Tuesday, 10 June 2025
NEWS FEED

รองปลัดแรงงาน เปิดการประชุม การจ้างงานเยาวชนในประเทศไทย แนวโน้มตลาดแรงงานผลกระทบจากวิกฤตการณ์โควิด – 19 นโยบายแรงงาน และการสนับสนุนเยาวชนเพื่อการฟื้นฟูที่เน้นคนเป็นศูนย์กลางในประเทศไทย

วันที่ 30 สิงหาคม 2565 เวลา 09.30 น. นางบุปผา พันธุ์เพ็ง รองปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดการประชุม “การจ้างงานเยาวชนในประเทศไทย (Youth employment in Thailand)” แนวโน้มตลาดแรงงานผลกระทบจากวิกฤตการณ์โควิด – 19 นโยบายแรงงาน และการสนับสนุนเยาวชนเพื่อการฟื้นฟูที่เน้นคนเป็นศูนย์กลางในประเทศไทย ณ โรงแรม ดิ แอทธินี กรุงเทพฯ โดยกล่าวว่า เรื่อง NEETs (นีท) เป็นประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่งต่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งจำนวนเยาวชนอายุ 15 ถึง 24 ปี ที่ไม่ได้อยู่ในการจ้างงาน การศึกษา หรือการฝึกอบรม มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนั้น ผลกระทบจากวิกฤตโควิด – 19 ทำให้เศรษฐกิจและตลาดแรงงานในประเทศไทยต้องหยุดชะงัก เยาวชนต้องเผชิญกับปัญหาการว่างงาน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว

โดยการส่งเสริมการจ้างงานแก่เยาวชน เพื่อลดปัญหาการว่างงาน รวมถึงการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทย อย่างที่ทุกท่านทราบดีว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” การเตรียมเยาวชนหญิงและชายให้มีทักษะเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน และอยู่ในการจ้างงานที่มีประสิทธิผลและเป็นงานที่มีคุณค่า เป็นสิ่งสำคัญสำหรับอนาคตของเศรษฐกิจ ตลอดจนการพัฒนาประเทศและสังคมโดยรวม ซึ่งการมีทักษะงานที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน รวมถึงระบบแนะแนวด้านอาชีพในสถานศึกษาที่ไม่มีประสิทธิภาพ เป็นเหตุให้เยาวชนต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่าง ๆ เมื่อออกจากโรงเรียนและเข้าสู่การหางานทำ เยาวชนจึงประสบปัญหาในการเปลี่ยนผ่านจากโรงเรียนสู่การทำงานและการเปลี่ยนย้ายงาน ด้วยเหตุนี้ จึงมีเยาวชนหญิงและชายจำนวนมากที่ไม่ได้อยู่ในระบบการจ้างงาน การศึกษา หรือการฝึกอบรม

'อลงกรณ์' ร่วมเสวนา'สภาผู้แทนฯ' ชู5ยุทธศาสตร์ 'เฉลิมชัย' ปฏิรูปภาคเกษตรแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรเน้นแปรรูปสู่เกษตรมูลค่าสูง 

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ให้เกียรติร่วมเป็นวิทยากรการสัมมนาและบรรยายในหัวข้อเรื่อง”การแก้ไขปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรโดยการเพิ่มมูลค่าด้านการผลิตการแปรรูป และการตลาด” ร่วมกับ นายวีระกร คำประกอบ ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมมาธิการ นายอุดม ศรีสมทรง รองอธิบดีกรมการค้าภายใน และมีนายจาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์ เป็นผู้ดำเนินรายการเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการผลิต การแปรรูป และการตลาด ของผลผลิตทางการเกษตรให้แก่ผู้เข้าร่วมการสัมมนาครั้งนี้ จำนวน 200 คน ซึ่งจัดโดยคณะกรรมาธิการแก้ไขปัญหาราคาผลิตผลเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฎร เมื่อ29ส.ค. ณ ห้องประชุมสัมมนา B 1-1 ชั้น B 1 อาคารรัฐสภา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง ข้อเสนอแนะ และระดมข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการเพิ่มมูลค่าด้านการผลิต การแปรรูป และการตลาด เพื่อแก้ไขปัญหาราคาผลิตผลทางการเกษตร และยกระดับรายได้เกษตรกรให้มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ  

นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ในฐานะประเทศผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรอันดับ13ของโลกทำให้สินค้าเกษตรของไทยต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศเป็นหลัก
โดยเฉพาะวิกฤตการณ์ที่ส่งผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบต่อราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก เช่นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ( Climate Change )การแพร่ระบาดของโควิด -19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครนส่งผลให้ปุ๋ยเคมี น้ำมันเชื้อเพลิง และวัตถุดิบอาหารสัตว์มีราคาแพงทำให้ต้นทุนกาคผลิตภาคการเกษตรเพิ่มสูงขึ้น

การแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรจึงต้องขับเคลื่อนเชิงยุทธศาสตร์และแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจนที่เรียกว่า "คานงัด" เพื่อรับมือกับสถานการณ์ความผันผวนของโลก

กระทรวงเกษตรฯ จึงสร้างคานงัดเพื่อสร้างจุดเปลี่ยนแบบองค์รวมเป็นกลไกแก้ไขปัญหาและพัฒนาศักยภาพภาคเกษตรของไทยจากต้นน้ำถึงปลายน้ำภายใตั 5 ยุทธศาสตร์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ. ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้แก่ 1) ตลาดนำการผลิต 2) เทคโนโลยี่เกษตร 4.0 3) "3 S"เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคงและเกษตรยั่งยืน 4) เกษตรกรรมยั่งยืน และ 5) บูรณาการทำงานเชิงรุกกับทุกภาคส่วนโดยมีตัวอย่าง คานงัด ที่ดำเนินการเช่น
1. การสร้างหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านเกษตร อาทิ การเจรจาความร่วมมือกับประเทศเวียดนามเพื่อยกระดับราคาข้าวในตลาดโลก ถือเป็นความสำเร็จในการสร้างความร่วมมือของ2ประเทศในฐานะประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าวอันดับที่ 2 และ 3 ของโลก โดยตั้งกลไกในการขับเคลื่อน เพื่อร่วมกันสร้างอำนาจการต่อรองราคาข้าวในตลาดโลก หรือการยกระดับความร่วมมือกับซาอุดีอาระเบีย และดูไบในการขยายตลาดสินค้าเกษตรในภูมิภาคตะวันออกกลาง แอฟริกาและยุโรป
2. ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต “เกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด”ในรูปแบบ online-offline ทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯ.กับกระทรวงพาณิชย์โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์ รวมทั้งความร่วมมือกับหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

3. สร้างโอกาสตลาดใหม่และลดต้นทุนโลจิสติกส์ด้วยแนวทาง "เชื่อมไทย เชื่อมโลก" เช่น กรณีรถไฟจีน-ลาวขนส่งสินค้าเกษตรไปจีนและร่วมมือกับคาซัคสถาน และดูไบในโครงการท่าบกคอคอสเป็นชุมทางรถไฟบริเวณพรมแดนจีน-คาซัคสถานเพื่อขนส่งจากอีสานเกตเวย์ไปเอเซียกลาง ตะวันออกกลาง และยุโรป
4. เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ด้วยนโยบายเทคโนโลยีเกษตรและนโยบายคุณภาพและมาตรฐาน เช่น การจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (ศูนย์AIC) ทุกจังหวัดโดยใช้เทคโนโลยีและภูมิปัญญาไทยยกระดับการผลิตอย่างมีคุณภาพและมาตรฐาน
5. การแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มสร้างแบรนด์สู่เกษตรมูลค่าสูง เช่น การจัดตั้งคณะกรรมการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับสภาอุตสาหกรรมแห่ง (กรกอ.) ร่วมเดินหน้าโครงการ 
"1 กลุ่มจังหวัด1นิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหาร" เพื่อกระจายฐานตลาดและฐานการแปรรูปสินค้าเกษตรใน18กลุ่มจังหวัดครอบคลุมทั่วประเทศและโครงการ "เกษตรแม่นยำ 2 ล้านไร่" และขยายเป็น 5 ล้านไร่ เพื่อให้สินค้าเกษตรมีตลาดอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นและมีผลิตภัณฑ์เกษตรมากขึ้นจะทำให้ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้นและมีเสถียรภาพมากขึ้น

'สุริยะ' จี้!! ทุกหน่วยงาน ก.อุตฯ ติดตามสถานการณ์น้ำ หากกระทบ 'ธุรกิจ-ประชาชน' ในพื้นที่ท่วม ให้รุดช่วยทันที

'สุริยะ' สั่งการหน่วยงานกระทรวงอุตสาหกรรม ติดตามสถานการณ์ฝนตกหนัก เตรียมความพร้อมหากเกิดผลกระทบแก่ผู้ประกอบการ และประชาชนในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในกระทรวงอุตสาหกรรม ติดตามสถานการณ์ เตรียมมาตรการป้องกันน้ำท่วมผลกระทบความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่ผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย โดยให้เข้าช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหาย รวมทั้งให้เตรียมมาตรการต่าง ๆ รองรับในทุกสถานการณ์ ทั้งในส่วนของอุตสาหกรรมจังหวัดที่กำกับดูแลสถานประกอบการอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยที่ดูแลนิคมอุตสาหกรรมในนิคมฯ กรมโรงงานอุตสาหกรรมที่ดูแลเขตประกอบการอุตสาหกรรมทั่วประเทศ และรวมไปถึงธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย กองทุนเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ให้ดูแลสินเชื่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม

'แก๊งบิ๊กไบก์' จูงรถไปสตาร์ตไกลๆ เหตุเกรงใจเพื่อนบ้าน มีเด็กอ่อน

เพื่อนบ้านที่ดีต้องรู้จักเกรงใจกัน ชาวเน็ตแห่ชื่นชมหลังแก๊งบิ๊กไบค์รวมตัวกันจะกลับบ้านในช่วงดึก แต่ต้องจูงรถไปติดเครื่องไกล ๆ เหตุจากเพื่อนบ้านมีเด็กอ่อน หวั่นเสียงดังรบกวน

เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ผู้ใช้แอปพลิเคชัน TikTok ชื่อว่า meenaxsr900 ได้โพสต์คลิปวิดีโอความยาว 48 วินาที เผยให้เห็นความน่ารักของกลุ่มบิ๊กไบค์ ที่จูงรถกันออกไปเพื่อที่จะไปสตาร์ตรถในที่ห่างไกลเพื่อนบ้าน เนื่องจากเพื่อนบ้านมีเด็กเล็ก ประกอบกับช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงกลางคืน หวั่นว่าจะไปสร้างความรำคาญให้กับเพื่อนบ้านและรบกวนเวลานอนของเด็กน้อย เพราะบิ๊กไบค์เวลาติดเครื่องเสียงท่อจะดังมาก ๆ

สวนนงนุชพัทยา ขยายโปรโมชั่นสำหรับบัตรผ่านประตู ซื้อ1ฟรี 1 ตลอดเดือนกันยายน 2565 เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวแบบไทยเที่ยวไทย

 

นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ขยายเวลาโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวแบบไทยเที่ยวไทย ซื้อบัตรผ่านประตู 1ใบฟรี 1ใบ ออกไปอีก ตลอดเดือนกันยายน 2565  พร้อมชมการแแสดงนงนุชโชว์และช้างแสนรู้ วันละ 2 รอบในราคาพิเศษเพียงจ่ายเพิ่มอีก 100 บาท

สวนนงนุชพัทยาคืองานพืชสวนโลก 365 วันเป็นแห่งต้นๆของโลกที่สามารถเข้าชมเนิร์สเซอรี่ที่เก็บรวบรวมพันธุ์ไม้ต่างๆมากกว่า 18,000 ชนิด ที่มีครบทั้งสวนสวยและแหล่งเรียนรู้โดยเปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 น. -18.00 น. ส่วนเด็กที่มากับครอบครัวความสูงไม่เกิน140 ซม.เข้าฟรี สำหรับผู้สูงอายุเข้าชมสวนฟรีทุกวันศุกร์  สำหรับรอบการแสดงเวลา 10.30 น.และ 13.30 น.   

สวนนงนุชพัทยา ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องปัจจุบันมีสวนสวยมากกว่า 50 จนติดอันดับ 1ใน10สวนสวยที่สุดในโลก ซึ่งสามารถนั่งรถชมสวนสวยบนพื้นที่1,700 ไร่ ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ชื่นชอบในการใช้บริการ เพราะประหยัดเวลา สะดวกสบายไม่เหนื่อย ผู้สูงอายุและคนพิการก็สามารถขึ้นรถชมสวนได้ เพราะเรามีรถชมวิวที่ออกแบบมาไว้สำหรับรับรอง ทั้งผู้พิการและผู้สูงอายุ

รัฐบาล ปลื้ม เอเปค สธ.บรรลุ12 ข้อมติ ผสานมือสร้างความมั่นคงทางสุขภาพ

เมื่อวันที่ 30 ส.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุมระดับสูงเอเปกว่าด้วยสาธารณสุขและเศรษฐกิจ (The 12th APEC High-Level Meeting on Health and Economy : HLM12) ครั้งที่ 12 ที่กรุงเทพฯ หัวข้อ“เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์กับภาคี เชื่อมโยงกันกับโลก สู่สมดุลระหว่างสาธารณสุขและเศรษฐกิจ”  ได้เสร็จสิ้นลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งมีผลลัพธ์ที่สำคัญจากการประชุมครั้งนี้คือ ข้อมติ 12 ข้อ โดยไทยยังได้รับเสียงชื่นชมจากนานาประเทศถึงการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างดีเยี่ยม โดยข้อมติ 12 ข้อ ถือเป็นผลลัพธ์ที่สำคัญจากการประชุม ที่มุ่งสร้างสมดุลทางด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ สอดคล้องกับแนวคิดหลักของการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปกของไทยในโมเดลเศรษฐกิจ Bio-Circular-Green (BCG) 

นายอนุชา กล่าวว่า โดยสาระสำคัญของ 12 ข้อมติ ครอบคลุมถึงการส่งเสริมความร่วมมือระดับนานาชาติ และระดับภูมิภาค และความเป็นหุ้นส่วนเพื่อพัฒนาสุขภาพและความมั่งคั่งของผู้คนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก การเปิดพรมแดนเพื่อการเดินทางที่ปลอดภัย การแบ่งปันและถ่ายทอดเทคโนโลยีวัคซีนโควิด-19 โดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านสุขภาพดิจิทัล การเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับบุคลากรด้านสาธารณสุข การสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การเข้าถึงวัคซีน การส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 และการสนับสนุนการเข้าถึงวัคซีน การรักษา และการวินิจฉัยโควิด-19 ที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพ และราคาไม่แพง ความเท่าเทียมด้านสุขภาพและจัดการกับอุปสรรคด้านสุขภาพโดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงในภาคแรงงาน ธุรกิจ และผู้ประกอบการ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมจากโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเริ่มต้นของกิจกรรมทางสังคม การเรียน และธุรกิจในเขตเศรษฐกิจเอเปกการสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการระบาดใหญ่ครั้งต่อไปผ่านการลงทุนเรื่องระบบสุขภาพ การร่วมมือกับภาคเอกชนให้มากยิ่งขึ้น และการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่เปิดกว้าง เป็นธรรม และครอบคลุม

'วราวุธ' เชื่อมั่น ไทยจะเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน ผ่านการดูแลรักษาป่า

วันนี้ (29 สิงหาคม 2565) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ "ความสำคัญของทรัพยากรป่าไม้ต่อยุทธศาสตร์ชาติด้านการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการสืบสานพระราชดำริพระพันปี" และร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) “โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ระหว่าง กรมป่าไม้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ โดยมี หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวถึงความสำคัญของการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ และมีคณะผู้บริหารฯ ผู้แทนภาคเอกชน ตลอดจนเครือข่ายป่าชุมชน เข้าร่วมงาน ณ ห้องอารีย์สัมพันธ์ อาคารกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม

นายวราวุธ กล่าวว่า การสืบสานโครงการพระราชดำริต่างๆ เป็นภารกิจสำคัญอันดับหนึ่งของกระทรวงฯ และถือเป็นโชคดีของพสกนิกรชาวไทย ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงตระหนักถึงความสำคัญของป่าไม้และทรงอุทิศพระวรกายบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในการพัฒนาทรัพยากรป่าไม้ โดยทรงยึดถือแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในการพัฒนาด้วยแนวทางผสมผสาน ให้คนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างเกื้อกูลและยั่งยืน ทั้งนี้ ภาคป่าไม้ มีบทบาทสำคัญต่อการมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2065 เนื่องจากเป็นแหล่งสะสมคาร์บอนขนาดใหญ่ของโลก การอนุรักษ์และปลูกป่าจึงเป็นกลไกสำคัญในการช่วยกักเก็บคาร์บอน บรรเทาความรุนแรงของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งสามารถสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนได้ในทุกปีจากการซื้อขายคาร์บอนเครดิต

'อ.กิตติธัช' ทวนความจำบทเรียนครั้งสำคัญของคนไทย เมื่อดราม่าโควิด ถูก 'สื่อ-คนดัง-นักการเมือง' หลอกลวง

กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระและอาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก 'Kittitouch Chaiprasith' ระบุว่า...

บทเรียนครั้งสำคัญของคนไทย
ที่ถูกสื่อ คนดัง นักการเมืองหลอกลวง
กับดราม่าเรื่องวัคซีนโควิด-19 เมื่อปีที่แล้ว

วันนี้ผมจะกลับมาทบทวนความจำให้สังคมไทยกันอีกครั้ง เพื่อให้ตกผลึกและทบทวนความจำกันนะครับ

1. วัคซีนโควิด-19 (ในเวลานั้น) เป็นวัคซีน 'ใช้กรณีฉุกเฉิน' (Emergency Usage Authorization) บริษัทผู้ผลิตจะไม่ขายให้เอกชนรายใดทั้งสิ้น เขาจะขายให้แต่กับรัฐบาลโดยตรงเท่านั้น เพราะมันต้องใช้ข้อกฎหมายยกเว้น เพราะหากมีผลข้างเคียง ก็จะได้ฟ้องร้องไม่ได้

2. วัคซีนทุกชนิดมี 'ตัวแทนจำหน่าย' วัคซีนของไฟเซอร์ ก็มีบริษัทไฟเซอร์ประเทศไทย, โมเดอน่าก็มีบริษัท ซิลลิค ฟาร์มา, ซิโฟาร์ม ก็มีไบโอจีนีเทค เป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ในการจำหน่ายหรือดีลกับรัฐ

ดังนั้นที่คุณเห็นนักการเมืองฝ่ายค้าน Influencer สื่อ สถาปนิกชื่อดัง และเครือข่ายทั้งหลาย ออกมาโพนทะนานว่า "เพื่อนคนนั้นคนนี้มีเส้นสายบริษัท ติดต่อเอาเข้าวัคซีนมาได้" "ผมมีติดต่อรุ่นพี่ในบริษัทวัคซีนให้ช่วย" บลาๆๆ

ทั้งหมดคือ 'การโกหก' ในรูปแบบ 18 มงกุฎที่ตั้งใจหลอกลวงประชาชน เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจหรือประโยชน์ทางการเมืองทั้งสิ้น

หมายเหตุ : ตอนนั้นบริษัท ไฟเซอร์ ประเทศไทย ออกหนังสือแถลงการณ์มา 3 รอบ (แบบเดียวกับที่ผมพูดข้างบน) แต่สื่อ นักการเมือง และ Influencer ดังสายการเมืองก็ยังคงหน้าด้าน ไม่สนใจ และโกหกประชาชนอยู่ต่อไป

https://www.reuters.com/world/asia-pacific/thai-hospital-tycoon-sticks-guns-vaccine-claims-2021-07-16/

ขอให้สังคมไทยจำชื่อของคนเหล่านั้นไว้ให้ดี ทั้ง สื่อและ Influencer ทุกคนที่พยายามปั่นกระแสเรื่องวัคซีน ให้คนเข้าใจว่า 'รัฐบาลกีดกันไม่ยอมให้นำเข้าวัคซีน' และปั่นเพื่อเชิดชูคนที่โกหกหลอกลวงประชาชนให้เป็นฮีโร่

ขอให้ทุกคนรู้ไว้ว่าทั้งหมดที่คนเหล่านั้นทำ เขาทำไปเพราะเขามองพวกคุณเป็นแค่ 'หมากทางการเมือง' ที่จะปั่นหัว จะเอากะลา (สื่อ) มาครอบอย่างไรก็ได้ จะหลอกจะชี้นำอะไรก็ได้ โดยไม่สนใจข้อเท็จจริง

ขอเพียงแค่ให้ได้โจมตีรัฐบาลที่ไม่ใช่ฝั่งพวกเขา และมาเชิดชูนักการเมืองที่พวกเขาหนุนเท่านั้นเอง

วันนี้ผมคิดว่าคนไทยจำนวนมาก น่าจะเริ่มตาสว่างกันมากขึ้นแล้ว ว่าคุณเผชิญอยู่ในยุคที่คนทำสื่อและ Influencer ดัง พร้อมจะหลอกปั่นหัวพวกคุณ ด้วยเรื่องโกหก บิดเบือนได้ทุกอย่าง

ทั้งที่ปากพวกเขาอ้างว่า "เขารักเทิดทูน เป็นฝ่ายประชาธิปไตย" แต่คุณจะเห็นได้ว่าการกระทำของพวกเขาล้วนตรงข้ามกับคำว่าประชาธิปไตยทั้งสิ้น 

ประชาธิปไตยที่ดีตามหลักการปกครอง คือการให้ข้อมูลข่าวสารที่ครบถ้วนเป็นจริง เพื่อประชาชนจะได้ตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้อง

แต่สิ่งที่คนเหล่านั้นทำ ล้วนแต่เป็นการโกหกหลอกลวง บิดเบือนข้อมูลหรือเลือกนำเสนอครึ่งหนึ่งเสี้ยวเดียว เพื่อให้คุณเข้าใจผิดๆ ดังนั้นการกระทำของพวกเขา จึงตรงข้ามกับหลักการประชาธิปไตย (ที่ดี) อย่างสิ้นเชิง

ก็หวังว่าบทเรียนครั้งนี้ จะสอนสังคมไทยให้ได้โตขึ้นไปอีกขั้นและมีภูมิคุ้มกันที่ดีกับเรื่องโกหก บิดเบือนเหล่านี้มากขึ้นไม่มากก็น้อยนะครับ

เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น เราคงได้แต่รอวันที่สังคมไทยพังพินาศ เพราะถูกนักสร้างภาพหลอกลวงพวกนี้ กลับขาวเป็นดำ ดำเป็นขาว ดังเช่นกรณีที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับเรื่องวัคซีนโควิด-19

'ผศ.ดร.ธรณ์' แจง!! เมฆดำทะมึน เปลี่ยนเช้าให้เหมือนกลางคืน ผลพวงลมฟ้าอากาศสุดโต่งจากมนุษย์ ที่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

จากเฟซบุ๊ก 'Thon Thamrongnawasawat' โดย ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม ได้ไขข้อกระจ่างเมฆดำทะมึนบนท้องฟ้ากรุงเทพฯ เมื่อช่วงเช้าของวันที่ (29 ส.ค. 65) ไว้ว่า...

ภาพเมฆดำทะมึน เปลี่ยนกรุงเทพตอนเช้าให้เป็นเหมือนตอนกลางคืน คงเป็นสิ่งที่ทำให้เพื่อนธรณ์ตกใจ

นั่นคือเมฆโลกร้อน เกิดจากทะเลร้อน น้ำระเหยเยอะ อากาศร้อน จุไอน้ำได้มากขึ้น กลายเป็นเมฆจุน้ำมหาศาล พร้อมจะเททะลักลงมากลายเป็นฝนห่าใหญ่

เคราะห์ดีที่หนนี้ลมพัดผ่านไป ฝนตกไม่มาก แต่ยังมีหนหน้าและหนต่อไป เพราะนี่คือการเริ่มต้นของยุค Extreme Weather (ลมฟ้าอากาศสุดโต่ง)

สภาพภูมิอากาศสุดขั้วเกิดจากความแปรปรวนของโลก หลังจากที่มนุษย์ปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปสะสมกันมานาน และยังคงปล่อยต่อไป

กลายเป็นภัยพิบัติที่จะสร้างผลกระทบสาหัส โดยเฉพาะประเทศที่กำลังเปราะบางทางเศรษฐกิจ

ตัวอย่างเห็นชัด ปากีสถาน เจอมหาอุทกภัย จากสภาพอากาศเช่นนี้

ไม่ใช่เพียงฝนตกหนัก 8 สัปดาห์รวด ปริมาณน้ำจากฟ้ามากกว่าค่าเฉลี่ยเป็นเท่าๆ ยังรวมถึงธารน้ำแข็งบนหิมาลัยที่ละลายแบบไม่เคยเกิดมาก่อน

ปากีสถานเป็นประเทศที่มีธารน้ำแข็งมากที่สุดในโลก (ไม่นับแถบขั้วโลก) น้ำจากยอดเขาไหลทะลักมารวมน้ำฝน เกิดเป็นอุทกภัยทำให้ผู้เสียชีวิตนับพัน คน 33 ล้านคนเดือดร้อน แหล่งเกษตรเสียหายยับเยิน 

ความเสียหายที่เกิดขึ้นนับว่าเกินความสามารถประเทศที่กำลังอยู่ในสถานการณ์ทางการเงินไม่ดี จะรับมือได้ 

เมืองไทยเองก็กำลังเกิดน้ำท่วมใหญ่หลายแห่ง น้ำทางเหนือกำลังมา

ในขณะที่ลำธารและน้ำตกใกล้ภูเขา บางแห่งเจอน้ำป่าฉับพลัน ต้องปิดการท่องเที่ยวบางจุด

รวมไปถึงเมฆสีดำทะมึน ฝนตกรุนแรงในพื้นที่เล็กๆ เกิดน้ำท่วมรวดเร็ว 

คนเมืองเหนื่อยเหลือเกินกับการไปทำงาน/กลับบ้าน รถติด/น้ำเข้าบ้าน

นั่นคือบางตัวอย่างของ Extreme Weather ที่เราเจอและจะเจอต่อไป

ครั้งแรกในรอบ 94 ปี เวทีประกวดมิสผู้ดี เมื่อสาวอังกฤษใช้หน้าสดร่วมชิงมงกุฎ

ผู้เข้ารอบสุดท้ายเวทีมิสอังกฤษ กลายเป็นสาวสายคนแรกที่เข้าประกวดโดยไม่แต่งหน้า ในประวัติศาสตร์เวทีประชันความงามที่มีนานเกือบ 1 ศตวรรษ

เมลิสซา ราอูฟ สาวงามวัย 20 จากกรุงลอนดอน นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ผ่านรอบรอบรองชนะเลิศเมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา หลังจากเลือกเข้าชิงชัยด้วยหน้าสด และเวลานี้เธอจะเข้าประกวดรอบสุดท้าย ลุ้นชิงมงกุฎมาครอบครองในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้

ราอูฟ กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์อินดิเพนเดนท์ของสหราชอาณาจักร หลังจากสร้างประวัติศาสตร์ครั้งแรกในรอบ 94 ปี เป็นสาวงามคนแรกที่เข้าประกวดโดยไม่แต่งหน้า ใช้หน้าสดร่วมชิงมงกุฎกับสาวงามผู้ร่วมประกวดคนอื่น ๆ อีก 40 คนที่ล้วนแต่งหน้าตามปกติ

“เรื่องนี้สำคัญต่อฉันมาก ฉันรู้สึกว่ามีผู้หญิงมากมายทุกช่วงวัยแต่งหน้าเพราะรู้สึกถูกกดดันให้ต้องทำ" เธอกล่าว “ถ้าใครสักคนรู้สึกดีกับผิวพรรณของตัวเอง เราก็ไม่ควรต้องปกปิดใบหน้าของเราด้วยเครื่องสำอาง ข้อบกพร่องต่าง ๆ ทำให้เราเป็นสิ่งที่เราเป็น และนั่นคือสิ่งที่ทำให้คนเราทุกคนมีเอกลักษณ์"

เธอบอกต่อว่า แม้เธอเริ่มแต่งหน้าตั้งแต่เป็นสาวรุ่น แต่เธอตัดสินใจใช้หน้าสดสำหรับเข้าประกวด "ฉันไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีหน้าตาตรงตามมาตรฐานความสวยงาม ฉันเพิ่งยอมรับว่าฉันสวยตามแบบของฉันเมื่อไม่นานนี้ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมฉันถึงเข้าประกวดโดยไม่แต่งหน้า"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top