Tuesday, 10 June 2025
NEWS FEED

'เพื่อไทย' ติดตามการบริหารจัดการ และการระบายน้ำ กทม. เตรียมชง กทม.จัดงบติดเซ็นเซอร์ที่ประตูระบายน้ำ-คลองทุกสาย เพื่อควบคุมระดับน้ำและระบายน้ำ

เมื่อวันที่ 7 กันยายน ที่สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานที่ปรึกษาประธานสภากรุงเทพมหานครด้านการเมือง และรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย นายวราวุธ ยันต์เจริญ ที่ปรึกษาประธานสภากรุงเทพมหานคร นายดนุพร ปุณณกันต์ คณะกรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย นายวิรัตน์ มีนชัยนันท์ ประธานสภากรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) พรรคเพื่อไทยทั้ง 20 คน และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ร่วมวิเคราะห์และหารือสถานการณ์น้ำกับสำนักการระบายน้ำกรุงเทพมหานคร เพื่อเตรียมตัว และหาทางรับมือจากสถานการณ์น้ำหากมีฝนตกต่อเนื่อง ร่วมกับนายวิษณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และน.ส.วิลาวัลย์ ธรรมชาติ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยมีนายอาสา สุขขัง ผู้อำนวยการกองสารสนเทศระบายน้ำ เป็นผู้ให้ข้อมูล 

นายอาสา ได้เผยกราฟฟิคภาพปริมาณน้ำฝนและระบบตรวจวัดระดับน้ำในแต่ละพื้นที่เพื่อเฝ้าสังเกตปริมาณน้ำฝน และได้แจ้งถึงจุดที่ กทม. ได้ลิงค์สัญญาณจากกล้องวงจรปิดของสำนักการจราจร และขนส่งกรุงเทพมหานครในจุดที่เสี่ยงน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อมอนิเตอร์สถานการณ์น้ำท่วมตลอดเวลา นอกจากนี้ ทางสำนักฯยังระบุช่องทางการแจ้งขอความช่วยเหลือของประชาชนมายัง กทม. ไม่ว่าจะเป็นทางโอเพ่นแชทไลน์ "ฝนตก-น้ำท่วม บอกด้วย" ลิงค์ : 
https://line.me/ti/g2/kk0gLj9CMIhrNYYbCK11EZ_b2QyXZ2429q7BLg?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default หรือการแจ้งผ่านแอพพลิเคชั่นทราฟฟี่ฟองดูว์ โดยทางสำนักฯ มีเจ้าหน้าที่สแตนบายเพื่อรับข้อมูลที่ประชาชนแจ้งเข้ามาตลอด 24 ชั่วโมง

กอ.รมน.มุกดาหาร ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการสรุปผลการดำเนินงาน โครงการ การกำกับ ติดตาม และประเมินผล โดย กอ.รมน. ภายใต้งานบริหารจัดการขับเคลื่อนแผนงานตำบล มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ประจำปีงบประมาณ 2565

เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2565 เวลา 09.00 น. พ.อ.วรพรต แก้ววิจิตร รอง ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดมุกดาหาร(ท) มอบหมาย พ.ท.ศักดิ์ดา บุญพิมพ์ หน.ฝ่ายการข่าว กอ.รมน.จังหวัดมุกดาหาร เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการสรุปผลการดำเนินงาน โครงการ การกำกับ ติดตาม และประเมินผล โดย กอ.รมน. ภายใต้งานบริหารจัดการขับเคลื่อนแผนงานตำบล มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ประจำปีงบประมาณ 2565 ห้วง  7-9  ก.ย. 65 ณ โรงแรม เบย์ บีช รีสอร์ท จอมเทียน อ.บางละมุง จว.ช.บ. โดยมี พล.ต.สุรพงษ์ อยู่พร้อม รองผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ความมั่นคง กอ.รมน. เป็นประธาน มีผู้เข้าร่วมประชุมฯ จากผู้แทน กอ.รมน.ภาค 1-4 และ ผู้แทน กอ.รมน.จังหวัด ๗๗ จังหวัด จำนวน 164 นาย โดยมีวัตถุประสงค์ 

1. เพื่อให้ผู้บริหารในทุกระดับของ กอ.รมน.โดยเฉพาะ รอง ผอ.รมน.จังหวัด ม.ห.(ท)มีความเข้าใจในสาระสำคัญและผลสัมฤทธิ์ที่ต้องการของโครงการฯ
2. เพื่อให้ผู้ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ได้ระดมความเห็นในการเสนอแนวทางในการดำเนินการของแต่ละ กอ.รมน.ภาค/ กอ.รมน.จังหวัด เพื่อนำไปสู่แนวทางการดำเนินการในปีงบประมาณต่อไป
3. เพื่อรับทราบปัญหาข้อขัดข้องในการดำเนินการ แลพิจารณาแก้ไขร่วมกัน

มะเร็งคร่าชีวิต ‘วสันต์ เบนซ์ทองหล่อ’ ปิดตำนานวลีดัง “ผมอยู่ทุกวันละครับ”

‘วสันต์ เบนซ์ทองหล่อ’ ผู้ก่อตั้งโชว์รูมรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับ รวมอายุได้ 76 ปี ปิดตำนานวลีดัง “ผมอยู่ทุกวันละครับ”

เมื่อวันที่ 7 ก.ย. รายงานข่าวแจ้งว่า นายวสันต์ เบนซ์ทองหล่อ (นามสกุลเดิม โพธิพิมพานนท์) ผู้ก่อตั้งโชว์รูมเบนซ์ทองหล่อ ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ จากบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด จ้าของวลีในการขาย “ผมอยู่ทุกวันละครับ” เสียชีวิตเมื่อเวลา 15.20 น. หลังเข้ารับการรักษาอาการป่วยมะเร็งตับ รวมอายุได้ 76 ปี โดยกำหนดการพิธีรดน้ำศพนายวสันต์จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (8 ก.ย.) เวลา 16.00 น. ณ ศาลา 4 วัดธาตุทอง ถนนสุขุมวิท แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ สวดพระอภิธรรมระหว่างวันที่ 8-14 ก.ย. เวลา 18.30 น. และพิธีฌาปนกิจในวันที่ 15 ก.ย. 2565

สำหรับนายวสันต์ เบนซ์ทองหล่อ เกิดที่จังหวัดกาญจนบุรี บิดาและมารดามีอาชีพค้าขาย เป็นลูกคนที่ 6 จากทั้งหมด 8 คน ก่อนมาเรียนโรงเรียนอำนวยศิลป์ เริ่มต้นชีวิตทำงานระหว่างเรียนปริญญาตรีด้วยการขายที่ดินจัดสรรในซอยโชคชัย 4 ตารางวาละ 1,000 บาท กระทั่งเรียนจบคณะบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จึงไปทำงานเป็นแรงงานที่สหรัฐอเมริกา กระทั่งเก็บเงินมาได้ก้อนหนึ่ง เรียนต่อปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกาจนจบ

เมื่อกลับมาเมืองไทย ได้ช่วยกิจการขายรถเก่าของพี่ชาย จึงมองเห็นโอกาสธุรกิจซื้อขายรถยนต์ ก่อนเข้าสู่วงการขายรถยนต์อย่างเต็มตัว กระทั่งรวบรวมความกล้าติดต่อขอเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์หรูเมอร์เซเดส-เบนซ์ ใช้วิธีเสนอขายแก่ลูกค้าแบบตัวต่อตัว กระทั่ง 3 ปีต่อมาจึงมีโชว์รูมเป็นของตัวเอง ก่อตั้งบริษัท กลุ่มทองหล่อ จำกัด ในปี 2520 ที่ผ่านมามีชื่อเสียงเรื่องยอดขาย เพราะจัดโปรโมชันลดแลกแจกแถมตลอด ในปี 2538 สามารถทำยอดขายได้ถึง 2,100 คัน คิดเป็นมูลค่า 4,500 ล้านบาท

เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 หลังรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประกาศใช้โครงสร้างอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวแทนระบบตะกร้าเงิน ทำให้ผู้คนที่มีฐานะต่างสิ้นเนื้อประดาตัว กระทบต่อเบนซ์ทองหล่อ ยอมหั่นราคารถเมอร์เซเดส เบนซ์-ซี 180 รุ่นประกอบในประเทศ เหลือคันละ 1.2 ล้านบาท ผ่อนเดือนละ 9,500 บาท 48 เดือน โดยใช้เงินทุนส่วนตัวรับแบกภาระดอกเบี้ยส่วนที่เกินทั้งหมด 5,000-10,000 บาท เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายสำหรับลูกค้าในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา

ศอ.บต มอบรางวัลพระราชทานฯ รางวัลตำบลเข้มแข็งตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ พิจารณาคัดเลือกผู้ที่มีผลงานดีเด่นของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ได้ดำเนินการคัดเลือกผู้ที่มีผลงานดีเด่นของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ - ๒๕๖๔ ตามระเบียบ เพื่อเสริมสร้างขวัญกำลังใจ ยกย่องเชิดชูเกียรติให้แก่ กลุ่มข้าราชการ กลุ่มครูและบุคลากร ทางการศึกษา กลุ่มผู้ปฏิบัติงานอื่นในหน่วยงานของรัฐ กลุ่มผู้นำท้องที่ท้องถิ่น กลุ่มสตรี เด็กและเยาวชน กลุ่มผู้นำศาสนา กลุ่มผู้ประกอบการ และกลุ่มองค์กรอื่นที่มีผลงานเชิงประจักษ์ เชื่อมโยงการแก้ไขปัญหา และพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยผู้ที่ผ่านการคัดเลือกฯ จะได้เข้ารับพระราชทานเกียรติบัตร และเข็มรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ดำเนินการคัดเลือกผู้ที่มีผลงานดีเด่นของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๔

โดย นายสังคม เกิดก่อ นายอำเภอเมืองนราธิวาส พัฒนาการจังหวัด พัฒนากรอำเภอเมืองนราธิวาส ตลอดจนทีมงานทุกภาคสวน ของจังหวัดนราธิวาส- อำเภอเมืองนราธิวาส และที่ขาดไม่ได้ ทีมงานของตำบลโคกเคียน นาย ซัมรี อารง กำนันตำบลโคกเคียน อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส เป็นตัวแทน รับโล่รางวัลพระราชทานฯ รางวัลตำบลเข้มแข็งตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ดีเลิศระดับจังหวัด ในงานวันพัฒนาชุมชน

'อลงกรณ์' เล็งตลาดอาหารสัตว์ 3 แสนล้าน เสนอยกระดับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ยึด 5 แนวทางสวัสดิการสัตว์

'อลงกรณ์' เล็งตลาดอาหารสัตว์ 3 แสนล้าน เสนอยกระดับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ยึด 5 แนวทางสวัสดิการสัตว์ พร้อมส่งเสริมการใช้โปรตีนแมลงเป็นทางเลือกวัตถุดิบตัวใหม่ระหว่างพิธีเปิดงาน 'มหกรรมสุขภาพสัตว์และโภชนาการอาหารสัตว์แห่งเอเชีย 2022' วันนี้

(7 ก.ย.65) นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดงาน VICTAM and Animal Health and Nutrition Asia 2022 โดยมี นายชยานนท์ กฤตยาเชวง อุปนายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย และ นายจิรัตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ กล่าวสนับสนุนการจัดงาน 

นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ท่ามกลางวิกฤตการแพร่ระบาดของโรด Covid19 ซึ่งมีผลกระทบต่อทุกภาคส่วนและเศรษฐกิจ โดยรวมของทุกประเทศ ประเทศไทย สามารถรับมือกับปัญหานี้ โดยเฉพาะภาคการผลิตอาหาร เพื่อความปลอดภัยและปลอดโรค Covid และภาคการผลิตอาหารสัตว์ และสุขภาพสัตว์ เพื่อการบริโภคเมื่อความการบริโภคอาหารสัตว์ โปรตีน ในอัตราที่เพิ่มขึ้น ผู้ผลิตต้องคำนึงถึงไม่เพียงแต่คุณค่าอาหารเท่านั้น แต่ยังต้องมีระบวนการผลิตที่ปลอดภัยอีกด้วย

จากความต้องการของอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้น ในปี 2020 ประเทศไทย มีมูลค่าตลาดอาหารสัตว์ อยู่ที่ 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดการณ์ว่า จะขยายตัวเป็น12,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี2026 ซึ่งมีอัตราเติบโต ที่ 4.2%(CAGR: Compound Annual Growth Rate) โดยผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการการผลิตและส่งออกอาหารสัตว์ ประเทศไทย มีการปรับตัวได้เป็นอย่างดี 

ประกอบกับ นโยบาย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สนับสนุนการแปรรูปผลิตโปรตีนอาหารสัตว์ สำหรับคน และการแปรรูปผลิตอาหารสำหรับสัตว์ (FOOD AND FEED) และ นโยบาย FUTURE FOOD

นายอลงกรณ์ยังเรียกร้องให้ยึดหลักสวัสดิภาพของสัตว์ที่เรียกว่า 5 เสรีภาพของสวัสดิภาพสัตว์ (Five Freedoms of Animal Welfare) อันเป็นกฎเกณฑ์สากลทั่วโลกในการเลี้ยงดูสัตว์ และยังส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์อีกด้วยได้แก่...

1. อิสระจากความหิวกระหาย (Freedom from hunger and thirst) 
2. อิสระจากความไม่สบายกาย (Freedom from discomfort)
3. อิสระจากความเจ็บปวดและโรคภัย (Freedom from pain, injury, and disease) 
4. อิสระจากความกลัวและไม่พึงพอใจ (Freedom from fear and distress) 
5. อิสระในการแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติ (Freedom to express normal behaviour) 

เนื่องจากปัจจุบันมีการใช้มาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์โยงกับการค้าระหว่างประเทศและการผลิตต้นน้ำเช่นกรณีลิงเก็บมะพร้าวกับผลิตภัณฑ์กะทิเป็นต้น จึงควรที่อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ทั้งระบบพึ่งให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าวโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ออกกฎกระทรวงยึดแนวทาง '5 เสรีภาพของสวัสดิภาพสัตว์' ตั้งแต่ปี 2561 แล้ว ขอให้ใส่ความรักความใส่ใจลงไปในทุกขั้นตอนของการผลิตอาหารสัตว์รวมทั้งขอให้อุตสาหกรรมอาหารสัตว์สนับสนุนการวิจัยใช้โปรตีนทางเลือกใหม่เข่นโปรตีนจากแมลงและโปรตีนจากพืชทดแทนวัตถุดิบโปรตีนเดิมเพื่อลดต้นทุนการผลิตและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมช่วยลดก๊าซเรือนกระจกและดีต่อสุขภาพของสัตว์ทั้งปศุสัตว์และประมงตลอดจนยึดระบบการค้าที่เป็นธรรมเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนและนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาเพิ่มประสิทธิภาพตลอดห่างโซ่การผลิต

กรมส่งเสริมวัฒนธรรม จับมือ MOU เรื่อง โนรา ร่วมกับมหาวิทยาลัยทักษิณและมูลนิธิสงขลาเมืองเก่า เพื่อส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม 'โนรา'

วันพุธที่ ๗ กันยายน ๒๕๖๕  เวลา ๑๓.๐๐ น. นายชาย นครชัย อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) มอบหมายให้ นางสาวลิปิการ์ กำลังชัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม  เป็นผู้แทนกรมส่งเสริมวัฒนธรรมและเป็นประธาน ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการสงวนรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เรื่อง “โนรา” ร่วมกับ รองศาสตราจารย์ ดร.ณฐพงศ์  จิตรนิรัตน์  ผู้รักษาการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยทักษิณ  และนายธีรพจน์ จรูญศรี ประธานมูลนิธิสงขลาเมืองเก่า ณ ห้องประชุมชั้น ๔ อาคารสำนักพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์  กรมส่งเสริมวัฒนธรรม

นางสาววราพรรณ  ชัยชนะศิริ  รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กล่าวถึงสาระสำคัญการลงนาม MOU ครั้งนี้ว่า  ตามที่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ “ยูเนสโก” (UNESCO) ได้ประกาศให้ “โนรา” เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๕ ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ค.ศ. ๒๐๐๓  กรมส่งเสริมวัฒนธรรม จึงได้ประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายได้แก่ มหาวิทยาลัยทักษิณ และมูลนิธิสงขลาเมืองเก่า จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการสงวนรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เรื่อง โนรา ฉบับนี้ขึ้น เพื่อร่วมมือกันส่งเสริมให้คนในชาติเห็นคุณค่าของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม “โนรา” โดย MOU ฉบับนี้ มีแนวทางดำเนินงานเรื่อง โนรา ๓ ด้าน ได้แก่ ๑) การส่งเสริมการถ่ายทอดโนรา  ๒) การพัฒนาทางวิชาการ และ ๓) การเผยแพร่พัฒนาและต่อยอด ตลอดจนร่วมกันรายงานการผลดำเนินงาน เรื่อง โนรา ตามอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ค.ศ.๒๐๐๓ ของยูเนสโก ในปี พ.ศ.๒๕๖๗  ซึ่งการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในวันนี้จึงถือเป็นการขับเคลื่อนที่สำคัญในการส่งเสริมรักษา พัฒนา และต่อยอด “โนรา” ให้ดำรงอยู่ในสังคมไทยอย่างยั่งยืนเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติสืบไป

ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์  ผู้รักษาการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยทักษิณ กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม  มหาวิทยาลัยทักษิณ และมูลนิธิสงขลาเมืองเก่า เพื่อร่วมมือกันส่งเสริม สนับสนุน และรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม “โนรา” ที่ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ จากองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ในวันนี้

ถือเป็น “ย่างก้าวและหมุดหมาย” ที่สำคัญในการผลักดัน ขับเคลื่อนประเทศไทย ไปสู่การสร้างคุณค่าและมูลค่าบนฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์  และการใช้วัฒนธรรมเป็นหน้าต่างแห่งโอกาส สร้างการเชื่อมต่อความท้องถิ่นกับความเป็นสากลบนฐานวัฒนธรรม ซึ่งถือเป็นโยบายสำคัญประการหนึ่งของรัฐ และถือเป็นเป็นกลไกหนึ่งในการสร้างความสมานฉันท์ ความกลมเกลียว และสำนึกทางสังคมไปพร้อมกันด้วย  ขณะที่มหาวิทยาลัยทักษิณ ได้กำหนดวิสัยทัศน์มหาวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม โดยในหมุดหมายด้านศิลปะ วัฒนธรรม ได้ให้ความสำคัญกับการจัดทำแผนที่นำทางด้านวัฒนธรรม การวิจัยนวัตกรรมเพื่อเพิ่มคุณค่าและมูลค่าจากวัฒนธรรม และการสร้างเครือข่ายสร้างสรรค์วัฒนธรรม เพื่อเป้าหมายการส่งเสริมการประกอบการ และผลิตภัณฑ์ สินค้าวัฒนธรรรม ฯลฯ อันจะนำไปสู่การเศรษฐกิจฐานรากและเศรษฐกิจสร้างสรรค์   ดังนั้น การบรรลุข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการร่วมมือกันจัดทำข้อมูลรายงานเกี่ยวกับมาตรการที่ได้ดำเนินการตามพันธกรณีอนุสัญญาฯ การส่งเสริมและสนับสนุนด้านวิชาการ และสร้างองค์ความรู้มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม “โนรา”แล้ว ยังเป็นความร่วมมือเพื่อต่อยอดทางวัฒนธรรรมไปสู่อำนาจแห่งการสร้างสรรค์ (Soft Power) และการสร้างสรรค์สังคมไทยบนฐานวัฒนธรรรมอย่างยั่งยืนไปพร้อมๆกัน

สตม.ชี้แจงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองตามข่าวที่ปรากฎ คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงและเป็นการเข้าใจผิด

ตามที่ปรากฏข่าวทางสื่อสังคมออนไลน์กรณี “แม่ค้าก๋วยเตี๋ยวย่านดอนเมือง แจ้งดำเนินคดี  6 ตำรวจ ตม. ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หมิ่นประมาท ข่มขู่ หลังเข้าขอตรวจใบอนุญาตทำงานของลูกจ้าง แต่ไม่แสดงบัตรประจำตัวและปรับเกินกว่าความเป็นจริง” สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ขอชี้แจงว่า กรณีดังกล่าว เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจริง โดยเป็นการปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่ทุกประการ มิได้มีการกลั่นแกล้งหรือกระทำการใดๆ ที่นอกเหนือกฎหมาย ทั้งนี้ ขอชี้แจงให้ทราบตามประเด็นที่ปรากฎในข่าว ดังนี้

1. ประเด็น การไม่แสดงบัตรประจำตัวและการดำเนินการจับกุม 
กรณีการไม่แสดงบัตรประจำตัวของเจ้าหน้าที่นั้น ในข้อเท็จจริง เมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางมาถึงร้านดังกล่าว พบบุคคลคล้ายคนต่างด้าวอยู่ภายในบริเวณร้าน จึงเข้าทำการตรวจสอบโดยมีชายไทยแสดงตัวเป็นเจ้าของร้าน เจ้าหน้าที่ได้แสดงตนพร้อมบัตรประจำตัวเพื่อขอเข้าตรวจสอบภายในร้าน ต่อมาได้มีหญิงไทยซึ่งเป็นผู้ร้องและอ้างตัวเป็นเจ้าของร้าน ได้เดินเข้ามาภายในร้านและหยิบบัตรประจำตัวที่ห้อยอยู่ที่คอของเจ้าหน้าที่ไปดูแล้ว เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลดอนเมืองมาถึง เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองแสดงตนพร้อมบัตรประจำตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจรายดังกล่าว 

ส่วนการดำเนินการจับกุมคนต่างด้าวทั้ง 3 ราย ในวันที่เกิดเหตุนั้น เป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองตรวจพบคนต่างด้าวซึ่งไม่ปฏิบัติตาม มาตรา 37 (2) , (3) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 จากนั้น ได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน. ดอนเมือง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และต่อมาพนักงานสอบสวนได้ทำการเปรียบเทียบปรับคนต่างด้าวรายละ 4,000 บาท รวม 3 ราย เป็นเงินค่าปรับตามกฎหมายทั้งสิ้น 12,000 บาท โดยมีใบเสร็จค่าปรับที่ทางราชการ (สน.ดอนเมือง) ออกให้ ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบปรับโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 76 (อัตราโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท) ประกอบมาตรา 84 แห่งพ.ร.บ คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และบันทึกคณะกรรมการเปรียบเทียบ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2541 ข้อ 13 ที่กำหนดไว้ว่า “...ถ้าผู้กระทำผิดถูกจับกุมตัวมาไม่ว่ากรณีใดๆ ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการเปรียบเทียบปรับไม่ต่ำกว่า 4,000 บาทและปรับอีกวันละ 200 บาท จนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง” ซึ่งพนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบปรับในอัตราที่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด 

2. ประเด็น ปรับเกินกว่าความเป็นจริง 
กรณีกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่ปรับคนต่างด้าวในอัตราที่สูงถึงรายละ 4,000 บาท ทั้งที่สามารถเปรียบเทียบปรับในระดับที่ต่ำกว่าโดยสามารถเปรียบเทียบปรับได้ในอัตรารายละ 800 บาท นั้น  สตม.ขอเรียนว่า เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เนื่องจากการเปรียบเทียบปรับกรณีนี้เป็นการดำเนินคดีกับ ตัวคนต่างด้าวที่กระทำผิดตามมาตรา 37 (2) , (3) โดยกำหนดโทษไว้ในมาตรา 76 แห่ง พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 (ตามรายละเอียดในข้อที่ 1.) แต่กรณีการเปรียบเทียบปรับในอัตรา 800 บาท เป็นกรณีการดำเนินคดีกับเจ้าของสถานที่ที่รับคนต่างด้าวเข้าพักอาศัยโดยไม่ได้แจ้งการรับคนต่างด้าวเข้าพักต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 38 กำหนดโทษไว้ในมาตรา 77 แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522  ประกอบบันทึกคณะกรรมการเปรียบเทียบ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2541 ข้อ 14 ซึ่งเป็นคนละกรณีและเป็นความผิดคนละมาตรา จึงอาจจะทำให้ผู้ร้องเข้าใจผิดหรือเข้าใจข้อกฎหมายคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง

'มิน อ่อง หล่าย' ลัดฟ้าพบ 'ปูติน' ฉลุยปิดดีลซื้อน้ำมัน พร้อมจ่าย 'รูเบิล-สกุลอื่นๆ' ที่รัสเซียพอใจจะรับ

นายพล มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารพม่า เดินทางไปเข้าร่วมประชุมในงาน Eastern Economic Forum (EEF) ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่เมืองวลาดิวอสตอค ทางฝั่งตะวันออกของรัสเซีย เพื่อพบกับ วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ซึ่งเป็นการพบกันครั้งแรกนับตั้งแต่การเกิดเหตุรัฐประหารในพม่าตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2021 เป็นต้นมา 

การพบปะระหว่าง 2 ผู้นำ ที่เป็นศูนย์รวมการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก เป็นการคุยกันแบบทวิภาคี นอกรอบจากงานประชุม EEF โดยทั้ง 2 ผู้นำตั้งใจหารือด้านความร่วมมือทางการค้า และยกระดับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้นไปอีก โดย นายพล มิน อ่อง หล่าย ได้กล่าวยกย่องผู้นำรัสเซียว่า มีบทบาทเป็นผู้นำโลกในการสร้างเสถียรภาพในระดับนานาชาติ   

ในการประชุม มีการพูดคุยถึงความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้าอย่างกว้างขวาง แต่สิ่งที่เป็นไฮไลท์ของการพบปะกันคือข้อตกลงในการซื้อ-ขายน้ำมัน ระหว่างพม่าและรัสเซีย ที่สามารถปิดดีลได้ทันทีหลังงานประชุม

ซึ่งพม่าและรัสเซีย เคยตกลงที่จะซื้อน้ำมันจากรัสเซียไว้ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฏาคม แต่ยังไม่พร้อมที่จะชำระเป็นเงินสกุลรูเบิล 

แต่มาครั้งนี้ ผู้นำพม่ายินดีที่จะชำระค่าน้ำมันด้วยเงินรูเบิล หรือสกุลเงินอื่นๆ ที่ทางรัสเซียพอจะรับได้ ซึ่งจะทำให้การซื้อขายได้ง่ายกับทั้งสองฝ่าย เนื่องจากตอนนี้ทั้งสองประเทศมีข้อจำกัดอย่างมากในการเข้าถึง และทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศด้วยเงินสกุลต่างๆ

สวธ. จับมือ GISTDA ลงนาม MOU ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้การบริหารจัดการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม

กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมมือกับ สํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) สทอภ. หรือ GISTDA ทำ MOU การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ และภูมิสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเชิงพื้นที่ โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ให้เกียรติเป็นประธานพิธีลงนามระหว่าง นางสาวลิปิการ์ กำลังชัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กับ นางกานดาศรี ลิมปาคม รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) พร้อมด้วย นางสาววราพรรณ ชัยชนะศิริ รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผู้บริหาร สวธ. และ สทอภ. ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีฯ เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๖๕ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ อาคารสำนักพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม

นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ประธานพิธีกล่าวว่า บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่างกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กับ GISTDA ในครั้งนี้ เป็นการนำข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมของประเทศที่มีอยู่จำนวนมาก มาบริหารจัดการด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ในหลายมิติ ทั้งมิติการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพอันเป็นเหตุปัจจัยให้มรดกภูมิปัญญาฯ มีความเสี่ยงใกล้สูญหาย หรือยังคงปฏิบัติอยู่อย่างแพร่หลาย และมิติของพื้นที่ทั้งแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม พื้นที่ปฏิบัติของมรดกภูมิปัญญาณฯ รวมถึงมิติของความยั่งยืนบนความหลากหลายทางวัฒนธรรม เช่น การใช้ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมที่เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ มาเป็นฐานข้อมูลในการออกแบบ หรือ วางแผนพัฒนา ฟื้นฟู สืบสาน รักษาและต่อยอดต่อไป ตลอดจนร่วมกันสร้างโครงสร้างพื้นฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจวัฒนธรรมผ่านฐานข้อมูลภูมิสารสนเทศ โดยมีเป้าหมายในการสร้างความตระหนักให้ชุมชน และทุกภาคส่วนได้เห็นคุณค่า สามารถดำเนินงานร่วมกัน และมีส่วนร่วมในกระบวนการสืบสาน พัฒนา ต่อยอดให้มีมูลค่าเพิ่มเป็น soft power เป็นพลังที่สร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจให้ท้องถิ่นและประเทศ ต่อไป

ด้าน นางสาวลิปิการ์ กำลังชัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) เปิดเผยว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ สทอภ. หรือ GISTDA ฉบับนี้ ด้วยสวธ.มีภารกิจในการส่งเสริม อนุรักษ์ ฟื้นฟู พัฒนา ต่อยอด รวมถึงถ่ายทอดแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ให้ประชาชนได้ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ โดยที่ผ่านมามีการประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง และในปีงบประมาณที่ผ่านมา สวธ.ได้ริเริ่มดำเนินการรวบรวมและจัดทำข้อมูลเชิงพื้นที่ภูมิศาสตร์ เพื่อให้ข้อมูลเชิงพื้นที่มีจำนวนมากและกระจัดกระจายให้เป็นระบบ สามารถมองเห็นมิติของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมผ่านข้อมูลแผนที่ เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น โดยเป็นการประยุกต์ใช้ศาสตร์สารสนเทศที่เน้นการบูรณาการเทคโนโลยีทางด้านการสำรวจ การทำแผนที่ และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่เข้าด้วยกัน

“ในขอบเขตความร่วมมือที่จะมีขึ้นตาม MOU นี้ สวธ.จะดำเนินการสนับสนุนข้อมูลด้านวิชาการ เช่น ข้อมูลสารัตถะมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ได้รวบรวมไว้ และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ สวธ. และสามารถเผยแพร่ได้ให้แก่ สทอภ. ด้วยการเชื่อมต่อข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในการปกป้องคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ตามที่เห็นชอบร่วมกัน  ส่วน สทอภ. หรือ GISTDA จะสนับสนุนข้อมูลจากดาวเทียมและข้อมูลภูมิสารสนเทศที่อยู่ในคลัง (Archive) ซึ่งเป็นข้อมูลที่ใช้ภายใต้โครงการความร่วมมือเพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติภารกิจให้แก่ สวธ. ตามที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน เพื่อให้กลไกบริหารจัดการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเชิงพื้นที่มีประสิทธิภาพ  และจะร่วมกันสร้างโครงสร้างพื้นฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจวัฒนธรรมผ่านฐานข้อมูลภูมิสารสนเทศเพื่อแสดงลักษณะของพื้นที่ที่มีมรดกภูมิปัญญาฯ ของแต่ละชุมชน ท้องถิ่น ภูมิภาคในรูปแบบต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายให้ชุมชนและภาคส่วนสามารถดำเนินงานร่วมกันอย่างมีส่วนร่วมได้ เพื่อลดความเสี่ยงที่มรดกฯ ของพื้นที่จะสูญหาย ให้พร้อมเป็นฐานข้อมูลสามารถนำไปออกแบบ พัฒนา ฟื้นฟู สืบสาน และต่อยอดต่อไป” นางสาวลิปิการ์ เผย

กองทัพเรือ ลงนาม MOU ม.บูรพา โครงการผลิตแพทย์เพิ่ม

น.ท.หญิง ชะรอยบุญ ศาสตรสุข โฆษกกรมแพทย์ทหารเรือ เปิดเผยว่า ในวันที่ 9 กันยายน 2565 เวลา 1000 - 1130 น.จะมีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่าง กองทัพเรือ กับ มหาวิทยาลัยบูรพา ว่าด้วยความร่วมมือตามโครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย ณ ห้องประชุมภูหลวง หอประชุมโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ 

โดยมี พลเรือโท ชลธร สุวรรณกิตติ เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ และ ดร.วัชรินทร์ กาสลัก อธิการบดีมหาวิทยาลัยบูรพา เป็นผู้ลงนาม มีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตนักศึกษาแพทย์ตามโครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย และร่วมพัฒนาครุภัณฑ์ สิ่งสนับสนุนในการเรียนการสอน และองค์ความรู้ทางการแพทย์ เพื่อสอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่นและประชาชน โดย รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์เป็นโรงพยาบาลหลักของกองทัพเรือในพื้นที่สัตหีบ ให้การตรวจรักษาผู้ป่วยโดยแพทย์เฉพาะทางครบทุกสาขา สนับสนุนทางการแพทย์ ดูแลรับส่งผู้บาดเจ็บ เจ็บป่วยจากปฏิบัติการทางทหาร ทั้งในด้านการฝึกและในพื้นที่ปฏิบัติการ มีความพร้อมในการเป็นรพ.หลักในการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top