Sunday, 11 May 2025
NEWS FEED

‘เอ็ม บี เค’ ออกจดหมายแจง!! เหตุทะเลาะวิวาท ยัน!! มีมาตรการตรวจสอบอาวุธ อย่างเข้มงวด

(23 มี.ค. 68) ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ได้ออกจดหมายแถลงการณ์ มีใจความว่า ...

ตามที่เกิดเหตุการณ์นักศึกษาสองสถาบันทะเลาะวิวาท เมื่อวันเสาร์ที่ 22 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 19.15 น. 

ทางศูนย์การค้าฯ ขอยืนยันว่า ได้มีมาตรการตรวจสอบอาวุธอย่างเข้มงวด และจากกรณีมีข่าวว่ามีเสียงดังคล้ายอาวุธปืนนั้น ไม่เป็นความจริง โดยเสียงดังกล่าวเกิดจากป้ายโฆษณาโครงเหล็กกระทบพื้น

ขออภัยในความไม่สะดวก!! 

‘อุ๊งอิ๊ง’ อวยพร!! ‘วู้ดดี้ วุฒิธร-โอ๊ต อัครพล’ ในงานแต่งงาน บรรยากาศชื่นมื่น หลังจดทะเบียนสมรสอย่างเป็นทางการ ถูกต้องตามกฎหมาย ‘สมรสเท่าเทียม’

เมื่อวานนี้ (22 มี.ค. 68) นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร พร้อมคู่สมรส ร่วมงานมงคลสมรสของ ‘วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา และ โอ๊ต อัครพล จับจิตรใจดล’ หลังจดทะเบียนสมรสอย่างเป็นทางการ และถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีนายทะเบียนจากสำนักงานเขตปทุมวัน ดำเนินการจดทะเบียนสมรสตาม พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา 

สำหรับงานมงคลสมรสของ ‘วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา และ โอ๊ต อัครพล จับจิตรใจดล’ วันนี้บรรยากาศเป็นด้วยความชื่นมื่น มีรัฐมนตรี เพื่อนๆ และผู้มีชื่อเสียงในหลากหลายวงการร่วมงานด้วยความยินดี

‘อ.เจษฎา’ โพสต์ข้อความ!! วอน ‘ท่านนายกฯ’ สั่งย้าย อุเทนถวาย ชี้!! มันจบทุกขั้นตอนแล้ว ก็ยังดื้อ ไม่ยอมไปซักที ทำชาวบ้านเดือดร้อน

(23 มี.ค. 68) รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า …

ขอท่านนายกฯ อิงค์ กรุณาลงนามคำสั่งย้ายอุเทนถวาย เถอะครับ มันจบทุกขั้นตอนแล้ว ก็ยังดื้อ ไม่ยอมไปซักที ชาวบ้านเดือดร้อน

‘เกลือ เป็นต่อ’ โพสต์เฟซ!! หลังทัวร์ลง!! จากเหตุ ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ มอบ ‘คอร์สปรับพฤติกรรม’ ให้เกรียนคีย์บอร์ด พร้อมอนุโมทนาให้เจริญขึ้น

(23 มี.ค. 68) จากกรณีที่นายกิตติ เชี่ยววงศ์กุล หรือที่รู้จักในชื่อ ‘เกลือ เป็นต่อ’ ได้โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลว่า “ทีนี้เด็กๆ เห็นความสำคัญของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกันรึยังลูก?” จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยมีสื่อและเพจบางเพจนำข้อความดังกล่าวไปเผยแพร่ เรียกกระแสทัวร์จากผู้ที่ไม่เห็นด้วยเข้ามาคอมเมนต์โจมตีอย่างดุเดือด ถึงขั้นมีการใช้ถ้อยคำหยาบคาย

ความคืบหน้าล่าสุด นายกิตติ ได้ออกมาตอบกลับผ่านคอมเมนต์ใต้โพสต์ของตัวเอง โดยระบุว่า…

“ผ่านเวลามาประมาณสองวันแล้วคิดว่าคนที่อยากจะเข้ามาแสดงความคิดเห็นคงจะหมดลงแล้ว บางท่านเห็นด้วย บางท่านไม่เห็นด้วย ผมก็ได้อ่านบ้าง แต่ข้อความทั้งหมดส่วนใหญ่ก็จะมีอีกทีมอ่าน ผมจึงมีเรื่องอยากจะพูดคุยกับทุกท่านโดยแบ่งเป็นสามกลุ่มดังนี้ 

1.กลุ่มคนที่เห็นคุณค่า และเข้าใจความหมายของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ผมดีใจและชื่นชมเป็นอย่างมากที่ได้เห็นทุกคนมาช่วยกันให้ข้อมูลความรู้นี้ แก่บุคคลที่อาจจะยังไม่เข้าใจให้ได้เข้าใจความหมายและคุณค่าของเศรษฐกิจพอเพียง พวกท่าน่ารักและมีจิตใจดีมากครับ และผมเชื่อว่าในการดำเนินชีวิตต่อไปของท่าน จะเป็นการการันตีได้ว่าท่านจะมีภูมิคุ้มกันที่ดีในชีวิต และสามารถผลิตและรับความสุขกับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวได้อย่างแน่นอน

2.กลุ่มที่ไม่เห็นด้วย และพยายามเข้ามาโต้แย้ง แสดงทัศนคติของท่าน แต่ยังใช้ถ่อยคำสุภาพ ผมก็จะบอกท่านว่าการที่ท่านไม่เชื่อ ไม่เห็นด้วย ก็แล้วแต่ตัวท่านเช่นกัน เพราะการที่ท่านจะชื่อสิ่งใดหรือไม่เชื่อสิ่งใด ประโยชน์อยู่ที่ตัวท่านไม่ใช่ตัวผม ถ้าทัศนคติแบบนี้ทำให้ท่านมีความสุขในสังคม ไม่ร้อนรุ่มเที่ยวเกลียดชังใคร มองโลกและปัญหาอย่างมีความสุข ก็ตามสบายได้เลย และบุคคลประเภทชอบมาตั้งคำถามให้ผม หรือบุคคลอื่นพยายามตอบ โดยคำถามนั้นท่านไม่ได้ต้องการคำตอบจริงๆ(ซึ่งท่านก็รู้อยู่แก่ใจว่าท่านคิดสิ่งใดอยู่ เราทุกคนก็รู้เช่นกันว่าตอบท่านไปก็เปล่าประโยชน์) ก็ต้องบอกว่า พวกเราไม่ใช่ครูบาอาจารย์ของท่าน ท่านควรจะหาความรู้ด้วยตัวเอง ตั้งคำถามและโต้แย้งให้ตัวเองให้เป็นจะได้ไม่เดือดร้อนกับผู้อื่น ฉะนั้นนี้คือเหตุผลที่ผมจะไม่ตอบคำถามใดๆกับท่าน แต่ก็ขอบคุณที่ยังมีความสุภาพครับ

3.เอาล่ะถึงกลุ่มสุดท้าย เป็นกลุ่มที่อยากจะคุยด้วยมากที่สุด การที่ท่านไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผมเขียนนั้น ความคิดของผมให้ไปอ่านที่ข้อ2. แต่การที่ท่านใช้วาจาสอดเสียด รุนแรงด่าทอ หรือแม้กระทั่งการพยายามทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงนั้น(ใครไม่ได้ทำตามนี้ไม่ต้องร้อนตัวกันนะครับ) เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และผิดกฏหมาย ฉะนั้นผมขอมอบโอกาสนี้ในการมอบคอร์สการปรับพฤติกรรม(ด้วยสิ่งไม่พึงพอใจ) มันจะเป็นอย่างนี้นะครับ เดี๋ยวจะมีซองๆนึงส่งไปหาท่านที่บ้าน เนื้อความคงจะประมาณว่าเชิญท่านมา เพื่อจะให้ท่านมาร่วมทำบุญด้วยกัน เงินนี้ผมจะนำไปทำบุญซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กับโรงเรียนที่ขาดแคลนสื่อการเรียนการสอน ซึ่งต้องใช้เงินมากประมาณนึงเลยทีเดียวฉะนั้นท่านอ่านจะต้องช่วยเหลือผมมากหน่อยนะครับ หวังว่าการมอบสิ่งไม่พึงพอใจครั้งนี้ จะสามารถปรับพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของท่านได้ หากท่านคิดได้ ผมก็ขออนุโมทนา ให้บุญกุศลนี้ส่งผลให้ท่านเจริญยิ่งขึ้นไป หากท่านยังคิดไม่ได้ถึงแม้ว่าผมได้มอบบทเรียนนี้แก่ท่าน ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะเราทำบุญร่วมกันไปแล้ว ผมก็คงจะได้มอบบทเรียนแก่ท่านได้อีกในชาติถัดไป

ส่วนใครที่กลับตัวกลับใจได้ ก็พิมพ์ข้อความมาขอโทษที่ใต้โพสนี้นะครับ จะถือว่ายกเว้นให้ ส่วนใครที่พยายามจะลบข้อความก็ต้องบอกว่าได้มีทีมพยายามเก็บข้อมูลทั้งหมดไว้แล้วถ้าท่ารอดได้ ก็ถือว่าแต้มบุญท่านสูงมาก

ส่วนทุกท่านที่อยู่ในที่นี้มีใครอยากจะร่วมทำบุญกับผมครั้งนี้ ก็สามารถทำบุญร่วมกันได้นะครับ เดี๋ยวผมจะแปะข้อมูลทั้งหมดไว้ด้านล่าง เมื่อได้รับข้อความนี้แล้ว เชิญกล่าวอนุโมทนาด้วยกันเทอญ สาธุ!!

‘เอกนัฏ’ ดึง ‘ดีเอสไอ’ ติดดาบคดีพิเศษ กำราบ!! โรงงานตัวแสบ ที่ดื้อด้าน ลั่น!! ถอนรากถอนโคน ทั้งขบวนการ หมายหัวต้นตอ!! นำเข้าขยะอันตราย

(23 มี.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้เปิดปฏิบัติการตรวจสุดซอย ในการเข้าตรวจสอบเชิงรุกดูแลโรงงานและผู้ประกอบการเกี่ยวกับการบำบัดกำจัดกากอุตสาหกรรม ตลอดจนการผลิตสินค้าให้ได้ตามมาตรฐาน โดยใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเข้มข้น และต่อเนื่อง ด้วยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน แต่ก็ยังพบว่ามีผู้ประกอบการที่ถูกดำเนินคดีแล้ว ยังคงจงใจฝ่าฝืนคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ลักลอบประกอบกิจการโรงงานอย่างไม่มีความเกรงกลัว และยำเกรงต่อกฎหมาย จึงได้ประสานความร่วมมือกับ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม ในการยกระดับบางกรณีที่เข้าลักษณะและองค์ประกอบเป็นคดีพิเศษ เพื่อดำเนินคดีและลงโทษกับผู้กระทำความผิด และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด

นายเอกนัฏ เปิดเผยด้วยว่า เบื้องต้นได้ร่วมหารือกับ พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว อดีตรองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะที่ปรึกษาดีเอสไอ โดยมี นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ถึงกรณี บริษัท ทีแอนด์ที เวสท์ แมเนจเม้นท์ 2017 จำกัด ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.ศรีมหาโพธิ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ที่จดประกอบกิจการหลายประเภทที่เกี่ยวข้องกับรีไซเคิลจัดการของเสีย และวัตถุอันตราย แต่พบว่าประกอบกิจการที่ฝ่าฝืนกฎหมายโรงงาน และกฎหมายวัตถุอันตรายอย่างร้ายแรงในหลายประการ เช่น มีการจัดการขยะอันตรายไม่ถูกต้อง และปล่อยสารเคมีอันตรายสู่สิ่งแวดล้อม ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ข้างเคียง และแม้จะถูกสั่งหยุดกิจการ ยึดอายัดของกลาง ดำเนินคดี รวมถึงยึดใบอนุญาต แต่ก็ยังคงมีการลักลอบกระทำผิดอยู่ จนเชื่อว่าคงมีผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง

“กรณี บริษัท ทีแอนด์ทีฯ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในการกระทำความผิดซ้ำซาก โดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง จึงต้องยกระดับมาตรการลงโทษ ตลอดจนใช้กลไกของ ดีเอสไอ ในการขยายผลกวาดล้าง ขุดรากถอนโคนไปถึงต้นตอของขบวนการอย่างรัดกุม” นายเอกนัฏ ระบุ

ด้าน น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงาน รมว.อุตสาหกรรม กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมาได้ร่วมกับ ชุดตรวจการสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) เข้าตรวจจับกุม บริษัท ทีแอนด์ที เวสท์ แมเนจเม้นท์ 2017 จำกัด หลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็พบว่า ยังคงลักลอบกระทำความผิด ที่สุด กรมโรงงานอุตสาหกรรม จึงมีคำสั่งยึดใบอนุญาต แต่ก็ยังพบว่า มีการลักลอบเคลื่อนย้ายของกลางที่เป็นวัตถุอันตรายไปยังพื้นที่จังหวัดอื่น ทั้ง จ.ฉะเชิงเทรา หรือ จ.สมุทรสาคร อีก จึงมีความจำเป็นต้องยกระดับเพื่อจัดการกับกรณีบริษัทที่ไม่ยำเกรงต่อกฎหมายเช่นนี้ โดย รมว.อุตสาหกรรม ได้กำชับและขอให้ทาง ดีเอสไอ ดำเนินการขยายผลให้ถึงต้นตอและจัดการขบวนการนำเข้าพลาสติก ขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือสินค้าไม่ได้มาตรฐานอุตสาหกรรมให้ถึงที่สุด

“กระทรวงอุตสาหกรรม วางแนวปฏิบัติร่วมกับ ดีเอสไอ หากพบกรณีที่มีของกลางและกากของเสียอุตสาหกรรมในปริมาณที่มาก และมีผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจำนวนมาก เข้าข่ายเป็นคดีพิเศษจะเชิญ ดีเอสไอ ร่วมตรวจเพื่อยกระดับการสืบสวนขยายผลหาข้อเท็จจริง และลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาดเพื่อให้เข็ดหลาบโดยเร็วที่สุด” น.ส.ฐิติภัสร์ ระบุ

น.ส.ฐิติภัสร์ กล่าวด้วยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม เร่งตรวจสอบและขยายผลขบวนการที่เกี่ยวข้องทั้งหมดและเร่งนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน โดยกระทรวงอุตสาหกรรมยืนยันจะดำเนินการเชิงรุกอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม ลดปัญหาการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม และสร้างคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีให้ประชาชนในทุกพื้นที่

‘ปตท.–GPSC-Solar PPM’ สนับสนุนการติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ณ วัดสระเกศฯ ส่งเสริมการใช้พลังงานจากธรรมชาติ เพื่อลดค่าใช้จ่ายของทางวัด

(23 มี.ค. 68) ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) พร้อมด้วย นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) และนายกฤษณ์ พรพิไลลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โซลาร์ พีพีเอ็ม จำกัด (Solar PPM) ร่วมถวายระบบ Solar Rooftop ขนาด 100 กิโลวัตต์ แด่พระเดชพระคุณพระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร (วัดภูเขาทอง) เพื่อปรับปรุงระบบไฟฟ้าของวัดให้เป็นระบบไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับใช้งานภายในอาคารบำเพ็ญกุศล 1-2 และเมรุ โดยสามารถลดค่าไฟฟ้าของวัดได้ถึงร้อยละ 50 ภายใน 1 เดือน นับเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายให้แก่วัดและเป็นการสนับสนุนเพื่อสาธารณประโยชน์ให้แก่วัดและชุมชนในพื้นที่อีกด้วย

‘ดร.หิมาลัย’ ลุย!! แผนการจัดการน้ำ ฝายธงน้อย กางแผนเสริมระบบระบายน้ำ ลดผลกระทบ ‘อุทกภัย’ พร้อมพัฒนา!! โรงไฟฟ้าพลังน้ำธงน้อยเพื่อชุมชน

(23 มี.ค. 68) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการดำเนินงานโครงการฝายธงน้อย จังหวัดน่าน ครั้งที่ 2 โดยมี นางสาวนันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน, นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน, นายทรงยศ รามสูต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน, นายมังกร ศรีเจริญกุล สมาชิกวุฒิสภา, นางวาสนา ยศสอน สมาชิกวุฒิสภา, นายนันทนิษฎ์ วงศ์วัฒนา รองอธิบดี พพ. รวมถึงผู้แทนจากกรมเจ้าท่า กรมชลประทาน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมมาลากุล 1 กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568

ดร.หิมาลัย กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการหารือแนวทางบริหารจัดการน้ำจากโครงการฝายธงน้อยให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ลดผลกระทบจากอุทกภัย พร้อมเดินหน้าพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำธงน้อยเพื่อใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน “วันนี้ทุกฝ่ายมารวมกันเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดในการบริหารจัดการน้ำ เราต้องมั่นใจว่า ประชาชนจะได้รับการดูแล และโครงการฝายธงน้อยจะสร้างประโยชน์สูงสุด เราจะทำงานเชิงรุกเพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าไปพร้อมกัน” ดร.หิมาลัย กล่าว

โดยได้จัดทำแผนบรรเทาทุกข์โครงการแบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่

แผนระยะสั้น (พ.ศ. 2568–2570) ประกอบด้วยการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ เครื่องสูบน้ำหอยโข่ง การระบายน้ำผ่านทางผ่านปลา และการขุดลอกตะกอนดินทรายในลำน้ำ เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่เหนือฝาย ลดความเสี่ยงต่อปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ใกล้เคียง โดยจะสามารถช่วยระบายน้ำในช่วงที่น้ำหลากได้ถึง 50 ลบ.ม /วินาที

แผนระยะยาว (เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2570 เป็นต้นไป) ประกอบด้วยการก่อสร้างอาคารระบายน้ำฉุกเฉิน จำนวน 2 ช่อง พร้อมพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก ซึ่งอยู่ระหว่างการเสนอขอรับงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2569 โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2570 ซึ่งโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำธงน้อยมีเป้าหมายในการผลิตพลังงานไฟฟ้าสะอาดประมาณ 11.10 ล้านหน่วยต่อปี ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 6,438 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี และมีความสามารถในการช่วยระบายในช่วงน้ำหลากได้ถึง 220 ลบ.ม/วินาที  พร้อมทั้งสามารถจัดตั้งกองทุนพัฒนาไฟฟ้าเพื่อสนับสนุนการพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าได้อีกด้วย

ดร.หิมาลัย ได้กล่าวอีกว่า ถึงแม้จากผลการวิเคราะห์ทางอุทกวิทยา โครงการฝายธงน้อยมิใช่สาเหตุของน้ำท่วมในพื้นที่เขตเทศบาลเมืองน่าน  ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจและร่วมบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชน ได้บูรณาการความช่วยเหลือร่วมกับทุกภาคส่วน และขอยืนยันเจตนารมณ์ในการดำเนินโครงการภายใต้หลักความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยจะดำเนินการควบคู่กับมาตรการช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อน และสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง

ทีมงานแอนิเมชัน ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ โพสต์!!ขอบคุณ ‘พี่เกลือ เป็นต่อ’ ให้เกียรติพากย์บท ‘พระยาทรงฯ’ ชี้!! ‘ห้าว-ปากแจ๋ว’ สมใจ ยินดีมากที่ได้ร่วมงาน

(23 มี.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘2475 Dawn of Revolution’ ได้โพสต์ข้อความประทับใจ เกี่ยวกับ ‘พี่เกลือ เป็นต่อ’ โดยมีใจความว่า ...

พี่เกลือ กับ แอนิเมชัน ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ

ตอนเราคิดจะหาคนพากย์ งานแอนิเมชัน๒๔๗๕ เรามีพี่นกสินจัยและฉัตรชัย ที่วางไว้ตั้งแต่ต้น รวมทั้ง พี่ดี้และพี่สุเมธ ที่ยินดีร่วมงานอย่างมาก ซึ่งพี่ๆเหล่านี้ เราได้คุยไว้ตั้งแต่ตอนทำงานเพลงในหลวงครับ 

พี่เกลือล่ะมาไง?

งานหินของแอนิเมชันคือ เราต้องหาคนพากย์เป็น “ลุงดอน” ซึ่งเป็นผู้ดำเนินเรื่อง และมีบทพูดเยอะมาก สุดท้ายเราได้อาวอ มาพากย์และช่วยคุมงานพากย์ทั้งหมดครับ 

ระหว่างพากย์กันอยู่ อาวอแกก็อยากได้ดารามาเพิ่ม จึงลองโทรหาพี่เกลือ ถามว่าว่างมั้ย มาพากย์การ์ตูนกันหน่อย ปกติพี่เกลือจะไม่ค่อยว่าง งานเยอะ แต่วันนั้นพี่เกลือว่างพอดี และบ้านก็อยู่ไม่ไกล พี่เกลือเลยแวะมาแจม 

มาถึงห้องอัดก็นั่งเลือกว่าจะให้พากย์เป็นอะไร (เลือกกันสดๆหน้างาน) เราก็เห็นบทพระยาทรงฯ คู่ปรับปรีดีที่เป็นคนห้าวๆ และปากแจ๋ว ก็เลยให้พี่เกลือพากย์บทพระยาทรงฯ ซึ่งก็ออกมาปากแจ๋วสมใจครับ  (และพี่เกลือยังพากย์เป็นทหารหนวดที่ชอบชักปืนขู่ด้วยครับ) 

พากย์เสร็จผมก็ใส่ซองให้พี่เกลือ แกยังถามว่า ได้เงินด้วยเหรอ ผมก็บอกว่าต้องให้สิครับ (ถึงจะมีไม่มาก แต่ต้องให้) และผมไม่กล้ารบกวนมาก เลยขอถ่ายรูปเก็บไว้รูปเดียว 

หลังจาก แอนิเมชัน ออก ดูพี่เกลือจะประทับใจมาก คอยแชร์คอยติดตามผลงานเราตลอด และถ้ามีการทำภาคต่อหรือเรื่องใหม่ พี่เกลือบอกว่ายินดีมาร่วมงานกันอีก 

ขอขอบคุณพี่เกลือมาอีกครั้งครับ 

ปล.พี่เกลือได้ค่าพากย์เท่าพี่ดี้เลยครับ

‘สตม.’ แกะรอยรวบ!! หนุ่มจีนแปลงกาย เปลี่ยนชื่อสกุล สวมสัญชาติวานูอาตู ท้าทายระบบไบโอเมตริกซ์ สุดท้ายพบเป็นผู้ร้ายหนีคดียักยอกเงิน 1.1 หมื่นล้าน

(22 มี.ค. 68) จากกรณีที่ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.ปรัชญา ประสานสุข รอง ผบช.สตม. สั่งการให้หน่วยงานในสังกัด ยกระดับการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม โดยเฉพาะความผิด ที่เกี่ยวกับคนเข้าเมือง และชาวต่างชาติที่มีลักษณะเป็นอาชญากร หรือเป็นสมาชิกองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยสั่งการและกำชับให้เพิ่มความเข้มในการ ตรวจสอบบังคับใช้กฎหมาย  โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ที่รับผิดชอบงานสืบสวนเน้นลงพื้นที่สืบสวนหาข่าวอย่างต่อเนื่อง

โดยตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา สตม. มีการเรียกประชุมชุดสืบสวนในการลงพื้นที่สืบสวน หาข่าว หลังได้รับข้อมูลจากสายลับว่ามีเป้าหมาย บุคคลต่างด้าวสัญชาติจีนชื่อนายจางเหว่ย (นามสมมติ) ลักลอบหลบหนีเข้าเมือง หรือกระทำความผิดอื่นๆ ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ และมาหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครชั้นใน หลังได้รับสั่งการดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองชุดสืบสวน ได้นำข้อมูลโดยเฉพาะใบหน้าของเป้าหมายมาตรวจสอบกับฐานข้อมูลไบโอเมตริกซ์ พบความน่าสงสัยคือข้อมูลเชิงไบโอเมตริกซ์ของ features ต่างๆ ในใบหน้าของนายจางเหว่ย ไปสอดคล้องตรงกันกับ บุคคลต่างด้าวอีกคนหนึ่ง คือนายตู้หนาน สัญชาติวานูอาตู ซึ่งเป็นประเทศหมู่เกาะเล็กๆในแถบโอเชียเนีย ชุดสืบสวนลงความเห็น ร่วมกันว่า นายจางเหว่ย กับนายตู้หนาน เป็นบุคคลคนเดียวกัน จึงได้แบ่งหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์และมอนิเตอร์ระบบการแจ้งที่พักอาศัย และระบบการขอต่อวีซ่าของคนต่างด้าว ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่ครบกำหนดอนุญาต ของนายตู้หนาน ไม่พบว่ามีการยื่นคำร้องขออยู่ต่อ ในราชอาณาจักรแต่อย่างใด นอกจากนี้ชุดสืบสวนยังพบ ความเคลื่อนไหวโดยมีการเช็คอินโรงแรมหรูแห่งหนึ่งย่านราชประสงค์ จึงนำกำลังไปตรวจสอบและเฝ้าสังเกตการณ์โดยกระจายกำลังบริเวณ โถงล็อบบี้และหน้าลิฟต์ของโรงแรม แต่คนต่างด้าวระมัดระวังตัว และไม่ยอมลงจากห้องดังกล่าว แต่จะใช้วิธีสั่งอาหารขึ้นไป เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องมีการสับเปลี่ยนกำลังในการเฝ้าสังเกตการณ์อย่างต่อเนื่องเรื่อยมา

จนกระทั่งวันที่ 21 มี.ค. เวลาประมาณ 14.30 น. เจ้าหน้าที่พบบุคคลต่างด้าวรายหนึ่ง มีตำหนิรูปพรรณตรงกับที่สายลับให้ข้อมูล จึงแสดงตัวขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง คนต่างด้าวซึ่งพยายามสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ด้วยภาษาจีน ให้การในเบื้องต้นว่าตนไม่ใช่คนจีน และหนังสือเดินทางของตนหาย ต่อมาให้การกลับไปมาว่าจริงๆแล้วตนเป็นคนสัญชาติวานูอาตู พร้อมแสดงรูปถ่ายหนังสือเดินทางวานูอาตู เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลพบว่าผู้ถูกจับชื่อ นาย ตู้หนาน อายุ 30 ปี สัญชาติวานูอาตู ประเภทวีซ่านักท่องเที่ยว (60 วัน) ปัจจุบันการอนุญาตสิ้นสุดลงแล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ถูกจับว่า “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” และเจ้าหน้าที่ได้แจ้งสิทธิ์ของผู้ถูกจับให้ทราบแล้ว และได้แจ้งให้ทราบถึงการถูกจับกุมแล้ว จากนั้นจึงควบคุมตัวผู้ถูกจับทำบันทึกจับกุมส่ง พงส.ดำเนินคดีตามกฎหมาย

อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อเกี่ยวกับหนังสือเดินทางวานูอาตูที่นายจางเหว่ย อ้างว่าทำหายไป เจ้าหน้าที่จึงได้ประสานข้อมูลกับองค์กรบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศ จนได้ข้อมูลยืนยันว่า บุคคลต่างด้าวรายดังกล่าว เป็นบุคคลเดียวกับนายจางเหว่ย (นามสมมติ) บุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน ที่ก่อนหน้านี้ช่วงปี 2567 ได้ร่วมกับพวก ก่อคดียักยอกเงินจากบริษัทก่อสร้างชื่อดังในมณฑลซานตง ที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 2,400 ล้านหยวน หรือประมาณ 11,000 ล้านบาท จึงได้ใช้ระบบตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์ไบโอเมตริกซ์ ตรวจเปรียบเทียบ ผลการตรวจสอบพบเป็นบุคคลเดียวกันจริง ซึ่ง สตม.จะได้แจ้งข้อมูลดังกล่าวไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปเพื่อนำตัวนายจางเหว่ยไปดำเนินคดีตามกฎหมาย

ด้าน พล.ต.ต.ปรัชญา ประสานสุข รอง ผบช.สตม. บอกว่า ปฏิบัติการดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่อง มาจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศตรวจคนเข้าเมือง และระบบไบโอเมตริกซ์ เป็นเครื่องมือช่วยเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน รวมไปถึงเบาะแสสำคัญ จากการแจ้งของพี่ประชาชน จนนำไปสู่ความสัมฤทธิ์ผลในการจับกุม คนร้ายข้ามชาติรายสำคัญที่หลบหนีคดี และใช้ประเทศไทยเป็นที่ซ่อนตัวในครั้งนี้

‘ผบ.ตร.’ สั่งทบทวน!! ‘ส.ต.อ.’ ใส่ขาเทียม สอบติด ‘นายร้อย’ ถูกปัดตก ชี้!! ต้องคำนึงถึงการปฏิบัติหน้าที่ที่ผ่านมา ความตั้งใจในการรับราชการ

(22 มี.ค. 68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งการในการประชุมบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ที่ผ่านมา ให้ฝ่ายบริหารของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ , กองบัญชาการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาทบทวนผลการสอบเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร ของ ‘ส.ต.อ.’ นายหนึ่ง ใส่ขาเทียม ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างระยะเวลาที่ยื่นอุทธรณ์ได้ ขอให้พิจารณาด้วยความละเอียด รอบคอบ มีความเหมาะสมตามสายงาน เป็นไปตามระเบียบและกฎหมาย

ให้คำนึงถึงการปฏิบัติหน้าที่ที่ผ่านมา ความตั้งใจในการรับราชการ แล้วรายงานให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทราบโดยด่วน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top