Thursday, 15 May 2025
POLITICS

‘ไบร์ท ชินวัตร’ แฉ!! ขบวนการ ตปท.จ้องทำลายสถาบันฯ เผย ไม่เห็นด้วย ปมแก้ ม.112 ลั่น!! “ถ้าผมทำ ผมโคตรบาป”

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้ TikTok บัญชี @3geeb_2475 ได้โพสต์คลิปวิดีโอ ‘ไบร์ท ชินวัตร’ หรือนายชินวัตร จันทร์กระจ่าง เล่าเปิดใจก่อนมอบตัวคดี 112 โดยระบุว่า…

“การเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันฯ มันก็จะมีความชัดเจนว่า เขาจะมีการล้มล้างอะไรในประเทศไทย แต่สุดท้ายที่ผมอยู่ไป ๆ แล้วเราได้สัมผัสกับกลุ่มต่างประเทศ ที่มีการไลฟ์เข้ามาบ้าง หรือในโซเชียลบ้าง ซึ่งมีการโจมตีสถาบันแล้วมันทําให้เรารู้แล้วว่า อ๋อ… มันมีขบวนการจากต่างประเทศ ในการจ้องจะทําลายสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความเสื่อมเสียให้แก่สถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยของเรา ดังนั้น ผมจึงเริ่มไม่ค่อยเห็นด้วยแล้ว และยังผิดต่อเจตนารมณ์อีกด้วย แล้วถ้าผมทําลงไป ถ้าผมเป็นส่วนหนึ่งในขบวนการการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมนี่จะโคตรบาปมาก เพราะว่าปู่ย่าตายายของผม ทุกคนมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด ตั้งแต่ผมเกิดมาและจําความได้ ตาของผมได้แขวนภาพพระเจ้าอยู่หัวไว้บนหัว หรือแค่ผมกลับจากโรงเรียน แล้วเอาเข็มขัดหรือเอากางเกงไปแขวน ผมก็โดนด่าแล้ว”

‘อี้ แทนคุณ’ ร้อง ‘ปธ.สภาฯ’ สอบจริยธรรม ‘พิธา’ ปมให้เด็ก 10 ขวบขึ้นเวทีการเมือง-สร้างความเกลียดชัง

(25 ก.ค. 66) ที่รัฐสภา นายแทนคุณ จิตต์อิสระ อดีต สส.กทม.และรักษาการประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคระหว่างประเทศ เข้ายื่นหนังสือต่อ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่าน นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ คณะทำงานประธานสภา เพื่อขอให้ตรวจสอบพฤติการณ์การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล มีการปล่อยปละละเลยและสนับสนับให้เด็กอายุ 10 ปี ขึ้นเวทีการเมืองและกล่าวคำพูดลักษณะสร้างความเกลียดชัง และกรณีของ นายสิริน สงวนสิน สส.กทม.พรรคก้าวไกล ทำร้ายสตรี

โดย นายแทนคุณ กล่าวว่า เนื่องจากเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พรรคก้าวไกลได้จัดงานงานเพื่อขอบคุณประชาชน และฟังเสียงทุกคนก่อนโหวตนายก โดยมีประชาชนร่วมรับฟังจำนวนมาก ณ ลานหน้าห้างเซนทรัลเวิร์ล โดยมีการนำเด็ก 10 ปี 2 คน ขึ้นเวที และนายพิธาได้กล่าวคำพูดในลักษณะยุยงให้เกิดความเกลียดชัง เช่น ตอนหนึ่งระบุว่า อยากให้พิธาเป็นนายกฯ หากว่านายกรัฐมนตรีคนที่ 30 อยากให้ว่าชื่อพิธา อยากให้จัดการกับระบบปรสิต ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกับพรรคก้าวไกลและขบวนการปลุกปั่นทางสังคมได้สื่อสารมาอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการสนับสนุนให้เด็กนำเสนอแนวคิดทางการเมืองเป็นการละเมิดสิทธิเด็ก และแสวงหาประโยชน์ทางการเมืองต่อเด็ก เนื่องจากเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ

นายแทนคุณ กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นขอเรียกร้องให้ตรวจสอบจริยธรรมอย่างร้ายแรงของนายสิริน ที่มีข่าวทำร้ายร่างกายแฟนสาว ทั้งต่อยที่ใบหน้า และดึงศีรษะให้ลงจากรถจนสตรีผู้นั้นได้รับบาดเจ็บตามที่เป็นข่าวไปแล้ว ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและขัดกับจริยธรรมอย่างร้ายแรง ทำให้ภาพลักษณ์ของสมาชิกผู้แทนราษฎรเสื่อมเสีย จึงไม่อยากให้ประธานสภาปล่อยปะละเลยผู้กระทำการละเมิดทั้ง 2 กรณีที่เป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีต่อเด็ก เยาวชน และคนทั่วไป จึงอยากให้ประธานสภาตรวจสอบและสอบสวนข้อเท็จจริงว่ามีพฤติกรรมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม หรือประมวลจริยธรรมข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2564 หรือขัดกับกฎหมายระเบียบข้อบังคับอื่นใดหรือไม่ เพื่อจะได้ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

‘อดีตติ่งส้ม’ ฟาดแรง!! หลังตาสว่างที่เลือกพรรคผิด ถาม ‘พิธา’ ปมแก้ ม.112 ยังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่?

เมื่อไม่นานนี้ ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่ง ชื่อ ‘user9614268366121’ ได้ออกมาโพสต์คลิปวิดีโอฝากข้อความถึงนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ โดยในคลิประบุว่า…

“14 ล้านเสียงจริงๆ เหรอ? 14 ล้านเสียงจริงๆ เหรอคะ? คุณรู้ไหมคะ ว่าคุณกําลังทําให้คนที่เขาเลือกคุณมา เกลียดคุณมากขึ้นแค่ไหน ไม่ใช่เพราะใครเลยค่ะ เพราะคุณเอง เขาเสียความรู้สึกกับคุณมาก ๆ นะ เพราะเขาเลือกคุณมาเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ที่เขาคิดว่าลุงตู่ทําไม่ได้ แล้วคุณบอกคุณทําได้ แต่คุณไม่เริ่มที่จะลงมือทําเลยด้วยซ้ำ พวกคุณทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น สส.ในพรรคคุณ ไม่เริ่มที่จะแก้ไขปัญหาเลยด้วยซ้ำ คุณสร้างความเกลียดชังให้กับคนที่เขาเคยรักคุณ คุณรู้ไหมคะว่าคุณเป็นคนทํา ไม่ใช่ใครเลยค่ะ คิดสักนิดค่ะคุณพิธา คุณเป็นคนที่มีความสามารถ คุณทําอะไรเพื่อประเทศชาตินี้ได้อีกมากเลย แล้วคุณก็รู้ว่าสิ่งที่คุณทํา และพวกของคุณกําลังโกหกอะไรอยู่ ไม่มีหลักฐานอะไรที่บ่งบอกว่าสิ่งที่พวกคุณพูดมันเป็นเรื่องจริงสักอย่าง แต่พวกเรามีหลักฐานที่จะหักล้างได้ว่าพวกคุณพูดเท็จ และคนที่เขาเปลี่ยนทัศนคติจากการที่เคยไปร่วมชุมนุมกับคุณ และชอบคุณ ทําไมถึงหันมารักสถาบันฯ เพราะเราเห็น เรารู้ ไม่ใช่แค่ดิฉันที่เห็นและสํานึก ดิฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกันที่เคยเชื่อ เคยสนับสนุนเสื้อแดง นปช.มาก่อน แต่ก็รักสถาบันฯ มากขึ้น และมากขึ้นทุกวัน เพราะเราเห็น เรารู้ เรามีความสํานึก เรามีความเป็นมนุษย์ค่ะ”

“คุณรู้ไหมคะ ว่าคนที่เขาเกลียดคุณจริงๆ เขาไม่ได้แช่งแค่คุณนะ เขาแช่งไปถึงลูกคุณ ถึงครอบครัวของคุณด้วย แล้วลูกหลานของคุณในอนาคตจะต้องอยู่บนแผ่นดินไทยนี้อีกนานเลยค่ะ ลูกคุณน่ารักนะคุณพิธา น่ารักมาก คุณทําเพื่อใครอยู่ ในอนาคตคุณไม่ได้อยู่กับเขาตลอดชีวิตนะคะ คุณจะรู้ได้ยังไงว่า ลูกของคุณจะเจออะไรในอนาคตบ้าง หลานของคุณในอนาคตจะเจออะไรบ้าง คุณรู้ไหมคะ ว่าเวรกรรมที่คุณทําอยู่ มันเป็นกรรมพันธุ์ ที่มันจะติดตัวลูกของคุณและหลานของคุณไปอีกนานเลยค่ะ คิดดีๆ ค่ะคุณพิธา คิดดีๆ คุณก็รู้ ว่าความดีต้องชนะความเลวอยู่แล้ว คุณคิดว่าสิ่งที่คุณกําลังทํามันเป็นความดีแล้วเหรอคะ? ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่สถาบันพระมหากษัตริย์จะต้องมาเจออะไรแบบนี้ เหตุผลที่เราหาได้คือ พวกคุณอิจฉา พวกคุณต้องการที่จะยึดอํานาจ เพราะอยากจะได้อํานาจนั้น พวกคุณทําเพื่อใครก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่เรารู้คือมันไม่มีอะไรที่พวกคุณพูดมาเป็นความจริงเลย และไม่ใช่แค่พวกเรา คนเกือบทั้งโลกค่ะ แน่นอนมันย่อมเปอร์เซ็นต์มากกว่าคนที่ไม่ชอบ เราอยู่ในโลกที่มันอยู่บนความเป็นจริงคุณพิธา ถ้าคุณกําลังเชื่ออะไรที่มันผิดๆ อยู่”

“คุณเป็นคนที่มีความสามารถ คุณน่าจะหาความรู้ได้ไม่ยาก และพวกเราที่เป็นคนไทย เป็นลูกของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พร้อมที่จะให้โอกาสคุณนะ ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ที่ทำตัวแย่มาขนาดไหน หากกลับใจ กลับใจจริงๆ ด้วยความจริงใจ เราพร้อมเสมอ คนไทยพร้อมเสมอที่จะให้โอกาส เพราะนอกจากพวกเราคนไทยด้วยกันแล้ว ไม่มีใครที่จะช่วยเราได้หรอกค่ะคุณพิธา ไม่มีใครที่จะช่วยเราได้เหมือนคนไทยช่วยกันเอง แล้วตอนที่เราช่วยเหลือกัน เราไม่เคยที่จะแบ่งแยกสีด้วยซ้ำ คิดดีๆ ค่ะ คุณโชคดีมากขนาดไหนที่คุณเกิดบนผืนแผ่นดินไทย ที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ทุกพระองค์แบบนี้ โชคดีมากๆ จริงๆ ค่ะ คิดดีๆ ถ้าคุณยังมีความเป็นคนอยู่นะคะคุณพิธา ถ้าคุณยังมีความเป็นคนอยู่ คิดดีๆ ให้นึกถึงลูกคุณ นึกถึงครอบครัวคุณ ฝากไว้แค่นี้ค่ะ”

‘เพื่อไทย’ หารือ ‘สมาคมการค้ามันสำปะหลัง’ มุ่งแก้ปัญหาโรคระบาดใบด่างในมันสำปะหลัง

(25 ก.ค. 66) นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับปัญหาไวรัสใบด่างระบาดในมันสำปะหลัง ที่ฉุดให้ผลผลิตตกต่ำลง ระบุว่า..

พรรคเพื่อไทยเดินหน้าแก้ปัญหาโรคไวรัสมันสำปะหลังระบาดให้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติร้อนแล้งซ้ำเติม คาดฉุดผลผลิตลดฮวบ รายได้เกษตรหาย ปากท้องรายได้ ปัญหาเร่งด่วนที่เพื่อไทยรอไม่ได้

ทีมวิชาการการเกษตรเพื่อไทย นำโดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง นายสรวงศ์ เทียนทอง นายพรหมมิน สีตบุตร นายคมเดช ไชยศิวมงคล พบนายบุญชัย ศรีชัยยงพานิช ผู้แทนสมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย และคณะ แลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์และการดำเนินการด้านการป้องกันรักษาโรคไวรัสใบด่างระบาดในมันสำปะหลัง และแนวทางเพื่อรับมือสถานการณ์น้ำแล้ง จากภาวะเอลนีโญ ที่จะส่งผลโดยตรงต่อการผลิตภาคเกษตรที่อาจรุนแรง และส่งผลต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ปีจากนี้

นายบุญศรี ให้ข้อมูลว่า เรื่องโรคระบาดในมันสำปะหลังขณะนี้ ยังอยู่ในสถานการณ์ที่สามารถบรรเทาความรุนแรงของการระบาดลงได้ หากได้รับการดูแลอย่างจริงจัง แต่หากยังล่าช้าละเลย สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ อาจสร้างความเสียหายลุกลาม แก่อุตสาหกรรมแปรรูปและส่งออกมันสำปะหลังของประเทศไทยมูลค่ารวมกว่าแสนล้านบาท 

ผู้แทนสมาคมมันสำปะหลังไทย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากการศึกษาสถานการณ์แพร่ระบาดโรคไวรัสใบด่างในมันสำปะหลังของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประมาณการความเสียหายกินพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังขณะนี้กว่า 3 ล้านไร่ ขณะที่รายงานของกรมส่งเสริมการเกษตร ระบุว่าสามารถควบคุมพื้นที่การระบาดได้อยู่ที่ 4 แสนไร่เท่านั้น โดยผลกระทบโรคไวรัสใบด่างในมันสำปะหลัง อาจทำให้ผลผลิตมันสำปะหลังหายไปอย่างน้อย 50% จากผลผลิตปีละ 40 ล้านตัน อาจเหลือเพียง 20 ล้านตันเท่านั้น

โดยมาตรการการของหน่วยงานรัฐ ที่ใช้เพื่อการควบคุมโรคระบาดไวรัสใบด่างที่ใช้อยู่ในขณะนี้ คือการตัดเผาทำลายหากตรวจพบในรัศมี 1 ตารางกิโลเมตร และควบคุมการขนย้ายท่อนพันธุ์ ต้องได้รับการอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อเกษตรกรในทางปฏิบัติด้วยกรอบกฎระเบียบราชการ

ในส่วนการทำงานของทีมวิชาการเกษตรพรรคเพื่อไทย รับทราบและติดตามปัญหามันสำปะหลังมาโดยตลอด โดยทีมทำงานได้ทำแปลงทดลองแก้ไขปัญหาไวรัสใบด่างในมันสำปะหลังด้วยวิธีการหลากหลาย และเก็บผลเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพ 

แปลงที่ 1 ใช้จุลินทรีย์กรีนพลัส ฉีดลงดินเพื่อขจัดเชื้อรา และใช้ชีวพันธุ์โอซิล ตระกูลไคโตซานที่เป็นนาโน ร่วมกับซิลเวอร์นาโน ฉีดพ่นที่ใบและลำต้น เพื่อฆ่าเชื้อและบำรุงท่อน้ำเลี้ยง ร่วมกับน้ำหมักจุลินทรีย์ ซึ่งเป็นการผสมรวมน้ำหมักจุลินทรีย์ และจีพลัส ฮอโมนพืช ควบคุมแปลงโดยนายคมเดช ไชยศิวมงคล ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ พบว่าสามารถระงับการแพร่ระบาดได้และต้นมันที่ติดโรคก็สามารถแข็งแรงผลิใบใหม่ได้ 

แปลงที่ 2 ใช้แคลเซียมเซียมคาร์บอเนตเข้มข้น ฉีดพ่นต้นมันสำปะหลังที่เป็นโรค ในแปลงทดสอบ ที่นครราชสีมา พบว่าผนังเซลล์ของมันสำปะหลังแข็งแรงขึ้นสามารถต้านทานโรคได้ดี และฟื้นตัวจากโรคไวรัสใบด่างได้

และแปลงที่ 3 ทดสอบรวมผลการใช้ผลิตภัณฑ์จากแปลงที่ 1 และแปลงที่ 2 ควบคู่กัน สู่ผลลัพธ์ การควบคุมป้องกันโรค และสมมุติฐานความสามารถเพิ่มปริมาณผลผลิตต่อไร่ขึ้นได้ด้วยหรือไม่

พรรคเพื่อไทยลงมือทำงานและศึกษาเรื่องมันสำปะหลังในฐานะพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศ ร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน หน่วยงานสมาคม และทีม สส. พรรคเพื่อไทย มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อทราบข้อเท็จจริงและเข้าใจวิธีการแก้ปัญหาความเดือดร้อน อุปสรรคการทำมาหากินของพี่น้องประชาชน ตรงประเด็นที่สุด รวดเร็วที่สุด เพราะปัญหาปากท้องคือความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่เรารอไม่ได้ โรคระบาดแก้ได้ต้องรีบจัดการ ส่วนภัยแล้งยังแก้ไม่ได้ต้องหาทางบรรเทาบนพื้นฐานการจัดการที่รวดเร็วมีประสิทธิภาพ

‘ไอซ์ รักชนก’ แท็กเฟซถาม ‘วัน อยู่บำรุง’ หลังถูกคนสนิทโพสต์เหน็บเรื่องท่านั่งในสภาฯ

บางบอนเดือด! 'ไอซ์ รักชนก' แท็กเฟซบุ๊กเรียก 'วัน อยู่บำรุง' ถามตรงๆ ลูกน้องพี่เป็นอะไรกับหนูมากไหม? โพสต์เหน็บเรื่องท่านั่งในสภาฯ ลั่น! นั่งนานก็เมื่อยบ้าง เรื่องแค่นี้ต้องเอามาโจมตีกัน ทีตน เวลาพี่ทำอะไรดีๆ ยังช่วยแชร์เลย ว่าแต่ว่าภาพนี้พี่ได้มาจากไหน จากมุมภาพเหมือนถ่ายมาจากฝั่งที่นั่ง สส.พลังประชารัฐ สนิทกันหรอ?

(25 ก.ค. 66) น.ส.รักชนก ศรีนอก หรือ ไอซ์ รักชนก สส.กทม. เขตบางบอน จอมทอง หนองแขม พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก ระบุว่า ลูกน้องพี่วัน Wan ubumrung ทำไมชอบมีปัญหากับไอซ์จัง ทั้ง ๆ ที่เวลาพี่วันทำอะไรดี ๆ ไอซ์ช่วยแชร์ให้ตลอด นี่หลายทีละนะ ตั้งแต่เสี่ยปอดีเคตอนยังเป็นผู้สมัคร ก็เอารูปมาโจมตี มาเมนต์ด่า

ในรูปนี่กำลังหาอ่านไฟล์ข้อบังคับการประชุมรัฐสภาอยู่ แล้วเท่า ๆ ที่อ่านดู เค้าก็ไม่ได้บอกนะว่าท่านี้ห้ามนั่งท่านี้นะ พี่วันเคยอยู่ในสภา ช่วยบอกลูกน้องหน่อยค่ะว่า นั่งนานๆ มันก็ต้องมีเมื่อยกันบ้าง

ไอซ์ทำงานทุกวัน 7 วันต่อสัปดาห์ ตั้งแต่ได้ตำแหน่ง ยังไม่ได้หยุดเลย นี่คือการให้เกียรติพ่อแม่พี่น้องประชาชนในแบบของไอซ์

สภาฯ มีเกียรติได้ไม่ใช่คนที่อยู่ แต่เพราะมันเป็นที่ซึ่งเอาไว้บำบัดทุกข์ของคนทั้งประเทศ แก้ไขปัญหาให้พ่อแม่พี่น้องประชาชน แล้วไอซ์ก็คิดว่าเป็นคนนึงที่ทำงานคุ้มภาษีทุกบาทแน่นอน ทำไมไม่เห็นเคยพูดถึงบ้าง ปวดหลังนิดเดียวเลยเปลี่ยนท่านั่ง เล่นใหญ่เลยน้า

ปล. ผังการนั่งประชุมสภาฯ ในวันนั้น ถ้าดูจริง ๆ มุมกล้องนี้คือที่นั่ง สส.ของพลังประชารัฐ ไม่ทราบว่าไปเอารูปนี้มาจากไหนคะ สนิทกันหรอ

'ผู้ประกาศดัง' ชี้!! ก้าวไกลควรเปลี่ยนฝ่ายกฎหมายของพรรค ไหนจะปม 'หน.พรรคสะดุดหุ้นสื่อ' ไหนจะปม 'ไม่กรองบอดี้การ์ด'

(25 ก.ค.66) นารากร ติยายน พิธีกรและผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

เราว่าพรรคก้าวไกลควรจะเปลี่ยนฝ่ายกฎหมายของพรรค  

(นี่เป็นความเห็นของปุถุชนธรรมดา ที่มองโลกตามความเป็นจริง)

มองจากความผิดพลาด 2 เรื่องใหญ่ๆ...

1) หัวหน้าพรรคสะดุดปมถือหุ้นสื่อทั้ง  2 คน  
2) ไม่ตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของคนที่รับมาเป็นบอดี้การ์ดของหัวหน้าพรรค

ถ้าจะอ้างว่าบอดี้การ์ดที่ชื่อ 'ต้น' เป็นคนที่บริษัทรักษาความปลอดภัยส่งมา ข้ออ้างนี้เราว่าฟังไม่ขึ้น

เพราะการรับคนมาทำงานในตำแหน่งสำคัญ คืออารักขาผู้นำของพรรคนั้น ฝ่ายกฎหมายของพรรคควรตรวจสอบด้วยตนเองอย่างรอบคอบ ไม่ใช่เอาใครก็ได้ที่บริษัทฯ ส่งมา

ขนาดเราเองเจอทนายมีนิสัยประมาท ทำคดีไม่รอบคอบ เรายังตัดสินใจเปลี่ยนทนายทันที ไม่ต้องรอให้ความเสียหายเกิดขึ้นก่อน  

แม้ว่าจะจ่ายค่าทนายไปครบหมดแล้ว ตามใบแจ้งหนี้ที่ฝ่ายทนายส่งมา ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ขึ้นศาลเลย 😒

เรื่องฝ่ายกฎหมายของพรรคที่ทำให้เกิดความเสียหายหลายครั้งหลายหนนี้ ผู้บริหารพรรคก้าวไกลควรตัดสินใจเปลี่ยนสักที  

ก่อนที่จะมีความเสียหายอื่น ๆ ตามมาอีกในอนาคต

‘บิ๊กป้อม’ ตอบชัด!! ยังไม่วางมือทางการเมือง สวน!! “จะให้ปิดสวิตช์ 3 ป. หรือไง?”

(25 ก.ค.66) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกระแสข่าวที่บอกว่าจะ ‘พอแล้ว’ จะไม่รับตำแหน่งใน ครม. ว่า ยังไม่รู้ ๆ ต้องดูก่อน

เมื่อถามว่าจะเป็นหัวหน้าพรรคดูแล พปชร. ต่อไปใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็ยังเป็นอยู่ จะให้ปิดสวิตช์ 3 ป.หรือไง

เมื่อถามว่าจะยังไม่ได้ประกาศจะวางมือการเมือง ใช่หรือไม่  พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนเอง ยังไม่เคยพูดที่ไหน ว่าจะวางมือ

เมื่อถามว่าแล้วจะเอายังไงต่อไป ในการจัดตั้งรัฐบาล พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่บอก ให้รอดู

‘จาตุรนต์’ โวย!! คลิปเสียงที่กำลังไวรัล เป็นของปลอม ยัน!! ตนไม่เคยพูด คนทำมุ่งเสี้ยมให้ 8 พรรคแตกแยก

(25 ก.ค. 66) นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีคลิปเสียงที่เป็นไวรัลในขณะนี้ ระบุว่า...

“มีการเผยแพร่คลิปปลอมหน้าตาแบบนี้ คงต้องการทำลายพรรคเพื่อไทยและเสี้ยมให้ 8 พรรคแตกกัน ผมไม่มีวันพูดอะไรแบบนี้

เมื่อวานให้สัมภาษณ์ไป 5 รายการก็พูดเพื่อให้ 8 พรรคจับมือกันไว้ พูดตามจุดยืนพรรคเพื่อไทยและยังได้ย้ำเกียรติประวัติของพรรคในการต้านเผด็จการตลอดมาอย่างไม่น้อยหน้าพรรคการเมืองใด

ใครที่ต้องการทำลายเพื่อไทยและเสี้ยมพรรคฝ่ายประชาธิปไตยให้แตกกัน อย่ามาใช้วิธีตื้น ๆ ต่ำ ๆ แบบนี้เลยครับ

ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยเข้าไปคอมเมนต์และเรียกร้องให้ถอดคลิปปลอมนี้ครับ”

สะพัด!! 'คนไทย-สส.' นัดรับเงินอุดหนุนต่างชาติที่ฝรั่งเศส สานต่อปฏิบัติการล้มล้างการปกครองของชาติตะวันตก

(25 ก.ค.66) จากเพจ 'สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา' ได้โพสต์ข้อความถึงกรณี 'รายการอีเมลของกลุ่มคน ที่ได้ไปนัดพบปะเพื่อรับเงินอุดหนุนต่างชาติที่ฝรั่งเศส' ไว้ดังนี้...

จะเห็นว่ามีรายชื่อคนไทยมากที่สุด มีแม้แต่ สส. 

ตามมาด้วยคนเมียนมา

มีฟิลิปปินส์กับอินโดอีกนิดหน่อย

ไม่มีคนมาเลฯ สิงคโปร์ ลาว กัมพูชา

---------------------------

แสดงให้เห็นว่าประเทศในย่านนี้ ที่เป็นเป้าหมายหลักการแทรกแซง การล้มล้างการปกครองของชาติตะวันตก

คือ ไทย และ เมียนมา

>> ก่อให้เกิดพรรคการเมืองโปรสหรัฐฯ ที่มุ่งทำลายเสาหลักความมั่นคงของประเทศไทยทุกด้าน

>> และการสู้รบหนัก ต่อเนื่อง โดยฝ่ายต่อต้านรัฐบาลในเมียนมา

---------------------------

โดยมีสื่อต่างชาติ และโซเชียลมีเดีย เป็นแนวรบหลักทางสื่อ 

ยิงแอดกันทั้งวัน รู้วิธีใช้ประโยชน์สูงสุดจากอัลกอริทึมของเฟซบุ๊ก ราวกับมีผู้ชี้แนะ

นักข่าวสื่อหลักไทยได้ไปทริปดูงาน ในยุโรปกับสหรัฐฯ แทบทุกปี ตามแผนงานของฝ่าย Press สถานทูต

ม็อบเด็กในฮ่องกงเมื่อ 5-6 ปีก่อน ที่ร้องเพลงชาติสหรัฐฯ ก็แนวเดียวกันนี้แหละ

อาหรับสปริงเมื่อ 10 กว่าปีก่อนก็เหมือนกัน 

---------------------------

จะเห็นว่าช่วงนี้ตัวแทนพรรคเดโมแครต และ think tank สายการเมืองอย่าง Council on Foreign Relations เดือดร้อนกับการเมืองไทยเป็นพิเศษ

แสดงว่าประเทศไทยแก้ไขสถานการณ์มาถูกทางแล้ว

พรรคได้คะแนนอันดับ 2 อันดับ 3 ตั้งรัฐบาล มีให้เห็นทั่วยุโรป

นี่คือเรื่องปกติในการเมืองโลก 

ช็อคมินต์ถือเป็นซอฟต์พาวเวอร์ครับ

พฤติกรรมนี้เรียกว่า ‘เผด็จการนอกสภาฯ’

พฤติกรรมนี้เรียกว่า ‘เผด็จการนอกสภาฯ’

‘ศปปส.' บุกร้องเรียนสำนักพุทธฯ เหตุ 'พระพยอม' เชียร์พิธาเกินงาม หวั่นเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม

(24 ก.ค. 66) กลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) นำโดย นายอานนท์ กลิ่นแก้ว และ นายนพดล พรหมภาสิต ประธานกลุ่มศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด bully ทางสังคมออนไลน์ หรือ ศชอ. พร้อมคณะ เดินทางมายังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อดำเนินการเรียกร้องให้ทางสำนักพุทธฯ ดำเนินการตามขั้นตอนกรณีพระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว พระนักเทศน์ชื่อดัง ภายหลังออกมาวิจารณ์การเมืองผ่านสื่อสังคมออนไลน์โดยมองว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ได้เป็นนายกฯ เพราะถูกสกัดกั้นและจะได้คะแนนสงสารเยอะมาก คราวหน้ายิ่งกว่าแลนด์สไลด์

นายนพดล พรหมภาสิต ประธาน ศชอ. ระบุว่า "การกระทำของพระพยอม เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม ด้วยพระพยอมเป็นพระนักเทศน์ชื่อดัง หรือพระเซเลป การแสดงความคิดเห็นของพระพยอม คงปฎิเสธไม่ได้ว่า ได้กระทบในวงกว้าง หากพระพยอมยังมีพฤติกรรมวิพากษ์วิจารณ์ หรือพูดเกี่ยวกับการเมืองต่อไปเรื่อย ๆ อาจจะทำให้สังคมเกิดความแตกแยก และทำให้พุทธบริษัท 4 ไม่ว่าจะเป็น อุบาสก อุบาสิกา หรือใครอีกหลายๆคนรู้สึกไม่สบายใจ ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า การแสดงความคิดเห็นทางด้านการเมือง จะแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง มีทั้งฝั่งที่เห็นด้วย และฝั่งที่ไม่เห็นด้วย

พฤติกรรมของพระพยอมที่เกิดขึ้น ทำให้ถูกมองว่าพระพุทธศาสนา กำลังจะถูกโยงเข้าไปในความขัดแย้งทางการเมือง จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่ง

พระพยอมควรระมัดระวังในการให้สัมภาษณ์ ไม่ต้องตอบทุกคำถามกับนักข่าวก็ได้ ควรสงบปากสงบคำ ถ้าคำถามนั้นทำให้เกิดเป็นประเด็นทางการเมืองที่นำไปสู่ความขัดแย้งของคนในสังคม"

‘ดร.หิมาลัย’ วอนหยุดด้อยค่า ส.ว. โหวตนายกฯ ชี้ เป็นการทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญอย่างถูกต้อง

ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีที่คนจำนวนมากออกมาระบุว่า สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ไม่ได้มาจากประชาชน ไม่ควรเกี่ยวข้องกับการโหวตนายกรัฐมนตรี ว่า การที่ สว.มีอำนาจในการพิจารณาบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นสิ่งที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ผ่านการเห็นชอบจากประชาชน จากการทำประชามติมากกว่า 15 ล้านเสียง 

นั่นเท่ากับว่าคนส่วนใหญ่ เห็นชอบที่จะให้ สว.มีสิทธิ์โหวตนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้น จึงอยากจะวอนพี่น้องประชาชน ที่ไม่พอใจคนที่ตนเองเชียร์อยู่ไม่ได้รับความเห็นชอบให้เป็นนายกรัฐมนตรี หยุดด้อยค่า หรือ ออกมาโจมตี สว.ที่ท่านทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และอำนาจที่ประชาชนให้มาก

ขณะเดียวกัน การจะอ้างคะแนนเสียง 14 ล้านเสียงที่ชนะการเลือกตั้ง แล้วระบุว่าตามระบอบประชาธิปไตยแล้ว จะต้องได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และได้เป็นรัฐบาลนั้น อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะระบอบประชาธิปไตยมีหลายรูปแบบ ยกตัวอย่าง การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ อเมริกา ระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ และฮิลลารี คลินตัน 

ในครั้งนั้น ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า ฮิลลารี คลินตัน ได้รับคะแนนเสียงมหาชน (Popular Vote) มากกว่า โดนัลด์ ทรัมป์ แต่กลับไม่ได้เป็นประธานาธิบดี เพราะทรัมป์ ได้รับคะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Vote) จำนวนมากว่านั่นเอง เพราะฉะนั้น ในระบบของสหรัฐอเมริกา แม้จะได้คะแนนเสียงจากมหาชน ก็ไม่ได้การันตีว่า คนๆนั้นจะได้เป็นประธานาธิบดีเสมอไป ในขณะที่ระบบเลือกตั้งประธานาธิบดีแบบฝรั่งเศสนั้น จะยึดเอาคะแนนเสียงจากประชาชนโดยตรง 

“ระบบการเลือกตั้งของทั้ง 2 ประเทศ ที่มักอ้างว่าเป็นประเทศผู้นำด้านระบอบประชาธิปไตยของโลก ยังมีความแตกต่างอย่างชัดเจน และไม่อาจตัดสินได้ว่าประเทศใดมีความเป็นประชาธิปไตยมากกว่ากัน เพราะถ้ายึดเอาคะแนนโหวตของประชาชนเป็นตัวตัดสิน นั่นเท่ากับว่า สหรัฐฯ เป็นเผด็จการ เพราะไม่ทำตามมติเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน แต่ฝรั่งเศส เป็นประชาธิปไตยเช่นนั้นหรือไม่”

ดร.หิมาลัย กล่าวย้ำว่า ประชาธิปไตยมีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับการออกแบบให้เข้ากับประเทศนั้น ๆ ประเทศไทยจะใกล้เคียงกับ อังกฤษ และเยอรมัน ที่เป็นระบบรัฐสภา พรรคที่ได้จำนวน ส.ส.มากสุด ยังไม่ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต้องไปรวมเสียงให้ได้จำนวนเสียงข้างมากในสภาให้ได้ก่อน และจะเห็นว่า นายกรัฐมนตรีของประเทศเหล่านี้ หลายครั้งไม่ได้มาจากพรรคที่ได้ป๊อปปูลาร์โหวต

สำหรับประเทศไทย ในรัฐธรรมนูญได้เพิ่มอำนาจ สว. ในการพิจารณาเห็นชอบผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นั่นเพราะเจตนารมณ์ต้องการให้คัดเลือกผู้ที่เหมาะสมที่สุดเพื่อมาเป็นผู้นำประเทศ

ส่วนกรณีที่ สว.ส่วนใหญ่ไม่เห็นชอบให้ ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี ในการโหวตเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ที่ผ่านมานั้น ดร.หิมาลัย ให้ความเห็นว่า สว.ส่วนใหญ่ ท่านมีความกังวล ในเรื่องที่พรรคก้าวไกล มีแนวคิดที่จะแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งเป็นกฎหมายปกป้องสถาบันกษัตริย์ เป็นกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ และเมื่อพิจารณาจากร่างข้อเสนอที่พรรคก้าวไกล เคยยื่นมานั้น หากพิจารณาให้ดี จะเห็นว่า ข้อแก้ไขที่ว่านั้น เท่ากับการยกเลิกก็ว่าได้ เพราะเสนอให้ลดโทษคนที่หมิ่นสถาบัน เหลือโทษเท่ากับหมิ่นประมาทคนทั่วไปเท่านั้น อีกทั้งยังให้องค์ประมุขแห่งรัฐลงมาร้องทุกข์กล่าวโทษเอง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม 

“เหตุผลหลักที่สว.ท่านไม่ยกมือให้คุณพิธา เพราะมีความกังวลเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 หากพรรคก้าวไกล จะยึดร่างเดิมที่เคยยื่นมาก่อนหน้านี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ก่อนหน้านี้มีการท้วงติง แต่ทางพรรคก็ยังยืนยันที่จะแก้ไขตามร่างดังกล่าว ซึ่งแนวคิดเช่นนี้ ทำให้ สว.ท่านกังวล และโหวตไม่เห็นชอบ เพราะอย่าลืมว่า สถาบันกษัตริย์นั้นอยู่คู่ประเทศไทยมาช้านานกว่า 700 ปี พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ หลายพระองค์ได้ออกรบ ใช้เลือดเนื้อและชีวิต ปกปักรักษาผืนแผ่นดินไทยมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ แต่มาถึงปัจจุบันกลับมีนักการเมืองบางกลุ่มด้อยค่าสถาบันฯ เช่นนี้แล้ว เชื่อว่า ทั้ง สว.และคนที่มีความจงรักภักดี คงจะไม่ยอมอย่างแน่นอน”

‘เสรีพิศุทธ์’ เตือน ‘ก้าวไกล’ อย่าก้าวก่าย ‘เพื่อไทย’ จัดตั้งรัฐบาล

(24 ก.ค. 66) พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวเตือน พรรคก้าวไกล และอีก 6 พรรคร่วมฯ ไม่ควรไปยุ่ง หลังมอบหมายให้ 'เพื่อไทย' หาคะแนนเสียงโหวตนายกฯ เหตุ ยังไม่ใช่การรวมเสียงเพื่อร่วมรัฐบาล ขออย่าหลงประเด็น ตอนนี้เป็นช่วงของการหาเสียงโหวตนายกฯ ให้สำเร็จเท่านั้น

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยืนยันสิ่งที่เคยเสนอให้ก้าวไกลเสียสละ หมายถึงให้ถอยไปอยู่ข้างๆ ไม่ใช่ให้ถอยไปเป็นฝ่ายค้าน ให้เสียสละให้เพื่อนขึ้นฝั่งให้ได้ก่อน ในเมื่อคุณไม่ช่วยเพื่อนแล้วจะเป็นตัวถ่วงเพื่อนทำไม ถอยเพื่อให้เพื่อไทยโหวตนายกฯ ให้สำเร็จก่อน จะไปยุ่งอะไรกับเขา เมื่อเรามอบให้เป็นสิทธิ์ในการบริหารของแต่ละพรรค ถ้าเขาจัดไม่ดีเขาก็ต้องรับผิดชอบเอง พรรคก้าวไกล ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับเขา ไปก้าวก่ายเขาทำไม ตอนคุณจัดไม่ได้ก็เพราะคุณไม่มีเพื่อนเอง สำหรับประชาชนถ้าคิดว่า พรรคเพื่อไทย ทำไม่ดี คราวหน้าก็ไม่ต้องเลือก ไม่ใช่ไม่ได้ไปก็ก่อม็อบ แบบนี้ทำเกินกว่าเหตุ

'ผู้ตรวจการแผ่นดิน' มีมติส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อชี้ขาด กรณี 'มติสภาห้ามชงชื่อซ้ำ' พร้อมขอให้ชะลอโหวตนายกฯ

(24 ก.ค. 66) ที่สำนักงาน​ผู้ตรวจการ​แผ่นดิน​ พ.ต.ท.กีรป กฤตธีรานนท์ เลขาธิการ​สำนักงาน​ผู้ตรวจการ​แผ่นดิน​ แถลงผลวินิจฉัยกรณีขอให้ยื่นคำร้องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญตีความกรณีรัฐสภาลงมติวินิจฉัยว่าการเสนอชื่อบุคคลให้รัฐสภาเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีถือเป็นญัตติ ซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 41 ว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 19 ก.ค.ในที่ประชุมรัฐสภาได้เสนอชื่อนายพิธา ลิ้ม​เจริญ​รัตน์​ หัวหน้า​พรรค​ก้าวไกล​ ให้ที่ประชุมพิจารณาเป็นครั้งที่ 2 แต่มีประเด็นโต้แย้งว่าการเสนอชื่อเป็นญัตติซ้ำเป็นข้อห้ามของข้อบังคับรัฐสภา กรณีที่ญัติใดที่ตกไปแล้วห้ามเสนอชื่ออีกในสมัยประชุมเดียวกัน

โดยสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนจากสมาชิกรัฐสภา และประชาชนจำนวน 17 คำร้อง ขอให้ผู้ตรวจการ​แผ่นดิน​เสนอคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ​ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 213 จากกรณีที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2566 ลงมติวินิจฉัยว่า การเสนอชื่อบุคคลให้รัฐสภาเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีถือเป็นญัตติ ซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 41 ซึ่งกำหนดว่าญัตติใดที่ตกไปแล้ว ห้ามนำญัตติซึ่งมีหลักการเช่นเดียวกันขึ้นเสนออีกในสมัยประชุมเดียวกัน เป็นการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องเรียน จึงขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญนั้น

ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ประชุมปรึกษาหารือและเห็นชอบร่วมกัน โดยพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนว่า เข้าองค์ประกอบ เงื่อนไข และหลักเกณฑ์ ในการเสนอคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2561 หรือไม่

โดยเห็นว่า รัฐสภาเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นหนึ่งในสามของอำนาจอธิปไตย รัฐสภาจึงถือเป็นหน่วยงานซึ่งใช้อำนาจรัฐ หากการกระทำของรัฐสภาละเมิดสิทธิเสรีภาพ ย่อมถูกตรวจสอบได้โดยศาลรัฐธรรมนูญและการกระทำของรัฐสภา ในการลงมติวินิจฉัยว่าการเสนอชื่อบุคคลให้รัฐสภาเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีถือเป็นญัตติ ซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 41 นั้น เป็นการนำข้อบังคับการประชุมไปทำให้กระบวนการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้กำหนดเรื่องการพิจารณาให้ความเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไว้เป็นการเฉพาะแล้วตาม มาตรา 159 ประกอบ มาตรา 272 การกระทำของรัฐสภาดังกล่าวจึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญการกระทำของรัฐสภาในการลงมติวินิจฉัยดังกล่าว เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้ร้องเรียนโดยตรง

โดยผู้ร้องเรียนเป็นสมาชิกรัฐสภาและประชาชนผู้ทรงสิทธิและเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ ตามหมวด 3 ว่าสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย หากการกระทำของรัฐสภาดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ การกระทำดังกล่าวย่อมเป็นอันใช้ไม่ได้ และมีผลเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องเรียน นอกจากนี้ ปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของการกระทำของรัฐสภาดังกล่าวยังคงมีอยู่และมิได้รับการวินิจฉัยให้เป็นที่ยุติย่อมส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องเรียนและประชาชนทั่วไป ซึ่งอยู่ภายใต้การใช้อำนาจของรัฐโดยรัฐสภา ผู้ร้องเรียนรวมถึงประชาชนทั่วไปจึงได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้

นอกจากนี้คำร้องเรียนส่วนหนึ่ง ได้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุติการเลือกนายกรัฐมนตรีไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีข้อวินิจฉัยในเรื่องนี้ออกมา ซึ่งเป็นคำขอเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดมาตรการหรือวิธีการใด ๆ เป็นการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัย ซึ่ง ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อป้องกันความเสียหายที่ยากแก่การเยียวยาในภายหลัง และเป็นคำขอที่อยู่ในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่จะเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาได้ จึงได้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้รัฐสภารอการดำเนินการเกี่ยวกับการเสนอชื่อบุคคลให้รัฐสภาเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญมีข้อวินิจฉัยในเรื่องนี้ออกมา ซึ่งก็เป็นดุลยพินิจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณาตามความเหมาะสมกับข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่อไป

ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาแล้วเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจจะขัดต่อกฎหมาย และอาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประเทศ และยากที่จะเยียวยาแก้ไข จึงเห็นด้วยกับคำร้องที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ​กำหนดการชะลอพิจารณานายกฯ ออกไปก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญ​จะมีคำวินิจฉัย อย่างไรก็ตามการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ​ นี้คาดว่าจะเป็นวันพรุ่งนี้ 25 ก.ค. หรือ 26 ก.ค.นี้

'พรรคเพื่อไทย' หารือ 'สมาคมพลังงานลม' ร่วมผลักดันนโยบายพลังงานสะอาด

(24 ก.ค. 66) พรรคเพื่อไทย นำโดย จุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ หัวหน้าคณะทำงานด้านนโยบายพลังงานและสิ่งแวดล้อม พรรคเพื่อไทย จักรพล ตั้งสุทธิธรรม อดีต สส.เชียงใหม่, กฤชนนท์ อัยยปัญญา, วิกรม เตชะธีราวัฒน์, รัฐพงศ์ ระหงษ์, สิริพัชรระ จึงธีรพานิช, พงศภัค นครศรี และศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ ให้การต้อนรับตัวแทนสมาคมพลังงานลม (ประเทศไทย) ประกอบด้วย อิศเรศร์ ภมรนิยม ประธานสมาคม, วรวิทย์ วิสูตรชัย กรรมการ, โทมัส ลีโอนาร์ด กรรมการ และคณะ ร่วมหารือผลักดันนโยบายพลังงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานทางเลือก เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม ที่มีแหล่งกำเนิดตามธรรมชาติ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และไม่มีวันหมดไป

ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน ได้มีการใช้ประโยชน์จากการใช้พลังงานลมเพื่อการผลิตพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น แต่ยังอยู่ในอัตราส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับในต่างประเทศ ดังนั้น หากประเทศไทยจะมีการผลักดันให้ใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้จัดทำเป็นนโยบายและเกิดขึ้นได้จริง รวมถึงพรรคเพื่อไทยก็เล็งเห็นประโยชน์ของการใช้พลังงานดังกล่าวเพื่อส่งเสริมสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนด้วยเช่นกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top