Thursday, 15 May 2025
POLITICS

‘ชัยวุฒิ’ ชี้ พ.ร.ก. ช่วยลดอาญชากรรมไซเบอร์ วอนสภาฯ อนุมัติ ช่วย ปชช. ตกเป็นเหยื่อ

(3 ส.ค. 66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรถึงเหตุผลและความจำเป็น ตลอดจนสาระสำคัญของพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 โดยระบุถึงเหตุผลและความจำเป็น ว่า ปัจจุบันประชาชนผู้สุจริตถูกคนร้ายใช้วิธีการทางเทคโนโลยีหลอกลวงหลอกลวง ทำให้เสียหายทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก เป็นอันตรายร้ายแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อแก้ไขปัญหาบัญชีม้า ซิมม้า และระงับยับยั้งการโอนเงินของคนร้ายต่อเป็นทอด ๆ เพื่อให้สามารถติดตามทรัพย์สินคืนให้กับผู้เสียหายได้ทัน เป็นสำคัญ

นายชัยวุฒิ ได้สรุปถึงสาระสำคัญของพระราชกำหนดฯ ฉบับดังกล่าวด้วยว่า พระราชกำหนดฯ ฉบับนี้ มีทั้งหมด 14 มาตรา

มาตราที่ 1, 2 และ 3 บัญญัติเกี่ยวกับชื่อเรียก วันที่บังคับใช้ และคำนิยาม ตามลำดับ

มาตรา 4 กรณีที่มีเหตุอันควรสงสัย ให้ฝ่ายธนาคาร และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ มีหน้าที่เปิดเผย หรือแลกเปลี่ยนข้อมูล และส่งให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องนำไปใช้ประโยชน์เพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

มาตรา 5 ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ตำรวจ กรมสอบสวนดีพิเศษ และสำนักงาน ปปง. สั่งให้ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ เปิดเผยข้อมูลการลงทะเบียน หรือข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ และมีหน้าที่ส่งให้ผู้สั่งภายในระยะเวลาที่กำหนด

มาตรา 6 กรณีที่ธนาคารพบเหตุอันควรสงสัย ให้มีหน้าที่ระงับการทำธุรกรรมนั้น และแจ้งธนาคารที่รับโอนต่อทุกทอด ระงับการทำธุรกรรมที่รับโอนไว้ทันที เป็นการชั่วคราวไม่เกินเจ็ดวัน  เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง และแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจ หรือ เลขาธิการ ปปง. ดำเนินการตรวจสอบ

มาตรา 7 กรณีที่ธนาคารได้รับแจ้งจากผู้เสียหายโดยตรง ให้ธนาคารระงับการทำธุรกรรมนั้นไว้ทันที และแจ้งให้ธนาคารที่รับโอนต่อทุกทอด ระงับการทำธุรกรรมที่รับโอนไว้ด้วย พร้อมกับแจ้งผู้เสียหายร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในเวลา 72 ชั่วโมง เมื่อพนักงานสอบสวนรับคำร้องทุกข์แล้ว ให้พิจารณามีคำสั่งไปยังธนาคาร ภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันได้รับคำร้องทุกข์ หากไม่มีคำสั่งภายในกำหนดเวลา ให้ธนาคารยกเลิกการระงับการทำธุรกรรม

มาตรา 8 วรรคแรก การแจ้งข้อมูลหรือหลักฐาน ตามมาตรา 6 และมาตรา 7 สามารถกระทำทางโทรศัพท์หรือวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้

มาตรา 8 วรรคสอง 1) การร้องทุกข์ในความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีจะกระทำต่อพนักงานสอบสวน ณ สถานีตำรวจแห่งใดในราชอาณาจักร และจะร้องทุกข์ทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ โดยให้ถือว่าเป็นการร้องทุกข์โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

2) การสอบสวนหรือดำเนินการเกี่ยวกับความผิดดังกล่าว ให้พนักงานสอบสวนที่รับคำร้องทุกข์ไม่ว่าจะประจำอยู่ที่สังกัดใด หรือพนักงานสอบสวนที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกำหนดให้เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ มีอำนาจสอบสวนหรือดำเนินเกี่ยวกับความผิดดังกล่าวได้ไม่ว่าความผิดนั้นเกิดขึ้น ณ ที่ใดในราชอาณาจักร

มาตรา 9 ผู้ใดเปิดบัญชีม้า หรือใช้ซิมม้า มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 10 และมาตรา 11 ผู้ใดโฆษณาเกี่ยวกับบัญชีม้า ซิมม้า มีโทษจำคุก ตั้งแต่ 2 - 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2 - 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 12 การเปิดเผย แลกเปลี่ยน เข้าถึง จัดเก็บ รวบรวม การใช้ข้อมูลบุคคลตามตามพระราชกำหนดฯ นี้ ไม่อยู่ภายใต้การบังคับของกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

มาตรา 13 ในวาระเริ่มแรกให้นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา คณะหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่ 1) กำหนดแนวทางในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2) ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับเหตุอันควรสงสัย และ 3) ให้คำแนะนำและคำปรึกษาเกี่ยวกับการปฏิบัติงาน โดยให้ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แต่งตั้งเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่งตั้งเลขานุการร่วม

มาตรา 14 นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรักษาการตามพระราชกำหนดฯ นี้

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

การจัดทำพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 จะส่งผลให้การแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ลดภาระและอำนวยความสะดวกในการร้องทุกข์ให้แก่ประชาชน และสามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ และความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ

นายชัยวุฒิ ได้ให้นำเสนอข้อมูลสถิติคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปรียบเทียบระหว่าง ก่อนวันที่ พระราชกำหนดฯ ฉบับนี้มีผลบังคับใช้ (วันที่ 17 มี.ค.66) กับหลังจากวันที่มีผลบังคับใช้ ในด้านที่สำคัญ ว่า

- ต้นปี 2566 ถึงก่อนวันที่ พระราชกำหนดฯ มีผลบังคับใช้ (วันที่ 1 ม.ค.66 - 16 มี.ค.66) เกิดเฉลี่ย 790 คดี/วัน
- ตั้งแต่วันที่ พระราชกำหนดฯ มีผลบังคับใช้ (17 มี.ค.66) ถึงวันที่ 17 ก.ค.66 (121 วัน) เกิดรวม 74,280 คดี เฉลี่ย 603 คดี/วัน
- พอสรุปได้ว่า ตั้งแต่พระราชกำหนดฯ มีผลบังคับใช้ สถิติการเกิดคดีลดลงเฉลี่ย 187 คดี/วัน

ขณะที่การขออายัดบัญชีนั้น พบว่า

- ในช่วงระยเวลาก่อนวันที่ พระราชกำหนดฯ มีผลบังคับใช้ (วันที่ 1 ม.ค.66 - 16 มี.ค.66)  มีการขออายัดบัญชี จำนวน 1,346 ล้านบาทเศษ อายัดได้ทัน 87 ล้านบาท (คิดเป็น 6.5 %)
- ตั้งแต่วันที่ พระราชกำหนดฯ มีผลบังคับใช้ (วันที่ 17 มี.ค.66) ถึงวันที่ 17 ก.ค.66 (121 วัน) มีการขออายัดบัญชี จำนวน 2,400 ล้านบาท อายัดได้ทัน 256 ล้านบาท (คิดเป็น 10.3 %)  
- พอสรุปได้ว่า ตั้งแต่ พระราชกำหนดฯ มีผลบังคับใช้ สามารถอายัดบัญชีได้ทันเพิ่มมากขึ้น

ด้านการจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับบัญชีม้าและซิมม้า

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ดำเนินคดีผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับบัญชีม้าและซิมม้า โดยมีผลการจับกุม ใน 4 ข้อหา รวม 336 ราย ดังนี้

- ข้อหาเปิดหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีเงินฝากของตน (บัญชีม้า) รวม 245 ราย
- ข้อหายินยอมให้ผู้อื่นใช้หรือยืมใช้เลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตน (ซิมม้า) รวม 36 ราย
- ข้อหาเป็นธุระจัดหา โฆษณา ไขข่าว ให้มีการซื้อขายบัญชี (ประกาศขายบัญชีม้า) รวม 7 ราย
- ข้อหาเป็นธุระจัดหา โฆษณา ไขข่าว ให้มีการซื้อขายเลขหมายโทรศัพท์ (ประกาศขายซิมม้า) รวม 48 ราย

นายชัยวุฒิ ยังย้ำด้วยว่า ในช่วงที่ผ่านมา ได้มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ และตระหนักรู้เกี่ยวกับการป้องกันภัยทางอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงาน ปปง. สำนักงาน กสทช. ธนาคารแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ร่วมกันประชาสัมพันธ์ แจ้งเตือน รูปแบบภัยทางออนไลน์ต่าง ๆ ไม่ให้ประชาชนหลงเชื่อหรือตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ และช่องทางการติดต่อในการแก้ปัญหาหากเกิดเหตุแล้ว ปรากฏบนสื่อต่าง ๆ ในทุกรูปแบบ

“กระผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สภาผู้แทนราษฎรจะได้พิจารณาอนุมัติพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 เพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพที่นับวันจะยิ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น” นายชัยวุฒิ กล่าว

อนึ่ง เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2566 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการร่างพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ซึ่งต่อมานายกรัฐมนตรีได้นำกฎหมายขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2566 โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป

โดยที่บทบัญญัติมาตรา 172 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้กำหนดสำหรับการตราพระราชกำหนดทั่วไปว่า “มาตรา 172 ในกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ พระมหากษัตริย์จะทรงตราพระราชกำหนดให้ใช้บังคับดังเช่นพระราชบัญญัติก็ได้
การตราพระราชกำหนดตามวรรคหนึ่ง ให้กระทำได้เฉพาะเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้”

‘โตโต้ ก้าวไกล’ ชงตั้ง กมธ.วิสามัญ  สอบตำรวจสลายม็อบสามนิ้ว ปี 63-65

(3 ส.ค. 66) นายปิยรัฐ จงเทพ สส.กทม. พรรคก้าวไกล อดีตหัวหน้าการ์ดวีโว่ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า ทำงานต่อไม่รอแล้วนะ ผมได้มีโอกาสได้คุยกับเพื่อน สส ในพรรคหลายคน เรื่องแนวความคิดการเสนอญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อติดตาม ตรวจสอบ และแสวงหาข้อเท็จจริงต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กรณีเหตุสลายการชุมนุมนับตั้งแต่ปี 2563 ถึง 2565

เพื่อนๆ สส หลายคนเห็นด้วย และเสนอตัวเข้าร่วมคณะทำงานชุดนี้ หลังจากนี้ผมรับหน้าที่มาร่างหลักการ เสร็จแล้วจะนำเสนอต่อพรรคฯ เพื่อพิจารณา และบรรจุเสนอเป็นญัตติต่อไป

หากไม่ติดขัดในขั้นตอนใดหลังจากนี้คงจะมีการเชิญประชาชน เช่น ผู้อยู่ในเหตุการณ์การสลายการชุมนุม , ทนายความ และผู้สื่อข่าวภาคสนาม ร่วมเป็นกรรมาธิการในครั้งนี้ด้วย

‘ภูมิธรรม’ โต้ข่าวลือ ‘ทักษิณ’ เปลี่ยนวันกลับไทย ยัน!! ยังยึด 10 ส.ค. ตามกำหนดการเดิม 

(3 ส.ค. 66) ที่รัฐสภา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกระแสข่าวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เลื่อนกำหนดการการกลับประเทศไทย ว่า ยังไม่ทราบอะไร ยังยืนยันอยู่เหมือนเดิม

เมื่อถามย้ำว่า ณ ตอนนี้ยังไม่เลื่อนกำหนดการใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า “ทุกอย่างยังเหมือนเดิม”

เมื่อถามว่า การแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลในวันนี้ (3 ส.ค.66) จะมีพรรคไหนร่วมบ้าง นายภูมิธรรม กล่าวว่า “เดี๋ยววันนี้จะแถลงเวลา 15.00 น.”

เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่าจะไม่มีพรรค 2 ลุงร่วมรัฐบาลนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า “ยังไม่ทราบ”

เมื่อถามถึงนายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช ฐานะรักษาการรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ระบุเงื่อนไขของพรรคเพื่อไทย พูดคุยกันได้ นายภูมิธรรม กล่าวว่า “วันนี้จะแถลงทุกอย่าง”

เมื่อถามว่าการดีลเป็นไปได้ด้วยดี สามารถเดินหน้าโหวตเลือกนายกฯ ในวันที่ 4 ส.ค. ได้หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า “ยังเป็นไปตามกำหนดการเดิม”

เมื่อถามว่ามีการนัดหารือกับใครหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า “ยังไม่มีตอนนี้”

‘แสนสิริ’ ร่อนแถลง ไขข้อกังขา ‘เศรษฐา’ ยัน!! ‘ซื้อ-ขายที่ดิน’ ถูกต้องตามกฎหมาย

(3 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่มีการนำเสนอข่าวพาดพิงนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย (พท.) ขณะที่ดํารงตําแหน่งเป็นผู้บริหารสูงสุด และกรรมการของ บริษัท แสนสิริ จํากัด (มหาชน) ได้มีส่วนร่วมในการหลีกเลี่ยงภาษีในการซื้อขายที่ดินของแสนสิริเป็นเหตุให้รัฐต้องสูญเสียรายได้เป็นเงินหลายร้อยล้านบาทนั้น

ต่อมาบริษัท แสนสิริฯ ได้ออกหนังสือแถลงการณ์โดยชี้แจงว่า สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงดังกล่าวระหว่างแสนสิริกับผู้ขาย กำหนดให้ผู้ขายเป็นผู้รับผิดชอบภาษีอากร ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมดประกอบกับเป็นหน้าที่ตามกฏหมายของผู้ขายในการเสียภาษีอากรข้างต้นด้วย แสนสิริมีหน้าที่ชำระราคาให้ครบถ้วนตามที่ตกลงกัน และรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเท่านั้น แสนสิริไม่ได้รับรู้หรือเกี่ยวข้องในวิธีการหรือการดำเนินการใดๆ ทางภาษีอากรของผู้ขายตามที่ได้มีการกล่าวอ้างดังกล่าว และไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ จากการประหยัดภาษีและค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์ของผู้ขาย

แถลงการณ์ ระบุต่อว่า ในการซื้อขายที่ดินของแสนสิรินั้น นายเศรษฐา ขณะที่เป็นผู้บริหารสูงสูดและกรรมการของแสนสิริ จะมีส่วนร่วมเฉพาะในขั้นตอนการอนุมัติจัดซื้อที่ดิน โดยพิจารณาจากตัวเลข และข้อมูลที่ทีมสรรหาที่ดินของแสนสิริได้จัดทำ และนำเสนอ ให้ที่ประชุมผู้บริหารเพื่อพิจารณาและนำเสนอคณะกรรมการของบริษัทเพื่ออนุมัติการซื้อที่ดินและการลงทุนตามลำดับ

นายเศรษฐาในฐานะที่เป็นผู้บริหารสูงสุดและกรรมการของแสนสิริจึงอนุมัติเพียงแค่ราคาและมูลค่าเงินลงทุนเท่านั้น ส่วนการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน การชำระราคา และการโอนกรรมสิทธิ์จะเป็นหน้าที่ของทีมสรรหาที่ดินที่จะเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดการและประสานงานทั้งหมด

แถลงการณ์ ระบุด้วยว่า ภายหลังจากที่แสนสิริได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายและวางมัดจำซื้อที่ดินไปแล้วเป็นระยะเวลาหลายเดือน ก่อนถึงกำหนดการโอนกรรมสิทธิ์ ผู้ขายเป็นผู้แจ้งความประสงค์เกี่ยวกับรายละเอียดวิธีการโอนกรรมสิทธิ์และชำระราคาส่วนที่เหลือให้ทราบว่าต้องการแยกโอนเฉพาะส่วนตามรายชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามที่เป็นข่าว ทีมสรรหาที่ดินซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการตามสัญญาพิจารณาแล้วเห็นว่า การดำเนินการดังกล่าวสามารถดำเนินการได้โดยชอบด้วยกฎหมาย และยังคงเป็นการปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัญญา อีกทั้งไม่กระทบกระเทือนต่อการที่แสนสิริจะได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยสมบูรณ์ตามสัญญาที่ตกลงกัน และไม่ได้ทำให้แสนสิริต้องได้รับความเสียหายหรือมีภาระค่าใช้จ่ายใด ๆ เพิ่มเติมจากที่ตกลงไว้แต่อย่างใด ทีมสรรหาที่ดินจึงตัดสินใจดำเนินการตามที่ผู้ขายแจ้งให้ทราบ

แถลงการณ์ ระบุอีกว่า แสนสิริ ชำระราคาที่ดินแปลงดังกล่าวเกือบทั้งหมด โดยเช็คและแคชเชียร์เช็ค มีการชำระเป็นเงินสดเพียง 301,000 บาท ไม่ได้มีการชำระเงินสดจำนวนมากตามที่ได้มีการกล่าวอ้างแต่อย่างใด การที่เจ้าพนักงานที่ดินบันทึกว่า การซื้อขายที่ดินมีการชำระด้วยแคชเชียร์เช็ค ส่วนที่เหลือชำระเป็นเงินสดนั้น เป็นเพราะแสนสิริได้ชำระเงินมัดจำให้แก่ผู้ขายตามสัญญาจะซื้อจะขายเสร็จสิ้นไป ก่อนวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินหลายเดือนก่อนหน้า ทางปฏิบัติตามปกติของกรมที่ดินจะบันทึกส่วนต่างของค่าที่ดินที่ไม่มีการแสดงสำเนาแคชเชียร์เช็ค ณ วันโอนกรรมสิทธิ์ว่าเป็นการชำระด้วยเงินสด

แถลงการณ์ ระบุว่า การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าว เป็นการดำเนินการที่กรมที่ดินโดยเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง และได้มีการชำระค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ภาษีธุรกิจเฉพาะ/อากรแสตมป์ ตามที่มีการเรียกเก็บเรียบร้อยแล้ว และแสนสิริได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามราคาที่ตกลงซื้อขายกัน

แถลงการณ์ ระบุอีกว่า จากข้อเท็จจริงที่ชี้แจงมาข้างต้น จะเห็นได้ว่านายเศรษฐา ซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุด และกรรมการของแสนสิริในขณะนั้น ได้ปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลรักษาผลประโยชน์ของบริษัทครบถ้วนแล้ว และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องและรับรู้ขั้นตอนวิธีการในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามที่กล่าวข้างต้น เพราะเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายหลังการทำสัญญาจะซื้อจะขายและอยู่ในความรับผิดชอบของทีมสรรหาที่ดินที่เป็นฝ่ายปฏิบัติการที่ต้องจัดการให้เป็นไปตามสัญญาและถูกต้องตามกฎหมาย ธุรกรรมการซื้อขายที่ดินของแสนสิริดังกล่าว เป็นการซื้อขายที่ดินตามปกติในธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั่วไป บริษัทฯ ขอยืนยันว่า ได้ดำเนินการตามหลักธรรมาภิบาล ถูกต้องตามกฎหมาย โปร่งใส และตรวจสอบได้ จึงขอชี้แจงมา ณ ที่นี้

‘ปิยบุตร’ ลั่น!! การเมืองไทยต่อไปไม่ใช่สงคราม ‘สีเสื้อ-ต่อสู้ระหว่างพรรค’ แต่เป็นการต่อสู้ ‘อดีต VS อนาคต’ ที่ปชช.ผู้มีอำนาจสูงสุดร่วมกันกำหนด

(3 ส.ค. 66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ภายหลังพรรคเพื่อไทยประกาศฉีก MOU และไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล โดยระบุว่า

ไม่มีอะไรที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล, ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกล ต้องเสียใจ ต้องเสียหน้า ต้องท้อแท้สิ้นหวัง และไม่มีอะไรที่ต้องคลางแคลงสงสัยว่าตนคิดผิด

นายปิยบุตร ระบุด้วยว่า พวกเขาต่างหากที่ต้องเสียใจที่มองสถานการณ์ระยะสั้น พวกเขาต่างหากที่ต้องเสียหน้า ตอบใครไม่ได้แม้กระทั่งตอบใจตนเอง ต้องแก้ปัญหาในสิ่งที่พูดไปแบบ ‘วัวพันหลัก’ พวกเขาต่างหากที่ต้องท้อแท้ สิ้นหวัง ไม่รู้ว่าในอนาคตจะชนะก้าวไกลได้ด้วยวิธีไหน จะยุบ-จะตัดสิทธิอย่างไร ก็ฆ่า ‘ความคิด’ ไม่ตาย

สังคมเปลี่ยน ความคิดจิตใจคนเปลี่ยน นักการเมืองและพรรคการเมืองต้องขยับตาม ถ้าไม่นำมวลชน อย่างน้อยก็ต้องเคียงข้างกับความคิดที่เปลี่ยนแปลงไป หนทางพิสูจน์ม้าและเวลาพิสูจน์คน ใครถอยและใครทน พิสูจน์ได้เมื่อภัยมา ดีเสียอีกที่การเมืองไทยได้ขีดเส้นใหม่ แบ่งใหม่ชัดเจน ต่อไปไม่ใช่สงครามสีเสื้อ ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างพรรค แต่คือการต่อสู้ระหว่างอดีต vs อนาคต อดีตแบบทศวรรษ 2520 ขยับทีละคืบไปสู่ทศวรรษ 40 กับอนาคตแบบใหม่ที่ประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศร่วมกันกำหนด”

เข็มนาฬิกาเดินหน้า ต่อให้ใครหยุดเข็มนาฬิกาไม่ให้เดิน อย่างไรมันก็จะเดินต่อไป ขอจงยืนตรงอย่างทระนงองอาจ เดินหน้าสู้ต่อภัยทั้งปวง ต่อสู้ตามแนวทางของตน ระลึกถึงแววตา เสียงร้อง อ้อมกอด และน้ำตา ของประชาชนที่ฝากความหวังให้กับพรรคก้าวไกล ตระหนักถึงภาระที่ประชาชนส่งมอบให้พรรคก้าวไกลนับแต่วันที่ 14 พฤษภาคม จนถึงวันนี้ การเมืองไทยได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง สู้จนกว่า…อำนาจสูงสุดจะเป็นของประชาชน

ได้เวลานับหนึ่งรัฐบาลข้ามขั้ว 'ไม่แตะ 112' หมากบังคับต้องมีลุง...ลุ้น 4 ส.ค.จบหรือเลื่อน?

ยังไม่ฟังคำแถลงโดยละเอียด แต่อ่านแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทยก็ชัดเจนว่า ได้บอกเลิกพรรคก้าวไกลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหตุเพราะพรรคการเมืองส่วนใหญ่ และ สว.ส่วนมากที่พรรคเพื่อไทยไปพูดคุย 'ไม่เอาพรรคก้าวไกล' เหตุผลหลักก็เรื่องมาตรา 112 นั่นแหละ...

สรุปว่า ณ วันที่ 2 ส.ค.66 (เพื่อไทย-ก้าวไกล) สิ้นสุดทางเลื่อน...เลื่อนต่อไปไม่ได้แล้ว พรรคเพื่อไทยต้องไปต่อ ร่วมจัดตั้งพรรครัฐบาลโดยสูตร 'ผสมข้ามขั้ว' แต่จะมีพรรคลุง...หรือไม่มีพรรคลุง หรือเป็นไปตามสูตรดีลลับฮ่องกง 'ไม่มีก้าวไกล ไม่มีลุง' ที่ผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคก้าวไกลบินไปพูดคุยกับคนแดนไกล เมื่อ 24-25 ก.ค.66 ดังที่ 'เล็ก เลียบด่วน' ได้รายงานไปเมื่อ 4-5 วันก่อน...หรือไม่? ต้องรอการแถลงอีกครั้งจากพรรคเพื่อไทยพรุ่งนี้

แต่ดูตามสถานการณ์แล้ว...อุตส่าห์หาญกล้าฝ่าข้ามเรื่องมาตรา 112 มาได้ จะด้วยเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม พรรคเพื่อไทยก็คงไม่โง่พอที่จะไปติดกับดักกับวาทกรรม...มีเราไม่มีลุง…เพราะถ้าไม่เอาลุงเลยเสียงสนับสนุนจะหายไปถึง 76 เสียง...คือ พลังประชารัฐ 40 รวมไทยสร้างชาติ 36 ในขณะที่พอสลัดก้าวไกลออกไป เสียงจะหายไปมากถึง 151 เสียง

ดังนั้นนาทีนี้ในเชิงคณิตศาสตร์การเมือง เมื่อสลัดก้าวไกลออกไป อีก 2 พรรคที่น่าจะติดตามไปด้วยก็คือ ไทยสร้างไทย 6 เสียง / เป็นธรรม 1 เสียง รวม 3 พรรค 157 เสียง และตัวเลขที่จะเหลืออยู่ในมือเพื่อไทยจะมีแค่ 154 เสียง ซึ่งพรรคเพื่อไทยต้องหาเพิ่มอีกจำนวนมาก เพื่อให้ได้ 375 ผ่านโหวตนายกฯ  และมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งในสภาผู้แทนราษฎรเพียงพอที่จะบริหารประเทศไปได้...

เป็นงานหิน...โดยแท้!!

- ต้องหาเสียงทั้ง สว.และ สส.อีก 211 เสียง เพื่อโหวตผ่านนายกฯ
- ต้องหาเสียง สส.อีกอย่างน้อย 100 เสียงเพื่อให้เสียงในสภาล่างเกิน 250 พอประคองตัวไปได้ไม่กี่วัน - แต่หากจะให้มีเสถียรภาพต้องหา สส.เพิ่ม อีก 150 เสียง..

เบื้องหน้าที่พอมองเห็น ภูมิใจไทย 71 / ชาติไทยพัฒนา 10 / ชาติพัฒนากล้า 2 / พรรคเล็ก 4 รวมได้แค่ 87 เสียง...ซึ่งพอรวมกับเสียงในมือเพื่อไทย 154 ก็ได้เพียง 241 เสียงเท่านั้น...เช่นนี้แล้วพรรคเพื่อไทยหนีไม่พ้นจะต้องใช้บริการพรรคลุง...จะทั้ง 'สองลุง' หรือ 'ลุงเดียว' ก็ว่ากันไป...ซึ่งดูเหมือนว่าพรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้แถลงปิดทางพรรคลุงแต่อย่างใด

ก็ต้องบอกว่าไม่ง่ายเลยสำหรับการจัดสูตรผสม...วันที่ 2 และ 3 ส.ค.ทุกอย่างจะต้องลงตัวคร่าวๆ เพื่อให้วันที่ 4 ส.ค.ม้วนเดียว...เจ็บแต่จบ...ดังที่ 'เล็ก เลียบด่วน' ได้เคยกล่าวเอาไว้...

ส่งท้ายวันนี้...ทั้งหลายทั้งปวง...ต้องไม่ลืมสาระสำคัญที่พรรคเพื่อไทยแถลงไว้ อย่างน้อย 3 ประการคือ..

ประแรกแรก – แยกทางกับพรรคก้าวไกล 

ประการที่สอง – พรรคเพื่อไทยยืนยันรัฐบาลใหม่ไม่แก้ไขมาตรา 112

ประการที่สาม – จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ-การเมืองที่สำคัญๆ จะดำเนินการตั้ง สสร.ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้วยุบสภาคืนอำนาจประชาชน

ก็ถือว่ามีความชัดเจนในระดับที่น่าจะรับกันได้เป็นการทั่วไป...อาจจะติดใจเรื่องการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กันบ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่าพรรคการเมืองไม่น้อย ก็อยากให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ  เพียงแต่ดีกรีอาจจะไม่เข้มข้นเท่ากับ 'พรรคเพื่อไทย-พรรคก้าวไกล'

ก็สรุปได้ตามนี้ครับ...ถ้าวันที่ 3 ส.ค.ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับเรื่องจากผู้ตรวจการแผ่นดินกรณีญัตติซ้ำโหวตนายกฯ วันที่ 4 ส.ค.การโหวตนายกฯ ก็คงเดินหน้าไปได้...

อ้อ!! แว่วๆ ว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระดมตำรวจจากต่างจังหวัดเข้ามาเสริมกำลังเผื่อเหลือเผื่อขาด เพื่อความไม่ประมาทเอาไว้แล้วด้วย ทุกอย่างน่าจะจบ

เพียงแต่สายข่าวแจ้งมาเมื่อตะกี้ว่า ฝั่ง สว.มีเงื่อนไขสำคัญว่าวันที่ 3 ส.ค.นี้พรรคเพื่อไทยต้องจูงมือพรรคร่วมรัฐบาลชุดใหม่มาแถลงให้เห็นตัวเป็นๆ

ไม่งั้นมีโอกาส...เลื่อนกันต่อ!!

'เพื่อไทย' แถลงชัด 'ถอนตัวจาก 8 พรรค-แยกทางก้าวไกล' เหตุ!! ไม่ถอย 112 ส่วน กก.จะโหวตให้ พท.หรือไม่ เป็นเอกสิทธิ์

(2 ส.ค. 66) เมื่อเวลา 14.15 น. ที่พรรคเพื่อไทย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย แถลงผลการหารือร่วมกับ พรรคก้าวไกล และ 8 พรรคการเมืองอย่างเป็นทางการ

นายประเสริฐ กล่าวว่า การประชุมเมื่อเช้าที่ผ่านมา 2 พรรค เพื่อไทย-ก้าวไกล ใช้เวลาหารือร่วมกว่า 2 ชม. หลังจากนั้น พรรคเพื่อไทย จึงแจ้งผลการหารือต่างๆ ผ่านทางโทรศัพท์ ให้ 6 พรรคร่วมรัฐบาลแล้ว

นายแพทย์ชลน่าน กล่าวว่า พี่น้องสื่อมวลชนที่เคารพรักทุกท่าน ขออ่านคำแถลงข่าว เพื่อความเข้าใจดีต่อกัน ร่วมผ่าทางตันหาทางออกให้ประเทศ เนื่องจากการตั้งรัฐบาลครั้งนี้ พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล จับมือร่วม 6 พรรคการเมือง รวมเสียง 312 เสียง มีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำ โดยเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี โดยทั้ง 8 พรรคร่วมฯ มีความเห็นชัดเจน ยึดมั่น ในสถาบัน เป็นกำลังใจให้คนไทย และไม่เห็นด้วยแก้ไข ม.112 ต่อมา แคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล รวมเสียงโหวตนายกฯ ไม่ได้ พรรคเพื่อไทยร่วมมืออย่างเต็มที่ โหวตให้ 141 เสียง แต่ สว.ก็ไม่ยอมรับ เพราะมีเรื่องแก้ ม.112 ซึ่ง พรรคก้าวไกล ก็ไม่ยอมถอย ม.112

ดังนั้น ที่ประชุม 8 พรรคร่วมรัฐบาล เห็นชอบ ส่งภารกิจตั้งรัฐบาลให้พรรคเพื่อไทย เมื่อได้รับมอบหมายภารกิจ พรรคเพื่อไทยจึงเดินหน้าหาเสียงสนับสนุนจาก สว.-สส.จากพรรคการเมือง พบว่า นโยบายแก้ ม.112 เป็นเงื่อนไขหลัก โดยบางคนแสดงเจตนารมณ์ชัดแจ้ง ไม่โหวตให้ 

นายแพทย์ชลน่าน กล่าวต่อว่า พรรคเพื่อไทยปรึกษาพรรคก้าวไกลแล้ว ขอถอนตัวพรรคร่วม และจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เสนอชื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ขอยืนยันว่า เราไม่สนับสนุน แก้ไข ม.112 และการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ จะไม่มีพรรคก้าวไกลอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาล พรรคเพื่อไทยจะใช้ความสามารถ จัดตั้งรัฐบาลที่เหมาะสม และพรรคก้าวไกลจะไปเป็นฝ่ายค้าน

1. เราจะผลักดันแก้ รธน.ฉบับปัจจุบัน กำหนดเป็นวาระแห่งชาติ โดยเรื่องจากประชุม ครม.ครั้งแรกให้มีการทำประชามติและจัดตั้ง สสร. เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ รัฐบาลคืนอำนาจประชาชนเลือกตั้งใหม่

2. นโยบายที่เห็นสอดคล้องกัน สุราก้าวหน้า สมรสเท่าเทียม ปฏิรูปทหาร ตำรวจ ยกเลิกการผูกขาด และส่งเสริม การแข่งขับทางการค้า พรรคเพื่อไทยพร้อมร่วมผลักดันจนสำเร็จ พรรคเพื่อไทยขอแสดงความจริงใจทางการเมือง พี่น้องประชาชน นี่คือแนวทางรักษาสถาบันของชาติ ให้ภารกิจนำพาประเทศพ้นวิกฤติ ปลดกลไกไม่ปกติคืนสู่ความปกติ และใช้ความสามารถของพรรคเพื่อไทย แก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพื่อประชาชน

ทั้งนี้ นายแพทย์ชลน่าน ได้กล่าวถึง เรื่องโหวตนายกฯ รอบ 3 ในวันที่ 4 ส.ค. ซึ่ง 2 พรรคเพื่อไทย-ก้าวไกลได้ตกลงกัน โดยเป็นเอกสิทธิ์ของพรรคก้าวไกล ว่าจะลงคะแนน หรือไม่ลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทยก็ได้ ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลใหม่ ขออนุญาตมีความคืบหน้าให้ผู้สื่อข่าวพรุ่งนี้ (3 ส.ค.)

ขณะที่คำถาม สว.โหวตให้หรือไม่ นายแพทย์ชลน่าน กล่าวว่า ข่าวที่แถลงในวันนี้ และมีเจตนาชัดเจน เงื่อนไขเดิม ลดเงื่อนไขลงทั้งหมด ม.112 น่าจะเป็นผลให้ สว.ลงมาร่วมโหวตให้กับเพื่อไทยได้
 

‘อี้ แทนคุณ’ เตือนสติ ‘ด้อมส้ม’ หลังก้าวร้าวขึ้นทุกวัน ลั่น!! ยิ่งทำอะไรรุนแรง ‘ก้าวไกล’ ​ยิ่งพังเร็วเท่านั้น

(2 ส.ค. 66) ดร​.แทนคุณ​ จิตต์​อิสระ​ รักษา​การ​ประธาน​คณะกรรมการ​ส่งเสริม​สิทธิ​มนุษยชน​และ​ความ​เสมอภาค​ระหว่าง​เพศ​ พรรค​ประชา​ธ​ิ​ปัตย์ ​กล่าว​ถึง​กรณี​การ​ชุมนุม​คาร์ม็อบ ที่แยกอโศก หลังจากได้ออกมาเคลื่อนไหว​แปรอักษร​ เป็น​ อักษร ห.หีบ และมีการวางตัวหนังสือ​ ค.ควาย เพื่อให้อ่านว่า ห.ค. รวมทั้งมีการโปรยเอกสารด้วยถ้อยคำที่รุนแรงและได้มีการบุกไปที่ตลาดของสมาชิกวุฒิสภาท่านหนึ่งในลักษณะคุกคาม เพื่อไปกดดันด้วยการทำความเสียหายให้กับธุรกิจของเขา และมีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกันมาก่อนหน้านี้ ทั้งบุกรุก พ่นสีถนน พ่นสีอาคารสถานที่​ ขว้างปาสิ่งของ ทำลายกล้องวงจรปิด เผาทำลายทรัพย์สินทั้งป้อมจราจร สถานีตำรวจ สถานที่ราชการ สถานที่ส่วนบุคคลและอื่นๆ อีกหลายที่

โดยประชาชน​ที่ติดตาม​กระทำของบรรดาผู้ชุมนุมหรือ ‘ด้อมส้ม’ อย่างใกล้ชิด ย่อมสังเกตว่าผู้ชุมนุมที่มีความหลากหลาย​กลุ่ม แต่กลับมีการกระทำที่ไร้วุฒิภาวะโดยสิ้นเชิง โดยเชื่อว่าจากนี้ผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย​ต่างต้องทยอยถูกดำเนินคดี​อาญาตามหลังทั้งสิ้น

โดยปัจจุบัน​ทั้งบรรดาผู้ชุมนุม​และสื่อมวลชนต่างช่วยกันถ่ายทอดสดและถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ​บันทึกไว้เป็นหลักฐานอย่างดี ทำให้สามารถเห็นทั้งใบหน้า พฤติ​กรรมและยืนยันตัวตนของบุคคล​ผู้ที่กระทำความผิดได้อย่างละเอียด​ ซึ่งถือว่า ม็อบ ห.ค.นี้ จงใจสร้างสถานการณ์​และทำให้บ้านเมือง​เสียหาย​โดยไม่สนใจ กฎหมายและกติกาบ้านเมือง รวมทั้งบรรดาแกนนำ ที่มีคดีความ บางคนก็เคยมีข้อมูลว่าร่ำรวยขึ้นจากการเป็นแกนนำม็อบ ทั้งที่เคลื่อนไหว​โดยอิสระและที่มีเชื่อมโยงกับพฤติการณ์ของพรรคก้าวไกล ที่บิดเบือนให้ร้าย และสร้างความแตกแยกไม่รู้จบสิ้น สอดประสาน​ทั้งใน-นอกสภา ทั้ง​การใช้​ความก้าวร้าว​รุนแรง ด้อยค่าว่าร้าย บีบบังคับ​ให้คนอื่นต้องโหวตให้ ทั้งๆ ที่ดูจากสภาพทั้งหัวหน้าพรรค คือ นายพิธา และ สส.หลายๆ คน มีพฤติกรรม​กระทำผิด​กฎหมาย​ซ้ำๆ ทั้งโกหกหลอกลวง​จากนโยบาย​หาเสียง การไม่ให้เกียรติ​ทั้งสถานที่​และคนอื่นคิดว่าตัวเองเก่งที่สุดเป็นศูนย์กลาง​จักรวาล​ ใครๆ ก็ต้องยอมทำตาม 

แต่ในความเป็นจริง ​เมื่อลืมตาตื่นจากฝันแล้วจะพบว่าเทคนิคทางการสื่อสารทางการตลาดที่ได้ผลสำเร็จ​ในโลกโซเชียล​ที่ทำให้ทนงตนคิดว่าเจ๋งที่สุดแล้ว เมื่อมาสู่โลกความเป็นจริงกลับไม่สามารถ​กดดันหรือบีบบังคับคนอื่นรัก เคารพได้ตลอด ด้วยพฤติกรรมของพวกเขาเอง ที่นอกจาก​ไม่มีใครอยากคบ ไม่มีใครอยากทำงานด้วย ยังทำให้บ้านเมือง​มีปัญหา​ต่อเนื่อง​ต่อไปอีกด้วย จึงขอเตือนสติว่า ‘ม็อบยิ่งทำอะไรรุนแรง ก้าวไกล​ยิ่งพังเร็วเท่านั้น’

‘สส.สะถิระ’ ชงตั้ง กมธ.ศึกษาแนวทางโอนย้ายบริการไฟฟ้าของ ‘ชาวสัตหีบ’ จากสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือไปให้ กฟภ. หวังแก้ปัญหา ‘ไฟดับ-ไฟแพง’ 

(2 ส.ค. 66) นายสะถิระ เผือกประพันธุ์ สส.ชลบุรี เขต 10 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า ตนได้เสนอญัตติด่วนเพื่อขอให้สภาผู้แทนราษฎร ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการมอบหน้าที่การให้บริการไฟฟ้า อำเภอสัตหีบ จากกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทาน กองทัพเรือ ไปเป็นหน้าที่ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคโดยตรง เพราะในตอนนี้พี่น้องประชาชน อำเภอสัตหีบ ทั้ง 5 ตำบล ตำบลแสมสาร ตำบลพลูตาหลวง ตำบลสัตหีบ ตำบลบางเสร่ และตำบลนาจอมเทียน ประสบปัญหาได้รับความเดือดร้อนจากการให้บริการไฟฟ้า โดยกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ ทั้งการขยายเขตไฟฟ้า ไฟดับ ไฟตก ค่าไฟ รวมถึง สิทธิประโยชน์ของผู้ใช้ไฟฟ้าเมื่อเทียบกับไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 

นายสะถิระ กล่าวต่อว่า การขยายเขตไฟฟ้าพี่น้องประชาชนอำเภอสัตหีบ ยังไม่มีไฟฟ้าถาวรใช้อีกหลายครัวเรือน รวมถึงการเพิ่มขนาดกระแสไฟฟ้าในแต่ละครัวเรือน ซึ่งปัจจุบันกระแสไฟฟ้าในอำเภอสัตหีบตกบ่อยมาก ทำให้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ได้รับความเสียหาย ทำให้พี่น้องประชาชนอำเภอสัตหีบ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา

"การให้บริการไฟฟ้า โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นการให้บริการไฟฟ้าหลักของคนไทยทั้งประเทศ ควรเข้ามาให้บริการไฟฟ้าประชาชนอำเภอสัตหีบ เช่นเดียวกับพื้นที่อื่นๆ ผมจึงขอเสนอญัตติด่วนดังกล่าว เพื่อตั้ง กมธ.ศึกษาให้ประชาชนอำเภอสัตหีบได้รับการบริการสาธารณะชั้นพื้นฐาน เช่นเดียวกับคนไทยทั้งประเทศ และเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนโดยด่วน"นายสะถิระ กล่าว
 

‘จตุพร’ ฉะ!! ‘ณัฐวุฒิ’ ปกป้องทักษิณให้แต่พองาม อย่าล้ำเส้น ลั่น!! หลังจากนี้อยากจะรบกันก็เชิญตามสบาย พร้อมเสมอ

(2 ส.ค. 66)  นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน ‘กี่ม้วนจบ’ โดยตอบโต้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทยที่ออกมาปกป้องทักษิณ ชินวัตร แบบล้ำเส้น หาเศษหาเลย พร้อมท้าวัดใจจุดยืนไล่คนตระบัดสัตย์หรือหากต้องการรบกันก็พร้อม นายณัฐวุฒิ หรือ เต้น หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โพสต์เพจเมื่อ 1 ส.ค. 66 เพื่อแก้ต่างให้ทักษิณ 2 กรณี คือ หนึ่งไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับทหารและ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจปี 2557 และสองถึงการอธิบายประวิติศาสตร์ นปช.แตกแยกเพียงด้านเดียวอย่างคลาดเคลื่อน ทั้งที่แยกทางกันมีเหตุมาจากแอบตั้งพรรคเพื่อชาติ ซึ่งไม่ได้บอกพี่น้องสู้รบมาด้วยกัน

นายจตุพร โต้กลับกรณีพรรคเพื่อชาติ ซึ่งเคยอธิบายมาหลายครั้งว่า การพูดครั้งนี้จะไม่เกรงใจกันอีก เพราะนายณัฐวุฒิ ยกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยก่อนเลือกตั้งปี 2562 ตนติดคุกอยู่ นายยงยุทธ ติยะไพรัช คนสนิทของทักษิณ และคณะ นปช. ไปเยี่ยมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พร้อมหารือสถานการณ์ทางการเมืองตามโอกาสอำนวยให้พูดคุยกัน นายยงยุทธ ยกกรณี รธน. 2560 เกี่ยวกับการเลือกตั้งที่กำหนดใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียวกับการออกเสียงสองระบบ คือ สส.เขตและบัญชีรายชื่อ โดยตนมีความเห็นว่ารวมกันแพ้ แยกกันชนะ และนายยงยุทธ บอกว่า ทักษิณ ให้มาช่วยพรรคเพื่อชาติเก็บแต้มให้ฝ่ายประชาธิปไตย แต่ตนขอให้ทักษิณบอกด้วยตัวเอง

นายจตุพร กล่าวว่า ขณะนั้นนายณัฐวุฒิ ยังไม่ถูกตัดสิทธิ์การเมือง แต่ตนติดคุกจึงถูกตัดสิทธิ์ อีกทั้งเคยประกาศเดิมพันไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งถ้า รธน. 2560 ทำประชามติผ่าน จึงยึดเป็นสัจจะวาจา ซึ่งไม่เป็นปัญหาอะไรกับตนเลย

"ผมไม่รู้ทักษิณคิดจะทำอะไร หลังจากออกจากคุก ทักษิณ ได้พูดกับผมว่า ให้มาช่วยพรรคเพื่อชาติ ผมก็รับปาก และไม่รู้ว่าเขาวางแผนคิดจะทำพรรคไทยรักษาชาติอีกพรรคหนึ่ง วันหนึ่งจึงมาพูดกลางวงประชุม นปช.แต่ท้ายที่สุดมีความเห็นแตกต่างกัน"

นายจตุพร กล่าวว่า หลังจากเกิดพรรคไทยรักษาชาติขึ้น นายณัฐวุฒิ พาคณะชุดหนึ่งไปสังกัด ตนพาอีกชุดมาช่วยพรรคเพื่อชาติ แล้วต่อมาจึงรู้ว่า ถูกหลอกตั้งแต่รู้ว่า ลูกชายนายยงยุทธ ไปเป็นเลขาพรรคไทยรักษาชาติ เมื่อผีถึงป่าช้าก็พูดไม่ออก

"ปรากฎว่า มารู้ภายหลังว่า โดนหลอกกันรอบวง คุณหญิงสุดารัตน์ (เกยุราพันธุ์) ไม่รู้เช่นกันว่าทูลกระหม่อมฯ มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ไทยรักษาชาติ ถ้ารู้ก็ไม่มีวันจะกล้าเป็นแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทยเลย ผมพยายามส่งความให้คิดกันให้ดี แต่คณะ นปช.ไม่มีใครฟังผมหรอก"

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อถึงวันรับสมัครเลือกตั้ง พรรคเพื่อชาติกลับเป็นที่สนใจมีผู้สมัครลงเลือกตั้งจำนวนมาก จึงถูกสกัดไม่ให้โตมากเกินไปเพื่อหลีกทางให้พรรคไทยรักษาชาติได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล ถึงที่สุดจึงรู้ข้อมูลว่า เป็นแผนแยกสลาย นปช. เท่ากับทักษิณ เสียสัจจะวาจาต่อตน

ส่วนนายณัฐวุฒิ บอกว่าไทยรักษาชาติมาทีหลัง นายจตุพร กล่าวว่า หากไม่รู้เกมทั้งหมดแล้ว นายยงยุทธ จะเอาลูกชายไปเป็นเลขาธิการพรรคได้อย่างไร แล้วยังเอาน้องสาวไปอยู่พรรคเพื่อไทย ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ร่วมมือกัน

นายจตุพร กล่าวถึงความสัมพันธ์ทางการเมืองว่า นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ นักธุรกิจ เจ้าของห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ถูกจัดวางให้เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ โดยลูกชายไปลง ส.ส.เพื่อไทย และลูกสาวของนายยงยุทธ ลงบัญชีรายชื่อลำดับที่สองพรรคเพื่อชาติ ดังนั้น ความสัมพันธ์นี้จึงเป็นเรื่องเดียวกันและเป็นข้อตกลงที่ถูกวางแผนกันไว้หมด โดยที่ตนไม่รู้มาก่อนจะมีพรรคไทยรักษาชาติอีก แล้วเกมนี้ยังมุ่งแยกสลายองค์กร นปช.ด้วย

สิ่งสำคัญ นายจตุพร ยอมรับว่า ถูกทักษิณหลอก ขณะที่นายณัฐวุฒิ ถ้าคิดภักดีกับพรรคเพื่อไทยจริง เมื่อไทยรักษาชาติถูกยุบพรรค ก็คงไม่ไปตั้งพรรคเส้นทางใหม่ร่วมกับนายจาตุรนต์ ฉายแสง มีออฟฟิตใหญ่โต สวยงามบนพื้นที่ 2 ไร่ที่ปากเกร็ด นนทบุรี ดังนั้น ย่อมพิสูจน์ว่า ถ้าศรัทธาเพื่อไทยจริงจะแยกไปตั้งพรรคเส้นทางใหม่ได้อย่างไร นอกจากนี้ หากนายณัฐวุฒิไม่รู้ว่าถูกหลอกแล้ว เมื่อพิจารณาการจัดลำดับบัญชีรายชื่อไทยรักษาชาติ นายณัฐวุฒิ ได้เป็น ส.ส.เพียงคนเดียวของ นปช. ส่วนคนอื่นอยู่ในลำดับที่ไกลและยากที่จะได้เป็น ส.ส.

"เมื่อต้องการพูดเรื่องนี้กันอีก ทั้งที่พูดกันมาหลายครั้ง และผมยอมรับว่า ถูกทักษิณ หลอก ถ้าไม่พูดกับผมก็ไม่มีวันไปช่วยพรรคเพื่อชาติ และถ้าพาพี่น้องไปไทยรักษาชาติ ถ้ามีโอกาสได้เป็น ส.ส.คนเดียวแล้ว มันไม่ใช่นิสัยผม"

ต่อมามีการยุบสภา นายจตุพร กล่าวว่า ทักษิณได้ส่งสัญญาผ่านบุคคลที่ตนเกรงใจให้กลับไปช่วยกันอีกครั้งหนึ่ง ตนกับนายณัฐวุฒิได้คุยกัน ซึ่งเป็นการคุยกันครั้งสุดท้าย คุยอย่างเป็นทางการ โดยสรุปว่า ตัดสินใจกันอย่างไรก็บอกด้วย แต่ขณะนั้นตนไม่คิดกลับเพื่อไทยเลย แล้วมารู้อีกทีนายณัฐวุฒิ เป็น ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย โดยไม่ได้บอกกันสักคำ

นายจตุพร กล่าวถึง นปช.กลับไปอยู่เพื่อไทยว่า มี 3 คน นายสงคราม จากเพื่อชาติได้เป็น สส. ลูกนายยงยุทธ ลงเขตเชียงราย ได้เป็น ส.ส. แต่อีกคนไม่ได้เป็น ส.ส. ดังนั้น ถ้าไม่มีความสัมพันธ์กัน หรือไม่รู้เห็นกันสถานการณ์นี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ ส่วน คน นปช.นายก่อแก้ว พิกุลทอง ได้ลำดับไกลมากถึงที่ 36 ไม่ได้เป็น ส.ส. สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ทั้งเพื่อไทย เพื่อชาติ และไทยรักษาชาติ มีความสัมพันธ์โยงกันหมด เมื่อ นปช.มาคุยกันก็เป็นคนละเรื่อง ถ้าไม่ใช่ทักษิณวางแผน รู้เห็นกันแล้ว นายสงครามและนายยงยุทธ จะแยกพ่อ ลูก และน้องสาวไปลงต่างพรรคกันได้อย่างไร แล้วยังพากันกลับมาเพื่อไทยในครั้งนี้อีกด้วย ดังนั้น ใครจะพูดอย่างไรก็พูดได้ แต่ข้อเท็จจริงคือ นปช.ที่แยกกันออกไป ต่างลง ส.ส.ในไทยรักษาชาติ และเพื่อชาติ ยกเว้นอาจารย์ธิดา ถาวรเศรษฐ คนเดียวไม่ลง ส.ส.

“ส่วน นปช.ก็แยกกันแล้ว ต่างคนต่างอยู่ดีที่สุด งานบุญก็แยกกันทำแล้ว จะคุยกันทำแมวอะไร ไม่มีประโยชน์ และผมเป็นตัวของผม ไม่ได้ใช้ตำแหน่ง นปช.เลย ครั้งหนึ่งเคยเสนอให้ยุติบทบาท แล้วส่งไม้ให้คนรุ่นใหม่ไป เมื่อไม่เห็นด้วยก็ต่างคนต่างอยู่ อีกอย่างผมไม่ได้ช่วยพรรคการเมืองใด ถ้าณัฐวุฒิมาอธิบายเพื่อปกป้องทักษิณ ก็เอาให้พอดีพองาม อย่าหาเศษหาเลยกัน”

นายจตุพร กล่าวถึงการยึดอำนาจปี 2557 ซึ่งทักษิณ เกี่ยวข้องหรือไม่ ว่า เมื่อนายณัฐวุฒิ โพสต์เองว่า พล.อ.ประยุทธ์ เตรียมการตอนต้นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้วยังไม่เข้าใจสถานการณ์อีกเหรอ เมื่อเลือกตั้งปี 2554 นั้น เพื่อไทยชนะม้วนเดียวจบเนื่องจากคนเสื้อแดงถูกปราบตายร่วมร้อยศพ บาดเจ็บสองพัน สูญสิ้นอิสรภาพนับไม่ถ้วน จนนำไปสู่การเลือกเพื่อไทยได้ 265 เสียง ส่งให้ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกฯ ในการเลือกตั้งและชนะกันนั้น ถ้าสำนึกบุณคุณประชาชน ที่เอาชีวิตเป็นเดิมพันไปต่อสู้จนได้ชัยชนะจากการเลือกตั้ง สิ่งแรกจึงต้องตอบแทนเจตนารมณ์ของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญ อีกอย่างช่วงนี้ เมื่อนายณัฐวุฒิ มีโอกาสเป็นรัฐมนตรีก็ยินดีด้วย

“การตั้งรัฐบาลครั้งแรก ณัฐวุฒิก็อยู่ที่บ้านผม ทักษิณโทรมา ผมขออนุญาตเปิดเสียงให้ณัฐวุฒิได้ยิน ทักษิณถามถึงเรื่องรัฐมนตรี ผมว่าถ้าจะตั้งต้องตั้งทั้งสองคน ถ้าไม่ตั้งก็อย่าเกรงใจ ไม่ต้องตั้งพวกผมก็ได้ ดังนั้น นปช.จึงไม่มีรัฐมนตรีครั้งแรกสักคนเดียว ซึ่งผมไม่มีปัญหา เพราะเป็น ส.ส.อยู่”

นายจตุพร กล่าวว่า การตั้ง ครม.ครั้งสอง นายณัฐวุฒิ ได้เป็น ตนไม่มีปัญหาอะไร แต่ปรับ ครม.ทักษิณ จะเอานายณัฐวุฒิออก เอาตนเข้าแทน ซึ่งตนก็ไม่ให้ความร่วมมือด้วย และไม่เอา เพราะไม่อีนังขังขอบอะไรด้วย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผิดพลาดอย่างยิ่งคือ เมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้ว ก็ใช้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเครื่องค้ำประกันและรักษารัฐบาล เมื่อตนวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ ด้านอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ โทรมาขอไม่ให้วิจารณ์ รวมทั้ง เกิดเรื่องสารพัด และเคยเตือนว่าจะมีการรัฐประหาร

นอกจากนี้ ขบวนการเสื้อแดงยังเหลวแหลกหมด ทักษิณ จัดการสัมพันธ์ตรงไปพบที่ต่างประเทศ แล้วได้สิ่งของราคาแพงมียี่ห้อสูงเป็นของขวัญ แล้วยังส่งไลน์รายงานความเคลื่อนไหวให้ทักษิณรับทราบอีกด้วย แล้วใครจะคิดอยากต่อสู้ในภาคสนามกัน อีกอย่างระบบ นปช.เป็นเรื่องจิตวิญญาณการต่อสู้ ชีวิตแลกชีวิต แต่กลับเอาผลประโยชน์และการพึ่งพา พล.อ.ประยุทธ์ มาเป็นการบริหารจัดการแทนความสามัคคีของมวลชน

“เมื่อณัฐวุฒิ บอกว่า การยึดอำนาจก่อตัวช่วงต้นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แล้วไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะการพึ่งพาพล.อ.ประยุทธ์ คือการละทิ้งประชาชน แล้วยังวางแผนปลด พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ออกจาก รมว.กลาโหม เพราะรู้ทันทหาร อีกอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ขอตำแหน่งต่างๆ ในตำรวจให้พรรคพวก ก็ยังยอมอีก

นอกจากนี้ เหตุการณ์ต่างๆ ได้เดินมาถึงออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย โดยแทรกให้คดีทุจริตเพื่อปลดปล่อยทักษิณ ได้กลับบ้าน เท่ากับเป็นการทำลายความหวังคนเสื้อแดงให้ย่อยยับจนมลายหมดสิ้น ประกอบกับ กปปส. ลงถนนเปิดฉากต่อต้านครั้งใหญ่ แล้วอีกไม่นาน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยึดอำนาจ เพราะทักษิณ สกัดสั่งห้ามเติมกำลังเสื้อแดงไปชุมนุมที่ถนนอักษะ

นายจตุพร กล่าวถึงการชุมนุมเมื่อปี 2553 ว่า นายณัฐวุฒิ รับผิดชอบดูแลทุกอย่างและทั้งงบประมาณ ตนกับนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยในด้านงบประมาณ มาถึงการชุมนุมปี 2557 ได้แบ่งงานกันทำ ทักษิณ รับผิดชอบสั่งการระดมคนมาชุมนุม นปช.รับงานเวทีชุมนุมไม่ยุ่งเกี่ยวงบประมาณ

“ตลอดการชุมนุมจะมีคนรองรังอยู่พื้นที่ชุมนุมจนรุ่งเช้าไม่น้อยกว่า 3- 4 หมื่นคน ส่วนช่วงหัวค่ำมีการระดมคนมาชุมนุมวันละไม่ต่ำกว่า 8 หมื่นถึงแสนคน แต่ 21 พ.ค. 2557 วันที่ พล.อ.ประยุทธ์ นัดให้แกนนำมาคุยหารือตกลงกันที่หอประชุมกองทัพบก

นายจตุพร กล่าวว่า ในช่วงเช้ามืด ก่อนไปพูดคุยตามนัด ตนตระเวณดูพื้นที่ พบผู้ชุมนุมหายแทบหมด เหลืออยู่ประมาณ 3-4 ร้อยคน ตกใจมาก คิดว่าถูกทำงานแล้ว อย่างไรก็ตาม คนเดียวที่ทำงานได้คือ ทักษิณ ถ้าไม่รู้เห็นด้วย คนไม่หายไปขนาดนี้ จึงเท่ากับเปิดโอกาสให้ยึดอำนาจได้ง่ายดายเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 เพราะไม่มีกำลังต่อต้านและสถานการณ์ขณะนั้น เราสู้ไม่ได้แล้ว

"ผมบอกเรื่องนี้ว่า ตั้งแต่เป็นรัฐบาลแล้วยอมเปลี่ยน รมว.กลาโหม ไม่เรียกว่าสมคบคิดกันได้อย่างไร เพราะเกิดวิวัฒนาการตามมาเป็นลำดับ มีการต่อรองกับทหารตามเรื่องราวเป็นตอนๆ ไป อีกทั้งคดีจำนำข้าวใกล้เข้าสู่ช่วงการตัดสิน ชี้ขาด ส่วนเรื่องในศาล รธน.แพ้หมด ช่วงนั้นรัฐบาลเอาสถานการณ์ไม่อยู่แล้ว"

นายจตุพร กล่าวว่า แม้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับงบประมาณการชุมนุม แต่ถูก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กล่าวหามีคนได้ประโยชน์จากงบประมาณจนต้องกลืนเลือด แล้วสุดทนเมื่อทักษิณ ไลน์เป็นข้อความอังกฤษถึงบางคน ซึ่งแปลได้ว่า "เลวมาก" ตนได้แค่อมยิ้ม เพราะรู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และเลือดที่อมไว้ก็ทะลักมาถึงคอหอย แล้วพุ่งสำลักออกมา

"ณัฐวุฒิจะคิดอย่างไรกับผมก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไรเลย และประวัติศาสตร์การต่อสู้หาความสำราญได้ตามสบาย ผมเป็นคนไม่ต้องการอะไรแล้ว ไม่ต้องการคำสรรเสริญเยินยอ ไม่ต้องการแนวร่วมมวลชน หรือให้คนตามมาเห็นด้วยจำนวนมาก เพราะผมผ่านเลยมาหมดแล้ว"

นายจตุพร กล่าวว่า หลังประกาศแยกทางกับทักษิณ อย่างชัดเจน มานั่งจัดรายการ ถ้านั่งวิจารณ์วันเดียวแล้วหยุดจะกลายเป็นคนชั่วทันที เพราะคนจะเชื่อทักษิณ 99 คน เชื่อผมคนเดียว จึงต้องพูดทุกวัน ถ้าไม่จริงให้ออกมาชี้แจ้ง ให้เรียงหน้ากันมาตอบโต้ ซึ่งแกนนำสำคัญ คนใหญ่ๆ ของพรรคเพื่อไทยแทบไม่ตอบเลยอีกทั้ง กล่าวว่า นายณัฐวุฒิ นึกอะไรไม่ออกก็เฉียดกรณีตั้งพรรคเพื่อชาติมาหลายครั้ง ตนก็อธิบายไปทุกครั้งและยอมรับว่าถูกทักษิณหลอก แล้วยังไม่เข้าใจอีกหรือว่า พรรคเพื่อไทย เพื่อชาติ และไทยรักษาชาติ เป็นเรื่องเดียวกันหมด ตัวแสดงสัมพันธ์กัน มีพ่อ-ลูกและน้องสาวโยกย้าย แยกกันลงสมัคร สส.พลัดเปลี่ยนกันไป แล้วมาอยู่ที่เพื่อไทยในขณะนี้

"ถ้าต้องการจะอธิบาย หลังจากนี้อยากจะรบกันก็เชิญตามสบาย ณัฐวุฒิ ไม่กลัวใคร และณัฐวุฒิก็รู้ว่าผมก็ไม่กลัวใครเหมือนกัน ก็มาเลยตามสบาย และหลังจากนี้ไป หากณัฐวุฒิยังจำคำพูดแรกๆ ของตัวเองในเวทีชุมนุมสนามหลวง ที่พูดว่า “ถ้าทักษิณ ไปสมคบคณะยึดอำนาจ จะออกมาไล่ทักษิณเอง" ได้หรือไม่? หากลืมยังมีแผ่นซีดีเอาให้ฟังได้

นายจตุพร กล่าวว่า หลังจากนี้ไปนายณัฐวุฒิ อยู่ในชุดปราศรัย พูดชัดเจนอยู่แล้ว และอย่าคิดเลี่ยงคำลุง เพราะปราศรัยทุกที่ระบุถึงแต่พรรคพลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ไล่หนูตีงูเห่า ไปยำประชาธิปัตย์ที่ภาคใต้ วันใดพรรคเพื่อไทยไปร่วมกับพรรคเหล่านี้ และนายณัฐวุฒิยังอยู่ก็ต้องวัดใจกัน

"เมื่อผมวิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองตระบัดสัตย์ ไม่ได้สนใจว่าเขาจะเป็นใคร ถ้าตระบัดสัตย์วันไหน ที่คุณโพสต์มาคำไหนคำนั้น ไม่ลืม ขณะนี้ก็เป็นเช่นนั้น เราต้องวัดใจกันว่า ถึงเวลาใครจะได้แสดงจุดยืน ซึ่งอาจหมายถึงส้นตีนด้วยก็ได้ แน่นอนการเสียสัจจะวาจาผมรับไม่ได้ ในฐานะประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์พฤษภา 2535 จนเป็นจุดชี้ขาดในเรื่องนายกฯ ตระบัดสัตย์"

ประเทศไทยต้องมาก่อน

'ปู จิตกร' ยกกฎหมาย ตอกกลับ 'อ.นันทนา ม.เกริก' หลังให้ความเข้าใจที่ผิดแก่สังคม ปมการเลือกนายกฯ

ไม่นานมานี้ ปู-จิตกร บุษบา พิธีกรและคอลัมนิสต์ชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า...

เรียน นักการเมืองทั้งหลาย ที่ไปเข้าหลักสูตรของอาจารย์ท่านนี้ที่ ม.เกริก เพื่อจะได้ความรู้หรือได้คำนำหน้าชื่อว่า ดร. ก็ไม่ทราบนั้น

สิ่งที่อาจารย์ท่านนี้กล่าว นับเป็นการให้ ‘ความเข้าใจที่ผิด’ แก่สังคมอย่างมหันต์ จนควรจะลังเลว่า ควร ‘รับการศึกษา’ จากคนผู้นี้หรือไม่

1. คำว่า ‘ประชาชนเขาเลือกมาแล้ว’ ประชาชนเลือก ส.ส. หรือ ‘สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร’ ครับ ไม่ได้เลือกนายกฯ การเลือกตั้งทั่วไปนั้น เป็นการให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือก ส.ส.

2. ตรวจสอบได้จากประกาศ ‘ยุบสภา’ ในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 17 มีนาคม 2566 ความว่า

พระราชกฤษฎีกา ยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ไว้ ณ วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2566 เป็นปีที่ 8 ในรัชกาลปัจจุบัน

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ด้วยนายกรัฐมนตรีได้นำความกราบบังคมทูลฯ ว่า ตามที่สภาผู้แทนราษฎรได้ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่ พ.ศ. 2562 และบัดนี้ได้ปิดสมัยประชุมสามัญประจำปีที่สี่ อันเป็นปีสุดท้ายของอายุสภาผู้แทนราษฎรแล้ว

สมควรยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย อันเป็นการคืนอำนาจการตัดสินใจทางการเมืองให้แก่ประชาชนโดยเร็ว เพื่อให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 103 และมาตรา 175 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้...

มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566”

มาตรา 2 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา 3 ให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไป

มาตรา 4 ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปในวันที่คณะกรรมการ การเลือกตั้งประกาศกำหนด ซึ่งต้องไม่น้อยกว่า 45 วันแต่ไม่เกิน 60 วันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ ใช้บังคับ

มาตรา 5 ให้ประธานกรรมการการเลือกตั้ง รักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

>> การเลือกตั้งที่จะต้องจัดให้มีขึ้นตามประกาศนี้ ชัดเจนว่า เป็น "การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร"

3. หากดูจากบัตรเลือกตั้ง บนสุดของบัตรก็เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ‘บัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร’ ซึ่งปี 2566 นี้ มีบัตร 2 ใบ คือ แบบ ‘แบ่งเขตเลือกตั้ง’ (บัตรสีม่วง) กับแบบ ‘บัญชีรายชื่อ’ (บัตรสีเขียว) จึงเป็นอีกหลักฐานยืนยันเขา คะแนนของประชาชนนั้น เป็นคะแนนเลือก ‘สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร’

4. ผลการเลือกตั้ง (ที่เกิดจากคะแนนการเลือกของประชาชน) พรรคก้าวไกลได้ สส. มากที่สุด

5. รัฐธรรมนูญมาตรา 159 บัญญัติว่า "ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบ บุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี จากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 และเป็นผู้ที่มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ ตามมาตรา 88"

>> ชัดเจนนะครับว่า ประชาชนเลือก ส.ส. // ส.ส. เลือกนายกฯ

คำที่นางนันทนา นันทวโรภาส กล่าวว่า "ประชาชนเขาเลือกมาแล้ว" จึงยุติที่การเลือก สส. ครับ จากนั้นเป็นหน้าที่ของ สส. ที่จะเลือกนายกรัฐมนตรี !!

6. ด้วยเหตุของการมี "บทเฉพาะกาล" อยู่ในมาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งผ่านการลงประชามติของประชาชนชาวไทยแล้ว กำหนดว่า การเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับการ "แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี" ให้กระทำในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา และมติที่ให้ความเห็นชอบบุคคลใดให้เป็นนายกฯ "ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา"

จึงแปลว่า...
>> นายกรัฐมนตรีไม่ได้มาจากการ ‘เลือกตั้ง’ แต่มาจากการ ‘แต่งตั้ง’ โดยความเห็นชอบของสมาชิกมากกว่ากึ่งหนึ่งของที่ประชุมร่วมรัฐสภา
>> สว. จึงมีหน้าที่ต้อง ‘ให้ความเห็นชอบ’ ว่าใครควรเป็นนายกฯ ด้วยศักดิ์และสิทธิ เท่าเทียมกับ สส. ไม่ได้สำคัญมากหรือน้อยไปกว่า สส. แต่ ๑ สิทธิ ๑ เสียงเท่ากัน และจะเกี่ยงงอนมิได้ เพราะเป็น ‘ฉันทามติ’ ที่เรียกว่า ‘ประชามติ’ ของประชาชนแล้ว
>> เพียงแต่ สว.ทำได้แค่ ‘ระหว่าง 5 ปีแรก นับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้’ เท่านั้น จากนั้นก็เป็นการเห็นชอบของสมาชิกสภาผผู้แทนราษฎร หรือ สส. เท่านั้น

7. นางนันทนา นันทวโรภาส ในฐานะ ‘ผู้จัดการศึกษา’ จึงควรตระหนักว่า การสื่อสารสู่สังคม ไม่ควรบิดเบือนข้อเท็จจริง ที่จะเป็นความรู้ เป็นสติปัญญา ในการมองปัญหา ทำความเข้าใจ ต่อความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ และหากไม่แน่ใจในความรู้ หรือความแม่นยำต่อข้อกฎหมายของตนเอง ก็ไม่ควร ‘ให้ความเห็น’ แก่สาธารณะ

8. การที่ สว. ทำหน้าที่เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ในกรณีนี้ คือ ไม่เห็นชอบให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี เช่นเดียวกับที่ สส. อีกจำนวนมาก ก็ ‘ไม่เห็นชอบ’ จึงไม่ใช่การ ‘ไปตรวจสอบเสียงของประชาชน’ อย่างที่นางนันทนากล่าวอ้างแต่อย่างใด เป็นความคิดเห็นที่ ‘เกินเลย’ ไปจากหลักการและข้อเท็จจริงอย่างชัดเจน ดังนั้น การลากความไปถึงมะรง มะเร็ง ทั้งหลาย จึงเป็น ‘ความเลอะเทอะ’ ที่เป็นผลจากความไม่รู้ หรือผิดหลงต่อ ‘หลักการ’ และข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ หรืออาจเจือด้วยความรักชอบส่วนตัวเข้าไปด้วยก็เป็นได้ 

9. สว. จึงมิได้เข้าไป ‘ขัดขวางไม่ให้เสียงที่ประชาชนเลือกได้เป็นนายกฯ’ อย่างที่นางนันทนากล่าว เป็นเพียงการ ‘ทำหน้าที่’ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ซึ่งรัฐธรรมนูญให้ทำได้ทั้งเห็นชอบ ไม่เห็นชอบ หรืองดออกเสียง จะเห็นได้ว่า สว. ส่วนมากเลือกที่จะลงมติว่า ‘งดออกเสียง’ เพื่อแสดงเจตนาว่ามิได้จงใจ ‘ขัดขวาง’ เพียงแต่มิอาจเห็นชอบด้วยความกังวลเรื่อง ม.112 อันเป็นท่าทีของนายพิธา และพรรคก้าวไกล ที่ก็เป็นความกังวลของคนส่วนใหญ่ในสังคม (ที่ไม่ได้เลือกพรรคก้าวไกล) ด้วย

10. ยังน่าแปลกใจว่า การเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งที่แล้ว พรรคเพื่อไทยได้ ส.ส. มากกว่าพรรคพลังประชารัฐ แต่ผู้มีรายชื่อว่าที่นายกฯ ของพรรคเพื่อไทย ก็มิได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (แถมพรรคเพื่อไทยก็มิได้เสนอชื่อคนในบัญชีของตัวเองด้วย กลับไปเสนอชื่อนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งมิใช่พรรคที่ได้จำนวน ส.ส. มากเป็นอันดับ 1 หรือ 2 ด้วยซ้ำไป) ครั้งนั้น นางนันทนาก็มิได้ออกมากล่าวความเห็นเช่นนี้เลยสักแอะ จึงเป็นเหตุให้น่าสงสัยว่า นางนันทนายึดมั่นในหลักการที่ตนเองกล่าวครั้งนี้แค่ไหน

สังคมต้องแยกแยะระหว่าง ‘ถูกต้อง’ กับ ‘ถูกใจ’ ให้ออก

อย่าเอาความ ‘ไม่ถูกใจ’ มาลากพาไปสู่ความ ‘ไม่ถูกต้อง’ โดยไม่เคารพกติกาที่ตรากันไว้ และผ่านการลงมติเห็นชอบโดยประชาชน หากรับกติกาดังกล่าวมิได้ ก็มิควรลงแข่งขันภายใต้กติกานั้น รอให้พ้น 5 ปี กติกาก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ตามที่เคยชิน เคยปฏิบัติกันมาก่อน

จึงขอเรียนไปยัง สส. และผู้คนในแวดวงการเมืองทั้งหลาย ที่ไปลงทะเบียนเรียนในหลักสูตรที่นางนันทนากำกับ อยู่ที่มหาวิทยาลัยเกริก พึงทบทวน

'ณัฐวุฒิ' เชื่อ!! ดร.ทักษิณไม่มีส่วนรู้เห็นกับการยึดอำนาจ ปี 57 ชี้!! แผนการยึดอำนาจ ก่อตัวมาตั้งแต่ช่วงต้น รบ.ยิ่งลักษณ์

(1 ส.ค. 66) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ผมและพี่น้องแกนนำ นปช.ที่ยังคิด คุยร่วมกันอยู่ เห็นตรงกันและเชื่อว่า ดร.ทักษิณ ไม่มีส่วนรู้เห็นกับการยึดอำนาจ ปี 2557

มุมวิเคราะห์ที่แกนนำหลัก 'ทุกคน' เห็นตรงกันตลอด คือ แผนการยึดอำนาจนี้ ก่อตัวมาตั้งแต่ช่วงต้นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ประยุทธ์พูดเองว่าเตรียมการมา 3 ปี กปปส.ชุมนุมไปสักพัก พวกเราก็พูดตรงกันแล้วว่าจะเกิดรัฐประหาร ทฤษฎีสมคบคิดแบบเดิมจากการยึดอำนาจปี 49 ไล่ลำดับเหตุการณ์เป็นแบบเดียวกัน 

ชุมนุมต่อเนื่อง ยุบสภา บอยคอตเลือกตั้ง ขัดขวางการเลือกตั้ง เลือกตั้งโมฆะ เรียกร้องรัฐบาลนอกกติกา สร้างเงื่อนไขปิดทุกทางออก และยึดอำนาจ 

ความขัดแย้งระหว่างบุคคลเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ประวัติศาสตร์องค์กร นปช. กำลังถูกอธิบายด้านเดียว และถูกบันทึกไปเช่นนั้น ทั้งที่หลายอย่างคลาดเคลื่อนไม่ตรงกัน 

>> นปช.ไม่ได้ดำรงสภาพหลายปีแล้ว 
เหตุแยกทางคือ การไม่ได้ยึดถือแนวปฏิบัติที่เราทำกันมา มีการตกลงตั้งพรรคการเมืองกับบุคคลอื่น โดยไม่ได้หารือในที่ประชุม 

ไม่มีใครหลอกได้ ถ้าเราคุยในที่ประชุม ตามที่ผมและ อ.ธิดาเรียกร้องหลายรอบ เรื่องพรรคไทยรักษาชาติมาทีหลัง ไม่เกี่ยวกับช่วงเวลาตั้งพรรคเพื่อชาติ ที่ไปตกลงนอกวง ไม่บอกพี่น้องที่สู้มาด้วยกัน 

'ชัยวุฒิ' ปัดตอบ!! สูตรรัฐบาล 265 เสียง 'ไร้กก.-พรรค 2 ลุง' ชี้!! การเมืองเป็นเรื่องตัวเลข ทำให้เกิดได้หลายสูตร

(1 ส.ค. 66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวพรรคเพื่อไทย เตรียมตั้งรัฐบาล 265 เสียง โดยไม่มีพรรคก้าวไกล และพรรค 2 ลุง คือ พรรค พปชร. และรวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ว่า...

สูตรการเมืองมีได้หลายสูตร เกิดได้จากหลายกลุ่มหลายคน และเกิดได้ทุกสูตร เพราะการเมืองเป็นเรื่องของตัวเลข แต่ต้องรอดูว่าพรรคเพื่อไทย ที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จะสรุปออกมาอย่างไร และเวลานี้ยังไม่รู้จะชัดเจนอย่างไร ยังตอบไม่ได้ว่าสูตรดังกล่าวจะเกิดได้หรือไม่ 

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากเป็นสูตรดังกล่าว พรรคพปชร.มีแนวทางที่จะยกมือโหวตนายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทย ในวันที่ 4 ส.ค.นี้ อย่างไร นายชัยวุฒิ กล่าวว่า เรื่องนี้คงต้องมีการพูดคุยกันในพรรค พปชร.ก่อน และต้องรอดูท่าทีของพรรคเพื่อไทย ที่จะหาหารือกับ 8 พรรคร่วมรัฐบาลในวันที่ 2 ส.ค.นี้ จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนออกมาเป็นอย่างไร เวลานี้ยังไม่รู้ว่าจะจบอย่างไร และเสียงสนับสนุนในสภามีเพียงพอหรือไม่

เมื่อถามว่า หากตั้งรัฐบาล 265 เสียงโดยไม่มีพรรค 2 ลุง รวมถึงพรรคก้าวไกล จะลดแรงต้านของสังคม ทั้งฝ่ายสนับสนุนพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย หรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ต้องถามว่าสังคมไหน สังคมของใคร เพราะในสังคมก็มีหลายกลุ่ม หลายฝ่าย ตนไม่ทราบว่าจะลดแรงเสียดทานสังคมหรือไม่ เพราะสังคมก็มีหลายกลุ่มที่มีเป้าหมายต่างกัน ดังนั้นต้องรอให้มีเหตุการณ์ตามที่มีกระแสคาดการณ์เกิดขึ้นก่อน

‘ไผ่ ลิกค์’ ชงญัตติเข้าสภาฯ ตั้ง กมธ.พิจารณาบุหรี่ไฟฟ้า ชี้!! ต้องมีกฎหมายรองรับ หลังเยาวชนเริ่มใช้อย่างแพร่หลาย

(1 ส.ค. 66) นายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า ในขณะนี้สภาผู้แทนราษฎรได้บรรจุญัตติด่วนที่ตนเสนอไป เพื่อขอให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาผลประโยชน์ของการมีกฎหมายควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าแล้ว โดยตนเห็นว่า ปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้าเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น แต่ยังไม่มีกฎหมายรองรับและวิธีรับมือกับการบริโภค และการนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า แต่สภาพความเป็นจริงเราสามารถพบเห็นการใช้บุหรี่ไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย มีการนำเสนอเพื่อผลกำไรผ่านทางช่องทางสื่ออินเทอร์เน็ต โดยไม่มีการเสียภาษีทำให้รัฐเสียประโยชน์ 

นายไผ่ กล่าวต่อว่า ในส่วนเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างได้รับผลกระทบจากปริมาณการรับซื้อลดลงอย่างมาก ทั้งจากมาตรการด้านสุขภาพและการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า จนทำให้ราคาใบยาสูบตกต่ำมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งข้อมูลข้อดีข้อเสียของบุหรี่ไฟฟ้า โทษต่อสุขภาพของบุหรี่ไฟฟ้า ยังเป็นที่สงสัยว่าเป็นโทษต่อร่างกายมากน้อยเพียงใด 

"ผมจึงขอเสนอให้สภาฯ มาศึกษา และวางแนวทางเพื่อออกกฎหมายในการกำกับดูแลบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเร่งด่วน เพราะขณะนี้เด็กและเยาวชนมีการใช้การอย่างแพร่หลาย ทั้งที่แนวทางบุหรี่ไฟฟ้าของประเทศไทย ยังไม่มีงานวิจัยที่สามารถยืนยันได้อย่างแน่ชัดว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่มวนหรือไม่ มีแต่การกล่าวอ้างว่า ไอของบุหรี่ไฟฟ้าส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและโรคมะเร็ง ซึ่งถือเป็นประเด็นที่น่าเป็นห่วงถึงผลกระทบต่อสุขภาพจากบุหรี่ไฟฟ้า จึงต้องมีการออกมาตรการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น" นายไผ่ กล่าว

'สุกัญญา มิเกล' ลั่น!! อีก 4 ปี ค่อยจ่ายภาษี จ่ายแล้วไม่ได้ประโยชน์

เมื่อวานนี้ (31 ก.ค. 66) ดารานักร้องเสียงห้าว สุกัญญา มิเกล มาร่วมพิธีบวงสรวง ซีรีส์ High School Bully ที่ ม.กรุงเทพ รังสิต หลังจากเสร็จพิธีกรเจ้าตัวได้ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องที่ตั้งแต่ออกมาคอลเอาท์ก็โดนบูลลี่หนัก

ทุกวันนี้ยังโดนบูลลี่อยู่มั้ย? “ก็ยังมีเรื่อยๆ นะ เราอยู่ในโหมดกีฬาสีเหลืองแดงนี่โดนประจำ อยู่ทางไหนอีกฝั่งก็ถล่ม เป็นเรื่องปกติ”

พอก้าวผ่านมาได้แล้วยังเจ็บปวดอยู่มั้ย? “นี่ไปบำบัดจิตมานะ ถ้าไม่ไปบำบัดจิตน่าจะไม่ดีขึ้น แต่ก็ยังเหลือเชื้อบ้าง บางอย่าง คือพอดีมีครูลี่เป็นนักบำบัดไปเรียนมาจากต่างประเทศ เราก็เลยได้ไปอยู่ 3 ครั้ง เหมือนเข้าคอร์สสำหรับเคลียร์จิตใต้สำนึกเลย

หลังจากนั้นเราก็รู้สึกว่าเรามองหาสิ่งที่เป็นข้อดีของตัวเรา ดังนั้นเวลาที่เขาบูลลี่หรือด่าเรา เราจะไม่รู้สึก เพราะมันไม่ใช่ความจริง สิ่งที่เป็นจริงคือสิ่งที่เรารู้อยู่ว่าเราทำอะไร และตั้งมั่นว่าเรารับรู้อย่างชัดเจนว่าเราทำอะไร และเราทำเพื่ออะไร มันเป็นผลร้ายหรือผลดีกับใคร

พอเรารับรู้แล้วมันก็เป็นเสียงภายนอก เป็นมุมมองของแต่ละคน ซึ่งเราก็เคารพ ก็ว่าจะฟ้องหลายทีแล้ว แต่ยังไม่กล้าฟ้องใครเลย ชาวเน็ตนี่แหละ พอไปดูโปรไฟล์แล้วแต่ละคนก็น่าสงสารพอๆ กับเราเลย (หัวเราะ)”

พอเราออกมาคอลเอาท์เรื่องการเมืองบ่อยๆ โดนหนักเลยมั้ย? “ก็โดนหนัก เรื่องของงานบางทีบางคนก็อยากได้งานจากเรา แต่พอบรรดาผู้บริหารเห็นก็ไม่เอาก็มี หรือบางร้านที่อยากเอาเราไปเล่นก็กลัวว่าฝั่งตรงข้ามจะมาสร้างปัญหาภายในร้าน ก็เลยไม่เอาเราไปเล่นก็มี”

คิดจะเพลาๆ ลงมั้ย? “เพลาเพื่อ เรายังจ่ายภาษีอยู่ ถ้าไม่จ่ายและมันไม่เอาภาษีเราแล้ว เราจะหยุด บอกว่าไม่จ่ายแล้วไม่ผิดเราจะหยุดเลย อย่างเลือกตั้ง 4 ปีครั้งนึงเนี่ย กะว่าอีก 4 ปีค่อยจ่ายภาษี เพราะจ่ายไปแล้วมันไม่ได้ประโยชน์อะไร เลือกไปแล้วไม่ได้มา”

ตอนนี้สภาพจิตใจกลับมา 100% หรือยัง? “ค่อนข้าง 100 จะมีบางช่วงที่เครียดมากๆ พอเครียดมากๆ อาการดิ่งก็จะกลับมา แต่ดิ่งล่าสุดคือเกี่ยวกับเรื่องชีวิต เรื่องที่อยู่อาศัย แต่มันน้อยมากเลยถ้าเทียบกับเมื่อก่อนนี้จะเป็นตลอดเวลา เรียกว่าเป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง

แต่คนข้างนอกไม่รู้ เพราะเราไม่เคยไปบอกใคร และเวลาที่ไปออกทีวีมีรายการมาเชิญไป เราก็ทำตามหน้าที่ที่เขามีเป้าหมายให้เราไปออก ดังนั้นเราก็เลยไม่เคยแชร์สิ่งที่มันเป็นความจริงของเราเลย

ดังนั้นคนภายนอกก็จะไม่รู้ว่าเกิดสถานการณ์อะไรกับเราบ้าง และเราก็มองว่าคนรุ่นวัยเรา ศิลปินไม่ได้มีหน้าที่มาร้องโวยวายหรือเรียกร้องอะไร มีหน้าที่คือมีงานมาก็ทำตามหน้าที่ และเวลาเจอแฟนคลับ เราดูแลเขา เราให้ความสุขกับเขา ไม่ใช่เอาความทุกข์ของเรามาให้เขาแบบ เราคิดแบบนี้นะ ดังนั้นก็เลยไม่ค่อยมีใครรู้ว่าเราเจออะไรมาบ้าง”

เรื่องที่อยู่อาศัยคือยังไง? “คือเวลาที่เราไปเป็นฝั่งประชาธิปไตย แล้วเขาไม่พอใจ ก็อยากให้เราออกเร็วๆ ก็ไม่เป็นไร อันนั้นเรื่องของเรา ตอนนี้ก็กำลังทำเรื่องเคลียร์อยู่ ต้องเป็นไปในทางที่ดีสิ (ยิ้ม)”

แฟนหรือคนรอบข้างมีส่วนช่วยมั้ย? “ช่วยมากนะ ลูกชายจะคอยฮีลใจเรา เวลาที่เราย่ำแย่ เขารู้แหละ พอเรามีสถานการณ์ที่เริ่มบีบเรา เขาก็จะมาบอกว่าหม่ามี้ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวมันต้องผ่านไปนะ เขาจะคอยทำเรื่องตลกๆ ให้เราสบายใจ คือไม่ทำตัวสร้างปัญหาให้เราเครียดมากขึ้น

อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ลูกช่วยแม่ได้ ลูกชายตอนนี้ก็วัยรุ่นแล้ว 14 แล้ว เขาเข้าใจมาตั้งแต่ 6-7 ขวบแล้วแหละ เวลาเราถามเขาว่าหนูรู้สึกแย่มั้ย เขาก็จะบอกว่าผมไม่ๆ อย่างนึงเขาอาจจะรู้สึกแหละบางเรื่อง แต่เขาก็พยายามจะแข็งแรงเพื่อเรา”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top