Monday, 9 June 2025
NEWS FEED

'ดร.วรัชญ์' ยกอุทาหรณ์ 'เอลซัลวาดอร์' เลือกผู้นำผิด ชู บิทคอยน์เป็นเงินทางการ จนประเทศล้มละลาย

'ดร.วรัชญ์' ยกอุทาหรณ์ ประเทศเอลซัลวาดอร์ เลือกผู้นำผิด ให้บิทคอยน์เป็นเงินทางการของประเทศ จากไอเดียของประธานาธิบดี นายิบ บูเคเล่ วัยเพียง 41 ปี จนประเทศล้มละลาย

(31 ส.ค. 2565) ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก เรื่อง เลือกผู้นำผิด ประเทศชาติอาจล้มละลายได้ มีเนื้อหาดังนี้

เอลซัลวาดอร์ อาจจะเป็นประเทศแรกในโลกที่ล้มละลายจากบิทคอยน์ หนึ่งปีหลังจากเป็นประเทศแรกที่ประกาศให้บิทคอยน์เป็นเงินทางการของประเทศ จากไอเดียของประธานาธิบดี นายิบ บูเคเล่ วัยเพียง 41 ปี ผู้หลงใหลคริปโตเคอเรนซี่อย่างหนัก

โดยกฎหมายบิทคอยน์นี้ ใช้เวลาเพียง 5 วันก็ผ่านสภาที่พรรคของบูเคเล่ครองเสียงข้างมาก โดยไม่มีประชาพิจารณ์หรือการรับฟังความเห็นจากประชาชนเลย และไม่ผิดคาดที่การใช้งานนั้นเต็มไปด้วยปัญหาและการทุจริต

บูเคเล่ ที่สร้างอำนาจมาจากพ่อของเขาที่เป็นนักธุรกิจมหาเศรษฐี มักเรียกตัวเองว่าเป็น CEO ของเอลซาวาดอร์ แต่ประชาชนจำนวนมากเรียกเขาว่าเป็น "เผด็จการที่หลงตัวเอง" และออกมาต่อต้านกฎหมายบิทคอยน์กันจำนวนมาก

แม้ว่าประชาชนจะต่อต้าน แต่บูเคเล่ก็ไม่ฟังเสียง ยังคงเดินหน้าต่อไปด้วยการทุ่มงบประมาณมหาศาลไปกับอภิมหาโปรเจคในการสร้าง "เมืองบิทคอยน์" (Bitcoin City) แม้ว่าประเทศจะอยู่ในสภาวะวิกฤตจากหนี้แล้วก็ตาม จึงพยายามออกพันธบัตรเพื่อระดมทุน และให้สัญชาติกับนักลงทุน แต่ก็ไม่สามารถดึงดูดนักลงทุนมาได้

ชื่นชม!! ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ อำนวยความสะดวกภารกิจนำส่งอวัยวะหัวใจ

เมื่อไม่นานมานี้ เพจเฟซบุ๊ก 'ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร' ได้โพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพ ระบุว่า...

#ทุกวินาทีคือชีวิตภารกิจนำส่งอวัยวะหัวใจ(53)

30 สิงหาคม 2565 เวลา 18.45 น. #ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ได้รับแจ้งจากพนักงานวิทยุ (ด.ต.จักรภูมิ เสมียนชัย) ว่าได้รับการประสานงานจากสภากาชาดไทยขอสนับสนุนตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริอำนวยความสะดวกนำอวัยวะหัวใจจากสนามบินดอนเมืองส่งยังโรงพยาบาลเป้าหมาย โดยอวัยวะหัวใจดังกล่าวคุณหมอได้นำขึ้นเครื่องบินมาลงที่สนามบินดอนเมืองในเวลาประมาณ 18.45 น. หลังจากรับแจ้งแล้ว พ.ต.ต.พีรวุฒิ ใหม่อ่อง สว.งานฯ 2กก.6บก.จร.(โครงการใต้ 1) และร.ต.ต.มานะ จอกโคกสูง รองสว.งานฯ 1กก.6บก.จร. (โครงการเหนือ 17) จึงนำกำลังประกอบด้วยด.ต.สุทิน อินทโชติ (6-202) ส.ต.อ.ขจรศักดิ์ พูลคำ (6-144) ส.ต.ท.วัชริศ ลีแสน (6-655) และตำรวจช่างจ.ส.ต.ยุทธนา มังคะตา (6-432) ส.ต.ท.ตุลยวัต ขุนเปีย (6-677)​ ส.ต.ท.ชินาธิป พรมอ้วน (6-711) เข้าสนับสนุนยังอาคารผู้โดยสารภายในประเทศขาเข้า สนามบินดอนเมือง เมื่ออวัยวะหัวใจมาถึงจึงเร่งนำส่งรพ.เป้าหมายทันที นับเป็นครั้งที่ 53 แล้วที่ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริอำนวยความสะดวกนำส่งอวัยวะหัวใจ

สานต่อกิจกรรม 'เชียงใหม่ Light Up' หวังเพิ่มศักยภาพแหล่งท่องเที่ยว

สภาอุตสาหกรรมเชียงใหม่ จับมือ กกร.เชียงใหม่ และ ภาคเอกชน สานต่อกิจกรรม“เชียงใหม่ Light Up” หวังเพิ่มศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมให้กับศาสนสถานรอบคูเมือง พร้อมดึงชุมชนในพื้นที่เข้ามาร่วมชูศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น สร้างความยั่งยืนด้านการท่องเที่ยว

นายจักริน วังวิวัฒน์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ ว่าด้วยเรื่องนโยบายการเปิดประเทศของรัฐบาล ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงใหม่ ด้านการกระตุ้นการท่องเที่ยว ซึ่ง มีแนวโน้มจะฟื้นตัวขึ้นจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ประกอบกับในจังหวัดเชียงใหม่มี ศาสนสถาน (วัด) ที่มีศิลปวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ด้านสถาปัตยกรรมแบบล้านนาที่สวยงาม จึงมีแนวคิดในการร่วมมือกับ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) และ บริษัท เชียงใหม่วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด (CSE) ในการสานต่อกิจกรรม “เชียงใหม่ Light Up” โครงการเพิ่มศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวด้านศาสนสถาน ด้วยการติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างประสิทธิภาพสูง และพลังงานแสงอาทิตย์  โดยจะเริ่มประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์และดำเนินโครงการต่อเนื่อง คาดว่าจะเห็นผลในปลายปี 2565 ซึ่งจะสอดรับกับช่วงเทศกาลประเพณีของจังหวัดเชียงใหม่

 

 

สภากทม.เชิญเที่ยวงาน 'สะพานเชื่อมสัมพันธ์ไทย – ซาอุดิอาระเบีย' ณ ศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทย ถนนรามคำแหง (ซอย 2) เขตสวนหลวง

ที่มูลนิธิเพื่อศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทย เขตสวนหลวง : เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ๒๕๖๕ นายพินิจ กาญจนชูศักดิ์ สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เขตสัมพันธวงศ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการ การวัฒนธรรม การท่องเที่ยวและการกีฬา สภากรุงเทพมหานครและคณะฯ ร่วมงานนิทรรศการ “สะพานเชื่อมสัมพันธ์ไทย – ซาอุดิอาระเบีย (Efforts of the Kingdom of Saudi Arabia in serving Muslim Brothers) ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบียประจำประเทศไทย เป็นผู้จัดงานนิทรรศการฯ ขึ้น โดยมีนายอิซอม ซอเละห์ อัลจีเตลี่ (H.E. Mr. Essam Saleh H. Algetale) หัวหน้าคณะผู้แทน สถานเอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบียประจําประเทศไทย ให้การต้อนรับและนำชมงาน พร้อมด้วยนายสามารถ มะลูลีม ประธานมูลนิธิเพื่อศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทยและผู้ที่เกี่ยวข้อง ร่วมชมงาน

นายพินิจ กาญจนชูศักดิ์ ประธานคณะกรรมการ การวัฒนธรรม การท่องเที่ยวและการกีฬา สภากทม.กล่าวว่า กรุงเทพมหานครยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวซาอุดิอาระเบีย ซึ่งในอนาคตน่าจะมีการเพิ่มเที่ยวบินมากขึ้น เนื่องจากกรุงเทพมหานครมีความพร้อมที่จะเปิดเมืองต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวซาอุดิอาระเบีย และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยท่านทูตฯ บอกว่ายินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ก็สามารถมาเยี่ยมชมนิทรรศการ ประเพณี วัฒนธรรมต่าง ๆ พร้อมร่วมเยี่ยมชมสินค้าและชิมอาหาร Arabian Food ได้ ซึ่งเหลือการจัดงานพรุ่งนี้อีกเพียงวันเดียว จึงอยากเชิญชวนทุกท่านมาร่วมชมงานนิทรรศการฯ ดังกล่าว

'กรณ์' ขอทีมเศรษฐกิจรัฐบาล เร่งพิจารณาแก้หนี้ 13 ล้านบัญชี แก้ปัญหาติดเครดิตบูโร ยิ่งช้า คนเดือดร้อน ติดเครดิตบูโรเพิ่มวันละ 1 หมื่นคน ย้ำเป็นหนี้จากนโบบายรัฐ จะทอดทิ้งไม่ได้ เตือนค่าไฟ ก.ย.นี้พุ่ง ส่วนลดรัฐ ไม่ช่วยคนเดือดร้อน

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณี ครม.มอบหมายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แยกสถานะลูกหนี้ เพื่อหามาตรการช่วยเหลือ ด้วยการจัดมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินทั่วประเทศว่า การแก้ปัญหาหนี้ ไม่ใช่แค่อีเวนต์จัดมหกรรม แต่ต้องมีมาตรการที่ชัดเจนและใช้ได้ทันที ซึ่งตนเองได้เสนอมาตรการพักชำระเงินต้น 2 ปี , ลดดอกเบี้ยให้เหลือ 1% หนึ่งปี , แขวนดอกเบี้ยค่าปรับไว้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับกระทรวงการคลังจะหยิบนำไปพิจารณาหรือไม่

"อย่าลืมว่าหนี้ 13 ล้านบัญชี เกิดจากนโยบายรัฐ ที่ประชาชนต้องกู้ช่วงโควิดระบาด รัฐจะทอดทิ้งไม่ได้ บัญชีเหล่านี้ตกเหวเป็นหนี้เสียไปแล้ว 3 ล้านบัญชี และกำลังจะเป็นหนี้เสียอีก 10 ล้านบัญชี ถ้ารัฐยังไม่มีมาตรการชัดเจน ทุกวันที่ผ่านไปจะมีคนติดเครดิตบูโรเพิ่มขึ้นอีก วันละ 1 หมื่นคน ก็หวังว่าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล จะออกมาตรการโดยเร็ว เพราะเรื่องนี้เรื่องใหญ่ ท่านรองนายกฯ บอกว่าเรื่องนี้ไม่ง่าย พรรคกล้าเราพร้อมช่วยคิดช่วยทำ ขอให้บอกมา" นายกรณ์ กล่าว

 

สหรัฐฯ แอบหวั่น!! ‘คลังแสง’ เริ่มร่อยหรอ ไม่อยู่ในระดับที่ไว้ใจได้ หากต้องทำสงคราม

วอลล์สตรีทเจอร์นัล เผย รัฐบาลสหรัฐฯ ส่งอาวุธป้อนกองทัพยูเครนมากจน ‘คลังแสง’ ของเพนตากอนเริ่มที่จะ ‘ขาดแคลน’ อาวุธบางประเภทเข้าให้แล้ว

วอลล์สตรีทอ้างแหล่งข่าวในกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ โดยระบุว่า กระสุนขนาด 155 มม. ซึ่งใช้กับปืนใหญ่อัตตาจร M777 ฮาววิตเซอร์ เหลืออยู่ในคลังแสงน้อยมาก จนทำให้เจ้าหน้าที่บางคนรู้สึกกังวล

เจ้าหน้าที่เพนตากอน (กลมโหม) ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ยืนยันกับวอลล์สตรีทว่า จำนวนกระสุน 155 มม. ในคลัง “ยังไม่ถึงขั้นวิกฤต” แต่ก็ “น้อยจนน่ากังวล” และ “ไม่อยู่ในระดับที่ไว้วางใจได้ หากต้องทำสงคราม”

สำหรับปืนใหญ่ฮาววิตเซอร์ ถือเป็นปืนใหญ่ลากจูงที่สามารถยิงโจมตีเป้าหมายซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปหลายไมล์ และตามข้อมูลของเพนตากอน ณ วันที่ 24 ส.ค. สหรัฐฯ รับปากจะส่งปืนใหญ่ M777 ฮาววิตเซอร์ ให้ยูเครนแล้วทั้งหมด 126 กระบอก รวมถึงกระสุนขนาด 155 มม. อีกราวๆ 806,000 นัด

ขณะที่สัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลสหรัฐฯ ได้รวมกระสุนขนาด 155 มม. อีก 245,000 นัดเข้าไว้ในแพ็กเกจช่วยเหลือยูเครนมูลค่า 2,980 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นความช่วยเหลือทางทหารล็อตใหญ่ที่สุดที่วอชิงตันเคยมอบให้เคียฟ นับตั้งแต่รัสเซียเปิดศึกรุกรานยูเครนเมื่อวันที่ 24 ก.พ. 65

รู้จัก ‘โกตัม อดานิ’ เจ้าสัวคนแรกจากเอเชีย รวยติด Top 3 ของโลก แซงหน้า ‘บิล เกตส์’

แม้ว่าชื่อ ‘โกตัม อดานิ’ (Gautam Adani) อาจไม่ค่อยคุ้นหูเท่ากับเจ้าสัวอินเดียชื่อดังคนอื่น ๆ อย่าง ‘มูเกซ อัมบานี’ ผู้ครอบครองธุรกิจน้ำมันและพลังงานในอินเดีย หรือ ‘ไซรัส พูนาวัลลา’ เจ้าของบริษัทผลิตวัคซีน Serum Institute of India 

แต่ชาวอินเดียรู้จัก โกตัม อดานิ เป็นอย่างดี ในฐานะเจ้าสัวคนเก่งด้านการพาณิชย์ ที่เริ่มต้นจากการทำงานเป็นคนคัดเกรดเพชร ก่อนจะขยายตัวไปยังธุรกิจส่งออก, สินค้าเกษตร, ถ่านหิน, เหมืองแร่, ท่าเรือ และกำลังขยับเข้าสู่ธุรกิจคลื่นความถี่ดิจิทัล ด้วยการลงสู้ศึกการประมูลคลื่นความถี่ 5G ในอินเดีย ที่ต้องฟาดฟันในสนามเดียวกับ มูเกซ อัมบานี แบบที่กล้าประกาศว่า ไม่ได้ลงมาชิงแบบเล่น ๆ เช่นกัน 

ความสนใจของ โกตัม อดานิ ในวันนี้ คือ เขามีทรัพย์สินเพิ่มมากถึง 1.37 แสนล้านเหรียญ ถึงขั้นที่ทำให้ Bloomberg Billionaires Index ตัองขยับอันดับบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกให้เขาขึ้นมาติดอยู่ในอันดับ 3 ของโลก เป็นรองเพียงแค่ ‘อีลอน มัสก์’ และ ‘เจฟฟ์ เบโซส’ เท่านั้น และแถมยังเป็นอันดับสูงที่สุดที่อภิมหาเศรษฐีเชื้อสายเอเชียเคยก้าวมาถึง ซึ่งแม้แต่ ‘มูเกซ อัมบานี’ หรือ ‘แจ็ก หม่า’ ก็ยังไม่เคยมาได้ไกลเท่านี้มาก่อน

โกตัม อดานิ เกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1962 ที่เมืองอะห์มดาบาด ในรัฐคุชราต มีพี่น้องถึง 7 คน ครอบครัวมีฐานะปานกลาง พ่อของเขามีธุรกิจค้าผ้าเล็ก ๆ และสอนให้ลูก ๆ รู้จักการทำธุรกิจค้าขายตั้งแต่ยังเด็ก เพราะตั้งใจให้ลูก ๆ รับช่วงธุรกิจค้าผ้าต่อจากผู้เป็นบิดา 

ในบรรดาลูก ๆ ทั้ง 7 คน มี โกตัม อดานิ ที่มีแวว และสนใจเรื่องการทำการค้ามากที่สุด เขาเลือกเรียนต่อระดับปริญญาตรีด้านพาณิชยกรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยคุชราต แต่เรียนได้แค่ปีเดียว โกตัม ตัดสินใจลาออกมาลุยสนามการค้าของจริงในโลกภายนอก

โดยเริ่มจากการเป็นพนักงานคัดเกรดเพชรฝึกหัด ต่อมาเขามาช่วยพี่ชายทำงานที่บริษัทนำเข้าเม็ดพลาสติก และ สารพอลิไวนิล ที่เป็นจุดเริ่มต้นให้พี่น้องตระกูล อดานิ ได้เรียนรู้ขั้นตอนการนำเข้า-ส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ 

พวกเขาจึงออกมาตั้งบริษัทเองชื่อว่า Adani Enterprises ทำธุรกิจส่งออก, สินค้าเกษตร, โภคภัณฑ์, โลหะ, สิ่งทอ ต่อมาขยายกิจการสู่การพัฒนาท่าเรือส่งสินค้าเป็นของตัวเอง ซึ่งปัจจุบัน ครอบครัว อดานิ เป็นเจ้าของท่าเรือสินค้าในอินเดียกว่า 10 แห่ง และยังเป็นท่าเรือเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย 

หลังจากนั้นก็ขยายเข้าสู่ธุรกิจด้านพลังงานอย่างเต็มตัว โดยตอนนี้ โกตัม อดานิ เป็นเจ้าของโรงงานผลิตไฟฟ้าพลังความร้อนที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย และยังชนะประมูลโครงการก่อสร้าง โรงไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์ ของรัฐบาลอินเดีย ที่มีมูลค่าถึง 6 พันล้านดอลลาร์อีกด้วย

'โรงเรียนสิริรัตนาธร' ออกหนังสือแจ้งผู้ปกครอง อย่าตัดสิน-ทำลายความมั่นใจเด็กจากคะแนนสอบ

โรงเรียนสิริรัตนาธร เขตบางนา กทม. ได้มีการออกหนังสือถึงผู้ปกครอง แจ้งเรื่องการสอบปลายภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 

ซึ่งในหนังสือ กล่าวถึงการให้ผู้ปกครองมีทัศนคติกับคะแนนสอบในอีกแง่มุมหนึ่ง ซึ่งมีการระบุข้อความบางช่วงบางตอนว่า 

“ … โรงเรียนทราบว่าการสอบในครั้งนี้ อาจจะทำให้ท่านวิตกกังวลว่า นักเรียนของท่านจะทำข้อสอบได้หรือไม่ แต่โปรดเข้าใจไว้ว่าในกลุ่มนักเรียนที่นั่งสอบอยู่นี้ มีนักธุรกิจที่ไม่สนใจเรื่องประวัติศาสตร์หรือการประพันธ์ภาษาอังกฤษ มีนักคอมพิวเตอร์ที่ไม่สนใจเรื่องคะแนนสอบวิชาเคมี มีศิลปินที่ไม่มีความจำเป็นที่จะรู้เรื่องคณิตศาสตร์ มีนักกีฬาที่สนใจความสามารถทางร่างกายมากกว่าวิชาฟิสิกส์ มีนักการเมืองที่สนใจเรื่องข่าวสารบ้านเมืองมากกว่าวิชาศิลปะ

ถ้านักเรียนในปกครองของท่านทำคะแนนได้สูงสุดนั้น หมายถึงเป็นหนึ่งหรือยืนหนึ่ง แต่ถ้าลูกทำไม่ได้โปรดอย่าทำลายความเชื่อมั่นและความนับถือของพวกเขา บอกลูกว่ามันดีมากแล้ว มันแค่การสอบ มันยังมีอะไรอีกมากในชีวิต บอกลูกท่านว่าไม่ว่าคะแนนสอบออกมาแบบไหน คุณก็รักเขาและจะไม่ตัดสินเขา

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จับมือ คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ปั้นโครงการ Special LawLAB “การสืบสวนสอบสวนยุค 5G” เปิดโลกตำรวจ ดึงนิสิตฯ เยาวชนเจอเนเรชันใหม่ อบรม เรียนรู้งานสืบสวน สอบสวน หวังแลกเปลี่ยนมุมความคิด สร้างความเข้าใจ

เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2565 ห้องประชุมสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ชั้น 4 อาคารเทพทวาราวดี คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดโครงการ Special LawLAB  "การสืบสวนสอบสวนยุค 5G"  โครงการนำร่องศึกษาเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง  หรือ Young Lawyers - Police Engagement Pilot Project จัดโดยกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)  และกองบัญชาการศึกษา (บช.ศ.) ที่คัดเลือกนิสิตชั้นปีที่ 2 - 4 คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 25 คน จากผู้สมัครกว่า 90 คน  เข้าฝึกอบรมภาควิชาการ และภาคปฏิบัติ กับตำรวจใน 6 หน่วยงาน ประกอบด้วย กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล, สน.พญาไท, สน.ห้วยขวาง, สน.บางเขน, สน.บางนา และ สน.พระโขนง โดยมี พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปารีณา ศรีวนิชย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมงาน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปารีณาฯ กล่าวเปิดงานว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอโครงการ Special LawLAB ซึ่งสอดคล้องกับโครงการ จุฬา LawLAB ให้นิสิตคณะฯ เรียนรู้จากประสบการณ์จริง โครงการนี้เป็นเรื่องที่ดี เปิดโอกาสให้นิสิตฝึกงาน ปฏิบัติงานสืบสวนสอบสวนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจากประสบการณ์จริง ช่วยให้นิสิตที่จะจบไปเป็นนักกฎหมายยุคใหม่ เข้าใจชีวิตการทำงานจริง นำประสบการณ์มาต่อยอดพัฒนากฎหมายในอนาคต ซึ่งโครงการนี้เป็นมิติใหม่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติปฏิบัติตามแนวทางของสหประชาชาติ  โดยการทำงานกับภาคสังคมโดยเฉพาะเยาวชน ขณะเดียวกันยังทำให้ตำรวจเข้าใจประชาชน ผ่านนิสิตซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างที่มีความหลากหลาย แตกต่างช่วงวัย และสภาพสังคม 

พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ กล่าวในการปฐมนิเทศนิสิตที่เข้าร่วมโครงการ โดยบรรยายพิเศษ เรื่อง “หลักการสืบสวนสอบสวนในยุค 5G”  กล่าวว่า โครงการนี้เป็นความตั้งใจเปิดโลกการทำงานของตำรวจให้สังคมผ่านกลุ่มเยาวชน ที่เป็นนิสิตนักศึกษา เป็นไพลอตโปรเจ็กทดลองกับนิวเจเนอเรชัน

“เป็นการเปิดโลกการทำงานของตำรวจ ให้น้อง ๆ เยาวชนได้เข้าใจ ขณะเดียวกันเราก็เรียนรู้ความคิดของน้อง ๆ เยาวชนคนรุ่นใหม่ด้วย โดยเฉพาะน้อง ๆ เป็นนิสิตที่เรียนรู้ด้านกฎหมายอยู่แล้ว หวังว่านอกจากเรียนรู้ซึ่งกันและกันแล้ว นิสิตที่ผ่านการอบรมจะสามารถแอปพลายกฎหมายกับการทำงานจริง โดยคณะนิติศาสตร์มีโครงการ LawLAB อยู่แล้ว สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็เข้ามามีส่วนร่วม จะได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน หากทำแล้วมีประโยชน์จะขยายโครงการไปในภาคประชาชนด้วย โดยนิสิตที่เข้าร่วมโครงการ จะเข้าไปเรียนรู้การทำงานจริงของตำรวจทุกด้าน ทั้งงานจราจร การตั้งด่าน ออกตรวจ งานสอบสวน การทำงานของพนักงานสอบสวน รวมไปถึงการสืบสวน เขาจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง เขาเรียนกฎหมายเรียนด้านทฤษฎีมา แต่ในหลักสูตรนี้จะได้เรียนรู้ว่าจะนำกฎหมายที่เรียนมา ไปประยุกต์ใช้เมื่อปฏิบัติจริงได้อย่างไร” ผบ.ตร.กล่าว

กองบังคับการตำรวจทางหลวง ครบรอบ 62 ปี เดินหน้าปรับแนวทางปฏิบัติงาน ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน “เพื่อความเชื่อถือและศรัทธาของประชาชน บนภารกิจพิทักษ์สันติราษฎร์”

วันที่ (30 สิงหาคม 2565) เวลา 07.00 น. พล.ต.ต.เอกราช ลิ้มสังกาศ ผบก.ทล., พร้อมด้วย พ.ต.อ.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ รอง ผบก.ทล., พ.ต.อ.ชาคริต มงคลศรี รอง ผบก.ทล., พ.ต.อ.สุขสวัสดิ์ คูสิทธิผล รอง ผบก.ทล., พ.ต.อ.จตุพล เร่งถนอมทรัพย์ รอง ผบก.ทล., พ.ต.อ.สุมรภูมิ ไทยเขียว รอง ผบก.ทล., พ.ต.อ.ธนนท์ โตงิ้ว รอง ผบก.ทล., แม่บ้านตำรวจทางหลวง พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจทางหลวงร่วมพิธีบวงสรวงสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำ กองบังคับการตำรวจทางหลวง เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากองบังคับการตำรวจทางหลวง ครบรอบปีที่ 62 พร้อมมอบทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดาข้าราชการตำรวจทางหลวง จำนวน 426 ทุน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,500,000 บาท และทุนการศึกษาให้แก่เด็กพิเศษ ที่เป็นบุตรข้าราชการตำรวจทางหลวง จำนวน 50,000 บาท 

โดย ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง กล่าวว่า บก.ทล. ได้ถือกำเนิดขึ้นด้วยความร่วมมือระหว่างกรมทางหลวงและกรมตำรวจในขณะนั้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดูแลและให้บริการพี่น้องประชาชน ผู้ใช้ทางหลวง รวมถึงการปราบปรามอาชญากรรมในหน้าที่ตำรวจ ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและเทคโนโลยี เป็นเหตุให้เราต้องกำหนดเป้าหมาย บทบาท และแนวทางการปฏิบัติงาน ให้เกิดความสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน เพื่อให้ประชาชนเกิดความไว้วางใจ เชื่อถือ ศรัทธา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top