Wednesday, 26 June 2024
POLITICS

'ศิริโชค' แฉ!! จุดจบของนักการเมืองพุงหมา นักการเมืองขี้ฉ้อ ส่อติดคุก โกงกินจนพุงปลิ้น

นายศิริโชค โสภา อดีต ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

จุดจบนักการเมืองพุงหมา !!!

ฉากหน้าอ้างเป็นนักพัฒนา แต่เบื้องหลัง แตกเลือดโครงการต่างๆ จนพุงปลิ้น 
อีกไม่นานจะมีข่าวใหญ่ในแวดวงการเมืองไทย เมื่อ คณะกรรมการป.ป.ช. อยู่ในขั้นตอนการสอบสวน เพื่อแจ้งข้อกล่าวหากับนักการเมือง ประเภท ‘พูดแล้วฉ้อ’ ใน ข้อหา ‘กินหิน กินทราย กินถนน’

ทั้งนี้คณะกรรมการป.ป.ช. ได้ทำการเรียกผู้รับเหมารายใหญ่ ทั้ง 5 ราย (ที่ได้ทำการโอนเงิน ค่าคอมมิสชั่น (แตกเลือด) เข้าบัญชีธนาคารของผู้เชี่ยวชาญ ประจำตัว ส.ส. พุงหมา เข้ามาให้การแล้ว 

ซึ่งคณะกรรมการป.ป.ช. มีหลักฐาน เส้นทางการเงิน (การโอนเงินเข้าบัญชี หรือออกจากบัญชี) มีรายละเอียดการใช้โทรศัพท์มือถือ แต่ละวัน และเวลาในการโทรหาผู้รับเหมา เอกสารการแบ่งโควตา เงินเข้าพุงหมา จาก กรมทางหลวงชนบท โดยผู้รับเหมาบางรายโอนเงินหลายครั้ง เข้าบัญชี ผู้เชี่ยวชาญประจำตัว ส.ส. พุงหมา เป็นเงินหลายล้านบาท 

อย่ามาโยนความผิดว่าผมเป็นผู้ร้องนะครับ ผมแค่เห็นหลักฐาน และมีพยานมาบอกเล่า ก็เลยต้องมาฟ้องพี่น้องประชาชน เพื่อให้รู้ทันนักการเมืองพุงหมา 

‘ครูแก้ว’ กล่าวอำลาตำแหน่งรองประธานสภาฯ เผยยึดหลัก ‘ยุติธรรม-เป็นกลาง’ ทำหน้าที่เสมอมา

(23 ก.พ. 66) นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 30 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) กล่าวแสดงความรู้สึกในการปฏิบัติหน้าที่รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง เป็นครั้งสุดท้าย

นายศุภชัย กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงยิ่งที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง และขอบคุณเพื่อนสมาชิกที่ให้ความไว้วางใจเลือกให้ดำรงตำแหน่งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ประธานในที่ประชุมนั้น เจตนารมณ์ในการทำหน้าที่ของผมคือความยุติธรรมและเป็นกลาง ทั้งมุ่งหมายขับเคลื่อนงานด้านนิติบัญญัติ เพื่อให้การประชุมประสบความสำเร็จ เนื่องจากพวกเราทุกคนมีเวลาจำกัด จึงจำเป็นต้องการใช้โอกาสทุกเวลาทุกวินาที ให้เกิดคุณค่าต่อประชาชนให้มากที่สุด และเต็มความสามารถของพวกเรา ซึ่งเห็นว่าเพื่อนสมาชิกสามารถทำหน้าที่ได้เต็มกำลังความสามารถ และบรรลุเป้าหมายตามภารกิจของสภาผู้แทนราษฎร ในการแก้ไขปัญหาเยียวยาประชาชนได้เป็นอย่างดี

"การปฏิบัติหน้าที่ของผมที่ผ่านมา ในบางครั้งอาจเกิดข้อผิดพลาดหรือไม่ถูกใจสมาชิกบางท่าน กระผมต้องขออภัยในการทำหน้าที่ของผม และผมหวังว่าสมาชิกจะเข้าใจและให้อภัย และขอให้เรายังมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน เพราะเราทุกคนต่างทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด" นายศุภชัยกล่าว

‘อนุทิน’ เมิน ‘ชูวิทย์’ จ่อแฉพรรคร่วม เหน็บ!! คนชี้นิ้วใส่คนอื่น อีก 4 นิ้วหันเข้าตัว

‘อนุทิน’ เมิน ‘ชูวิทย์’ จ่อแฉพรรคร่วม เหน็บ คนชี้นิ้วใส่คนอื่น อีก 4 นิ้วหันเข้าตัว ย้ำ สัมพันธ์พรรคร่วมไร้ปัญหา ขอแค่หัวไม่ทะเลาะกันพอ

(23 ก.พ.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ยื่นหนังสือต่อนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อให้ตรวจสอบการทุจริตหลายโครงการของพรรคร่วมรัฐบาล รวมทั้งโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ของกระทรวงคมนาคม ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม และเลขาธิการพรรคภท.ว่า ไม่กังวล ที่นายชูวิทย์ออกมาแฉ นายศักดิ์สยามได้ชี้แจงไปแล้ว การจะกล่าวหาใครจะต้องมีหลักฐานให้ชัดเจน การคาดคะเนหรือวิเคราะห์ ไม่สามารถใช้ในกระบวนการยุติธรรมได้ ต้องมีหลักฐาน ถ้ามีหลักฐานก็ฟาดไม่เลี้ยง 

ผู้สื่อข่าวถามว่า การออกมาแฉในช่วงนี้ที่ใกล้เลือกตั้ง จะมีผลกระทบในการหาเสียงของพรรคหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่มี เชื่อว่าประชาชนรับทราบกันดี โดยเฉพาะช่วงใกล้เลือกตั้งตั้ง จะมีการสาดโคลนใส่กันได้ และที่ผ่านมาก็เกิดขึ้นตลอด เป็นปกติ แต่คนสาดต้องระมัดระวัง โดยจะพูดเป็นตัวย่อ หรือพูดอ้อมไปมา และเรื่องเหล่านี้หาสาระไม่ได้

‘โรม’ ยื่นหนังสือ แจ้ง ป.ป.ช. สอบ ‘ส.ว.อุปกิต’ ปมแสดงบัญชีทรัพย์สินเท็จ - ฝักใฝ่พรรคการเมือง

(23 ก.พ. 66) รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล ยื่นเอกสารหลักฐานต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้ตรวจสอบ อุปกิต ปาจรียางกูร ส.ว. ยื่นบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จหรือไม่ กรณีการขายอัลลัวร์รีสอร์ท สืบเนื่องจากการอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 และขอให้สอบพฤติการณ์ที่อาจฝ่าฝืนต่อมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมถึงตรวจสอบว่า อุปกิต ที่ดำรงตำแหน่ง ส.ว. อันเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ กระทำผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 มาตรา 28 (1) หรือไม่  

รังสิมันต์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลหลักฐาน พบว่าอุปกิตเป็นเจ้าของที่ดิน 1 งาน 47.7 ตารางวา  ซึ่งเป็นของบริษัท ยูไนเต็ด เพาเวอร์ออฟ เอเชีย จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2564 และยังพบว่า บริษัทยูไนเต็ดฯ ได้รับโอนโฉนดดังกล่าวมาจาก ภาวิณี พินัยนิติศาสตร์ ซึ่งต่อมาใช้เป็นที่ทำการของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โดยตามเอกสารหลักฐาน แสดงให้เห็นว่า ในขณะที่ก่อสร้างอาคารตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2564 โครงการก่อสร้างดังกล่าวเป็นของบริษัทยูไนเต็ดฯ และต่อมามีการโอนที่ดินดังกล่าวให้อุปกิต จากนั้นเมื่ออาคารสร้างเสร็จ ก็เป็นที่ตั้งของพรรครวมไทยสร้างชาติตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2565 ดังนั้น อุปกิตจึงมีพฤติการณ์ที่ควรสงสัยหรือไม่ว่า ได้รับรู้อย่างต่อเนื่องถึงการสร้างอาคารสำนักงานนั้น ว่าเป็นการสร้างเพื่อเตรียมให้เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของพรรคการเมือง เพราะจนถึงวันนี้ยังไม่พบเอกสารการเช่าอาคารดังกล่าว 

รวมถึงขอให้ ป.ป.ช. พิจารณาว่าอุปกิตดำรงตำแหน่งเป็น ส.ว. ซึ่งมีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่ต้องไม่ฝักใฝ่หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมืองใด ประกอบกับมีมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ที่ต้องไม่กระทำการใดให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง แต่อุปกิตกลับมีพฤติการณ์เป็นการจัดเตรียมให้ได้มาซึ่งที่ดินทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเพื่อเตรียมไว้ให้พรรคการเมืองใช้ประโยชน์โดยไม่มีเหตุอันชอบด้วยกฎหมาย กรณีนี้ย่อมเข้าข่ายการแสดงออกถึงความฝักใฝ่พรรคการเมืองซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่ไม่สอดคล้องกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ เป็นลักษณะต้องห้ามของคุณสมบัติสมาชิกวุฒิสภาในมาตรา 111 (7) อันเป็นการกระทำฝ่าฝืนมาตรา 113 หรือกระทำการอันต้องห้ามตามมาตรา 184 หรือ 185 ย่อมเป็นเหตุให้ความเป็น ส.ว. สิ้นสุดลง จึงเป็นเรื่องร้ายแรงที่แสดงให้เห็นว่ากระทบต่อมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

‘พิธา’ ยัน!! เคลียร์ใจ ‘ปิยบุตร’ ทำงานร่วมกันได้ ปัด!! กุเรื่องแกล้งเกาเหลา สร้างกระแสก่อนเลือกตั้ง

(23 ก.พ. 66) ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงสาเหตุการเกิดวิวาทะกับนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้าว่า สั้นๆ คือการถอยเพื่อที่จะก้าวกระโดด และมีเรื่องที่ไม่เข้าใจกัน แต่เมื่อได้ปรับความเข้าใจกันแล้วก็สามารถทำให้ทำงานร่วมกันต่อไปได้ มั่นใจว่าเวลาที่เหลือสามารถสู้ศึกการเลือกตั้งได้อย่างเต็มที่ และหวังว่าเราสามารถทำงานไปสู่เป้าหมายเดียวกันได้ แน่นอนว่าในเรื่องของการเมืองย่อมมีอะไรที่มองไม่ตรงกันบ้าง แต่ในที่สุดเราก็สามารถปรับความเข้าใจกันได้

เมื่อถามว่า ข้อความที่นายปิยบุตรโพสต์ถึงนายพิธา ค่อนข้างที่จะรุนแรง ได้มีการชี้แจงให้นายปิยบุตรฟังว่าอย่างไรบ้าง นายพิธา กล่าวว่า เป็นความเข้าใจผิด ที่เมื่อได้พูดคุยกันแล้วเขาก็เข้าใจ สิ่งที่ตนโพสต์นายปิยบุตรก็เข้าใจ ตอนนี้ได้ปรับความเข้าใจกันแล้ว ที่เหลือก็ไม่มีอะไรที่ค้างคาใจกัน และย้ำว่าสามารถที่จะทำงานต่อไปได้ ไม่มีปัญหาอะไร

เมื่อถามว่า เรื่องสำคัญเป็นเรื่องความคาดหวังของนายปิยบุตรที่อาจจะไม่สัมพันธ์กับสิ่งที่พรรค ก.ก. เป็นอยู่ตอนนี้ถ้าเทียบกับสมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่ นายพิธา กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของนายปิยบุตรอย่างเดียว เมื่อพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบไป คณะกรรมการบริหารพรรคก็ถูกตัดสิทธิ์ไป จึงทำให้ไม่สามารถทำในสิ่งที่อยากเน้นได้ และกฎหมายก็ห้ามไม่ให้มีการเข้ามาครอบงำพรรค ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นแม้จะไม่มีความเข้าใจกันบ้าง แต่เราก็ได้ปรับความเข้าใจกัน ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าจะมีผลกระทบกับสนามเลือกตั้ง นายพิธา กล่าวว่า เป็นการถอยที่ทำให้เราก้าวกระโดดต่อไป ทั้งทีมงานพรรคที่ได้เห็นตนและนายปิยบุตร ปรับความเข้าใจกันแล้ว ความฮึกเหิมเมื่อคืนนี้ (22 ก.พ.) ก็เทียบเท่ากับว่าสปิริตของพรรคอนาคตใหม่กลับคืนมา ฉะนั้น แม้อาจจะมีกรณีที่เหมือนจะมีการขัดขากันบ้าง แต่ยืนยันว่าเราไม่มีการขัดขากัน แต่เป็นการถอยหลังกันคนละก้าว และเวลาที่เหลืออยู่ตอนนี้ยันทันที่จะเรียกความเชื่อมั่นใจกลับคืนมา ขอบคุณทุกท่านที่เป็นตัวเชื่อมให้ความเป็นปึกแผ่นของพรรค ก.ก. กลับคืนมา และทำให้เราสองคนได้พูดคุยกัน ซึ่งตัวเชื่อมที่สำคัญคือประชาชน และสมาชิกพรรคที่บอกว่าไม่อยากเห็นความขัดแย้งนี้ ปรับความเข้าใจกันเถอะ มั่นใจว่าเขาก็คงบอกนายปิยบุตรเช่นกัน ฉะนั้น ต้องขอขอบคุณทุกคน

เมื่อถามย้ำว่า ในส่วนนี้จะเป็นพลังในการสู้ศึกเลือกตั้งได้อย่างไรบ้าง นายพิธา กล่าวเพียงสั้นๆว่า “จากสิ่งที่เกิดขึ้นยืนยันว่าตอนนี้สปิริตของพรรคอนาคตใหม่กลับคืนมาครับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่สะสมเมื่อปะทุออกมา และได้ทำความเข้าใจกัน ได้นึกถึงว่าเรามาเป็นนักการเมือง และตั้งพรรคขึ้นมาทำไม ก็ทำให้เรากลับมามีพลังมากขึ้น และเราจะใช้พลังนี้ไปจนถึงวันเลือกตั้งให้ได้”

เมื่อถามต่อว่า ท้อหรือไม่เพราะคนใกล้ชิดมองตัวนายพิธาในด้านลบ นายพิธา กล่าวว่า ไม่มีเหนื่อย ไม่มีท้อ เราตั้งใจที่จะไปสู่เป้าหมายเดียวกันให้ได้ และเราก็ลงพื้นที่อย่างหนัก รวมถึงได้การตอบรับจากการลงพื้นที่อย่างดี ซึ่งหากเราทำงานอย่างมีสมาธิที่สุด ในช่วงโค้งสุดท้าย ก็จะเป็นประโยชน์ที่สุดกับการทำงานพรรค ทั้งนี้ สิ่งที่แตกต่างไปจากอดีตคือการทำงานที่เข้มข้นขึ้น ก้าวไกลได้มากขึ้น มีสมาธิมากขึ้น แม้จะมีความคิดเห็นไม่ตรงกันอีกในอนาคต เราก็จะได้พูดคุยกันอย่างฉันท์มิตร โดยที่ไม่ต้องผ่านสื่อหรือโซเชียลมีเดีย และนายปิยบุตรไม่ได้มาครอบงำตน แต่เมื่อมีความไม่เข้าใจตรงกัน ก็จะพูดคุยกันในฐานะเพื่อนร่วมงานเก่า

เมื่อถามถึงประเด็นที่เข้าใจไม่ตรงกันคือประเด็นอะไร นายพิธา กล่าวว่า เป็นเรื่องของการทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ มารวมกัน เช่นการลงพื้นที่ต่าง ๆ ไม่ได้มีอะไรนอกเหนือไปจากนั้น

เมื่อถามว่า ความขัดแย้งครั้งนี้เป็นการเรียกเรตติ้งให้พรรคหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้หรอกครับ พรรคเรามีวุฒิภาวะพอ ในการที่จะหาเสียง ในการทำงาน บางครั้งเมื่อมีความไม่เข้าใจกัน และโอกาสในการที่จะปรับความเข้าใจกันน้อย มีการสื่อสารไปทางโซเชียล ตรงนี้ก็จะเป็นสิ่งที่ยืนยันกับพี่น้องประชาชน ว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก และคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็จะมีสมาธิในการทำงานการเมืองต่อไป ไม่มีปัญหาอะไร ”

เมื่อถามว่า หลังจากนี้จะได้เห็นนายปิยบุตรและนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ร่วมลงพื้นที่ด้วยหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า คงต้องดู เพราะตามกฎหมายสามารถเป็นผู้ช่วยหาเสียงได้ แต่ที่แน่ ๆ ทั้งสองพร้อมสนับสนุนพรรค ก.ก. ตามที่กฎหมายกำหนดได้ ถามต่อว่า หากเป็นเช่นนี้จะหลีกเลี่ยงข้อกล่าวหาว่าครอบงำพรรคได้อย่างไร นายพิธา กล่าวว่า เราสามารถแจ้งชื่อกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้เป็นผู้ช่วยหาเสียงได้ เหมือนตอนที่เลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ที่นายธนาธร ขึ้นเวทีปราศรัยให้นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.

เมื่อถามว่า บทบาทและอิทธิพลของแกนนำพรรคอนาคตใหม่และพรรคก.ก. มีมากแค่ไหน นายพิธา กล่าวว่า เป็นเรื่องของอุดมการณ์และแนวคิด ที่แบ่งปันกันมาตั้งแต่ร่วมตั้งอนาคตใหม่ แต่เรื่องของการบริหารและการคัดเลือกผู้สมัครส.ส. เป็นเรื่องของคณะกรรมการบริหารพรรค ทั้งนี้ เรื่องของการวิพากษ์วิจารณ์เป็นเรื่องปกติ ซึ่งเราเจอมาตลอด 3 ปี และการเป็นบุคคลสาธารณะคงจะหลีกเลี่ยงเรื่องแบบนี้ไม่ได้

ขณะเดียวกันที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ในกรณีเดียวกันว่า เกิดจากความไม่เข้าใจกัน และความเห็นที่แตกต่างกันในการทำงานหลายเรื่อง เพราะหลังจากที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบนายปิยบุตร ก็ไม่ได้เข้าไปร่วมขับเคลื่อนพรรคก้าวไกล ไม่ได้ทำงานในสภา เกิดระยะห่าง ทำให้ความเห็นไม่ตรงกัน จึงเป็นธรรมดาที่จะเกิดความไม่เข้าใจกัน และความขัดแย้งตามมา แต่มองว่าเป็นเรื่องดี เพราะทั้งคู่ก็จะได้เรียนรู้และเติบโตกับสถานการณ์ ซึ่งทั้งคู่ก็มีวุฒิภาวะเพียงพอ ที่จะปรับความเข้าใจกันและถอยกันคนละก้าว และการได้มานั่งคุยกัน และเห็นผลประโยชน์ของพรรคมากกว่าอัตรา ก็จะทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจ ทำให้ผู้สนับสนุน คนที่เชียร์พรรค ซึ่งเราก็ดีใจที่ทั้ง 2 ท่านซึ่งเป็นบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ มีความสำคัญต่อการผลักดันประชาธิปไตยในประเทศนี้ กลับมาจากมือทำงานร่วมกันเดินหน้าก้าวไปอย่างมีพลัง อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ นายปิยบุตร จะเดินทางไปพบภรรยาที่ต่างประเทศ ถึงไม่แน่ใจว่าจะกลับมาเป็นผู้ช่วยหาเสียงให้กับพรรคก้าวไกลทันหรือไม่

เมื่อถามถึงความไม่เข้าใจกันระหว่างทั้ง 2 คนเป็นเรื่องอะไร นายธนาธร กล่าวว่า ขอให้ไปสอบถามนายปิยบุตรและนายพิธาเอง ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของมิติการทำงาน ความคิดความอ่านของสถานการณ์​บ้านเมืองที่ไม่เข้าใจกัน

เมื่อถามว่าที่ทั้ง 2 คนดีกันได้เพราะ นายธนาธร เข้าไปเคลียร์ใจ นายธนาธรยิ้มและยักคิ้ว พร้อมกล่าวว่า ไม่ใช่ ตนไปร้องเพลง

‘รสนา‘ ยัน ข้อเสนอลดราคาน้ำมันของ ‘มิ่งขวัญ‘ ทำได้จริง เห็นด้วย ปรับโครงสร้างน้ำมันให้เหลือแค่ เบนซิน-ดีเซล

(23 ก.พ. 66) น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กรุงเทพมหานคร และอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้านพลังงาน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่อ ‘รสนา โตสิตระกูล‘ หัวข้อ ‘ข้อเสนอลดราคาน้ำมันเบนซินลง 18 บาท และลดดีเซลลง 6 บาทของมิ่งขวัญ เป็นไปได้หรือไม่ หรือแค่หาเสียง ?!?‘ โดยเนื้อหาระบุว่า...

ข้อเสนอการปรับราคาน้ำมันของ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ สร้างความแตกตื่นให้กับวงการพลังงาน ทั้งกลุ่มทุนพลังงาน และนักการเมืองฟากฝั่งรัฐบาล ที่ได้รับการอุ้มชูโดยกลุ่มทุนพลังงาน ต้องคัดค้านกันอย่างแข็งขันเป็นแน่

ต้องถือว่า คุณมิ่งขวัญ กล้าเสนอและถ้าจะทำให้ได้จริง ต้องมีการปรับนโยบายแบบ 360 องศากันเลย อยู่ที่ลุงป้อมผู้นำพรรค พปชร. จะกล้าออกมาประกาศเป็นเจตจำนงทางการเมืองอย่างจริงจังหรือไม่ หรือเป็นแค่นโยบายหาเสียงแบบตีหัวเข้าบ้านเหมือนพรรคอื่นในอดีตที่เคยประกาศจะยกเลิกกองทุนน้ำมัน แต่พอได้รับเลือกตั้ง ก็ยอมลดราคาเป็นโปรโมชันให้ 3-4 เดือน แล้วก็กลับมาใช้บริการกองทุนน้ำมันเหมือนเดิม

ดิฉันลองดูราคาที่คุณมิ่งขวัญเสนอ ถ้าจะทำจริง ดิฉันว่าสามารถทำได้ แต่ต้องจัดการหลายอย่าง เช่น หนี้สินในกองทุนน้ำมัน และการแก้ปัญหาเกษตรกรเรื่องน้ำมันชีวภาพ รวมทั้งภาษีน้ำมันที่รัฐบาลเสพติดเพราะได้มาง่าย ๆ เหมือนเปิดก๊อกน้ำ ที่สำคัญจะกล้าดึงอ้อยจากปากช้างกลุ่มผูกขาดพลังงานที่เป็นรัฐซ้อนรัฐตัวจริง ได้หรือไม่

ดิฉันขอคิดตามข้อเสนอคุณมิ่งขวัญโดยละปัญหาต่าง ๆ ไว้ให้พรรคที่ประกาศนโยบายนี้ ถ้าได้เป็นรัฐบาลต้องไปจัดการแก้ไขเพื่อขจัดอุปสรรคต่อนโยบายปรับโครงสร้างพลังงานเอาเอง

ที่ประกาศลดราคาเบนซิน 95 ลง 18.07 บาท/ลิตร จากราคา 44.06 บาท/ลิตร (ข้อมูลราคาวันที่ 17 ก.พ. 2566) เหลือราคาขายปลีกที่ 25.99 บาท/ลิตร และลดราคาดีเซลที่ราคา 34.44 บาท/ลิตรลง 6.37 บาท/ลิตร เหลือราคาหน้าปั๊มที่ 28.07 บาท/ลิตรนั้น

โครงสร้างราคาน้ำมันที่เป็นธรรม (ใช้ราคา 17/2/66) ส่วนที่จะปรับลดลง สามารถทำได้ดังนี้

1.) เนื้อน้ำมันเบนซิน 95 ราคาหน้าโรงกลั่น 22.28 บาท/ลิตร (ซึ่งเป็นราคาสมมติว่านำเข้าจากสิงคโปร์ซึ่งมีต้นทุนที่ไม่ได้จ่ายจริงคือค่าขนส่ง ค่าประกันภัย ค่าสูญเสียระหว่างทาง) ถ้าเปลี่ยนมาใช้ราคาหน้าโรงกลั่นเป็นราคาเดียวกับที่เอกชน 'ส่งออก' จะลดราคาลงได้ประมาณ 2 บาท/ลิตร

2.) ค่าการตลาดที่เหมาะสมสำหรับเบนซินลิตรละ 2 บาท (วันที่ 17/2/66 ค่าการตลาด 3.11 บาท/ลิตร) จะลดลงได้ 1.11 บาท/ลิตร

3.) ยกเลิก 2 กองทุน คือ กองทุนน้ำมันและกองทุนอนุรักษ์พลังงาน ลดได้ 6.55 บาท/ลิตร (กล่าวสำหรับกองทุนน้ำมันเป็นกองทุนที่มีไว้เพื่อใช้หนี้เอกชนซึ่งส่วนใหญ่ใช้จ่ายหนี้ให้กับเอทานอลที่ผสมในเบนซินและไบโอดีเซลที่ผสมในดีเซล และเอากองทุนไปชดเชยน้ำมันผสมให้หลอกตาว่าถูกลง แต่เป็นการล้วงเงินผู้ใช้น้ำมันไปชดเชย ทำให้เป็นหนี้กองทุนน้ำมันไม่สิ้นสุด โดยราคาเอทานอล 29.16 บาท/ลิตร น้ำมันเบนซิน 95 ราคา 22.28 บาท/ลิตร ไบโอดีเซลราคา 32.06 บาท/ลิตร ดีเซลธรรมดาราคา 21.99 บาท/ลิตร ดังนั้นยิ่งผสมมากยิ่งแพง ยิ่งต้องการเงินมาชดเชยมาก)

4.) ลดภาษีสรรพสามิต, ภาษีเทศบาล, ภาษีแวต จาก 10.02 บาท/ลิตร เหลือ 1.61 บาท/ลิตร จะลดราคาลงได้ 8.41 บาท/ลิตร

ดังนั้น ถ้าปรับลดราคาตามนี้จะลดราคาเบนซินลงได้ 2+1.11+6.55+8.41 = 18.07 บาท/ลิตร ส่วนดีเซล ราคาปลีกอยู่ที่ 34.44 บาท/ลิตร จะลดราคาลง 6.37 บาท/ลิตร เหลือราคาปลีกที่ 28.07 บาท/ลิตร สามารถปรับลด ดังนี้

1.) ราคาเนื้อน้ำมันดีเซล 24.23 บาท/ลิตร มีส่วนผสมไบโอดีเซล 7% อยู่ 2.24 บาท/ลิตร ถ้าตัดไบโอดีเซลลดได้ 2.24 บาท/ลิตร และถ้าใช้หน้าโรงกลั่นเป็นราคาเดียวกับ “ส่งออก” ลดได้อีกประมาณ 2 บาท/ลิตร

2.) ลดค่าการตลาดลงจาก 1.90 บาท/ลิตร เหลือ 1.50 บาท/ลิตร ลดได้ 50 สต./ลิตร

3.) ยกเลิก2กองทุนลดได้ 4.57 บาท/ลิตร

4.) ภาษีที่รัฐบาลเก็บ 3.71 บาท/ลิตร ไม่ต้องลดเลย

ถ้าปรับลดราคาดีเซลลงตามตัวเลขข้างต้น จะสามารถลดราคาได้ 2.24+2+.40+4.57 = 9.21 บาท/ลิตร ซึ่งมากกว่าตัวเลขคุณมิ่งขวัญ ที่ต้องการลด 6.37 บาท/ลิตร โดยไม่ต้องปรับลดภาษีของรัฐบาลด้วย

ถ้าต้องการปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้เป็นธรรมจริง ๆ ต้องยกเลิกกองทุนน้ำมัน ซึ่งหนี้ทั้งหมดมาจากการนำน้ำมันชีวภาพทั้งเอทานอล และไบโอดีเซลมาเติมในเบนซินและดีเซลโดยการอ้างเหตุผลลวงเรื่องช่วยเกษตรกร ซึ่งผู้ได้ประโยชน์ส่วนใหญ่คือกลุ่มทุนพลังงาน

กรณีช่วยเกษตรกรไม่มีหลักฐานว่าเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจริง แต่คนใช้น้ำมันต้องแบกรับน้ำมันผสมราคาแพงเกินจริงโดยไม่มีทางเลือก กองทุนน้ำมันทำให้โครงสร้างราคาบิดเบือน ทำให้ผู้ค้าน้ำมันสามารถถ่างราคาน้ำมันผสมได้ตามใจชอบ ราคาน้ำมันจึงไม่ได้เป็นไปตามกลไกตลาดเสรี ตามที่รัฐบาลและผู้ค้าน้ำมันมักยกเมฆกล่าวอ้างให้ประชาชนและสื่อมวลชนหลงเชื่อ ในขณะที่ผู้ใช้น้ำมันทั้งประเทศเขารับภาระราคาพลังงานขนาดนี้ไม่ไหวกันแล้ว เพราะกระทบค่าครองชีพ ราคาสินค้าและค่าบริการต่าง ๆ

ดิฉันเห็นด้วยกับการปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน ให้ราคาน้ำมันเหลือเพียง 2 ชนิด คือ เบนซิน และดีเซลเท่านั้น โดยตัดน้ำมันชีวภาพออกไป ตราบเท่าที่ราคาน้ำมันชีวภาพยังมีราคาแพงกว่าน้ำมันพื้นฐาน และรัฐบาลควรใช้ความสามารถในการขยายตลาดการเกษตร ในการช่วยเหลือเกษตรกร ไม่ใช่บีบให้คนต้องใช้น้ำมันผสมที่มีราคาถูกแบบเทียม ๆ เพื่ออุ้มกลุ่มทุนมากกว่าเกษตรกร เพราะดึงเงินจากกองทุนน้ำมันซึ่งมาจากกระเป๋าประชาชนมาชดเชยไม่รู้จบ

ข้อเสนอของคุณมิ่งขวัญสามารถทำได้ แม้มีเรื่องต้องจัดการอยู่มากตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ขึ้นอยู่กับหัวหน้าพรรค คือ พล.อ ประวิตร วงษ์สุวรรณกล้าเปลี่ยนแปลงจริงหรือไม่

‘ก่อแก้ว’ ฉะ 'วิทยา' เทเพื่อไทย หนุน 'บิ๊กตู่' เย้ย 'รทสช.' ไม่มีทางได้ ส.ส.อีสานสักคนเดียว

(23 ก.พ. 66) นายก่อแก้ว พิกุลทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และอดีตแกนนำ นปช. กล่าวถึงกรณีนายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครส.ส.ภาคอีสานและมีแกนนำเสื้อแดงมาเปิดตัวด้วย ว่า ตนเชื่อว่าพี่น้องคนอีสานเป็นคนที่รักประชาธิปไตยและรังเกียจเผด็จการ คนอีสานรักความเป็นธรรม จริงจัง จริงใจ และรู้ทันว่าใครเป็นอย่างไร

“ส่วนการที่มีแกนนำเสื้อแดงไปเปิดตัวเป็นผู้สมัคร ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคนเหล่านั้น ล้วนผิดหวังจากพรรคเพื่อไทยที่ไม่ส่งลงสมัคร หาที่ลงไม่ได้จึงหาที่ลง แต่เมื่อตัดสินใจแล้ว ขออย่ามาอ้างว่าเป็นคนเสื้อแดง เพราะว่าคนเสื้อแดง เป็นสัญลักษณ์ของผู้รักประชาธิปไตย และมีอุดมการณ์ในการต่อสู้ หากใครย้ายไปเป็นนั่งร้านให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อสืบทอดอำนาจเผด็จการ ก็ไม่ควรอ้างตัวเองว่า เป็นคนเสื้อแดง” นายก่อแก้ว กล่าว

นายก่อแก้ว กล่าวว่า ตนเชื่อว่าพี่น้องคนอีสานยังเชื่อมั่นในนโยบายของพรรคเพื่อไทย และยังรักนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งที่ผ่านตั้งแต่พรรคไทยรักไทย จนมาถึงเพื่อไทย ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องคนอีสานมาโดยตลอด เพราะพรรคเพื่อไทยได้ช่วยดูแลพ่อแม่พี่น้อง ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในทุก ๆ ด้าน

ศึกนี้มีที่มา!! หลัง 2 ตัวตึงก้าวไกลใส่กันยับ จนเจ้าของวิกต้องสั่งระงับ 'ห้ามปูด-ห้ามกัด'

ตลอด 2 วันมานี้ กรณีพิพาทระหว่าง 'พิธา-ปิยบุตร' ดุเดือดยิ่งกว่ามวยศึกวันทรงชัย ซัดดุเด็ดเผ็ดพริกยกสวน เมื่อตัวตึงใต้รั้วก้าวไกลอย่างพิธากับปิยบุตรกร้าวใส่กันอย่างหนัก แม้สุดท้ายวันนี้จะจูบปากกันเป็นที่เรียบร้อย

เรื่องนี้อยากขยาย...

บรรดาคนรักพรรคก้าวไกลตาปริบๆ เมื่อท่านหัวหน้าพรรค พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กร้าวใส่ท่าน ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล เต็มคาราเบล ว่าให้เลิกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำได้แล้ว ส่วนปิยบุตรก็ฟาดกลับด้วยความแรงพอกันว่า พิธานั้นเอาดีใส่ตัว แต่เอาชั่วใส่ปิยบุตร แถมพูดขาวดำเป็นดำ พูดดำเป็นขาว

ก่อนหน้านี้ไม่นาน ปิยบุตรเปิดเกมว่า กระแสพรรคก้าวไกลไม่ไกลไปกว่านี้ มีแต่จะเกาะเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เพราะยุทธศาสตร์การนำพรรคในปัจจุบัน คิดว่าเรื่องนี้น่าจะทำให้พิธาคันคะเยอจนฟาดใส่ไม่ยั้ง

แต่พิธาก็สมฐานะนายโรงลิเก ที่ก่อนจะด่าต้องโหมโรงด้วยคำหวานโอ้โลม ท้าวความหลังครั้งหวานชื่นเราสามคนที่มี ธนาธร, ปิยบุตร และ พิธา เป็นแกนนำพรรคอนาคตใหม่ พอพูดหวานจบ ก็ตบปากใครบางคนทันทีว่า ในฐานะผู้นำพรรคย่อมรับการวิพากษ์วิจารณ์ได้ ตัวเองโดนมาตลอดสามปีที่เป็นหัวหน้าพรรค เข้าใจว่านี่เป็นอิสรภาพในการแสดงออก แล้วลำเลิกว่า ตนมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคในวันที่พรรคไม่มีใคร

จากนั้นร่ายยาวว่าปิยบุตรต้องเลิกทำตัวมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ และต้องทำตัวเป็นมืออาชีพ 

ตรงนี้ป้าบเข้าให้!! เหมือนกระทืบกลางใจท่าน ดร. เพราะการถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นมืออาชีพ คือสิ่งที่ ปิยบุตรทนไม่ได้ มันเป็นการกระแทกจุดอ่อนแบบเต็มทีน ซ้ำพิธา ก็ยังย้ำอีกว่า ปิยบุตรควรทำตามที่ธนาธรเคยขอไว้ ฮั่นแน่...มีกั๊ก มีความลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน เพราะประโยคนี้แปลได้ว่า มีเรื่องลับอันเป็นพันธะสัญญาของธนาธร ปิยบุตร และพิธา ที่คนนอกไม่รู้นั่นเอง

พิธาปิดท้ายฝากถึงปิยบุตรว่า ขอให้ตนเองมีสมาธิในการทำงานให้พรรค แปลไทยเป็นไทยคือ ไม่เผือกนะครับ ขอให้พอได้แล้ว ชะเอิงเอิงเอย บัดนั้น เชิด!!

คาดว่าปิยบุตรอ่านเจอก็หัวร้อน เพราะพิธาแท็กไปหา เลยตะบึงแล่นเข้ามาตอบในเพจพิธาแบบจัดเต็ม 

แน่นอนว่าปิยบุตรเมนต์ยาวเหยียดตามสไตล์ โดยมีใจความเด็ดกล่าวหาพิธาปังๆ ว่า กำลังเอาดีเข้าตัว แต่เอาชั่วเข้าปิยบุตร แล้วร่ายยาวด่ากระทบจิกกัดตามธรรมชาตินิสัยของปิยบุตรเหมือนผ่านมา ชื่อหลวงประดิษฐ์วาทกรรมไม่ได้มาเพราะโชคช่วยนะจ๊ะ     

แต่สำนวนโวหารคุณหลวงประดิษฐ์วาทกรรมไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว ไม่เชื่อดูที่ปิยบุตรฟาดพิธากลับสิว่า ใครกันแน่ที่จับเสือมือเปล่า ใครกันแน่ที่มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ นั่นไง...มาแล้วตั้งสองสำนวน นี่ขนาดยังไม่เขียนชี้แจงนะ

ยี่ห้อปิยบุตรย่อมสุดฝีทีนเสมอ จิกกัดแซะทุกประโยค เช่น จิกพิธาว่าใจเสาะ พิธาน่ารังเกียจที่เขียนดำเป็นขาวขาวเป็นดำ กล่าวหาปิยบุตรว่าเป็นคนทำลายพรรค  แต่ตัวเองเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมากอบกู้พรรค อะไรประมาณนั้น
 
เรื่องนี้ร้อนถึงทนายหน้าหออย่างโรม อุตส่าห์ลงจากเหล่าเต๊งมาปกป้องลูกพี่ปิยบุตร ด้วยการพูดหล่อออกสื่อ แก้ตัวแทนว่า พรรคเราไม่มีความขัดแย้งกัน ไปตัดแว่นใหม่เถอะ โรม ไปห้างแว่นท็อป (บู้ต) เจริญก็ได้ มองลงมาจากดาวอังคารยังเห็นรอยร้าวในพรรคเลย 

นี่ยังไม่นับบรรดาคนเทพรรคก้าวไกลที่ออกมาแฉรัว ๆ ก่อนหน้านี้อีกเพียบ เพราะวันนี้ระดับตัวตึงพรรคชี้หน้าด่ากันแบบไม่เผาผี ยังกล้าพูดอีกเหรอว่าไม่มีความขัดแย้ง ว่าง ๆ โทรหาคริส ตัวท็อปอีกรายที่เพิ่งเทก้าวไกลบ้างเถอะ จะได้เลิกเพ้อเจ้อ เพราะพอเกิดปมขัดแย้ง คริส ยังออกมาแฉต่อเลยว่าวัฒนธรรมการซุกปัญหาใต้พรม ไม่ใช่ส่วนผสมของประชาธิปไตย วะว้าว...เท่านี้ก็เปิดไพ่ชัดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในพรรค

จริงๆ ปมขัดแย้งคุกรุ่นมาตั้งแต่ปีกลาย ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่ฝีเพิ่งมาแตกเอาตอนนี้เอง...อย่างเมื่อกลางปี 2022 ปิยบุตร ประกาศปังดังลั่นว่า จะเขียนบทความยาวเป็นซีรีส์ที่เป็นข้อเสนอแนะไปถึงพรรคก้าวไกล...พอปลายปีก็เขียนตำหนิพรรคก้าวไกลว่า ไม่จริงใจในการแก้มาตรา 112 ตกลงว่าพรรคอยากแก้ ม.112 อย่างแท้จริงหรือว่าแค่ยกประเด็นมาเพื่อหาเสียงเท่านั้น...ตอนสิ้นปี ปิยบุตรเขียนบอกโลกว่า จากนี้ไปจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับพรรคก้าวไกลแล้ว เพราะอึดอัด พรรคนี้ไม่เปิดพื้นที่ให้ตัวเองได้ใช้สมอง แล้วย้ำว่าระวังคนจะเทคะแนนให้พรรคเพื่อไทย 

ปชป.เปิดแนวรุกภาคตะวันตก ! 'เฉลิมชัย-อลงกรณ์' นำทัพประชาธิปัตย์เปิดตัวผู้สมัครส.ส. เพชรบุรี 24 ก.พ. นี้เป็น จว.แรก มั่นใจปักธงสีฟ้าแม่พระธรณีทั้ง3เขต

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยวันนี้(23 ก.พ.)ว่า พรรคประชาธิปัตย์พร้อมเข้าสู่สนามเลือกตั้งครั้งหน้าโดยจะส่งผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกเขตทุกจังหวัดซึ่งได้ทะยอยเปิดตัว ผู้สมัครส.ส. เป็นระยะ ๆ พร้อมกับประกาศนโยบายฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากชุดแรกไปแล้ว

สำหรับภาคกลางตะวันตกจะมีการเปิดเวทีปราศรัยเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.ของจังหวัดเพชรบุรีเป็นจังหวัดแรกในวันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ เวลา 16.00-18.00 น. ที่สนามหน้าโรงเรียนเบญจมเทพอุทิศโดยดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคและตนจะเปิดแนวทางการทำงานการเมืองและการพัฒนามิติใหม่ภายใต้ยุทธศาสตร์ "ก้าวใหม่เพชรบุรี ก้าวใหม่ประชาธิปัตย์" พร้อมด้วยคำประกาศเจตนารมณ์ของ 4 หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้แก่นายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคคนปัจจุบันเพื่อแสดงความมุ่งมั่นในการทำงานเพื่อจังหวัดเพชรบุรี และขอโอกาสให้อดีต ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์คือนายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ อดีต ส.ส.เพชรบุรี และส.ส. บัญชีรายชื่อ 6 สมัย  ดร.กัมพล สุภาแพ่ง อดีต ส.ส.เขต 2 เพชรบุรี 3 สมัย และนายอภิชาติ สุภาแพ่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยพาณิชย์และอดีต ส.ส.เขต 3 เพชรบุรี 4 สมัยลงสมัคร ส.ส.เขต1-2-3และ นายอรรถพร พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยสาธารณสุขอดีต ส.ส.เขต 1 และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 2สมัยลงสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อได้กลับมาเป็นปากเสียงและตัวแทนของคนเมืองเพชรฯ.อีกครั้งหนึ่งดังเช่นที่ผ่านมา

'ไทย-มาเลย์' หารือ 'แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติสุขฯ' หวังลดความขัดแย้ง-เพิ่มความสงบสุข ในพื้นที่ชายแดนใต้

(22 ก.พ. 66) คณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ นำโดย พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ กับคณะผู้แทน BRN นำโดย อุซตาส อานัส อับดุลเราะห์มาน ได้พบหารือและพูดคุยแบบเต็มคณะ ครั้งที่ 6 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย โดยมี พล.อ.ตันศรี ดาโตะซรี ซุลกีฟลี ไซนัล อะบิดิน เป็นผู้อำนวยความสะดวก และมีผู้เชี่ยวชาญร่วมสังเกตการณ์ด้วย

ซึ่งผลการพูดคุยฯ มีความคืบหน้าที่สำคัญในการกำหนดแนวทางการปฏิบัติร่วมกัน และกรอบเวลาที่ชัดเจนในการแก้ไข ความขัดแย้งและนำสันติสุขสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย

1.) คณะพูดคุยเพื่อสันติสุขฯ และคณะผู้แทน BRN เห็นพ้องที่จะร่วมกันจัดทำ 'แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติสุขแบบองค์รวม' หรือ Joint Comprehensive Plan towards Peace (JCPP) เพื่อเป็นแนวทางขับเคลื่อนการพูดคุย ให้คืบหน้าในรูปแบบที่ครอบคลุมและเป็นองค์รวม อีกทั้ง มีกรอบเวลาที่ชัดเจน ในการปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของหลักการทั่วไป ของกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (General Principles of the Peace Dialogue Process) โดย JCPP จะมีเนื้อหาสำคัญ 2 ส่วน คือ การลดความรุนแรงในพื้นที่ และการจัดการปรึกษาหารือกับประชาชน เพื่อนำไปสู่การแสวงหาทางออกทางการเมือง

‘ครูแก้ว’ จวก ‘ส.ส.เพื่อไทย’ พูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่น ฉะ!! ไม่แสดงตนก็นั่งเฉยๆ - ไม่ควรใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น

(22 ก.พ. 66) ที่ประชุมสภาฯ เข้าสู่วาระพิจารณาร่างพ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ. ... วาระสอง ซึ่งคณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว โดยทันทีที่เข้าสู่วาระได้ลงมติมาตรา 15 กระทั่งเวลา 14.00 น. ช่วงเสียบบัตรแสดงตนเป็นองค์ประชุมก่อนลงมติในมาตรา 15/3 เกิดปัญหาเดิมๆ ขึ้นต้องรอถึงครึ่งชั่วโมงจึงมีสมาชิกแสดงตนครบเป็นองค์ประชุม โดยมีทั้งสิ้น 211 คน จากสมาชิกทั้งหมดที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ 416 คน

อย่างไรก็ตาม ระหว่างรอสมาชิกแสดงตน นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ฝ่ายรัฐบาลรู้สึกจะบางตามาก จึงอยากให้ประธานสั่งการพรรคของท่านให้มาประชุมด่วน ทำให้นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯ คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานการประชุมขณะนั้น กล่าวตอบว่า พรรคของตนประชุมเต็มอยู่แล้ว แต่นี่ทุกฝ่ายบางตา ขอให้นายอุบลศักดิ์เลิกเสียที พูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่น

จากนั้นนายอุบลศักดิ์ โต้ว่า นายศุภชัยไม่ควรจะทำหน้าที่ประธาน เพราะประธานต้องพูดด้วยเหตุด้วยผล ซึ่งนายศุภชัย ตอบกลับว่า ทุกฝ่ายมีสภาพบางตาหมด จะให้ไล่เรียงรายชื่อพรรคหรือไม่ นายอุบลศักดิ์พูดหลายครั้งจึงต้องเตือน ไม่ควรใส่ร้ายป้ายสีใคร นับจากนี้ส.ส.มีเวลาวันครึ่ง ถึงอย่างไรร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่จบอยู่ดี แต่ส.ส.ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด จนถึงวาระสุดท้ายของสภาชุดนี้

นายอุบลศักดิ์ ประท้วงว่า ประธานต้องควบคุมการประชุม ไม่เสียดสีใส่ร้ายคนอื่น ความจริงตนไม่ได้ใส่ร้ายใครเลย เพียงเรียกร้องให้นายศุภชัยช่วยตามเพื่อนในพรรคของท่านมาเท่านั้น

‘ภูมิใจไทย’ ลั่น!! ไม่ถอย ‘ร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ’ พร้อมเสนอใหม่ รบ.หน้า ฝาก ปชช. ร่วมหนุนต่อ

'ภูมิใจไทย' รับ 'ร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ' ถกไม่ทันสมัยประชุมนี้ ฝาก ปชช. กาภูมิใจไทย ช่วยกันป้องไม่ให้กลับเป็นยาเสพติด ลั่น! สู้ต่อ นำกลับมาเสนอใหม่รัฐบาลหน้า

(22 ก.พ. 66) ที่รัฐสภา นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจาณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กัญชง กัญชา พ.ศ. .... แถลงถึงการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ ในสภาฯ ว่า พรรคภูมิใจไทยยังยืนยันว่า ถึงแม้ว่าจะมีการปลดล็อคกัญชาออกจากยาเสพติดมาตั้งแต่ปี 2565 เราเห็นว่ามีความจำเป็นที่ต้องมีร่างกฎหมายกัญชาเป็นการเฉพาะ เพื่อมาจำกัดการใช้กัญชาให้เกิดประโยชน์สูงสุด และให้สังคมมีความปลอดภัย รวมทั้งมีการสนับสนุนเรื่องการปลูก การนำเข้า ส่งออก การจำหน่ายต่าง ๆ รวมถึงการใช้ ซึ่งต้องควบคุมสังคมให้ดี

‘เพื่อไทย’ จี้ รบ. นำ พ.ร.บ.เช็ค ขึ้นพิจารณา ลั่น!! พร้อมร่วมประชุมถก กม. ที่ค้างหลายฉบับ

(22 ก.พ. 66) ที่รัฐสภา พรรคเพื่อไทย นำโดย น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. และโฆษกพรรค นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ และรองหัวหน้าพรรค น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ ส.ส.เลย และนายกฤษดา ตันเทอดทิตย์ ส.ส.หนองคาย รับหนังสือจาก น.ส.สมหญิง รัตนุ่มน้อย เรื่องขอให้สภาผู้แทนราษฎร เร่งรัดพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยกเลิกพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 เพื่อให้มูลความผิดของผู้ที่ไม่มีเจตนาทุจริตในการสั่งจ่ายเช็ค มีโทษเพียงทางแพ่ง แต่ไม่มีโทษอาญาที่ต้องถูกปรับ และจำคุกอีกต่อไป

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนได้ประสานงานกับผู้ได้รับผลกระทบมาสักระยะแล้ว โดยประชาชนที่เดือดร้อนได้เรียกร้องผ่าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้ช่วยเร่งรัดกระบวนการทางกฎหมายที่ค้างในสภาฯ ซึ่งนพ.ชลน่าน ได้นำเรื่องปรึกษาประธานสภาฯ เพื่อหาวิธีการเลื่อนระเบียบวาระขึ้นมาพิจารณา เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเดือดร้อนของประชาชน อย่างไรก็ตาม พรุ่งนี้ (23 ก.พ.) เป็นวันสุดท้ายของการประชุมสภาฯ ในสมัยประชุมนี้ ตนจึงหวังว่าจะมีการเปิดประชุมสภาฯ สมัยวิสามัญ หากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นว่ากฎหมายที่ค้างอยู่หลายฉบับเป็นสิ่งสำคัญ พวกเราส.ส.พรรคเพื่อไทย ยินดี และพร้อมทำงาน ซึ่งหากพิจารณาวาระแรกได้ เมื่อรัฐบาลหน้าเข้ามาค่อยว่ากันต่อ พรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ ถ้าเลือกตั้งเสร็จแล้วพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เราจะยืนยันกฎหมายฉบับนี้ เพื่อแก้ไขให้ประชนชนที่ได้รับผลกระทบไม่ต่ำกว่า 5 ล้านราย

‘บิ๊กป้อม’ โชว์ฟิต ลงพื้นที่ 3 จว. ก่อนยุบสภาฯ ลุยตรวจน้ำ ‘อุดรฯ-หนองคาย-เลย’ 24 ก.พ.นี้

(22 ก.พ. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีกำหนดการลงพื้นที่จ.อุดรธานี จ.หนองคาย และจ.เลย ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ โดยจะเดินทางไปตรวจติดตามอ่างเก็บน้ำลำห้วยเชียงตอนบน ต.ขอนยูง อ.กุดจับ จ.อุดรธานี ในเวลา 10.30 น. จากนั้นเดินทางไปตรวจติดตามการบริหารการจัดการน้ำ จ.อุดรธานี พร้อมทั้งมอบนโยบายและพบปะประชาชน ที่โรงเรียนภูพานวิทยา ต.ของยูง อ.กุดจับ

จากนั้นเวลา 13.50 น. พล.อ.ประวิตร เดินทางสู่ จ.หนองคายเพื่อตรวจติดตามโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาห้วยโมง กรมชลประทาน อ.ท่าบ่อ จากนั้นเดินทางไปตรวจติดตามการบริหารการจัดการน้ำ จ.หนองคาย พร้อมมอบนโยบาย พบปะประชาชนในพื้นที่และผู้นำท้องถิ่น และรับเรื่องแก้ปัญหาน้ำประปาเพื่อการอุปโภค-บริโภคของ อ.โพธิ์ตาก ที่ลานวัฒนธรรม เทศบาลเมืองท่าบ่อ อ.ท่าบ่อ และเดินทางไปตรวจติดตามโครงการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพ ระบบประปาเทศบาลเมืองท่าบ่อ

ตี๊ต่าง!! ‘ปิยบุตร’ VS ‘พิธา’ ซัดกันไปมา ยังกะ ‘จูเลียส ซีซาร์’ VS ‘บรูตุส’

ต่อกรณีของ ‘ปิยบุตร แสงกนกกุล’ อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เปิดวิวาทะกับ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ผ่านสมรภูมิเฟซบุ๊ก โดยมีผู้สันทัดกรณีและแฟนคลับของแต่ละฝ่ายเฝ้าติดตามด้วยความระทึกในหัวใจกับศึกสายเลือดครั้งนี้เป็นจำนวนมาก เพราะแม้ ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ตัวพ่อลงทุนออกโรงหมายหย่าศึกด้วยตนเองแล้ว แต่ดูเหมือนทั้งสองยังไร้ทีท่าจะรามือกันแต่อย่างใด

ผู้ชมริงไซต์บางคนบอกนึกถึง ‘จูเลียส ซีซาร์’ (Julius Caesar) รัฐบุรุษแห่งกรุงโรม กับ ‘มาร์คุส ยูนุส บรูตุส’ (Marcus Junius Brutus) หรือ ‘บรูตุส’ นักการเมืองวัยห้าวชาวโรมัน สองตัวละครระดับตำนาน ‘แทงข้างหลัง’ ที่โลกจารึก

ฝ่ายแรก คือ บุรุษผู้กอบกู้และนำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่โรม แม้ช่วงหลังของการครองบัลลังก์จะถูกมองว่า “...เขาไม่สนใจจารีตเก่า ไม่แม้แต่จะเหลียวมองกลุ่มขั้วอำนาจการเมืองที่ยังคงอยากรักษาสถานะทางสังคมของพวกเขาเอาไว้ ในยามที่กรุงโรมกำลังอยู่ในสถานการณ์ความวุ่นวาย เขากลับเป็นอำนาจที่ไม่อาจโค่นล้มได้”

ขณะที่คนหลังเป็นนักการเมืองหนุ่ม อนาคตไกล ผู้มีอุดมการณ์ต่างจากซีซาร์คนละขั้ว แต่ยังคงได้รับความเมตตาตลอด เพียงเพราะชื่อ ‘เซอร์วิเลีย’ (Servilia) นางผู้เป็นที่โปรดปรานของซีซาร์ และก็คือมารดาของบรูตุส ดังนั้นสายตาที่มองมายังบรูตุส จึงไม่ต่างจากบิดามองลูกชายตน

เรื่องนี้จบอย่างไรหลายคนทราบดี - ส่วนคนไม่รู้ก็ไปหาอ่านเอาเอง

แต่ประเด็นสำคัญมิได้อยู่ที่ว่า ‘พิธา กับ ปิยบุตร’ หรือ ‘บรูตุส กับ ซีซาร์’ เพราะเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นมา ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ต้องกล่าวโทษอีกฝ่ายว่า คือ ‘ผู้ผิด’ เสมอ ดังที่ ปิยบุตรพูด (เขียน) ถามถึงพิธาก่อนว่า “...ผู้นำพรรคก้าวไกลมีศักยภาพเพียงพอที่จะทำให้คนเชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะชนะในเขตเลือกตั้งได้หรือไม่?”

ขณะที่พิธาโต้กลับตรง ๆ ว่า ปิยบุตรต้อง “เลิกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ” - “เลิกทำตัวไม่เป็นมืออาชีพ” เสียที

สองคนมองเหมือนว่าตนคือซีซาร์ผู้ถูกแทงกลางหลังโดยคมมีดของอีกฝ่าย

และทั้งปิยบุตรกับพิธาก็ถูกมองว่าคือ ‘บรูตุส’ ผ่านสายตาอีกฝั่งเช่นกัน

แต่หากพิเคราะห์ดี ๆ แล้ว เนื้อหาโพสต์เฟซบุ๊กซึ่งตอบโต้กันอย่างเปิดเผยคราวนี้ กลับแทบไม่ต่างจากการชี้หน้าด่ากันกลางตลาด หากเพียงตัดรูปประโยคสวยหรูทว่าแสนรุงรังออกทิ้ง เรื่องทั้งมวลจะเหลือแค่แกนหลักของเรื่อง ซึ่งก็คือ ‘สาวไส้’ ของกันและกันออกมา ‘กอง’ ต่อหน้าสาธารณชนรับรู้ ส่วนคนดู (กา) จะกิน ปรบมือ เป่าปาก โห่ หรือฮา ก็แล้วแต่วิจารณญาณของใครของมัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top