Wednesday, 26 June 2024
POLITICS

‘บิ๊กตู่’ ฉุน!! ถูกสื่อจี้ถามวันยุบสภาฯ ปัด ไม่ใช่ 21 มี.ค. โวย จะรีบร้อนอะไรนักหนา ประชดบอก “พรุ่งนี้ก็แล้วกัน”

‘บิ๊กตู่’ หงุดหงิดหลังถูกซักถึงวันยุบสภา ปัด ไม่ใช่ 21 มี.ค. ประชดบอกพรุ่งนี้ก็แล้วกัน ยัน คุยกับ ‘เสี่ยหนู’ ตอบทุกเรื่อง ปัด รทสช. อยู่เบื้องหลัง ‘ชูวิทย์’ ถล่มภูมิใจไทย หวานหยด ยังรักและเคารพ ‘บิ๊กป้อม’ เหมือนเดิม แต่เรื่องร่วมรัฐบาลคุยกันทีหลัง

(28 ก.พ. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ว่า ได้มีการพูดคุยกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยมาโดยตลอด คุยกันทุกเรื่อง

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการคุยกันถึงกรณีที่มีการมองกันว่าที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองออกมา เคลื่อนไหวและ เปิดเผยข้อมูล ในลักษณะการโจมตีพรรคภูมิใจไทย เป็นการรับงานมาจากพรรครวมไทยสร้างชาติ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวปฏิเสธว่า “ไม่ได้เกี่ยวหรอกไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผม ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผม เพราะผมบอกแล้วว่าวันนี้ผมเป็นนายกรัฐมนตรีผมจำเป็นต้องรักษาความเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอยู่แล้ว เพราะรัฐบาลร่วมกันมาเกือบสี่ปีแล้ว ในส่วนของพรรคการเมืองผมก็ได้ให้นโยบายไปกับผักไปแล้วว่าจะไม่ไปก้าวล่วงใครทั้งสิ้น เราต้องเป็นสุภาพบุรุษทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์กติกา ผมไม่ได้ไปก้าวล่วงใคร ใครจะว่าอย่างไรผมก็เฉย ๆ ของผม เพราะถือว่าเป็นเรื่องของการหาเสียงก็ว่ากันไป”

ผู้สื่อข่าวถามว่า แล้วในส่วนของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้มีการพูดคุยกันแล้วหรือยัง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ก็คุยกันตลอดเวลาละจ้ะ วันนี้ฉันก็คุยกันมาตั้งแต่เช้าแล้ว ก็ยังรักเคารพเขาเหมือนเดิมนั่นแหละ คราวนี้ใครจะพูดอะไรก็ว่ากันไป ใครเขียนใครจะเขียนก็เขียนกันไปเถอะ จะกี่ร้อยก็ว่ากันไปเถอะ”

เมื่อถามว่า หากอนาคตพรรครวมไทยสร้างชาติโดยเป็นการนำการจัดตั้งรัฐบาล พูดได้หรือไม่ว่าจะมีพรรคพลังประชารัฐของ พล.อ.ประวิตร เข้าเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็รอไว้ให้มันเลือกตั้งแล้วก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน เค้าไม่พูดกันตอนนี้หรอก เขาไว้พูดกันตอนที่เลือกตั้งเสร็จแล้ว ก็ยังไม่ขอพูดอะไรทั้งนั้น เรื่องของพรรคก็เป็นของส่วนพรรค ก็อยู่ที่ประชาชนจะเลือกตั้งมากน้อยก็ว่ากันมา แต่การจะร่วมรัฐบาลนั้นก็คุยกันทีหลังอยู่แล้ว ที่ผ่านมา ตนก็อยู่ในกระบวนการเหล่านี้อยู่แล้วทุกอย่าง พูดทีหลังทั้งหมดไม่ใช่มาพูดกันก่อน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้เคยพูดคุยกับ พล.อ.ประวิตรหรือไม่ว่า จะไปร่วมมือกับพรรคเพื่อไทย ภายหลังการเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมไม่ได้ถามอะไรหรอก ก็เป็นสิทธิของท่าน แต่ท่านก็บอกว่าท่านไม่ได้พูดว่าจะไปจับมือกับใคร ท่านบอกกับผมอย่างนั้น ท่านบอกว่าไม่เคยไปให้สัญญาอะไรกับใครไว้ทั้งสิ้น”

‘โรม’ ยื่นหลักฐานต่อ ผบ.ตร. ฟัน ‘ส.ว.ทรงเอ-ไทยดำจีนเทา’ ชี้ บางชิ้นยังไม่เคยเผยที่ไหน เตรียมยื่นต่ออัยการสูงสุด-ก.ต.

(28 ก.พ. 66) ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล ยื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบเอาผิด ส.ว.ทรงเอ สืบเนื่องการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 ประเด็นความเกี่ยวข้องระหว่าง ส.ว.ทรงเอ หรือ นายอุปกิต ปาจรียางกูร กับนักธุรกิจชาวเมียนมา ที่มีข้อครหาเรื่องการฟอกเงินและการค้ายาเสพติด

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตามที่ตนอภิปรายในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ ส.ว.ทรงเอ และไทยดำจีนเทา มีหลักฐานต่าง ๆ ที่เชื่อว่าเป็นประโยชน์ในการทำคดี ทั้งกรณีของ ส.ว. ทรงเอ และ ไทยดำจีนเทา ที่เกี่ยวข้องไปถึงนายกรัฐมนตรี และเนื่องจากวันนี้เป็นวันสุดท้ายในสภาฯ ชุดนี้ เอกสิทธิ์และความคุ้มกันของ ส.ส.จะไม่มีอีกต่อไป จึงขอเริ่มต้นด้วยการยื่นหนังสือต่อ ผบ.ตร. โดยหลักฐานเอกสารที่เตรียมมา บางส่วนไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน เชื่อว่าจะช่วยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น

ประกอบกับวันนี้ ตนทราบว่า ผบ.ตร. จะชี้แจงกรณี พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 ตนจึงต้องยื่นหนังสือถึง ผบ.ตร. เพื่อให้การทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจทำได้ดีมากยิ่งขึ้น ยืนยันว่า การยื่นหนังสือจะไม่หยุดเพียงเท่านี้ เพราะตั้งใจจะไปยื่นกับอัยการสูงสุดด้วย เนื่องจากบางประเภทคดี เป็นคดีนอกราชอาณาจักร รวมถึงยื่นต่อสำนักคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการถอนหมายจับ ส.ว.ทรงเอ

‘ก้าวไกล’ บุกศูนย์ร้องเรียนฯ ยื่นหลักฐานปมทุจริตบ้านพักทหาร ตามคำท้าของ ‘บิ๊กตู่’ จี้ หากยังนิ่งเฉย พร้อมยกระดับกดดัน

(28 ก.พ. 66) ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ยื่นหลักฐานกรณีทุจริตบ้านพักสวัสดิการทหาร ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่เหตุกราดยิงโคราชเมื่อปี 2563 สืบเนื่องจากการอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ที่นายปดิพัทธ์อภิปรายประเด็นดังกล่าว และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ท้าให้ส่งหลักฐาน

นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ในการอภิปรายมาตรา 152 ที่ผ่านมา ตนได้เปิดเผยหลักฐานที่ส่วนใหญ่มาจากผู้เสียหาย คือ คุณก้อยและคุณเบิร์ด (นามสมมุติ) ว่า การทุจริตบ้านพักสวัสดิการทหาร มีการเรียกรับสินบน 5% และอมส่วนต่างค่าบ้าน จนนำไปสู่ความกดดันของทหาร ทำให้เกิดเหตุกราดยิงโคราช เรื่องนี้เป็นที่รับรู้ภายในกองทัพ แต่ไม่มีการลงโทษใด ๆ

เมื่อคุณก้อยยื่นหลักฐานไปยังกรมสวัสดิการทหารบกและกระทรวงกลาโหม ก็ปรากฎว่าไม่ได้รับความยุติธรรม มีการลงโทษผู้กระทำผิดเพียงงดบำเหน็จครึ่งปี ส่วนอีกคนหนึ่งกักตัวแค่ 7 วัน ทำให้เราเห็นถึงความไม่ชอบธรรม ทั้งที่ผู้บัญชาการทหารบกน่าจะรับรู้เรื่องทั้งหมด และการที่โครงการบ้านพักทหารเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2553 และสิ้นสุดโครงการในปี 2564 เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี เป็นช่วงเวลาที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประยุทธ์จึงควรมีส่วนรับผิดชอบด้วย

อย่างไรก็ตาม ผ่านมากว่า 2 สัปดาห์หลังการอภิปรายมาตรา 152 นายกฯ ยังคงไม่มีคำตอบในเรื่องนี้ กลับท้าว่าหากมีหลักฐานให้นำมายื่น ซึ่งก่อนหน้านี้ ผู้เสียหายพยายามยื่นเรื่องไปยังทุกช่องทางของกองทัพแล้ว การมาที่นี่วันนี้ จึงเป็นการพิสูจน์รอบสุดท้ายว่านายกฯ ได้รับเรื่องร้องเรียน และหวังว่าหลักฐานจะถึงมือนายกฯ

‘เสี่ยหนู’ ตอบปมพิพาท ‘ชูวิทย์’ เชื่อ ปชช.แยกแยะได้ เผย รู้ตัวคนอยู่เบื้องหลัง แต่ไม่พูด ลั่น!! ทำงานดีกว่า

(28 ก.พ. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีพิพาทกับนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ว่า…

“ทำงานดีกว่า ไม่ให้ราคา ก็คือไม่ให้ราคา”

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทราบหรือไม่ว่า ใครอยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนของนายชูวิทย์ นายอนุทิน ตอบว่า รู้ แต่ไม่พูด

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า แล้วจะจัดการนายชูวิทย์อย่างไร นายอนุทินตอบว่า เห็นคนจะปองร้าย ก็ต้องหลบ ไม่ปะทะ

“มาถึงจุดนี้ ผมเชื่อว่าประชาชนมองออกว่าอะไรเป็นอะไร”

เมื่อถามถึงเรื่องที่นายชูวิทย์พาดพิงนายเนวิน ชิดชอบ นายอนุทินตอบว่า ท่านก็ยังตกใจ เพราะก็อยู่บ้านดี ๆ เอาเข้าจริงพวกเราไม่เคยสู้กับใคร ทำงานอย่างเดียว

‘ธนกร’ ปัด ‘รทสช.’ อยู่เบื้องหลังพาชูวิทย์บุกทำเนียบ ชี้!! ที่ผ่านมา ก็วิจารณ์นายกฯ มาตลอด 1 ปี

(28 ก.พ. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เข้ายื่นหนังสือกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่ทำเนียบรัฐบาล หลายฝ่ายมองว่าเป็นเกมการเมือง ว่า ไม่ได้เกี่ยวกับพรรค รทสช. ต้องมองว่าที่ผ่านมาตลอดระยะเวลา 1 ปี นายชูวิทย์ก็วิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาโดยตลอด นายกฯ ก็ไม่เคยตอบโต้เลย ตนเองก็รู้จักกับนายชูวิทย์ เดินสวนกันไปมาหลายครั้ง ก็ไม่เคยโกรธ เพราะนายชูวิทย์ก็ทำหน้าที่ของเขา ดังนั้น ต้องให้ความเป็นธรรมกับพรรคด้วย ว่าพรรค รทสช.ไม่ได้อยู่เบื้องหลัง หรือไม่ได้เกี่ยวข้องกับนายชูวิทย์ ต่างคนต่างมีหน้าที่

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ติดใจตรงที่นายพีระพันธุ์ มารับหนังสือจากนายชูวิทย์ด้วยตัวเอง นายธนกร กล่าวว่า นายพีระพันธุ์มารับหนังสือในฐานะเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งความจริงไม่มีอะไร และหากย้อนดู หลายเรื่องที่นายชูวิทย์พูดก็มีประโยชน์ ซึ่งรัฐบาลก็ดำเนินการมาตลอด ตรงไหนที่ยังไม่ได้ทำ เราก็จะดำเนินการ

“เรื่องนี้อย่าไปคิดว่าพรรคไหนอยู่เบื้องหลัง และความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยกับนายกรัฐมนตรี ก็ดีมาตลอด ไม่มีปัญหาอะไรกันเลย ให้เกียรติซึ่งกันและกันมาโดยตลอด เรื่องนี้ต้องแยกออกจากกัน การวิพากษ์วิจารณ์ของนายชูวิทย์ เป็นสิ่งที่เขาสามารถทําได้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกผม” นายธนกร กล่าว

‘บิ๊กป้อม’ หนุนโครงการน้ำบาดาล จ.ตรัง สร้างความมั่นคงระดับชุมชน มีน้ำสะอาดใช้-ดื่มฟรี

(27 ก.พ. 66) พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รมว.ศธ., รมช.กห. และคณะ ได้เดินทางไปปฏิบัติราชการต่อเนื่องจากช่วงเช้า-บ่าย ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ได้เป็นประธานการประชุม กพต. และพบปะผู้นำศาสนา-ชุมชนในพื้นที่ จ.สตูล 

ต่อจากนั้นในช่วงเย็น พล.อ.ประวิตร และคณะได้เดินทางต่อไปยัง จ.ตรัง เพื่อติดตามโครงการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อความมั่นคงระดับชุมชน ณ บ้านพรุท่อม ต.นาโต๊ะหมิง อ.เมือง จ.ตรัง โดยมีนายขจรศักดิ์ เจริญโสภา ผวจ.ตรัง ให้การต้อนรับ พร้อมรายงานภาพรวมในพื้นที่ของจังหวัด ต่อด้วย รองเลขาฯ สทนช. นำเสนอแผนงานด้านทรัพยากรน้ำและการคาดการณ์สถานการน์น้ำในพื้นที่ภาคใต้ และรองอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ได้รายงานสรุปโครงการพัฒนาน้ำบาดาล เพื่อความมั่นคงระดับชุมชน ซึ่งเป็นโครงการน้ำบาดาลเพื่ออุปโภค-บริโภค งป.ปี 65 ความลึกเจาะ 90 ม. ได้ปริมาณน้ำ กว่า 20 ลบ.ม./ชม. ช่วยประชาชนประหยัดค่าใช้จ่ายจากที่เคยซื้อน้ำดื่มได้ปีละ 1.8 ล้านบาท 500 ครัวเรือน

‘พปชร.’ ไม่ติดใจ ‘บิ๊กตู่’ ตีกินนโยบาย ชี้!! ย้อนดู 8 ปีก็รู้...ว่าผลงานใคร

(27 ก.พ. 66) นายอุตตม สาวนายน แกนนำพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงนโยบายต่าง ๆ ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ประกาศบนเวทีปราศรัยที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 25 ก.พ.66 ซึ่งพบว่า มีหลายนโยบายทับซ้อนกับของพรรคพลังประชารัฐ ว่า พรรคพลังประชารัฐไม่ได้ซีเรียสในเรื่องนี้ โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคฯ ซึ่งได้ประกาศชัดเจนก่อนหน้านี้ว่า อะไรที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ พรรคพลังประชารัฐยินดีให้การสนับสนุน ไม่ต้องการเอาชนะคะคานกันในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชน ต่างก็รับทราบดีว่า นโยบายต่าง ๆ มีขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด ใครเป็นคนคิดริเริ่มและผลักดันจนเป็นรูปธรรม เพียงแต่ในการบริหารราชการแผ่นดิน ทุกเรื่องจะต้องผ่านความเห็นชอบของ ครม. ซึ่งมีนายกฯ เป็นหัวหน้า ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะหิ้วเอานโยบายเหล่านั้น ติดตัวไปอยู่พรรคอื่นด้วย

นายอุตตม กล่าวต่อว่า อย่างนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ก็แค่ย้อนกลับไปดูว่า โครงการนี้เปิดให้ผู้มีรายได้น้อยลงทะเบียนครั้งแรกในปี 2559 ซึ่งขณะนั้น คนที่เข้ามาคุมนโยบายเศรษฐกิจให้รัฐบาล คสช. คือ ท่านสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ ตั้งแต่กลางปี 2558 ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ มอบหมายให้ท่านสมคิด กำกับดูแลหน่วยงานด้านเศรษฐกิจและที่เกี่ยวข้อง 9 หน่วยงาน คือ กระทรวงการคลัง, กระทรวงการต่างประเทศ, กระทรวงเกษตรฯ, กระทรวงคมนาคม, กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ, กระทรวงอุตสาหกรรม, สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ขณะที่ผม และท่านสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ก็เข้าร่วม ครม.ไปเป็นรัฐมนตรีคุมกระทรวงด้านเศรษฐกิจ ภายใต้การกำกับดูแลของนายสมคิด ซึ่งได้มีนโยบายต่าง ๆ ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เฉพาะแค่โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

นายอุตตม กล่าวอีกว่า เมื่อผมทำหน้าที่หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ผ่านการเลือกตั้งปี 2562 แล้ว ส.ส.ทุกคนของพรรคพร้อมใจกันเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็นนายกฯ ท่านสมคิด และพวกผมก็ยังร่วม ครม.คุมกระทรวงด้านเศรษฐกิจ เดินหน้าผลักดันนโยบายที่ริเริ่มเอาไว้อย่างต่อเนื่อง กระทั่งพวกผมลาออกจาก ครม.ในปี 2563 

“ย้อนดูไทม์ไลน์ช่วง 8 ปี ก็จะรู้ว่า ใครเป็นผู้ริเริ่มและผลักดันนโยบายเหล่านี้ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ ถ้าพรรคไหนเห็นว่านโยบายของเราดี จะนำไปสานต่อ พรรคพลังประชารัฐและ พล.อ.ประวิตร ก็ยินดี ไม่ขัดข้องอะไร” นายอุตตม กล่าว

ขณะที่ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรมว.พลังงาน แกนนำพรรค ให้ความเห็นว่า นโยบายต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นการริเริ่มของท่านสมคิด อดีตรองนายกรัฐมนตรี และพวกตน ตั้งแต่ช่วงรัฐบาล คสช.ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง จึงถือได้ว่าเป็นผลผลิตของพรรคพลังประชารัฐ ทั้งโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ รวมถึง EEC

‘โรม’ ฝากสื่อกระตุก ‘ประยุทธ์’ ก่อนเข้าที่ทำการพรรค รทสช. อย่าตีมึน ควรตอบสังคมปมที่ดิน ‘ส.ว.อุปกิต’ ให้ชัด!!

(27 ก.พ. 66) รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ขอให้สื่อมวลชนร่วมติดตามกรณีอื้อฉาวของ อุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ทำการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หลังจากการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามมาตรา 152 ที่ผ่านมา ได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง ส.ว. รายดังกล่าว กับ นักธุรกิจชาวเมียนมา ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด ไปจนถึงขบวนการค้าอาวุธสงคราม แต่จนถึงวันนี้กลับยังไม่มีความชัดเจนจาก พล.อ. ประยุทธ์

ล่าสุด พล.อ. ประยุทธ์ จะเดินทางไปเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ณ ที่ทำการพรรครวมไทยสร้างชาติ จึงขอฝากคำถามผ่านผู้สื่อข่าว ไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของตำรวจ ต้องตอบให้ได้ว่าในเมื่ออุปกิต มีข้อครหาเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดและการฟอกเงิน พล.อ.ประยุทธ์ จะดำเนินการเรื่องดังกล่าวอย่างไร

เพราะที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยมีคำตอบใดให้สังคม และใช้ความเงียบเพื่อเลี่ยงตอบปัญหา จนน่าสงสัยว่าเป็นความตั้งใจทำให้สังคมลืม เพื่อปกป้องอุปกิต ซึ่งเป็นเป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบนที่ทำการปัจจุบันของพรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่ เพราะผลประโยชน์ทับซ้อน ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างที่ควรจะเป็นหรือไม่

จับตา สนามเลือกตั้ง 'เมืองหมูย่าง' ที่อาจจะ 'ไม่หมู' สำหรับการ 'ยกจังหวัด' ของ 'ประชาธิปัตย์'

จังหวัดตรัง หรือ 'ทับเที่ยง' เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่อง สถานที่ท่องเที่ยวที่มี ทะเลสวยงาม เกาะแก่ง ที่เหมาะแก่การพักผ่อน และดำน้ำดูปะการัง ที่โด่งดังในการจัดงาน 'วิวาห์ใต้สมุทร' ใน 'วันวาเลนไทน์' และมีอาหารขึ้นชื่อคือ 'หมูย่าง' และต้นตำรับ 'เค้กลำภูรา' ที่เชิดชูหน้าตาของเมืองทับเที่ยง แห่งนี้ 

ในส่วนของเรื่อง 'การเมือง' จังหวัดตรังคือมาตุภูมิ ของ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร อดีต นายกรัฐมนตรี และ อดีต หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ทุกคนยอมรับในความ 'ซื่อสัตย์ สุจริต' เป็น นักการเมือง 'มือสะอาด' คนหนึ่งของประเทศไทย 

ในการเลือกตั้งเลือกตั้งที่ผ่าน ๆ มา สนามเลือกตั้งของ จ.ตรัง “พรรคประชาธิปัตย์ ไม่เคยเสียที่นั่งให้กับพรรคการเมืองอื่นเพราะ” ชื่อชั้น ของนายหัวชวน เป็นเครื่องหมายการค้า ที่ประชาชนยอมรับ ดังนั้นไม่ว่าจะส่งใครลงสนาม 'ประชาชน' ยินดีที่จะกาบัตร ให้เป็นผู้แทน โดยไม่มีข้อกังขา แต่ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ในเขตเลือกตั้งที่ 1 ซึ่งเป็นเขตเลือกตั้งของนายหัวชวน ถูกนักเลงดี จากพรรคพลังประชารัฐ นายนิพนธ์ ศิริพันธ์ ที่เป็นอดีต รอง ผวจ.ตรัง ปาดหน้าหมอสุกิจ นพ.สุกิจ อัตโถปกรณ์ สส.หลายสมัย จากประชาธิปัตย์เข้าป้ายชนิดลอยลำเป็น ครั้งแรกในรอบหลายสิบปี ที่สร้างความปราชัย ให้กับประชาธิปัตย์ ในสนามเมืองหมูย่าง แห่งนี้ 

เลือกตั้งในปี 2566 สนามเมืองหมูย่าง มีการเพิ่มเขตเลือกตั้งจาก 3 เขต เป็น 4 เขต โดยเขต 1 'ประชาธิปัตย์' ถอด นพ.สุกิจ อัตโถปกรณ์ ออก และส่ง  นพ.ตุลย์กานต์ มักคุ้น “คนใกล้ชิดคนในครอบครัว” หลีกภัย ลงแทน ซึ่งในเขตนี้ 'พลังประชารัฐ' ส่ง 'กิตติพงษ์ ผลประยูร' อดีตที่ดินจังหวัดตรังลงแทน 'นิพันธ์ ศิริธร' ที่ไม่ไปต่อในการเลือกตั้งครั้งนี้ เขต 2 ประชาธิปัตย์ ส่ง สาทิตย์ วงศ์หนองเตย เสี่ยตาล ลง ป้องกันตำแหน่ง กับ ทวี สุระบาลจากพลังประชารัฐ เขต 3 ประชาธิปัตย์ ส่ง สุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ ลงป้องกันตำแหน่งกับ พ.ต.ท. ณัฐพงศ์ เรืองนัฐพงษ์ เขต 4 ประชาธิปัตย์ โดย โกหนอ สมชาย โล่สถาพรพิพิธ หักด่านคนในตระกูล หลีกภัย ไม่ส่งสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการนายชวน หลีกภัย อดีต สส.เขตนี้ และส่งกาญจน์ ตั้งปอง ซึ่งเป็น นักการเมืองท้องถิ่นสายเลือดใหม่ ลงในเขตนี้แทน โดยอ้างว่า สมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล มีคะแนนในการทำโพล ไม่ผ่าน และเป็นเหตุให้ สมบูรณ์ ลาออกจากประชาธิปัตย์ และ ลงสมัครรับเลือกตั้งในเขต 4 สังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ส่ง 'ลุงตู่' พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เป็น 'นายกรัฐมนตรี' สมัยที่ 3 ส่วน 'พลังประชารัฐ' ส่ง พล.ต.ต.บรรลือ ชูเวทย์ อดีต ผู้การจังหวัดตรังลงแข่ง 

ในขณะที่ พรรคภูมิใจไทย ซึ่ง 'ขุนพลภาคใต้' พิพัฒน์ รัชกิจประการ รมต. กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ประกาศชัดว่า จะของแบ่ง ส.ส.ในภาคใต้ 16 ที่นั่งนั้น ได้เปิดตัว ผู้สมัครใน จ.ตรัง ที่แน่ชัดแล้ว 2 เขต ได้แก่ นพ.รักษ์ บุญเจริญ ในเขต 1 เพื่อต่อสู้กับ นพ ตุลกานต์ มักคุ้น ที่มี ดีกรี ของหมอเหมืนกัน และส่ง ดิษธัชนิน ภาคอิฐคน์ ลงในเขตเลือกตั้งที่ 4 เพื่อสู้กับ กาญจน์ ตั้งปอง จากประชาธิปัตย์ และ สมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล จากรวมไทยสร้างชาติ 

ที่ต้องจับตามองคือ ดิษธัชนิน  ไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็น หลานชายแท้ๆของ โกหนอ สมชาย โล่สถาพรพิพิธ ซึ่งถูกมองว่า ครั้งนี้คือ ผู้ที่เป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งตัวจริงของประชาธิปัตย์ จังหวัดตรัง หาใช่กิจ หลีกภัย ที่เคยเป็นแม่ทัพ ในการ ดูแลการเลือกตั้ง ใน จ.ตรัง เหมือนที่ผ่านๆมา ซึ่งคนในเขตเลือกตั้งที่ 4 กำลังจับตามองว่าในที่สุดแล้ว ระหว่างหน่อจากไผ่กอเดียวกันอย่าง 'ดิษธัชนิน' กับ 'กาญจน์ ตั้งปอง' ที่เป็น ไผ่นอกกอ ผู้มาก บารมีอย่าง 'โกหนอ' จะสนับสนุนผู้สมัครฝ่ายไหร่ให้ได้เป็น ส.ส. 

และที่สำคัญ ในเขตเลือกตั้งที่ 4 ซึ่ง 'สมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล' คนสนิทของ 'นายหัวชวน' และเป็น อดีต ส.ส.เขตนี้ และไม่เคยแพ้ในการเลือกตั้ง ซึ่งเชื่อว่า ยังได้รับแรงหนุนจากคนในตระกูลหลีกภัย โดยเฉพาะ 'กิจ หลีกภัย' ที่เป็น พี่ใหญ่ ของตระกูล ดังนั้น ในเขตเลือกตั้งทั้ง 4 เขต เป็นอีกเขตหนึ่ง จะต้องจับตา เพราะอาจจะพลิกผันและทำให้ประชาธิปัตย์ ไม่สามารถยกจังหวัดอย่างที่ มีการ ประกาศ ไว้ก่อนหน้านี้

‘เพื่อไทย’ เรียกร้อง กกต. ใช้อำนาจอย่างชอบธรรม หลังออกระเบียบยุบพรรคการเมืองก่อนเลือกตั้ง

(27 ก.พ. 66) นายชุมสาย ศรียาภัย รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ตามที่ กกต.ได้ออกระเบียบ 3 ฉบับและได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 15 ก.พ.โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการยุบพรรคติดเทอร์โบ โดยในระเบียบดังกล่าวระบุถึงระยะเวลาที่ใช้ในกระบวนการยุบพรรคการเมืองเพียง 67 วัน จากเดิมที่ไม่ได้กำหนดระยะเวลา ตนได้ตรวจข้อกฎหมายลำดับศักดิ์ของกฎหมายแล้ว พบว่าแม้ กกต.จะอ้าง อาศัยอำนาจตามมาตราต่างๆ ในรัฐธรรมนูญ 60 และ พ.ร.ป.กกต. และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฉบับอื่น ๆ ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บท รวมถึง พ.ร.บ.กำหนดระยะเวลาการดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. 2565 แต่ตนเห็นว่าบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญและ พรป.กกต.ไม่ได้ให้อำนาจ กกต.ออกระเบียบในลักษณะนี้ได้ การกระทำดังกล่าวของ กกต.อาจเป็นการออกระเบียบโดยไม่มีอำนาจ หรือนอกเหนืออำนาจ ระเบียบดังกล่าวจึงอาจไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต.ประกอบกับการยุบพรรคเป็นโทษกับพรรคการเมือง กกต.จึงไม่มีอำนาจออกระเบียบได้ และระเบียบดังกล่าวไม่สามารถมีผลย้อนหลังในคดีความที่นักร้องต่าง ๆ ได้ยื่นยุบพรรคการเมืองในช่วงก่อนหน้านี้ด้วย

‘บิ๊กป้อม’ ล่องใต้ นั่งหัวโต๊ะประชุม กพต. หนุนเด็ก-สตรีมีส่วนร่วมพัฒนา ยกระดับชีวิตชาวใต้

(27 ก.พ. 66) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ เดินทางลงพื้นที่ภาคใต้ จังหวัดสตูล และจังหวัดตรัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนา จชต. (กพต.) ครั้งที่ 1/66  ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลาวิทยาเขตสตูล อำเภอระงู จังหวัดสตูล โดยมี เลขา ศอ.บต. และหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ให้การต้อนรับ

ที่ประชุมเห็นชอบเรื่องสำคัญ ๆ หลายเรื่อง ประกอบด้วย

1.) โครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยสตูล ปี 66-72

2.) กรอบแนวทางยกระดับและพัฒนาการท่องเที่ยว จ.สตูล ให้เป็นการท่องเที่ยวระดับโลก ภายใต้แนวคิด ‘ริเวียร่าสตูล’ โดยเฉพาะการยกระดับเกาะอาดัง ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกเชิงสุขภาพฮาลาลสากล โดยมีเกาะลังกาวี เป็นเกาะคูพัฒนา

3.) การก่อสร้างถนน เชื่อมต่อ ด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ กับด่านบูกิตกายูฮิตัม ของมาเลเซีย รองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษสะเดา

4.) กำหนดให้วันสารท เดือนสิบ เป็นวันหยุดราชการประจำปี เฉพาะพื้นที่ จชต.

5.) ร่างระเบียบคณะกรรมการยุทธศาสตร์ ด้านการพัฒนา จชต. ว่าด้วยการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่

6.) ร่างแผนส่งเสริมและพัฒนาเด็ก เยาวชน สตรีและกลุ่มเปราะบาง ในพื้นที่ จชต. ปี 66-70

7.) กรอบแนวทางการยกระดับการจัดการศึกษาในสถาบันการศึกษาปอเนาะและ รร.เอกชนสอนศาสนาอิสลามในพื้นที่ จชต. ที่ให้ความสำคัญ ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาที่หลากหลาย การเรียนรู้ทางศาสนาและการศึกษาสมัยใหม่

8.) หลักการขอรับเงินสวัสดิการ สำหรับการปฏิบัติงานประจำสำนักงานในพื้นที่พิเศษ ให้กับผู้นำองค์กรปกครองท้องถิ่น เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมเป็นธรรมแก่ผู้ปฏิบัติงาน

9.) โครงการส่งเสริมการเลี้ยงไก่แบบครบวงจร ภายใต้ระเบียงเศรษฐกิจฮาลาล

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้ย้ำการทำงานร่วมกัน โดยให้ยึดประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก นำไปสู่การเกิดสันติสุขในใจของประชาชน และได้สั่งการ ให้ทุกฝ่ายเร่งจัดตั้ง ม.สตูลให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อเป็นศูนย์กลางการพัฒนาศักยภาพประชาชน เชื่อมโยงไปยังพื้นที่ จ.ภูเก็ต กระบี่ พังงา รวมทั้งพื้นที่ จชต. โดยเน้นการเรียนการสอนที่ตอบสนองการพัฒนาเชิงพื้นที่และการจัดการศึกษาสมัยใหม่ ตรงความต้องการประชาชนและแผนพัฒนาพื้นที่

ทั้งนี้ ขอให้ทุกส่วนราชการเร่งเดินหน้าการทำงานที่ กพต.ให้ความเห็นชอบร่วมกันให้เป็นรูปธรรม โดยขอให้ทำงานร่วมกับมาเลเซียอย่างใกล้ชิด สำหรับการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ขอให้ ศอ.บต.ประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง พิจารณาจัดโครงสร้างการทำงานให้เป็นอิสระ เพื่อความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพการทำงาน

ไขข้อข้องใจ ‘ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์’ มุมมองอีกด้านที่คนไทยทุกคนต้องรู้

ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ตำแหน่ง อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ….

ที่ผ่านมา สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกโจมตี ใส่ร้าย บิดเบือนเป็นอย่างมาก และทำเป็นกระบวนการ ไม่มีอะไรที่จะสยบความบิดเบือน การใส่ร้ายป้ายสีได้ดีเท่าการเอาความจริงเข้ามานำเสนอ เพื่อจะได้ทุบกะลาให้แตกออกมา และเมื่อความจริงปรากฏ ก็จะทำให้คนตาสว่างและเข้าใจในข้อเท็จจริงได้

สถาบันพระมหากษัตริย์ : ความจริงที่ถูกบิดเบือน
ผศ.ดร.อานนท์ ได้กล่าวว่า ตนก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมชอบใส่ร้ายเรื่องเงินทอง แต่มันอาจจะเป็นเรื่องของความบาดใจ เพราะบางคนที่ไม่มีก็จะอิจฉาคนที่มีมากกว่า ก็เลยรู้สึกว่า เรื่องที่โดนบิดเบือนเยอะที่สุดก็คือ เรื่อง ‘ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์’ กับ ‘ภาษีกู’ ที่เป็นประเด็นหลัก

ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ต้นกำเนิดทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มาจาก ‘เงินถุงแดง’ ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านทรงค้าขาย และเอาเงินเก็บไว้ที่ข้างพระแท่นบรรทม จึงเรียกว่า ‘พระคลังข้างที่’ ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 5 ท่านได้มีการลงทุนปล่อยกู้ คนก็เอาที่ดินมาจำนอง ที่ดินงาม ๆ ในกรุงเทพฯ เยอะแยะมากมาย ถูกจำนองและถูกยึด เพราะว่าไม่ใช้หนี้ และได้มีการลงทุนในสมัยรัชกาลที่ 6 ที่ทรงลงทุนในปูนซิเมนต์ไทย ซึ่งหุ้นปูนซิเมนต์ไทย พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ท่านทรงถือหุ้นอยู่ประมาณ 25% และหุ้นปูนซีเมนต์ไทย เป็นหุ้นที่มีมูลค่าเกินกว่า 100 เท่า นับตั้งแต่วันที่เข้าตลาด เพราะฉะนั้น ลองคิดดูว่า มันงอกเงยขึ้นมากี่เท่า ที่ดินแปลงงาม ๆ ในกรุงเทพฯ บวกกับหุ้นปูนซีเมนต์ไทย หรือหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ด้วยก็ตาม จึงทำให้ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์งอกเงยจากการลงทุนขึ้นมามากมาย

ทรัพย์สินส่วนพระองค์ 
ทรัพย์สินส่วนพระองค์ เป็นของราชวงศ์จักรี หมายความว่าจะสืบทอดต่อไปกับพระเจ้าแผ่นดินในอนาคต คนละส่วนกับทรัพย์สินของแผ่นดิน เพราะทรัพย์สินของแผ่นดิน อยู่ที่กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ หรือกระทรวงการคลัง แยกขาดจากกัน ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน จากจตุสดมภ์ 4 เวียง วัง คลัง นา และเปลี่ยนเป็น 12 กระทรวง

กษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก
เมื่อถามว่า พระเจ้าแผ่นดินจะร่ำรวยไม่ได้หรือ ในเมื่อบรรพบุรุษค้าขายมาเก่ง เก็บเงินเก่ง ลงทุนเก่งก็เป็นเรื่องปกติ แต่ว่าการที่พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชทรัพย์ จริง ๆ ก็เป็นของที่เป็นประโยชน์อย่างหนึ่ง คือ สามารถพระราชทานช่วยเหลือประชาชนได้ในยามที่ประชาชนเดือดร้อนลำบาก ในช่วงโควิดที่ผ่านมา ทรงซื้อเครื่องช่วยหายใจไปเป็นหลายร้อยเครื่อง ถ้าไม่มีเครื่องช่วยหายใจที่ซื้อพระราชทานให้ โควิดจะมีคนตายมากกว่านี้

พระตำหนักที่เยอรมัน
นั่นก็เป็นเงินส่วนพระองค์ ที่ทรงซื้อไว้ตั้งแต่ยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ซื้อไว้ตอนที่ถูกมาก ในเมืองทุทซิง ซึ่งอยู่ในทำเลดีมาก และติดกับทะเลสาบ และส่งเสียภาษีที่ดินอย่างถูกต้องมาโดยตลอด แต่ระบบเยอรมันนั่น เป็นระบบที่แปลก คือ ปีภาษีจะครบทุก 4 ปี คราวนี้พอ 3 ปี ยังไม่ได้จ่าย ก็เลยมีคนบอกว่า ท่านไม่จ่ายภาษี จริง ๆ คือมันยังไม่ครบกำหนดที่จะต้องจ่าย นี่คือพวกหาเรื่อง ก็พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชทรัพย์ตกทอด เนื่องจากราชสกุลมหิดล มีทรัพย์สินส่วนพระองค์ค่อนข้างเยอะ เพราะสมเด็จพระศรีสวรินธราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เป็นพระมเหสีที่ประหยัด ขยัน อดออม และฉลาดในการค้าขาย ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดให้ทอผ้าขายในพระราชวังสวนดุสิต และโปรดทรงทำนา และโปรดทำโรงสีข้าว ยกตัวอย่างเช่น หมู่บ้านสัมมากรทั้งหมู่บ้าน เป็นที่ดินของสมเด็จพระพันวัสสาฯ เป็นที่นาเก่าของสมเด็จพระพันวัสสาฯ และสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ทรงเห็นว่า อยากให้ประชาชน คนที่มีสัมมาชีพ ได้มีสัมมาการอยู่อาศัย จึงได้พระราชทานมาจัดสรรเป็น ‘หมู่บ้านสัมมากร’ เป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ทั้งนั้น 

เปลี่ยนแปลงเพื่อประชาชน 
พระองค์ท่านทรงเปลี่ยนหลายอย่าง อย่างที่ 1 คือ พระราชทานทรัพย์สินที่ดินจำนวนมากให้กับหน่วยราชการ เช่นตรงซอยมหาดเล็กหลวง 1-3 ตรงราชดำริ มูลค่านับแสนล้าน ทรงพระราชทานให้วชิราวุธวิทยาลัย ค่ายนเรศวรของตำรวจตระเวนชายแดน ก็คือ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน กระทั่งสำนักข่าวกรองแห่งชาติ หรือว่ากรมตำรวจที่วังปารุสก์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ดินพระราชทานจำนวนมากมายมหาศาล ที่เดิมเป็นที่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และหน่วยราชการไปขอใช้ ท่านก็ทรงพระราชทานโฉนดให้หน่วยราชการนั้น อย่างมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต และหน่วยราชการอื่น ๆ กระทรวงศึกษาธิการ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ทั้งกองก็ตั้งอยู่บริเวณพระราชวังสวนดุสิต เพราะพระราชทานที่ดินให้ และอย่างทรัพย์สินแปลงใหญ่ ที่สุดในกรุงเทพฯ ตอนนี้ ก็กลายเป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ เหมือนกัน นั่นก็คือ สนามม้านางเลิ้ง

แก้กฎหมายให้พระมหากษัตริย์ต้องเสียภาษี
ทรงแก้กฎหมายให้ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ต้องเสียภาษีเหมือนกับทรัพย์สินประชาชน เพราะว่า พ.ร.บ. ทรัพย์สิน 2491 ยกเว้นภาษี พระองค์ท่านทรงไม่เห็นด้วย แต่นั่นก็เป็น พ.ร.บ. ที่ทำไว้ตั้งแต่สมัย นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งแต่ละปีก็ทรงเสียภาษีเป็นจำนวนมาก

‘เสี่ยหนู’ ลั่น!! ไม่สนใจ ‘ชูวิทย์’ ตามบี้ ‘ภูมิใจไทย’ ชี้ มีคนหนุนหลัง เผย ไม่หวั่น หากร่วมงานในอนาคต

(27 ก.พ. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จองกฐินพรรคภูมิใจไทย โดยจะติดตามการทำงานของกระทรวงสาธารณสุข ว่า ยังไม่ทราบ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะพูดหรือทำอะไร เราต้องรับฟัง

ผู้สื่อข่าวถามว่า ประเมินหรือไม่ว่า ทำไมนายชูวิทย์ ถึงพุ่งเป้ามาที่พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ไม่ได้ประเมิน เราก็ทํางานของเรา ทุกคนมีสิทธิที่จะทําอะไรตามที่รัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายเปิดทางให้

เมื่อถามว่า มองว่ามีการเมืองอยู่เบื้องหลังหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า มีอยู่แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเป็นช่วงการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นตัวชี้วัดอย่างหนึ่งเหมือนกัน แต่ยืนยันว่าไม่มีผลกระทบต่อคะแนนเสียงของพรรค ภท. เพราะเรามีนโยบายที่ชัดเจน และผลงานชัดเจน ไม่เคยไปลอกเลียนผลงานของคนอื่นมา เรามีผลงานเป็นของตัวเอง ทำอะไรเรารู้ ประชาชนก็รู้

เมื่อถามว่า พอรู้หรือไม่ว่ากลุ่มการเมืองที่อยู่เบื้องหลังนายชูวิทย์คือ กลุ่มใด นายอนุทิน กล่าวว่า ทราบหมดแหละ แต่ทําไมจะต้องมาพูดกัน เราก็ทำงานของเราไป และเรื่องนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น เพียงแต่เราไม่ทำแบบนี้

เมื่อถามว่า มีการพูดคุยกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือไม่ ว่าทำไมถึงมารับเรื่องจากนายชูวิทย์ด้วยตัวเอง นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่ต้องคุย คุยไปก็ไม่มีประโยชน์ พอเลือกตั้งเสร็จใครมี ส.ส.เท่าไหร่ ถึงจะเป็นตัวชี้ว่าใครจะต้องคุยยังไงกับใคร มีเงื่อนไขอะไร ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปตามไทม์ไลน์ แต่ละคนก็ต้องไปทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ เพื่อถ้าได้รับความไว้วางใจจากประชาชน พรรค ภท.คิดอยู่แค่นี้ ใครจะทำอะไรก็แล้วแต่

เมื่อถามว่า บรรยากาศเป็นแบบนี้จะมองหน้ากันในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้หรือ นายอนุทินกล่าวว่า ก็มองกันอีกแค่ไม่เกิน 2-3 สัปดาห์ ไม่เป็นไร ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับ ครม.ต้องแยกออกจากัน และไม่ได้อึดอัดอะไร เพราะเราทํางาน การมาประชุม ครม.คือการทำงาน ต่างคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง ถ้าไม่ทำงาน คนก็หาว่าละเลยละเว้น

เมื่อถามว่า จะไม่ส่งผลต่อการร่วมรัฐบาลในอนาคตใช่หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการกระทำของแต่ละพรรค พูดถึงก็ดีเหมือนกัน ก่อนเลือกตั้งคนจะได้ไปทำงานอย่างเต็มที่ ปลดแอกปลดพันธนาการทั้งหลาย ทําให้เราอยากเป็นตัวของเราเองอย่างเต็มที่ จะได้คิดอะไรของเราเอง โดยไม่ต้องมีความเกรงอกเกรงใจหรือวิตกกังวลอะไร เพราะบางที เราต้องนึกถึงตัวเราเอง มัวแต่ไปคิดถึงคนอื่นมาก ๆ ก็จะเป็นสิ่งที่ไม่ดีกับตัวเรา

‘ก้าวไกล’ มีมติคว่ำ ‘พ.ร.ก. อุ้มหาย’ หวังคุ้ม ปชช. จี้!! ส.ส. หนุนอย่าทำสภาล่ม เตะถ่วงเพื่อตู่

‘ก้าวไกล’ มีมติโหวตคว่ำ พ.ร.ก. อุ้มหาย จี้ ส.ส. รัฐบาลต้องปกป้องประชาชน อย่าทำสภาล่มหรือยื่นศาล รธน. เตะถ่วงเพื่ออุ้มประยุทธ์

(27 ก.พ. 66) นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึง กรณีที่สภาผู้แทนราษฎรจะประชุมเพื่อพิจารณา พ.ร.ก. แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายฯ ในวันพรุ่งนี้ (28 ก.พ. 66) นั้น ตนได้แจ้งกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ว่ามีมติโหวตคว่ำ พ.ร.ก. ฉบับนี้ของรัฐบาล และไม่เห็นด้วยกับการยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการออก พ.ร.ก. ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่

“พ.ร.บ. อุ้มหายฯ เป็นกฎหมายที่ ส.ส. ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลผลักดันร่วมกันกับภาคประชาสังคม เพื่อคุ้มครองไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐละเมิดสิทธิและร่างกายของประชาชนระหว่างถูกควบคุมตัว ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เคยยืนยันต่อ กมธ. ของสภาเองว่า เจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้ทันแน่นอน ดังนั้น เมื่อถึงกำหนดที่ พ.ร.บ. อุ้มหายฯ จะต้องบังคับใช้แล้ว การออก พ.ร.ก. เพื่อเลื่อนการบังคับใช้ พ.ร.บ. ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ จึงรับฟังไม่ได้ และชัดเจนอยู่แล้วโดยไม่ต้องถามศาลรัฐธรรมนูญ ว่า พ.ร.ก. ฉบับนี้ออกโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพราะมิได้เป็นกรณีฉุกเฉิน มีความจำเป็นเร่งด่วนแต่อย่างใด”

‘จตุพร’ ท้าเพื่อไทย ตอบปมดีล ‘บิ๊กป้อม’ ชี้!! ควรพูดความจริง อย่าปลิ้นปล้อน ตลบตะแลง

‘อย่าปลิ้นปล้อน ตลบตะแลง ดิ้นหนี’ จตุพร ท้าใจเพื่อไทย กล้าๆ หน่อย ใช้ความจริงตอบคำถามวัดกันไปเลย ย้ำจับมือ พปชร.หรือไม่ อ่านไต๋พูดแต่โวหาร ตอบไม่ตรงคำถาม ซัดออกลีลาดิ้นหนี โชว์ปลิ้นปล้อน งัด ปวศ.ตลบตะแลง ยันได้เสียงมากสุดกลับเสนอแคนดิเดตนายกฯ พรรคอื่นถึงสองคราว ยันอย่างนี้จะให้เชื่อไม่จับ ‘ประวิตร’ ตามดีลนายกฯ เอื้อประโยชน์ตัวเองได้อย่างไร

(27 ก.พ.66) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน ‘วัดกันไปเลย’ โดยระบุให้แกนนำเพื่อไทยใช้ใจกล้ามาตอบคำถามด้วยความจริง จะจับมือ พปชร.หรือไม่ พร้อมติงที่ตอบมานั้นแค่โวหาร พูดกั๊ก ๆ แสดงลีลา ดิ้นหนีความจริง กลัวเสียงหาย หรือถูก พปชร.รุมย่ำความปลิ้นปล้อน

นายจตุพร กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยยังไม่ตอบคำถามว่า จะจับมือกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ-พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หรือไม่ แต่สิ่งที่ผู้นำของพรรคพูดมานั้นเป็นเพียงโวหาร อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาประวัติศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยแล้ว แม้ที่ผ่านมาเป็นพรรคมีเสียงอันดับหนึ่งในสภา แต่เคยเลือกบุคคลจากพรรคอื่นเป็นนายกฯ มาแล้วถึงสองครั้ง โดยครั้งแรก ธันวาคม 2551 เลือก พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก (หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน) ชิงนายกฯ กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แต่ก็แพ้ไป

ส่วนครั้งที่สอง หลังเลือกตั้งปี 2562 เลือกนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (เมื่อครั้งเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่) เป็นนายกฯ ก็แพ้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มี ส.ว.เทเสียงหนุนอย่างเป็นเอกภาพถึง 249 เสียงจากทั้งหมด 250 คน ดังนั้น ประวัติศาสตร์จึงเป็นที่ประจักษ์ว่า พรรคเพื่อไทยทั้งที่ได้เสียงเลือกตั้งมากที่สุด ยังไม่เคยได้เลือกแคนดิเดตนายกฯ ของตัวเองมาเลย กลับไปลงมติเลือกแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคอื่นแทน

ดังนั้น เมื่อมาถึงการเลือกตั้งปี 2566 กรณีแกนนำเพื่อไทยบอกต้องโหวตเลือกแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคตัวเอง ถ้าเลือกคนจากพรรคอื่นจะตอบประชาชนได้อย่างไรนั้น นายจตุพร กล่าวว่า ตอบตามที่เคยตอบและก็อยู่มาได้ตามที่เคยอยู่แล้วไง แต่ปัญหาทางการเมืองนั้น ถ้าไม่จับมือกัน ไม่ดีลกันก็ต้องต้องตอบให้เด็ดขาด เหมือนพรรคก้าวไกลกับไทยสร้างไทยประกาศชัดเจนไม่จับมือกับ พปชร. และรวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อีกทั้งพรรคภูมิใจไทยจะไม่จับมือกับก้าวไกล

นายจตุพร ย้ำว่า คำถามที่ตนถาม และชูวิทย์ (กมลวิศิษฎ์) นำไปถามต่อว่า จะจับมือกับ พล.อ.ประวิตร และ พปชร.หรือไม่ ซึ่งไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร ถ้าคนทั้งสามคนของเพื่อไทยมีความเป็นจริงในใจแล้ว ควรตอบมาง่ายๆ ว่า ไม่มีวันจับมือกับ พปชร. ก็เป็นที่ยุติแล้ว

“เพราะความตลบตะแลตั้งแต่เรื่องสุดซอย (กม.นิรโทษกรรมที่เพื่อไทยปรับเปลี่ยนไปคลุมถึงคดีทุจริต) มติพรรคเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา 3 รอบ ดังนั้น ความไม่อยู่กับร่องกับรอยในทุกเรื่อง พร้อมประวัติศาสตร์ได้อธิบายอยู่ทุกวัน โดยความเป็นจริงคุณตอบคำถามเรื่องนี้ได้ง่ายที่สุด ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน แล้วทำไมต้องตอบไม่ตรงกับคำถามด้วย”

อีกทั้งย้ำว่า ถ้าเพื่อไทยตอบตรงคำถามง่าย ๆ ว่า ไม่มีวันจับมือกับ พปชร.เด็ดขาดไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไรก็ตามก็เท่านั้น แต่ไม่ตอบจึงทำให้นึกย้อนถึงร่องรอยสายสัมพันธ์ตั้งแต่การแต่งตั้ง พล.อ.ประวิตร เป็น ผบ.ทบ. รวมถึงความสัมพันธ์ช่วงก่อน และหลังวันยึดอำนาจปี 2557 ซึ่งปิดบังตนไม่มิด เพียงแต่ยังไม่ได้อธิบายในรายละเอียดว่า ใครประสานกับใคร อย่างไร และวางคนของตัวเองไว้ตรงไหนเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการดีลหลังวันยึดอำนาจด้วยการเจรจาเป็นตอนๆ ไป ทั้งในเรื่องกลับบ้าน หรือคดีอื่น ๆ พอไม่สำเร็จก็ดีลให้เดินทางออกนอกประเทศ

“ดีลยึดอำนาจยังดีลเลย นับประสาอะไรกับการดีล (จับมือประวิตร หนุนให้เป็นนายกฯ) ที่ตอบไม่เต็มปากเต็มคำ เพราะการจับมือกับประวิตรยังมีฤทธิ์เดชอยู่ แม้ไม่มีการปฏิเสธกัน แต่มีความพยายามจะเอานายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย มากลบข่มประวิตร แต่สุรเกียรติ์ก็ไม่มา”

จุตพร กล่าวว่า เพื่อไทยยังมีสิทธิ์ตอบคำถามง่ายๆ นี้ แต่กลับเล่นลีลาลากไปลากมา ออกอาการพูดปลี้นปล้อน โยนหลักการมาอธิบาย แต่ไม่ยอมใช้ภาษาง่ายๆแบบไพร่พูดให้ชัดเจนตรงไปตรงมา ไม่ต้องตีความความ หรือพูดเปิดช่องดิ้นหนีคำถาม ถึงที่สุดก็ยังไม่ได้คำตอบที่ตรงกับคำถามจนบัดนี้ ดังนั้น จึงคิดเป็นอื่นไม่ได้ เพราะต้องพึ่งพา พล.อ.ประวติร กับ องค์กรอิสระทั้ง 5 และ ส.ว. ยิ่งถ้าประกาศจับมือ พล.อ.ประวิตร เสียงก็จะหายไปทันที หรือหากประกาศเด็ดขาดไม่จับมือ พปชร. ก็จะเจอสงครามและเจอปฏิบัติการกันอีกหลากหลาย จึงจำเป็นต้องอ้ำอึ้ง แล้วพูดกั๊กกันไว้เช่นทุกวันนี้ เพราะเป็นแค่ลีลา ซึ่งไม่ใช่ความจริง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top