Friday, 16 May 2025
POLITICS

‘ดร.สุวินัย’ ยกท่อนต่อกลอนดังสวนกลับ หลัง ‘พิธา’ แซะพรรคร่วม ลั่น!! “คุณสร้างแต่ความเกลียดชัง คนอื่นเขาก็ชังน้ำหน้าคุณเช่นกัน”

(23 ก.ค. 66) รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว ชื่อ ‘Suvinai Pornavalai’ กรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ร่ายกลอนดัง ‘แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์’ ของครูกวีไทยอย่างสุนทรภู่ ถึงพรรคร่วมรัฐบาล ขณะเดินทางไปเปิดงาน ‘สุราก้าวหน้า Festival 2’ ที่ตลาดดิโอโซน (ขนส่งใหม่ระยอง) หมู่ 4 ตำบลทับมา อำเภอเมือง จังหวัดระยอง โดยระบุว่า…

“พ่อส้มพูดไม่จบ 

กลอนบทนี้มีเนื้อหาต่อ คือ…

“มนุษย์นี้ที่รักอยู่สองสถาน
บิดามารดารักมักเป็นผล
ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน
เกิดเป็นคนคิดเห็นจึงเจรจา
แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ
ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา
รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี”

ข้อแรก : พวกคุณเองหรือเปล่าที่ส่งเสริมค่านิยมเรื่อง พ่อแม่ไม่ได้มีบุญคุณ?
ข้อสอง : พวกคุณหรือเปล่าที่ไม่เคยคิดบอกสอนให้รู้จักพึ่งตนเอง แต่จะเอาสวัสดิการจากภาษี?
ข้อสาม : คนย่อมรู้จักเจรจา พวกคุณเจรจาเป็นไหม? คำตอบคือ ไม่!! เพราะพวกคุณเอาแต่ชี้หน้าด่าคนอื่นไปทั่ว ว่าทุกคนเลว พวกคุณดีคนเดียว แล้วใครจะอยากคบค้าสมาคมด้วยเล่า?
ข้อสี่ : คุณสร้างแต่ความเกลียดชัง คนอื่นเขาก็ชังน้ำหน้าคุณเช่นกัน
ข้อห้า : คุณไม่รู้วิชา แค่แผนการทำงานที่พูดออกมา ตลาดหุ้นก็ดิ่งลงเหว เพราะเขาไม่มั่นใจในความสามารถของพวกคุณ!!
ข้อสุดท้าย : พวกคุณไม่รู้รักษาตัวรอด แต่พรรคอื่น รู้!!

จบนะ"

‘พิธา’ พร้อมด้วย ส.ส.ชลบุรี เดินสายขอบคุณประชาชน หลังเปิดทางให้ ‘เพื่อไทย’ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

(22 ก.ค. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ส.ส.ชลบุรี พรรคก้าวไกล ร่วมเดินสายขอบคุณประชาชน หลังจากพรรคก้าวไกลแถลงเปิดทางให้พรรคอันดับ 2 คือพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลของพันธมิตร 8 พรรคที่ได้เคยทำ MOU กันไว้ โดยวันนี้ได้เปิดเวทีปราศรัยสองจุด ที่หาดจอมเทียน เมืองพัทยา และที่อำเภอบ่อวิน มีประชาชนจำนวนมากเข้าร่วมฟังการปราศรัยและรอพบปะนายพิธา แม้จะมีสายฝนโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง

ในช่วงหนึ่งของการปราศรัย นายพิธาระบุว่า ถึงแม้จะมีความพยายามเพื่อไม่ให้ตนเป็นนายกรัฐมนตรี แต่พวกเรายังหมดหวังไม่ได้ เมื่อทั้ง 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลต่างลงเรือลำเดียวกันแล้ว ก็จะต้องตั้งรัฐบาลของประชาชน ที่รักษาสัจจะที่เคยให้ไว้กับประชาชนให้ได้

เพราะฉะนั้น ตนจะไม่มีวันยอมแพ้ จะยุติการสืบทอดอำนาจของเผด็จการ แม้จะมีความพยายามสกัดกั้นขนาดไหนก็ต้องสู้ต่อ เมื่อบีบให้ตนต้องออกจากสภาตนก็จะมาอยู่กับประชาชน ตนและพรรคก้าวไกลจะขอยืนหยัดเพื่อประเทศไทยและขอทำงานเพื่อประชาชนต่อไป ให้สมกับความตั้งใจที่ประชาชนให้เรามา

นายพิธายังกล่าวต่อไปว่า วันนี้มีการเปรียบเหมือนทั้ง 8 พรรคอยู่บนเรือลำเดียวกัน เมื่อเรือกำลังรั่วอยู่ คำถามคือ จะให้มีคนเสียสละออกจากเรือหรือควรจะอยู่ซ่อมเรือด้วยกัน ขอเพียงทั้ง 8 พรรคที่ประชาชนเลือกมาจะช่วยกันซ่อมเรือ อุดรอยรั่ว ทำเรือให้แข็งแรง ขอเพียงทั้ง 8 พรรครักษาสัจจะที่ได้เคยให้สัญญากับประชาชนไว้ในวันที่มาขอคะแนนและความไว้วางใจจากประชาชน เรือก็จะถึงฝั่งได้

“มันไม่มีความหมายเลยหรือ ประชาชนไม่มีความหมายเลยหรือ แล้วจะเลือกตั้งกันไปทำไม ถ้าอย่างนั้นคุณชี้มาเลยคุณจะเอาใคร ใครจะถีบผมออกจากเรือผมไม่รู้ ผมบอกอย่างเดียวว่าผมไม่ยอม ถ้าเรือมันรั่วต้องช่วยกันซ่อม ไม่ใช่มาถีบเพื่อนออกจากเรือ และไม่ถีบประชาชนออกจากเรือด้วย ถ้า 25 ล้านเสียงสู้ 250 เสียงไม่ได้ก็ให้มันรู้ไป ใครจะปล่อยมือก้าวไกลปล่อยไป ขอเพียงพี่น้องประชาชนอย่าปล่อยมือก้าวไกลก็พอ” นายพิธา กล่าว

หลังการปราศรัยจบลง ประชาชนที่มาพบต่างตะโกนให้กำลังใจด้วยคำว่า “พิธาสู้ๆ” และ “นายกพิธา” ดังกึกก้องไปทั้งบริเวณ

‘ช่อ พรรณิการ์’ เผย ทิศทางจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ชี้ โหวตนายกฯ รอบต่อไป ‘เพื่อไทย’ รับแรงกดดันเต็มๆ

(22 ก.ค. 66) ผู้ใช้ TikTok บัญชี ‘missyoumt1368’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอของ ‘ช่อ พรรณิการ์ วานิช’ ผู้ก่อตั้งคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ได้ออกมาพูดถึงแนวโน้มทิศทางของการโหวตนายกฯ ครั้งต่อไป โดยในคลิประบุว่า…

“ถ้าก้าวไกลถอย เรื่อง ม.112 โดนด่านะคะ แต่จะรักษาพันธมิตร 8 พรรค และอาจจะมีบวกเพิ่มอีกสักพรรคสองพรรคเพื่อให้ได้คะแนนเสียงมากพอ แต่มันก็อาจจะเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้ตรงกับความต้องการของประชาชนขนาดนั้น หากก้าวไกลไม่ยอมถอยเรื่อง ม.112 ยืนยันเดินหน้าต่อ ก็จะเข้าเกม ‘เขี่ยก้าวไกลพ้นจากสมการตั้งรัฐบาล’ พรรคเพื่อไทยจำเป็นที่จะต้องไปหาพรรคอื่นมาเติมให้เสียงครบ จะเป็นพรรคพลังประชารัฐหรือเปล่า? หรือพรรคภูมิใจไทย? ซึ่งทางนั้นก็คงแต่งตัวรออยู่แล้วอย่างแน่นอน นั่นคือภารกิจในการจัดตั้งรัฐบาลที่พลิกขั้วเปลี่ยนข้าง ซึ่งก็จะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะการที่จะบอกว่า ตราบใดที่ไม่มีประยุทธ์ก็ถือว่าพลิกขั้วเปลี่ยนข้างสำเร็จแล้ว… เราอยู่กันมาขนาดนี้แล้ว เราจะไม่คิดแบบนั้นใช่ไหมคะทุกคน?

เพราะถึงอย่างไร ‘ประยุทธ์’ กับ ‘ประวิตร’ นั้น ไม่ได้มีความแตกต่างกันในระบอบปรสิตที่เกาะกินประเทศนี้อยู่ เพราะฉะนั้น ในช่วงสัปดาห์หน้าก่อนหน้าที่จะถึงวันโหวตนายกฯ ครั้งต่อไป คือในวันที่ 27 ก.ค. ทางพรรคเพื่อไทย ได้กล่าวในการแถลงว่า เขาจะปิดจ็อบให้ได้ในวันที่ 27 ก.ค. ประเทศรอช้ากว่านี้อีกไม่ได้แล้ว ซึ่งตรงนี้ทางเราก็เห็นด้วย หากต้องลากต่อไปเรื่อย ๆ มันก็คงจะยากอยู่ ตอนนี้ประเทศต้องมีรัฐบาลเข้ามาบริหาร แต่ถ้าจะปิดจ็อบเร็วขนาดนี้ หมายความว่า พรรคเพื่อไทยเองก็มีแรงกดดันสูงมากที่จะต้องตัดสินใจ ในการเลือกว่าตกลงจะเอาพรรคไหน ไม่เอาพรรคไหน ในการร่วมรัฐบาลและจัดตั้งรัฐบาลให้ประสบความสําเร็จภายในวันที่ 27 ก.ค.นี้ 

การตัดสินใจครั้งนี้ ใครจะเป็นผู้ออกปากในเรื่อง ม.112 ก้าวไกลจะถอยหรือจะไม่ถอยอย่างไร การถอยหรือไม่ถอยของก้าวไกลจะมีผลอย่างมีนัยสําคัญ ต่อการได้กลับมาหรือไม่ได้กลับมาเป็นรัฐบาลของพลเอกประวิตร และพรรคพลังประชารัฐ ทั้งหมดนี้เป็นสถานการณ์ที่ประชาชนจําเป็นต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด และอย่าลืมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ‘เสียงของประชาชน’ ต้องมีความหมาย สิ่งที่ถูกประกาศออกไปแล้วผ่านบัตรเลือกตั้ง คือ ประชาชนในประเทศนี้ต้องการ ‘การเปลี่ยนแปลง’ ต้องการพลิกขั้วเปลี่ยนข้างรัฐบาล และมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศให้ได้ เราจะยังยืนยันคําเดิมว่า พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล คือสิ่งที่ดีที่สุด คือส่วนผสมที่ดีที่สุดที่จะพาประเทศนี้เดินไปข้างหน้าต่อ แต่ส่วนผสมนี้ ในวันนี้ จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่? และต้องเสียอะไรไปเพื่อให้ได้มันมา ต้องจ่ายอะไรไปเพื่อจะได้สิ่งนี้มา รอดู อีกไม่นานจะรู้ ว่าวันที่ 27 กรกฎาคม จะเกิดอะไรขึ้นที่รัฐสภา 

‘น็อต วรฤทธิ์’ ลั่น!! 14 ล้านเสียงที่เลือกคุณมา ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการจะเปลี่ยน ม.112

เมื่อวานนี้ (21 ก.ค. 66) น็อต วรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์ นักแสดงและพิธีกรชาวไทย ได้กล่าวถึงความสุดโต่งของพรรคก้าวไกล เช่น ยกเลิกเกณฑ์ทหาร และ ม.112 ระหว่างออกรายการ แฉ โดยระบุว่า… 

"14 ล้านเสียงที่เลือกคุณมา ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการจะเปลี่ยน ม.112 แต่เขาซื้อนโยบายส่วนหนึ่งของคุณ อย่างเรื่อง 3,000 บาท หรือยกเลิกเกณฑ์ทหาร แต่ถ้าคุณบอกต้องเปลี่ยนเพื่อให้ตามทันโลก...ประเทศไทย ก็เป็นประเทศไทย เรามีรากเหง้าของเรา"

เปิดสูตรใหม่ 312 ผสานเสียง 9 พรรค กึ่งรัฐบาลปรองดอง เชื่อ ‘ส.ว.’ หนุนพรึ่บ

หลังจากเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 66 ที่ทั้ง 8 พรรคนำโดย ‘พรรคก้าวไกล’ ลงนามในแถลงการณ์ร่วมหรือ ‘MOU’ จนถึงวันนี้ 22 ก.ค. 66 รวมสองเดือนพอดี… ก็ต้องฟันธงว่า MOU ที่ว่า กำลังจะถูกฉีกลงในไม่กี่เพลาข้างหน้านี้… ถูกฉีกลงพร้อมกับพรรคอย่างน้อย 2 ใน 8 พรรค คือ ‘ก้าวไกล’ และ ‘ไทยสร้างไทย’ ที่จะต้องออกจากสมการ

ถ้าทวนความทวนสถานการณ์สั้น ๆ จะพบว่า...

เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 66 นายเศรษฐา ทวีสิน แสดงความพร้อมมากที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย และเป็นครั้งแรกที่เขาพูดเสียงดังฟังชัดว่า… การแก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นอุปสรรคในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะ ส.ว.ไม่เล่นด้วย

จนกระทั่ง ในวันศุกร์ที่ 21 ก.ค. 66 พรรคก้าวไกลยกธงขาวเลิกเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โยนเผือกร้อนให้พรรคเพื่อไทย โดยที่ตัวเองขอลงเรือร่วมรัฐบาลต่อไป ขณะที่พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์รับลูก 4 ข้อ โดยมีข้อสำคัญที่แสดงความเหนือชั้นว่า ถ้าหาเสียงจาก ส.ว.ไม่พอที่จะได้รับเลือกนายกฯ จะไปขอเสียงจากพรรคการเมืองอื่นเพิ่มเติม

วันเดียวกันกับที่ประชุม 8 พรรค… แถลงที่จะเดินหน้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลต่อไป พรรคก้าวไกลขอให้พรรคเพื่อไทยไปสอบถาม ส.ว.ว่าจะให้พรรคก้าวไกลลดเพดานเรื่องมาตรา 112 แค่ไหน อย่างไร… ขณะที่คุณหมอชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประกาศว่า คำตอบสุดท้าย หากดำเนินการอย่างเต็มที่แล้วยังไม่สำเร็จ อาจจะมีบางพรรคต้องออกจากสมการนี้… 

ไม่เพียงเท่านั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยยังแถลงตบท้าย… โดยมีสาระสำคัญฟังได้ว่า อยากให้พรรคก้าวไกล ‘เสียสละ’

เป็นอย่างไรบ้างครับ ท่านผู้อ่านคุณผู้ฟัง มันชัดยิ่งกว่าชัดว่า พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล ไปด้วยกันลำบากแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่มีใครกล้าเอ่ยปากบอกเลิก เลยต้องลากลู่ถูกังกันไป เหมือนคู่รักหนุ่มสาวที่ไปด้วยกันไม่ได้แล้ว แต่อยากให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายบอกเลิกก่อนเท่านั้นแหละ

อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุด ก็ถึงจุดแยกทาง บนทาง 3 แพร่ง เหมือนที่นายสุทิน คลังแสง ขุนพลพรรคเพื่อไทยบอกกับบางสำนักนั่นแหละว่า… จำเป็นต้องตัดพรรคก้าวไกลออก เพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไปได้ แบบว่า ‘เจ็บแต่จบ’ และพยายามจบให้ได้ภายในวันที่ 27 ก.ค.นี้

สายข่าวเปิดเผยกับ ‘เล็ก เลียบด่วน’ ว่า นาทีนี้สูตรรัฐบาลใหม่มีทั้งหมด 9 พรรค รวมกันได้ 312 เสียง โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย

- พรรคเพื่อไทย 141 เสียง
- พรรคภูมิใจไทย 71 เสียง
- พรรคพลังประชารัฐ 40 เสียง
- พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง
- พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง
- พรรคประชาชาติ 9 เสียง
- พรรคเพื่อไทรวมพลัง 2 เสียง
- พรรคชาติพัฒนากล้า 2 เสียง
- พรรคเสรีรวมไทย 1 

ส่วนผสมนี้ มีความเป็นไปได้มากที่สุด เป็นการผสมข้ามขั้ว ทุกพรรคไม่มีใครแตะต้องข้องแวะมาตรา 112 เป็นกึ่งๆ รัฐบาลปรองดอง สูตรนี้รับประกันซ่อมฟรีว่า ส.ว.หนุนพรึ่บ อย่างน้อย 200 เสียง เพราะมีทั้งพรรคลุงป้อมและพรรคลุงตู่ผสมอยู่ด้วย ถึงแม้ว่าวันนี้ลุงตู่จะวางมือแล้ว และบางกระแสระบุว่าลุงป้อมเองอาจไม่รับตำแหน่งใด ๆ อีกก็ตาม

ทั้งนี้ เหตุที่ยังไม่นับพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในสูตรผสม เพราะหากในวันที่ 6 ส.ค. 66 หัวหน้าพรรคคนใหม่เป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พรรคประชาธิปัตย์ก็คงไม่เข้าร่วมรัฐบาล

แต่ก็นั่นแหละ สูตรนี้เกิดขึ้นวันไหน พรรคเพื่อไทยก็ต้องยอมเจ็บแต่จบเพื่อชาติ เพราะม็อบด้อมส้มคงจะพรึ่บหน้าพรรคเพื่อไทยหรือหน้ารัฐสภา

อย่างไรก็ตาม สายข่าวรายงานว่า หากพรรคเพื่อไทยยังไม่สามารถดำเนินการได้ทันภายในวันที่ 27 ก.ค.นี้ ที่ประธานรัฐสภานัดประชุมไว้ ก็อาจจะประสานงานให้เลื่อนไปเป็นสัปดาห์ต่อไป ราว ๆ วันที่ 2 หรือ 3 ส.ค.

ซึ่งเมื่อได้ตัวนายกฯ คนใหม่แล้ว ก็เดินหน้าฟอร์มรัฐบาล...

ขณะที่ราว ๆ กลางเดือน ส.ค. เขาปิดกันให้แซ่ดว่า… ได้เวลา ‘คนแดนไกล’ จะเดินทางกลับบ้าน!!

พระพยอม แจง คนว่ามาเยอะ แต่ต้องทำใจให้เหมือน 'แผ่นดิน' ที่มันหนักแน่น ชี้ คำว่าแตะสถาบัน ตีโจทย์กันยังไง ถ้าแตะแบบ ‘แก้ไขปรับปรุง’ ควรแตะได้

เมื่อวานนี้ (21 ก.ค. 66) พระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กลฺยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ได้กล่าวชี้แจงผ่านรายการ อมรินทร์ทีวี โดยระบุว่า..

"มีคนว่ามาเยอะ แต่ต้องทำใจให้เหมือน 'แผ่นดิน' ที่มันหนักแน่น...ส่วนคำว่าแตะสถาบัน ตีโจทย์กันยังไง ถ้าแตะแบบ ‘แก้ไขปรับปรุง’ ควรแตะได้"

>> สามารถติดตามรายเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=C6fiKiPnX14#bottom-sheet

‘ชลน่าน’ ลุยหารือ ‘ภูมิใจไทย’ ร่วมรัฐบาล ส่วนพลังประชารัฐ ชี้!! ยังไม่ถึงขั้นนั้น

(22 ก.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคพท.เปิดเผยถึงการพูดคุยกับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ในวันนี้ ว่า ไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรมาก การพูดคุยเป็นการทำงานต่อเนื่องหลังจากที่ประชุม 8 พรรค ซึ่งมีทางเลือกให้ไปพูดคุยกับทาง ส.ว.และพรรคการเมืองเพื่อหาเสียงเพิ่มเติม แต่ไม่ใช่การตกลงกัน กติกาคือแค่พูดคุยมีแนวโน้มจะได้เสียงจาก ส.ว. หรือพรรคการเมืองเพิ่มเติมหรือไม่ จากนั้นค่อยเอามาพูดคุยกับ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล เพราะที่ประชุมให้แนวทางเมื่อวาน ให้การบ้านไว้แบบนั้น ทั้งนี้ การติดต่อไปทางพรรคภท.เกิดขึ้นหลังจากคุยกับ 8 พรรคร่วมแล้ว โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเป็นผู้ติดต่อไป และเดิมทีพรรคพท.จะไปหาที่พรรคเองตามธรรมเนียมปฏิบัติที่ดี ในฐานะแกนนำมักจะไปส่งเทียบเชิญ เพื่อให้มาร่วมงาน แต่พรรคภท.ประกาศว่าเมื่อพท.เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พรรคภท.ก็ยินดีเดินทางมาหาเอง ซึ่งก็ต้องขอบคุณพรรคภท.ด้วย 

นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า ส่วนพรรคอื่น ๆ ยังไม่ได้พูดคุย เลือกติดต่อพรรคที่มีความเป็นไปได้ก่อน ไม่ติดต่อทั้งหมดพร้อม ๆ กัน เพราะการที่จะเพิ่มพรรคที่ 9 และ 10 มีเงื่อนไข ในการพูดคุยระหว่าง 8 พรรคร่วม ต้องดูพรรคที่เราไปส่งเทียบเชิญด้วยว่าเขารับเราได้หรือไม่ เพราะฟังจากแถลงการณ์แล้วเขาไม่เอา ซึ่งต้องไปพูดคุยเหตุและผลอีกที เชื่อว่าถ้าเอาประชาชนและประเทศเป็นที่ตั้งก็คงมีความหวัง 

เมื่อถามว่าได้ติดต่อพรรคพลังประชารัฐด้วยหรือไม่  นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ยังไม่ถึงขั้นนั้น

‘ดร.เสรี’ แจง 8 ข้อ เหตุใด 14 ล้านเสียง ถึงลงคะแนนให้ ‘ก้าวไกล’ ลั่น!! ไม่มีใครกลั่นแกล้ง ‘พิธา’ ขอถาม “จะเป็น ส.ส. แล้วถือหุ้นสื่อทำไม”

(22 ก.ค.66) ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า…

พูดกันจังว่าการที่ ‘พรรคก้าวไกล’ ได้คะแนนเยอะที่สุดนั้น แสดงว่าประชาชนสนับสนุนแนวทางของพรรคก้าวไกล ดังนั้นทุกฝ่ายต้องเคารพเสียงประชาชน ลองมาดูกันว่าคนลงคะแนนเสียงให้ พรรคก้าวไกลเพราะอะไร?

1. เบื่อลุง เพราะไปเชื่อวาทกรรมว่าลุงอยู่มา 8 ปีไม่มีอะไร ทั้ง ๆ ที่ผลงานลุงที่เป็นความจริงเชิงประจักษ์มีมากมาย
2. อยากให้มีการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่รู้รายละเอียดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร จะดีหรือร้ายต่อประเทศอย่างไร
3. อยากได้สารพัดสวัสดิการในทางประชานิยมทั้งหลายที่พรรคก้าวไกลใช้หาเสียง แต่บัดนี้น่าจะรู้แล้วว่าหลายอย่างไม่ได้อย่างที่หาเสียงไว้
4. เด็ก ๆ จำนวนมากต้องการเสรีภาพแบบไร้ขอบเขต อยากให้พรรคก้าวไกลมาปลดแอกให้หลุดพ้นจากกฎเกณฑ์ที่เขามองว่ากดทับ
5. บางคนให้ความสำคัญกับเรื่องการเกณฑ์ทหาร ทั้งตัวเด็กหนุ่ม พ่อแม่ของเขา แฟนสาวของเขาที่ไม่อยากให้มีการเกณฑ์ทหาร
6. บางคนหลงรักพิธาแบบไม่สนใจคุณสมบัติ นิสัยอะไรทั้งนั้น ไม่สนใจว่าจุดยืนทางการเมืองบางเรื่องของพิธาเป็นเช่นไร
7. พ่อแม่บางคนเลือกตามที่ลูกบอก เพราะถูกลูกขู่จะทำเรื่องที่ไม่เหมาะสมบางอย่าง จึงต้องเลือกตามที่ลูกบอก
8. มีจำนวนหนึ่งที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองเรื่องมาตรา 112 ตรงกับพรรคก้าวไกล ซึ่งน่าจะมีจำนวนน้อยกว่าเหตุผล 7 ข้อข้างต้น

แต่พรรคก้าวไกลกลับมาเน้นเรื่องการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ซึ่งไม่น่าจะใช่เหตุผลหลักที่ทำให้พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งได้ ส.ส. มากที่สุด 14 ล้านไม่ใช่เสียงข้างมาก และ 14 ล้านเสียงไม่ได้เลือกพรรคก้าวไกลเพราะต้องการให้พรรคก้าวไกลมาแก้มาตรา 112

บางคนถามว่าถ้าก้าวไกลชนะแล้ว ทำไมพิธาไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แสดงว่าไม่เข้าใจว่าเราไม่ได้เลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรง เราเลือก ส.ส. มาเลือกนายกฯ คนที่ไม่เลือกก้าวไกลมีมากกว่าคนที่เลือกก้าวไกลถึง 2 เท่า แต่เอามาปั่นกันว่า ส.ว. ไม่ฟังประชาชน (หมายถึงประชาชน 14 ล้าน) แล้วเขาจะฟังประชาชนที่ไม่เลือกก้าวไกล ที่มีมากกว่าคนที่เลือกก้าวไกลถึง 2 เท่ากว่าล่ะ ไม่ใช่ประชาชนหรือไร ไม่มีใครกลั่นแกล้งพิธา อย่างที่สร้างวาทกรรมกัน และที่ถามให้ไปเลือกตั้งทำไม ก็อยากถามว่า แล้วจะเป็น ส.ส. ถือหุ้นสื่อไว้ทำไม

อย่าเอาแต่ใจเลยนะใช้สมองคิด วิเคราะห์ แยกแยะบ้างเถอะ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะคนในพรรคก้าวไกลเองที่ทำผิดกฎหมาย และมีทัศนะเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ยอมรับกระบวนการรัฐสภา กระบวนการทางกฎหมายหน่อยนะ 

‘เพชร กรุณพล’ ลั่น!! ถ้าสุดโต่งแล้วเจริญ แล้วไม่อยากสุดโต่งกันเหรอ

เมื่อวานนี้ (21 ก.ค. 66) ‘เพชร’ หรือนายกรุณพล เทียนสุวรรณ นักแสดง และพิธีกร และนักการเมืองในสังกัดพรรคก้าวไกล กล่าวถึงความสุดโต่งของพรรคก้าวไกล เช่น 'ยกเลิกเกณฑ์ทหาร-ม.112' ระหว่างออกรายการ 'แฉ' โดยระบุว่า…

“สุดโต่งแล้วเจริญแบบ อังกฤษ, ญี่ปุ่น, สวีเดน, เดนมาร์ก ไม่อยากสุดโต่งกันเหรอ คิดว่าเราเร็วเกินไปหรือช้าเกินไป”

>> สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://vt.tiktok.com/ZSLmWRh2m/ 

'นักศึกษา มธ.' จี้!! คณบดีคณะนิติศาสตร์ มธ. เบรก!! มือชี้ขาดชะตา 'พิธา' ห้ามมาเป็น อ.สอนพิเศษ

เมื่อวานนี้ (21 ก.ค. 66) จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์รับคำร้องกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ว่าสมาชิกภาพ ส.ส.ของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคก้าวไกล สิ้นสุดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) หรือไม่ จากที่มีชื่อถือครองหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น โดยมีมติ 7 ต่อ 2 เสียง สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2566 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

สำหรับ ตุลาการเสียงข้างน้อย 2 เสียง ในกรณีให้นายพิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.หรือไม่นั้น ประกอบด้วย นายนภดล เทพพิทักษ์ กับ นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์

ขณะที่ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มีมติเสียงข้างมาก ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ได้แก่ นายวรวิทย์ กังศศิเทียม, นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์, นายปัญญา อุดชาชน, นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม, นายวิรุฬห์ แสงเทียน, นายจิรนิติ หะวานนท์ และ นายอุดม รัฐอมฤต

ล่าสุด สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต และ คณะกรรมการนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มีจดหมายเปิดผนึกถึง คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2566 ขอให้ยุติการเชิญ นายอุดม รัฐอมฤต มาปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์พิเศษ

‘มัลลิกา’ เผย แค่ถอย 112 ‘ก้าวไกล’ ก็ได้ไปต่อ ชี้!! เพราะความดื้อดึง ‘พิธา’ จึงชวดเก้าอี้นายกฯ

เมื่อไม่นานนี้ รายการ ‘แฉ’ ซึ่งได้เชิญคุณมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ มาพูดถึงประเด็นของ ม.112 ว่าเหตุใดพรรคก้าวไกล จึงไม่ยอมถอยนั้น มีสาระสำคัญ ระบุว่า...

“คุณพิธามีสิทธิเป็นนายกฯ แค่ถอยเรื่อง ม.112 ปัญหาก็คือ ถ้าเราจะบริหารประเทศ โดยเอาอคติตัวเอง หรืออุดมคติของตัวเองเป็นศูนย์กลาง ในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนไป หรือในขณะที่ประเทศกำลังมีปัญหา หรือกำลังจะเกิดวิกฤตหากเราเป็นผู้นำ เราจะตัดสินใจเลือกเอาอุดมการณ์ของตัวเอง เอาอัตตาของตัวเองก่อน หรือเราจะเลือกประเทศชาติก่อน มันคือการตัดสินใจ ในยามนี้คุณพิธาต้องมีภาวะผู้นำ และเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ ที่เขาหาเสียงกันมาเหมือนกันอย่างกรณีของพรรคเพื่อไทย คุณควรให้ความเป็นธรรมกับเขาด้วย พรรคเพื่อไทยเขาไม่ได้หาเสียง ม.112 มาก่อน จู่ๆคุณจะมัดรวมเขาไม่ได้ เขาต้องคิดเหมือนคุณก่อน”

“เพราะฉะนั้น ณ เวลานี้ คุณพิธาและพรรคก้าวไกล อยู่ในภาวะที่จะต้องตัดสินใจ ไม่ใช่ไปโยนให้คนอื่นเขาต้องรับเคราะห์รับบาปในสิ่งที่คุณเองนั้นไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ประเทศชาติจะไปข้างหน้าได้ จะต้องมีความหลอมรวม ต้องมีการลดลาวาศอกกัน เพราะว่าเราไม่สามารถไล่ใครคนใดคนหนึ่งออกจากประเทศนี้ได้ ทุกคนต้องอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นคนดี หรือคนไม่ดี เพราะฉะนั้น คนที่จะเป็นผู้นำ ซึ่งจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจด้วยวุฒิภาวะ และมีความรับผิดชอบมากกว่าผู้อื่น”

เมื่อถามว่า หากคุณพิธายอมถอยเรื่องแก้ ม.112 แปลว่าในประเด็นของการถือหุ้นสื่อ ITV ที่ทำให้ขาดคุณสมบัติ ก็ไม่มีใครติดขัดในเรื่องนี้แล้วใช่หรือไม่? คูณมัลลิกาตอบว่า…

“ในกรณี ม.112 นี้ เนื่องจากว่าพรรคภูมิใจไทยไม่สนับสนุนพรรคที่จะแก้ ม.112 หากการที่พรรคก้าวไกลยอมถอย ก็อาจจะได้เสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้นอีกหลายเสียงจากพรรคภูมิใจไทย เพราะพรรคภูมิใจไทยเขาไม่สนใจเรื่องอื่น ส่วนส.ว.หลายท่านเขาติดเรื่อง ม.112 เช่นกัน และก็อาจจะติดเรื่องคุณสมบัติด้วย ด้านพรรคประชาธิปัตย์ก็ติดแค่เรื่องม.112 เช่นกัน ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ค่อยไปว่ากันในภายหน้า เพราะฉะนั้นก็หมายความว่า หากพรรคก้าวไกลยอมถอยเรื่องม.112 โอกาสที่จะได้รับเสียงสนับสนุนในการจัดตั้งรัฐบาล ย่อมมีมากกว่าการที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เพราะจากเสียงของ ส.ส.แล้ว ยังอาจจะได้เสียงสนับสนุนที่ชัดเจนจากประชาชนอีกด้วย”

“อีกทั้งทุกวันนี้ พูดกันตรงๆ ประชาชนจำนวนหนึ่งก็ไม่คิดว่า เรื่อง ม.112 จะไปไกลจนสุดโต่งขนาดนี้ด้วย ทุกคนรวมถึงตัวดิฉันที่ดีเบตมาตลอด ดิฉันบอกว่า การที่คุณจะแก้ ม.112 มันเท่ากับยกเลิกนะ เพราะมันผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ ร่างที่เขายื่นดิฉันอ่านหมดแล้ว ว่าการยกเลิกให้โทษ มันเทียบเท่ากับประชาชนเลย เป็นการยกเรื่องนี้ออกจากหมวดความมั่นคง กรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่ได้อยู่ในหมวดความมั่นคง ก็เหมือนกับการลดสถานะพระมหากษัตริย์ลงมาเทียบเท่ากับประชาชนคนธรรมดาเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะพระมหากษัตริย์ต้องได้รับการเทิดทูนเอาไว้เหนือเกล้า”

“อีกประเด็นหนึ่งก็คือ ‘ศาลอาญาระหว่างประเทศ’ หรือ ‘ICC’ ซึ่งบนเวทีดีเบตไม่ค่อยได้ถูกพูดถึงมากนัก เนื่องจากเป็นเรื่องระหว่างประเทศ พอ ส.ส. และ ส.ว.อภิปรายกันในสภาฯ มันชัดยิ่งกว่าชัดอีก เพราะในสภาฯ มันโกหกกันไม่ได้มันมีหลักฐานทั้งหมด ทีนี้ ศาล ICC ก็ปรากฎว่า คุณปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้นำทางจิตวิญญาณของคุณพิธา และพรรคก้าวไกล เป็นคนประกาศเองว่า หากคุณพิธาเป็นนายกฯ เขาจะพาไปลงนาม ICC เพราะการลงนาม ICC คือการเอาประมุขของประเทศนั้นๆ ที่ลงนาม ไปถูกไต่สวนในศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะนี่คือการแทรกแซงจากต่างประเทศ”

'เศรษฐา' ลั่นไม่กลัว 'ชูวิทย์' ขู่แฉปมที่ดิน ยืนยัน!! มั่นใจในความบริสุทธ์ของตัวเอง

(20 ก.ค.66) ที่พรรคเพื่อไทย นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ อดีตนักการเมือง เตรียมแฉเกี่ยวกับเรื่องที่ดิน ว่า ตนเคยทำธุรกิจมานานก็มั่นใจว่าบริษัทเก่าที่ตนได้ทำมาก็ทำมาด้วยดี ไม่ได้มีปัญหาอะไร

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าเมื่อจะก้าวขึ้นมาเหมือนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกฯพรรคก้าวไกลก็มีประเด็นที่จะถูกแฉเรื่อยๆ นายเศรษฐา กล่าวว่า เขาก็แฉกันมาตลอด ตั้งแต่วันแรกที่เดินเข้ามา เขาก็บอกว่าจะมีเรื่องที่จะแฉ แต่ก็ไม่เป็นไร ตนเข้าใจเมื่อมาอยู่จรงจุดนี้ก็ต้องระมัดระวัง ยืนยันว่าตนมั่นใจในความบริสุทธ์ของตัวเอง

‘เพื่อไทย’ แถลง!! ขอบคุณ ‘ก้าวไกล’ ส่งมอบภารกิจจัดตั้งรัฐบาลให้ พท.

(21 ก.ค.66) พรรคเพื่อไทยได้ออกแถลงการดังนี้…

แถลงการณ์พรรคเพื่อไทย

1. พรรคเพื่อไทยขอขอบคุณพรรคก้าวไกล ที่ส่งมอบภารกิจในการจัดตั้งรัฐบาลให้กับพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นไปตามวิถีทางทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้เงื่อนไขของการร่วมรัฐบาลจาก 8 พรรคการเมืองเดิม ตามที่พรรคก้าวไกลได้แถลงต่อสื่อมวลชนไปแล้ว เบื้องต้นพรรคเพื่อไทยจะได้หารือกับ 8 พรรคการเมืองเดิมเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและกำหนดแนวทางในการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป

2. พรรคเพื่อไทยเห็นว่าภายใต้ข้อตกลงของ 8 พรรคการเมืองเดิม พรรคการเมืองทั้ง 8พรรคสามารถรวมเสียงได้ 312 เสียง ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภาไม่เห็นชอบเนื่องจากมีเงื่อนไขสำคัญที่เกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จึงส่งผลให้ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้

3. พรรคเพื่อไทยจึงมีความจำเป็นต้องหาเสียงสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภาเพิ่มเติม เพื่อให้ได้เสียงเกินกว่า 375 เสียง เบื้องต้นพรรคเพื่อไทยจะขอเสียงสนับสนุนจาก สมาชิกวุฒิสภา และจากพรรคการเมืองอื่นๆ เพื่อให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ในที่สุด

4. หากผลการดำเนินเป็นประการใด จะได้แจ้งให้ 8 พรรคการเมืองและสาธารณชนทราบต่อไปโดยเร็ว

จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

พรรคเพื่อไทย

21 กรกฎาคม 2566

‘ก้าวไกล’ เปิดทางพรรคอันดับสองตั้งรัฐบาล พร้อมเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ จาก ‘เพื่อไทย’

(21 ก.ค.66) นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล แถลงข่าวความคืบหน้าในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลว่า การเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา เป็นการประกาศเจตจำนงของประชาชนที่ชัดเจนว่าต้องการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล ด้วยการลงคะแนนเสียงเลือกพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยจนชนะเป็นอันดับ 1 และอันดับ 2 ดังนั้น เป้าหมายสูงสุดของเราในฐานะพรรคอันดับ 1 คือการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ให้สำเร็จเพื่อหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลเดิม

แต่ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์ทุกอย่างชี้ชัดว่าทุกองคาพยพของฝ่ายอนุรักษนิยม ทั้งการเมืองจารีต ทุนผูกขาด และสถาบันองค์กรต่างๆ ที่เป็นบริวารแวดล้อม ทั้งหมดไม่ยอมให้พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยเอาเรื่อง ม.112 มาบังหน้า และอ้างความจงรักภักดีมาปะทะกับการเลือกตั้งของประชาชน นอกจากนี้ ยังมีการเคลื่อนไหวผ่านคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อหวังตัดสิทธิการเมืองของแกนนำพรรคและยุบพรรคก้าวไกลให้ได้

ด้วยเหตุนี้ ส.ว. จึงฝืนมติมหาชน ไม่โหวตเลือกนายกฯ ตามเสียงส่วนใหญ่ของสภาผู้แทนราษฎร มิหนำซ้ำ ยังกล้าทำลายหลักการ ตีความข้อบังคับของรัฐสภาให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เปรียบเสมือนการล้มล้างการปกครอง หรือฉีกรัฐธรรมนูญผ่านกฎหมู่ เพียงเพื่อต้องการขัดขวางไม่ให้เสนอชื่อพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ ในครั้งที่สอง

พรรคก้าวไกลไม่ยอมรับการตีความข้อบังคับดังกล่าว แต่ภายใต้การทำงานที่สอดประสานกันทั้งองคาพยพของฝ่ายอนุรักษนิยมเช่นนี้ เราจำเป็นต้องขอโทษต่อประชาชน และยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าพวกเขาไม่ยอมให้พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

อย่างไรก็ดี การที่พิธาไม่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ไม่ได้หมายความว่าภารกิจการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อพลิกขั้วอำนาจรัฐบาลจะไม่สำเร็จไปด้วย เป้าหมายสูงสุดของเราในฐานะพรรคอันดับ 1 ยังคงอยู่ นั่นคือการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลเดิมให้สำเร็จ

สิ่งสำคัญในวันนี้จึงไม่ใช่เรื่องพิธาจะเป็นนายกฯ ได้หรือไม่ แต่คือเรื่องประเทศไทยจะกลับสู่ประชาธิปไตยได้หรือไม่ หยุดการสืบทอดอำนาจได้หรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ พรรคก้าวไกลจะเปิดโอกาสให้ประเทศ โดยให้พรรคอันดับสอง คือพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลของพันธมิตร 8 พรรคที่ได้เคยทำ MOU กันไว้

ดังนั้น ในการประชุมรัฐสภาครั้งต่อไป พรรคก้าวไกลจะเสนอชื่อแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เช่นเดียวกับที่พรรคเพื่อไทยเคยสนับสนุนพรรคก้าวไกล

เมื่อเสร็จการแถลง สื่อมวลชนได้สอบถามถึงเงื่อนไขการจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย โดยนายชัยธวัชกล่าวว่า หลังจากนี้จะเป็นบทบาทหลักของพรรคเพื่อไทยในการพูดคุยถึงแนวทางการจัดตั้งรัฐบาล ขึ้นอยู่กับพรรคเพื่อไทยว่าจะเสนอแคนดิเดตนายกฯ คนไหนในการประชุมรัฐสภาครั้งหน้า พรรคก้าวไกลไม่ได้ระบุว่าต้องเป็นใครโดยเฉพาะจงเจาะ ขึ้นอยู่กับมติของพรรคเพื่อไทย เราต้องเคารพ

ผู้สื่อข่าวถามถึงจุดยืน ‘มีลุง ไม่มีเรา’ พรรคก้าวไกลยังเหมือนเดิมหรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นจุดยืนที่ชัดเจนสำหรับพรรคก้าวไกล สิ่งที่เราได้สัญญาพูดคุยต่อพี่น้องประชาชนทั่วประเทศในการเลือกตั้งที่ผ่านมา เราไม่สามารถเสียสัจจะเรื่องนี้ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากการประชุมรัฐสภาครั้งต่อไป แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยเสนอแล้วไม่ผ่านความเห็นชอบของสภาฯ จะถือว่าการเสนอแคนดิเดตคนนั้นจบลงเลยหรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า จุดยืนของพรรคก้าวไกลไม่ยอมรับการตีความข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อที่ 41 เรายืนยันว่า มติของรัฐสภาในครั้งที่แล้วขัดต่อรัฐธรรมนูญ เมื่อถูกถามต่อว่า คิดเห็นอย่างไรต่อบทบาทการทำหน้าที่ของ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาในการประชุมรัฐสภาครั้งที่ผ่านมา นายชัยธวัชกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นข้อถกเถียงกันในสมาชิกรัฐสภา เราเห็นว่าประธานสภาสามารถวินิจฉัยได้ แต่เมื่อมีความเห็นแตกต่างกันเยอะ ประธานสภาอาจเห็นว่าควรให้สมาชิกได้อภิปรายถกเถียงกันอย่างเต็มที่และมีมติร่วมกัน อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ผ่านไปแล้ว หวังว่ารัฐสภาชุดนี้จะไม่มีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอีก

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่เกี่ยวกับความเชื่อมั่นของประชาชนที่เลือกพรรคก้าวไกล ที่อาจมองว่าพรรคถอย ชัยธวัชกล่าวว่า ไม่กังวล ตอนนี้ไม่ใช่แค่ผู้ที่ลงคะแนนเสียงให้พรรคก้าวไกล แต่ตนกำลังพูดว่าผู้ลงคะแนนเสียงส่วนใหญ่ที่ให้พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล มีส่วนสำคัญ ตนเชื่อว่าคนที่เลือกทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย แม้วันนี้พรรคก้าวไกลจะเป็นไปได้ยากในการเป็นนายกฯ แต่ประชาชนทั้งสองส่วนก็ยังอยากเห็นรัฐบาลที่พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำ

ในช่วงท้าย ผู้สื่อข่าวถามว่าคิดอย่างไรกับคำพูดว่าก้าวไกลต้องเสียสละ นายชัยธวัชกล่าวว่า “ผมคิดว่าคนที่ไม่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง คนที่ไม่ยอมรับหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยต่างหาก ที่ควรจะมีสำนึกว่าการกระทำแบบนี้จะไม่ส่งผลดีต่อบ้านเมืองในระยะยาว”

14 ล้านเสียงกา ‘ก้าวไกล’ ยังไม่พร้อมลงถนน เชื่อ!! ปชช. สนปากท้อง มากกว่าแตกแยก

(21 ก.ค. 66) นายปรเมษฐ์ ภู่โต สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าว รายการคุยถึงแก่น ได้ร่วมพูดคุยกับ นายพิชิต ไชยมงคล อดีตแกนนำกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ในเรื่อง ‘ปฏิกิริยามวลชน 14 ล้านที่เลือกก้าวไกล หลัง ‘พิธา’ ไม่ได้เป็นนายกฯ และท่าทีของมวลชน หากเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ’ ผ่านช่องทางเฟซบุ๊กไลฟ์ ‘คุยถึงแก่น’ 

>> ประเมินแรงกดดันนอกสภาจากกองเชียร์ของพรรคก้าวไกล คิดว่าจะมีทิศทางอย่างไร?

นายพิชิต ระบุว่า ผมต้องประเมินย้อนไปถึงตั้งแต่ยุคอนาคตใหม่ กรณีคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คล้ายคล้ายกรณีคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เพราะเป็นคดีถือหุ้นสื่อเหมือนกัน ตอนนั้นคุณธนาธรออกมาแสดงความคิดเห็น (ข้อแก้ตัว) ทางคดีผ่านมวลชน ศาลตัดสินได้ไม่ถึงสัปดาห์ คุณธนาธรก็นัดมวลชนที่สวนจตุจักร มวลชนไปเยอะมาก แต่ตอนนั้นคุณธนาธร คุณช่อ และคุณปิยะบุตร ก็ไม่ได้ออกมานำมวลชน และไม่ได้มีเหตุการณ์อะไร

ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ผมประเมินว่าสุดท้ายก็จะเป็นหนังม้วนเดิม พรรคก้าวไกลก็อาจจะถูกคดีคล้ายกับพรรคอนาคตใหม่ คีย์แมนคนสําคัญของพรรคก้าวไกลก็ไม่กล้าออกมานำมวลชนชุมนุม พรรคก้าวไกลนัดมวลชนให้ไปปกป้องคุณพิธาที่รัฐสภา แต่กลายเป็นว่ามวลชนไม่ออกไป มวลชนส่วนหนึ่งคนรุ่นใหม่ที่เป็นฐานสําคัญของพรรคก้าวไกล คนทํางาน คนรุ่นใหม่ ไม่มีใครออก ถ้าพูดกันตรงๆ ก็คือเป็นมวลชนนี้คือพี่น้องคนเสื้อแดงที่หันมาเชียร์คุณพิธามากกว่า 

หรือแม้กระทั่งเมื่อวันที่ 19 ก.ค.66 การชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผมต้องใช้คําว่า ‘สอบไม่ผ่าน’ ถ้าดูจากคะแนนเสียงที่ถูกเคลมอ้างตลอดว่า 14 ล้านเสียงพร้อมจะออกมา พรรคก้าวไกลก็พยายามปั่นว่า ถ้าคุณพิธาไม่ได้เป็นนายก มวลชน 14 ล้านเสียงจะปิดบริษัทชุมนุม แต่ 19 ก.ค. ที่ผ่านมา ยืนยันว่าเป็นแค่คำขู่ 

มวลชน 14 ล้านเสียงที่เลือกก้าวไกล ไม่ใช่มวลชนที่พร้อมจะลงถนนทั้ง 14 ล้านคน ต้องมองแบบแยกแยะกันพอสมควร จะมาเคลมแบบก้าวไกลว่า 14 ล้านเสียงคือแรงผลักดันทางการเมืองที่พร้อมจะลงถนน ผมว่า ณ วันนี้ต้องประเมินกันใหม่ บางส่วนเขาไม่ได้พร้อมที่จะมาปกป้องคุณพิธา บางส่วนของ 14 ล้านเสียงที่เขาเลือกก้าวไกล เพราะเขาอาจจะเบื่อลุงก็ได้ หรือจะเพื่อการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ใช่พร้อมจะลงถนน 

>> สาเหตุที่ 14 ล้านเสียงไม่ไปลงถนนชุมนุม มาจากกลุ่มแกนนำชุมนุมยังเป็นกลุ่มเดิมๆ เนื้อหาที่พูดก็ค่อนข้างสุดโต่งเกินไป ทำให้คนไม่ค่อยอยากสุงสิงหรือเปล่า?

นายพิชิต กล่าวว่า เป็นส่วนหนึ่งครับ ผมถึงบอกตั้งแต่ต้นว่าถ้าจะให้จริงจังคุณพิธา คุณธนาธรต้องออกมานําเอง ผมว่ามวลชนจะเชื่อใจ คณะแกนนำชุมนุมต้องพูดเรื่องเดียวกับที่เกิดขึ้นในสภา อธิบายเนื้อหาว่าทําไมคุณพิธาไม่ได้ถูกเลือกเป็นนายก มีเนื้อหาอะไรบ้าง? มีการเล่นเกมโกงกันยังไง? รัฐธรรมนูญมีปัญหาอะไร? แต่เนื้อหาที่พูดบนเวทีกลายเป็นเรื่อง ม.112 ผมเชื่อว่ามวลชนเขาก็ไม่กล้าเสี่ยง เพราะกลัวคดี แต่หากอยากให้มวลชนออกมา คุณพิธา คุณธนาธรต้องออกมานำเอง อยู่ที่ว่าพวกเขากล้าหรือเปล่า

>> ประเมินธนาธร ซึ่งเป็นประธานคณะก้าวหน้า กล้าถือไมค์อยู่บนหลังรถกระบะนําคนเป็นพัน เป็นหมื่นพร้อมจะโดนคดี เขาจะกล้าไหม?

นายพิชิต ให้ความเห็นว่า ให้ประเมินตอนนี้ผม ผมฟันธงได้เลยว่า ‘ไม่กล้า’ ถ้าเป็นการชุมนุมแบบเดิมคือ ปักหลักยืดเยื้อขึ้นบนรถหลังเวที นอนพักค้างคืน แบบนี้เขาไม่กล้าแน่ หรือถ้าเอาแบบใหม่ แบบที่เขาถนัดคือมาแล้วกลับ ผมก็ยังฟันธงว่า ‘เขาไม่กล้า’ เพราะการชุมนุมมันมีผลแห่งการรับผิดชอบมวลชนเยอะพอสมควร ฟันธงว่าทั้งคุณธนาธรและคุณพิธาก็ไม่กล้า

>> หากพรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาลโดยไม่มีพรรคก้าวไกล จะเจอแรงคนกดดันจากกองเชียร์พรรคก้าวไกลแค่ไหน? แล้วทางกองเชียร์เพื่อไทยจะหนุนหลังพรรคเพื่อไทยมากน้อยแค่ไหน?

นายพิชิต กล่าวว่า ถ้าเพื่อไทยมีนโยบายเรื่องปากท้องเพื่อพี่น้องประชาชน เชื่อว่ามวลชนจะไม่ออกมา เพราะต้องยอมรับว่าประชาชนเหนื่อยกับการชุมนุม ประเทศไทยมีการชุมนุมมา ในช่วง 20 ปีก็หลายครั้งชุมนุมใหญ่ก็หลายหน มวลชนจะเหนื่อยกับการชุมนุม คณะราษฎร์ก็มีการชุมนุมใหญ่มาแล้ว มีการเคลื่อนไหว มวลชนออกมาค่อนข้างเยอะ แล้วจะกล้าไหมที่จะออกมาแค่ปกป้อง ‘พิธาหรือพรรคก้าวไกล’ 

ผมว่าถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลร่วมกับพรรคอื่น สิ่งที่ต้องคํานึงให้มากที่สุดคือ การแก้ปัญหาของพี่น้องประชาชน เอานโยบายที่สามารถจับต้องได้ แก้ปัญหาของพี่น้องได้ เรื่องปากท้อง เรื่องแรงงาน เรื่องชาวนา เชื่อว่าประชาชนจะอินกับการแก้ปัญหามากกว่าที่จะออกมาเคลื่อนไหวบนถนน 

แน่นอนว่าอาจจะมีการโวยวายในโลกโซเชียล ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่คนที่จะออกมาเคลื่อนไหว ผมคิดว่า มันจะถูกลดทอนด้วยการทํางาน เอาการทํางานมาเป็นตัวพิสูจน์ ถึงแม้เราจะไม่ค่อยไว้ใจเพื่อไทยเท่าไหร่ แต่ในการจับขั้วรัฐบาลอย่างน้อยมันก็ต้องมีรัฐบาลในการบริหารประเทศ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนก็แล้วแต่ ถ้าคํานึงถึงผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก การชุมนุมมันจะไม่มีเหตุผลอะไรเลย เพราะเกมการเดินหน้าการแก้ปัญหาของประเทศยังเดินอยู่ ผมคิดว่าคนที่คิดออกมาชุมนุมก็ต้องเลือกระหว่างจะ ‘ทําให้ประเทศเดินหน้า’ หรือว่าจะเอามาชุมนุม ‘เพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ’

>> ประชาชนคนทั่วไป ที่ทำงานหาเช้ากินค่ำ ผ่านช่วงที่เศรษฐกิจบอบช้ำ สงครามรัสเซีย-ยูเครน คนก็คงไม่อินกับการไปม็อบ ใช่ไหม?

นายพิชิต กล่าวว่า ประเมินจากพรรคก้าวไกล กรณีคุณพิธาที่โดน กกต. โดนศาลรัฐธรรมนูญ ถ้ามวลชนเยอะจริงอย่างที่พูดในโซเชียล ผมว่ามวลชนจะออกเยอะกว่านี้ แต่ที่นัดชุมนุมใหญ่ที่ผ่านมาหลายครั้ง คนไม่ออกนะ ดังนั้นผมมองว่าแม้เขาจะชอบก้าวไกล แต่เขายังไม่พร้อมที่จะลงถนนแบบแตกหัก บางส่วนก็คิดว่าประเทศบอบช้ำจากการชุมนุม และคนก็ต้องทำมาหากิน เขาก็ไม่ลงถนน อีกฝั่งก็คิดว่าที่คุณพิธาเป็นแบบนี้ก็เพราะไม่จัดการตัวเองเรื่องถือหุ้นสื่อ มันก็ต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ เรื่องพวกนี้จะทำให้คนไม่อิน

ในอนาคต ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนําจัดตั้งร่วมกับพรรคอื่น แต่ถ้าบริหารจัดการนโยบายดี ๆ ผมคิดว่าคนพร้อมอยากให้รัฐบาลใหม่มาแก้ไขปัญหาของประเทศ มากกว่าที่จะออกมาชุมนุม

>> หากเปรียบการเมืองไทยเป็นสามก๊ก มีเพื่อไทย ก้าวไกล และ ฝั่ง กปปส. รวมกับพันธมิตร คิดว่ามวลชนกลุ่มที่ไม่ได้เชียร์เพื่อไทย หรือก้าวไกล จะออกมาเคลื่อนไหวด้วยเหตุผลอะไร?

นายพิชิต กล่าวว่า จุดแตกหักของมวลชนคงจะเป็นเรื่อง 112 ที่หลายคนกังวล มีโอกาสที่จะทําให้พันธมิตรเดิม หรือ กปปส. เดิม กลุ่มที่เคยออกมาปกป้องสถาบันได้ขยับอีกครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าการขยับอาจจะไม่ใช่การแสดงพลังชุมนุมใหญ่ แต่มันจะไปกระตุ้น ให้เกิดการตื่นตัวและการเคลื่อนไหวออกมา ผมว่ามีปมเดียวคือเรื่อง 112 ยกเว้นกรณีคุณทักษิณจะกลับมา ซึ่งหลายคนก็เฝ้าจับตามอง จะกลับมาในลักษณะไหน มาแล้วต้องเคารพกฎหมาย ถ้าไม่เคารพกฎหมาย นี่อาจจะเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่จะทําให้ กลุ่มที่เคยต่อต้านคุณทักษิณได้กลับมาแสดงพลังอีกรอบ

>> คิดว่าจะเป็นโอกาสทองในการก้าวข้ามความขัดแย้งของคนในสังคมหรือไม่?

นายพิชิต กล่าวว่า ที่จริงเรื่องความปรองดองเป็นเรื่องที่ต้องคุยกันมาตั้งนานแล้ว แกนนำหลายท่านก็เคยมานั่งคุยกัน แต่การปรองดองก็ต้องมีเงื่อนไข ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะบอกว่าปรองดองหมด หากปรองดองภายใต้เงื่อนไขทางการเมือง สามารถเกิดขึ้นได้ อยู่ที่รัฐบาลจะกล้าหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดคุยกันให้จริงจังขนาดไหน 

>> เมื่อถามว่า หากเพื่อไทยเป็นรัฐบาล จะเกิดการพูดคุยเรื่องการปรองดองหรือไม่?

นายพิชิต กล่าวว่า เพื่อไทยก็จะถูกจับตามองเรื่องคุณทักษิณ ขยับตัวยาก จึงต้องเป็นรัฐบาลที่หลายฝ่ายยอมรับ แต่ทุกวันนี้ก็ระแวงกันอยู่พอสมควร ดังนั้นต้องใช้ตัวเนื้อหาเป็นต้นแบบในการพูดคุย และให้สังคมได้ร่วมวิพากย์วิจารณ์กัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top