  ความคิดใหม่ ๆ ข้อเสนอใหม่ ๆ นโยบายใหม่ ๆ ที่สอดคล้องยุคสมัยโดนใจประชาชนจะเข้ามาแทนที่

ประการที่สาม คำว่า ‘สองนคราประชาธิปไตย’ ที่หมายถึงคนชนบทต่างจังหวัดเป็นคนเลือกตั้ง แต่คนเมืองโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ เป็นคนล้มรัฐบาลนั้นจะไม่มีอีกแล้ว เพราะปัจจุบันกล่าวได้ว่าเมืองกับชนบทเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ทั้งทางกายภาพและความคิดอ่าน

ปรากฏการณ์ ‘ก้าวไกลค่อนแผ่นดิน’ อยู่ใน 3 บริบทดังกล่าวมา...บริบทของความเปลี่ยนแปลงใหม่ที่พลิกโฉมหน้าการเมืองไทย…

หันมากล่าวถึงการจัดสูตรรัฐบาล ซึ่งนาทีนี้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลประกาศเดินหน้าอย่างมั่นอกมั่นใจ ‘เล็ก เลียบด่วน’ ขอสรุปความเป็นไปได้ของสูตรที่สำคัญ ๆ ดังนี้

สูตรที่หนึ่ง - สูตร 309 เสียง โดยมีพรรคก้าวไกล 151 เสียงกับพรรคเพื่อไทย 141 เป็นแกนนำ ซึ่งนายพิธาได้ประสานงานไปแล้ว และเบื้องต้นพรรคเพื่อไทยก็รักษามารยาทเปิดประตูรับพิจารณา แต่ที่สุดแล้วจะไปต่อหรือไม่ก็ยังไม่แน่…

สูตรที่สอง - พรรคเพื่อไทย พลิกข้างเจรจาจับมือกับพรรคภูมิใจไทย พลังประชารัฐ และพรรคเล็ก จัดตั้งรัฐบาล โดยอาจเอาพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมด้วย ให้พรรคก้าวไกลและพรรคลุงตู่เป็นฝ่ายค้าน…

สูตรที่สาม -  พรรคร่วมรัฐบาลเดิมเดินหน้าโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ไปตายเอาดาบหน้า ใช้พลังดูดหรือกลเกมต่าง ๆ ให้ฝ่ายตรงกันข้ามวงแตกพรรคแตก แล้วดึงร่วมรัฐบาล...หากดึงไม่ได้ก็ลากไปเรื่อย ๆ จนถูกคว่ำหรือชิงยุบสภา สูตรนี้เกิดขึ้นได้ยากมากเพราะเสียงของขั้วรัฐบาลเดิมแพ้ขาด ประการสำคัญอาจเป็นชนวนจลาจลนอกสภา…

สูตรที่สี่ - สูตรนายกฯ คนกลางตามมาตรา 272 วรรคสอง กล่าวคือไม่สามารถโหวตเลือกนายกฯ ตามบัญชีได้ ต้องใช้บริการคนกลางหรือคนนอก สูตรนี้พยายามใช้ตอนล้มบิ๊กตู่เมื่อปลายปี 2564 มาแล้ว กะว่าคว่ำบิ๊กตู่แล้วให้บิ๊กป้อมขึ้นนายกฯ ในฐานะนายกฯ คนนอก..คือนอกบัญชี ซึ่งทำไม่สำเร็จ แต่วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนแล้ว บิ๊กป้อมเป็นแคนดิเดตตามบัญชีแล้ว ถ้าพรรคเพื่อไทยกับภูมิใจไทยหนุนก็เดินหน้าได้ อาจจะดึงพรรครวมไทยสร้างชาติ และประชาธิปัตย์มาร่วมด้วย สูตรนี้พรรคเพื่อไทยคงคิดหนัก

ทั้งสี่สูตร ความเป็นไปได้น่าจะอยู่ที่สูตรที่หนึ่งหรือสูตรที่สอง ต้องวัดใจทั้งสองพรรคแกนนำ ถ้าหวยพลิกมาสูตรที่สองเป็นสูตรข้ามขั้วก็แปลว่าพรรคก้าวไกลต้องกินแห้ว

ป.ล.- เล็ก เลียบด่วน ขอแสดงความชื่นชมบิ๊กตู่ที่ได้แสดงความเป็นสุภาพบุรุษประชาธิปไตย ลงคลุกฝุ่นสนามเลือกตั้ง และยอมรับในผลการเลือกตั้งโดยไม่มีข้อแม้

เรื่อง: เล็กเลียบด่วน

อัปเดตผลการเลือกตั้งทั่วประเทศ (อย่างไม่เป็นทางการ)

อัปเดตผลการเลือกตั้งทั่วประเทศ (อย่างไม่เป็นทางการ)
นับแล้ว 99% โดย คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
วันที่ 15 พ.ค. 66 เวลา 14.00 น.

ที่มา: กกต.

‘อลงกรณ์’ เรียกร้องทุกฝ่ายเคารพเสียงประชาชน หนุน ‘ก้าวไกล’ ตั้งรัฐบาล ดัน ‘พิธา’ เป็นนายกฯ

(15 พ.ค. 66) นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรี อดีต ส.ส. และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เขียนเฟซบุ๊กส่วนตัวแสดงความคิดเห็นสนับสนุนพรรคก้าวไกลให้จัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศหลังทราบผลการเลือกตั้ง โดยเขียนไว้อย่างน่าสนใจดังนี้

“ควรเคารพเสียงประชาชน
ให้ ‘ก้าวไกล’ ตั้งรัฐบาลปฏิรูปประเทศ”

ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อประชาชนกว่า 14 ล้านคนเลือกพรรคก้าวไกลเป็นอันดับ 1 ของประเทศ ทั้ง ส.ส.แบบเขตเลือกตั้ง และส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ด้วยความเชื่อมั่นว่า พรรคก้าวไกลจะสร้างการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศสู่อนาคตที่ดีกว่าปัจจุบัน

ผมเชื่อว่า นักการเมืองทุกคนไม่ว่าสังกัดพรรคใด คงยอมรับว่า พรรคก้าวไกลเป็นพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งด้วยวิสัยทัศน์ นโยบายและความเป็นผู้นำของคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โดยไม่มีการซื้อเสียง เป็นชัยชนะที่ขาวสะอาด

ผมหวังว่า ทุกพรรคการเมืองและสมาชิกวุฒิสภาจะเคารพเสียงของประชาชน และเปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกลสามารถจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศและคุณพิธาได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 นำประเทศก้าวข้ามความล้าหลังความยากจนและความแตกแยกขัดแย้ง เดินหน้าปฏิรูปประเทศสร้างศักยภาพใหม่ประเทศไทยให้สำเร็จ และสร้างประชาธิปไตยโดยประชาชนของประชาชนเพื่อประชาชนในระบบรัฐสภาอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

อลงกรณ์ พลบุตร
15 พ.ค. 2566

‘พิธา’ ประกาศจับมือพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมจัดตั้งรัฐบาล ยืนยัน!! พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน

(15 พ.ค. 66) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงข่าวที่พรรคก้าวไกล หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศผลคะแนนเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ สรุปว่าพรรคก้าวไกลได้จำนวน ส.ส. เป็นอันดับ 1 ว่า เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าพี่น้องประชาชนได้แสดงเจตจำนงผ่านคูหาเลือกตั้งให้พรรคก้าวไกลได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่ง จึงขอประกาศว่าพรรคก้าวไกลพร้อมเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล น้อมรับฉันทามติของพี่น้องประชาชน พลิกขั้วเปลี่ยนข้างจากฝ่ายค้านเดิมในการจัดตั้งรัฐบาล

พิธากล่าวว่า ตนพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน พร้อมฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง เชื่อว่าความคิดเห็นที่แตกต่างจะทำให้ตนเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีขึ้น พร้อมเคารพ ให้เกียรติ และต่อยอดจากการต่อสู้ของทุกฝ่ายที่ผ่านมาเพื่อประชาธิปไตย และพร้อมคืนศรัทธาให้ระบอบประชาธิปไตยและระบบรัฐสภา คืนความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพให้กับการเมืองไทย และผู้แทนราษฎรทุกคน

หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ได้โทรศัพท์ติดต่อไปหาแกนนำทั้งหมด 5 พรรคการเมือง ทั้งที่เป็นฝ่ายติดต่อไปและแกนนำของพรรคเหล่านั้นได้ติดต่อมาที่พรรคก้าวไกล ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย และพรรคเสรีรวมไทย ที่จะรวมกันเป็น 308 เสียง และกำลังติดต่อไปยังพรรคเป็นธรรม ซึ่งจะทำให้รวมเป็น 309 เสียง คิดว่าเพียงพอในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก ปิดประตูการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ทุกฝ่ายต้องน้อมรับฉันทามติจากพี่น้องประชาชน

“ได้โทรศัพท์หาคุณแพทองธาร ชินวัตร แสดงความยินดีกับความมุ่งมั่นตั้งใจในการเดินทางหาเสียง ที่ทำได้อย่างดีเยี่ยมไร้ที่ติ และได้เชิญชวนพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม ในการจัดตั้งรัฐบาลตามที่เคยสัญญากับพี่น้องประชาชน” พิธากล่าว

พิธากล่าวต่อว่า การทำงานต่อจากนี้ มีประมาณ 2-3 ส่วน หนึ่งคือการเจรจาจัดตั้งรัฐบาล พรรคก้าวไกลจะนำโรดแมปที่ได้สัญญาไว้กับประชาชนก่อนการเลือกตั้ง เพื่อนำไปพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาเก่า เผชิญปัญหาใหม่ และพร้อมพาประเทศไทยไปสู่อนาคต ทำประชามติให้มี สสร. ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ พัฒนาเศรษฐกิจสร้างความเจริญเติบโตและลดความเหลื่อมล้ำไปในคราวเดียวกัน (Inclusive Growth)

สอง ตั้งทีมงานเพื่อเปลี่ยนผ่านรัฐบาล เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมีคณะทำงานร่วมกับทุกพรรคการเมือง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านอำนาจ เปลี่ยนผ่านรัฐบาล อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ

สาม จะมีการเดินสายพบปะประชาชน ภาคประชาสังคม ข้าราชการ และภาคธุรกิจ เพื่อเดินหน้าทำความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายของพรรคก้าวไกล ให้ผลการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นฉันทามติที่มาจากพี่น้องประชาชน สามารถทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนได้ เพื่อพาประเทศไทยไปสู่อนาคต ไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพและมีอุดมการณ์ เป็นความเปลี่ยนแปลงที่พวกเราถวิลหา

พิธากล่าวว่า วันนี้จะมีการประชุมกรรมการบริหารพรรคในช่วงบ่าย ก่อนเดินทางไปขอบคุณพี่น้องประชาชนที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และหลังจากนั้นจะเดินทางทั่วทุกภูมิภาค เร่งจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้มีสุญญากาศทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ เพื่อไม่ให้มีความไม่แน่นอนหรือความเสี่ยงใด ๆ ต่อประเทศไทย ขอให้พี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน มั่นใจในการทำงานของพรรคก้าวไกล เราจะทำงานอย่างละเอียด รอบคอบ และรวดเร็ว เพื่อพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน

‘ษฐา-มุกดาวรรณ’ ภท. ได้ใจคนเมืองคอนเขต 7-8 โค่น 2 พ่อลูก ‘ชินวรณ์-ปุณณสิริ’ กอดคอกันสอบตก

ผลการเลือกตั้งนครศรีธรรมราชน่าสนใจยิ่ง เมื่อ ‘ชินวรณ์ บุณยเกียรติ์’ อดีต ส.ส. 9 สมัย ของพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา ถูกโค่นลงไม่เป็นท่า จากหน้าใหม่ทางการเมือง ‘ษฐา ขาวขำ’ อดีตนายอำเภอ ที่ลงสมัครในนามพรรคภูมิใจไทย เขตทุ่งใหญ่ บางขัน ถ้ำพรรณรา ชนกับ ‘ชินวรณ์’

เป็นผลการเลือกตั้งที่พลิกเกินความคาดหมาย เพราะไม่คิดว่าจะมีใครโค่นชินวรณ์ลงได้ แต่วันนี้พิสูจน์แล้วว่า การเมืองเป็นเรื่องไม่แน่นอนจริง ๆ เมื่อประชาชนต้องการเปลี่ยนประชามติผ่านการลงคะแนนเสียง คือประชาธิปไตยที่เมื่อถึงเวลาประชาชนจะเป็นใหญ่ และผลประโยชน์ของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญที่นักการเมืองจะต้องยึดถือปฏิบัติ ถ้าใครขาด-ห่างหายไปจากประชาชน ประชาชนก็จะตัดสินชี้ขาดเอง

ไม่ใช่แค่ชินวรณ์ เพราะลูกสาว ‘น้องบีท-ปุณณสิริ บุณยเกียรติ์’ ที่ถูกส่งลงเขต 8 ฉวาง ช้างกลาง ในนามพรรคประชาธิปัตย์ ก็กอดคอพ่อสอบตกเช่นเดียวกัน จะอ้างกระแสก้าวไกลก็ไม่ได้ เพราะทั้งสองเขตถูกโค่นโดย ‘ภูมิใจไทย’ 

โดยเขต 8 มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล เอาชนะน้องบีทไปได้ ซึ่งมุกดาวรรณ เคยลงสมัครมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปี 2562 ในนามพรรคพลังประชารัฐ ได้คะแนนมา 18,000 กว่าคะแนน อยู่ในลำดับ ‘เกือบได้’ แต่คราวนี้มุกดาวรรณไม่พลาด ได้รับการชูมือให้เดินเข้าสภา ทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรเต็มภาคภูมิใจ

กล่าวถึงการล้มช้างทางการเมือง เมื่อการเลือกตั้งปี 2562 นครศรีธรรมราชก็มีศึกล่มช้างเกิดขึ้นเหมือนกัน ในเขตเลือกตั้งที่ 2 หัวไทร-ปากพนัง-เชียรใหญ่ เมื่อ ‘สัญหพจน์ สุขศรีเมือง’ หน้าใหม่ทางการเมืองเหมือนกัน ลงสมัครในนามพรรคพลังประชารัฐ ผลการเลือกตั้งสัญหพจน์ ชนะ ‘น้อย-วิทยา แก้วภารดัย’ อดีต ส.ส. 8 สมัยของพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเฉยเลย

สัญหพจน์เองก็ยังมึน ๆ ว่าชนะได้อย่างไร แต่มาคราวนี้สัญหพจน์ก้าวพลาด ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคพลังประชารัฐเหมือนเดิม แต่สัญหพจน์ กลับพลาดให้กับ ‘โกเท่ห์-พิทักษ์เดช เดชเดโช’ จากพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเขาเป็นลูกชายของ ‘กนกพร เดชเดโช’ นายกฯ อบจ.นครศรีธรรมราช และเป็นน้องชายของ’แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และ ส.ส.เขต 5 นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์

นี้เป็นอีกบริบทหนึ่งที่เป็นบทเรียนสำหรับนักการเมือง ที่ต้องทำงานใกล้ชิดประชาชน ทำงานสนองตอบต่อความต้องการของพี่น้องประชาชน ภาคใต้กรอบของกฎหมาย แต่ถ้าวันหนึ่งวันใดนักการเมืองห่างหายไปจากประชาชน ถึงวันนั้นประชาชนจะพิพากษาเองว่าจะให้คนคนนั้นอยู่ในสถานะอะไร

เรื่อง: นายหัวไทร

เปิดแผนงาน 100 วันแรก ภารกิจที่ 'ก้าวไกล' พร้อมทำทันที

เมื่อไม่นานมานี้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ออกมาแถลงรายละเอียด ‘โร้ดแมปรัฐบาลก้าวไกล’ โดยเป็นสิ่งที่จะทำภายใน 100 วันแรก, 1 ปี แรก และ ภายใน 4 ปี หากพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้ง ซึ่งนายพิธา ยืนยันว่า โร้ดแมปดังกล่าว สามารถทำได้แน่นอน
.
โดยในส่วนของ 100 วันแรก จะเป็นการทำงานที่ไม่ต้องแก้กฎหมาย สามารถทำได้เลย เช่น การเสนอ ครม.ทำรัฐธรรมนูญใหม่ โดยต้องผ่าน สสร., ให้รัฐต้องเปิดเผยข้อมูลงบทุกบาท, เอากฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่พิจารณาค้างไว้ในรัฐบาลที่แล้ว มาทำให้เสร็จ, และยกเลิกบังคับใส่ชุดนักเรียน และทรงผม พร้อมกับทำนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ทันที คือ เรื่องของหวยไปเสร็จ, เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาท, แก้สูตรค่าไฟ, สุราก้าวหน้า, ออกโฉนดนิคมสหกรณ์ และนิคมสร้างตนเอง และ เปิดเสรีโซลาร์เซลล์
.
ส่วนภายใน 1 ปีแรก จะปลดล็อกเลือกตั้งผู้ว่าทุกจังหวัด, แก้ไขกฎหมายการเกณฑ์ทหาร ให้เป็นโดยสมัครใจ และรื้อฟื้นคดีสลายการชุมนุม 2553 พร้อมยื่นแก้ไขจดหมาย 45 ฉบับ เช่น แก้กฎหมายการหมิ่นประมาท มาตรา 112 และ 116, ทำในสาธารณูปโภคเรื่องของน้ำประปาดื่มได้ และแก้ไขเรื่องเศรษฐกิจ ก็จะเป็นการแก้ไขจำนวนเงินต่าง ๆ เพื่อนนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดในแต่ละด้าน
.
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การจะทำนโยบายต้องใช้ประสบการณ์ แต่ก้าวไกลไม่มีประสบการณ์ แล้วจะทำได้จริงอย่างที่กล่าวหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญแต่ไม่ใช่ทุกอย่าง หลายเรื่องในทุกวันนี้เป็นเรื่องใหม่ ต้องใช้การคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ไม่ใช่จะเอาประสบการณ์มาใช้ได้ทั้งหมด ซึ่งคิดว่าพรรคก้าวไกลทำได้ และตอบโจทย์

‘เศรษฐา’ ลั่น!! พร้อมจับมือ ‘ก้าวไกล’ ตั้ง รบ. ดักคอ ส.ว. เคารพฉันทามติประชาชน

(15 พ.ค. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย เดินทางเข้ามาที่พรรคเพื่อไทย ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมกล่าวแสดงความยินดีกับพรรคก้าวไกลที่ได้คะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 1

นายเศรษฐา ระบุว่า ถือเป็นความต้องการของประชาชนที่ต้องการให้พรรคฝ่ายประชาธิปไตยชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง และส่วนตัวพร้อมที่จะเห็นพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และพรรคเพื่อไทยยินดีที่จะจับมือกับพรรคฝ่ายประชาธิปไตยอย่างก้าวไกล

“ถ้าจะจับมือกันจัดตั้งรัฐบาล เพื่อไทยต้องจับกับก้าวไกลเท่านั้น หากจับกับพรรคการเมืองอื่น ถือว่าไม่เคารพเสียงของประชาชนที่ต้องการให้ฝ่ายประชาธิปไตยเป็นผู้บริหารประเทศ และส.ว.เอง ก็ต้องเคารพฉันทามติของประชาชน ถือเป็นแนวทางที่ถูกต้องและเป็นความต้องการของพี่น้องประชาชน และแสดงความยินดีกับคุณพิธาด้วย” นายเศรษฐา กล่าว

เมื่อถามย้ำว่าไม่น่าจะมีการพลิกขั้วใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตามกติกาชัดเจนอยู่แล้วและโดยส่วนตัว ฝ่ายประชาธิปไตยของเราทำงานร่วมกันมานาน และเราก็เป็นฝ่ายประชาธิปไตยเหมือนกัน

ส่วนจะมีอะไรพลิกหรือสถานการณ์อะไรหรือไม่ที่จะทำให้สถานการณ์พลิกจนไม่สามารถจับมือทำงานร่วมกันได้ นายเศรษฐายืนยันว่า มันไม่น่าเกิดขึ้นประชาชนรู้แล้ว ชัดเจนแล้วว่าสองพรรคนี้เป็นฝ่ายประชาธิปไตยและก้าวไกลเป็นฝ่ายได้คะแนนอันดับหนึ่งเราต้องเคารพเสียงประชาชน ตนชัดเจนตรงนี้

“สุดท้ายก็ต้องขึ้นอยู่กับมติของกรรมการบริหารพรรค ส่วนผมแม้จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็พร้อมทำงานทางการเมือง โดยไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งใดๆ และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการโทรศัพท์พูดคุยหรือมีดีลลับใด ๆ กับนายพิธา และส่วนตัวไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของนายพิธาด้วย” นายเศรษฐา กล่าว

‘ชลน่าน’ ยินดี ปชช. ไว้วางใจ ‘ก้าวไกล’ อันดับ 1 รับ!! ยังไม่เห็นเงื่อนไขจัดตั้งรัฐบาล ปัดตอบเป็นฝ่ายค้าน

(15 พ.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค เดินทางเข้าที่ทำการพรรคเพื่อไทย เพื่อเตรียมประชุมกับแกนนำพรรคและกรรมการบริหารพรรค หลังจากผลคะแนนการเลือกตั้งเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าพรรคพท.ได้คะแนนมาเป็นอับดับสอง โดย นพ.ชลน่าน กล่าวว่า วันนี้กรรมการบริหารพรรคจะมาคุยกันเพื่อกำหนดแนวทางการทำงานหลังจากนี้ ว่าจะดำเนินต่ออย่างไร ส่วนเรื่องการจับมือจัดตั้งรัฐบาล พรรคเพื่อไทยแสดงท่าทีชัดว่ายอมรับเสียงของประชาชน ที่ไว้วางใจพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้มาเป็นอันดับหนึ่ง ก็ยินดีกับพรรคก้าวไกล และยินดีที่จะให้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ส่วนจะร่วมมือกันอย่างไรนั้น ในฐานะพรรคอันดับรอง ก็ต้องฟังเสียงของพรรคอันดับหนึ่งว่าจะมีท่าที ทิศทางอย่างไร 

เมื่อถามถึงการลงนามเอ็มโอยูจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกลจะมีข้อไหนที่อาจร่วมกันไม่ได้ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ยังไม่รู้ คือเป็นแนวทางที่พรรคก้าวไกลประกาศไว้ ซึ่งการลงนามชัดเจนถือเป็นเรื่องดี เพราะจะเป็นการเปิดเผยต่อสาธารณชนด้วยว่าหากร่วมกับทำงานแล้ว จะทำอะไรได้บ้าง ต้องคุยกัน ถ้าร่วมกันไม่ได้ ข้อไหน จะผ่อนคลายหรือยอมกันได้แค่ไหน คงต้องดูตรงนั้น แต่ตอนนี้ยังไม่ทราบเนื้อหาว่ามีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง อาจยังตอบไม่ได้ถึงการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรี ซึ่งเบื้องต้นที่ทราบจะเน้นไปทางการทำงานตามนโยบาย 

เมื่อถามอีกว่าหากลงนามเอ็มโอยูไม่ได้ พรรคเพื่อไทยพร้อมเป็นฝ่ายค้านอีกหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ต้องดูในรายละเอียด ตอนนี้ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก เมื่อประชาชนมอบคะแนนให้กับฝ่ายประชาธิปไตยท่วมท้นแบบนี้ เจตจำนงคงต้องการให้ฝ่ายประชาธิปไตยเข้ามาทำงานเป็นรัฐบาล สิ่งนี้สำคัญกว่า จะมาคิดว่าตัวเองจะต้องเป็นอะไร ไม่ใช่ว่าพอไปด้วยกันไม่ได้ แล้วต้องมาเป็นฝ่ายค้าน

‘สื่ออังกฤษ’ คาด!! เก้าอี้นายกฯ ‘พิธา’ อาจไม่ราบรื่น แม้ครองอันดับ 1 แต่คงต้องรวมเสียง ส.ส. สู้ 250 ส.ว.

(15 พ.ค. 66) Daily Mail นสพ.ของอังกฤษ เสนอข่าว Pita Limjaroenrat: leading Thailand's political earthquake รายงานผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในประเทศไทย เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 ที่ผ่านมา โดยระบุว่า ก่อนหน้านี้มีน้อยคนที่คิดว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (Pita Limjaroenrat) จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของไทย กระทั่งผลการเลือกตั้งชี้ว่า พรรคก้าวไกล ที่มุ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงราก มีคะแนนนำพรรคที่ตั้งมานานจนเป็นสถาบันอย่างพรรคเพื่อไทย

พิธา ชายวัย 42 ปี ได้ปรากฏตัวอย่างไม่หยุดนิ่งบนเส้นทางการหาเสียง โดยใช้ประโยชน์จากวัยหนุ่มและพลังของเขาเพื่อเข้าถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ท้อแท้และโหยหาการเปลี่ยนแปลงหลังจาก 8 ปีของรัฐบาลที่มีทหารหนุนหลัง ด้วยการประกาศว่า การลงคะแนนให้พรรคก้าวไกลคือการเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ เป็นการทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลง ซึ่งต้องบอกว่า พรรคก้าวไกลเป็นพรรคเดียวที่ต้องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยที่นำโดยเยาวชนปะทุขึ้นทั่วกรุงเทพฯ ในปี 2563 โดยมีข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งฝ่าฝืนข้อห้ามในสังคมไทยที่มีมาอย่างยาวนานในการตั้งคำถามต่อเรื่องนี้ ขณะที่ประเด็นมาตรา 112 ก็เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอย่างมากและเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งถูกมองว่าเป็นเรื่องที่แตะต้องไม่ได้ในการเมืองไทยมาช้านาน แม้แต่พรรคเพื่อไทยที่เป็นคู่แข่งในฝ่ายค้านก็กล่าวเพียงว่าจะปล่อยให้เรื่องนี้เข้าสู่รัฐสภา ในขณะพรรคก้าวไกลประกาศว่าจะแก้ไขอย่างชัดเจน

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สำเร็จการศึกษาในนิวซีแลนด์และสหรัฐอเมริกา เขาศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดด้วยทุนการศึกษานานาชาติ ก่อนที่จะก้าวไปสู่การเป็นผู้ประกอบการ อย่างไรก็ตาม หลังจากพ่อของเขาเสียชีวิตเมื่ออายุได้ 25 ปี ก็กลับบ้านเพื่อทำธุรกิจ Agrifood ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวของครอบครัว ซึ่งทำให้โชคชะตาพลิกผัน ต่อมาเขาได้เป็นกรรมการบริหารของแอปขนส่ง Grab Thailand ในปี 2555 เขาแต่งงานกับชุติมา ทีปะนาถ (Chutima Teepanat) นักแสดงโทรทัศน์ชาวไทย และมีลูกสาวอายุ 7 ขวบ การแต่งงานพังลงในปี 2562 ลูกสาวของเขาได้ปรากฏตัวอย่างเด่นชัดในการหาเสียงโดยพิธาพาเธอขึ้นเวทีหลังการกล่าวปราศรัย สร้างความพึงพอใจให้กับฝูงชนอย่างมาก 

ขณะที่ทางสื่อสังคมออนไลน์ เขาใช้บัญชีส่วนตัวแบบสาธารณะ ตามด้วยผู้ใช้เกือบหนึ่งล้านคน เพื่อแชร์ภาพของเขาและลูกสาวสวมเสื้อยืดที่เข้าชุดกันและกินไอศกรีมด้วยกัน แต่ถึงแม้จะประสบความสำเร็จในช่องลงคะแนน ก็ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าเส้นทางการเป็นนายกรัฐมนตรีของพิธาจะตรงไปตรงมา ตอนนี้เขาต้องรวบรวมพันธมิตรเข้าด้วยกันเพื่อเอาชนะสมาชิกวุฒิสภาที่ฝ่ายรัฐบาลเดิมแต่งตั้ง ซึ่งจะมาร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยจากบรรดาผู้สมัครที่มีสิทธิ์

‘องอาจ’ ขอบคุณทุกคะแนนที่มอบให้ประชาธิปัตย์ แม้ไม่มี ส.ส.กทม. ก็ยินดีทำเพื่อพี่น้องประชาชน

(15 พ.ค. 66) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ดูแล กทม. กล่าวถึงผลการเลือกตั้ง ส.ส.ใน กทม. ที่พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้รับเลือกตั้งเลยแม้แต่คนเดียว ว่า ขอขอบคุณทุกคนและทุกคะแนนเสียงที่ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ไม่ว่าท่านจะเลือกผู้สมัครจากพรรคการเมืองใดก็ตาม ถือว่าท่านได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ เพื่อช่วยทำให้ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเดินหน้าไปได้ต่อไป สำหรับท่านที่กรุณาลงคะแนนเสียงให้พรรคประชาธิปัตย์ ตนขอขอบคุณทุกคะแนนเสียงที่ท่านมอบให้ด้วยหัวใจจากใจจริง 

“ขอยืนยันว่าทุกคะแนนเสียงที่ท่านมอบให้พรรคประชาธิปัตย์ จะไม่สูญเปล่าเราจะทำงานเพื่อประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชนต่อไปในทุกช่องทางเท่าที่เราสามารถทำได้ ขณะเดียวกัน ก็ขอแสดงความยินดีกับพรรคก้าวไกล ที่ได้รับเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 แบบแลนด์สไลด์อย่างท่วมท้นทั่ว กทม. และทั่วประเทศ และ ขอให้พรรคก้าวไกล เดินหน้าทำงานตามที่สัญญาไว้ให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติบ้านเมืองโดยรวมต่อไป” นายองอาจ กล่าว

‘บิ๊กตู่’ เคารพในวิถีประชาธิปไตย และการเลือกตั้ง ย้ำ ‘ทำเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์’

"...ผมเองนั้น ผมพยายามทำเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตลอดชีวิตของผม และอุดมการณ์ของพรรคก็เช่นเดียวกัน ขอให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย มีความเจริญก้าวหน้า ผมเคารพในวิถีประชาธิปไตย และการเลือกตั้ง ขอบคุณครับ..." 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
กล่าวเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top