Monday, 12 May 2025
POLITICS

‘เศรษฐา’ ร่อแร่!! ‘ชัยเกษม’ วอร์มอัป!! จับตาเกมไหล ‘อนุทิน’ แหกโค้งเข้าป้าย

‘เล็ก เลียบด่วน’ แห่ง ‘เลียบการเมือง’ มาตามกำหนดครับ… ทุกวันพุธและเสาร์… ไม่มีการเลื่อน… หนำซ้ำท่านบรรณาธิการบอกห้ามเบี้ยวอีกต่างหาก… อ้าว!! จัดปายยย… 

เมื่อวันศุกร์ที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา หากไม่มีการเลื่อนวาระการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีออกไป… ป่านนี้คงได้รู้กันไปแล้ว ว่าคนชื่อ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ จะได้สักกี่คะแนน จะถึง 375 พอที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่… 

แต่ข่าวของ ‘เล็ก เลียบด่วน’ ยืนยันนอนยันและตีลังกายันมาว่า… ไม่ผ่าน!!

ไม่ผ่านด้วยเหตุผลหลัก 3-4 ประการ… 

ประการแรก – พรรคเพื่อไทยไม่สะเด็ดน้ำเรื่องโครงสร้างพรรคร่วมรัฐบาล

ประการที่สอง – จุดยืนเรื่องไม่แตะมาตรา 112 ตามแถลงการณ์ของพรรคนั้นพอฟังได้ แต่ยังกำกวมอยู่บ้าง ยิ่งไปพ่วงเอาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การปฏิรูปกองทัพ โน่น นี่ นั่น คล้ายๆ นโยบายพรรคก้าวไกลเข้ามาอีก ทำให้คุณพี่ สว.หลายท่านละล้าละลัง

ประการที่สาม – เรื่องความโปร่งใสธรรมาภิบาลด้านธุรกิจของคุณเศรษฐา ที่ ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์’ แฉรัวๆ ก็มีผลไม่น้อย และ… 

ประการที่สี่ – สว.ส่วนหนึ่งกลัวว่าเพื่อไทยแอบเล่นละคร ‘ลับ ลวง พราง’ กับพรรคก้าวไกล… สว.บางกลุ่มถึงขนาดเล็งเป้าตอนโหวตว่า ในจำนวนสมาชิกรัฐสภา 10 ชื่อแรก ที่มี สส.ก้าวไกล 4 คน คือ ลำดับ 1 นางสาวกมลทรรศน์ กิตติสุนทร, ลำดับ 7 นายกรุณพล เทียนสุวรรณ, ลำดับ 8 นายกฤช ศิลปะชัย และ ลำดับ 10 นางสาวกฤษฎ์ ชีวะธรรมานนท์… หาก 4 คนนี้โหวต ‘เห็นชอบ’ นายเศรษฐา… พวกเขาจะโหวตสวน หรือ งดออกเสียงทันที

นั่น… เขาตั้งป้อมปฏิเสธพรรคก้าวไกล แต่กระทบถึงพรรคเพื่อไทยกันถึงขนาดนั้น!!

ถึงตอนนี้คำถามมีอยู่ว่า… หลังวันที่ 16 ส.ค.หากพ้นผ่านศาลรัฐธรรมนูญต้องโหวตนายกฯ กันต่อ... ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ยังจะเป็นนายกฯตัวจริงของพรรคเพื่อไทยหรือไม่… ตอบได้เพียงว่าในห้วงสี่ซ้าห้าวันนี้พรรคเพื่อไทยก็คงจะผลักดันต่อ… ดูกระแสสังคม ดูกระแสลมและพายุคลั่งจากชูวิทย์… ถ้าดูแล้ว ‘เสี่ยนิด ณ แสนสิริ’ ไปไม่ไหว ก็คงต้องหันไปใช้บริการชายชื่อ ‘ชัยเกษม นิติสิริ’ แคนดิเดตคนที่สามของพรรค… 

ทราบว่าตอนนี้อาการด้านสุขภาพของชัยเกษมทำท่ากลับมาฟิตปั๋งอีกครั้ง… ปูมประวัตินอกเหนือจากถูกครหาเรื่องช่วยเหลือเอื้ออวยให้ทักษิณตอนเป็นอัยการสูงสุดแล้ว นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรเสียหายมากนัก… แต่ถ้าจะให้แน่ก็ต้องรอวันที่ถูกพรรคประกาศว่าจะเสนอชื่อโน่นแหละ รับรองว่าลำไส้กี่ขดต่อกี่ขดถูกสาวออกมาให้เห็นจนหมดสิ้นแน่… 

ว่ากันว่ากรณีของพรรคเพื่อไทย หากยังเก้ๆ กังๆ ผสมข้ามขั้ว แต่ยังท่องคาถา “มีเราไม่มีลุง” รับรองว่า… เกมจะไหลไปสู่พรรคที่สามอย่างพรรคภูมิใจไทย… ซึ่ง ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยก็ใช่คนอื่นคนไกล เป็นอดีตศิษย์เก่า ได้ดิบได้ดีมาก็เพราะพรรคเพื่อไทยเมื่อครั้งเป็นพรรคพลังประชาชน… ถ้าพรรคเพื่อไทยไปต่อไม่ได้… ก็คงไม่เป็นอย่างอื่น… นายกฯ คนที่ 30 จะจอดป้ายที่ชายชื่อ อนุทิน ชาญวีรกูล ตามที่แม่หมอสมัครเล่น… ฟองสนาน จามรจันทร์ พยากรณ์ยืนยันมาแล้วหลายเพลา… และบรรดาเหล่า สว.เองก็แอบเชียร์อนุทินอยู่ครึ่งค่อนวุฒิสภา

ส่วนโอกาสของ ‘ลุงป้อม – พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ’ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐนั้น ฐานเสียง สว.เหลืออยู่ในระดับ 50 เสียงเท่านั้น หากยังดำรงจุดมุ่งหมายที่จะเป็นายกฯ ให้ได้ ก็ต้องไปเจรจาล็อกคอพรรคเพื่อไทยมาให้ได้เป็นลำดับแรก…

ครับ!! ว่ากันอย่างถึงที่สุด… ทุกอย่างยังไม่ง่าย… โอกาส ‘เศรษฐา’ มีน้อยลง เริ่มน้อยกว่า ‘ชัยเกษม’ ที่เริ่มถูกพูดถึง ขณะที่ ‘อนุทิน’ ปัจจัยชี้ขาดอยู่ที่ความกล้า ในจังหวะที่ดวงดาวเป็นใจ เรียกว่ามีโอกาสมาก ส่วนลุงป้อมโอกาสน้อยกว่าอนุทินหลายเท่า…

ปล. กรณีทักษิณเลื่อนการกลับบ้านจากกำหนดเดิม 10 ส.ค. ออกไปอีกประมาณ 2 สัปดาห์ อ้างว่าหมอขอตรวจร่างกายนั้น… เป็นใบเสร็จยืนยันว่าทักษิณรอความชัดเจนว่า นายกฯ คนที่ 30 เป็นของพรรคเพื่อไทยหรือไม่?... ถ้าไม่ใช่ อาจต้องเลื่อนต่อไปและต่อไป… รอจนกว่าจะถึงช่วงปลอดภัยปลอดโปร่งตามคำทำนายของแม่หมอฟองสนาน คือ หลัง เม.ย. 2567

แต่ถ้าให้ดีกว่านั้นอีกคือ ช่วง พ.ค.2568 - พ.ค.2569

เลื่อนไหวไหม… โทนี่

‘ทนายบอน’ แนะ!! นักศึกษาใหม่ มธ.ที่ฟังบรรยาย ‘พิธา’ ถ้าจะฟังที่พี่เค้าพูด ‘พอได้’ แต่อย่าไปเชื่อที่พวกพี่เค้าทำ

(5 ส.ค.66) นายณัฐนันท์ กัลยาศิริ หรือ ‘ทนายบอน’ อดีตผู้สมัคร สส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า...

[พิธา บรรยายนักศึกษาใหม่ มธ.] ฟังที่พี่เค้าพูดพอได้ แต่อย่าไปเชื่อที่พวกพี่เค้าทำครับ

พี่เค้าพูด ว่า เค้ายึดมั่นในประชาธิปไตย เสรีภาพ ที่พูดหล่อๆ ก็พอฟังได้

แต่ที่เห็น คือ พวกพี่เค้าแต่ละคนนั้นใครเห็นต่างไม่ได้ต้องทัวร์ลง อ้างเสรีภาพไปข่มเหงรังแกคนเห็น ดังนั้น อย่าไปเชื่อที่พวกพี่เค้าทำครับ เราไม่ได้ต้องการประชาธิปไตยแบบนั้น

พี่เค้าพูด ว่า “โลกต้องการคนรุ่นใหม่” ใช่ครับ

แต่ที่เห็น คือ พวกพี่เค้าแต่ละคน ก้าวร้าว หยาบคาย ปลุกปั่นยุยง สร้างความแตกแยก ทำแต่สิ่งผิดกฎหมาย เราไม่ได้ต้องการคนรุ่นใหม่แบบนั้นครับ

พี่เค้าพูดว่า “จิตวิญญาณของธรรมศาสตร์ คือ เสรีภาพ ภราดรภาพ” ใช่ครับ

แต่ที่เห็น คือ พวกพี่เค้าฟาดฟัน ทำลายล้าง สร้างความแตกแยก ทำให้คนเกลียดชังกัน ในขณะที่ภราดรภาพ คือ ความเป็นพี่เป็นน้องกัน กลมเกลียวกัน เราไม่ได้ต้องการสังคมแบบนั้นเพื่อสร้างประเทศครับ สิ่งที่พวกพี่เค้าทำห่างไกลสุดกู่กับคำว่าภราดรภาพ

ที่ธรรมศาสตร์ เค้าสอน ให้ใช้เสรีภาพแบบมีความรับผิดชอบ ไม่ละเมิดสิทธิบุคคลอื่น ไอ้ที่เห็นการอ้างเสรีภาพไปรังแกถล่มคนอื่น ไอ้พวกนั้นไม่รู้ไปเรียนจากที่ไหนมา

ที่ธรรมศาสตร์ เค้าสอน ว่าประชาธิปไตย ไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง แต่ต้องเคารพเสียงข้างน้อย รับฟังความเห็นต่างได้ ไอ้ที่เห็นว่าพวกกูถูกอย่างเดียว คนอื่นผิดหมด ไอ้พวกนั้นไม่รู้ไปเรียนจากที่ไหนมา 

ที่ธรรมศาสตร์ เค้าก็สอนเรื่องภราดรภาพนะ ว่าคือการกลมเกลียว เป็นพี่น้องกัน แต่ที่เห็น ภราดรภาพบ้านพวกพี่เค้า เผา ทำลายล้างทุกอย่าง สรุป ไม่รู้ไอ้พวกนั้นไปเรียนจากที่ไหนมา

สรุปสุดท้าย ที่พี่เค้าบอกว่าพวกพี่เค้า DNA เดียวกับธรรมศาสตร์ ผมว่าพี่เค้าสำคัญผิดไปเยอะ เฉพาะสิ่งที่พี่เค้าพูดหล่อๆ ก็พอจะใกล้เคียง แต่ที่พวกพี่เค้าทำ ห่างไกลสุดกู่ครับ

#ทนายบอน

‘รองโฆษก พท.’ แจงปมราคาที่ดิน เชื่อ แวดวงอสังหาฯ เข้าใจดี ชี้!! ‘ราคาประเมิน’ อาจไม่สัมพันธ์กับ ‘ราคาซื้อขายจริง’ เสมอไป

(5 ก.ค. 66) นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ตนว่าน่าแปลกใจมากที่ทำไมคนที่เข้าใจการซื้อขายที่ดินดีถึงหยิบเอา ‘ราคาประเมิน’ มาวิพากษ์วิจารณ์ ‘ราคาซื้อขายจริง’ คนที่ทำงานในแวดวงอสังหาริมทรัพย์เข้าใจดี ว่าราคาซื้อขายจริง ไม่สัมพันธ์กับราคาประเมินเสมอไป และการที่เอกชนรายหนึ่งตัดสินใจซื้อที่ดินแปลงใดในราคาใดก็ตาม ไม่ใช่เพราะเค้าเองปั่นราคาขึ้น แต่เพราะ ‘ความต้องการของตลาด’ ที่ปั่นให้ราคาขึ้นไป

ทั้งนี้ ที่ดินในย่านวิทยุ-สวนลุมพินี-หลังสวน เป็นย่านซูเปอร์ลักชัวรี (Super Luxury) หรือบางที่เรียก หรืออัลตร้าลักซ์ชัวรี (Ultra Luxury) ด้วยซ้ำ ทำให้ที่ดินในโซนนี้มีราคาซื้อขายที่ดินที่ทะลุเพดานราคาเดิม (New High) เสมอ แปลงที่เป็นประเด็นอยู่ก็เช่นกัน ภายใต้ปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่

1.) เป็นที่ดินกรรมสิทธิ์ขาด หรือ ‘Free Hold’ แปลงท้ายๆในโซนที่ยังไม่ถูกพัฒนา ต่างจากอีกหลายแปลงที่เป็นสิทธิการเช่า หรือ ‘Lease Hold’

2.) เป็นแปลงขนาด 1 ไร่ ติดถนนกว้าง มีขนาดพอเหมาะ พัฒนาอาคารสูงได้ ศักยภาพที่ดินแบบนี้ราคาต่อตารางวา จะโดดสูงกว่าที่ดินแปลงใหญ่หลายๆไร่ ที่จะถัวเฉลี่ยราคาต่อตารางวาลง

3.) เป็นแปลงที่สามารถได้รับวิวสวนลุมพินี ที่คนทำงานอสังหาชอบขายว่าเป็น ‘เซ็นทรัลพาร์กเมืองไทย’ ได้ดีมาก

และด้วยเหตุผลเหล่านี้ต่างหากที่ปั่นให้ราคาที่ดินแปลงนี้สูง และต้องใช้บริษัทที่มีศักยภาพและมีความน่าเชื่อถือเป็นผู้พัฒนา เพราะเมื่อพัฒนาเป็นคอนโดแล้วจะต้องขายอย่างต่ำราว 600,000 บาทต่อตารางเมตร แต่ก็ไม่แปลกที่แสนสิริกล้าซื้อ เพราะโครงการที่เคยพัฒนาไปก่อนนี้ อย่าง 98 wireless ก็มีราคาขายไปแตะ ตารางเมตรละ 1 ล้านบาทมาแล้ว

“ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ผมเพียงอยากให้ทุกคนระมัดระวังในการรับข้อมูล และอย่าตกเป็นเครื่องมือในการปั่นให้เข้าใจผิด ผมเชื่อว่าคนทำงานอสังหาฯ เข้าใจตรงกัน ว่าธรรมชาติของราคาที่ดินในย่าน ultra luxury นี้เป็นอย่างไร” นายชนินทร์ กล่าว

ศึกชิงหัวหน้า ‘ประชาธิปัตย์’ ดัชนีชี้วัดการเข้าร่วมรัฐบาล ใต้ความ ‘มืดมน-ไม่ชัดเจน’ บุคคลที่จะลงชิงหัวหน้าพรรค

‘มืดมน’ คือคำตอบที่ได้รับจากปากของแกนนำประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคในวันที่ 6 สิงหาคม คำว่ามืดมนสะท้อนให้เห็นว่า ยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับตัวบุคคลที่จะลงชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นบุคคลที่มีแววว่าจะนำพาพรรคไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้ ต้องเป็นบุคคลที่กล้าคิด กล้าทำ กล้านำการเปลี่ยนแปลง และที่สำคัญคือต้องยึดมั่นใน 'เจตนารมณ์ อุดมการณ์ของประชาธิปัตย์'

มีวิธีคิด มุมมองใหม่ๆ กับสถานการณ์ที่ ‘ประเทศไทยเปลี่ยนไปแล้ว ไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิม ผู้นำพาพรรคจะต้องมากบารมี’ (แคริทม่า)

ก่อนหน้านี้ที่ปรากฏชื่อ โดยที่เจ้าตัวไม่เคยพูดไม่เคยเปิดเผย ‘หล่อใหญ่-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ อดีตหัวหน้า อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งจนถึงนาทีนี้ก็ยังไม่รู้ว่า ‘อภิสิทธิ์’ จะยังยืนหยุดลงชิงอยู่อีกหรือไม่ ซึ่งถ้าอภิสิทธิ์ลงชิง แม้จะไม่ใหม่ซิงๆ แต่ก็ยังพอมีความหวังอยู่บ้าง พอจะเห็นแวว เห็นแนวทาง ซึ่งถ้าเป็นไปตามข่าว ถ้าอภิสิทธิ์มาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะไม่นำพรรคเข้าร่วมรัฐบาล จะใช้เวลากับการคิด การทำงาน เพื่อฟื้นฟูพรรคประชาธิปัตย์ ในบทบาทของฝ่ายค้าน ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล หรือผลักดันกฎหมายสำคัญๆ ในการแก้ไขปัญหาชาติเป็นด้านหลัก

‘นราพัฒน์ แก้วทอง’ รองหัวหน้าพรรคจากภาคเหนือ ภายใต้การผลักดันของ ‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน’ รักษาการเลขาธิการพรรค ‘เดชม์อิศ ขาวทอง’ รองหัวหน้าพรรคภาคใต้ ซึ่งนราพัฒน์ เข้ามาสู่วงการการเมืองสืบทอดต่อจากบิดา ‘ไพฑูรย์ แก้วทอง’ ซึ่งที่ผ่านมาไม่ว่าพรรคจะเฟื้องฟู หรือตกต่ำ ‘แก้วทอง’ ไม่เคยตีจากประชาธิปัตย์ ร่วมยืนหยัดต่อสู้มาตลอด แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป สถานการณ์เปลี่ยนไป ยังไม่มีใครยืนยันว่า นราพัฒน์ ยังยืนยันจะลงชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อยู่

มีบางกระแสบอกว่า สายเฉลิมชัยอาจจะส่ง ‘ดร.เอ้-สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์’ ลงชิงแทน แต่ก็เป็นแค่กระแสข่าวเช่นกัน ไม่มีใครยืนยัน ซึ่งถ้าส่ง ดร.เอ้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องผ่านด่านข้อบังคับพรรค คนชิงหัวหน้าพรรค ต้องเป็นสมาชิกอย่างน้อย 5 ปี ถ้าข้อมูลไม่ผิดพลาด ดร.เอ้น่าจะเพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคก่อนลงสมัครชิงผู้ว่าฯ กทม. แต่ก็สามารถเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ของดเว้นใช้ข้อบังคับได้ แต่ด่านหินคือต้องใช้เสียงขององค์ประชุม 3/4 ถ้ามั่นใจว่าจะผ่านด่านนี้ไปได้ ก็ลงชิงได้ ถ้ามั่นใจ และไม่กลัวถูกขุดคุ้ยปูมหลัง

ส่วน ‘ติ่ง-มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข’ ที่เปิดตัวจะลงชิงด้วย ก็เป็นน้ำจิ้ม หรือผักเหนาะ ให้สีสันความเป็นประชาธิปไตยของพรรคประชาธิปัตย์ 

ด้าน ‘อลงกรณ์ พลบุตร’ รองหัวหน้าพรรค ที่เปิดตัวก่อนใคร ก็ถอนตัวไปตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคมแล้ว โดยไม่รู้ว่าสาเหตุลึกๆ จริงๆ คืออะไร ซึ่งต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลังแน่นอน หรือเป็นการถอนตัวเพื่อส่งต่อคะแนนให้ทีมเฉลิมชัย เพราะต้องไม่ลืมว่าอลงกรณ์ทำงานใกล้ชิดเฉลิมชัยในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะที่ปรึกษาใหญ่ และแสดงบทบาทนำมาโดยตลอด

แต่ประเด็นใหญ่ของประชาธิปัตย์ คือ จะเข้าร่วม หรือไม่เข้าร่วมรัฐบาล ภายใต้การนำของเพื่อไทย มีข่าวหนาหูหลัง ‘นายกฯ ชาย เดชม์อิศ ขาวทอง’ เดินทางไปฮ่องกง และได้พบปะพูดคุยกับทักษิณ ชิณวัตร กับข้อเสนอ 19 เสียง พร้อมสนับสนุนเพื่อไทย แต่เข้าใจว่าเพื่อไทยคงไม่อยากได้ 19 เสียง คงอยากได้ทั้งพรรค 25 เสียง และเข้าร่วมโดยมติพรรค ซึ่งแน่นอนว่าซีกของผู้อาวุโส คงไม่ประสงค์เข้าร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทย เพราะถือว่า เพื่อไทยคือคู่แข่ง และสู้รบปรบมือกับระบอบทักษิณมาตั้งแต่ปี 2543 ในยุคทักษิณ ไล่มาจนถึงยุคสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สมัคร สุนทรเวช และยิ่งลักษณ์ ชิณวัตร จู่ๆ จะนำทัพไปร่วมสมทบแบบ ‘ลืมอดีต’ น่าจะเป็นไปได้ยาก

แต่ถ้าพิจารณา จุดยืนของพรรค ประชาธิปัตย์ ได้แก่…
1.) ไม่สนับสนุนพรรคการเมืองที่แก้ไขมาตรา 112
2.) ไม่มีพรรคก้าวไกล (ก.ก.)
3.) ไม่มีรัฐบาลเสียงข้างน้อย
4.) พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมีแนวทางอย่างไร ตามที่ ชัยชนะ เดชเดโช รักษาการรองเลขาธิการพรรคกล่าว

ถ้าดูเงื่อนไข 4 ข้อกับช่องทางที่เพื่อไทยเปิดไว้ ประชาธิปัตย์ ก็ไม่น่าจะติดตรงไหนในการเข้าร่วมรัฐบาล แต่สภาพความเป็นพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นอย่างไร อนาคตจะต่ำสิบตามคำสบประมาทหรือไม่ การเข้าร่วมรัฐบาล ได้นำนโยบายพรรคไปใช้แก้ปัญหาชาติ จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์กลับฟื้นคืนชีพจากภาวะสลบไสลได้หรือไม่ เป็นประเด็นที่แกนนำพรรคจะต้องคิดให้จงหนัก นำบทเรียนในอดีตมาถอด อย่างการนำพรรคเข้าร่วมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เห็นได้ชัดว่า ไม่ได้ทำให้ประชาธิปัตย์ดีขึ้น นโยบายหลายข้อของประชาธิปัตย์ก็ได้นำไปใช้ เช่น ประกันรายได้เกษตรกร

ประชาธิปัตย์เคยมีคะแนนมากถึง 10 ล้านเสียง แต่พอเลือกตั้งปี 62 ลดลงเหลือ 3 ล้านกว่าเสียง ยิ่งหนักเข้าไปอีกเมื่อการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม ประชาธิปัตย์ได้คะแนนมาเพียง 9 แสนกว่าคะแนน ได้ สส.บัญชีรายชื่อแค่ 3 คน คือ ‘ชวน-บัญญัติ-จุรินทร์’

ถ้านำพาพรรคเข้าร่วมรัฐบาลกับขั้วที่เคยเป็นคู่แข่ง คู่รักคู่แค้นกันมา น่าสนใจยิ่งว่า อนาคตประชาธิปัตย์จะเป็นอย่างไร จะดีขึ้น หรือตกต่ำกว่าเดิม

การเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในวันที่ 6 สิงหาคม จะเป็นวันชี้ชะตาว่าอนาคตประชาธิปัตย์จะร่วมรัฐบาลหรือไม่ คงต้องรอชม…

จิตวิญญาณ มันต่างกัน!!

นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา อดีตนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงเยาวชน คนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน ว่า…

“สมัยผมเป็น ‘นศ.มธ.’ เราต่อต้าน จักรวรรดินิยมตะวันตก แต่เด็ก นศ.สมัยนี้กลายเป็น ‘เหยื่อ’ และ ‘หมากเบี้ยขุน’ ให้จักรวรรดินิยมเอาไว้ใช้งาน ดิสเครดิตประเทศบ้านเกิดตัวเอง จิตวิญญาณมันต่างกันจริงๆ”

‘ภูมิธรรม’ เผย การเมืองไทยอยู่ในสถานการณ์ผิดปกติ ชี้ ควรอยู่กับความจริง-เร่งหาทางออก พาประเทศฝ่าวิกฤต

‘ภูมิธรรม เวชยชัย’ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ชี้ สถานการณ์การเลือกนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ และถือได้ว่าวิกฤตพอสมควร ระยะเวลาที่ล่าช้าออกไปอาจทำให้ประเทศวิกฤตมากขึ้นไปอีก ซึ่งพรรคเพื่อไทยยืนอยู่บนความเป็นจริง และใช้วิธีแก้ปัญหาแบบละมุนละม่อม แสวงหาความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อฝ่าวิกฤตนี้ไปให้ได้และทุกอย่างจะดีขึ้นเรื่อยๆ

1.) ขณะนี้อยู่ในช่วงเวลาวิกฤต ทั้งด้านกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ปัญหาโครงสร้างภายในประเทศ ซึ่งมีความขัดแย้งที่เป็นพื้นฐานยังดำรงอยู่ การที่จะได้นายกรัฐมนตรีที่ทุกฝ่ายสบายใจจนสามารถเลือกมาได้ก็จะเป็นกระบวนการสร้างความเชื่อมั่นได้ดีที่สุด  

2.) สถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้การจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยไม่ใช่เรื่องง่าย ในฐานะพรรคแกนนำจะต้องหนักแน่น มีความเป็นผู้นำ มิเช่นนั้นจะไม่สามารถนำพาประเทศและความแตกต่างของพรรคการเมืองต่างๆ มาช่วยกันพาประเทศพ้นวิกฤตได้ เราจะต้องตัดสินใจบนความเป็นจริงของสถานการณ์และความต้องการของประชาชน ขณะที่พรรคการเมืองต่างๆ ก็มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเราก็ต้องให้ความเคารพ

3.) “เราอยู่ในช่วงเวลาวิกฤต ทั้งด้านกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ปัญหาโครงสร้างภายในประเทศ ซึ่งมีความขัดแย้งที่เป็นพื้นฐานยังดำรงอยู่ การที่จะได้นายกรัฐมนตรีที่ทุกฝ่ายสบายใจจนสามารถเลือกมาได้ ก็จะเป็นกระบวนการสร้างความเชื่อมั่นได้ดีที่สุด”

4.) สถานการณ์ขณะนี้ชี้ให้เห็นว่าประเทศเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ประชาชนและนักการเมืองก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน ทุกคนรู้ว่า8-9 ปีที่ผ่านมาประเทศเกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้าง  รวมถึงวิกฤตการณ์ภายนอกประเทศอีกมากมาย ดังนั้น จึงต้องกำหนดปัญหาของประเทศเป็นหลัก ถ้าประเทศรอด ประชาชนรอด ทุกคนก็จะรอดหมด ซึ่งนักการเมืองทุกคนรู้อยู่แก่ใจ ดังนั้นจึงต้องมาหาทางออกร่วมกัน ต้องเอาวาระประเทศและประชาชนเป็นตัวตั้ง

5.) ภูมิธรรม ย้ำว่า นโยบายที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้จะต้องทำให้สำเร็จในอายุรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเรามุ่งมั่นที่จะทำการเมืองรูปแบบใหม่ ด้วยการเอาปัญหาของประชาชน และผลประโยชน์ประเทศชาติเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่เอาปัญหาและผลประโยชน์ของพรรคการเมืองเป็นตัวตั้ง  

6.) ภูมิธรรมเชื่อมั่นว่าบุคลากรของพรรคเพื่อไทย รวมถึงประสบการณ์การทำงาน เป็นองค์ประกอบที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของประเทศที่วิกฤต และมีปัญหาความขัดแย้งสะสมมากว่า 20 ปี “เราเชื่อว่าจุดยืนของพรรคเพื่อไทย ที่ยืนอยู่บนความเป็นจริง ใช้วิธีการปัญหาแบบละมุนละม่อม แสวงหาความร่วมมือจากทุกฝ่าย จะช่วยให้เราฝ่าวิกฤตินี้ไปได้ และทุกอย่างจะดีขึ้นเรื่อยๆ”

‘โหร สว.วันชัย’ ทำนายดวงเมือง หลัง 17 ต.ค. ราหูสิ้นฤทธิ์ บ้านเมืองเข้าสู่ความศิวิไลซ์

(5 ส.ค.66) นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภาโพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘17 ต.ค.ราหูย้าย… สลายขั้วอำนาจ’ ดังนี้...

17 ต.ค.ราหูย้าย… สลายขั้วอำนาจ
สถานการณ์ตอนนี้พูดถึงเรื่องดวงบ้านดวงเมืองกันบ้างจะดีกว่า... ตามหลักโหราท่านว่า “วันอังคารที่ 17 ต.ค. 66 เวลา 06.22 น. ราหูย้ายออกจากราศีเมษเข้าสู่ราศีมีน เป็นวินาศกับดวงเมือง ทำให้ดวงเมืองหลุดพ้นจากดาวบาปเคราะห์ ทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ยุคศิวิไลซ์ และดาวอาทิตย์อยู่ราศีกันย์ เป็นอริกับดวงเมือง จะเกิดการเปลี่ยนแปลงแห่งอำนาจที่คาดไม่ถึง”

ขณะนี้ราหูยังทับดวงเมืองอยู่ จึงทำให้สถานการณ์ของบ้านเมืองยังไม่เข้าที่เข้าทางนัก ที่ว่าใช่… อาจไม่ใช่ ที่ว่าไม่ใช่… อาจใช่ และเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงทั้งนั้น แม้แต่ก้าวไกลที่เห็นว่าแน่ๆ ก็ยังไม่แน่... อาจารย์วันนอร์ก็คาดไม่ถึง เป็นเรื่องที่ลับ ลวง พราง ของอำนาจ ของบุคคล สถานการณ์มันพลิกผันได้ตลอดเวลา... แม้แต่เศรษฐาที่ทำท่าว่าจะใช่ ก็อาจไม่ใช่ พรรคการเมืองที่รวมกันเป็นข้าวต้มมัดก็มีอันพลัดพรากจากกัน พรรคที่อยู่คนละขั้วก็อาจจะมาเป็นขั้วเดียวกัน... มันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ

ตั้งแต่ พ.ค.-ก.ย. ใกล้ที่ราหูจะย้ายนี้ มันแสดงฤทธิ์แสดงเดช มีความอาเพศของอำนาจ... ก็อย่างที่เราเห็นตลอดระยะเวลา 2-3 เดือนที่ผ่านมา ยิ่งใกล้เดือน ต.ค. จะเกิดการพลิกผันสะเทือนเลื่อนลั่น สลายขั้วสลายสีอย่างทะลุทะลวง กว่าจะตั้งรัฐบาลได้ก็ประมาณปลาย ส.ค. และจะมีอำนาจเต็มก็ประมาณปลาย ก.ย. ในระหว่างทางนั้น ด้วยอิทธิพลของราหูทั้งในสภาและนอกสภาก็อาจจะมีความรุนแรง ประท้วงชุมนุม หรือเกิดการปะทะกันของดวงดาวที่เป็นอริต่อกัน ทำให้บ้านเมืองไม่สงบอยู่บ้าง จนถึงเดือน ต.ค. มีทั้งหนักทั้งเบาเขย่าอำนาจด้วยอิทธิพลของราหูที่กำลังจะเคลื่อนย้าย

รัฐบาลใหม่ต้องตั้งหลักให้มั่นคง อยู่ในทำนองคลองธรรม พรรคร่วมต้องเข้มแข็งเป็นหนึ่งภายใต้ดาวอาทิตย์ จากนั้นเมื่อถึง 17 ต.ค. 66 บ้านเมืองก็จะหลุดพ้นจากบาปเคราะห์ทั้งปวง สงบร่มเย็น เข้าสู่ความเป็นศิวิไลซ์ ทั้งการเมืองเศรษฐกิจและสังคมจะเดินไปได้ด้วยดี... รัฐบาลใหม่อำนาจใหม่ นำชัยให้กับประชาชน ราหูสิ้นฤทธิ์สิ้นเดช ประเทศเจริญรุ่งเรือง ต้องสวดนพเคราะห์เป็นมิ่งเป็นขวัญให้กับประเทศชาติ วัดไก่เตี้ย เขตตลิ่งชัน จะทำพิธีสำคัญในวันนั้น... รัฐบาลใหม่ รัฐมนตรีใหม่ อย่าลืมมาร่วมพิธีมหามงคลนี้นะครับ

‘ศิษย์เก่า มธ.’ ค้าน ‘พิธา’ เป่าหูเด็ก มธ.ด้วยตรรกะบิดเบือน แอบอ้าง!! จิตวิญญาณธรรมศาสตร์ ว่าเหมือนวิถีก้าวไกล

‘ศิษย์เก่า มธ.’ ค้าน ‘พิธา’ ร่วมงานปฐมนิเทศ นศ.ใหม่ ‘เกษมสันต์’ ชี้ จิตวิญญาณธรรมศาสตร์ไม่เหมือนวิถีก้าวไกลตามที่อ้าง เพราะไม่เคยสอนให้ก้าวร้าว ก้าวล่วง ‘ทนายมิ้นท์’ เหน็บ “ธรรมศาสตร์ไม่ได้สอนให้โกหกประชาชน” ฟาก ‘ดร.เสรี’ เศร้าใจ อยากรู้ใครเชิญนักการเมืองไปบรรยาย ถามศิษย์เก่า-ศิษย์ปัจจุบัน อาจารย์เกษียณ-อาจารย์ปัจจุบันที่ยังจงรักภักดี พอจะทำอะไรได้บ้าง

เมื่อวันที่ 4 ส.ค. ในเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘Kasemsant AEC’ มีการโพสต์ภาพและข้อความของนายเกษมสันต์ วีระกุล นักวิชาการอิสระ ในฐานะกรรมการศิษย์เก่าคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า…

ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่ มธ.เชิญพิธาไปพูดในงานปฐมนิเทศ นศ.ใหม่ ซึ่งได้มีการกล่าวอ้างว่า “จิตวิญญาณของธรรมศาสตร์เหมือนกับวิถีก้าวไกล”

ในฐานะศิษย์เก่าคนหนึ่ง ขอยืนยันว่า จิตวิญญาณความเป็นธรรมศาสตร์ที่ผมและศิษย์เก่าจํานวนมากก็มีนั้น ต่างจากวิถีก้าวไกลโดยสิ้นเชิง จิตวิญญาณความเป็นธรรมศาสตร์ไม่เคยสอนให้พวกเราก้าวร้าว ก้าวล่วงและพยายามจะเปลี่ยนแปลงสถาบัน หลักของชาติแต่อย่างใด

อีกทั้งพิธาเองยังมีอีกหลายประเด็นที่สังคมสงสัยและกําลังโดนตรวจสอบทั้งในด้านชีวิตส่วนตัว ธุรกิจและการเมือง ดังนั้นพิธาจึงไม่ควรจะเป็นตัวอย่างศิษย์เก่า มธ.ที่ดีจนกว่าจะได้พิสูจน์ตัวเองให้ได้เสียก่อน

ผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์น่าจะตระหนักให้มากกว่านี้ถึงความละเอียดอ่อนของสถานการณ์ทางการเมืองและความมั่นคงของชาติ รวมถึงความอ่อนไหวของอารมณ์และความรู้สึกของ นักศึกษาและประชาชนในปัจจุบัน/ เกษมสันต์ วีระกุล

ขณะที่ น.ส.พวงทิพย์ บุญสนอง หรือ ‘ทนายมินท์’ ทนายความของนักเคลื่อนไหวภาคประชาชน ในฐานะศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘Puangtip Boonsanong’ ระบุว่า…

“ธรรมศาสตร์ไม่ได้สอนให้โกหกประชาชน”

ด้าน ดร.เสรี วงษ์มณฑา อดีตคณบดีวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘ดร.เสรี วงษ์มณฑา’ ระบุว่า…

“วันนี้รู้สึกเศร้าใจมาก เมื่อเห็นเหตการณ์ที่เกิดขึ้นในงานรับเพื่อนใหม่ของธรรมศาสตร์ ที่มีการเชิญพิธาไปเป็นผู้บรรยายให้นักศึกษาปีที่ 1 ฟังหัวข้อบรรยาย ถ้าหากจะพูดให้เป็นแนวทางในการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย กับการเรียนให้ประสบความสำเร็จน่าจะเหมาะกว่า

แต่การเชิญคนที่เป็นนักการเมืองที่มี agenda ทางการเมืองไปบรรยาย มีการทำกิจกรรมที่มีกลิ่นอายการเมือง ด้วยตรรกะผิดๆ บิดเบือนดูไม่เหมาะสม

อยากรู้ว่าใครเป็นคนจัด ใครเป็นคนเชิญ ไม่รู้เลยหรือว่าพิธาเป็นใคร ไม่คิดเลยหรือว่าเมื่อเขามาบรรยาย เขาจะมาพูดอะไรให้นักศึกษาฟัง

หรือจริงๆ รู้ดีว่าพิธาจะมาพูดอะไร และเห็นดีเห็นงามกับเรื่องที่เขาจะพูด กิจกรรมที่เขาจะทำ ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็ต้องบอกว่าศีลเสมอกันจริงๆ

ต้องยอมรับว่าธรรมศาสตร์ช่วงนี้ตกต่ำจริงๆ อาจารย์บางคนกลายเป็นอาจมที่ครอบงำลูกศิษย์ด้วยข้อความที่เป็นเท็จ

ผู้บริหาร ไม่เคยคิดที่จะทำอะไรที่ปกป้องชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยบ้างเลยหรือ กลัวจะถูกตราหน้าว่าไม่เป็นประชาธิปไตยหรือไร

ในฐานะที่เป็นศิษย์เก่าดีเด่น ทั้งของคณะศิลปศาสตร์ และของมหาวิทยาลัย อาจารย์ และคณบดีคณะวารสารศาสตร์ฯ รู้สึกเสียใจยิ่งนัก

อยากถามศิษย์เก่า อาจารย์และข้าราชการเกษียณ ศิษย์ปัจจุบันและอาจารย์ปัจจุบันที่ยังจงรักภักดี เราพอจะทำอะไรบ้างได้ไหม

อย่าให้มหาวิทยาลัยของเราตกต่ำไปกว่านี้เลยนะคะ”

'ช่อ' ตอบปมก้าวไกลยกมือเลือก ‘เศรษฐา’ นั่งนายกฯ ถาม!! คนโดนผัวบอกเลิก ยังต้องไปปูที่นอนให้ผัวกับเมียใหม่ด้วยเหรอ?

เรียกว่าติดเทรนด์ข่าวแรงกระแสดัง 2 วันติด หลังจากพรรคเพื่อไทย ออกมาประกาศตัดความสัมพันธ์พรรคก้าวไกล แถมมีกระแสว่าทำให้ประชาชนที่เคียงข้างค่อนข้างผิดหวัง งานนี้รายการ ‘คนดังนั่งเคลียร์’ ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 เลยขอเชิญตัวมารดาวงการการเมือง แถมฝีปากตรงจุกอกอย่าง คุณช่อ พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า มาถามไถ่ถึงประเด็นร้อนดังกล่าวว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร และตัวเธอเองมีความคิดเห็นส่วนตัวอย่างไรบ้าง พร้อมเปิดใจพรรคเพื่อไทย ทำไมถึงทำกับพรรคก้าวไกลได้ และพรรคก้าวไกลมีสิทธิ์ถูกยุบพรรคเบรกแรงเหมือนพรรคอนาคตใหม่ในอดีตหรือไม่

>> คิดอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ คะ? (พรรคเพื่อไทยประกาศ หย่า ก้าวไกล) ?

ดิฉันว่าก้าวไกลก็ถอย จนไม่รู้จะถอยอย่างไรแล้วนะคะ ดิฉันว่าเขาก็จะไม่มีที่ยืนแล้วคือ จริง ๆ มันเป็นความพยายามที่ Toxic Relationship (ความสัมพันธ์เป็นพิษ) อยู่กันแบบว่าเป็นคู่ผัวเมียที่ระหองระแหง แต่ก็ธรรมดาของชีวิตคู่ พรรคการเมืองก็เช่นกันใช่ไหมคะ ถ้าเห็นต้องตรงกันหมด ก็คงเป็นพรรคเดียวกันแล้วก็มีความแตกต่างอะไรกัน แต่ช่อว่าก้าวไกลเขาก็มีความพยายามที่จะรักษาสัมพันธภาพ 8 พรรคนี้ไว้ให้ได้ เพราะเดี๋ยวมันจะเกิดข้ามขั้วขึ้นมา เขาก็ไม่อยากเห็นไง

>> คนเขาสงสัยว่าพรรคอันดับ 1 และ อันดับ 2 เขาจับมือกัน ตกลงกัน ดองกันมาแต่ไหนแต่ไร ทำไมอยู่ ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงข้ามขั้วกันอย่างนั้น ใช่เหรอคะ รู้มาล่วงหน้าหรือเปล่า?

อันนี้พูดในนามตัวเอง เพราะว่าตัวเองไม่ใช่ก้าวไกล แต่ถือว่า เสมือนหนึ่งว่า เป็นคนใกล้ชิดมากเพราะว่าอยู่ตึกเดียวกันนะ เวลาเห็นดิฉันเดินเข้าไปอย่าคิดว่าดิฉันเดินเข้าไปพรรคก้าวไกลนะคะ ออฟฟิศอยู่ตึกเดียวกันกับคณะก้าวหน้า ก็ติดตามสถานการณ์จากการดูข่าวนะคะ แล้วก็พูดคุยกับบรรดา ส.ส. บรรดาแกนนำ คือปฏิเสธไม่ได้หรอก เพราะเป็นเพื่อนกันหมด เราก็ถามไถ่ว่าเป็นอย่างไร อะไรแล้ว จริง ๆ ถามว่าเล็งเห็นไหมว่าจะเกิดเรื่องนี้ในอนาคต ก็เชื่อว่า ทั้งประชาชนและก้าวไกลเอง มันเล็งเห็นอยู่บ้างแหละ แล้วก็มีความรู้สึกว่า คงไม่เกิดหรอก พรรคเพื่อไทยคงไม่ทำหรอก ก็จับมือกันไว้ 2 พรรค เราก็เป็นคนโลกสวยไง พยายามจะมองว่าเขาเดินทางการเมืองมาขนาดนี้ เขาเก่าแก่กว่าพรรคเราเป็นไม่รู้กว่ากี่ 10 ปี อยู่ดี ๆ เขาจะมาทำอะไรหักหาญน้ำใจขนาดนี้เหรอ ในการไปตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว เขาคงไม่ทำ ไม่ได้บอกว่าไม่ทำกับก้าวไกลนะ แต่คือเขาคงไม่ทำกับคนที่เลือกเขามาขนาดนั้น แม้แต่ ส.ส.ในพรรคเพื่อไทยเองก็กลืนยากอยู่ใช่ไหมคะ มันมีประวัติความเป็นมากับภูมิใจไทย อาจารย์ก็เกิดทันอยู่ใช่ไหมคะ เรื่องราวมันเจ็บปวดมากระหว่าง 2 พรรคนี้

>> พวกเธอเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ และเธอก็ยังไม่มีประสบการณ์เธอกับยังไม่ลับเขี้ยว เล็บของเธอก็กุด พูดง่าย ๆ เราก็ต้องยอมรับประสบการณ์ว่าเกมไม่ถึงเขา?

จริง ๆ สงสัยเพื่อไทยก็จะเล็งเห็นแบบนี้เลย สั่งสอนเพิ่มประสบการณ์ให้เรา แบบหลักสูตรเร่งรัดในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา (หัวเราะ)

>> พอพรรคเพื่อไทย บอกว่าให้ก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้าน ตอนนี้พรรคก้าวไกลมี 150 คน ก็เป็นฝ่ายค้านได้ ไม่เห็นต้องคิดอะไร มิใช่เหรอคะ?

แต่มันก็แค้นใจอย่างนี้นะ อันนี้แค้นใจส่วนตัวในฐานะกองเชียร์ ฉันก็ไปช่วยเขาหาเสียงจนดำ ก็เพิ่งกลับมาขาว มันก็น่าแค้นใจ แต่ไม่ใช่ในนามของพรรคก้าวไกลนะ ช่อคิดว่ามันน่าแค้นใจในนามประชาชนว่า กูต้องทำขนาดไหนว่ะ พรรคที่ฉันเลือกเนี่ย ตอนแรกก็เลือกไปไม่ได้คาดหวังอะไรมากเนอะ ได้ 100 เสียงก็เก่งแล้ว ปรากฏว่าคนพร้อมใจกันเลือกไม่ได้นัดหมายได้ 151 คนเนี่ย มันยังจะไม่ได้เป็นรัฐบาลอีกเหรอ ซึ่งวันนี้มันก็ชัดเจนแล้วว่าใช่ 14 ล้านเสียงของประชาชนคนไทยก็ไม่สามารถจะทำให้พรรค พรรคนึงตั้งรัฐบาลได้

>> แต่มีนักการเมืองมานั่งที่โต๊ะเดี๊ยนแล้วพูดว่า มีทฤษฎีอะไรเหรอ พรรคที่ได้เสียงข้างมากจะเป็นรัฐบาลไม่จริง เอามาจากไหน ช่อก็อย่าฝันลม ๆ แล้ง ๆ?

ถ้าพรรคที่ได้เสียงข้างมาก จะไม่ได้เป็นรัฐบาล แล้วข้างไหนวะ ที่จะได้เป็นรัฐบาล (หัวเราะ) งง ตกลงฉันเป็นคนที่ไม่มีตรรกะ หรือคนอื่นเป็นคนที่ไม่มีตรรกะ

>> คนทั้งโลกก็คงมีเครื่องหมายคำถามว่า ทำไมการเมืองประเทศไทยถึงเป็นเช่นนี้?

อันนี้พูดแบบไม่ตลกอะไรเลยนะ ด่าตรง ๆ เลย รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 เป็นผลไม้พิษจริง ๆ อาจารย์ก็พูดถูกว่าพรรคที่ได้อันดับ 1 ไม่ได้เป็นรัฐบาลมา 2 ครั้งแล้วนะ ครั้งที่แล้วคือพรรคเพื่อไทย ตอนเลือกตั้ง 62 ตอนนั้นอนาคตใหม่ได้ที่ 3 ครั้งนี้ ก้าวไกลได้ที่ 1 เพื่อไทยได้ที่ 2 ก็ซ้ำรอยเดิมคือ พรรคอันดับ 1 ไม่ได้เป็นรัฐบาล ที่เป็นแบบนี้เพราะ รัฐธรรมนูญ 60 เขาไปมีตัวอย่างที่แบบดีมากจากประเทศเพื่อนบ้านเรา ไม่พูดชื่อประเทศแล้วกันนะคะ คือรัฐธรรมนูญเขียนไว้เลยว่า ต้องมีสมาชิกสภาที่มาจากการแต่งตั้งคือ วุฒิสภา มาโหวตเลือกนายกฯ กับเขาด้วย กลายเป็นพรรคอันดับ 1 ที่แท้จริงมี 250 เสียง ทีนี้มันเลยทำให้เสียงที่มาจากการเลือกของประชาชนมันแทบไม่มีความหมาย เพราะคุณมีพรรคอันดับ 1 250 เนี่ย เทไปที่ใครก็เป็นนายกฯได้

>> เดี๊ยนไปจิ้มในทวิตเตอร์มา เขาโพสต์กันสนั่นหวั่นไหว ถ้าวันที่ 4 นี้ก้าวไกลไม่ยอมโหวตให้คุณเศรษฐา พรรคเพื่อไทย เขาก็จะจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้อีก คราวนี้ก็ต้องโยนไม้ 3 4 ให้คุณอนุทิน มีคนเขาถามแล้วจะไม่ยิ่งไปไกล และยิ่งแย่ไปกว่านี้เหรอคะ?

เดี๋ยวนะคะ คนเราโดนผัวบอกเลิกแล้ว ยังต้องไปปูที่นอนให้ผัวกับเมียใหม่ด้วยเหรอคะ ดิฉันงง สังคมไทยต้องการอะไรจากพรรคก้าวไกล สปิริตไง เธอแพ้แล้วก็ต้องไปเลือกให้เขา? แล้วพรรคอื่นไม่ต้องมีสปิริตเหรอคะ ถ้าพรรคอื่นมีสปิริต พรรคก้าวไกลก็ไม่เดินทางมาถึงขนาดนี้นะ ในฐานะพรรคอันดับ 1 คือช่อคิดแบบนี้ เคยมีการพูดมาก่อนหน้านี้ว่า ถ้าเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ จะส่งไม้ต่อให้พรรคอันดับ 3 ช่อคิดว่าอันนี้น่าเกลียดไปหน่อย คือมันไม่มีวัฒนธรรมนะคะ อันดับ 1 ไม่ได้ ให้อันดับ 2 อันดับ 2 ไม่ได้ ให้อันดับ 3 คืออันดับ 1 ไม่ได้ ให้อันดับ 2 เราอยู่ร่วมกันใน 8 พรรค แล้วก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ เราก็บอกว่า ถ้าไม่สำเร็จ เราก็ให้พรรคอันดับ 2 ในกลุ่มก้อนเดียวกันเป็นผู้เจรจา แต่มันไม่มีวัฒนธรรมนะคะ อันนี้ถูกประดิษฐ์และสร้างขึ้นใหม่ ถ้าพรรคอันดับ 2 ตั้งไม่สำเร็จ เราจะให้พรรคอันดับ 3 แล้วกัน ดิฉันขอโทษนะประชาชนคนไทย ตอนนี้ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว กินข้าวครบหมู่นะคะ ไอโอดีนก็ถึงเรามีไอคิวที่ดี เพราะฉะนั้นประชาชนคนไทยรู้ค่ะ ว่าพรรคอันดับ 2 จัดไม่ได้ ก็จะให้พรรคอันดับ 3 ภูมิใจไทยเป็นผู้จัด คนพูดต้องการอะไร ต้องการโยนขี้ให้พรรคอื่นหรือไม่ อย่าให้พูดแรง เอาแค่นี้ ประชาชนคนไทยไม่ได้โง่ ไม่ได้รับประทานหญ้า กินอาหารครบ 5 หมู่ มีเกลือไอโอดีนรับประทานทุกบ้าน เพราะฉะนั้นอย่าคิดอะไรง่าย ๆ ตื่น ๆ แล้วประชาชนจะเชื่อ

>> พิธาจะจุดจบเดียวกันกับพรรคอนาคตใหม่ไหมคะ?

เรื่องนี้มันเดาตอนจบง่ายมาก เพราะมันเป็นหนังฉายซ้ำ ตอนอนาคตใหม่ก็ซีนนี้มาเต็มหมดเลยใช่ไหม เพราะฉะนั้นการที่มันจบแบบเดิม เราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันอยู่เหนือความคาดหมายอะไร แต่ช่อคิดว่ามันก็ได้พิสูจน์แล้วว่า การยุบพรรคอนาคตใหม่ก็ได้มาซึ่งการชนะของพรรคก้าวไกล ที่เป็นพรรคอันดับ 1 ในวันนี้ คุณยุบพรรคได้ แต่คุณไม่สามารถเอาพรรคออกไปจากใจของประชาชนได้ เพราะเขารัก เขาชอบพรรคนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าก้าวไกลจะโดนแบบเดียวกับที่อนาคตใหม่โดน ซึ่งช่อคิดว่าความเป็นไปได้ไม่น้อยหรอก เพราะว่าอาจารย์ก็รู้ ทุกคนก็รู้ แฟนคลับก็รู้ อาจารย์คิดว่าก้าวไกล จะทำได้ดีขึ้น หรือแย่ลงกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้

'เพจดัง' ถาม? สารคดี 'COST OF FREEDOM' ของรุ้ง-ปนัสยา มีดีเบตกับ 'อ.อานนท์' และ 'ภาพถือกระเป๋าหรู 2 แสน' หรือไม่?

(4 ส.ค. 66) กรณีเพจเฟซบุ๊ก ‘สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย’ ประชาสัมพันธ์หนังสารคดี น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง แกนนำม็อบราษฎรหรือกลุ่มสามนิ้ว และ ผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 เรื่อง ‘The Cost of Freedom’ เตรียมที่จะฉายเปิดตัวในเทศกาล Chain NYC Film Festival ที่มหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา หวังว่า ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ จะได้มีโอกาสฉายในประเทศไทย และจะได้พื้นที่อิสระในการสร้างสรรค์งานที่มีคุณภาพต่อไป

ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก เสธPlay โพสต์ข้อความว่า "สารคดี COST OF FREEDOM ของรุ้งที่กำลังโฆษณาใหญ่โตจะมีฉากนี้มั้ยครับ?"

โดยเผยแพร่คลิปสั้น ๆ ตอนหนึ่งของการดีเบตระหว่าง รุ้ง ปนัสยา กับ ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ประเด็น ‘พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ 2561’ ในรายการ ‘ถามตรง ๆ กับจอมขวัญ’ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่า รุ้งแพ้ยับ เมื่อดร.อานนท์อธิบายข้อมูลและกฎหมายได้ละเอียดครบถ้วน ทำให้รุ้งไปไม่เป็นและนิ่งเงียบ

เพจ ‘เสธPlay’ ยังได้โพสต์ภาพ รุ้ง ปนัสยา ถือกระเป๋าหรูแบรนด์เนมหลุยส์ วิตตอง ราคาใบละ 2 แสนบาท พร้อมระบุว่า "ประชาธิปไตยนี้ดี สู้แล้วรวย"

‘แม่ลีน่า’ ฟาดแรง!! อ้างถูก ‘สส.ก้าวไกล’ โทรมาด่า ลั่น!! วิจารณ์ทุกยุค ‘โทนี่-ปู-ตู่’ แต่ไม่เคยมีใครทำแบบนี้

(4ส.ค. 66) ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่ง ชื่อ ‘nangfar_allstar’ ได้โพสต์คลิปของ ‘ลีนา จังจรรจา’ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ลีน่าจัง’ นักธุรกิจ ทนายความ และพิธีกรหญิงชาวไทย ที่ได้ออกมาแฉหลังจากที่ตนถูก สส.คนหนึ่งของพรรคก้าวไกลโทรศัพท์มาต่อว่า กรณีที่ตนนั้นได้วิพากษ์วิจารณ์พรรคก้าวไกล โดยในคลิปดังกล่าวระบุว่า…

“ปากบอกเป็นประชาธิปไตย แต่พอฉันวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับพรรคก้าวไกล กลับส่ง สส.โทรมาด่าฉัน ด่าทําไม ฉันมีสิทธิ์วิจารณ์ คุณห้ามฉันไม่ได้หรอก ฉันจะพูดไปจนกว่าฉันจะตาย นอกเสียจากว่าพวกคุณจะสาบสูญไป และไม่ได้ลง สส. ไม่มีพรรคการเมืองอะไรเลย หายสาบสูญไปเลยอย่างนี้ ฉันถึงจะไม่พูด ขนาดคุณทักษิณยังหนีไปอยู่ต่างประเทศ 17 ปี ฉันยังพูดถึงเขาทุกวัน คุณยิ่งลักษณ์ฉันก็พูดถึงเขาทุกวัน ทําไมจะพูดไม่ได้ ในเมื่อคุณลงมาสมัคร คุณก็คือบุคคลสาธารณะ อย่าหลงตัวเอง ฉันไม่แปลกใจหรอกที่เด็กๆ สมัยนี้ จะเนรคุณกันหมด เนรคุณพ่อแม่ ไม่เอาพ่อแม่ ด่าพ่อแม่น่ะ”

“แล้วฉันก็วิพากษ์ วิเคราะห์วทุกสภาฯ ทุกรัฐบาล คุณทักษิณ คุณยิ่งลักษณ์เป็นรัฐบาล ฉันก็วิเคราะห์ คุณประยุทธ์เป็นรัฐบาล 9 ปี ฉันก็วิเคราะห์ คุณประยุทธ์ไม่เคยส่งคนมาขู่ฉันเลย พรรคพลังประชารัฐไม่เคยส่ง สส.มาด่าฉัน มาขู่ฉันเลย คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรัฐบาลในยุคของคุณอภิสิทธิ์ พรรคประชาธิปัตย์ฉันก็วิเคราะห์ เพราะฉันทําหน้าที่วิเคราะห์ข่าว ทำอาชีพนี้ของฉันมาตั้งแต่คุณประยุทธ์ปิดสถานีดาวเทียมของคุณเมื่อปี 2557 ทํามาจนถึงจนถึงทุกวันนี้ 9 ปีแล้ว”

“พรรคการเมืองใหญ่โตระดับไหนฉันก็วิเคราะห์หมด ฉันพูดหมด ไม่เคยมีใครมาขู่ฉันเลย… คุณใหญ่โตมาจากไหน?” ลีน่าจัง กล่าวทิ้งท้าย

'ก.ต่างประเทศ-วุฒิสภาสหรัฐฯ' จี้ไทยเคารพเสียงประชาธิปไตย หลัง 'เพื่อไทย' ทิ้ง 'ก้าวไกล' ตั้งรัฐบาล ไม่เคารพเสียง ปชช.

กรรมการกิจการต่างประเทศ วุฒิสภาสหรัฐฯ ทวีตจี้ทุกฝ่ายเคารพเจตนารมณ์ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หลังข่าวเพื่อไทยขับก้าวไกลร่วมจัดตั้งรัฐบาล ขณะที่บริษัทประเมินความเสี่ยงแคนาดาออกคำเตือน เลี่ยงเหตุการณ์ชุมนุมในไทย ส่วนฮิวแมนไรท์วอช ชี้ชัดการละเมิดสิทธิมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นหลังจากนี้

(4 ก.ค.66) สำนักข่าวอิศรา รายงานสถานการณ์การเมืองไทยจากมุมมองในต่างประเทศว่า ทวิตเตอร์ของคณะกรรมการกิจการด้านการต่างประเทศของวุฒิสภาสหรัฐอเมริกาได้มีรีทวีตข่าวที่พรรคก้าวไกลถูกขับออกจากการเป็นพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล และทวีตข้อความระบุว่าต้องมีการจับตาพัฒนาการทางด้านการเลือกตั้งในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด พร้อมกับเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพเจตนารมณ์ของคนไทยที่แสดงผ่านการเลือกตั้ง เสียงของประชาธิปไตยที่ถูกเลือกตั้งมาไม่ควรถูกทำให้เงียบลง

ขณะที่เว็บไซต์ crisis24 ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของบริษัท Garaworld บริษัทรักษาความปลอดภัยจากแคนาดา ได้ออกคำเตือนระบุว่า ขอให้ผู้ที่เดินทางไปยังหลีกเลี่ยงจากสถานที่การประท้วงทั้งหมดเพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน ถ้าหากมีความรุนแรงเกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียง ให้ออกจากพื้นที่ทันทีและหาที่หลบภัยในอาคารที่ปลอดภัย และควรจะมีการวางแผนเผื่อกรณีที่บริการขนส่งท้องถิ่นหรือว่าธุรกิจอาจจะต้องหยุดชะงักจากการชุมนุม

ขอให้ผู้ที่เดินทางได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในกระบวนการตรวจค้นด้านความปลอดภัย และขอให้พกพาเอกสารยืนยันตัวตนไว้กับตัวเองตลอดเวลา รวมไปถึงให้ความสนใจในด้านคำแนะนำด้านการขนส่งและความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด

ส่วนเว็บไซต์ Council on Foreign Relations (CFR) ซึ่งเป็นสถาบันคลังสมองในสหรัฐฯ ได้มีการเขียนบทความวิเคราะห์เอาไว้ตอนหนึ่งเกี่ยวกับกรณีที่พรรคเพื่อไทยประกาศขับพรรคก้าวไกลออกจากการร่วมรัฐบาลว่า พรรคเพื่อไทยได้สละสิทธิ์การเป็นพรรคประชาธิปไตยไปแล้ว ทำให้คนรุ่นใหม่มองว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกลุ่มผู้ทรงอำนาจที่ไม่ฟังเสียงประชาชน ซึ่งที่เป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยต้องจ่ายในระยะยาว

ทางด้านของนายฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์วอช ประจำภาคพื้นเอเชีย ได้รีทวีตข่าว และทวีตข้อความระบุว่า ไม่ค่อยจะเป็นประชาธิปไตยเท่าไรนัก นั่นคือสิ่งที่ทุกคนสามารถพูดได้ เนื่องจากพรรคการเมืองที่ชนะเสียงและที่นั่งมากที่สุดในการเลือกตั้งเมื่อเดือน พ.ค. ถูกเขี่ยลงไป การละเมิดสิทธิธรรมาภิบาล มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นตามมาอีก หลังจากการเคลื่อนไหวแบบนี้

'พิธา' ร่วมงาน 'มธ.' บรรยายถึง 'ปชต.ที่ถดถอย-สังคมเหลื่อมล้ำรุนแรง' ชี้!! โลกต้องการ 'พลังใหม่-คนรุ่นใหม่' ร่วมนิยามและกำหนดอนาคต

(4 ส.ค.66) ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมรับเชิญเป็นผู้บรรยายพิเศษในงาน 'รับเพื่อนใหม่' ให้กับนักศึกษาเข้าใหม่ชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยได้ร่วมบรรยายในหัวข้อ 'ประชาธิปไตย เสรีภาพ และความเป็นธรรม : 3 เสาหลักจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ สู่การสร้างสรรค์สังคม'

โดยระหว่างที่พิธาเดินเข้าสู่หอประชุม ปรากฏว่าได้รับเสียงตอบรับจากนักศึกษา ทั้งปรบมือและส่งเสียงเฮจนลั่นหอประชุม โดยระหว่างรอคิวขึ้นบรรยาย พิธายังได้ร่วมรับชมการบรรยายและกิจกรรมพิเศษจากนักศึกษากองสันธนาการอย่างเป็นกันเอง

เมื่อถึงลำดับการบรรยาย พิธาเริ่มต้นโดยระบุว่าตนยินดีที่ได้กลับมาสู่บรรยากาศและพลังงานแบบเหลืองแดงอีกครั้ง สิ่งที่ธรรมศาสตร์ได้สอนตนมา แทบจะไม่ต่างกับวิถีแบบก้าวไกล คือสิ่งที่อยู่ในตัวของตนเอง ธนาธร, ปิยบุตร, ศิริกัญญา, โรม ฯลฯ เป็นดีเอนเอที่ใกล้เคียงกัน นั่นคือความยึดมั่นในประชาธิปไตย เสรีภาพ และความเป็นธรรม

ย้อนกลับไปในวันที่ตัวเองเป็นนักศึกษารหัส 41 เหมือนทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ทั่วโลกมีประเทศที่เป็นประชาธิปไตยมากกว่า 50% ของทั้งโลก แต่วันนี้ความเป็นประชาธิปไตยบนโลกถอยหลังลงอยู่เหลือเพียงประมาณ 20% ส่วนความเหลื่อมล้ำ ในสมัยนั้นคนที่รวยที่สุด 1% กับคน 50% ล่าง มีโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรต่างกัน 8 เท่า แต่เวลานี้คือ 16 เท่า คน 1% ข้างบนสุดครองทรัพย์สิน 50% ของทั้งโลก ส่วนคน 50% ครองทรัพย์สิน 2% เท่านั้น

น่าเจ็บใจที่ผ่านไป 25 ปี ทุกอย่างกลับถดถอยลง เรากำลังอยู่ในโลกที่ประชาธิปไตย เสรีภาพ และความเป็นธรรมกำลังถดถอย สิ่งเก่ากำลังล้มพังลง ขณะที่สิ่งใหม่ที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นยังไม่สำเร็จ โลกใบใหม่เต็มไปด้วยความปกติใหม่ แต่เรายังคงไม่มีฉันทามติใหม่สำหรับความปกติใหม่เสียที

พิธากล่าวต่อไป ว่าเมื่อหันกลับมาดูประเทศไทย ประชาธิปไตยของไทยวันนี้คือประชาธิปไตยที่เพียงแค่ สว. ที่มาจากการลากตั้งไม่มาเป็นองค์ประชุม ก็สามารถล้มแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนได้ คือประชาธิปไตยที่บอกว่าคนเท่ากัน แต่อำนาจที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนกลับสามารถถูกคานโดยอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชนได้ มีองค์กรอิสระสามารถหยุดยั้งประชาธิปไตยได้ เสรีภาพในการแสดงออก ในการกำหนดชีวิตตัวเอง แม้แต่ในการหายใจ ในการทำมาหากินถดถอยลง

นี่ยิ่งเป็นสาเหตุที่โลกและประเทศไทยต้องการคนรุ่นพวกคุณ ต้องการพลังงานอย่างพวกคุณ มากำหนดนิยามใหม่ให้กับประชาธิปไตย เสรีภาพ และความเป็นธรรม เรียนรู้อดีต กำหนดสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นี่คือสิ่งที่พวกเราต้องช่วยกัน เป็นพลังงานของคนรุ่นใหม่ ๆ ถึงเวลาต้องคิดใหญ่ โลกใบนี้กำลังต้องการคนรุ่นใหม่ รุ่นพวกคุณขึ้นมาช่วยพวกผมในการผลักสิ่งเก่า ๆ ออกไปและนำสิ่งใหม่ ๆ เข้ามา ช่วยกันนิยามความคิดประชาธิปไตย เสรีภาพ และความเป็นธรรมในยุคของเรา

พิธากล่าวต่อไป ว่าสำหรับคนธรรมศาสตร์ เราถูกเสมอสอนว่าที่นี่มีเสรีภาพทุกตารางนิ้ว สอนว่าฉันรักธรรมศาสตร์เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน สอนว่าเหลืองของเราคือธรรมประจำจิต แดงของเราคือโลหิตอุทิศให้ ถ้าย้อนกลับไปได้ สิ่งที่ตนอยากจะทำให้ดีกว่านี้คือการคิดให้ใหญ่ ตนขอฝากให้ทุกคน ได้ใช้เวลา 4 ปีให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด เรียนนอกห้องให้เหมือนในห้อง ฟังแต่ยังไม่ต้องเชื่อ อย่าให้ใครมาบอกว่าความสามารถของคุณมีแค่นี้ อย่าให้ใครมาบอกว่าคุณเป็นในสิ่งที่อยากเป็นไม่ได้ แม้แต่อาจารย์ของคุณ นี่คือความปกติใหม่ คุณต้องเชื่อว่าคุณสามารถเป็นในเส้นทางที่อยากเป็นได้ และสร้างความเปลี่ยนแปลงให้โลกใบนี้ได้

"สิ่งที่ผมได้ติดมาจนถึงทุกวันนี้และจะไม่มีวันจากผมไป คือจิตวิญญาณความเป็นธรรมศาสตร์ ที่มีความเป็นภราดรภาพ เสรีภาพ และความพร้อมทำทุกอย่างเพื่อประชาชน ให้นิยามของคำว่าประชาธิปไตยเต็มใบ ความยุติธรรมต่อหน้ากฎหมาย เสรีภาพในการกำหนดอนาคตของตัวเองและเพื่อน ๆ ในประเทศและโลกใบเดียวกันนี้ ขอให้ 4 ปีของทุกคน เป็น 4 ปีที่กล้าฝันใหญ่ คิดใหญ่ คิดให้ออกนอกกรอบ อยู่เป็นโลกไม่เปลี่ยน ความอยู่ไม่เป็นคือวิญญาณของความเป็นธรรมศาสตร์เราทุกคน" พิธากล่าว

‘บิ๊กตู่’ ลงพื้นที่เยี่ยมเหยื่อโกดังพลุระเบิด สั่งเยียวยาดูแล ปชช. ให้กลับมาใช้ชีวิตได้ปกติสุขโดยเร็ว

(4 ส.ค.66) เพจ ‘ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี - PMOC’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่เยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บ ณ พื้นที่เกิดเหตุโกดังพลุระเบิด ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบเหตุในทุก ๆ ด้าน

ลงพื้นที่วันนี้ เพื่อไปดูว่าจะเยียวยากันอย่างไร โดยเฉพาะความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งมีงบในส่วนของราชการส่วนหนึ่ง อีกส่วนเป็นงบกองทุนบริจาคที่สำนักนายกรัฐมนตรีกำลังประชุมให้มีการปรับแก้ว่า จะเพิ่มเติมตรงไหนได้บ้าง

นอกจากนี้ต้องดูแลในส่วนโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหาย ว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนกลับมาดำรงชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด

‘อดิศร’ แนะส่องไฟตรงที่นั่ง ปธ.สภาฯ ให้สว่าง ด้าน ‘วันนอร์’ บอก “สว่างแล้ว กลัวแก่”

(4 ส.ค. 66) ที่รัฐสภา มีการประชุมรัฐสภา มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาเรื่องด่วนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 272 เรื่องการตัดอำนาจ สว.เลือกนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อถึงเวลาประชุม ยังไม่สามารถเปิดประชุมได้ จึงเปิดให้สมาชิกหารือปัญหาต่าง ๆ โดยนายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ลุกหารือว่า ตนเห็นว่าตรงที่นั่งประธานรัฐสภาและรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะมีมุมมืดดำไม่เด่นเป็นสง่า มองออกมาแล้ว ประธานฯ น่าจะเด่นชัด สุขสกาวให้สมกับห้องประชุมที่ตนไม่ชอบซึ่งชื่อว่าสุริยัน ต้องมีแสงสว่าง ไม่ใช่มองประธานฯ อยู่ไหน มันมืดจริง ๆ แสงแห่งความหวังของประชาธิปไตย อยู่ที่ที่ประธานฯ ตนอยากให้ฝ่ายเทคนิคไฟส่องสว่างให้สมศักดิ์ศรีหมื่นกว่าล้าน ท่านรองประธานรัฐสภา ก็เป็นตุลาการมาก่อน หน้าตาก็หล่อ แต่มองไปไม่เห็น ท่านประธานรัฐสภา น่าจะหนุ่มกว่านี้ นั่งอยู่ตรงนั้นไม่หนุ่มเลย จึงอยากให้ทางสภาฯ ปรับปรุงเพื่อให้สภาฯ ของเรามีประธานและรูปด้านหลังเด่นเป็นสง่า เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณทางประชาธิปไตย 

ทำให้นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวติดตลกว่า “กลัวว่าสว่างแล้วจะแก่” ซึ่งเมื่อนายวันมูหะมัดนอร์พูดจบ ก็เรียกเสียงหัวเราะจากสมาชิกในห้องประชุม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top