Sunday, 11 May 2025
NEWS FEED

‘ผู้บริหาร SPUTNIK’ ชี้ AI เป็นความท้าทายใหญ่ในศตวรรษที่ 21 ท่ามกลางอุตสาหกรรมสื่อที่ต้องปรับตัวตอบโจทย์ผู้บริโภค

นายวาซิลี พุชคอฟ ผู้อำนวยการด้านความร่วมมือระหว่างประเทศของสำนักข่าว SPUTNIK กล่าวในงานสัมมนา THE FUTURE JOURNALISM 2025 'AI กับ สื่อสารศาสตร์ยุคใหม่' ซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือของสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES จากประเทศไทย, สำนักข่าว SPUTNIK ของรัสเซีย และวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในอุตสาหกรรมสื่อสารมวลชนของทั้ง 2 ประเทศ ว่า ปัจจุบัน บริบทของอุตสาหกรรมสื่อสารมวลชน กำลังเข้าสู่ยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว  สิ่งที่สื่อยักษ์ใหญ่กำลังทำอยู่ในขณะนี้ กำลังจะกลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัยในอนาคตอันใกล้นี้ 

อีกทั้ง อยู่ที่ผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมสื่อ ที่จะกำหนดทิศทางว่าจะเป็นไปอย่างไร เพราะไม่ว่าประเทศไหนในโลกไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย หรือสหรัฐ อเมริกา ล้วนตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน

อย่างที่ทราบกันดีว่า ในอุตสาหกรรมสื่อสารมวลชนในยุคที่ผ่านมานั้น จะใช้วิธีให้ผู้สื่อข่าวส่งข่าวเข้ามาสู่ถังข่าว หรือการซื้อข่าวจากสำนักข่าวต่าง เพื่อนำมาเสนอต่อ ซึ่งปัจจุบันวิธีการแบบนี้เริ่มไม่เป็นที่นิยม เพราะขาดทุน จากต้นทุนที่ซื้อขึ้น และไม่มีใครอยากจะซื้อข่าวกันแล้ว ดังนั้นการจะจ้างบุคลากรผลิตข่าวจากทั่วโลกจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไปและแน่นอนว่า วิชาชีพสื่อสารมวลชนจึงไม่มีความมั่นคงอีกต่อไป โดยเห็นได้จากการที่สำนักข่าวหลายแห่งในระดับโลกที่ปิดตัวลงอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่ SPUTNIK เป็นสำนักข่าวที่รัฐให้เงินทุนสนับสนุน เพราะต้องยอมรับว่า ในศตวรรษที่ 21 นี้ เป็นเรื่องยากที่จะหาเงินทุนสนับสนุนจากภาคเอกชน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งเงินสนับสนุนจากรัฐ ในขณะเดียวกัน ก็มีเทคโนโลยีใหม่ในการติดตามข่าวไม่ว่าจะเป็นทางเว็บไซต์หรือโทรศัพท์มือถือ 

ทั้งนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทาง SPUTNIK ได้ทุ่มเม็ดเงินจำนวนมากในการลงทุนพัฒนาสื่อในช่องทางออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หรือโทรศัพท์มือถือ ในรูปแบบ Mobile Application เพื่อให้บริการถึง 30 ภาษา

แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้พัฒนาสื่อช่องทางออนไลน์มาหลายปี จึงได้พบข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีใครที่จะติดตามสื่อออนไลน์ รวมถึงการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันสำนักข่าวไว้ในมือถือ ซึ่งเป็นแนวโน้มเดียวกันทั่วโลกที่ไม่พึ่งการหาข่าวจากช่องทางนี้ช่องทางเดียวอีกแล้ว

“กล่าวได้ว่า เป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าเลยสำหรับ SPUTNIK ที่ลงทุนไปกับการพัฒนา Mobile Application และการพัฒนาเว็บไซต์ เพราะไม่มีใครใช้ตามที่ประเมินไว้ ส่วนช่องทางโซเชียลมีเดีย กลายเป็นช่องทางที่ไม่ต้องเสียเงิน แต่ในขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่า โซเชียลมีเดียก็มีเจ้าของแพลตฟอร์มซึ่งก็เป็นเรื่องของธุรกิจ จึงไม่มีความเป็นอิสระในการนำเสนอข่าวสาร เพราะต้องยึดตามกฎที่เจ้าของแพลตฟอร์มนั้นๆ ตั้งไว้”

นอกจากนี้ ในศตวรรษที่ 21 นี้ เทคโนโลยี AI ยังได้สร้างผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสื่อสารมวลชนอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มช่างภาพ ดีไซน์ และแปลข่าว ซึ่งเทคโนโลยี AI สามารถทำหน้าที่แทนได้แล้วในระดับหนึ่ง 

และหากมองถึงในแง่การพัฒนาอุตสาหกรรมข้อมูลข่าวสาร เทียบประเทศไทยกับรัสเซีย จะเห็นว่าประเทศไทยมีความก้าวหน้า แต่ก็ยังมีความเป็นอนุรักษ์นิยมอยู่บ้าง ดังที่เห็นได้จากการยังคงมีหนังสือพิมพ์อยู่ ในขณะที่ในมอสโกแทบจะไม่มีหนังสือพิมพ์วางขายแล้ว โดยเฉพาะหลังจากสถานการณ์โควิดที่สำนักพิมพ์เกือบทั้งหมดยุติการพิมพ์ไปแล้ว

หรือแม้กระทั่งโทรทัศน์ก็แทบจะไม่ดูกันแล้วในรัสเซีย อาจจะมีเพียงกลุ่มผู้สูงวัยเท่านั้นที่ยังคงดูข่าวผ่านโทรทัศน์อยู่ โดยหันมาใช้โปรแกรม Telegram ในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างแพร่หลาย ซึ่งสื่อในประเทศรัสเซียทุกรายจะต้องมีช่องทาง Telegram ไม่เช่นนั้นจะไม่มีตัวตนอยู่บนสารบบสื่อ 

เพราะฉะนั้น ในวงการสื่อสารมวลชนแทบจะไม่มีอะไรแน่นอน และอาจจะไม่คุ้มค่าในการลงทุนใหม่ๆ ในวงการสื่อ หรือแม้แต่การลงทุนด้าน Ai ก็ไม่แน่ว่าในอนาคตจะสามารถตอบโจทย์ในแง่ของการนำเสนอข่าวได้หรือ ไม่อีกทั้งยังพบว่า AI เป็นความท้าทายและมีปัญหาอยู่พอสมควร โดยเฉพาะการใช้ทำข่าวปลอม ซึ่งหลาย ๆ ประเทศกำลังเผชิญอยู่ ถ้ามองโลกในแง่ดีก็คือการเปลี่ยนผ่านไปสู่สิ่งใหม่ ๆ แต่หากมองในแง่ร้าย ก็ต้องยอมรับว่า สิ่งนี้กำลังจะทำลายวงการสื่อสารมวลชนได้เช่นเดียวกัน

“สำหรับในส่วนของการนำเสนอข่าวของ SPUTNIK นั้น จะมีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนจะนำเสนอข่าวออกไป โดยยึดมั่นในข้อเท็จจริงเป็นสิ่งสำคัญ โดยบรรณาธิการข่าวแต่ละคนจะต้องตระหนักในเรื่องเหล่านี้ เพื่อป้องกันการนำเสนอข่าวปลอมที่อาจจะสร้างความเสียหายให้กับผู้ที่รับรู้ข้อมูลข่าวสารนั้นๆ และจะต้องไม่รับฟังแค่ข่าวด้านเดียว ต้องฟังอย่างรอบด้านก่อนจะนำเสนอออกไป เพราะบางครั้งข่าวที่ได้รับมานั้นก็ไม่ใช่ข่าวปลอมไปทั้งหมด แต่เป็นการหยิบเอามานำเสนอในมุมของสื่อนั้นๆ มากกว่า เช่น สื่อรัสเซียนำเสนอในแง่มุมนี้ ส่วนสื่อตะวันตกหรือสหรัฐฯ อาจจะเสนอในมุมที่แตกต่างกันไป ในข่าวชิ้นเดียวกันนั้น เป็นต้น แต่ถึงอย่างไรก็ตามแม้ว่า เทคโนโลยี AI อาจจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสื่ออย่างหนัก แต่เชื่อว่าสิ่งที่มนุษย์เหนือกว่า ก็คือการปรับตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำได้เป็นอย่างดีมาตลอดนั่นเอง”

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติลงนามคำสั่งแต่งตั้งโฆษก รองโฆษก และคณะทำงานโฆษก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

(21 มี.ค.68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงนามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 177/2568 แต่งตั้งโฆษก รองโฆษก และคณะทำงานโฆษก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป ดังนี้

พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล เป็น โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 เป็น รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (1) 
พล.ต.ต.วรศักดิ์ พิสิษฐบรรณกร ผู้บังคับการกองสารนิเทศ เป็น รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (2)

ทั้งนี้ เพื่อให้การประชาสัมพันธ์ เผยแพร่การปฏิบัติหน้าที่ราชการในภาพรามของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นไปด้วยความถูกต้อง รวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์ และมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติและพี่น้องประชาชน

THE STATES TIMES EARTH ร่วมแชร์การทำสื่อเพื่อสิ่งแวดล้อม ให้แก่น้องๆ จากโครงการเยาวชนรักษ์โลก ‘We think for the Earth ปี 2’

THE STATES TIMES EARTH ร่วมถ่ายทอดความรู้เรื่อง Climate Change และภาวะโลกร้อน ให้แก่น้อง ๆ ในโครงการเยาวชนรักษ์โลก ‘We think for the Earth ปี 2’ หวังสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสาเหตุ ผลกระทบ และแนวทางการรับมือและแก้ไข พร้อมนำทีมทำกิจกรรม Workshops คิด-ถ่าย-แชร์ ระดมความคิดของเยาวชนเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ TikTok 

เมื่อวานนี้ (20 มี.ค. 68) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน พร้อมด้วย กองส่งเสริมการพัฒนาและสวัสดิการเด็ก เยาวชน และครอบครัว จัดพิธีเปิดโครงการเยาวชนรักษ์โลก ‘We think for the Earth ปี 2’ กิจกรรมส่งเสริมศักยภาพเยาวชนสู่ความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ระหว่างวันที่ 19-21 มีนาคม 2568 ณ โรงแรมตรัง กรุงเทพฯ

นางอภิญญา ชมภูมาศ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน มอบหมายให้ นางศิริลักษณ์ มีมาก รองอธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน เป็นประธานเปิดโครงการ โดยมีนางสาวอรนุชา มงคลรัตนชาติ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการพัฒนาและสวัสดิการเด็ก เยาวชน และครอบครัว กล่าวรายงานวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนและเครือข่ายเด็กและเยาวชนด้านสิ่งแวดล้อม ได้เรียนรู้สถานการณ์โลกด้านสิ่งแวดล้อม Climate Change และสามารถนำความรู้ ประสบการณ์ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้กับการทำกิจกรรมสิ่งแวดล้อมในชุมชนของตน 

รวมถึงนำไปถ่ายทอดต่อชุมชน ในฐานะ Youth Ambassador For The Earth : YAE โดยการสร้างยุวฑูตด้านสิ่งแวดล้อมในการขับเคลื่อนกิจกรรมพัฒนาสิ่งแวดล้อมในสังคมไทย และสังคมโลก 

โดยกิจกรรมภายในงานมีการเยี่ยมชมบูธนิทรรศการ ‘มือน้อยรัก(ษ์)โลก Child save the word’ โดย สภาเด็กและเยาวชน ทั้ง 4 ภาค (77 จังหวัด) รวมถึง สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย แกนนำเครือข่ายด้านเด็กและเยาวชน

นอกจากนี้ ทีมนักข่าวจาก THE STATES TIMES EARTH สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสิ่งแวดล้อม ยังได้ร่วมให้ความรู้เรื่องเกี่ยวกับการทำสื่อออนไลน์ในหัวข้อ Climate Change และภาวะโลกร้อน เพื่อหวังสร้างความตระหนักรู้ถึงสาเหตุ ผลกระทบ และแนวทางการแก้ปัญหา ส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนอย่างถูกต้อง เพื่อให้มีความพร้อมในการปรับตัวและรับมือกับผลกระทบ และสร้างความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา โดยเริ่มจากระดับบุคคล ขยายสู่ระดับท้องถิ่น และระดับประเทศ 

พร้อมทั้งยังจัดกิจกรรม Workshops คิด-ถ่าย-แชร์ ระดมความคิดของเยาวชนเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ TikTok เป็นพื้นที่สื่อกลางในการนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ เพื่อส่งต่อไอเดียรักษ์โลกให้แก่ผู้ใช้งานรายอื่น ๆ เนื่องจากปัจจุบัน TikTok ถือเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ทรงอิทธิพลและมีผู้ใช้งานจำนวนมากทั่วโลก ซึ่งนอกจากจะสร้างความบันเทิง เข้าถึงผู้ใช้งานได้จำนวนมากแล้ว ยังมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนได้ด้วย

ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ตรวจเยี่ยมการฝึกเรือกรรเชียงและการประเมินการฝึกทหารราบ ทหารใหม่ ผลัด 4/67

เมื่อวันที่ (19 มี.ค.68) เวลา 10.00 น. พล.ร.อ.พิจิตต  ศรีรุ่งเรือง ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ และคณะฯ ตรวจเยี่ยมการฝึกเรือกรรเชียงและการประเมินการฝึกทหารราบ โดยมี น.อ.ทิวา  อ่อนลออ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ (ผบ.ศฝท.ยศ.ทร.) และ น.อ.ยุทธนา  ชูธงชัย ผู้บังคับการโรงเรียนชุมพลทหารเรือ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ (ผบ.รร.ชุมพลฯ ยศ.ทร.) ให้การต้อนรับ ณ ท่าเรือโรงเรียนชุมพลฯ ยศ.ทร. อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

การตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือกล่าวให้โอวาทแก่นักเรียนพลกองประจําการและผู้เข้ารับการฝึกเรือกรรเชียง ณ บริเวณท่าเรือโรงเรียนชุมพลฯ ยศ.ทร. โดยมีใจความสำคัญว่า “…การฝึกความเป็นชาวเรือ ที่ต้องมีความอดทน ความสามัคคี เสมือนการสร้างเหล็กในคน…”  จากนั้น ผช.ผบ.ทร. เดินทางไปตรวจเยี่ยมการประเมินการฝึกทหารราบบริเวณลานสวนสนาม ศฝท.ยศ.ทร. เพื่อตรวจสอบการจัดการฝึกอบรมทหารใหม่ของ ศฝท.ยศ.ทร. ในฐานะหน่วยฝึกทหารกองประจําการสังกัดกองทัพเรือ

พร้อมตรวจดูความเรียบร้อยในการฝึกให้เป็นไปตามมาตรฐานของการฝึกอบรม มีขั้นตอนการปฏิบัติที่ถูกต้องและสอดคล้องกับนโยบายของผู้บัญชาการทหารเรือ ประจำปีงบประมาณ 2568 ในเรื่องของ Navy-Safety 2025 ซึ่งครอบคลุมการฝึกอบรมที่เป็นไปตามนโยบายของผู้บังคับบัญชา และผู้เข้ารับการฝึกต้องไม่ได้รับบาดเจ็บหรือสูญเสีย 

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สนับสนุนค่าพาหนะ และเครื่องอุปโภคบริโภค ให้แก่ผู้รับขาเทียม ช่างและอาสาสมัคร ในโครงการออกหน่วยทำขาเทียมพระราชทานเคลื่อนที่ ครั้งที่ 173 จังหวัดบุรีรัมย์

(21 มี.ค.68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำทีมแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ ลงพื้นที่ มอบค่าพาหนะ พร้อมด้วยเครื่องอุปโภคบริโภค  ประกอบด้วย ข้าวสำเร็จรูป อาหารสำเร็จรูป ขนม ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ครีมอาบน้ำ โลชั่นทากันยุง ทิชชูเปียก ทิชชูแห้ง และถุงขยะ ให้แก่ผู้รับขาเทียม ช่าง อาสาสมัคร และทหารผ่านศึก ที่เข้าร่วมโครงการออกหน่วยทำขาเทียมพระราชทานเคลื่อนที่ ครั้งที่ 173 รวมจำนวน 280 คน รวมงบประมาณทั้งสิ้น 285,600 บาท (สองแสนแปดหมื่นห้าพันหกร้อยบาทถ้วน) โดยมี นายจำเริญ แหวนเพชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายแพทย์ชาญชัย พจมานวิพุธ นายแพทย์ชำนาญการ พลเอก เดชนิธิศ เหลืองงามขำ ผู้อำนวยการองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก และผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่างๆ ร่วมในพิธี ณ โดมอเนกประสงค์ วิทยาลัยเทคนิคบุรีรัมย์ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์

การสนับสนุนโครงการออกหน่วยทำขาเทียมพระราชทานเคลื่อนที่  มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ให้การสนับสนุน อย่างต่อเนื่องเรื่อยมา ตั้งแต่การดำเนินการครั้งที่ 165 รวม 9 จังหวัด คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท

ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

‘สาธิต’ ชี้ มือตบพยาบาลระยองได้รับโทษเหมาะสมแล้ว หลังศาล สั่งจำคุก 1 เดือน 15 วัน พร้อมชดใช้ 77,273 บาท

เมื่อวันที่ (20 มี.ค. 68) นายสาธิต ปิตุเตชะ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข โพสต์เฟซบุ๊กว่า เมื่อวานนี้ ศาลแขวงระยองสั่งกักขังมือตบพยาบาล 1 เดือน 15 วัน ชดใช้ 77,273 บาท

พร้อมระบุข้อความว่า  ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่ พนักงานอัยการคดีศาลแขวงระยอง เป็นโจทก์ ฟ้อง นายสรรค์พงศ์ เพชรหนุน อายุ 42 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐาน ทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือได้กระทำการตามหน้าที่จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ

กรณีนายสรรค์พงศ์ก่อเหตุตบหน้าพยาบาลผู้เสียหาย 2 ครั้ง ภายในโรงพยาบาลระยอง เนื่องจากโมโหที่พยาบาลบอกแม่เด็กไม่ควรพาลูกเล็กเข้าไปเยี่ยมยายที่ป่วยไข้หวัดใหญ่ติดเชื้อลงปอด ทำให้นายสรรค์พงศ์จำเลยไม่พอใจถึงกับใช้กำลังทำร้ายพยาบาลดังกล่าว จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296 ฐานทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือได้กระทำการตามหน้าที่จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ลงโทษจำคุก 3 เดือน รับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือน 15 วัน ไม่มีเหตุรอการลงโทษ แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนจึงให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังมีกำหนด 1 เดือน 15 วัน 

พร้อมให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่พยาบาลผู้เสียหาย 77,273 บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 5 ของต้นเงิน 19,113 บาท ต้นเงิน 40,000 บาท ต้นเงิน 10,000 บาท และต้นเงิน 8,160 บาท โดยหักออกจากเงินที่จำเลยวางบรรเทาความเสียหาย 40,000 บาท

ส่วนตัวผมเห็นว่าเหมาะสม มีเหตุมีผลแล้ว จากคำพิพากษาของศาลแขวงจังหวัดระยอง ครับ

กองทัพเรือไทย ส่งหมู่เรือฝึก Blue Strike 2025 กระชับความร่วมมือทางทหารกับจีน

พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ เป็นประธานในพิธีส่งหมู่เรือฝึก Blue Strike 2025 ณ เรือหลวงอ่างทอง ท่าเรือแหลมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมี นาวาเอก บุญเกิด มูลละกัน ผู้บังคับหน่วยฝึกนาวิกโยธิน ร่วมให้การต้อนรับ

การฝึกผสม Blue Strike 2025 เป็นการฝึกทวิภาคีระหว่างกองทัพเรือไทยและกองทัพเรือจีน จัดขึ้น ณ เมืองจ้านเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 18 มีนาคม ถึง 10 เมษายน พ.ศ. 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกองทัพเรือทั้งสองประเทศ มุ่งเน้นการฝึกปฏิบัติการผสมระดับยุทธวิธีทางเรือและนาวิกโยธิน

หมู่เรือฝึกของไทยประกอบด้วย เรือหลวงอ่างทอง กำลังพลนาวิกโยธิน และนักเรียนนายเรือชั้นใหม่ การฝึกในครั้งนี้จะครอบคลุมการฝึกหลากหลายรูปแบบ อาทิ การฝึกแลกเปลี่ยนประสบการณ์ (Cross Training Exercise: CTX) การฝึกแลกเปลี่ยนผู้ชำนาญการเฉพาะทาง (Subject Matter Expert Exchange: SMEE) และการฝึกปฏิบัติการร่วมในทะเล โดยเฉพาะการบรรเทาสาธารณภัย (Humanitarian Assistance and Disaster Relief: HADR) ทั้งในท่าและในทะเล

การเข้าร่วมการฝึกผสม Blue Strike 2025 เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของกองทัพเรือไทยในการเสริมสร้างความร่วมมือทางทหารกับมิตรประเทศ และพัฒนาขีดความสามารถของกำลังพลให้มีความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจต่างๆ

ผบช.ภ.2 ชมเชย รอง ผกก.สืบ พนัสนิคม เป็นผู้นำทุ่มเทจับคนร้ายจนบาดเจ็บ เยี่ยมให้กำลังใจ ยกย่องเป็นแบบอย่าง

เมื่อวันที่ (20 มี.ค.68) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) เยี่ยมให้กำลังใจ พ.ต.ท.ภัทรธน เจริญผล รอง ผกก.สส.สภ.พนัสนิคม จว.ชลบุรี ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ไล่ติดตามคนร้ายคดีฆ่าผู้อื่น รักษาตัว ที่โรงพยาบาลสมิติเวช ชลบุรี โดย ผบช.ภ.2 ได้มอบเงินช่วยเหลือจากกองทุน police award และมอบกระเช้าเยี่ยมไข้เป็นการให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ ชื่นชมที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นผู้นำ เสียสละทุ่มเทจนสามารถจับกุมคนร้ายได้

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 เวลา ประมาณ 21.00 น. พ.ต.ท.ภัทรธน ได้ติดตามผู้ต้องหาคดีฆ่าผู้อื่น จนสามารถจับผู้ต้องหาได้ แต่เนื่องจากสภาพที่เกิดเหตุเป็นที่มืดมาก ทำให้ พ.ต.ท.ภัทรธนฯ ลื่นล้มได้รับบาดเจ็บ ขาซ้ายหัก 1 ท่อน เส้นเอ็นขาด และ เบ้าข้อเท้าหลุด โดยคดีนี้เกิดขึ้นในวันเดียวกัน (19 มีนาคม 2568) มีผู้พบชายได้รับบาดเจ็บ ถูกยิงได้รับบาดเจ็บในพื้นที่ตำบลนามะตูม อ.พนัสนิคม และเสียชีวิตในเวลาต่อมา พ.ต.ท.ภัทรธน นำกำลังฝ่ายสืบสวนสืบทราบตัวผู้ก่อเหตุคือนายดอก (นามสมมติ) จึงติดตามจับกุมได้พร้อมอาวุธปืนยาวประดิษฐ์เอง ดำเนินคดีในข้อหาฆ่าผู้อื่น, มีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, พาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วน

ผบช.ภ.2 กล่าวว่า ชมเชยและขอบคุณ พ.ต.ท.ภัทรธน ที่ทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถเพื่อจับกุมคนร้าย เป็นแบบอย่างของการทำหน้าที่ตำรวจ ด้วยความทุ่มเท อย่างไม่เกรงกลัวภัย และขอให้หายจากอาการบาดเจ็บเป็นปกติโดยเร็ว

ก.วัฒนธรรม ดัน 'พระปรางค์วัดอรุณฯ' ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ชู สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมชิ้นเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์

(20 มี.ค. 68) นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม ครั้งที่ 1/2568 โดยมี นางโชติกา อัครกิจโสภากุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร ผู้ทรงคุณวุฒิและอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ศูนย์ประชุม ชั้น 8 อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม และผ่านระบบออนไลน์ Zoom Meeting

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม ครั้งที่ 1/2568 ที่ประชุมได้พิจารณาในวาระต่างๆ ดังนี้ การนำเสนอพระปรางค์ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เพื่อขอบรรจุเข้าสู่บัญชีชั่วคราว (Tentative List) ในชื่อ “พระปรางค์ วัดอรุณราชวราราม อัตลักษณ์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (Phra Prang of Wat Arun Ratchawararam : The Masterpiece of Krung Rattanakosin)” ซึ่งเป็นตัวแทนของสถาปัตยกรรมในพุทธศาสนาประเภทพระปรางค์ที่มีความโดดเด่นที่สุด เป็นอัตลักษณ์หนึ่งเดียวของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย คุณสมบัติที่เลือกนำเสนอตรงตามเกณฑ์มรดกโลกข้อที่ 1 และข้อที่ 2 คือ เป็นผลงานสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมชิ้นเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่ได้รับอิทธิพลมาจากพระปรางค์ในศิลปะอยุธยา และพัฒนามาเป็นลักษณะเฉพาะของพระปรางค์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในสมัยรัตนโกสินทร์

“ขั้นตอนการนำเสนอแหล่งมรดกเพื่อขอบรรจุรายชื่อในบัญชีชั่วคราว หลังจากนี้ต้องเสนอให้คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบก่อนนำเสนอเอกสารไปยังศูนย์มรดกโลกเพื่อให้รับรองบรรจุรายชื่อในบัญชีเบื้องต้น ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ช่วงเดือนมิถุนายน 2568 นี้” รมว.วธ. กล่าว

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวอีกว่า ที่ประชุมได้พิจารณากำหนดกรอบเวลาการนำส่งเอกสารขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกฉบับสมบูรณ์ (Nomination Dossier) ของแหล่งมรดกวัฒนธรรมในบัญชีชั่วคราว เนื่องจากการส่งเอกสารฯ (Nomination Dossier) รอบวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2569 จะเป็นปีสุดท้าย ก่อนปรับเปลี่ยนเป็นระบบใหม่ที่ต้องมีการประเมินขั้นต้น (Preliminary Assessment) ประกอบกับข้อกำหนดที่ให้รัฐภาคีสามารถนำเสนอแหล่งเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลกได้เพียงปีละ 1 แหล่ง และจำกัดจำนวนแหล่งที่บรรจุเข้าสู่วาระการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกเพื่อพิจารณาการประกาศขึ้นทะเบียนมรดกโลกปีละไม่เกิน 33 แหล่ง คณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม จึงพิจารณากำหนดกรอบเวลาในการนำส่งเอกสารฯ ของแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมที่จะเสนอเข้าสู่กระบวนการพิจารณาภายในประเทศอย่างเป็นธรรม ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีแหล่งมรดกวัฒนธรรมในบัญชีชั่วคราว 4 แหล่ง ได้แก่ 1. กลุ่มเทวสถานปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำ และปราสาทปลายบัด 2. อนุสรณ์สถาน แหล่งต่าง ๆ และภูมิทัศน์วัฒนธรรมของเชียงใหม่ นครหลวงล้านนา 3. พระธาตุพนม กลุ่มสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์ และภูมิทัศน์ที่เกี่ยวข้อง และ 4. สงขลา และชุมชนที่เกี่ยวเนื่องริมทะเลสาบสงขลา

รมว.วธ. กล่าวว่า นอกจากนี้ ฝ่ายเลขาฯ ได้รายงานต่อที่ประชุมให้รับทราบ 2 เรื่อง ดังนี้ 1.การส่งเอกสารขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกฉบับสมบูรณ์ของแหล่งวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปยังศูนย์มรดกโลก ณ กรุงปารีส รอบวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ความคืบหน้าปัจจุบันศูนย์มรดกโลกได้ส่งสำเนาเอกสารฯ ดังกล่าวไปยัง สภาการโบราณสถานสากล (ICOMOS) องค์กรที่ปรึกษาของคณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งเป็นขั้นตอนกระบวนการตรวจประเมินแหล่งที่ขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยศูนย์มรดกโลกแจ้งให้ประเทศไทยเตรียมความพร้อมสำหรับลงพื้นที่ของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจประเมินศักยภาพและการบริหารจัดการแหล่งและอาจมีการขอข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาขึ้นทะเบียนมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญช่วงเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม 2569

2.ภารกิจการลงพื้นที่ของผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาแนะนำกรณีการประเมินผลกระทบต่อแหล่งมรดกโลกนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาจากโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงช่วงสถานีอยุธยา เมื่อเดือนมกราคม 2568 โดยได้ประชุมรับฟังข้อมูลร่วมกับทุกภาคส่วน ซึ่งข้อแนะนำเบื้องต้นของผู้เชี่ยวชาญเสนอให้ปรับปรุงรูปแบบโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ปรับลดขนาดและความสูงสถานีรถไฟความเร็วสูงและสันรางลง พร้อมทั้งเลื่อนตำแหน่งที่ตั้งอาคารสถานีรถไฟความเร็วสูงให้มีระยะห่างจากสถานีรถไฟอยุธยาที่เป็นโบราณสถานมากขึ้น นอกจากนี้ผลักดันแผนปฏิบัติการอนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาที่ถูกจัดเป็นแผนระดับ 3 ให้เป็นที่รับรู้ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน ซึ่งกรมศิลปากร จะประสานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เพื่อนำเสนอต่อ ครม. และกรมศิลปากรยังได้ประชุมหารือกับกรมโยธาธิการและผังเมืองเพื่อปรับปรุงผังเมืองรวมพระนครศรีอยุธยา โดยเฉพาะพื้นที่ด้านทิศตะวันออกของเกาะเมืองหรืออโยธยา ซึ่งเป็นบริเวณที่ตั้งโครงการรถไฟความเร็วสูงช่วงสถานีอยุธยาให้เป็นพื้นที่การอนุรักษ์โบราณสถานและปกป้องรักษาคุณค่าโดดเด่นระดับสากล (OUV) แหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา

จเรตำรวจแห่งชาติแถลงปฏิบัติการจับกุมหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวญี่ปุ่น และช่วยเหลือเหยื่ออย่างปลอดภัย

(20 มี.ค. 68) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ แถลงผลปฏิบัติการจับกุมหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวญี่ปุ่น และช่วยเหลือเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวญี่ปุ่น 2 คน คือ โดยมี นายนาโอโตะ วาตานาเบะ เลขานุการเอก และผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจ , พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , พล.ต.ต.ณัฐพงษ์ สัตยานุรักษ์ รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผู้กำกับการ (สอบสวน) หัวหน้ากลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ร่วมแถลง ณ ห้องสารสิน อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

กรณีแรก สืบเนื่องจากสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ประสานข้อมูลมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของไทย ขอให้จับกุมผู้ต้องสงสัยชาวญี่ปุ่นซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับของประเทศญี่ปุ่น คดีทำร้ายร่างกาย , ฉ้อโกง , ลักทรัพย์ และ พ.ร.บ.ควบคุมองค์กรอาชญากรรมญี่ปุ่น และขอให้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่่ในราชอาณาจักรของคนต่างด้าว ส่งตัวผู้ต้องสงสัยกลับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลบุคคลต่างด้าวสัญชาติญี่ปุ่นรายดังกล่าว พบว่า นายยามากูชิ ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับของประเทศญี่ปุ่น อันเป็นพฤติการณ์ที่สมควรถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 จึงได้ดำเนินการเพิกถอนการอนุญาตเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 จากการสืบสวนทราบว่า นายยามากูชิ เช่าที่พักอาศัยอยู่ที่ย่านสาธร กรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจึงเดินทางไปตรวจสอบและพบ นายยามากูชิ อยู่บริเวณด้านหน้าหมู่บ้านดังกล่าว จึงเข้าแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง และแจ้งให้ทราบถึงการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของคนต่างด้าว จากนั้นได้ควบคุมตัวไปยัง กก.3 บก.สส.สตม. (สวนพลู) เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย และประสานทางการญี่ปุ่นรับตัวกลับไปดำเนินคดีในประเทศญี่ปุ่นต่อไป

จากการสอบสวนพบว่า นายยามากูชิ เป็นอดีตแก๊งยากูซ่าในญี่ปุ่น และเป็นหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศกัมพูชา และเวียดนาม ที่หลอกลวงชาวญี่ปุ่น พบว่ามีการเดินทางเข้าออกประเทศไทยบ่อยครั้ง เช่าที่พักราคาสูงย่านสาธร ราคากว่า 180,000 บาทต่อเดือน และจากการสืบสวนขยายผลพบว่า นายยามากูชิ มีการจัดตั้งบริษัท ชื่อว่า “ลาสซามูไร เจแปน” ตั้งแต่ปี 2567 ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินการซื้อขายงานศิลปะราคาสูง ที่ใช้ภาษาอังกฤษทำให้สามารถซื้อขายได้ทั่วโลก น่าเชื่อว่าเป็นการใช้การซื้อขายงานศิลปะเพื่อเป็นการฟอกเงิน 

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขออนุมัติหมายค้นเพื่อตรวจค้นบ้านเช่าของนายยามากูชิ ย่านสาธร จากการตรวจค้นพบชาวญี่ปุ่น 4 คน ซึ่งพบว่าเคยต้องโทษหลายคดีที่ประเทศญี่ปุ่น จากการสืบสวนสอบสวนขยยายผล น่าเชื่อว่ามีการเกี่ยวช้องกับการตั้งบริษัท ลาสซามูไร เจแปน และพบทรัพย์สินในวอลเล็ตกว่า 30 ล้านบาท ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้สืบสวนขยายผลต่อไป 

กรณีที่ 2 จากการประสานจากทางการญี่ปุ่นให้ช่วยติดตามจับกุม นายมิยาชิตะ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับตามคดีลักทรัพย์ ที่ญี่ปุ่นต้องการตัว ซึ่งจากมาตรการของรัฐบาลไทยนำไปสู่การกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ทางชนกลุ่มน้อยได้จับกุมนายมิยาชิตะ ไว้ได้ และได้ส่งตัวกลับมา เบื้องต้น นายมิยาชิตะ รับสารภาพว่าได้ข้ามไปทำงานเป็นฝ่ายการเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เมื่อเดือนมกราคม 2568 ทั้งนี้ ทางไทยดำเนินคดีข้อหา พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และประสานทางการญี่ปุ่นรับตัวกลับไปดำเนินคดีต่อไป

กรณีที่ 3 เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยเหลือเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวญี่ปุ่น จำนวน 2 ราย ได้แก่ นายยาจิ อายุ 22 ปี และ นายอิชิกาว่า อายุ 47 ปี โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจของไทยได้รับการประสานจากทางการประเทศญี่ปุ่นขอรับการช่วยเหลือ จากการตรวจสอบพบว่าหนึ่งในเคยต้องโทษคดีลักทรัพย์ในประเทศญี่ปุ่น ทั้งสองคนเดินทางผ่านไปประเทศเพื่อนบ้านทางเส้นทางธรรมชาติ พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับคดีเยาวชนชาวญี่ปุ่นอายุ 16 ปี ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจของไทยเคยช่วยเหลือก่อนหน้านี้ และจากการสอบถามทราบว่าในสถานที่ทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว พบชาวญี่ปุ่นทำงานอยู่ประมาณ 10 คน โดยสองรายล่าสุดที่ได้รับการช่วยเหลือเป็นหนึ่งในกลุ่มดังกล่าว ซึ่งตำรวจได้มีการประสานทางการญี่ปุ่นให้รับตัวเยาวชนทั้งสองคนกลับประเทศ และทางการญี่ปุ่นสืบสวนขยายผลต่อไป 

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติและประเทศญี่ปุ่นจะร่วมมืออย่างต่อเนื่องในการจับกุมและปราบปรามอาชญากรที่กระทำความผิดลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และขบวนการค้ามนุษย์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top