Monday, 9 June 2025
NEWS FEED

'วิโรจน์' ตั้ง 8 ข้อสงสัยผู้บริหารกทม.ชุดเก่า ปมหนี้ BTS ทั้งที่เงินสะสมมีพอ แต่เหตุใดจึงปล่อยให้หนี้พอก

ภายหลังจากที่มีการฟ้องร้องข้อพิพาทรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ BTSC ฟ้องกรุงเทพมหานคร และกรุงเทพธนาคม (KT) ที่ศาลปกครอง ในกรณีที่ BTSC เรียกร้องให้ กทม. จ่ายเงินที่ค้างชำระค่าเดินรถและค่าซ่อมบำรุงรถไฟฟ้า BTS ส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 เป็นเงิน 11,755 ล้านบาท ซึ่งค้างมาตั้งแต่ผู้บริหาร กทม. ชุดที่แล้ว

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีตผู้สมัครผู้ว่ากทม.พรรคก้าวไกล เปิดเผยว่าตนและทีมงานพรรคก้าวไกลก็ได้เข้าไปสังเกตการณ์ในกรณีนี้ด้วย ซึ่งวิโรจน์ ได้ตั้งข้อสังเกตต่อกรณีนี้ 8 ประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้...

1. ผู้บริหาร กทม. ชุดก่อน ที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร คสช. เคยร้องขอต่อสภา กทม. ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากคณะรัฐประหาร คสช. ให้มีการอนุมัติเงินสะสมของ กทม. มาจ่ายหนี้ค่ารถไฟฟ้า แต่สภา กทม. ในขณะนั้นกลับไม่อนุมัติให้นำเอาเงินสะสมมาจ่ายหนี้ให้แก่ BTSC ทำให้หนี้ค่าจ้างเดินรถ และค่าซ่อมบำรุง สะสมทบต้นทบดอก จนเป็นภาระหนี้สินที่หนักมากขึ้น ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่น่าสงสัยมาก เพราะ กทม. มีเงินสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก เพียงพอต่อการใช้หนี้ ไม่จำเป็นต้องเบี้ยวหนี้ จนดอกเบี้ยทบต้นทบดอก

2. มีสัญญาระหว่างกรุงเทพธนาคม กับ BTSC อยู่ 2 ฉบับ ที่เป็นสาระสำคัญ ที่ กทม. ควรพิจารณาเปิดเผยต่อสาธารณะ ได้แก่ สัญญาจ้างเดินรถ และซ่อมบำรุง ส่วนต่อขยายที่ 1 ที่ กทส.006/55 ลงวันที่ 3 พ.ค. 2555 และสัญญาจ้างเดินรถ และซ่อมบำรุง ส่วนต่อขยายที่ 2 ที่ กทส.024/59 ลงวันที่ 1 ส.ค. 2559 ซึ่งตัวเลขหนี้สินต่าง ๆ ที่ กทม. และกรุงเทพธนาคม ค้างจ่ายให้กับ BTSC ล้วนคำนวณมาจากสัญญา 2 ฉบับนี้

3. สัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวเส้นหลัก ที่มีอายุสัญญาสัมปทาน 30 ปี จะสิ้นสุดลง ณ วันที่ 4 ธ.ค. 2572 แต่สัญญาจ้างเดินรถ และซ่อมบำรุง ทั้ง 2 ฉบับข้างต้น ยังคงผูกพัน กทม. และกรุงเทพธนาคม ไปจนถึงปี พ.ศ. 2585 นั่นหมายความว่าสัญญาทั้ง 2 ฉบับนี้ มีผลกระทบอย่างมากต่อการเปิดประมูลสัมปทานใหม่ ดังนั้นการอ่านทานสัญญาทั้ง 2 ฉบับนี้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

ประธานบริษัทน้ำมันรายใหญ่รัสเซียดับปริศนา หลังร่วงตกหน้าต่างโรงพยาบาลในกรุงมอสโก

ราวิล มากานอฟ ประธานบริษัทลุคออย ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของรัสเซีย เสียชีวิตในวันพฤหัสบดี (1ก.ย.) หลังร่วงตกลงมาจากหน้าต่างของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงมอสโก จากการเปิดเผยของแหล่งข่าว 2 คน กลายเป็นนักธุรกิจรัสเซียรายล่าสุดที่ตายอย่างกะทันหันและไม่สามารถอธิบายได้

แหล่งข่าวยืนยันรายงานข่าวจากสื่อมวลชนรัสเซียหลายแห่ง ระบุว่านักธุรกิจวัย 67 ปีรายนี้ ตกลงมาเสียชีวิต แต่กรณีแวดล้อมของเหตุตกหน้าต่างโรงพยาบาลนั้น ยังไม่เป็นที่ชัดเจน

สำนักข่าวทาสส์ นิวส์ สื่อมวลชนแห่งรัฐของรัสเซีย รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ระบุว่าเหตุเสียชีวิตครั้งนี้เป็นการฆ่าตัวตาย และแหล่งข่าวเผยด้วยว่า มากานอฟ เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล หลังมีอาการหัวใจวายและกำลังใช้ยารักษาโรคซึมเศร้า

รอยเตอร์บอกว่าไม่สามารถยืนยันรายละเอียดเหล่านี้ พร้อมอ้างแหล่งข่าว 3 คนที่เป็นคนรู้จักใกล้ชิดกับ มากานอฟ ไม่เชื่อว่าประธานบริษัทลุคออยจะฆ่าตัวตาย

แหล่งข่าวอีกคนที่ใกล้ชิดกับบริษัท บอกกับรอยเตอร์ ระบุมีความเชื่อภายในระดับผู้บริหารของลุคออย ว่าเขาฆ่าตัวตายจริง แต่แหล่งข่าวรายนี้ไม่พบเห็นหลักฐานหรือเอกสารที่สนับสนุนความเชื่อดังกล่าว

สำนักข่าวรอยเตอร์ติดต่อสอบถามไปที่ตำรวจมอสโก แต่ทางตำรวจบอกว่าคำถามต่าง ๆ เกี่ยวกับการเสียชีวิตของมากานอฟ ให้ไปสอบถามที่คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย

ลุคออย เป็นบริษัทเอกชนที่แข่งขันกับ รอสเนฟต์ รัฐวิสาหกิจพลังงานยักษ์ใหญ่ของรัสเซีย และในถ้อยแถลงของบริษัทระบุว่า มากานอฟ เสียชีวิตตามหลังมีอาการป่วยร้ายแรง "พนักงานหลายพันชีวิตของลุคออย เสียใจอย่างสุดซึ้งต่อความสูญเสียที่น่าเศร้านี้ และขอแสดงความเสียใจด้วยความจริงใจถึงครอบครัวของ ราวิล มากานอฟ"

ก่อนหน้านี้มีนักธุรกิจชาวรัสเซียอย่างน้อย 6 คน ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมพลังงาน เสียชีวิตอย่างกะทันหันในกรณีแวดล้อมที่ไม่ชัดเจน ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

ครบรอบปีที่ 5 วันสถาปนากองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว พร้อมเปิดพิพิธภัณฑ์ตำรวจท่องเที่ยวเสมือนจริง (Digital Museum) เฟสที่ 1 แห่งแรกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้จัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวในวันที่ 1 กันยายน 2565 ณ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ถนนสุวรรณภูมิ 4 อำเภอบางพลี  จังหวัดสมุทรปราการ นับเป็นปีที่ 5 ของการก่อตั้งกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวภายหลังได้รับการยกฐานะจากกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยวขึ้นเป็นกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2560 ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงการก่อตั้งหน่วยและเสริมสร้างความเป็นสิริมงคล โดยพิธีในช่วงเช้าเริ่มตั้งแต่เวลา 06.30 น. พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช.ทท. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ชัยน์วัฒน์ อรัญวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ตร. รรท.รอง ผบช.ทท., พล.ต.ท.สมบัติ หวังดี ทรงคุณวุฒิพิเศษ ตร. ปฏิบัติราชการ บช.ทท., พล.ต.ต.ศุภเศรษฐ์ โชคชัย และพล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา รอง ผบช.ทท., พล.ต.ต ปิยะวัฒน์ บุญยืนอนนท์ ผบก.อก.บช.ทท., สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริเวณโดยรอบที่ตั้ง บช.ทท. รวมทั้งสิ้น 4 จุด ได้แก่ ศาลพญาอนันตนาคราชเจ้าวิสุทธิเทวา (ศาลตายาย) ศาลพญามุจลินท์นาคราช ศาลท้าววิรุปักเขมหานาคราชเจ้า ศาลองค์นาคาธิบดี ศรีสุทโธ วิสุทธิเทวา

จากนั้นในเวลา 8.30 น. พล.ต.อ.ดำรงค์ศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ประธานในพิธี, คณะผู้บังคับบัญชาร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ทำบุญเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนา ทั้งนี้เพื่อความเป็นสิริมงคล ความรักความสามัคคีของข้าราชการตำรวจในสังกัดและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง พร้อมนี้ประธานในพิธีได้มอบของที่ระลึกแสดงความยินดีเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวให้แก่ ผบช.ทท. และเมื่อเวลา 10.00 น. ประธานในพิธี ผบช.ทท. พร้อมด้วยคณะผู้บังคับบัญชา และข้าราชการตำรวจในสังกัด บช.ทท.รับชมพิพิธภัณฑ์เสมือนจริง (Digital Museum) ณ ห้องประชุมแจ้งยอดสุข ชั้น 6 บช.ทท. ในการนี้ทางกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวได้เปิดตัวพิพิธภัณฑ์ตำรวจท่องเที่ยวเสมือนจริง (Digital Museum) เฟสที่ 1 แห่งแรกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเป็นแห่งแรกๆ ของหน่วยราชการไทย ต่อจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีการจัดแสดงผ่าน Metavers ซึ่งผู้เยี่ยมชมสามารถชมผ่านเว็บไซต์กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวได้ และหากมีอุปกรณ์แว่น Oculus ก็สามารถเข้าชมแบบเสมือนจริงได้ แสดงถึงวิสัยทัศน์ในการนำใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ เพื่อเข้าถึงคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับการท่องเที่ยวไทย 

บอร์ดกุ้งแจง…นำเข้ากุ้งเพื่อแปรรูปส่งออกสร้างรายได้เข้าประเทศในช่วงผลผลิตในประเทศขาดแคลนเท่านั้น

'เฉลิมชัย' ชี้ราคากุ้งดีต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปีนี้ อาจมีผันผวนบ้างตามภาวะตลาด แม้เผชิญวิกฤติเศรษฐกิจแต่มีระบบประกันราคากุ้งเป็นมาตรการรองรับ ทำให้ราคาเพิ่ม 11 – 20 บาทต่อ กก.

ยืนยันไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนเพราะเป็นมติร่วมระหว่าง 8 องค์กรเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง – ภาคเอกชน และภาครัฐ เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมกุ้งทะเลไทยหลังถดถอยมาตลอด

ตามที่สื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวถึงข้อกังวลของ นายปรีชา สุขเกษม เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทะเลจังหวัดสงขลา ในประเด็นการนำเข้ากุ้งทะเลจากต่างประเทศของผู้ประกอบการห้องเย็นและโรงงานแปรรูปซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพราคากุ้งทะเลภายในประเทศนั้น

นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง ประธานคณะกรรมการบริหารจัดการห่วงโซ่การผลิตกุ้งทะเลและผลิตภัณฑ์ (Shrimp Board) หรือบอร์ดกุ้งเปิดเผยวันนี้ถึงกรณีดังกล่าวว่า จากปัญหาโรคกุ้งทะเล คุณภาพลูกพันธุ์กุ้ง และอาหารกุ้งในอดีต ทำให้การเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องถดถอย ผู้ประกอบการห้องเย็นและโรงงานแปรรูปที่ส่งออกกุ้งทะเลเป็นหลักต้องปิดตัวลงจากเดิมที่มีอยู่เกือบ 200 แห่ง ปัจจุบันเหลือเพียง 20 แห่ง ขณะที่จำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทะเลก็ลดลง ทำให้ปริมาณการผลิตกุ้งของไทยที่เคยสูงสุดในปี 2552 ประมาณ 567,000 ตัน เหลือเพียงประมาณ 255,000 ตัน ในปี 2564 ซึ่งลดลงร้อยละ 55.03 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2552 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงมอบนโยบายให้กรมประมงดำเนินการฟื้นฟูผลผลิตกุ้งทะเลของประเทศไทยและแต่งตั้งบคณะกรรมการบริหารจัดการห่วงโซ่การผลิตกุ้งทะเลและผลิตภัณฑ์ หรือ บอร์ดกุ้ง (Shrimp Board) ประกอบกับการจัดทำแผนฟื้นฟูผลผลิตกุ้งทะเลของประเทศไทย โดยตั้งเป้าหมายให้กุ้งทะเลกลับมามีผลผลิตในระดับ 400,000 ตัน ภายในปี 2566 

ภายใต้การหารือของบอร์ดกุ้งเกี่ยวกับแนวทางในการแก้ไขปัญหาเพื่อให้อุตสาหกรรมกุ้งไทยสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้และยังคงมีศักยภาพทางการแข่งขันในระดับโลก ซึ่งบอร์ดกุ้งมีฉันทามติร่วมกัน 3 ฝ่าย ได้แก่

1) ผู้แทนเกษตรกร ประกอบด้วย สมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย สมาคมผู้เลี้ยงกุ้งทะเลไทย สมาคมเครือข่ายผู้เลี้ยงกุ้งไทย สมาคมผู้เลี้ยงกุ้งจันทบุรี สหกรณ์ผู้เลี้ยงกุ้งลุ่มน้ำท่าทอง จำกัด ชมรมเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งจังหวัดสงขลา เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งภาคกลาง ชมรมผู้ผลิตลูกพันธุ์สัตว์น้ำ และกลุ่มคลัสเตอร์กุ้งกุลาดำไทย

2) ผู้ประกอบการห้องเย็นและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ประกอบด้วย สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย สมาคมการค้าปัจจัยการผลิตสัตว์น้ำไทย และสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย

และ 3) หน่วยงานภาครัฐ ประกอบด้วย กรมประมง และกรมการค้าภายในในการนำเข้าวัตถุดิบกุ้งทะเลจากต่างประเทศเฉพาะช่วงเวลาและปริมาณผลผลิตภายในประเทศมีปริมาณน้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการของโรงงานแปรรูป

ซึ่งมาตรการนำเข้าวัตถุดิบกุ้งทะเลนี้เพื่อการแปรรูปและส่งออกเท่านั้น และกำหนดแผนการนำเข้าวัตถุดิบกุ้งทะเลจากสาธารณรัฐเอกวาดอร์และสาธารณรัฐอินเดีย ปี 2565 ปริมาณรวม 10,501 ตัน จากปริมาณการผลิตกุ้งทะเลของไทยในปี 2565 (มกราคม - กรกฎาคม) 138,732.43 ตัน แลกกับการประกันราคาโดยภาคเอกชนซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2564 เป็นต้นมา และจะยังคงช่วยเหลือเกษตรกรไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ซึ่งผู้แทนเกษตรกรในบอร์ดกุ้งข้างต้นเห็นด้วยกับการดำเนินการดังกล่าว ทำให้ราคากุ้งภายในประเทศได้รับการประกันขั้นต่ำโดยภาคเอกชนเป็นครั้งแรก ซึ่งไม่เป็นภาระของรัฐบาลเหมือนในอดีต ดังที่สมาคมเครือข่ายผู้เลี้ยงกุ้งไทยได้เคยให้สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2565 กล่าวไว้ว่า “การจัดตั้งบอร์ดกุ้งในครั้งนี้ เป็นการจับมือของเกษตรกรและผู้แปรรูปเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ของอุตสาหกรรมกุ้งทะเลไทย เพื่อแก้ไขปัญหาและบริหารจัดการผลผลิตกุ้งทะเลตลอดห่วงโซ่การผลิตอย่างแท้จริง ทั้งด้านการผลิตและการตลาด ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ทั้งเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทะเลและผู้แปรรูปสามารถประกอบอาชีพในห่วงโซ่ได้อย่างยั่งยืน”

ก.แรงงาน มอบถ้วยพระราชทานฯ เชิดชูเกียรติสถานประกอบกิจการ ที่มีระบบบริหารจัดการด้านแรงงานยอดเยี่ยม

วันที่ 1 กันยายน 2565 เวลา 10.00 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลสถานประกอบกิจการที่มีระบบบริหารจัดการด้านแรงงานยอดเยี่ยมประจำปี 2565 (Thailand Labour Management Excellence Award 2022) เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติสถานประกอบกิจการที่มีระบบบริหารแรงงานยอดเยี่ยม ที่ผ่านการคัดเลือกเป็นสถานประกอบกิจการที่มีความมุ่งมั่นในการบริหารแรงงานอย่างเป็นมาตรฐานครบ 3 ด้าน ประกอบด้วย สถานประกอบกิจการที่ขอรับการรับรองมาตรฐานแรงงานไทย สถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน และสถานประกอบกิจการต้นแบบดีเด่นด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยดีเด่นระดับประเทศ ณ ห้องประชุมกระทรวงแรงงาน ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน

นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการแรงงานอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม และสอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานตามหลักสากล ทั้งในเรื่องการมีระบบแรงงานสัมพันธ์ที่ดี การจัดสวัสดิการที่เอื้อต่อคุณภาพชีวิตแรงงาน การจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานที่มีประสิทธิภาพและเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ส่งผลให้ผู้ใช้แรงงานมีความมั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า

อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 แห่งมาเลเซียไม่รอด เจอคุก 10 ปี ข้อหาติดสินบน หลังสามีโดนฟันในคดี 1MDB

รซมะฮ์ มันโซร์ ภรรยาของอดีตนายกรัฐมนตรี นายิบ ราซัค ถูกศาลมาเลเซีย ตัดสินจำคุก 10 ปี และปรับเงินอีก 970 ล้านริงกิต (7.9 พันล้านบาท) ด้วยข้อหารับสินบน ในช่วงระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์ หลังจากที่นาย นายิบ ราซัค ถูกศาลตัดสินโทษจำคุก 12 ปีในข้อหาคอร์รัปชั่นในคดี 1MDB

รซมะฮ์ มันโซร์ อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของมาเลเซีย วัย 70 ปี ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดในคดีรับสินบนถึง 3 คดี ในการเอื้อผลประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชน Jepak Holdings ชนะการประมูลโครงการพัฒนาพลังงานโซลาร์แนวผสมผสาน ที่มีวัตถุประสงค์ที่จะผลิตพลังงานให้กับโรงเรียนมากกว่าร้อยแห่งทั่วรัฐซาลาวัค ซึ่งเป็นโครงการมีมูลค่าสูงถึง 1.25 พันล้านริงกิต ในช่วงที่ นายิบ ราซัค ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 

อัยการอ้างว่าพบวงเงินสินบนมูลค่า 187.5 ล้านริงกิต กับหลักฐานการรับเงินสินบนอีก 6.5 ล้านริงกิต จากเจ้าหน้าที่ของบริษัทที่ชนะการประมูลโครงการพลังงานโซลาร์ ซึ่งนาง รซมะฮ์ มันโซร์ ปฏิเสธว่า เป็นความผิดของผู้ช่วยของเธอ และเจ้าหน้าที่ของบริษัทผู้รับโครงการ แต่ศาลไม่เชื่อ และกล่าวว่าข้ออ้างของเธอเลื่อนลอย และไร้หลักฐาน 

ก่อนหน้าที่จะมีคำตัดสินในวันนี้ ทีมกฏหมายของนาง รซมะฮ์ มันโซร์ พยายามที่จะยื่นคำร้องขอเปลี่ยนตัวทีมผู้พิพากษา โดยระบุว่ามีเอกสารคำตัดสินรั่วไหลออกมาทางออนไลน์ ที่ระบุว่าเธอมีความผิด ซึ่งเป็นการชี้มูลความผิดล่วงหน้า ซึ่งไม่เป็นธรรมกับคดีของเธอ แต่คำร้องถูกปฏิเสธ โดยกล่าวว่าทีมอัยการได้พิสูจน์คดีอย่างใช้วิจารณญาณอันสมเหตุผลแล้ว

‘ก้าวไกล’ ยื่นสภาขอแก้ กม.แพ่ง ห้ามผู้ปกครองลงโทษทารุณบุตร

ปดิพัทธ์ สันติภาดา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดพิษณุโลก เขต 1 พรรคก้าวไกล พร้อมด้วยภัสริน รามวงศ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพมหานคร และ พนิดา มงคลสวัสดิ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ แถลงข่าวยื่นร่างแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) ต่อสภาผู้แทนราษฎร จากแต่เดิมที่กำหนดให้ผู้ปกครองมีสิทธิลงโทษบุตรได้ตามสมควร เปิดช่องให้เกิดการทำร้ายหรือการเฆี่ยนตี จนเกิดอันตรายต่อเด็ก แก้เป็นการจำกัดสิทธิในการลงโทษ ห้ามทารุณทำร้าย เฆี่ยนตี หรือทำโทษอันด้อยค่าบุตร หวังทำให้เด็กได้รับการปกป้องจากความรุนแรงและได้พัฒนาเต็มศักยภาพ 

“ร่างนี้เป็นความตั้งใจของ ณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ได้ยกร่างขึ้นหลังจากเห็นข่าวเด็กหญิงอายุ 2 ปี ถูกบิดาเลี้ยงทำร้ายจนเสียชีวิต เหตุเกิดในจังหวัดพิษณุโลก แต่เนื่องจากนายณัฐวุฒิฯ อยู่ในระหว่างรักษาโรคโควิด ไม่สามารถมาแถลงข่าวด้วยตนเอง จึงได้มอบให้ตนเป็นผู้แถลงแทน และหากเราติดตามข่าว จะเห็นข่าวเด็กถูกบิดามารดาหรือผู้ปกครองทำร้ายด้วยความรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง โดยเข้าใจว่าพวกเขามีสิทธิจะลงโทษบุตร ดังที่ปรากฏใน ปพพ.ม.1567 (2) ปัจจุบันที่ว่า “ผู้ปกครองมีสิทธิทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอนตามสมควร” สอดคล้องสุภาษิตในอดีตที่กล่าวว่ารักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี แต่หลายครั้งวิธีการลงโทษจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจกลับกลายเป็นการทารุณที่ส่งผลต่อร่างกายหรือจิตใจ เฆี่ยนตีอย่างไม่ยั้ง หรือทำให้เด็กรู้สึกตนเองด้อยค่า นำไปสู่การบาดเจ็บ เสียชีวิต และที่สำคัญส่งผลต่อการที่เด็กจะไปสร้างความรุนแรงต่อในระยะยาว” ปดิพัทธ์ระบุ

โดยปรากฏว่ากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เองก็ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว และได้ยกร่างแก้ไข ปพพ. มาตรา 1567 (2) ไว้ในทำนองจำกัดสิทธิของผู้ปกครองในการลงโทษบุตร พร้อมทั้งได้ส่งเรื่องให้กระทรวงยุติธรรมร่วมพิจารณามาตั้งแต่ปี 2559 แต่ยังไม่มีความคืบหน้าแต่ประการใด ทางพรรคก้าวไกลจึงได้ยกร่างและรวบรวมรายชื่อ ส.ส.เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 20 คน เข้าชื่อเสนอขอแก้ไข ปพพ.มาตรา 1567 (2) เปลี่ยนจากข้อความเดิมเป็น “ทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอนตามสมควร แต่ต้องไม่เป็นการกระทำทารุณกรรมหรือทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ ไม่เป็นการเฆี่ยนตี หรือทำโทษอื่นใดอันเป็นการด้อยค่า” เพื่อเสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยหวังว่าสภาฯ จะเร่งการพิจารณาให้ทันในสมัยประชุมหน้า แสดงถึงความตั้งใจในการปกป้องเด็กทุกคนจากความรุนแรง โดยเฉพาะความรุนแรงในบ้าน

ภัสริน รามวงศ์ ยังได้แถลงเพิ่มเติมว่า “นอกจากจะเป็นการแก้ กม.เพื่อปกป้องเด็กแล้ว การแก้ กม.นี้ยังสอดคล้องกับหลักการในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก และข้อเสนอแนะของนานาประเทศต่อไทยภายใต้กลไก Universal Periodic Review หรือ UPR รอบที่ 2 (พ.ศ.2559 ถึง พ.ศ. 2563) ที่รัฐบาลไทยยอมรับว่าจะเร่งในการปรับแก้ กม.ดังกล่าว แต่ก็เนิ่นช้าเกินกรอบเวลามากว่า 2 ปีแล้ว ไม่เหมือนกับกรณีการปรับแก้ กม.อาญา เรื่องปรับเกณฑ์อายุความรับผิด จาก 10 ปี เป็น 12 ปี ที่รัฐบาลได้เร่งดำเนินการไปก่อนหน้านี้ การแก้ กม.เพียงมาตราเดียวไม่ใช่เรื่องยาก แต่สะท้อนว่า รบ.จริงใจในการแก้ปัญหาหรือไม่มากกว่า และหากมีการแก้ ปพพ.ม. 1567 (2) ได้จริง เราเองก็จะได้รับการยอมรับจากนานาประเทศมากขึ้นในด้านสิทธิมนุษยชน”

ฉากหลัง!! กว่าจะมีวันนี้ของ LISA BLACKPINK ความพยายามที่ชนะใจ 'คนไทย-เกาหลี-ทั่วโลก'

แม้วันนี้ LISA (ลิซ่า) ลลิษา มโนบาล สมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ป BLACKPINK จากประเทศเกาหลีใต้ จะประสบความสำเร็จและกลายเป็นบุคคลระดับโลก แต่ใครจะรู้ว่าฉากหลังก่อนความสำเร็จทั้งหลาย ล้วนเต็มไปด้วยอุปสรรคหนักหนาเกินบรรยาย โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กในชื่อ 'Tong Long Do' ได้โพสต์เรื่องราว #กว่าจะมีวันนี้ของ LISA ไว้อย่างน่าสนใจ ความว่า...

ย้อนหลังไป 12 ปี #LISA เป็นคนไทยคนเดียวจาก 4,000 คนที่ถูก YG เลือกให้ไปเป็น...'เด็กฝึก'...ที่เกาหลีใต้  

#LISA ฝึกอยู่เกือบ 5 ปี กว่าจะได้เดบิวต์ ระหว่าง 5 ปีนั้น ไม่ง่ายเลยที่เด็กผู้หญิงอายุ 13 ปี ต้องอดทนต่อสู้กับการฝึกซ้อมอย่าง...'หฤโหด' ทุกวัน... มี...'เด็กฝึก'...ผู้ชายบางคนเกือบจะได้เดบิวต์อยู่แล้วยังทนไม่ไหวต้องลาออก...

ยังมีเรื่องภาษาที่ต้องเรียนรู้เพื่อใช้ในการสื่อสาร ปัจจุบัน คนเกาหลียอมรับว่า #LISA พูดได้เหมือนคนเกาหลีแล้ว...

เป็นหญิงไทยคนแรก ที่ได้เดบิวต์ในนาม 'Blackpink' ทางค่าย YG ได้ประกาศออกไป ก็มี...'แอนตี้แฟน' เรียกร้องไม่เอา #LISA อ้างว่า เอาชาวเอเซียตะวันออกเฉียงใต้มาเดบิวต์ได้ไง จะทำให้ Blackpink ไม่ดัง ทำให้วงตกต่ำ 'แอนตี้แฟน' ได้รวบรวมรายชื่อถอดถอนให้เอา #LISA ออกจาก Blackpink 

ถ้ามีข่าวหรือมีโพสต์ของ #LISA ที่ไหนก็จะ dislike พาทัวร์ลงถล่มยับ นอกจากนี้ ถ้าเจอหน้า #LISA ที่ไหน มีเหตุพอที่จะระบายความไม่พอใจของตัวเองได้ก็ด่ากันซึ่ง ๆ หน้าเลย  

เช่น มีอยู่ครั้งหนึ่ง Blackpink ไปออกรายการวิทยุ ห้องออกอากาศซึ่งเป็นห้องกระจกด้านนอกอาคาร ให้ FC มาชมการจัดรายการและถ่ายรูปศิลปินได้  #LISA นั่งข้างเจนนี่ มี FC จะถ่ายรูปเจนนี่แต่น้องนั่งบังนิดนึง FC ของเจนนี่ก็ตะโกนว่าด้วยถ้อยคำไม่สุภาพให้ #LISA หลบไปมานั่งบังทำไม #LISA จึงถอยเก้าอี้ไปข้างหลังให้ น้องก้มหน้าคงรู้สึกเสียใจ แต่ทำอะไรไม่ได้  

พูดง่าย ๆ คือ ขณะนั้น #LISA มี 'แอนตี้แฟน' มากกว่า FC  

#LISA เดบิวต์มาพร้อมกับ 'แอนตี้แฟน' มีแรงกดดันที่จ้องเอาผิดน้องตลอดเวลา จากสภาพแวดล้อมของสังคมคนเกาหลีใต้ แม้กระทั่งท่อนร้องที่มากกว่าสมาชิกคนอื่นก็เอามาเป็นประเด็น...

สังคมคนเกาหลีใต้ ไม่ชอบไม่ยอมรับ วัฒนธรรมและหน้าตา ของชาวเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะมีความคิดด้านลบกับคนไทยมากที่สุด

ณ เวลานั้น เอเย่นต์มักจะหาเด็กใหม่จากทาง 'ญี่ปุ่น' หรือ 'จีน' ที่มีประชากรมากกว่า เพื่อสร้างยอดขายเม็ดเงินมหาศาล...

ทางค่ายเคยออกมาบอกว่า ที่เลือก #LISA นั้น ไม่ใช่เพื่อกลยุทธ์ทางการตลาด (แปลแบบชาวบ้านคือ 'ไทย' ไม่ใช่เป้าหมายทางธุรกิจ ไม่ต้องการตีตลาดในไทย)...

ที่ #LISA เข้ามาเป็นสมาชิกเพราะน้อง #มีพรสวรรค์ #ความสามารถ และ #ความอดทนมากพอที่จะเป็น 'Idol K-Pop' ได้ ...ไม่คิดว่า #LISA จะดังรึป่าว (ซึ่งน้องก็ทำให้เห็นแล้วว่าน้องทำได้)....

'พี่ศรี' จวก 'ชัชชาติ' ลอกคลองเป็นเรื่องเพ้อฝันหรือไม่? หลังเจอเศษอิฐ-ดิน-หิน-ปูนในคลองลาดพร้าวเพียบ!!

เมื่อวันที่ 1 ก.ย. นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เปิดเผยว่า ตามที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ออกมาให้ข่าวว่าได้ประสานกับกองทัพเพื่อขอให้ส่งทหารมาร่วมกับสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพฯ เพื่อกำหนดกันแบ่งพื้นที่ขุดลอกคลองลาดพร้าวและคลองแสนแสบ ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค. 65 ที่ผ่านมา 

โดยกรุงเทพมหานคร มีข้อมูลว่า คลองลาดพร้าวมีปัญหาเรื่องความตื้นเขิน น้ำไหลช้า จึงจะเริ่มดำเนินการขุดลอกคลองลาดพร้าวเพิ่มขึ้น แต่จากการสำรวจพื้นที่คลองลาดพร้าวพบว่า ยังมีกองดินและเศษอิฐหินปูน ที่เททิ้งมาจากโครงการบ้านมั่นคงที่ก่อสร้างอย่างผิดกฎหมายอย่างมากมาย ทำให้คลองตื้นเขิน และชาวบ้านริมคลองยืนยันว่ายังไม่มีเจ้าหน้าที่กทม. หรือทหาร มาขุดลอกตามข่าวแต่อย่างใด เวลาฝนตกมามากทำให้น้ำเอ่อล้นท่วม ระบายได้ช้ามาก 

กรณีเช่นนี้ ขอถามผู้ว่าฯ กทม. นโยบายหาเสียงที่บอกจะเร่งขุดลอกคูคลองนั้น เพ้อฝันหรือไม่ หรือเป็นเพียงม็อตโต้ของการโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น เพราะข้อความจริงที่พบ กับนโยบายมันต่างกัน กทม.อาจจะหลอกคนทั่วไปได้แต่หลอกความจริงไปไม่ได้ 

'ไต้หวัน' กร้าว!! จะโจมตีตอบโต้ 'ทางทะเล-อากาศ' หากกองกำลังจีนบุกเข้ามาในดินแดนแห่ง ปชต.

เมื่อวันพุธ (31 ส.ค. 65) ที่ผ่านมา ไต้หวัน ระบุจะใช้สิทธิ์ในการป้องกันตนเองและโจมตีตอบโต้ หากว่ากองกำลังจีนบุกเข้ามาในดินแดน โดยคำประกาศกร้าวดังกล่าวเกิดขึ้น ในขณะที่ปักกิ่งยกระดับความเคลื่อนไหวทางทหารเข้าใกล้เกาะปกครองตนเองตามระบอบประชาธิปไตยแห่งนี้

ปักกิ่ง ซึ่งอ้างว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน ทำการซ้อมรบหลายรอบบริเวณใกล้เคียงหมู่เกาะแห่งนี้ มาตั้งแต่ช่วงต้นเดือนสิงหาคม ตอบโต้การเดินทางเยือนกรุงไทเปของนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ

เจ้าหน้าที่กลาโหมไต้หวันรายหนึ่งระบุว่า "จีนยังคงเดินหน้าลาดตระเวนทางทหารใกล้ไต้หวันอย่างเข้มข้น และเจตนาของปักกิ่ง คือ ทำให้ช่องแคบไต้หวันที่กั้นกลางระหว่าง 2 ฝ่าย กลายเป็นบ่อเกิดหลักของความไร้เสถียรภาพในภูมิภาค"

"สำหรับเครื่องบินและเรือรบที่เข้าสู่อาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของเรา ทั้งทางทะเลและทางอากาศ ทางกองทัพแห่งชาติจะใช้สิทธิป้องกันตนเองและโจมตีตอบโต้โดยปราศจากข้อยกเว้นใด ๆ" Lin Wen-Huang รองประธานเสนาธิการทหารของไต้หวัน ฝ่ายปฏิบัติการและวางแผน กล่าวและว่า

"กองทัพไต้หวันจะใช้สิทธิ์แบบเดียวกันนี้ในการโจมตีตอบโต้โดรนของจีน หากว่าไม่ยอมทำตามคำเตือนให้ออกจากดินแดนของไต้หวัน หลังจากมีท่าทีเป็นภัยคุกคาม"

ก่อนหน้านี้ไต้หวันยิงเตือนโดรนของจีนเป็นครั้งแรกเมื่อวันอังคาร (30 ส.ค.) ไม่นานหลังจากประธานาธิบดีไช่ อิงเหวิน ออกคำสั่งให้กองทัพ "ใช้มาตรการหนักหน่วง" กับสิ่งที่เธอให้คำนิยามว่า "เป็นการยั่วยุของจีน"

ต่อมาในวันพุธ (31 ส.ค.) กองทัพไต้หวันเผยว่ากำลังพลของพวกเขายิงกระสุนและพลุแฟร์เตือนอีกรอบ คราวนี้เป็นการยิงเตือนโดรนที่บินเฉียดใกล้เกาะต่าง ๆ ในจินเหมิน ซึ่งตั้งอยู่นอกชายฝั่งไม่ห่างจากเมืองเซี่ยเหมินและเมืองเฉวียนโจวของจีน จากนั้นโดรนเหล่านั้นก็บินกลับไปยังเซี่ยหมิน

ด้าน หม่า เฉิงคุน ผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยป้องกันสถาบันทหารไต้หวัน กล่าวว่า จีนอาจเคลื่อนไหวมากขึ้น เพื่อปฏิเสธการเดินทางผ่านช่องแคบไต้หวันของเรือรบต่างชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top