Friday, 16 May 2025
POLITICS

'ลูกชัชชาติ' พูดถึง 'ก้าวไกล' ไม่มีใครอยากให้คุณได้อำนาจ  มีแต่เด็กเกเรเอาแต่ใจ ที่ยังสนับสนุนคุณเท่านั้น

(17 ก.ค. 66) แสนดี แสนปิติ สิทธิพันธุ์ บุตรชายนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้โพสต์ข้อความลงไอจี โดยมีผู้ใช้ทวิตเตอร์ 'zyzz1028' ได้นำมาแปลและส่งต่อ เนื้อหาระบุว่า...

ถึง พรรคก้าวไกล ผมขอพูดตรงๆ ในฐานะผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยและคนฝ่ายเดียวกัน

1. ไม่มีทางแก้ม. 272 ได้

2. ไม่มีทางแก้กฎหมายที่หลายคนเห็นต่างกันได้

3. พิธาไม่ได้เป็นนายกฯ หรอก ไม่มีวัน

4. ตราบใดที่ก้าวไกลยังฝืนส่งแคนดิเดตนายก คุณไม่มีทางชนะ

5. คุณไม่ได้ชนะแลนสไลด์ เสียงส้มกับแดงต่างกันแค่ 10 เสียง รอบของคุณจบแล้ว คุณหมดสิทธิเลือกก่อนแล้ว

6. ส.ว. กับคนทั่วไปไม่แคร์การประท้วงของคุณหรอก ยังไงส.ว.ก็มีอำนาจอีก 1 ปี รอบหน้าก็ชนะให้ได้เกิน 65% เหมือนพรรคไทยรักไทยปี 48 นะ ผมจะพิจารณาใหม่ตอนนั้น

7. คุณไม่มีนโยบายเศรษฐกิจที่ทำได้จริงเลย กลุ่มทุนผูกขาดและบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่ต้องการคุณ เกษตรกรต้องการนโยบายปากท้อง ไม่ใช่เรื่องเพศ (gender ideology) การเบียวเรื่องโรคๆ ที่ไร้สาระ

8. โดยสรุป ไม่มีใครอยากให้คุณได้อำนาจ มีแต่เด็กเกเรเอาแต่ใจที่สนับสนุนคุณเท่านั้นแหละ

9. พรรคคุณอายุแค่ 2 ปี ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาคุณทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง ฟ้องร้องนู่นนี่ ผู้ก่อตั้ง 3 คนก็โดนตัดสิทธิ พิธาก็อาจโดนตัดสินว่าขาดคุณสมบัติ 

‘เศรษฐา’ ลั่น!! พร้อมเป็นนายกฯ คนที่ 30 หากถูกเสนอชื่อ  ไม่เคาะสูตรจัดตั้งรัฐบาล บอกต้องรอผลประชุม 8 พรรคก่อน

(17 ก.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ขณะนี้ดูเหมือนจะมีปัญหา เรื่องการโหวตนายกรัฐมนตรีในรอบที่ 2 มองสถานการณ์อย่างไร ว่า วันนี้ช่วงเวลา 17.00 น.จะมีการพูดคุยกัน ก็ต้องรอผลการหารือของ 2 พรรคก่อน ซึ่งช่วงวันเสาร์ - อาทิตย์ที่ผ่านมา ตนเองได้รวบรวมข้อมูลจากคณะทำงาน 12 คณะ ของพรรคเพื่อไทย ที่เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจ มีความกังวลมาก ทั้งเรื่องภาระหนี้เสีย เรื่อง FTA ที่ยังค้างการเจรจา รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านที่มีการแย่งแหล่งเงินทุนไปพอสมควร เราต้องเร่งเจรจา ไม่เช่นนั้นจะเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้น เรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญ อีกทั้งสถานการณ์ยังต้องเร่งให้จัดตั้งรัฐบาลโดยเร็วที่สุด

ส่วนสถานการณ์โหวต นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในรอบแรก ทั้งเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.รวมถึงเรื่องญัตติซ้ำ ในฐานะที่นายเศรษฐา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องนี้เราคุยเรื่องนี้กันมา 4 เดือนที่แล้ว ถ้าเกิดไม่พร้อมก็คงไม่มีรายชื่ออยู่ใน 3 แคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย และเราพรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล เรื่องสำคัญที่สุดที่ได้รับมอบหมายในวันนี้ คือ เรื่องเศรษฐกิจ การเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งรัฐบาล ฉะนั้น ต้องเตรียมนโยบายในการประชุม ครม.นัดแรก เรื่องการกระตุ้นเศรฐกิจ

เมื่อถามว่า หากรูปแบบจัดตั้งรัฐบาล ไม่มีพรรคก้าวไกล นายเศรษฐา พร้อมรับตำแหน่งหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังไม่ทราบ และยังไม่ได้พูดคุยกัน หากมีความเห็นแตกต่างจาก 8 พรรค ก็ต้องกลับไปคุยกันในกรรมการบริหารพรรค ซึ่งพรรคเพื่อไทย มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 3 คน จึงต้องให้เกียรติ และไม่ขอก้าวล่วง

เมื่อถามว่า หากในสมการมีพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เพิ่มขึ้นมา หรือพรรคอื่นนอกเหนือจาก 8 พรรค นายเศรษฐา ยังพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไกลเกินไป ขอรอผลประชุมจาก 8 พรรคก่อน

เมื่อถามว่า หากกรรมการบริหารพรรคมองอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นสมการไหน และให้นายเศรษฐา รับตำแหน่งก็พร้อมทำตามกรรมการบริหารพรรคใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็ต้องไปว่ากัน เพราะยังมีหลักการหลายอย่างที่ต้องพูดคุยกัน พร้อมย้ำ เรื่องเศรษฐกิจ ปากท้องเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องใครจะมาร่วมหรือไม่ การจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็วที่สุดเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในวันนี้

เมื่อถามถึงเงื่อนไขการรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ว่า อย่าไปคุยถึงเงื่อนไข เราไม่มีเงื่อนไขอะไรทั้งสิ้น วันนี้ยังต้องไปดูเรื่องราคาน้ำมัน ภัยแล้ง และหลายๆ เรื่อง ซึ่งในระยะที่ผ่านมา มองว่าประชาชนอาจไม่ได้พูด แต่เรื่องปากท้อง เป็นเรื่องที่ทุกคนน่าจะห่วงกันมากกว่า ต้องอย่าลืมว่าเราเป็นนักการเมือง และหน้าที่ของนักการเมืองคืออะไร คือการดูแลประชาชนสำคัญที่สุดตอนนี่

เมื่อถามถึงกระแสตีกลับมายังพรรคเพื่อไทย รวมถึงมีคนมองว่า นายเศรษฐาก็อยากเป็นนายกรัฐมนตรี จะรับมืออย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ผมพูดสั้นๆ ว่า ครับ ก็ต้องรับครับ แต่พูดไป 3 หนแล้ว คำว่า ครับ ไม่ได้หมายความว่า รับ หรือ ไม่รับ แต่หมายถึง รับทราบถึงเสียงที่ว่าจะอยู่ด้วยกัน 8 พรรค แต่วันนี้เรื่องปากท้องสำคัญ ตนเองอาจจะพูดเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง แต่ค่อนข้างเป็นห่วง ถ้าจะไปกับก้าวไกลเราก็พร้อมที่จะเสนอนโยบายในการประชุม ครม.นัดแรก หรือจะเป็นเรื่องอื่นก็ยังให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง

เมื่อถามย้ำว่า ที่สุดแล้วไม่ว่ากรรมการบริหารพรรคจะว่าอย่างไร พร้อมทำตามมติใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ผมเล่นกีฬาเป็นทีมอยู่แล้ว เราเป็นประชาธิปไตย เมื่อมติเป็นอย่างไรก็พร้อมน้อมรับ และไม่อยากพูดเพื่อเป็นการกดดัน หรืออะไรทั้งสิ้น เพราะเป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรคในการพิจารณา ทั้งนี้ แม้จะถูกมองว่า จะมีการข้ามขั้ว แต่มองว่า อย่าพึ่งข้ามไปเลย วันนี้ขอให้ 8 พรรคคุยกันก่อนดีกว่า และมองว่า เราเล่นการเมืองกันมาเยอะแล้ว

‘ดร.สุวินัย’ ตั้งข้อสงสัย 3 เรื่องถึง ‘ไพศาล’ เกิดอะไรขึ้นกับสภาพจิตของ ‘กูรู’ ท่านนี้

(17 ก.ค. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความในหัวข้อ ‘กุนซือทิพย์ : บทเรียนด้านกลับสำหรับนักยุทธศาสตร์’ ใจความว่า…

จากรายการ "ถอนหมุดข่าว" ของ NEWS1 วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม 2566 ได้นำเสนอรายงานพิเศษเรื่อง "ไพศาล พืชมงคลเป็นกูรูทิพย" ซึ่งมีความน่าสนใจยิ่ง  

ผมขอยก รายงานพิเศษ เรื่องนี้ มาให้อ่านกันอีกทีก็แล้วกัน ...

"โอกาสของพิธา จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี แทบไม่เหลือแล้ว ...ต้องฝันค้างกลายเป็น ‘นายกฯ ทิพย์’p เพราะความหมกมุ่นกับการแก้ไข ม.112 ของพรรคก้าวไกล

คนที่เสียรังวัดอย่างแรงไปด้วยจากเดิมเป็นถึง 'กูรูการเมือง' ที่มีข่าวลึกๆลับๆมาโพสต์ทุกวัน จริงบ้างแต่เท็จจะเยอะกว่า แต่ตอนนี้ต้องมีสภาพเป็น 'กูรูทิพย์' ตาม 'นายกฯทิพย์' ไปแล้วเช่นกัน

เขาคนนั้นก็คือ นายไพศาล พืชมงคล อดีตกุนซือของลุงป้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งช่วงหลัง ออกอาการ 'ฝ่ายแค้น' กับพรรคพลังประชารัฐ ค่อนข้างชัดเจน

ขณะเดียวกัน นายไพศาลก็เผยไต๋ว่า เข้าไปแอบอิงพรรคก้าวไกล เพราะเปิดหน้าเชียร์แหลก

แต่การเป็นด้อมส้มกับทำตัวเป็นกูรู บางทีมันก็ไปกันไม่ได้ นายไพศาลเลยได้บทเรียน(หน้าแตก) กับตัวเองจากการโหวตนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ผ่านมา

เพราะขณะที่ใครต่อใคร มองว่ายากที่ ส.ว. จะยกมือให้พิธา แต่นายไพศาล เป็นคนเดียวที่เปิดประเด็นแบบสวนกระแส ระบุว่า ...ผู้มีอำนาจคุม ส.ว.ไว้ไม่ได้แล้ว ...

แต่โพสต์ของนายไพศาล ที่ทำเอาเขา 'สิ้นสภาพ' จากการเป็น 'กูรูการเมือง' ก็คือการฟันธงว่า นายพิธา จะชนะโหวตแบบม้วนเดียวจบ ในวันที่ 13 ก.ค.

แต่ผลจริงๆที่ออกมา เป็นตรงข้าม กลายเป็นนายพิธา โดนน็อกแบบม้วนเดียวจบ ..."

"นายไพศาลโพสต์ลงรายละเอียด ....เป็นคุ้งเป็นแควอย่างชัดเจนว่า เป็นมโนล้วนๆ เป็นความโลกสวยอย่างไม่น่าเชื่อของคนที่เชี่ยวการเมืองอย่างเขา

ยิ่งไปกว่านั้น นายไพศาลยังใช้สำนวนภาษาแนว 'ลิเก' แบบที่นายพิธา รวมถึงแกนนำคนอื่นๆของพรรคก้าวไกล ชอบใช้กันประจำ อีกต่างหาก

เรียกว่านายไพศาลออกตัวแรง ด้วยสำนวนภาษาให้รู้ว่า 'พวกเดียวกัน'

ความผิดพลาดในการเผยแพร่หลักคิดและข้อมูลคราวนี้ ส่งให้ไพศาลกลายเป็น 'กูรูทิพย์' ภายในพริบตา ตามพิธาที่เป็น 'นายกทิพย์'  

แสงอาทิตย์อัสดงของนายไพศาล ทำท่าจะดับวูบ
ซึ่งนายไพศาลควรทบทวนตัวเอง จะต้องเร้นกายปิดสำนักตัวเองล้างอายหรือไม่? ..."


อาจารย์ไพศาล (เกิด 9 ตุลาคม พ.ศ. 2490) ที่ผมรู้จัก ตั้งแต่สมัยที่เราทั้งคู่เคยเป็น "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" เพื่อต่อต้าน "ระบอบทักษิณ" ในปี 2549  ...เขาเป็นกุนซือที่รอบรู้และปราดเปรื่องคนหนึ่งอย่างหาตัวจับยาก  

ในปี พ.ศ. 2549 ตอนนั้นอาจารย์ไพศาลมีอายุ 59 ปี น่าจะอยู่ในช่วงท็อปฟอร์มที่สุด ในฐานกุนซือ เช่นเดียวกับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล (เกิด 7 พฤศจิกายน ปี พ.ศ. 2490) ซึ่งอยู่ในช่วงท็อปฟอร์มที่สุดเช่นกันในฐานะ "แกนนำพันธมิตรฯ" ในวัย 59 ปี

ตอนนั้นทั้งผมและอาจารย์ไพศาลต่างก็เป็นคอลัมนิสต์ของสื่อผู้จัดการเหมือนกัน จึงเข้าออกบ้านพระอาทิตย์ของคุณสนธิ บ่อยมากในช่วงสถานการณ์สู้รบ

ผ่านไปแล้ว 17 ปี  ปัจจุบันอาจารย์ไพศาลและคุณสนธิต่างก็มีอายุ 75 ปีย่าง 76 ปีเหมือนกัน ขณะที่คุณสนธิยังคงอยู่ใน"สภาวะท็อปฟอร์ม" ได้อย่างน่าทึ่งสำหรับคนวัยนี้  คือคุณสนธิยังมีมันสมองที่เฉียบแหลม และมีจิตใจที่หนักแน่นมั่นคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง  ...กาลเวลา 17 ปี ที่ผ่านไปทำอะไรคุณสนธิไม่ได้เลยจริงๆ

ขณะที่การเปลี่ยนแปลงสู่ "ขาลง" ของอาจารย์ไพศาล" ที่ผมนับถือนั้น ทำเอาผมใจหายและแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง

เกิดอะไรขึ้นกับ "มันสมอง" ของ "กุนซือสมองเพชร" คนนี้?

เกิดอะไรขึ้นกับ "สภาพจิต" ของ "กูรูการเมือง" ผู้เป็นเจ้าสำนักกระบี่เดียวดายท่านนี้?

โดยส่วนตัว ผมสนใจประเด็นนี้เป็นพิเศษ

ผมมีคำถามในใจหลายข้อเกี่ยวกับ "ความย้อนแย้งในตัวตนปัจจุบัน" ของอาจารย์ไพศาล และพยายามหาคำตอบให้กับตัวเองเพื่อใช้เป็นอุทราหรณ์สำหรับตัวเองในอีกสิบปีข้างหน้า

(1) "ทำไม คนที่ดำรงตำแหน่งอุปนายกและเลขาธิการสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน อย่างอาจารย์ไพศาล ถึงกลายมาเป็น 'พ่อยก' ด้อมส้มตัวเอ้ของพรรคก้าวไกล ทั้งๆที่พรรคก้าวไกลมีท่าทีที่ชัดเจนว่า ต้านจีน?"

(2) "ทำไม คนที่เคยเขียนบทความเชียร์จีน ทางด้านความมั่นคง-การเมือง-เศรษฐกิจ และต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมของอเมริกา มานานหลายสิบปีอย่างอาจารย์ไพศาล จึงออกตัวแรงสนับสนุนพรรคก้าวไกลเต็มที่ ทั้งที่พรรคก้าวไกลมีจุดยืนชัดเจนว่า ยืนอยู่ฝั่งอเมริกาและต้องการชักศึกเข้าบ้าน เพื่อต้านจีน?"

(3) "ทำไม คนที่เคยชูคำขวัญ "เราจะต่อสู้เพื่อในหลวง" สมัยยังเป็นพันธมิตรฯ อย่างอาจารย์ไพศาล ถึงกลับเปลี่ยนธาตุแปรสี กลายมาเป็นผู้สนับสนุน "การแก้ ม. 112" ของพรรคก้าวไกล ที่มุ่งล้มล้างการปกครองและล้มสถาบัน?"

ผมสงสัยกระทั่งว่า อาจารย์ไพศาลในฐานะ "ผู้ปฏิบัติธรรม" ได้เคย "แลเห็นจิต" , เคย "แลเห็นความคิด" ตัวเองจริงๆหรือไม่?

ทั้งๆ ที่ จิตและความคิดของอาจารย์ไพศาลได้เปลี่ยนแปลงจากแต่ก่อนชนิดสวิงอย่างสุดขั้วไปอีกฝั่งแล้ว

สำหรับผู้ฝึกจิต โมหะหรือความหลง เป็นสิ่งที่ต้องรู้ทันและระวังให้มาก

"อาการหิวแสง" หรือความต้องการได้รับความสนใจจากสื่อและผู้คนทุกๆวัน ของ "กุนซือชรา" หรือ "กูรูการเมืองชรา" ...แค่บ่งชี้ว่า สภาวะจิตของบุคคลผู้นั้น ยังไม่ได้บรรลุ "ความพอใจในตนเอง" จนเพียงพอ

จึงทำให้ จิตของผู้นั้น มิอาจเป็น บ่อน้ำที่สะท้อนจันทราบนท้องฟ้า (สภาวะจิตแบบ "จันทร์ในบ่อ" ของเซน) ที่เป็นสภาวะจิตกระจ่าง ได้ ... 

ทำให้ไม่อาจสะท้อน "ความจริงที่มีอยู่หนึ่งเดียว" ได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงได้

อย่างไรก็ดี ผมก็ยังเคารพอาจารย์ไพศาลอยู่เสมอ ในฐานะที่เขาเคยเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจให้ผม เลือกเดินบนเส้นทาง "กุนซืออิสระ" หรือ "นักยุทธศาสตร์อิสระ" อย่างบูรณาการตั้งแต่ 19 ปีก่อน 

จนเป็นที่มาของหนังสือ "ภูมิปัญญามูซาชิ -วิถีแห่งนักกลยุทธ์เชิงบูรณาการ" (สำนักพิมพ์ openbooks, 2550) ...ของผมในเวลาต่อมา

‘ชนนพัฒฐ์’ เร่งแก้น้ำแล้งน้ำเค็ม - สินค้าเกษตรตกต่ำ หวังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตชาวสงขลา

นายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว ส.ส.สงขลา เขต 4 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)เปิดเผยว่า  หลังจากที่ได้รับทำหน้าที่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมบูรณ์แล้ว พร้อมจะทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ และจะตั้งใจเป็นปากเป็นเสียง ผลักดันการพัฒนา และแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนชาวสงขลา เขต 4 อย่างเต็มที่ และขอขอบคุณ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ  ที่ให้โอกาสและสนับสนุนคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานการเมือง ซึ่งถือเป็นเกียรติครั้งที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต

สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการใน 3 เรื่องหลัก ในพื้นที่เขต 4  ซึ่งเป็นปัญหาของคนในท้องถิ่นอย่างแท้จริง   คือ 1.ปัญหาน้ำแล้งและน้ำเค็มที่รุกล้ำ โดยจะมีการเสนอสร้างแก้มลิงขนาดใหญ่ในทะลสาบในพื้นที่ ต.เกาะใหญ่ อ.กระแสสินธุ์ เพื่อใช้ในการกักเก็บน้ำจืด เพื่อการเกษตรในหน้าแล้ง เพื่อให้มีน้ำใช้ตลอดปีในการทำการเกษตรแล้ว ยังเป็นการป้องกันน้ำเค็มไม่ให้เข้ามาในพื้นที่ทำการเกษตรของประชาชน ซึ่งโครงการแก้มลิงอยู่ระหว่างการตั้งงบประมาณเพื่อการศึกษา ซึ่งหากโครงการสำเร็จ เกษตรกรในคาบสมุทรสทิงพระ จะไม่มีปัญหาเรื่องน้ำแล้งและ น้ำท่วมอีกต่อไป 2. ปัญหาประมง ต้องมีการพัฒนารายได้เสริมให้กับชาวประมง ที่ต้องหยุดการทำประมงเวลา 6 เดือน ในช่วงฤดูมรสุม  และ 3. แก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรพืชผล โดยการตั้งตลาดกลางรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรจากเกษตรกรโดยตรง โดยตลาดกลางจะคิดราคาที่เป็นธรรม และบริหารจัดการราคาเพื่อไม่แสวงหากำไร เป็นการป้องกันพ่อค้าคนกลางเอาเปรียบเกษตรกร โดยอาศัยจากประสบการณ์ การทำธุรกิจ รู้เส้นทางการค้าขาย  ซึ่งใน 3 เรื่องนี้ เป็นปัญหาหลัก ที่ต้องผลักดันอย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์ของชาวสงขลา 

“แม้ผมจะไม่เคยเล่นการเมือง ไม่ว่าจะระดับไหน แต่ผมมีความรู้ มีความเข้าใจ ในปัญหาของประชาชน และที่สำคัญคือ ผมมีความตั้งใจที่จะเป็นนักการเมือง ที่จะเข้ามารับผิดชอบกับปัญหาที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ ผมยังประสบความสำเร็จในเรื่องกีฬา ในฐานะที่เคยเป็นประธานสโมสรฟุตบอลนครศรี ยูไนเต็ด จ.นครศรีธรรมราช ก็จะใช้ประโยชน์ในเรื่องนี้ผลักดันให้เด็ก ๆ และเยาวชนในพื้นที่ใช้เวลาว่างไปกับการออกกำลังกายกับกีฬา ดีกว่าหันหน้าเข้าสู่ยาเสพติด" นายชนนพัฒฐ์ กล่าว

‘เสรีพิศุทธ์’ ชี้!! ‘พิธา’ ไม่ค่อยมีจุดยืนเป็นของตัวเอง เหมือนมี ‘คณะฯ’ อะไรมาควบคุม แนะ!! ควรถอยห่างบ้าง จะได้เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น

(17 ก.ค. 66) พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวในรายการ ‘เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand’ ระบุว่า…

“ตั้งแต่ได้รู้จักคุณพิธามา เป็นคนดี น่ารัก มีความรู้ แต่พูดตรงๆ ภาพที่ออกมาแบบทุกวันนี้ เพราะไม่ค่อยมีจุดยืนเป็นของตัวเอง มีอะไรมาคุมข้างหลัง มี คณะฯ อะไร มาคุมพรรคก้าวไกล จับซ้ายก็ได้ ขวาก็ได้ คณะฯ พวกนั้นควรถอยไปบ้าง และให้คุณพิธาเป็นตัวของตัวเองจะดีกว่า”

‘ดร.สุวินัย’ ชี้ ‘เพื่อไทย’ จับมือ ‘ก้าวไกล’ อาจไปได้ ‘ไม่ไกล’ อย่างที่หวัง

(17 ก.ค. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์บทความของ นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระเรื่อง ‘เข็มมุ่ง’ พรรคก้าวไกล...กับมาตรา 112 ‘ตัวตน’ ของมาตรา 112 มีเนื้อหาในรูปแบบถามและตอบ ดังนี้...

ถาม : ผู้คนเป็นอันมากไม่เข้าใจว่า เพื่อแลกกับการได้เป็นรัฐบาล ทำไมพรรคก้าวไกล ไม่ยอมสละวาระแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งถ้ายอมเอ่ยปากยืนยันในสภา ก็น่าเชื่อว่าคุณพิธาจะได้เสียงสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีมากกว่านี้แน่นอน
ตอบ : คุณต้องเข้าใจตัวตนของ มาตรา 112 ก่อนว่า อยู่ตรงที่คุ้มครองบุคลิกภาพของคนในสถาบันกษัตริย์ด้วยกรอบความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ 

ดังนั้นเมื่อคุณปฏิเสธสถาบันนี้ คุณก็ต้องเห็นในหลวงเป็นคนธรรมดา ใครไปด่าว่าก็ไม่ถือเป็นเรื่องความมั่นคง รัฐก็ไม่เกี่ยว ถ้าในหลวงติดใจก็ต้องไปแจ้ง ความเอาผิดเอาเองเช่นคนธรรมดาทั่วไป 

การที่ ก้าวไกล เสนอให้เลิก 112 แล้วเอาความผิดนี้ออกจากหมวดความผิดต่อความมั่นคง ไปมีฐานะเป็นความผิดเช่นดูหมิ่นคนธรรมดา จึงเป็นการเลิกไม่นับในหลวงเป็นสถาบันของชาติอีกต่อไป

ถาม : ที่ก้าวไกลเขาบอกว่าไม่ได้ยกเลิก เขาเพียงแก้ไขมาตรา 112 ก็ไม่เป็นความจริง
ตอบ : ไม่เป็นความจริงครับ...แม้ร่างกฎหมายของก้าวไกล จะยังมีบทบัญญัติว่าด้วยการใส่ความหรือดูหมิ่นในหลวงไว้ โดยเฉพาะก็ตาม แต่เมื่อเลิกไม่คุ้มครองด้วยหมวดความผิดต่อความมั่นคงอีกต่อไปแล้ว นั่นก็คือการเลิกไม่นับถือในหลวงในฐานะเป็นสถาบันของชาติอีกต่อไปนั่นเอง ตัวตนของ 112 อยู่ที่ตรงนี้ เมื่อเลิกตรงนี้แล้ว แม้คุณจะสร้างกฎหมายเฉพาะอะไรขึ้นมาใหม่ เช่นให้โทษหมิ่นกษัตริย์หนักกว่าหมิ่นคนธรรมดาบ้าง หรือให้สำนักพระราชวังแจ้งความแทนในหลวงก็ตาม นั่นก็ไม่มีความหมายอะไร 

‘ตัวตน’พรรคก้าวไกล
ถาม : ก้าวไกลได้คะแนนเสียงเลือกตั้งถึง 14 ล้านเสียง จนเป็นที่ 1 แล้ว น่าจะเห็นแก่การใหญ่ ยอมแขวนวาระแก้ 112 ไว้เสียก่อนครับ มีเรื่องเร่งด่วนในบ้านเมือง ที่ผู้ลงคะแนนเขาเห็นว่าสำคัญ ต้องการให้พรรคก้าวไกล ขึ้นเป็นรัฐบาลทุ่มเทแก้ไขมากมายนักโดยเฉพาะเรื่องปากท้อง และปราบคอร์รัปชั่น

ตอบ : เพื่อนผม ลูกหลานผม ที่เลือกก้าวไกล ก็บ่นอย่างนี้เหมือนกัน ผมก็ตอบเขาไปให้ดูให้ดี ๆ ว่า ‘ตัวตน’ แท้จริงของก้าวไกลนั้น คืออะไร คิดอย่างไรกับสังคมไทยทุกวันนี้ จริงหรือที่ว่าพวกเขาคือ ‘พรรคปฏิรูป’

ถาม : มันไม่จริงหรือครับ?
ตอบ : ไม่จริง แกนกลางของพวกเขา เห็นสังคมไทยทุกวันนี้เป็นขยะ ซึ่งขยะต้องถูกทำลายไม่ใช่ปฏิรูป และต้องทำให้โครงสร้างส่วนบนฉิบหายสลายตัวไปเสียก่อน จึงจะปูรากฐานสร้างบ้านเมืองใหม่ขึ้นมาได้ อำนาจจากประชาชนที่ก้าวไกลสร้างขึ้น จึงต้องเป็นอำนาจที่มีธรรมชาติของการปฏิวัติ ไม่ใช่การปลุกให้เลือกตั้งหย่อนบัตรแล้ว ปล่อยกลับไปนอนรอดูผลที่บ้านอีก 4 ปี

ถาม : อำนาจลุกฮืออย่างนี้ สร้างอย่างไร?
ตอบ : อธิบายตามทฤษฎีจิตวิทยาการเมือง ก็ต้องสร้างให้คนธรรมดาๆ ถูกสิงสู่ด้วย ‘ชีวิตหมู่ปฏิวัติ’ จนเป็นมวลชนที่ไวต่อโทสะและพร้อมเสียสละ

ปัจจัยจัดตั้งที่สำคัญที่สุดคือ ความจงเกลียดจงชัง เพราะคนเราเกลียดอะไรร่วมกันแล้วจะหลอมรวมเกิดชีวิตหมู่ได้ง่ายมาก 

ทุกขบวนการมวลชนในอดีต จึงต้องมีปีศาจที่เลวร้ายและมีอิทธิฤทธิ์มาก มาให้ผู้คนเคียดแค้น เห็นเป็นต้นตอความสิ้นหวังในปัจจุบันให้ได้เสียก่อน เช่น…

- ถ้าเป็นมวลชนคอมมิวนิสต์ ปีศาจก็เป็นนายทุน 
- ถ้าเป็นมวลชนนาซี ปีศาจก็เป็นยิว 
- ถ้าเป็นมวลชนชาตินิยม ปีศาจก็เป็นจักรวรรดินิยม
- ถ้าเป็นนีโอนาซีของเซเลนสกี้ ปีศาจก็เป็นรัสเซีย

ดังนั้น ถ้าเป็นเมืองไทย คุณคิดว่าใครที่จะโดนวาดภาพให้เป็นปีศาจได้ง่ายและร้ายที่สุด?

ถาม : คำตอบก็คือ สถาบันกษัตริย์ และสมุนขุนศึก อย่างนั้นหรือ?
ตอบ : ถูกต้องครับ และเพื่อให้ดูขลัง ให้เห็นเป็นภาระโค่นล้มอันศักดิ์สิทธิ์ของเขา ก็เลยโมเมว่า เป็นมรดกที่คณะราษฎร์สืบสานส่งต่อมาให้เขาด้วย นี่ถึงขนาดโทรศัพท์คุยข้ามภพกันได้เลย คุณไม่เห็นหรือ ด้วยความเข้าใจเช่นนี้ การที่คุณไปหวังให้ก้าวไกลวางมือเรื่องแก้ไข 112 จึงไม่ต่างกับการไปขอให้ขบวนการนาซีของฮิตเลอร์เลิกยุ่งกับยิวเลยทีเดียว

ถาม : เพราะตัวตนของเขาคือการปฏิเสธระบบกษัตริย์ ?
ตอบ : อ่านในทางจิตวิทยาการเมือง ผมตอบได้เช่นนั้น แต่ลำพังแค่นี้คุณอย่าเอาไปอ้างให้ศาลยุบพรรคก้าวไกลนะครับ มันต้องมีหลักฐานการจัดตั้ง และปลุกระดมทางโซเชียลมีเดีย มาประกอบด้วยว่า พวกเขามีเครือข่ายและกิจกรรมการปลุกระดมเช่นนี้อยู่จริงๆ มาให้ศาลเห็นด้วย 

งานนี้ผมเพียงแต่ใช้ความรู้มาอธิบายเป็นคำตอบเท่านั้นว่า ทำไมพรรคก้าวไกล เขาถึงแขวนงานยกเลิก 112 เพื่อจะได้เป็นรัฐบาลไม่ได้เท่านั้น

ถาม : หลายคนชื่นชมว่า เส้นทางของก้าวไกลคือประชาธิปไตยใหม่ ที่ไม่ต้องใช้เงินและหัวคะแนน
ตอบ : จริงครับที่ว่าเป็นเส้นทางใหม่ แต่ไม่ใช่เส้นทางแห่งประชาธิปไตย มันเป็นเส้นทางของโมหะและโทสะ สมัยระบอบทักษิณ เขาจัดตั้ง ‘โลภะ’ ขึ้นมาเป็นสินค้าประชานิยม มายุคก้าวไกล เขาเพิ่ม ‘โมหะ’ ขึ้นมาอีกปัจจัยหนึ่ง

ถาม : ‘โทสะ’ จะมาเมื่อไหร่? 
ตอบ : เมื่อผู้คนลงถนน จนมีเหตุรุนแรงฆ่าฟันประชาชนเกิดขึ้น แล้วแพร่ไปในโซเชียลให้ผู้คนเห็นเป็นศพเด็ก ศพผู้หญิงถูกยิงตาย จนมวลชนฮือออกจากบ้าน เกิดเป็น ‘อาหรับสปริง’ หรือ ‘ฮ่องกงสปริง’ นั่นแหละครับคือจุดระเบิด ที่ลามเป็นสงครามกลางเมืองได้ ฝรั่งเศสวันนี้ก็เกิดแล้ว บ้านเราจะเกิด ‘ไทยสปริง’ หรือไม่ นี่คือเรื่องที่ต้องวิตก

ถาม : ผมเลือกก้าวไกลเหมือนกัน ผมเป็นมวลชนส้มหรือไม่?
ตอบ : ถ้าคุณไม่ถูกหลอมให้จงเกลียดจงชังสถาบัน คุณก็เป็นเพียงคนปกติ ที่ดันไปเชื่อว่าเขาจะสร้างบ้านเมืองขึ้นมาใหม่ได้จริง ๆ เท่านั้นเอง 

ก็ไม่เป็นไรครับ...ระบบประชาธิปไตยบ้านเรา ประชาชนมีไว้หลอกอยู่แล้ว ต่างกันตรงที่ จะหลอกไปทิศทางไหน ถึงขั้นทำลายชาติเลยหรือไม่เท่านั้นเอง

~ แก้วสรร อติโพธิ

'โบว์-ณัฏฐา' ชี้!! พฤติกรรมของด้อมส้มตอนนี้ พ้องกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตสมัย 14 ตุลาฯ

(17 ก.ค. 66) คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง กล่าวถึงกรณีด้อมส้มที่ตามคุกคาม ส.ว. กับ กกต. ไว้ว่า...

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ คนเดือนตุลาคมหลายคนเขาบอกว่ามันเป็นสถานการณ์ที่พ้องกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ตอนสมัย 14 ตุลาคม ขบวนการนักศึกษากระแสสูงมาก ได้รับการสนับสนุนกับสังคมสูงมาก ๆ เสร็จแล้วเกิดอะไรขึ้น? ก็เกิดอาการกร่างหลังจากทำลายรัฐบาลเผด็จการตอนนั้นไปได้แล้ว เกิดอาการกร่าง 

แล้วกร่างยังไง? คือทุกคนต้องคิดเหมือนเขา ต้องเห็นตามเขา และต้องทำตามเขา และเขาก็เอานักศึกษาไปจัดการองค์กรต่าง ๆ จนกระทั่งมันเกิดกระแสต้าน จึงนำไปสู่เหตุการณ์ 6 ตุลาคม ในที่สุด เราจะไม่พูดว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่นี่คือสิ่งที่คนเดือนตุลาคมหลาย ๆ คน พูดตรงกัน ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ พฤติกรรมของด้อมส้มตอนนี้ มันคล้าย ๆ กับตอนนั้นเลยนะ คือความกร่าง และไปก้าวร้าวใส่คนอื่นเต็มไปหมด 

คราวนี้สิ่งที่ทำกับ ส.ว. คือผิดอยู่แล้ว มันคือการคุกคาม จะบอกว่ากติกาที่ ส.ว. มาร่วมโหวตนายกฯ โบว์เป็นคนที่ต่อต้านมาตั้งแต่ต้นจนจบเลย จนกระทั่งวาระสุดท้าย นาทีสุดท้ายที่จะเสนอแก้กฎหมายข้อนี้ได้ เราเป็นคนเสนอแก้พร้อมกับอาจารย์สมชัย ศรีสุทธิยากร แต่เมื่อเราทำไม่สำเร็จ แล้วตอนนั้นโบว์จะบอกว่าทำไมถึงทำไม่สำเร็จ เพราะว่าขบวนการเคลื่อนไหวไม่สนใจเรื่องนี้เลย ขบวนการเคลื่อนไหวไปโฟกัสกับอะไร? ไปโฟกัสกับการด่าเจ้า ไปโฟกัสกับอเจนด้าเกี่ยวกับการปฎิรูปสถาบัน แต่ด้วยท่าทีสิ่งที่ทำคือการด่าเจ้า นั่นคือสิ่งที่พวกคุณทำ พรรคก้าวไกล คณะก้าวหน้า ทำอะไรในตอนนั้น คุณเปิดแคมเปญยกเลิก 112 ซึ่งไม่ใช้แก้ไขนะ ตอนนั้นคณะก้าวหน้า เปิดแคมเปญยกเลิก 112 ออนไลน์ คุณไปโฟกัสกับสิ่งนั้นไง และไม่มาโฟกัสกับ ส.ว. ในการโหวตนายกฯ กับสิ่งที่โบว์ทำอยู่ แต่คราวนี้เมื่อมันทำและพลังของประชาชนที่มาผลักดันเรื่องนี้มันไม่ได้มากพอ มันก็ไม่ประสบความสำเร็จ มันก็แพ้เสียง ส.ว. นั่นแหละ เพราะว่าการกดดันจากข้างนอกแทบไม่มีเลย 

ดังนั้นเมื่อไม่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขกติกาแล้ว แนวทางของโบว์นะคะ คือต้องเคารพกติกา เพราะว่าเราแก้ไม่ได้ บ้านเมืองมันต้องอยู่บนความเอาแต่ใจตนเองไม่ได้ บ้านเมืองมันตั้งอยู่ความพยายามที่จะขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ แต่เมื่อไหร่ที่ทำไม่ได้แล้วมันมีกติกาอยู่ คนทั้งประเทศต้องเคารพกติกา ไม่อย่างงั้นคุณก็คิดดูแล้วกัน ว่าคนทั้ง 70 ล้านคน 70 ล้านความต้องการ มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าทุกคนเอาความต้องการตัวเอง และเอาแต่ใจตัวเอง เอาตัวเองเป็นใหญ่ แล้วคุณจะคอนโทล 70 ล้านคนได้ยังไง? 

ดังนั้นเรื่องอำนาจ ส.ว. ตรงนี้มันมีอยู่ตามรัฐธรรมนูญแล้วมันแก้ไม่ได้ มันก็ต้องเคารพ เมื่อเคารพก็แปลว่าอะไร? แปลว่าต้องเคารพสิทธิ์ของ ส.ว. พวกนั้น ซึ่งเขาไม่ได้ไปเอาปืนจี้ใคร เพื่อที่จะมานั่งเป็น ส.ว. เพราะเขามาตามรัฐธรรมนูญ ใน 250 คนนั้น มีทั้งอดีตข้าราชการ อดีตนายพลอะไรต่าง ๆ หรือนายพลปัจจุบันก็มี เขามาตามรัฐธรรมนูญ 60 ที่เราไม่ประสบความสำเร็จในการสกัดมาตั้งแต่ปี 59 และเราไม่ประสบความสำเร็จในการแก้มาตรา 272 ต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้เขามาตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นคุณหาเสียงได้ ว่า อยากให้ ส.ว. โหวตให้พิธา เพราะอะไร คุณสามารถบอกได้ แต่คุณจะไปกดดันข่มขู่ไม่ได้ เมื่อเขาใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนญของเขาโหวตแล้ว คุณจะไปกดดันข่มขู่ธุรกิจครอบครัวเขา ไปบูลลี่ลูกของเขา รวมถึงไปข่มขู่ญาติพี่น้องเขา ซึ่งมันไม่ได้ คุณกำลังทำตัวเป็นอนาธิปไตยแล้ว จะบ้าหรือเปล่า? 

มันเป็นสิ่งที่ต้องพูด แล้วมันพูดเบา ๆ ไม่ได้ มันต้องพูดแรง ๆ เพราะว่าสิ่งที่ทำมันละเมิดรุนแรง ถ้าสิ่งที่ทำไม่ใช่การละเมิดรุนแรง เราก็จะไม่พูดแรง ๆ แต่สิ่งที่ทำเป็นการละเมิดรุนแรง เป็นการตามกันไปถึงบ้านแล้วในบางจังหวัด แล้วจะบอกว่าวันนี้ ส.ว. เขาไม่อยู่เฉยแล้วนะคะ เขามีการประสานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว สถานีตำรวจทุกจังหวัดพร้อมดูแลบ้าน ส.ว. ทุกบ้าน ใครไปคุกคามธุรกิจเขา คุกคามลูกเมียเขา หรือแม้แต่กระทั่งคุมคามทางออนไลน์ก็ตาม เขามีการตั้งทีมทนายมาเป็นสิบแล้วนะคะ แล้วประสานองค์กรทนายความหลายองค์กรมาช่วยกันแล้วค่ะ ถามว่าแนวร่วมพรรคก้าวไกลทำให้เกิดบรรยากาศแบบนี้ในบ้านเมืองได้ยังไง? แล้วพรรคก้าวไกลคุณไม่สามารถที่จะคอนโทลแนวร่วมของคุณ แล้วมันมีแนวร่วมของพรรคการเมืองอยู่พรรคเดียวที่มีพฤติกรรมคุกคามชาวบ้านเขา ทำไมกองเชียร์พรรคเพื่อไทยเขาไม่เป็นล่ะ กองเชียร์พรรคเพื่อไทยเนี่ยประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเขาโดนอะไรมาหนักกว่าคุณเยอะเลยนะ ทำไมเขายังมีอารยะได้ในระดับที่ฝ่ายตรงข้ามเขาก็ยอมรับว่ากองเชียร์พรรคเพื่อไทยยังคุยรู้เรื่อง แล้วทำไมกองเชียร์ก้าวไกลถึงเป็นอย่างงี้ เพราะว่าแนวทางของพรรคก้าวไกลตลอดเวลาที่ผ่านมามันไม่เป็นมิตรกับใครเลยค่ะ 

ดังนั้น ที่บอกว่า ส.ว. ไม่ยอมรับ พรรคก้าวไกลเพราะแก้มาตรา 112 หรือเปล่า? มันไม่ใช่แค่นั้นค่ะ บางคนบอกว่า การมาพูดเรื่องมาตรา 112 ในสภาฯ ตอนนี้ไม่เหมาะสม เพราะว่ามันไม่ใช่วาระการแก้กฎหมาย มันเป็นวาระการเลือกนายกฯ แต่โบว์จะบอกว่ามันเชื่อมโยงกันเป็นอย่างยิ่ง เพราะการโหวตนายกฯ มาตรา 159 ตามรัฐธรรมนูญบอกให้พิจารณาบุคคลผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นเขาจึงต้องอภิปราย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อยคุณสมบัติ การถือหุ้นสื่อ หรือคุณสมบัติในความมีจริยธรรมทางการเมืองที่สอดคล้องกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันนี้เหตุผลของ ส.ว. นะคะ แต่โบว์จะอธิบายให้ฟังว่า เขาจึงได้เอาร่างแก้มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลมาชำแหละในรายละเอียด รายละเอียดที่แฟนคลับพรรคก้าวไกลไม่เคยอ่านนั่นแหละ เขามาชำแหละให้ดูว่ามันขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 6 อย่างไร และถ้าเกิดว่าแคนดิเดตนายกฯ สังกัดพรรคการเมืองที่นำเสนอกฎหมายที่มันขัดกับรัฐธรรมนูญเนี่ย เขาก็ยอมต้องตั้งคำถามกับคุณสมบัติของแคนดิเดตคนนั้น ว่าคุณเหมาะหรือเปล่าที่จะมาเป็นนายกฯ ในการปกครองระบอบที่เรามีอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญแบบนี้ นี่คือเหตุผลของการที่ทำไมต้องใช้เวลาทั้งวันในวันนั้นอภิปรายเรื่องมาตรา 112 เป็นหลัก ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเสนอแก้กฎหมายก็ไม่ได้เหรอ? ไม่ใช่ค่ะ เสนอแก้กฎหมายได้ค่ะ แต่ถ้าคุณเสนแก้กฎหมายที่เนื้อหาของมันขัดกับรัฐธรรมนูญ เขาจึงมีสิทธิ์ที่จะตั้งคำถามได้ว่าคุณเหมาะที่จะเป็นนายกฯ ของประเทศนี้ไหม นายกฯ ของวันนี้ นายกฯ ของยุคสมัยใหม่ ต้องไม่ใช่นายกฯ ที่สร้างแต่ความแตกแยก ต้องไม่ใช่นายกฯ ที่มาจากพรรคการเมืองที่มีแนวทางนโยบายหลาย ๆ อย่าง แนวทางการขับเคลื่อนหลาย ๆ อย่าง สร้างปัญหาขึ้นมามากมายในสังคมตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นั่นคือเหตุผลที่เขาอภิปรายคุณสมบัติคุณแบบนั้น เห็นด้วยไม่เห็นด้วยอีกเรื่องนึง แต่โบว์เล่าให้ฟังว่าที่มาที่ไปมันเป็นอย่างไร

'ส.ว.รณวริทธิ์' เขียนจดหมายถึงลูก เหตุงดออกเสียง ‘พิธา’ ครอบครัวเราเทิดทูนสถาบันฯ เหนือเกล้า ผู้ใดจะแตะต้องมิได้

ส.ว.รณวริทธิ์ แจงเหตุ งดออกเสียง ‘พิธา’ เขียนจดหมายถึงลูก หวั่นถูกเพื่อนเลิกคบ ชี้หากเพื่อนที่มหา’ลัยเป็นนักประชาธิปไตย ต้องยอมรับในความเห็นต่าง

ไม่นานมานี้ นายรณวริทธิ์ ปริยฉัตรตระกูล สมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงถึงเหตุผลที่ ‘งดออกเสียง’ ในการโหวต นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตพรรคก้าวไกล โดยมีใจความ 2 ส่วน ถึงลูก และถึงประชาชน ระบุว่า...

>> #จดหมายถึงลูก ถึงลูกรักของพ่อ และเพื่อนเพื่อนทุกคนของลูก 

ตามที่ลูกมีความวิตกกังวลในระดับสูงเกี่ยวกับการเลือกนายกรัฐมนตรีที่จะโหวตกันในวันนี้ เพราะหากพ่อไม่เลือกคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี ลูกจะโดนต่อต้าน และเพื่อนเพื่อนจะเลิกคบกับลูก บางครั้งถึงอาจต้องมีเรื่องราวต่างๆ นานาที่ไม่พึงประสงค์กับลูก ข้อนี้พ่อวิตกกังวลยิ่งนัก เพราะลูกคือแก้วตาดวงใจของพ่อ 

ลูกครับ บอกเพื่อนเพื่อนของลูก ทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย ไปเลยว่า พ่อเป็นนักเรียนทุน #ภูมิพล ที่เรียนในระดับปริญญาตรี นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ เพราะหากไม่มีทุนภูมิพลในวันนั้น ก็จะไม่มีพ่อในวันนี้ และก็จะไม่มีลูกเช่นเดียวกัน และพระมหากรุณาธิคุณอีกมากมายล้นพ้น ที่พระมหากษัตริย์ทรงมีต่อประเทศชาติบ้านเมืองจนสุดที่พ่อจะบรรยายได้ ครอบครัวของพวกเราเทิดทูนองค์พระมหากษัตริย์ไว้เหนือเกล้า ผู้ใดจะแตะต้องมิได้

ดังนั้นหาก คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกลมีนโยบายไม่แตะต้องมาตรา 112 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 แล้ว พ่อก็ไม่มีข้อรังเกียจในตัวบุคคลและตัวพรรคที่จะไม่เลือกบุคคลดังกล่าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่หากตราบใดที่บุคคลดังกล่าวพรรคดังกล่าว ยังมีแนวนโยบายที่จะล่วงละเมิดองค์พระมหากษัตริย์ โดยการยืนยันว่าจะแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ซึ่งก็เท่ากับเป็นการล่วงละเมิดองค์พระมหากษัตริย์ พ่อไม่สามารถที่จะเลือกเขาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ 

ลูกครับ หากเพื่อนลูกไม่เข้าใจในเหตุผลของครอบครัวเรา ไม่เข้าใจในเหตุผลของความเป็นเรา ความเป็นวุฒิสมาชิกของพ่อ เค้าจะใช้วิธีการบีบบังคับหรือใช้วิธีการรุนแรงใดใดก็แล้วแต่ ก็แสดงว่าเค้าจะบังคับให้เราทำตามที่เขาต้องการ แม้จะต้องล่วงละเมิดองค์พระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของครอบครัวเราแล้ว ก็จงอย่าได้แยแสและแคร์ที่จะรับเค้าเป็นเพื่อน หากเพื่อนๆ เข้าใจในความเป็นเรา และจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์และแผ่นดินเกิดแล้ว จงนับเค้าเป็นกัลยาณมิตรเกื้อกูลไปจนตลอดชีวิตของลูก จะเป็นสิริมงคลต่อชีวิตยิ่ง 

หากเขาเป็นนักประชาธิปไตย เค้าต้องยอมรับในความเห็นต่าง และเคารพในความเป็นเพื่อน ถ้าเค้าทำไม่ได้ก็เท่ากับเค้าเป็นโมฆะมิตร ให้ลูกจงจำไว้ และยึดมั่นในองค์พระมหากษัตริย์ของเรา ลูกจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับไปทั่ว เพราะความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี

พ่อขอให้กำลังใจกับลูกว่า อย่าได้ท้อแท้หรือท้อถอยกับอุปสรรคครั้งนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย พระสยามเทวาธิราชจงปกป้องคุ้มครองครอบครัวเราให้ร่มเย็นเป็นสุข เราได้ทำดีที่สุดแล้ว พ่อขอยืนยัน”

>> ส่วนข้อความถึงประชาชน ระบุว่า...

“เรียนพี่น้องชาวร้อยเอ็ด และชาวไทยทั่วประเทศ

ผมชัดเจนมาตั้งแต่ต้นว่า ผมจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และหยิ่งในศักดิ์ศรีนักเรียน ‘ทุนภูมิพล’ และ ปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน

ผมไม่ได้มีปัญหากับคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผมชื่นชอบนโยบายหลายข้อของพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะด้านยาเสพติด และปราบปรามทุจริต ตลอดจนปลดล็อกสุราชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดและอุดมการณ์ของผม

ผมได้แจ้งเรื่องขอให้ยุติการก้าวล่วงมาตรา112 มาโดยตลอด และได้รับการปฏิเสธมาโดยตลอด

ดังนั้น เพื่อพิทักษ์รักษาไว้ซึ่ง #ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน โดยส่วนรวม กระผมจึงได้ 'งดออกเสียง' ครับ

พูดเรื่องจริง…ไม่ได้เกลียดพิธา

พูดเรื่องจริง…ไม่ได้เกลียดพิธา
 

‘สมโภช’ ศิษย์เก่า มธ. ขอประณาม!! สภานักศึกษาศูนย์รังสิต ปมใช้ตราธรรมจักรออกแถลงหยาบคาย หลัง ส.ว.ไม่โหวต ‘พิธา’

(16 ก.ค. 66) จากกรณีที่คณะกรรมาธิการส่งเสริมประชาธิปไตยและความเท่าเทียม สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ออกแถลงการณ์ประณามการกระทําของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ไม่ลงมติเห็นชอบให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา นายสมโภช โชติชูช่วง อดีตรองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ ศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (สิงห์แดง รุ่นที่ 30) ได้แสดงความเห็นต่อเรื่องดังกล่าว ว่า ธรรมจักร เป็นสัญลักษณ์แห่ง ‘ธรรม’ ที่ชาวธรรมศาสตร์ที่มี ‘จิตวิญญาณธรรมศาสตร์’ จิตวิญญาณที่รักความเป็นธรรม จิตวิญญาณแห่งการรัก เคารพ เทิดทูน และรักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ (ซึ่งก็คือพลเมืองไทยในชาติ) ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จิตวิญญาณแห่งการรับใช้ประชาชน ‘ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน’
.
จิตวิญญาณธรรมศาสตร์ คือ จิตวิญญาณแห่งการรับใช้ชาวบ้าน คนธรรมศาสตร์ทุกคนเชื่อมั่นและยึดมั่นว่า ‘หากขาดโดม เจ้าพระยา ท่าพระจันทร์ เสมือนขาดสัญลักษณ์พิทักษ์ธรรม’

ผมเดินเข้ารั้วธรรมศาสตร์วันแรก ก็ได้อ่าน จำ และถือปฏิบัติตามบทกลอนนี้มาตลอด “ณ แคว้นธรรมค้ำไทยในถิ่นนี้ ชนเสรีรุ่นใหม่ได้มาถึง เขาแกร่งกร้าวมั่นใจไม่พรั่นพรึง แม่โดมซึ้งลูกใหม่ในอุรา ขอต้อนรับเพื่อนเยาว์ก้าวมาเถิด ช่วยกันเทิดผองไทยให้แกร่งกล้า มวลชนกับธรรมศาสตร์จะยาตรา เพื่อกู้หน้ากู้ไทยด้วยใจทะนง”

เพลงพระราชนิพนธิ์ ‘ยูงทอง’ ซึ่งเป็นเพลงประจำสถาบัน ก็ยังฝังจำเตือนใจอยู่ ‘ธรรมจักรนบบูชาเทิดไว้’

วันนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกับคนที่บังเอิญสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ แต่คงไม่ได้รับการถ่ายทอดจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ไว้ในสายเลือด แล้วบังอาจเอาธรรมจักรอันสูงส่งด้วยคุณธรรม มาเป็นสัญลักษณ์สภานักศึกษา เป็นเครื่องหมายที่หัวกระดาษ แล้วส่งแถลงการณ์ที่ถ่อยเถื่อน หยาบคาย ต่ำทราม ในท้ายแถลงการณ์ ที่ ‘บัณฑิต’ เขาไม่ทำกัน เว้นแต่ไพร่สถุลในคราบนักศึกษา

อาจารย์ป๋วย เคยเขียนกลอนเตือนใจชาวธรรมศาสตร์ไว้ “วิสัยบัณฑิตผู้ทรงธรรม์ ไป่เปลี่ยนไป่แปรผัน ไป่ค้อม ไป่ขึ้น ไป่ลงหัน กลับกลอก กายจิตวาทะพร้อมเพรียบด้วย สัจจธรรม”

แต่สิ่งที่มันเหล่านี้ทำกัน มันตรงกันข้ามกับคำสอนและจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ เหมือนฟ้ากับเหว มันอาจจะบอกว่าเป็นคนรุ่นใหม่ ฉลาด และเก่งกว่าคนแก่ คนรุ่นเก่า แต่ผมจำได้ อาจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร เคยสอนพวกผมว่า ”นอกจากจะมีความรู้เชี่ยวชาญทางวิชาการในสาขาวิชาชีพแล้ว ลูกศิษย์ของผมทุกคนต้องรู้อยู่อีก 2 เรื่อง คือ รู้ดีรู้ชั่ว คนไหนไม่รู้ดีรู้ชั่ว ไม่มีความกตัญญูกตเวที คนนั่นไม่เจริญ อยู่ที่ไหนสังคมก็ตั้งข้อรังเกียจ”

ผมขอประณามและคัดค้านการกระทำเยี่ยงไพร่สถุลต่ำทรามของมันเหล่านี้ และมันต้องเลิกนำธรรมจักรและสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย ไปแอบอ้างในการกระทำที่ต่ำทรามไพร่สถุลของมันในทุกๆ เรื่อง

‘ช่อ พรรณิการ์’ โต้กลับเสียงคัดค้าน ปม ‘ก้าวไกล’ แตะ ม.112 ชี้!! แค่ข้ออ้างในการไม่หนุนพรรคอันดับ 1 เพราะถูกตัดวงจรคอร์รัปชัน

(16 ก.ค. 66) ผู้ใช้ TikTok บัญชี ‘@canac_nat’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอของ ‘ช่อ พรรณิการ์ วานิช’ ผู้ก่อตั้งคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ได้ออกมาพูดถึงประเด็นการแก้ไข ม.112 และความจงรักภักดี ในหัวข้อ ‘ต่อให้คุณได้เสียงเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่จงรักภักดี เท่ากับ ไม่มีสิทธิ์’  โดยในคลิปได้ระบุว่า…

“คุณกำลังสร้างตรรกะนี้ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยหรือคะ? คุณกำลังจะบอกว่า ต่อให้เป็นพรรคที่มีความชอบธรรมจากประชาชน มีนโยบายมากมายกว่า 300 นโยบาย ที่แม้แต่พวกคุณเองก็ยอมรับว่าเห็นด้วยในหลาย ๆ นโยบาย แต่เมื่อถูกตราหน้าว่า ‘ไม่จงรักภักดี’ คุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นรัฐบาล ในขณะที่คนที่กล้าพูดว่าตัวเองเป็นโจร หรือกล้าที่จะบอกว่าสามารถยิงคนที่ไม่จงรักภักดีได้โดยไม่ผิดกฎหมาย… ‘เป็นโจร แต่จงรักภักดี’ กลับมีที่อยู่ที่ยืนในประเทศนี้ ในขณะที่คนที่มีคุณสมบัติเป็นผู้นำครบทุกอย่างกลับโดนตราหน้าว่า หากคุณไม่จงรักภักดี คุณจะไม่มีที่ยืน คุณกำลังเอาพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนความนิยมเป็นอันดับ 1 ของประเทศ มาชนกับสถาบันฯ หรือคะ คุณทำไปเพื่ออะไร?”

“ข้ออ้างมีหลากหลาย คุณกลัวว่าจะทุจริตคอร์รัปชันไม่ได้ บ้านใหญ่ของคุณอาจถูกทำลาย หรือคุณไม่พอใจในเรื่องของสัมปทานที่อาจจะถูกยกเลิกภายใต้ ‘รัฐบาลก้าวไกล’ ที่ทำงานอย่างโปร่งใส คุณมีหลากหลายเหตุผลที่ไม่อยากจะเลือก ‘คุณพิธา’ และพรรคก้าวไกล แต่คุณไม่กล้าพูดออกมาตรง ๆ เพราะคุณรู้ว่ามันเป็นเหตุผลที่ใช้ไม่ได้ เมื่อถึงเวลาคุณจึงมาอ้างเหตุผลว่า เพราะพรรคก้าวไกลไม่มีความจงรักภักดี หากคุณทำแบบนี้ ขอถามว่า แล้วใครได้ประโยชน์ ใครกันที่เสียประโยชน์? ใครกันแน่ที่กำลังทำลายสถาบันฯ อยู่” 

ช่อ พรรณิการ์ ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า “เรื่องนี้น่ากลัวและน่าตกใจมาก และยังเป็นเกมที่เสี่ยงมาก ที่พวกคุณเอามาเล่นกันเอง ไม่ใช่พรรคก้าวไกลนะคะ”

‘อัษฎางค์’ ชี้!! ‘บิ๊กตู่’ ยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช มาตลอด แต่ถูก ‘สื่อ-นักการเมือง’ เอาไปพูดบิดเบือนจน ปชช.เข้าใจผิด

(16 ก.ค. 66) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก ‘เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค’ ระบุว่า…

สำนักข่าวอิศรา ที่เคยรายงานทรัพย์สินของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ช่วงเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2558 พบรายละเอียด ดังนี้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีทรัพย์สิน 102,317,152.64 บาท ได้แก่

- เงินฝาก 6 บัญชี มูลค่า 58,967,022 บาท
- เงินลงทุน 9 แห่ง 23,072,380 บาท
- ที่ดิน 2 แปลง 2,284,750 บาท
- โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 2 ล้านบาท
- ยานพาหนะ 4 คัน มูลค่า 8 ล้านบาท
ทรัพย์สินอื่นฯ 4 รายการ มูลค่า 4,193,000 บาท

นอกจากนี้ แจ้งว่ามีคู่สมรส คือ นางนราพร จันทร์โอชา มีทรัพย์สิน 26,347,382.76 บาท ได้แก่

- เงินฝาก 6 บัญชี 7,977,382 บาท
- ที่ดิน 3 แปลง (1 แปลงร่วมกรรมสิทธิ์กับผู้อื่น) 5,350,000 บาท
- โรงเรือนฯ 2 ล้านบาท
- ยานพาหนะ 1 คัน 5 ล้านบาท
- ทรัพย์สินอื่นฯ 1 รายการ 7,520,000 บาท
หนี้สินรวมทั้งสิ้น 654,745.06 บาท

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ แจ้งด้วยว่า ได้รับเงินจากการขายที่ดิน 9 โฉนดแก่บริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (บริษัทเครือข่ายของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของเบียร์ช้าง) จากบิดา (พ.อ.ประพัฒน์ จันทร์โอชา) รวมมูลค่า 540 ล้านบาท และได้แบ่งให้บิดากับน้องรวม 267 ล้านบาท มอบให้ลูก 2 คน 198 ล้านบาท และได้รับเงินจากน้องที่สร้างบ้านให้พ่ออีก 6 ล้านบาท

สรุปแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 128,664,535.40 บาท

ส่วนการเข้ารับตำแหน่งในครั้งที่ 2 พล.อ.ประยุทธ์ ก็ได้ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. แล้วเช่นกัน ทั้งที่กฎหมายไม่ได้บังคับ กฏหมายบัญญัติให้แสดงทรัพย์สินเพียง 2 ครั้ง คือ เมื่อเข้ารับตำแหน่งและหมดวาระ ดังนั้น เมื่อเข้ารับตำแหน่งในครั้งที่ 2 ซึ่งถือว่าดำรงตำแหน่งต่อเนื่อง ป.ป.ช. จึงไม่ต้องนำมาเปิดเผย

แต่สื่อ นักการเมือง นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และอาจารย์นักวิชาการ เอาไปพูดบิดเบือนจนประชาชนเข้าใจผิด และออกมาโจมตีว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ยอมแสดงบัญชีทรัพย์สินหรือ ปปช.ไม่ยอมเปิดเผย ซึ่งส่อแววทุจริต

อัษฎางค์ ยมนาค

‘ส.ว.เสรี’ สุดจะทน!! เตรียมยื่นฟ้อง ‘2 เกรียนคีย์บอร์ด’ หลังถูกหมิ่นประมาทบนโลกออนไลน์มาแล้วหลายครั้ง

(16 ก.ค. 66) นายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (17 ก.ค. 66) ตนได้ให้ตัวแทนยื่นฟ้องบุคคล 2 คน ที่โพสต์ข้อความในโลกออนไลน์ ทำให้ตนเกิดความเสียหาย ต่อศาลอาญาตลิ่งชัน ถือเป็นการฟ้องร้องคดีแรกของตน หลังจากที่ถูกหมิ่นประมาทด้วยข้อความทางโลกออนไลน์มาหลายครั้งหลายคราวก่อนหน้านี้ และในวันเดียวกันเวลา 11.00 น. ตนจะแถลงในรายละเอียดและเปิดเผยชื่อบุคคลที่ตนยื่นฟ้อง 2 คน พร้อมจะพาทนายความไปรับเรื่องจาก ส.ว.ท่านอื่นที่ถูกบูลลี่ หรือหมิ่นประมาทด้วยข้อความอันเป็นเท็จจากโลกออนไลน์ด้วย จากนั้นจะทยอยฟ้องต่อไป

“รอบนี้เอาจริงและไม่ทน เพราะพวกเขาทำตัวเป็นอันธพาลคอยหาเรื่องและคุกคามมากเกินไป ทั้งด่าทอและใส่ร้ายคนอื่น ส่วนกรณีที่โลกออนไลน์รณรงค์สืบหาธุรกิจส.ว. หรือ เมียน้อยส.ว.นั้น หากทำผิดกฎหมายต้องดำเนินคดี ขณะที่ตลาดเสรีที่เป็นธุรกิจของผม ถูกโซเชียลเปิดเผยนั้น ไม่มีผลกระทบใดๆ เพราะตลาดคือสถานที่ที่ทำให้คนได้มีอาชีพ ค้าขาย ขณะเดียวกันประชาชนต้องมาจับจ่ายใช้สอย เป็นสิ่งจำเป็น โดยขณะนี้พบว่ามีคนมาเดินซื้อสินค้ามากขึ้น แต่ผมไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น” นายเสรี กล่าว

นายเสรี กล่าวถึงกรณีที่นายอานนท์ นำภา เตรียมทำกิจกรรมคาร์ม็อบเพื่อยื่นใบลาออกให้ ส.ว. ว่า กิจกรรมทำได้แต่ต้องไม่ด่าทอ หรือหมิ่นประมาท ซึ่ง ส.ว.จะไม่ยอม

'ติ่งก้าวไกล' ฟาดเดือด!! ปม ‘พิธา’ รั้นแก้ ม.112  ถามแรง!! ควรแก้ปัญหาปากท้องให้ปชช.ก่อนไหม? 

เมื่อวานนี้ (15 ก.ค. 66) ผู้ใช้ TikTok บัญชี ‘@_breakingnews24’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอชายหนุ่มคนหนึ่ง ได้ออกมาพูดเกี่ยวกับประเด็นที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ยืนยันจะแก้ ม.112 ในสภาฯ พร้อมบอกว่า ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนควรถูกแก้ไขก่อนเป็นอันดับแรก โดยในคลิปได้ระบุว่า…

“ตกลงพี่พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ต้องการมาเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อมาแก้ ม.112 อย่างนั้นหรืออย่างไร? ผมจะบอกไว้ให้นะคุณทิมพิธา ที่ผมและพี่น้องอีกหลายสิบล้านคนไปเลือกคุณเนี่ย ไม่ได้หวังเพื่อให้คุณไปแก้ ม.112 แต่หวังให้คุณมาแก้เรื่องเศรษฐกิจปากท้อง ให้แก้เรื่องข้าราชการท้องถิ่นคอร์รัปชัน แค่ปัญหาเศรษฐกิจเท่านั้น ไม่ได้หวังให้ไปแก้ ม.112 เลย นี่คือเสียงของผม ที่ผมได้ออกไปเลือกคุณ”

“ปัญหาบ้านเมือง หรือปัญหาความยากลำบากของประชาชนควรมาก่อนเรื่องอื่น ทำไมถึงไม่ยอมเปลี่ยน Mindset ของตัวเอง จะเอาอกเอาใจติ่งส้มมากมายขนาดนั้นเชียวหรือ? กลัวขนาดนั้นเลยหรือ? คุณพิธา วันนี้คุณมีโอกาสได้เข้าไปอยู่ในสภาฯ ทำไมถึงไม่ประกาศว่าตัวเองและพรรคก้าวไกลจะไม่ไปยุ่ง ไม่แก้ ม.112 ทำไมถึงไม่พูดแบบนี้ ทั้งๆ ที่ ส.ว.ได้พูดออกมาแล้วว่าหากยังยืนยันจะดื้อด้านเพื่อแก้ ม.112 อยู่ ส.ว.นั้นจะไม่โหวตให้ ซึ่งเขาจะไม่โหวตให้ก็รู้กันอยู่ แล้วเพราะอะไรคุณถึงยังดึงดันจะทำอยู่ ทำไมคุณถึงมาทำลายความหวังของประชาชน คุณต้องการเข้าไปเป็นนายกฯ เพื่อไปแก้ ม.112 อย่างเดียวหรือ? ไม่ต้องไปพูดอะไรมากหรอก ผมจะพูดประเด็นนี้ ทัวร์จะลงผมก็ช่าง ผมไม่สน”

“คุณเห็นไหม? สมัยก่อนที่ ‘คุณทักษิณ’ เขาได้เป็นรัฐบาล ได้เป็นนายกฯ เขาไปพูดเรื่องนี้หรือเปล่า แน่นอนว่าเขาไม่เคยไปพูดหรือเข้าไปยุ่ง ทำให้เขาได้คะแนนท่วมท้นจนแลนด์สไลด์ และที่ผ่านมาไม่เคยมีรัฐบาลไหนที่จะมีนโยบายไปแก้ ม.112 แม้แต่รัฐบาลเดียวเลย แล้วคุณเป็นใคร? ประชาชน 14 ล้านเสียง เขาบอกคุณหรือ ว่าให้เข้าไปแก้ ม.112 แล้วทุกคนจะรวยขึ้น จะมีความสุขขึ้น ใครบอกคุณ?”  

‘โด่ง อรรถชัย’ ชี้!! แก้ ม.112 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ม.6 ชัดเจน แนะ ‘ก้าวไกล’ หยุดฝืน เพราะไม่มีใครหนุนหลังแน่นอน

(16 ก.ค. 66) นายอรรถชัย อนันตเมฆ นักแสดง พิธีกร นักการเมือง และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองชาวไทย อดีตข้าราชการทางการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาพูดเกี่ยวกับประเด็นการแก้มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล ซึ่งมีความขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ที่พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะสูงสุด ผู้ใดจะละเมิดมิได้ โดยนายอรรถชัย ได้กล่าวว่า…

“เรื่องการแก้ไขมาตรา 112 หากจะพูดให้เข้าใจโดยทั่วกัน ความจริงคือ มันไม่มีอยู่จริงในรัฐบาลนี้ คุณจะดื้อรั้นดันทุรังสร้างภาพแก้ไขมาตรา 112 ไปเพื่ออะไร? มันไม่มีจริง เพราะถึงแม้วันนี้คุณจะยื่นเข้าไปในสภาฯ ผมขอถามว่ามันขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ไหม?” 

นายอรรถชัย ยังกล่าวต่อว่า “หากถามว่าแล้วมันขัดกับมาตรา 6 อย่างไร? มาตรา 6 ถ้าหากจะพูดให้ชัดเจน คือ พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะสูงสุด ผู้ใดจะละเมิดมิได้ หากดูฉบับที่พรรคก้าวไกลจะแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ซึ่งจะเปลี่ยนสถานะของพระมหากษัตริย์จากเดิมที่เคยอยู่ ‘หมวดความมั่นคง’ มาอยู่ในหมวดของ ‘คนธรรมดา’ อย่าว่าแต่มาตรา 6 เลยครับ จะโดนมาตรา 112 หรือเปล่า? เพราะว่าคุณลดสถานะของพระมหากษัตริย์ ในทางกฎหมายเหมือนเป็นการหมิ่นพระมหากษัตริย์ก็เหมือนกับโทษคนธรรมดา สิ่งนี้เขาตีความได้นะครับ เพราะฉะนั้น ถึงสามารถพูดได้ว่าเรื่องนี้ขัดกับมาตรา 6 อย่างไร อันนี้ผมไม่ได้พูดเข้าข้างใคร แต่ผมพูดตามเนื้อหาของตัวกฎหมาย ไม่ได้พูดตามใจใคร เพียงแค่กลไกทางกฎหมายมันเป็นเช่นนี้”

“เพราะฉะนั้น คุณคิดว่าการแก้ไขมาตรา 112 มันเหมือนกับการแก้ พรบ.เมาแล้วขับหรือครับ? ไม่ใช่นะ เพราะมาตรา 112 เป็นกฎหมายความมั่นคง และเชื่อมโยงรัฐธรรมนูญ ซึ่งถึงแม้จะมีไม่กี่บรรทัดก็จริง แต่คุณคิดว่าการแก้ไขมีแค่การยกมือแล้วก็ผ่าน และถือว่าจบหรือครับ มันต้องแก้กันไปจนถึงมาตรา 6 แล้วมาตรา 6 อยู่ในไหนล่ะ? ก็หมวดพระมหากษัตริย์ไง คุณจะแก้มาตรา 6 แค่ในรัฐบาลนี้ได้ไหม? ผมรับรองว่าไม่มีใครยอมให้คุณแก้ไขหรอกครับ เพราะการที่คุณจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต้องใช้เสียงของ ส.ว. ถึงแม้ปีหน้าพวกเขาจะหมดวาระ แต่อย่างไรก็ตาม ส.ส.ในสภาฯ วันนี้ถ้าคุณไปแตะหมวดพระมหากษัตริย์ พรรคภูมิใจไทยเขาว่าอย่างไร หรือแม้แต่ 8 พรรคร่วมรัฐบาล หรือพรรคคุณหญิงหน่อยเขาจะว่าอย่างไร ไม่ต้องพูดถึงพรรคเพื่อไทยนะ พรรคเพื่อไทยเฉย ๆ อยู่แล้ว คุณลองคิดดูนะว่า ถ้าคุณไปแก้หมวดพระมหากษัตริย์ คุณจะได้แนวร่วมสักแค่ไหน มันยิ่งใหญ่จริง ๆ เพราะฉะนั้น คุณแก้ไขมาตรา 6 ไม่ได้ และที่ยื่นมาตรา 112 ไปแก้ในสภาฯ แล้วไม่ผ่านครั้งที่แล้วก็ไม่พูดข้อมูลให้หมด ไปโทษคุณชวน หลีกภัยกันบ้าง และยังรวมไปถึงคุณสุชาติ ตันเจริญ พ่อของคุณมดดำอีก แต่จริง ๆ คือมันมาจากคณะกรรมการที่พิจารณากฎหมายของสภาฯ ซึ่งมีหลายคนที่ชี้ลงมาว่าสิ่งนี้ขัดต่อมาตรา 6 ไม่สามารถยื่นเข้าสภาฯ ได้ ไม่เช่นนั้นประธานต้องรับผิดชอบ” นายอรรถชัย กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top