Friday, 16 May 2025
POLITICS

‘เพื่อไทย’ หักดิบ!! ผสมข้ามขั้ว สลัด ‘ก้าวไกล’ จับตาแนวรบ ส.ว. ลุ้นหนัก ‘อนุทิน’ เข้าชิง

ก็ไม่เหนือความคาดหมายแต่ประการใด...ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์รับเรื่องจากคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต. กรณีพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้นสื่อฯ ไอทีวี และมีมติ 7 ต่อ 2 ให้พิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.เอาไว้ก่อนตั้งแต่ 19 ก.ค.จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย...

ไม่กี่นาทีหลังคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญเผยแพร่เป็นทางการ ‘ทิม พิธา’ ก็ประกาศอำกลางสภาฯ บอกกว่าจนกว่าจะพบกันใหม่..ท่ามกลางเสียงปรบมือกึกก้อง…

และในวันเดียวกันที่ประชุมรัฐสภามีมติประเภทตอกฝาโลงพิธา ด้วยการมีมติว่าการเสนอโหวตนายกฯนั้นเป็นญัตติและเสนอชื่อซ้ำอีกไม่ได้เหตุขัดข้อบังคับการประชุมรัฐสภา 2563 ข้อที่ 41 ด้วยคะแนน 394 ต่อ 312 งดออกเสียง 8 ไม่ลงคะแนน 1  

น่าสังเกตว่าคะแนน 312 ที่เห็นว่าเสนอชื่อพิธาซ้ำได้อีกนั้น น้อยกว่าคะแนนที่พิธาได้รับการโหวตเลือกเมื่อวันที่ 13 ก.ค. เพราะวันนั้นพิธาได้คะแนนสูงถึง 324 เสียง

สำหรับ ‘พิธา’ ก็ต้องฝ่าวิบากกรรมอีกหลายกรณี กรณีคดีหุ้นสื่อก็ต้องใช้เวลา 3-4 เดือนกว่าจะรู้ผลว่าจะได้กลับสภาฯ หรือต้องลาไกล

กรณีพรรคก้าวไกลนั้นนาทีนี้แม้จะยังไม่ยอมโยนผ้ายอมแพ้หรือประกาศตัวเป็นฝ่ายค้าน แต่เกมการเมืองเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลไปตกอยู่ในมือของพรรคเพื่อไทยเรียบร้อยแล้ว...ทั้งพรรคเพื่อไทยและก้าวไกลอยู่ในสภาพกดดันทั้งคู่

พรรคก้าวไกลนั้นความกดดันคือ...จะเดินหน้าอย่างไร จบแค่นี้อย่างมีศักดิ์ศรีหรือเดินหน้าเกาะเอวพรรคเพื่อไทยขอเป็นรัฐบาลด้วย แล้วในที่สุดจะถูกสลัดออกมา...ให้สังคมและด้อมส้มรู้สึกสงสารมากขึ้น

ส่วนพรรคเพื่อไทย...รู้ดีว่าการเสนอชื่อนายกฯ โดยมีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาลด้วยนั้นเสียงโหวตไม่ผ่านแน่นอน...ดังนั้นความกดดันคือถ้าพรรคก้าวไกลไม่สลัดออก ก็อาจจะต้องยอมเสนอชื่อนายกฯ ที่ไม่หวังผลได้ หรือเสนอให้รัฐสภาโหวตทิ้งไปสักชื่อหนึ่งก่อน ซึ่งอาจจะเป็นชัยเกษม นิติสิริ

แต่สายข่าวจากพรรคเพื่อไทยรายงานล่าสุดว่าจะพยายามเสนอชื่อแรกแล้วให้ผ่านเลย...ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าพรรคเพื่อไทยต้องผสมข้ามขั้วกับพรรคภูมิใจไทยและพรรคพลังประชารัฐและพรรคอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่ง...เพื่อบีบให้พรรคก้าวไกลถอนตัวไปโดยอัตโนมัติตั้งแต่ตอนแรก

ทั้งนี้เต็งหนึ่งนายกฯ ของเพื่อไทยตอนนี้คือ เศรษฐา ทวีสิน คนที่เพจของพรรคกำลังทยอยปล่อยคลิปโชว์กึ๋นออกมารัวๆ...แต่อย่างไรก็ตามโอกาสของ ‘เสี่ยนิด-เศรษฐา’ จะถูกปิดตายทันทีถ้าเขายังยืนกรานในจุดยืน...มีเศรษฐาต้องมีก้าวไกล

ทั้งหลายทั้งปวงต้องยอมรับว่า...การจัดตั้งรัฐบาลสูตรที่ไม่มีพรรคก้าวไกลดูเหมือนจะง่ายขึ้น แต่จริง ๆ แล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะรัฐบาลใหม่ไม่เพียงเดิมพันอนาคตบ้านเมืองเท่านั้น ในส่วนของพรรคเพื่อไทยยังแบกเดิมพันการกลับบ้านของคนแดนไกลรวมอยู่ด้วย..และปัจจัยนี้คือราคาที่พรรคเพื่อไทยต้องจ่าย...จ่ายด้วยเงื่อนไขการต่อรองของพรรคร่วมรัฐบาล หรือแม้กระทั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี...

วันที่ 27 ก.ค.รัฐสภานัดประชุมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง สภากาแฟยังไม่ตัดชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ ‘บิ๊กป้อม’ และ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ ออกจากตัวเต็งนายกฯ คนที่ 30 โดยเฉพาะ อ.อนุทิน นั้นราคาหุ้นพุ่งแรงแซงลุงป้อมไปเป็นช่วงตัวแล้ว บรรดา ส.ว.หลายสายกำลังลุ้นหนักให้ถูกเสนอชื่อเข้าชิง

ทราบแล้วเปลี่ยน..!!

‘อั๋น ภูวนาท’ โพสต์ฉะ คนที่คิดปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ ลั่น!! อดทนอีกนิด ไม่ใช่พวกเราที่จะตายก่อน

(20 ก.ค. 66) ยังคงเป็นประเด็นการเมืองที่หลาย ๆ คนให้ความสนใจ สืบเนื่องจากกรณีที่ทางรัฐสภา ได้มีการเปิดโหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ที่ได้มีการเสนอรายชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกฯ ซึ่งมีผลว่า พิธา ชวดตำแหน่งนายกอีกครั้ง อีกทั้งยังได้มีคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญให้ พิธา หยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกผู้แทนราษฎรชั่วคราว จากกรณีถือหุ้นสื่อ ITV จนกว่ามีคำวินิจฉัยใหม่

หลังการประชุมโหวตเลือกนายกฯ รอบที่ 2 เหล่าคนบันเทิงต่างออกมาเคลื่อนไหว รวมไปถึง 'อั๋น ภูวนาท' ซึ่งปกติเจ้าตัวก็ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องการเมืองอยู่เป็นประจำ ล่าสุด โพสต์ภาพพร้อมข้อความว่า…

"2023 บันทึกไว้เตือนใจ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยจากกติกาที่เฮงซวยแบบไม่มีใครปฏิเสธได้ของกลุ่มคนที่คิดจะปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือ ในนามของความถูกต้องที่อุปโลกน์ความชอบธรรม โดยไม่มองโลกที่เปลี่ยนไปอย่างเข้าใจ และฟังเสียงเจ้าของประเทศที่แท้จริง #รักเกินรักมักทำลาย อดทนอีกนิดนะครับ เพราะดูจากหน้าตาแล้วพวกเราไม่น่าจะเป็นฝ่ายที่ตายก่อน #ก็ว่าจะไม่แรง" 

งานนี้ชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์จำนวนมาก เช่น รอบหน้าคงไม่ไปเลือกตั้งแล้วเสียเวลาและเสียความรู้สึกมาก, เสียดายเงินภาษีในการจัดการเลือกตั้งมาก รวมทั้งภาษีที่จ่ายไปเป็นเงินเดือนของพวก สว. กกต. และหน่วยงานรัฐทั้งหลายที่ไม่สุจริตในการทำงาน

‘เศรษฐา’ ลั่น!! หาก 'เพื่อไทย' เป็นแกนตั้งรัฐบาลจะไม่แตะ 112 คลุมเครือจับมือ ‘ก้าวไกล’ ต่อหรือไม่ ขอคุย 8 พรรคก่อน

(20 ก.ค.66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยและแคนดิเดตนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงท่าทีของพรรคเพื่อไทย ในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ภายหลังไม่สามารถเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ได้อีกว่า วันนี้จะพูดคุยกันในเรื่องนี้ ส่วนจะมีความชัดเจนในการเสนอชื่อตนเป็นนายกฯ หรือไม่นั้น ต้องรอข้อสรุปจากการประชุม

เมื่อถามว่าเสียง ส.ว.ในการโหวตนายพิธา เมื่อวันที่ 19 ก.ค. ชัดเจนว่า ส.ว.ไม่เอาพรรคก้าวไกล การตั้งรัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทย จะยังมีพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องให้ทีมเจรจาไปเจรจาก่อน ซึ่งจะทราบทิศทาง ขณะนี้เรายังมีเอ็มโอยูของ 8 พรรคร่วม ดังนั้นต้องพูดคุยและให้เกียรติกัน

เมื่อถามว่าขณะนี้พร้อมถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ในการโหวตครั้งต่อไปหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ทางพรรคมีแคนดิเดตนายกฯ 3 คน ต้องรอให้มีมติจากกรรมการบริหารพรรค(กก.บห.) ว่าจะเป็นใคร ทั้งนี้ แคนดิเดตทุกคนมีความพร้อม

เมื่อถามว่า 8 พรรคร่วมยังเหนียวแน่นหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่าวันนี้ยังเป็นแบบนั้นอยู่ โดยคณะเจรจาอาจไปพูดคุยกันเย็นนี้หรือวันที่ 21 ก.ค. เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีแนวทางว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ รวมถึงอาจมีการเปลี่ยนแปลงในแง่ของแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

เมื่อถามว่าการดันนายพิธา เป็นนายกฯ ของพรรคร่วม ถือว่าสิ้นสุดแล้วหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตามที่ฟังดูในทางกฎหมาย น่าจะเป็นเช่นนั้น

เมื่อถามว่าการโหวตชื่อนายกฯ เหมือนเป็นบรรทัดฐานว่าจะเสนอชื่อหนึ่งคนได้เพียงครั้งเดียว การมีพรรคก้าวไกลอยู่จะส่งผลให้โหวตนายกฯ ไปในทิศทางใด นายเศรษฐา กล่าวว่า การเสนอชื่อนายกฯ ครั้งต่อไปต้องคิดให้ดี ต้องเจรจาให้เหมาะสม เมื่อถามว่าส่วนตัวมองว่าควรจะแพ็กกับพรรคก้าวไกลต่อหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องให้เกียรติคณะเจรจา เพราะตนไม่ได้อยู่ในคณะเจรจา

เมื่อถามว่าหากพรรคเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จะทำอย่างไรไม่ให้ ม.112 เป็นปัญหา นายเศรษฐา กล่าวว่า มองว่าพรรคที่จะเสนอชื่อนายกฯ ครั้งต่อไป ต้องไม่มีเรื่องการแก้ไขหรือยกเลิก ม.112 ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้รับการสนับสนุนจาก ส.ว.รวมถึงพรรคอื่น ดูก็รู้ว่าเรื่องอะไรเป็นอะไร

เมื่อถามว่ามองว่าวิธีใดที่จะทำให้มาตรา 112 ไม่อยู่ในเงื่อนไขที่จะทำให้คนเข้าใจพรรคเพื่อไทยมากที่สุดว่าเราไม่ได้หักพรรคก้าวไกล นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนพูดแทนพรรคก้าวไกลไม่ได้ แต่พรรคเพื่อไทยคงต้องพูดคุยกัน ถ้าเราจะเป็นแกนนำ เรื่องนี้ต้องหยุดลงไป ส่วนความสัมพันธ์กับพรรคก้าวไกล ตนไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะตนไม่เกี่ยวข้องกับการเจรจา แต่คิดว่าหากมีมาตรา 112 อยู่ คงไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลาย ๆ พรรค

เมื่อถามว่าจะมีพรรคร่วมเข้ามาเติมเสียงเพิ่มขึ้นหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า คิดว่าอาจจะล้ำหน้าไปเล็กน้อย ต้องให้เกียรติ 8 พรรคร่วมก่อน เพราะ 8 พรรคปัจจุบันก็มีเสียงเยอะ แต่ต้องมาคุยกันอีกครั้งว่าจะตกลงกันอย่างไร อย่างไรก็ตาม เสียงสว.250 เสียงถือเป็นส่วนที่สำคัญในการสนับสนุนให้เป็นนายกฯ

เมื่อถามว่าตัวนายเศรษฐาจะต่อสายพูดคุยกับ สว.ได้หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนรู้จักสว.แค่คนสองคน เชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว คงเป็นเรื่องของหลักการมากกว่า ถ้าตกลงกันได้และพูดคุยกันรู้เรื่อง เชื่อว่าจะได้รับการสนับสนุนจากสว. คิดว่าอย่าเพิ่งข้ามขั้นดีกว่า วันนี้เรายังผูกมัดอยู่กับเอ็มโอยู และต้องให้เกียรติคณะกรรมการเจรจาว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป ถ้าเจรจาแล้วเห็นเป็นอื่นก็ต้องกลับมาคุยในพรรคกันต่อ แล้วพิจารณาว่าต่อไปเราจะไปอย่างไรกับใคร

เมื่อถามว่าคิดหรือไม่ว่าตอนนี้เกมบีบให้พรรคเพื่อไทยต้องข้ามขั้ว นายเศรษฐา กล่าวว่า ต่างคนต่างคิดอยู่แล้ว แต่สำคัญที่สุดคือคนที่มีอำนาจตัดสินใจ กก.บห. คณะเจรจาร่วมต้องเป็นคนพิจารณาให้ดี ส่วนเรามีหน้าที่ที่ต้องทำต่างกัน วันนี้ตนเป็นแคนดิเดตนายกฯ ก็ต้องเตรียมพร้อมเรื่องเศรษฐกิจที่พรรคมอบหมายมา

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ 8 พรรคยังอยู่ด้วยกัน การจะมีการเปลี่ยนแปลงข้ามขั้ว หรือจะมีพรรคอื่นเข้ามาเสริมก็ต้องให้เกียรติกับคณะเจรจา ขอให้ใจเย็น มีอีกหลายวันก่อนถึงวันที่ 27 ก.ค. เราต้องให้เกียรติกับพรรคร่วม ซึ่งผลการโหวตเมื่อวันที่ 19 ก.ค.เป็นผลที่น่าผิดหวัง แต่ต้องยอมรับและเดินต่อไป ทั้งนี้ หาก กก.บห.มีทิศทางการจัดตั้งรัฐบาลอย่างไร ก็พร้อมทำตาม

เมื่อถามว่ามีการพูดถึงสูตรผลักให้พรรคก้าวไกล ไปเป็นฝ่ายค้าน วันนี้มองว่ายังต้องจับมือกับพรรคก้าวไกลไปจนกว่าจะสุดทางไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับว่าสุดคืออะไร สุดทางคือพรรคก้าวไกลไม่สามารถส่งนายกฯได้ ถือว่าสุดทางแล้วหรือยัง อันนี้ต้องฝากไปยังคณะเจรจาของ 8 พรรคว่า นี้คือสุดทางหรือยัง ถ้าสุดทางแล้วต้องมาพิจารณาว่าพรรคที่มีคะแนนอันดับสอง จะได้รับการมอบหมายหรือไม่ จะตกลงกันได้หรือไม่ อยากให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี เพราะถึงอย่างไรเรายังร่วมอุดมการณ์กันอยู่ดี

เมื่อถามว่าหากโหวตอย่างไรก็ไม่ได้ เพราะยังมีพรรคก้าวไกลอยู่ จำเป็นหรือไม่ที่ต้องผลักพรรคก้าวไกลออก นายเศรษฐากล่าวว่า ตนว่าทุกคนรู้อยู่ อย่าให้ตนตอบดีกว่า เมื่อถามย้ำว่าจะทำตามแนวทางของกก.บห.ยอมเป็นนายกฯ โดยที่ไม่มีพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า อย่าไปถึงจุดนั้น จุดแรกคือ 8 พรรค ต้องตกลงกันให้ได้ก่อนว่าขั้นตอนต่อไปจะเป็นอย่างไร

หากมีมติออกมาว่าพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ก็ต้องประชุม กก.บห.ก่อน แล้วเลือกแคนดิเดตนายกฯ ต้องว่าไปตามขั้นตอน ยังมีเวลาอีกหลายวัน

เมื่อถามว่าในการหากเสนอชื่อนายเศรษฐา มั่นใจหรือไม่ว่าเสียง 8 พรรคจะเหมือนเดิม นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่ก้าวล่วง หากบอกว่าเขาโหวตให้แล้วเขากลับไม่โหวตให้ ดังนั้น ขอไม่ตอบดีกว่า เพราะต้องให้เกียรติพรรคร่วม

‘ชาวเน็ต’ แฉ!! ติ่งส้มไล่ด่าคนเห็นต่าง-ใช้คำพูดหยาบคาย ซัด!! เรียกร้องสิทธิของตัวเอง แต่ไม่เคารพสิทธิคนอื่น

เมื่อไม่นานนี้ ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่ง ชื่อ ‘benzsan1996’ หรือ ‘คุณเบนซ์’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอตอบกลับความคิดเห็นที่มีชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์ไว้ว่า “ทีแรกก็ติ่งส้มแต่เราเห็นต่างเรื่อง ม.112 เราโดนรุมด่าหนักมาก อยู่ดี ๆ ก็ได้เป็นสลิ่มเฉยเลย”

เจ้าของช่องติ๊กต็อกได้ตอบกลับคอมเมนต์นี้ โดยกล่าวว่า…

“ใช่ค่ะ โดนแบบนี้กันเยอะมาก ซึ่งเบนซ์ก็เป็นหนึ่งในนั้น ตอนแรกเบนซ์ก็เห็นดีด้วยนะ กับการออกมาประท้วงเรื่องการไล่ลุงตู่ เพราะตอนแรกเบนซ์ไม่ชอบลุงตู่ เพราะเราไม่เห็นผลงานเขาไง เลยคิดว่าจะอยู่ต่อไปทําไมก็ไม่รู้ แต่พอไป ๆ มา ๆ กลายเป็นว่านอกจากไล่ลุงตู่อย่างเดียว ก็เริ่มมาจาบจ้วงสถาบันฯ วิจารณ์กันรุนแรงมาก จะมาอ้างว่าไม่เคยจาบจ้วง ไม่เคยเอาพระมหากษัตริย์มาโหนไม่ได้นะคะ เพราะพวกคุณทําจริงๆ แต่พวกคุณไม่ยอมรับความเป็นจริงว่าพวกคุณทําจริง ๆ”

“จะบอกไว้ให้นะคะ ว่าคนที่เป็นแบบเบนซ์ ที่เขาเคยเห็นด้วยกับกลุ่มผู้ชุมนุม พอเขาคิดต่างเรื่อง ม.112 เขากลับโดนด่าแบบสาดเสียเทเสีย ซึ่งมีเยอะมากค่ะ ถ้าคุณจะไล่ลุงตู่ แล้วคุณไม่ไปต้องแตะต้องเรื่องพระมหากษัตริย์ คุณอาจจะทําให้ลุงตู่ออกจากเก้าอี้ไปตั้งนานแล้วก็ได้ และการที่หลาย ๆ คนเขาถอยออกมาจากม็อบกันเยอะ ๆ เพราะพวกคุณทั้งนั้นเลย เมื่อมีคนเห็นต่าง คุณก็ว่าเขาโง่ มีคนคิดเห็นไม่เหมือนกับคุณ คุณก็ว่าเขาเป็นสลิ่ม คุณเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ประชาธิปไตยของคุณเป็นวิธีแบบ ‘เผด็จการ’ และคุณใช้คําพูดหยาบคายมาก ๆ ซึ่งไม่เข้าใจว่าทำแบบนั้นทําไม? เวลาคุณจะพูดหรือจะโต้แย้งกับใคร คุณคิดได้แค่คําหยาบคายหรือ? ใช้คําพูดที่มีเหตุผลไม่ได้หรือ เอาเหตุผลมาคุยกันไม่ได้หรือ?”

“เบนซ์เคยอยู่ในจุดที่เห็นด้วยนะคะ และสงสารคนที่โดนตํารวจฉีดน้ำใส่หรือถูกจับกุม เบนซ์เคยอยู่ ณ จุดนั้น แต่พอเราเห็นเขาแตะต้อง ม.112 เขาแตะต้องพระมหากษัตริย์ เรารู้สึกไม่โอเคเลย แล้วเมื่อเราไปพูดคุยเรื่องนี้ด้วยเหตุผล ก็โดนแย้งกลับมาว่า แล้วสถาบันพระมหากษัตริย์มีไว้เพื่ออะไร สําคัญอะไร? คือคุณไม่มีเหตุผลแล้วอะ ความคิดของคุณมันไม่โอเคแล้ว และเมื่อเราเห็นว่าความคิดของเราไม่เหมือนกันแล้ว เราเลยถอย พอเราถอยเราก็ถูกคุณด่าเสียๆ หายๆ อีก เพราะฉะนั้น คุณควรจะคิดดีๆ ว่าสิ่งที่คุณต้องการคืออะไรกันแน่ พอเราออกมาบอกว่า เราเคยอยู่ในจุดที่เคยเป็นติ่งส้มนะ พวกคุณก็มาก้าวก่ายความคิดของเรา มากล่าวหาว่า การที่เรามีความคิดแบบนี้ เราไม่เคยมาเป็นติ่งส้มจริง ๆ หรอก หาว่าเราอยู่ฝั่งลุงตู่”

“นี่คือตัวตนของฉัน ความคิดของฉัน มันไม่ใช่ตัวของคุณ แค่นี้คุณยังไม่เคารพสิทธิคนอื่นเลย ต้องการเรียกสิทธิของตัวเอง แต่ไม่เคารพสิทธิคนอื่น นี่หรือคือ ‘ประชาธิปไตย’ คิดดีๆ นะจ๊ะ”

‘ฐปณีย์’ เผย ได้รับหมายเรียกเป็น ‘พยาน’ คดีหุ้น ITV พร้อมชี้แจง หาก ‘กกต.-ศาลรัฐธรรมนูญ’ เรียกพบ

(20 ก.ค. 66) จากกรณีที่รายการข่าว 3 มิติ ทางช่อง 3 โดย ‘ฐปณีย์ เอียดศรีไชย’ ผู้สื่อข่าว 3 มิติ ได้ออกมาเปิดคลิปการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี ที่จัดประชุมขึ้นเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมานั้น กระทั่งวานนี้ (19 กรกฎาคม) ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติสั่งให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.แล้วนั้น

ล่าสุด ‘แยม’ ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า…

“วันที่ 25 ก.ค. 66 มีหมายเรียกจาก สน.ทุ่งสองห้อง ให้ ‘ฐปณีย์’ ไปเป็นพยานคดีหุ้นไอทีวี เตรียมพบกับ คดีหุ้น ITV EP.2”

จับตา!! คู่ชิงหัวหน้าพรรค 'อภิสิทธิ์' ปะทะ 'ดร.เอ้' พร้อมข่าวลือสะพัด 16 ส.ส.หักเห ปันใจซบ 'เสี่ยหนู'

ประชาธิปัตย์เดือด…ลือสะพัด 16 ส.ส.ปันใจให้ภูมิใจไทย ถกร่วมเพื่อไทยตั้งรัฐบาล ศึกชิงหัวหน้าพรรคไม่ลงตัว ขั้ว 'เฉลิมชัย' ขอเปลี่ยนหัวจาก 'นราพัฒน์' เป็น 'ดร.เอ้'

หลังเสร็จภารกิจการชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ 'พิธา ลิ้มเจริญรัตน์' หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่รัฐสภาตอกฝาโลงไปแล้ว ในสมัยประชุมนี้ไม่สามารถเสนอกลับมาได้อีก เกมจึงเปลี่ยนไปอยู่ในมือเพื่อไทย

หันมาดูศึกในค่ายพระแม่ธรณีบีบมวยผมบ้าง (ประชาธิปัตย์) ที่การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาหอบหิ้วเข้าสภามาได้แค่ 25 คน จุรินทร์ลักษณวิศิษฏ์ รับผิดชอบด้วยการลาออก ที่เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีการล้มการประชุมเลือกตั้งหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ด้วยการล้มองค์ประชุม (องค์ประชุมไม่ครบ) ในช่วงบ่าย อันเป็นเกมที่ถูกกำหนดขึ้นจากฝ่ายที่ส่อว่าจะแพ้โหวต

12 กรกฎาคม มีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคชุดรักษาการ มีกรรมการบางคนเสนอให้เพิ่มองค์ประชุม เพื่อแก้ปัญหาองค์ประชุมไม่ครบ โดยให้เพิ่มองค์ประชุมอีกภาคละ 25 คน คือเพิ่มอีก 125 ให้รองหัวหน้าพรรคในแต่ละภาคเป็นคนคัดเลือกจากสมาชิกพรรคมาเป็นองค์ประชุม จากเดิมองค์ประชุมมีอยู่ 250 คน เป็น 375 คน รองหัวหน้าพรรคประจำภาคก็เตรียมการคัดสมาชิกพรรค จาก ส.อบจ.บ้าง จากนายกเทศมนตรีบ้างที่เป็นพวกของตัวเองมาเป็นองค์ประชุม

จริงๆ ในการประชุมใหญ่วิสามัญพรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ปัญหาไม่ได้อยู่ที่องค์ประชุม เพราะช่วงเช้าองค์ประชุมครบ เพียงแต่ว่าองค์ประชุมเป็นคนของใครมากกว่า เมื่อเช็คจากการประลองกำลังกันสองรอบในตอนเช้า ยังไม่เห็นแววชนะ จึงใช้เกมล้มการประชุมมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน

การเสนอเพิ่มองค์ประชุม กรรมการบริหารพรรคหลายคนอภิปรายแย้ง เพราะยังไม่ใช่เวลา พรรคยังไม่วิกฤติถึงขนาดขาดองค์ประชุมตามข้อบังคับพรรค แต่ท้ายที่สุดกรรมการบริหารพรรคฝ่ายเสียงข้างมากก็ลากไปมีมติพรรคก็ให้เพิ่มองค์ประชุม แต่เวลานี้มีกรรมการบริหารพรรคที่คัดค้าน หรือเห็นแย้งก็ยังไม่ยอมแพ้ 5 กรรมการบริหารพรรคทำหนังสือถึงหัวหน้าพรรค (จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) และเลขาพรรค (เฉลิมชัย ศรีอ่อน) เช่น สาทิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรค คุณหญิงกัลยา โสภณพาณิชย์ รองหัวหน้าพรรค ผ่องศรี ธาราภูมิ กรรมการบริหารพรรค ให้พิจารณาทบทวน

เข้าใจว่าการทำหนังสือโต้แย้งน่าจะมีผลให้ต้องเลื่อนการประชุมใหญ่วิสามัญออกไปก่อน จากเดิมที่กำหนดไว้เป็นวันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม แต่การเลื่อนการประชุมพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่ได้แจ้งต่อสมาชิกอย่างเป็นทางการ

สำหรับศึกชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วคาดว่าจะเป็นการแข่งกันระหว่าง 'อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ' อดีตหัวหน้าพรรค กับ 'นราพัฒน์ แก้วทอง' รองหัวหน้าพรรคภาคเหนือ แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนขั้ว 'เฉลิมชัย' จึงขอเปลี่ยนตัวเล่น เป็น 'ดร.เอ้' สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ลงชิงแทน โดยมีติ่ง มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ร่วมแจม ด้วย

แต่คู่ชิงน่าจะมีเพียง 2 คนนี้ คือ 'มาร์ค' อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีต หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, อดีตนายกรัฐมนตรี และ 'ดร.เอ้' ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบาย กทม. พรรคประชาธิปัตย์ อดีตประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีลาดกระบัง (สจล.)

ศึกชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ก็ถือว่าเป็นข่าวใหญ่ที่ต้องติดตาม 77 ปี ย่าง 78 ปี ก็ถือว่าเป็นพรรคที่มีของดี มีประวัติ มีความเป็นมามีผลงานเป็นที่ยอมรับระดับหนึ่งให้คนได้กล่าวขาน ถึงอยู่ยงคงกระพันมาได้ สู้คดียุบพรรคมาแล้ว 2 ครั้ง และรอดมาได้ ผ่านหัวพรรคมาแล้ว 8 คน กำลังจะเลือกคนที่ 9 สร้างคน สร้างนักการเมืองมามาก สร้างนายกรัฐมนตรี สร้างประธานสภามาแล้ว นัดการเมืองในบางพรรคก็เกิดจากท้องประชาธิปัตย์

แต่พลันที่พิธาตกสวรรค์ กลับมาข่าวลือสะพัดหนาหูว่า การประชุม ส.ส.ประชาธิปัตย์ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เห็นพ้องต้องกันว่า จะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย แต่การจะเข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่ ต้องเป็นมติกรรมการบริหารพรรค และน่าจะรอผลการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ประชาธิปัตย์มีข่าวลือหนักกว่านั้น คือเพจของพรรคโพสต์ว่า มี 16 ส.ส.ภาคใต้ ปันใจให้ภูมิใจไทยไปแล้ว มีนักการเมืองสงขลาคนหนึ่งเป็นคนเปิดดีล และรับผิดชอบเลี้ยงดูกันอยู่ 

อนาคตประชาธิปัตย์จะก้าวเดินไปอย่างไร หรือจะขุดหลุมฝังตัวเอง น่าสนใจติดตามยิ่งในสถานการณ์เปลี่ยนผ่านนี้

‘ชูวิทย์’ คาด 'เพื่อไทย' ดอดเจรจา 'ก้าวไกล' ช่วยถอยเป็นฝ่ายค้าน ชี้!! หากมีการจับขั้วใหม่ นายกฯ อาจมาจากพรรคเสียงข้างน้อย

(20 ก.ค. 66) ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ ถึงกรณีพรรคเพื่อไทย อาจเจรจาก้าวไกลขอให้ไปเป็นฝ่ายค้าน โดยระบุว่า…

เกมโหดการเมือง
อย่าไปคิดว่าจะได้คะแนนโหวตจาก ส.ว. จนถึง 376 หรือไม่?
เอาแค่ให้พิธาได้โหวตในรอบสอง ยังไม่มีโอกาส

ภาพซ้ำรอยกับธนาธรไปอีก ที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.
จากจะเสนอชื่อพิธาเป็นนายกฯ รอบสอง กลายเป็นการอำลากลางสภา

ขั้นต่อไปเข็มทิศพุ่งไปที่การยุบพรรคก้าวไกล
วันนี้เป็นบรรทัดฐานว่า ชื่อนายกฯ เสนอโหวตซ้ำรอบสองไม่ได้
หากเพื่อไทยจะเสนอชื่อเศรษฐา ก็ต้องมั่นใจว่าผ่าน ส.ว. ในครั้งเดียว

จึงถึงเวลาที่ก้าวไกลจะต้องถูกผลักไปเป็นฝ่ายค้านสมบูรณ์แบบ
เพราะหากมีชื่อก้าวไกลในพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว แม้เสนอชื่อนายกฯ เพื่อไทยไปก็ไม่ผ่าน
ส.ว. จะมีข้ออ้างในการไม่โหวตให้ เสียของไปอีก

พรรคก้าวไกลได้คะแนนมากเป็นอันดับ 1 ในทางประชาธิปไตยต้องได้จัดตั้งรัฐบาล
แต่กลับไม่ได้ทั้งตำแหน่งประธานสภา นายกฯ และรัฐบาล
ผมเคยเตือนแล้วว่าต้องเอาประธานสภามาให้ได้

เมื่อตำแหน่งประธานสภาไปตกกับคนกลาง อ.วันนอร์ ผลจึงออกมาวันนี้ ต้องโหวตว่าจะเสนอชื่อพิธาเป็นนายกฯ รอบสองได้ไหม ท้ายสุดก้าวไกล ไม่ได้อะไรเลย จากกลเกมการเมืองอย่างเหี้ยม คะแนนประชาชนมาหลังสุด

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น
ก้าวไกลพลิกสถานการณ์ไม่ทันจากทะยานพุ่งสู่ฟ้า กลับดิ่งลงเหวโดยฉับพลันทันใด
ลูกบอลเข้าเท้าเพื่อไทยแต่หากเดินไม่ดีมีโอกาสพลาดเช่นกัน

จึงต้องกลืนน้ำลายตัวเอง เอาพลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ภูมิใจไทย มาร่วมรัฐบาล
พลิกขั้วตามที่ผมคาดไว้

หลายประเทศเท่าทัน เริ่มถอนตัวจากศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) หลังอำนาจออก 'หมายเรียก-หมายจับ' ละเมิดอธิปไตยของชาติผู้ร่วมภาคี

(20 ก.ค. 66) ผู้ใช้งานติ๊กต็อกชื่อ ‘factnotfeeling’ ได้โพสต์วิดีโอเกี่ยวกับการลงนาม ICC หรือ ศาลอาญาระหว่างประเทศ ที่พรรคก้าวไกลมีนโยบายจะเข้าร่วมหากได้เป็นรัฐบาล โดยอ้างอิงจากคำพูดของ ‘หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล’ ที่ระบุว่า…

“หลังจากที่มีการกวาดต้อนให้หลาย ๆ ประเทศไปลงนามในสนธิสัญญาฉบับนี้ ให้เป็นภาคีต่อธรรมนูญกรุงโรม ในที่สุดแล้วหลาย ๆ ประเทศ เขาค่อยค่อยทยอยถอนตัวออกมา เพราะว่าเขาเริ่มตื่นรู้ แล้วเขาเริ่มตระหนักแล้วว่าในที่สุดแล้วอํานาจในการออกหมายเรียกและอํานาจในการออกหมายจับจากศาลอาญาระหว่างประเทศหรือ ICC มันเป็นขั้นตอนซึ่งเกิดขึ้นโดยที่เป็นการ ‘ละเมิดอํานาจอธิปไตย’ ของประเทศซึ่งไปเป็นภาคี 

ประเทศไทยพลาดมากที่ไปลงนามในปี 2543 แต่ยังไม่พลาดท่าถึงขั้น ‘ให้สัตยาบัน’ เอาจริง ๆ เรื่องนี้ไทยต้องอยู่ห่าง ๆ เลย ถ้ามันดีนักดีหนาอินเดียกับจีน เขาจะไม่เอาตั้งแต่แรกเหรอ ถ้าดีนักดีหนา ทําไมอเมริกา อิสราเอล รัสเซีย ฟิลิปปินส์ เขารู้เขาก็ถอย เขาถอนตัวหมด 

เขารู้ว่าถึงเวลามันเป็นศาลที่ให้มีการเดินเรื่องเพื่อออกหมายจับ-หมายเรียกได้ ถ้าคุณต้องการให้ประเทศใดประเทศหนึ่งไปลงนามเป็นภาคีต่อกระบวนการยุติธรรม แล้วกระบวนการยุติธรรมนั้นจะอยู่เหนือกระบวนการยุติธรรมของกระบวนการยุติธรรมภายในประเทศ เสร็จแล้วกระบวนการยุติธรรมนั้น จะสามารถดําเนินคดีกับบุคคลซึ่งไม่สามารถถูกดําเนินคดีในประเทศซึ่งไปลงนามเป็นภาคีได้ 

เจตนารมณ์ของการไปลงนามคืออะไร?? มันร้ายแรงนะ เรื่องนี้คือเรื่องคอขาดบาดตาย ทําไม่ได้นะ อย่าไปคิดว่ากลไกระหว่างประเทศ มันเป็นกลไกบริสุทธิ์ผุดผ่อง กลเกมและกลไกระหว่างประเทศ มันเต็มไปด้วยการเมืองระดับโลก”

'ก้าวไกล' ชงยุบ กอ.รมน. ตั้ง กมธ.สันติภาพ 'ปาตานี' เกมถนัดสั่นคลอน 'กลุ่มอำนาจเดิม-ฝ่ายความมั่นคง'

(20 ก.ค. 66) พลันที่พรรคก้าวไกลใกล้จะสูญเสียอำนาจฝ่ายบริหารอย่างเต็มรูปแบบ ทั้ง ๆ ที่ชนะเลือกตั้ง ได้ ส.ส.มาอันดับ 1

แต่พลาดทั้งตำแหน่งนายกฯ (หมดสิทธิ์ไปแล้วจากการตีตกญัตติโหวตเลือก นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ รอบ 2) และสถานะการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลกำลังจะหลุดมือ

ไม่นับเก้าอี้ ‘ประธานสภา’ ที่ต้องเสียให้พรรค 9 เสียงอย่างพรรคประชาชาติไปก่อนหน้านี้

ทำให้พรรคก้าวไกลพลิกเกมสู้ เลือกเดินทางถนัด คือจัดหนักเสนอร่างแก้ไขปัญหากฎหมายแนวปฏิรูป ซึ่งจะสั่นคลอนกลุ่มอำนาจเดิม ทั้งทุนใหญ่ผูกขาด กองทัพ และฝ่ายความมั่นคง จองคิวเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร

โดยร่างกฎหมายที่ยื่นล็อตแรกมีทั้งหมด 7 ฉบับ ตามหลักการเปลี่ยนประเทศ- ปฏิรูปกองทัพ โดยมีผู้แทนประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้รับเรื่อง และร่างกฎหมายที่เสนอมาทั้งหมด เมื่อวันที่ 18 ก.ค.66 ที่ผ่านมา

หลังการยื่น 7 ร่างกฎหมายของพรรคก้าวไกล นายรอมฎอน ปันจอร์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรค ได้โพสต์เฟสบุ๊กส่วนตัวระบุว่า “การยุบ กอ.รมน. เริ่มนับหนึ่งวันนี้นะครับ ร่าง พ.ร.บ.ยกเลิก พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 พ.ศ. ....ถึงมีประธานแล้ว”

นอกจากนี้ นายรอมฎอน ยังโพสต์ข้อความเพิ่มเติม โดยมีเนื้อหาว่า “ความเคลื่อนไหวสำคัญเกี่ยวกับสันติภาพในชายแดนใต้ / ปาตานี เรื่องแรกคือการริเริ่มตั้งต้นยุบ กอ.รมน. ด้วยการเสนอร่างกฎหมายอย่างเป็นทางการ อีกเรื่องเป็นการเข้าชื่อเสนอญัตติให้สภาผู้แทนฯ ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญว่าด้วยเรื่องการสร้างสันติภาพ ลงนามโดย ส.ส.ก้าวไกล รวม 30 คน

ทั้งสองเรื่องเป็นสิ่งที่พรรคก้าวไกลสัญญาเอาไว้กับประชาชน วางอยู่บนแนวคิดที่ว่าการเผชิญหน้าและรับมือกับความขัดแย้งในชายแดนใต้มาตลอดหลายสิบปีนั้น จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนทิศทาง นั่นคือการลดบทบาทของกองทัพลง และเพิ่มบทบาทของพลเรือนให้มากขึ้น โดยเฉพาะสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีความชอบธรรมทางการเมืองในฐานะที่เป็นสถาบันที่ยึดโยงกับประชาชน พื้นที่ของสภาฯ เช่นนี้จะเปิดโอกาสให้เราสามารถดึงเสียงที่แตกต่างหลากหลายมาถกเถียงเรื่องสำคัญๆ ได้อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งโดยตัวมันเองก็เป็นกลไกที่จะส่งเสริมการแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งโดยไม่ใช้ความรุนแรง

ความขัดแย้งในชายแดนใต้เป็นปัญหาอำนาจรัฐ เป็นเรื่องใหญ่และเรื่องระดับชาติ การมอบหมายให้อยู่ภายใต้กรอบคิดและการดำเนินงานของหน่วยงานความมั่นคงชนิดพิเศษอย่างที่ผ่านมาไม่เพียงพอแล้ว เราต้องการทิศทางที่สร้างสรรค์และเปิดกว้างมากกว่านั้น เพื่อไม่ให้ทิ้งระเบิดเวลาให้กับคนรุ่นถัดไป

ที่จริงแล้ว การยุบ กอ.รมน. ไม่ได้วางอยู่บนเหตุผลแค่เรื่องสันติภาพในดินแดนใต้สุดเท่านั้น แม้ในช่วงการฟื้นตัวก่อกำเนิดขึ้นมาอีกครั้งในปี 2551 จะอิงกับเหตุการณ์ความไม่สงบที่นั่น ปัญหาของหน่วยงานรัฐซ้อนรัฐนี้ปรากฏอยู่ทั่วทั้งประเทศ การแทรกแซงเข้าไปในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชน มองหาภัยคุกคามและข้าศึกอยู่ตลอดเวลาเช่นนั้นไม่เป็นผลดีต่อพัฒนาการของประชาธิปไตยในระยะยาว

เรื่องนี้เป็นหนึ่งในกฎหมาย 5 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปกองทัพ แต่ละเรื่องนับเป็นหัวใจสำคัญของหลักการควบคุมกองทัพด้วยรัฐบาลพลเรือนแทบทั้งสิ้น ชวนทุกท่านติดตามและถกเถียงถึงพัฒนาการของกระบวนการสันติภาพในรัฐสภาไทยอย่างใกล้ชิด”

นอกจากโพสต์ข้อความ นายรอมฎอนยังโพสต์ภาพเอกสารร่าง พ.ร.บ.ยกเลิก พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 เพื่อดำเนินการยุบ กอ.รมน. และภาพเอกสาร ขอเสนอญัตติด่วน เรื่องขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษา ติดตามและส่งเสริมการสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ / ปาตานี โดยเอกสารทั้ง 2 ฉบับมีนายรอมฎอน ปันจอร์ ลงชื่อเป็นผู้เสนอ

เป็นที่น่าสังเกตว่า เอกสารการขอเสนอญัตติ พิจารณาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาติดตามและส่งเสริมการสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ / ปาตานี มีการใช้คำว่า ‘ปาตานี’ ซึ่งเป็นวาทกรรมที่ถูกสร้างขึ้นมาจากขบวนการชาตินิยมปัตตานี ที่ผ่านมามักถูกใช้โดยฝ่ายที่เห็นต่างจากรัฐและกลุ่มขบวนการก่อความไม่สงบ แต่ ส.ส.พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็น ส.ส.ของปวงชนชาวไทย ซึ่งหมายถึงคนไทยทั้งประเทศ นำมาใช้ห้อยท้ายชื่อของคณะกรรมาธิการฯ ที่ตนเองเสนอ

ทั้งนี้ ยังไม่ชัดเจนในเจตนาว่าเป็นความต้องการสะท้อนความแตกต่างหลากหลาย หรือเป็นการยอมรับคำกล่าวของคู่เจรจา ซึ่งบางส่วนใช้อาวุธต่อสู้กับรัฐไทยกันแน่

นายทหารระดับสูงใน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า (ขอสงวนนาม) แสดงทัศนะหลังได้เห็นการโพสต์ข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ของนายรอมฎอนว่า “อย่านำความมั่นคงของรัฐมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง”

สำหรับร่างกฎหมายทั้งหมด 7 ฉบับ ที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล เสนอแก้ไข แบ่งเป็น 2 ชุด

ชุดที่ 1 ชุดกฎหมายปฏิรูปกองทัพ (Demilitarize) จำนวน 5 ฉบับ เพื่อทำให้กองทัพมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และอยู่ใต้รัฐบาลพลเรือน ประกอบด้วย

1) ร่าง พ.ร.บ.รับราชการทหาร เพื่อยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารในยามปกติ และเปลี่ยนเป็นระบบสมัครใจ 100%
2) ร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม เพื่อตัดอำนาจสภากลาโหม ให้พลเรือนอยู่เหนือกองทัพ
3) ร่าง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ เพื่อเพิ่มความโปร่งใสเรื่องภาระค่าใช้จ่ายและเงินนอกงบประมาณทั้งหมดของรัฐ
4) ร่าง พ.ร.บ.ยกเลิก พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 เพื่อดำเนินการยุบกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)
5) ร่าง พ.ร.บ.ยกเลิกประกาศ คสช. และคำสั่งหัวหน้า คสช. เพื่อยกเลิกประกาศและคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพ

ชุดที่ 2 ชุดกฎหมายปิดช่องทุนผูกขาด (Demonopolize) จำนวน 2 ฉบับ เพื่อส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม และยกระดับขีดความสามารถของเศรษฐกิจไทย ประกอบด้วย

1) ร่าง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต หรือร่าง “สุราก้าวหน้า” เพื่อปลดล็อกการผลิตสุราของผู้ผลิตรายย่อยและสุราชุมชน
2) ร่าง พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า เพื่อสร้างกติกาแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม ปฏิรูปคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า และออกกฎ “คนฮั้ววงแตก” ในการป้องกันการฮั้วประมูลของบางบริษัทที่ร่วมมือกันผูกขาดหรือลดการแข่งขัน

‘แกนนำ 3 นิ้ว’ ที่ลี้ภัยอยู่ ตปท. เศร้า!! หลัง ‘พิธา’ ชวดเก้าอี้นายกฯ พ้อ!! ชีวิตนี้คงไม่ได้กลับไปเหยียบประเทศไทยอีกแล้ว

(20 ก.ค. 66) นายทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี หรือ ‘ฟอร์ด’ ผู้ต้องหาคดีอาญามาตรา 112 แกนนำเยาวชนปลดแอก ซึ่งขณะนี้ลี้ภัยอยู่ในประเทศแคนาดา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า…

“ประชาธิปไตย มติมหาชน ความยุติธรรมได้ถูกทำลายอย่าป่นปี้ ชีวิตนี้ผมคงไม่อาจกลับไปเหยียบประเทศไทยได้อีกแล้วครับ #โหวตนายกรอบ2 #ศาลรัฐธรรมนูญ”

ก่อนหน้านี้ นายทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี ได้หลบหนีคดี 112 พร้อมกับนายภาณุมาศ สิงห์พรม หรือ เจมส์ แอดมินเพจเฟซบุ๊กเยาวชนปลดแอก โดยเดินทางไปที่ประเทศแคนาดาเมื่อปี 2564

ในขณะที่เพจเฟซบุ๊ก เยาวชนปลดแอก ได้กลับมาเคลื่อนไหวปลุกระดมชุมนุมใหญ่อีกครั้ง หลังจากไม่มีการโพสต์ข้อความใดๆตั้งแต่ช่วงต้นปี 2565

141 เสียงขุนพลพรรคเพื่อไทย 'ชัดเจน-ไม่แตกแถว' ยัน!! เสนอชื่อ ‘พิธา' เป็นนายกฯ ไม่ใช่การเสนอญัตติซ้ำ


(20 ก.ค.66) เพจพรรคเพื่อไทยได้โพสต์ข้อความหลังเสร็จสิ้นการประชุมรับสภาฯ วาระโหวตเลือกนายกฯ คนที่ 30 นั้น ไว้ว่า...

การประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลที่สมควรจะได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายประชาธิปไตย ยืนยันความเห็นร่วมกันว่า การเสนอชื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ไม่ได้เป็นการเสนอญัตติซ้ำ แม้ที่ประชุมรัฐสภา จะลงมติว่าเป็นญัตติซ้ำ 395 เสียงต่อ 317 เสียง

‘ส.ว.มารุต’ ขอพิจารณาชื่อ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ชิงนายกฯ ชี้!! ถ้าไม่มี ‘ก้าวไกล’ เป็นพรรคร่วม การโหวตจะง่ายขึ้น


เมื่อวานนี้ (19 ก.ค.66) ที่รัฐสภา พล.อ.มารุต ปัชโชตะสิงห์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ให้สัมภาษณ์ถึงจุดยืนในการโหวตนายกรัฐมนตรี หากพรรคเพื่อไทยมีการเสนอชื่อนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยว่า ก็ต้องไปดูหน้างาน
 
ผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องมีการพิจารณาอีกครั้งใช่หรือไม่ พล.อ.มารุต กล่าวว่า “ครับ” 

เมื่อถามอีกว่า ส.ว.จะมีการพูดคุยอีกครั้งถึงแนวทางการโหวตฯ หรือไม่ พล.อ.มารุต กล่าวว่า ส่วนใหญ่การโหวตเป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละคน

เมื่อถามว่า หากเป็นชื่อนายเศรษฐา แต่มีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาล จะมีการพิจารณาอย่างไร พล.อ.มารุต กล่าวว่า “ก็คงจะพิจารณาพอสมควร” 

เมื่อถามย้ำว่า มีแนวโน้มที่จะโหวตหรือไม่โหวตก็ได้ใช่หรือไม่ พล.อ.มารุต กล่าวว่า “ใช่ครับ”

เมื่อถามอีกว่า ติดเงื่อนไขในข้อกังวลเรื่องการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลใช่หรือไม่ พล.อ.มารุต กล่าวว่า “ใช่ สว.เราก็เป็นห่วงเรื่องนี้”

เมื่อถามว่า หากไม่มีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาล จะสบายใจในการโหวตมากขึ้นหรือไม่ พล.อ.มารุต กล่าวว่า “ก็น่าจะง่ายขึ้น แต่เป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละคน”
 

‘ก้อย-นัตตี้-ดรีม’ แต่งชุดดำร่วมชุมนุม หลัง ‘พิธา’ ชวดตำแหน่งนายกฯ

 

เมื่อวานนี้ (19 ก.ค. 66) ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย นักแสดง-ยูทูบเบอร์ชื่อดัง ‘ก้อย อรัชพร โภคินภากร’ ‘นัตตี้-นันทนัท ฐกัดกุล’ และ ‘ดรีม-อภิชญา พานิชตระกูล’ เดินทางมาร่วมกิจกรรมของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม พร้อมด้วยเครือข่าย Respect My Vote ที่ประกาศนัดหมายแต่งกายด้วยชุดสีดำ

ภายใต้หัวข้อ ‘ร่วมฌาปนกิจ ส.ว. และศาลรัฐธรรมนูญผู้ไม่เคารพเจตจำนงของประชาชนร่วมกัน’ พร้อมนัดมวลชนเตรียมกระดาษ และดอกไม้จันทน์

โดยก้อย นัตตี้ ดรีม เปิดเผยสั้น ๆ ว่า วันนี้ เดินทางมาตามเวลานัดของแกนนำ เพราะอยากจะมาแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของตัวเอง ส่วนรายละเอียด เตรียมตัวพูดแบบเต็ม ๆ ในช่องทางของตัวเอง

ขณะที่ไอจีของ ก้อย แชร์สตอรี่ไอจี เป็นรูปภาพของการเชิญชวนมาชุมนุมของ แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมด้วย และยังได้โพสต์รูปภาพ ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มีป้ายสีขาวแขวนอยู่ โดยมีข้อความว่า “นายกพิธา ฉันทมติประชาชน” พร้อมกับแคปชันว่า “Choose hope though you’re so fuckin angry “

อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ในการชุมนุม ก็มีการแจกใบปลิวการชุมนุมครั้งถัดไป ของกลุ่มสภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย ที่นัดเดินขบวนรอบจัตุรัสปทุมวัน ต่อเนื่องสยามสแควร์ มาบุญครอง พารากอน และเซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อปักหมุดหยุดเผด็จการ หนุนรัฐบาลเสียงประชาชน ในวันอาทิตย์ที่ 23 ก.ค.นี้ โดยยังไม่ประกาศเวลาที่ชัดเจน
.

‘ชาวเน็ต’ ชำแหละภาพมายาพรรค ‘ก้าวไกล’ ใช้มวลชนเป็นทัพหน้า สู่การเปลี่ยนระบอบประเทศ

เมื่อไม่นานนี้ ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่ง ชื่อ ‘shatree7789’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอวิเคราะห์ถึงประเด็นการยืนยันที่จะแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล โดยได้ระบุว่า…

“รู้หรือไหม? ว่าทำไมพรรคสีส้มเขาถึงไม่ยอมถอยเรื่องมาตรา 112 ทำไมเขาถึงอยากจะเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแก้ไขหรือว่ายกเลิก ไม่ว่าเขาจะได้เป็นรัฐบาลหรือเป็นฝ่ายค้าน เขาก็จะยื่นข้อเสนอแก้ไขหรือยกเลิกในวันยันค่ำ เขาจะต้องทำสิ่งนี้ให้ได้ รู้หรือไหมว่าทำไม คนที่เชียร์พรรคเขาส่วนใหญ่ไม่รู้ และมักจะบอกว่า ก็เพราะว่ามีเด็กจำนวนมากที่อายุยังไม่ถึง 18 ปี กำลังติดคุกอยู่ 100 กว่าคน แล้วพรรคสีส้มเขาก็จะมาช่วยไง ฟังดูดีเนอะ ฟังดูเป็นฮีโร่เลยล่ะ คนที่ไม่รู้แล้วก็เชียร์พรรคเขา ก็คิดว่า โอ้ เรามีฮีโร่นะ พวกเราต้องช่วยเขานะ เพราะเขาเป็นถึงฮีโร่ เขาจะมาช่วยประชาชน แต่ในความเป็นจริง คนที่กระทำผิดในมาตรา 112 ก็คือคนที่กระทำผิดต่อความมั่นคงของชาติ คือคนที่ทําให้ชาติแตกแยก เปรียบเสมือนคดีร้ายแรง อย่างเช่น คดีซ่อมโจร คดีขายยาเสพติด ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงเหมือนกัน”

“ซึ่งคดีมาตรา 112 ก็มีลักษณะคล้ายๆ กัน เพียงแต่ว่าไม่ได้ใช้อาวุธ แต่ใช้ ‘ปาก’ เป็นอาวุธในการโจมตีแทน และพรรคสีส้มนี้เขาเกี่ยวข้องอย่างไร? ก็ไปดูคนที่มีคดีมาตรา 112 ทุกคนได้รับการประกันตัวจากใคร? ก็จาก ส.ส. พรรคสีส้มทั้งนั้น เปรียบได้กับพรรคสีส้มอยู่เบื้องหลังในการให้ท้ายเด็ก ให้วิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ จะถูก จะผิด หรือขัดแย้งกับข้อเท็จจริงอย่างไรก็ช่าง วิจารณ์ไปเลย เดี๋ยวพี่ประกันตัวเอง เดี๋ยวพี่ดูแลเอง เดี๋ยวพี่ซัพพอร์ตเอง แล้วเด็กก็ได้เงินช่วยเหลือ แถมได้ชื่อเสียงด้วย กลายเป็นฮีโร่แบบย่อมๆ ด้วย แล้วใครล่ะจะไม่ทำ”

“แล้วเพราะเหตุใด เขาจึงต้องไปยุให้เด็กพูดแบบนั้น ทำไมเขาไม่ทําการเมืองดีๆ ทำไมไม่ใช้นโยบายของตัวเอง ทำไมถึงไม่ใช้ความรู้ความสามารถของตัวเอง เพื่อเข้ามาเสนอผลงาน เสนอแนวคิดเพื่อดูแลประเทศ ดูแลประชาชน เพราะเหตุใดเขาถึงไม่ทำการเมืองแบบนั้น? ก็เพราะว่า หัวหน้าพรรคของเขาที่ถูกตัดสิทธิ์ไป คนนั้นคือหัวหน้าพรรคตัวจริง และหัวหน้าพรรคตัวจริงของเขาก็คือ ‘นายทุน’ ไม่ว่าจะเป็นด้อมแดง ด้อมส้ม นายทุนคือผู้บงการพรรค นายทุนจะสั่งไปทางซ้ายหรือทางขวา ลูกพรรคก็ต้องทำตาม เจ้าของพรรคสีส้มเขาไม่ได้หวังจะเป็นนายกรัฐมนตรี เขาหวังไกลกว่านั้นเยอะ เขาหวังเป็นประธานาธิบดี ลองไปหาดูคลิปที่ป้าเช็งพูดไว้ ป้าเช็งรู้จักแม่ของคุณธนาธร รู้จักดีด้วย แล้วเขารู้ด้วยว่า แม่ของคุณธนาธรเป็นคนอย่างไร เขาวางแผนให้ลูกของเขาเป็นประธานาธิบดี และการจะเป็นประธานาธิบดีได้ จะต้องเอาระบอบกษัตริย์ออก เพื่อจะเปลี่ยนเป็นระบอบประธานาธิบดีได้ จะต้องมีการแบ่งแยกรัฐแต่ละรัฐ ให้มีนายกฯ เป็นของตัวเอง เห็นหรือไม่? ว่าเขาเดินตามครรลอง ตามวิถีที่เขาต้องทำทุกกระเบียดนิ้วเลย”

“เพราะฉะนั้น การที่วันนี้คุณพิธาจะได้เป็นนายกฯ หรือไม่ได้เป็นนั้น ไม่ได้มีความสำคัญกับคุณธนาธรสักเท่าไร เพราะสิ่งที่สำคัญคือ ‘มวลชน’ ที่เขายังสามารถให้เด็กออกมาพูดแทนได้ ที่เขายังสามารถให้ประชาชนพูดเรื่องกษัตริย์ได้ เหตุผลที่เขาต้องการจะเร่งให้มีการแก้ไข ก็เพื่อที่คนจะได้ออกมาพูดเรื่องนี้เยอะๆ คนจะได้ออกมาโจมตีกษัตริย์เยอะๆ ประชาชนจะได้เกลียดกษัตริย์ จนกระทั่งวันหนึ่งการมีสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป และคนที่ดึงมวลชนให้เกลียดกษัตริย์ได้มาก สุดท้ายก็จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชน และได้เป็นประธานาธิบดี นี่ต่างหาก คือจุดมุ่งหมายของพรรคนี้”

“คุณพิธาเป็นเพียงแค่ ‘หุ่นเชิด’ ลองไปดูคุณพิธาในปัจจุบันนี้ การที่เขาบริหารเงินในชีวิตส่วนตัว มีรายได้เดือนละแสนบาท แต่ใช้เงินเดือนละ 4 แสนบาท จนตัวเองต้องขายบ้าน ขายคอนโด ขายที่ดิน ขายออกไปเรื่อยๆ คุณคิดว่าเป็นเพราะอะไร? เป็นเพราะว่าเขาได้แรงจูงใจว่า ถ้าเขาได้เป็นนายกรัฐมนตรี เขาจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ เขาจะได้เงินอุดหนุนจากที่นั่นที่นี่ แต่พอเขาไม่ได้ ณ ปัจจุบันนี้ เขาก็กลายเป็นคนส่วนหนึ่งของคนที่ถูกนายทุนหลอกเหมือนกัน จริงหรือไม่จริง คุณก็ดูได้ เมื่อคนหมดประโยชน์ เขาก็ไม่เอาไว้หรอก คนพวกนี้ใจดำนะจะบอกให้ อนาคตเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่สิ่งที่ต้องสื่อสารกันวันนี้คือ เขาจะมาหยุดเรื่องมาตรา 112 และเขาจะทำต่อไป”

“ฝากถึงหน่วยงานความมั่นคงของประเทศนี้ คุณจะทำงานแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ เพราะว่าประเทศเราไม่สามารถที่จะปล่อยให้คนชั่วขึ้นครองอำนาจได้ และยิ่งนับวัน เหล่ามวลชนที่หลงผิดก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเขาไม่รู้เรื่องการปกครอง เขาเชื่อแต่คนที่หน้าตาดีและคนที่พูดเพราะ แต่เขาไม่สนว่าคำพูดเหล่านั้น แม้จะไพเราะ แม้จะเป็นคําโกหก เขาก็ไม่สามารถแยกแยะให้ออกได้ เพราะฉะนั้น หน่วยความมั่นคง รวมถึงคนที่ดูแลประเทศ คนที่เป็นผู้นำพาประเทศไปสู่ความถูกต้อง ไปสู่ความดี คุณต้องรีบจัดการ ตอนนี้ เวลานี้ คุณจะรอให้อีก 4 ปีข้างหน้ามีการเลือกตั้งใหม่ หากถึงเวลานั้น ผมเกรงว่ามันจะสายเกินไป”

สภาฯ เคาะ!! ไม่เสนอชื่อ ‘พิธา’ ชิงนายกฯ ซ้ำ สรุปคะแนนโหวต 394 ต่อ 312 คะแนน

(19 ก.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานถึงบรรยากาศของการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม ระหว่างที่เปิดให้สมาชิกรรัฐสภาอภิปรายแสดงความเห็นก่อนลงมติในประเด็นที่เสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้รัฐสภาเห็นชอบเป็นนายกฯ อีกครั้งจะทำได้ หรือขัดข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อ 41 หรือไม่

จนกระทั่งเวลา 17.00 น. นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานที่ประชุม ได้ยุติการอภิปรายเพื่อให้สมาชิกลงมติ ผลปรากฏว่า ที่ประชุมร่วมรัฐสภา ลงมติญัตติส่งนายพิธาชิงนายกฯ ซ้ำไม่สามารถทำได้ (ขัดข้อบังคับการประชุมข้อ 41) โดยเห็นด้วย (ส่งซ้ำไม่ได้) 394 คน ไม่เห็นด้วย (ส่งซ้ำได้) 312 คน งดออกเสียง 8 คน ไม่ลงคะแนนเสียง 1 คน

มติดังกล่าว ส่งผลให้นายพิธาหมดสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี และต้องจับตาการเปิดโอกาสให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top