Thursday, 15 May 2025
POLITICS

‘นพดล’ มั่นใจ!! ชง ‘เศรษฐา’ นั่งนายกฯ ราบรื่น ยัน!! ไม่มีปัญหาผิดจริยธรรมใดๆ ให้ต้องกังวล

(9 ส.ค. 66) ที่รัฐสภา นายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยจะเดินหน้าเสนอชื่อนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นแคนดิเดต นายกฯ ให้ที่ประชุมรัฐสภาเห็นชอบต่อไป เนื่องจาก ไม่มีประเด็นผิดจริยธรรมใด ๆ การออกมากล่าวหาว่ามีการสมรู้ร่วมคิดเลี่ยงภาษีล้วนไม่เป็นความจริง เนื่องจาก

1.เดือนธันวาคม 2561 ผู้ขาย 12 คนได้กรรมสิทธิ์มาจากบริษัทคนละวัน (ขาเข้า) ซึ่งประกาศกรมสรรพากรปี 43 ระบุถ้ามีการขายให้เสียภาษีตามรายได้ของแต่ละคนแยกจากกัน

2.การได้กรรมสิทธิ์แยกกันเป็นการวางแผนภาษีของผู้ขาย ที่เกิดขึ้นในเดือนธันวาคม 2561 เสร็จสิ้นก่อนโอนขายให้แสนสิริในเดือนสิงหาคม 2562 ซึ่งแสนสิริไม่ได้เกี่ยวข้องหรือสมรู้ร่วมคิดในการใดที่ไม่ชอบมาพากล

3.การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้ขายให้แสนสิริ (ผู้ซื้อ) ในเดือนสิงหาคม 2562 (ขาออก) ผู้ขายจะโอนให้แสนสิริวันเดียวกันหรือโอนคนละวันแยกกันก็ไม่ทำให้ภาระภาษีเเตกต่างกัน ยังคงต้องเสียภาษีตามเงินค่าที่ดินของแต่ละคนที่ได้รับมา ในทำนองเงินของใคร คนนั้นก็เสียภาษี ไม่เกี่ยวกับแสนสิริใด ๆ ทั้งสิ้น

“นักศึกษากฎหมายปี 1 ดูก็รู้ว่ามันเป็นการวางแผนภาษีของผู้ขาย ที่เกิดขึ้นก่อนจะขายให้บริษัทแสนสิริ และไม่เกี่ยวข้องใดๆกับผู้ซื้อคือแสนสิริหรือนายเศรษฐาเลย ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายชัดเจนว่านายเศรษฐาไม่ผิดกฎหมายหรือฝ่าฝืนจริยธรรมใด ๆ เลย การพยายายามวาดภาพทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องการเมือง ล้ำเส้นไปมาก ทำให้นายเศรษฐา เสียชื่อเสียง ทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ในเรื่องที่ไม่ผิดกฎหมายตั้งแต่ต้น ในช่วงเวลาที่พรรคเพื่อไทยจะเสนอชื่อให้รัฐสภาเห็นชอบ มันไม่เป็นธรรมและไม่ถูกต้อง เป็นเรื่องที่ท้าทายหลักนิติธรรม และมโนสำนึกของผู้กล่าวหา ขอให้หยุดสร้างมาตรฐานจริยธรรมเทียม ตนเชื่อว่าสมาชิกรัฐสภามีความรู้แยกแยะได้ว่าข้อกล่าวหามีมูลหรือไม่” นายนพดล กล่าว

เมื่อถามว่ากรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน ส่งทนายฟ้องกลับนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตนักการเมืองนั้น นายนพดล กล่าวว่า เป็นการปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง แสดงให้เห็นว่ายังสู้ ไม่ได้เป็นการปิดปากนายชูวิทย์แต่อย่างใด

‘จอม ไฟเย็น’ แฉ!! ‘บุ้ง ทะลุวัง’ ถามห่วงเด็กหรือหวังอะไรแน่? ให้ ‘หยก’ คัดทะเบียนบ้าน หวังสวมรอยผู้อุปการะ ทั้งที่คุณสมบัติไม่ถึง

(9 ส.ค. 66) จากกรณีที่ทวิตเตอร์ของ น.ส.เบญจมาภรณ์ นิวาส หรือ ‘พลอย’ อดีตแกนนำกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า ‘กลุ่มทะลุวัง’ ออกมาวิจารณ์การเคลื่อนไหวของ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ ‘บุ้ง ทะลุวัง’ อายุ 26 ปี แกนนำกลุ่มทะลุวัง ที่รับสมอ้างเป็นผู้ปกครอง เพื่อใช้ประโยชน์จากเยาวชนออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยความรุนแรง โดยมีเบื้องหลังเพื่อไปขอทุนเคลื่อนไหว แต่เงินทุนกลับส่งไม่ถึงเยาวชนเหล่านั้น

นายนิธิวัต วรรณศิริ หรือ ‘จอม ไฟเย็น’ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง นักร้อง และนักดนตรีวงไฟเย็น ผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 ที่ลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีสาระสำคัญ คือ ปัญหาความพยายามแย่งสิทธิ์การเป็นผู้ปกครองของ ‘หยก’ เยาวชนอายุ 15 ปี มีหลายคนตั้งคำถามว่า “แม่หยกหายไปไหน?” ยืนยันว่าแม่หยกไม่ได้หายไปไหน แค่ถูกคุกคามจากฝ่ายความมั่นคง กลุ่มปกป้องสถาบันฯ และสภาพจิตใจเปราะบางจากการถูกพรากลูกไปจากบ้าน จนต้องเก็บตัวไม่พร้อมออกสื่อหรือพื้นที่สาธารณะใดๆ

โดย ‘จอม ไฟเย็น’ กล่าวว่า แม่หยกเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ไม่ใช่ส… วงไฟเย็นรู้จักแม่หยกมาก่อนไม่ต่ำกว่า 2 ปี ทางบ้านหยกครอบครัวพอมีฐานะ ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ให้เช่าห้องพัก มีเชื้อสายตระกูล ณ สงขลา ฐานะครอบครัวไม่เดือดร้อนสามารถส่งลูกเรียนเอกชนตั้งแต่อนุบาล-ประถม และสอบเข้ามัธยมได้ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ หยกเริ่มสนใจการเมืองจากการชุมนุมปี 2563 แม่หยกก็ไม่ได้ปิดกั้น เพียงแต่หากจะไปร่วมชุมนุม ขอให้มีคนที่แม่รู้จักหรือไว้ใจได้ไปรับ-ไปส่งด้วยเสมอ

หยกถูกคดีมาตรา 112 จากการเขียนชอล์คบนพื้นที่การชุมนุมเสาชิงช้าเมื่อ 13 ต.ค. 2565 จากคำปราศัยสุดท้ายของ นายวัฒน์ วรรลยางกูร ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ครอบครัวหยกเริ่มถูกตำรวจคุกคามหลังจากหยกเริ่มออกไปชุมนุมครั้งแรก ที่งานรำลึกอาลัย วัฒน์ วรรลยางกูร โดยฝ่ายความมั่นคงได้ไปคุกคามหยกถึงที่โรงเรียนและคุกคามครอบครัวที่บ้าน เคยกดดันกึ่งข่มขู่พ่อแม่ว่า ถ้ามีลูกแบบนี้ตนผูกคอตายไปนานแล้ว แม่หยกเป็นคนไล่ตำรวจที่มาส่งหมายเรียกคดี 112 ที่บ้าน ให้กลับไปในครั้งแรกเพราะตำรวจอ่านชื่อมั่ว และครอบครัวหยกยังถูกตำรวจนอกเครื่องแบบตามป้วนเปี้ยนคุกคามที่บ้านเป็นระยะ

วันที่ 28 มี.ค. หยกขออนุญาตแม่ไปเที่ยวสวนสยามกับเพื่อนๆ ตอนเช้า แม่อนุญาตเฝ้ารอลูกกลับบ้านในตอนเย็น แต่ไม่ได้กลับบ้านเพราะถูกตำรวจ สน.พระราชวังจับกุม จากการติดตามไปสังเกตการณ์เหตุพ่นสีกำแพงวังที่ถูกจับขึ้นรถตำรวจไป ตำรวจพยายามยัดคดีพ่นสีกำแพงวังให้หยกแต่ไม่สำเร็จ และอ้างหมายจับคดีแรก ที่ออกมา 1 เดือน ถูกจับกุมอย่างรุนแรงและมีการล่วงละเมิดทางร่างกายจากตำรวจชายชุดจับกุม 8 นาย ยึดอุปกรณ์สื่อสารและเอกสารประจำตัวทั้งหมดไป

แม่หยกทราบข่าวก็ตกใจอย่างมาก เพราะเดิมหยกมีนัดรายงานตัวตามหมายในอีก 12 วัน แม่ได้คุยโทรศัพท์กับหยกภายหลังเมื่อทนายความมาถึง หยกแจ้งแม่ว่าไม่ต้องห่วง ขอร้องไม่ต้องมาประกันตัว เพราะจะใช้แนวทางปฏิเสธอำนาจศาล ซึ่งเป็นโมเดลของนายประเวศ ประภานุกูล ทนายความ ที่ได้ศึกษามาอย่างละเอียด หยกจึงประกาศขณะตำรวจอ่านแถลงบันทึกจับกุมว่า ไม่ขอแต่งตั้งทนายความเข้าร่วมกระบวนการ และไม่ยื่นประกันตัวใดๆ หยกได้ขอร้องให้แม่เคารพการต่อสู้กับมาตรา 112 ด้วยตัวเอง ขอให้แม่ไม่ออกมาปรากฎตัวต่อหน้าสื่อใดๆ เพราะเกรงว่าจะถูกฝ่ายความมั่นคงคุกคามอีก แม่หยกก็ยังลังเลแต่เลือกที่จะเคารพและเชื่อมั่นในแนวทางการต่อสู้ แม้จะเจ็บปวดที่ไม่ได้ดูแลลูกอย่างใกล้ชิดเหมือนที่ทำมาตลอด 15 ปี

ส่วนเรื่องคดีความ แม่หยกเคยเซ็นมอบอำนาจผู้ปกครองชั่วคราวไว้เพียงครั้งเดียวให้กับ เก็ท โมกหลวงริมน้ำ (นายโสภณ สุรฤทธิ์ธำรง) เนื่องจากหยกเคยช่วยงานกลุ่มโมกหลวงมาก่อน แม่พอรู้จักเก็ทจากข่าวการเคลื่อนไหวกิจกรรมมาบ้าง และเก็ทอยู่เป็นเพื่อนหยกตลอดในช่วงวันแรกที่ถูกควบคุมตัว ตลอดช่วงเวลาที่น้องถูกควบคุมตัว แม่ติดตามข่าวสารหยกทุกวันในทุกช่องทาง เป็นธรรมดาของแม่ที่จะเป็นห่วงถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่สบาย ล้มป่วย กระทบกระเทือนสภาพจิตใจ ซึ่งในความเป็นจริง เพียงแม่หยกเซ็นประกันตัว หยกก็กลับบ้านได้ เพราะคดีเกิดตอนอายุ 14 ปี ไม่ผิดอาญาอยู่แล้ว และศาลไม่ค้านประกัน แต่แม่เคารพแนวทางการต่อสู้ของหยก จึงต้องหักห้ามใจไม่ให้เผลอไปเซ็นประกันตัว แล้วทำลายการต่อสู้

ตลอด 51 วันที่หยกถูกคุมขัง แม่หยกโทร.มาระบาย เล่าถึงความหลังมากมายความภาคภูมิใจในตัวลูกและเชิดชูในความกล้าหาญของลูก แม่หยกแค่อยากไปเยี่ยมก็ยังไม่กล้าและทำไม่ได้ เพราะรับปากไว้ว่าจะไม่ไปยุ่ง ไปปรากฎตัว หากจะไปเยี่ยมก็ไม่มั่นใจว่าจะทนเห็นสภาพลูกถูกขังได้ไหม เกรงว่าจะไม่สามารถห้ามใจไม่ให้ยื่นประกันได้ ซึ่งจะทำลายแนวทางการต่อสู้ที่หยกตั้งใจไว้ แม่หยกจึงเลือกไม่ปรากฎตัวสาธารณะตามที่หยกขอไว้ ได้แต่โทร.ปรับทุกข์ อัปเดตข่าวสาร เล่าเรื่องราวความหลัง ซึ่งตนก็ทำหน้าที่ประสานกับเก็ท ได้ข้อมูลว่าหยกชอบทานอะไร เพื่อคนข้างนอกจะได้หาซื้อไปเยี่ยม

แม่หยกเริ่มมีปัญหาสภาวะจิตใจหนักขึ้น เวลาซื้อกับข้าวหรือขนมที่เคยกินกันสองคนก็แทบจะกินไม่ลงหรือกินได้คำสองคำแล้วก็ร้องไห้ หลายวันเข้าก็เริ่มไม่อยากกินอะไรเลย จนปวดหัว หน้ามืด น้ำหนักลด ช่วงหลังมาจึงอาศัยการเข้าวัดทำบุญฟังธรรมเพื่อสงบจิตใจไม่ให้เครียดเรื่องลูกไปมากเกินจนทำอะไรในชีวิตประจำวันปกติไม่ได้ ซึ่งแม่หยกฝากขอบคุณทุกคนที่ร่วมเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้หยกได้รับอิสรภาพมาตลอด

ช่วงใกล้วันมอบตัวชั้น ม.4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ หยกยังไม่มีวี่แววว่าจะได้รับการปล่อยตัว แม่และน้าของหยกได้ไปที่โรงเรียนวันเดียวกับที่เก็ทไปเพื่อขอโอกาสผ่อนผันเลื่อนวันมอบตัวของหยก เนื่องจากหยกถูกคุมขังอยู่ที่บ้านปราณี ซึ่งอาจารย์ก็เข้าใจและไม่ต้องการตัดโอกาสการเรียนของเด็ก จึงได้ทำเอ็มโอยูเป็นเงื่อนไขไว้กับแม่และน้าว่า หยกได้ปล่อยตัวเมื่อไหร่ให้แม่กับน้าพามามอบตัวกับโรงเรียนแล้วค่อยชำระค่าเทอมภายหลังก็ได้ แต่โรงเรียนจะยังไม่ตัดสิทธิ์เรียนแน่นอน แม้ไม่ได้มามอบตัวตามกำหนดเดิม เป็นเหตุหลักที่ทางโรงเรียนยืนยันมาตลอดว่าให้ผู้ปกครองจริงๆ เป็นผู้พาหยกมามอบตัวเท่านั้นตามเอ็มโอยู เนื่องจากระเบียบราชการถ้าผู้ปกครองตามกฎหมายไม่ได้เซ็นยินยอมมอบตัวกับโรงเรียน ก็ไม่สามารถรับเด็กมาดูแลในช่วงเวลาเรียนได้ เป็นเรื่องสำคัญทางเอกสารราชการที่อาจถูกฟ้องร้องภายหลังได้

เมื่อเปิดเทอมไปได้สักพักหนึ่ง หยกได้รับการปล่อยตัว ‘บุ้ง’ (น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม) ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เข้าไปเยี่ยมหยกหลายครั้ง ก็ได้ไปรับตัวและพาหยกกลับคอนโดมิเนียม โดยตอนแรกแจ้งกับสาธารณะว่าแค่จะรีบพาไปหาหมอ พอได้ออกมาแม่หยกได้คุยกับหยกทางโทรศัพท์ตั้งแต่คืนแรก และสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ตลอด แต่แม่หยกไม่เคยคุยกับบุ้งเพราะไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าบุ้งคือใคร ซึ่งการที่บุ้งกล่าวกับสื่อมวลชนว่าติดต่อแม่หยกไม่ได้ หาแม่หยกไม่เจอ หยกไม่มีผู้ปกครองนั้นเป็นเรื่องโกหก วันแรกหยกขอพักกับพี่ๆ ก่อน แม่หยกก็ยังไม่ได้ว่าอะไร ปรากฎว่าวันต่อมาบุ้งพยายามแนะนำให้หยกแอบไป “คัดทะเบียนบ้านออกจากบ้านแม่ไปอยู่บ้านบุ้ง” โดยไม่บอกแม่หยกก่อน

แม่หยกได้ทราบก็ตกใจว่า ทำไมอยู่ๆ จะให้หยกคัดทะเบียนบ้านออก แล้วไม่มาถามแม่หยกซึ่งเป็นเจ้าบ้านและผู้ปกครองตามกฎหมายก่อนสักคำว่ายินยอมหรือไม่ บุ้งอ้างกับหยกว่า ตอนแรกจะให้หยกย้ายมาอยู่กับบุ้งเพราะจะใช้ในการมอบตัวเข้าเรียน รับหมายเรียก เอกสารต่างๆ ซึ่งความจริงมาทราบภายหลังว่า บุ้งก็ใช้วิธีการคล้ายกันนี้กับพลอย (น.ส.เบญจมาภรณ์ นิวาส) คือให้คัดทะเบียนบ้านออกมาอยู่กับบุ้ง เพื่อได้สิทธิ์ในการดูแลเป็นผู้ปกครอง หรือดำเนินธุรกรรมต่างๆ แทนผู้ปกครองจริงได้หากอยู่ทะเบียนบ้านเดียวกัน ซึ่งหยกก็อยากมีอิสรภาพมากกว่าเดิมตอน ม.ต้น หลังจากถูกกระทบกระเทือนจิตใจเพราะถูกคุมขังมา 51 วัน และหยกอยากเคลื่อนไหวการเมืองต่อแบบหนักๆ ซึ่งก็เข้าทางบุ้งพอดี

แต่ปัญหาคือ แม่หยกในฐานะเจ้าของบ้านและผู้ปกครองตามกฎหมายไม่ได้ให้ความยินยอม แผนให้หยกคัดทะเบียนบ้านออกเพื่อได้สิทธิ์เป็นผู้ปกครองใหม่ก็เป็นอันล่มไป แต่จุดนี้ก็เป็นจุดที่หยกเริ่มถูกมานิพูเลท (Manipulate หรือถูกหลอกใช้) ให้รู้สึกไม่โอเคกับแม่ที่แม่ไม่ยอมให้เสรีภาพในการย้ายทะเบียนบ้านออกไปอยู่กับบุ้งตามที่คาดหวังไว้ เช้าวันแรกที่บุ้งพาหยกไปโรงเรียนเอง โดยไม่ยอมพาหยกกลับบ้านไปส่งแม่หยกก่อน โรงเรียนซึ่งทำเอ็มโอยูผ่อนผันการมอบตัวล่าช้าเอาไว้ให้กับแม่และน้าของหยก จึงไม่สามารถให้บุ้งมาฉีกเอ็มโอยูเก่าแล้วมอบตัวแทนแม่หยกที่มาขอโอกาสไว้ได้

ซึ่งทางโรงเรียนก็ได้รับหยกเข้าเรียนไว้ก่อน แต่ผ่อนผันให้หยกมามอบตัวพร้อมผู้ปกครองตัวจริงตามเอ็มโอยูให้ถูกต้อง โดยแจ้งกำหนดระยะวันเวลาหมดเขตกับหยก แต่จนท้ายที่สุดบุ้งก็ไม่ยอมพาหยกกลับไปส่งแม่ เพื่อให้ได้เซ็นมอบตัวตามเอ็มโอยูเดิม ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ฝ่ายความมั่นคงสบช่องทำลายโอกาสทางการศึกษาของหยกโดยที่ไม่ควรจะต้องเสีย

เช้าวันนั้น บุ้งอ้างกับสื่อมวลชนว่า “หาแม่น้องไม่เจอ-ติดต่อแม่น้องไม่ได้-น้องไม่มีผู้ปกครองมา” ความจริงคือ

1.) แม่หยกยังพำนักบ้านเดิม แค่มีคนพาหยกไปพักที่อื่น ไม่พากลับบ้าน
2.) หยกกับแม่ยังติดต่อกันได้ตลอดตั้งแต่ออกมา แม่เขาแค่ไม่คุยกับบุ้งเพราะเป็นใครก็ไม่รู้ อยู่ๆ มาฉีกเอ็มโอยูที่ไปของทำไว้กับโรงเรียน ด้วยการพาหยกไปมอบตัวทั้งที่ไม่เกี่ยวข้อง
3.) หยกไม่มีผู้ปกครองมา เพราะบุ้งไม่ได้พาหยกไปส่งบ้านผู้ปกครอง ซึ่งแม่หยกเตรียมการพาหยกมอบตัวกับโรงเรียนตามที่ขอทำเอ็มโอยูไว้แล้ว แต่กลับพยายามให้หยกคัดทะเบียนบ้านออกแทน นี่คือจุดเริ่มต้นของการโกหกใส่ร้ายแม่หยก ซึ่งนำมาซึ่งความโกลาหลทั้งหลายต่างๆ ต่อจากนั้นดำเนินต่อมาเรื่อย เพื่อคงไว้ให้การโกหกครั้งแรกยังเป็นความจริง

หลังจากนั้น บุ้งไปออกช่องวอยซ์ทีวี พูดโจมตีให้คนเข้าใจว่าครอบครัวหยกใช้ความรุนแรง หยกเลยออกมา เพื่อบุ้งจะได้หาทางสวมเป็นผู้อุปการะใหม่ และจากการที่หลายฝ่ายได้ฟังจากบุ้งด้านเดียว ก็แทบหลงทางในการแก้ปัญหาเรื่องสิทธิ์การเข้าเรียน บางฝ่ายถึงกับจะหาทางไปแจ้งความจับแม่หยก ข้อหาทอดทิ้งบุตร เพื่อให้บุ้งได้กลายเป็นผู้ปกครองตัวจริงแทนเสียด้วยซ้ำ ไปกันใหญ่มากๆ โดยที่แม่หยกแทบไม่ทราบเลยว่ากำลังตกเป็นจำเลยสังคมโดยไม่ทันรู้ตัวและยังไม่ได้ทำอะไรผิด

หลังจากนั้น ตนก็ได้คุยกับแม่หยกไม่กี่ครั้ง ซึ่งทุกครั้งก็ไม่ได้ยินยอมใดๆ กับการที่หยกจะไปอยู่กับใครก็ไม่รู้ จะมาเอาลูกไปได้ยังไง ซึ่งพักหลังสภาพจิตใจของแม่หยกก็ค่อนข้างย่ำแย่ลงไปมาก จากการขบวนที่บอกเป็นฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกันพรากลูกไปจากอ้อมอกยาวนาน พอเรื่องราวหยกกับที่โรงเรียนเริ่มใหญ่โต ข้อมูลจากฝ่ายบุ้งทำให้สังคมหันมาโทษใส่แม่หยกกันเสียมาก อาจารย์และผู้ปกครองที่มีแนวคิดส… ในโรงเรียนบางส่วนก็ผสมโรง กลุ่ม ศชอ. ก็ปักหมุดลงบ้านล่าแม่มดครอบครัวน้องกันอีกระลอกใหญ่ ลามไปถึงพ่อหยกที่อยู่ต่างจังหวัดก็ถูกตามถึงบ้าน แม่หยกซึ่งอยู่ในสภาวะจิตใจย่ำแย่อยู่เดิมก็ต้องหาพื้นที่หลบทั้งตำรวจที่ตามคุกคาม ทั้งพวกล่าแม่มด ทั้งสื่อที่ตามขุดคุ้ย เพราะไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนสาธารณะในสภาพไม่พร้อมและเสี่ยงถูกคุกคามจากกระแสสังคมเข้าใจผิด

ข้อสรุปในเรื่องนี้คือ การพาหยกไปอยู่ที่อื่นที่กำลังทำกันอยู่นี้ไม่ได้ผ่านการได้รับยินยอมจากแม่ของหยก ซึ่งเป็นผู้ปกครองตามกฎหมายที่ได้ทำเอ็มโอยูขอมอบตัวหยกล่าช้าไว้กับโรงเรียน เป็นปัจจัยเสริมทำให้สูญเสียสถานภาพนักเรียนไป จากที่ฝ่ายความมั่นคงพยายามมาแต่แรกที่จะขังหยกจนเลยวันมอบตัว พูดถึงเรื่องสิทธิเด็กและเยาวชน ถ้าหยกยังอายุเพียง 15 ปี ไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์ กฎหมายก็ไม่ได้ให้สิทธิ์หยกเลือกผู้ปกครองใหม่ได้ตามใจชอบ ต่อให้หยกไปด้วยอย่างเต็มใจ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกกฎหมาย ถ้าผู้ปกครองไม่ยอม เทียบกับคดีพรากผู้เยาว์ การล่อลวงด้วยสิ่งใดให้เด็กรู้สึกเต็มใจไปด้วย หรือแม้แต่เด็กอยากไปด้วยเอง หากผู้ปกครองไม่ได้ยินยอมก็ผิดอยู่วันยังค่ำ

ทำไมแม่ทิ้งน้อง? ตอบว่า แม่ไม่เคยทิ้งหยกเลยตลอดมาตั้งแต่หยกถูกจับขัง การถูกตำรวจคุกคามทางเพศ การถูกลิดรอนเสรีภาพอย่างรุนแรงในคดี 112 และการที่ถูกบุ้งมานิพุเลทจนหยกได้รับอิทธิพลทางลักษณะนิสัยมา “ประท้วงแม่” ตอนที่ทนายสิทธิมนุษยชนพยายามพาหยกกลับไปคุยกับแม่ นั่นต่างหากที่ทำให้เรื่องบานปลายมาขนาดนี้

ทำไมแม่น้องไม่แจ้งความ? ตอบว่า แม่หยกเป็นฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกัน ไม่ได้ต้องการทำร้ายพี่ๆ เพื่อนๆ ของลูกสาวตน เพราะมันจะสร้างบาดแผลในใจที่ยากจะสมานในระยะยาว แม้จะเจ็บปวดก็จำต้องกล้ำกลืนเพราะยังแคร์หัวใจลูก ถ้าสมมติในอนาคตมีกฎหมายให้เด็กอายุ 15-18 ปี สามารถเลือกผู้ปกครองใหม่ได้เองตามใจ ตนจะยกกรณีนี้มาพิจารณาใหม่

“ถ้าบุ้ง ทะลุวัง คือขบวน คุณคือขบวนที่เลวร้ายมากที่ใส่ร้ายครอบครัวน้องที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกัน เพื่อหวังกับประโยชน์เฉพาะหน้า และเป็นขบวนที่ทิ้งเหยื่อคนอื่นๆ อย่างแม่น้อง ครอบครัวน้องเอาไว้ข้างหลัง ในวันที่แม่น้องถูกข่มขู่ ขุดคุ้ย คุกคาม โดยไม่มีแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว ที่คิดจะช่วยเซฟสวัสดิภาพทางร่างกายและจิตใจให้ครอบครัวน้อง ในขณะที่ตัวเองได้รับประโยชน์จากลูกเขาเต็มๆ” จอม ไฟเย็น ระบุ

จอม ไฟเย็น กล่าวว่า ปัจจุบันตนติดต่อแม่หยกไม่ได้แล้ว แต่ครั้งสุดท้ายที่คุยในแชท ญาติของหยกยืนยันว่าแม่หยกไม่เคยไปตกลงอะไรใดๆ กับบุ้งไว้ ตามที่มีคนพยายามอ้างว่า “น้องตกลงกันกับแม่แล้วว่าจะให้แม่หายไป” ทั้งสิ้น อันตรายที่สุดอย่างไรหากยังพยายามไม่ให้แม่กับหยกได้ปรับความเข้าใจกันให้เร็วที่สุด?

หากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ หยกจะไม่ได้อยู่ทั้งกับแม่หรือบุ้ง แต่จะกลายเป็นบ้านปราณีที่เคยขังหยก ระหว่างที่รอ พม. หาผู้อุปการะใหม่ ซึ่งสภาพบุ้งเองไม่ผ่านเกณฑ์ผู้รับอุปการะบุตรบุญธรรมของ พม. แน่นอน

พม.จะเข้าแทรกแซงจังหวะไหน? ตอบว่า หลังจากหยกถูกปล่อยตัว นายอานนท์ กลิ่นแก้ว แกนนำกลุ่ม ศปปส. ไปแจ้งความคดี 112 กับหยกเพิ่มไว้อีก 6 คดี หมายเรียกฉบับที่ 1 ที่ 2 กำลังทยอยมา แต่บุ้งก็จะไม่มีทางรู้ว่าวันไหนเมื่อไหร่ และมารู้อีกทีตอนตำรวจถือหมายจับมาล็อกตัวหยกไปแล้ว ถ้า พม. มาพร้อมตำรวจแล้วพบว่าเด็กไม่มีผู้ปกครองหรือผู้รับมอบอำนาจอยู่ด้วย มันจะจบที่บ้านปราณีโดยที่ยังไม่ต้องเริ่มคดี 112 เลยด้วยซ้ำ

“ลองถามตัวเองว่าคุณห่วงเด็กจริงๆ หรือกำลังห่วงอะไรกันแน่?” จอม ไฟเย็น กล่าวทิ้งท้าย

'อุ๊งอิ๊ง' เผยเจรจา 'พท.-กก.' ไร้ขัดแย้ง ปัดตอบเรื่องช่วยโหวต ส่วนกองเชียร์ 2 ฝั่งอาจทะเลาะกันบ้าง แต่ 2 พรรคไม่เคย

(9 ส.ค. 66) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ระบุหลังหารือร่วมกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแกนนำพรรคก้าวไกล ว่า วันนี้ได้รับฟังความเห็นซึ่งกันและกัน ทั้งทางก้าวไกลและทางเพื่อไทย ซึ่งเป็นการมาพูดคุยกันมากกว่า ว่าขณะนี้อยู่ในสถานการณ์ใดกันบ้างเพื่อทำความเข้าใจกันทั้งสองฝ่าย

ส่วนคำตอบที่สื่อมวลชนต้องการนั้น ในวันนี้ยังไม่ได้คำตอบ ขอให้รออีกสักเล็กน้อย เพราะวันนี้ยังไม่พร้อมที่จะให้คำตอบ ที่ผ่านมาการพูดคุยระหว่างพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยย้ำเสมอว่า แม้บางทีกองเชียร์ของทั้ง 2 ฝ่ายจะทะเลาะกัน แต่ทั้ง 2 พรรคไม่เคยทะเลาะกัน พูดคุยกันด้วยเหตุและผล

ทั้งนี้ จากที่ได้พูดคุยกับนายพิธา มีความเข้าใจกันในหลายส่วน หากจะตั้งคำถามเรื่องความสัมพันธ์ของสองพรรคให้ลองไปถามทางพรรคก้าวไกลด้วยก็ได้ เพื่อยืนยันว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เพราะเราทำงานกันแบบผู้ใหญ่ เพื่อทำให้ประเทศชาติเดินหน้า

‘จาตุรนต์’ สยบข่าวลือ ปมยกก๊วนทิ้งเพื่อไทย ชี้!! ใครสงสัยให้อ่านรัฐธรรมนูญ สส.ย้ายพรรคได้ที่ไหน

(9 ส.ค.66) นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อเขียนผ่านเฟซบุ๊ก หลังมีกระแสข่าวผ่านโลกโซเชียลว่า นำ สส.เพื่อไทย ย้ายพรรรค โดยมีเนื้อหาดังนี้

“หลายปีก่อน มีนักการเมืองคนนึงไปต่างประเทศแล้วไม่ได้กลับเมืองไทยพร้อมคณะ เขาก็ลือกันว่านักการเมืองคนนี้เสียชีวิตไปแล้ว แกกลับมาก็รีบไปใต้ถุนสภา แถลงข่าวว่าผมยังไม่ตายครับ ความจริงแค่ทักทายผู้สื่อข่าวก็พอแล้ว

ผมไม่น่าจะต้องทำแบบเดียวกัน ในเรื่องที่มีการเต้าข่าวกันอยู่มั้ง

ใครสงสัยก็ให้ไปหารัฐธรรมนูญอ่านเอา สส.ย้ายพรรคได้ที่ไหน”

เผยไต๋!! หงายไพ่ 'มีเรา-ไม่เอาลุง' แต่เอางูเห่า ฟาก สว.ปักธง!! คงค้านแคนดิเดต 'เศรษฐา'

"...การแก้ที่จะแก้วิกฤตครั้งนี้ได้ ต้องสลายขั้วการเมือง ดึงความร่วมมือจากทุกพรรคทุกฝ่าย ทุกกลุ่ม ทุกคน เพื่อร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยและนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำ เพื่อนำรัฐธรรมนูญออกจากวิกฤต เพื่อนำประชาชนให้พ้นทุกข์ เพื่อสร้างความสามัคคี สมานฉันท์ โดยถือเป็นวาระประเทศ ที่สำคัญอย่างสูงสุด..."

ครับ...นั่นเป็นหนึ่งในย่อหน้าสำคัญของการแถลงข่าวการจัดรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยเมื่อบ่ายวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยมีพรรคประชาชาติและอีก 5 พรรคเล็ก (พรรคชาติพัฒนากล้า, พรรคเพื่อไทรวมพลัง, พรรคพลังสังคมใหม่, พรรคเสรีรวมไทย และ พรรคท้องที่ไทย) มารวมแถลงข่าวด้วย...และวันที่ 10 ส.ค.ก็จะเป็นคิวของพรรคชาติไทยพัฒนา มาร่วมแถลง

หมอชลน่าน ศรีแก้ว และภูมิธรรม เวชยชัย สองแม่ทัพใหญ่ของเพื่อไทยยืนยันว่า ขณะนี้เมื่อรวมเสียงพรรคและกลุ่มต่าง ๆ ที่จะสลายขั้วมาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลเกิน 250 เสียงแล้ว...โดยแคนดิเดตนายกรัฐมนตรียังจะเป็น 'เศรษฐา ทวีสิน' เหมือนเดิม

'เล็ก เลียบด่วน' ดูภาษากายของ 'หมอชลน่าน' และ 'อ้วน ภูมิธรรม' แล้ว รอบนี้ดูจะมีความมั่นอกมั่นใจในการชูคำขวัญกับการเดินหน้าว่า...นี่คือการสลายขั้ว ในสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความพิเศษท่ามกลาง 3 วิกฤต...คือวิกฤตเศรษฐกิจ, วิกฤตรัฐธรรมนูญ และวิกฤตความขัดแย้งแบ่งสี แบ่งขั้ว...

จริง ๆ แล้ว แค่เพื่อไทยไปทาบทามเจรจาพรรครวมไทยสร้างชาติที่ 'ลุงตู่' วางมือไปแล้วสักพรรค แล้วซุ่มเจรจากับมุ้งใหญ่ในประชาธิปัตย์ หรือพลังประชารัฐ คณิตศาสตร์การเมืองก็จบ แถมได้เสียง สว.สายลุงตู่หนุนพรึ่บ...จบข่าว!!

แต่กลับไม่ทำ...ทำไม?

'เล็ก เลียบด่วน' ตรวจสอบข่าวข้างเคียงแล้วพบว่า งานนี้ สส.พรรคเพื่อไทยจำนวนมากยังติดใจคำว่า 'พรรคลุง' อ้างว่าชาวบ้านในพื้นที่ไม่เห็นด้วย รอบหน้าหาเสียงลำบาก

แต่ในความจริง 'สมการ' การเมือง หากเพื่อไทยไม่ได้เอาเสียงจากพรรคลุงมาร่วม การจัดตั้งรัฐบาลก็เดินหน้าไม่ได้ ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจึงเดินหน้าดีลลับ...ดึงซุ้มใหญ่ในพรรคพลังประชารัฐและรวมไทยสร้างชาติไปร่วมรัฐบาลเพื่อไทย...

อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่าปฏิบัติดีลลับดึงงูเห่าจากสองพรรคหรือสามพรรครวมทั้งประชาธิปัตย์ด้วยนั้น สุ่มเสี่ยงเป็นยิ่งนัก...

ประการแรก - แน่ใจไหมว่าพรรคภูมิใจไทยจะเออออห่อหมกหรือไม่กับสูตรดึงงูเห่า

ประการที่สอง - ปัญหากรณีงูเห่าก็ไม่แน่ใจว่า สว.จะเห็นด้วยหรือไม่...รวมทั้งกรณีที่เพื่อไทยน้อมใจน้อมกายไปขอคะแนนจากพรรคก้าวไกล ทำให้เกิดความระแวงว่าในอนาคตสองพรรคนี้จะหันมาจูบปากคืนดี ก่อกรรมทำเข็ญให้กับบ้านเมืองหรือไม่...ขณะที่มีกระแสข่าวอื้ออึงว่ามีการใช้ยุทธปัจจัยกันหลายกิโลขีดเพื่อขอความเห็นใจจาก สว.

ประการที่สาม - แม้ฝั่ง สว.จะเบาใจเรื่องไม่แตะต้องสถาบัน ไม่แตะต้องมาตรา 112 แล้วก็ตาม...แต่กรณีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ยังชื่อ เศรษฐา ทวีสิน นั้น สว.จำนวนไม่น้อยยังติดใจในปัญหาจริยธรรม-ธรรมาภิบาล เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) นั้นบัญญัติชัดเจนว่าต้องมีคุณสมบัติ… ‘มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์’...สว.บางส่วนยังติดใจเรื่องการเสียภาษีและสะพานข้ามคลองอันอื้อฉาวของบริษัทแสนสิริ...และรอขออภิปรายซักถาม..!!

คาดหมายกันว่าคะแนนของ เศรษฐา ทวีสิน จะสูงกว่า 324 คะแนนของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เมื่อวันที่ 13 ก.ค.อยู่หลายขุม แต่ซาวเสียง สว. ณ วันนี้ดูแล้ว ส่วนใหญ่บอกว่ายังไม่ผ่าน 375 เสียง และนั่นเองที่เป็นเหตุให้พรรคเพื่อไทยอยากได้เสียงจากก้าวไกลซักจำนวนหนึ่ง...แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าเป็นจริงแค่ได้ยินชื่อ สส.พรรคก้าวไกล ชื่ออักษร ก.ไก่ 4 คนใน 10 ชื่อแรกสมาชิกรัฐสภา...ก็คงทำให้ สว.ชักมือกลับกันหลายคน...

ก็ติดตามกันต่อไปครับ...อีกหลายวัน วันที่ 16 ส.ค. ต้องลุ้นศาลรัฐธรรมนูญกันก่อนว่าศาลจะรับไม่รับเรื่องจากผู้ตรวจไว้พิจารณาหรือไม่...

มีเวลาเหลือเฟือที่จะลากลู่ถูกังกันไปเพื่อสลายขั้ว...ลากกันไปจนขั้วสลาย...ดีไม่ดีสูตรพรรคอันดับ 2 อาจสลาย ไปสู่พรรคอันดับ 3...

อย่ามองข้ามความปลอดภัย!!

‘เนเน่-รัดเกล้า’ สลดใจ!! ‘แก๊งทะลุวัง’ อ้างสิทธิพร่ำเพรื่อ แถมใช้ความเป็นเยาวชนและสตรี เป็นโล่กำบังกระทำผิด

(9 ส.ค. 66) ‘เนเน่’ รัดเกล้า สุวรรณคีรี อดีตผู้สมัคร สส. กทม. เขต 33 บางพลัด-บางกอกน้อย พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) บุตรสาว ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า…

ถ้าคำยอดฮิตของช่วงนี้คือ​ #เพ้อเจ้อ ขอเสริมอีกหนึ่งคำคือคำว่า #พร่ำเพรื่อ

จากสถานการณ์ที่กลุ่ม​ #ทะลุวัง​ ได้ไป #ระราน (ขอไม่ใช้คำว่า​ ‘ต่อสู้เพื่อสิทธิ’ เพราะมันเลยจุดนั้นไปนานแล้ว)​ #พรรคเพื่อไทย​ ที่พยายาม​ #จัดตั้งรัฐบาล2566 และเพิ่งได้มีการแถลงข่าวร่วมกับ #พรรคภูมิใจไทย​ เสร็จสิ้นไป

ได้มีการใช้วาจาที่รุนแรง​ และมีพฤติกรรมที่หยาบโลน ไร้ซึ่งการเคารพในทุกกฎเกณฑ์ และทุกธรรมเนียมปฏิบัติ...หรือกล่าวหยาบ ๆ​ สั่น ๆ​ ได้ว่า #ถ่อย...และสิ่งหนึ่งที่เนเน่​ (และเชื่อว่าอีกหลาย ๆ​ คนก็เช่นกัน)​ สังเกตเห็นได้คือ​ ด่านหน้าของ​ #ม็อบถ่อย คือ ‘เยาวชน’ และ ‘สตรี’ ซึ่งความน่าสลดใจคือเขาใช้ ความเป็นเยาวชนและความเป็นผู้หญิงมาเป็นเกราะกำบังในการกระทำความผิด

หากมีใคร มาโดนเนื้อตัวแม้เพียงน้อยก็จะ​ กรีดร้องออกมาประหนึ่งว่าถูกทำร้ายอย่างรุนแรง ตอนนี้เราเลยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ผู้ควบคุมกฎเกณฑ์ไม่กล้ากระทำรุนแรง เพราะ​เกรงกลัวว่าจะโดนรุมประนามจากกลุ่มทัวร์ว่า​ #รังแกเยาวชน #รังแกผู้หญิงอีก​ ทั้ง ๆ​ ที่ถูกก็ควรจะว่าถูก​ ผิดก็ควรว่าผิด...กระบวนการทั้งมวลทำให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่การเป็นอนาธิปไตย​ (Anarchy) หรือคือเป็นบ้านเมืองที่ไร้กฎ​ ไร้เกณฑ์ อย่างช้า ๆ​ แต่ชัวร์ ๆ​...รู้ตัวกันสักทีเถอะว่าคุณ...

ใช้สิทธิความเป็น​ #เยาวชน พร่ำเพรื่อ

ใช้สิทธิความเป็น #ผู้หญิง #สตรี​ พร่ำเพรื่อ

ใช้คำว่า​ #ประชาชน​ พร่ำเพรื่อ

ใช้คำว่า​ #ประชาธิปไตย​ พร่ำเพรื่อ

ใช้คำว่า #สิทธิในการแสดงออก พร่ำเพรื่อ ​

การ​ ‘ใช้’ สิ่งต่าง ๆ​ เหล่านี้อย่างพร่ำเพรื่อ เป็นการลดคุณค่าให้กับตัวคุณเอง​ ลดคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น และสร้างความยากลำบากให้กับผู้อื่นที่เขาพยายามต่อสู้เพื่อสิทธิเหล่านี้อย่างถูกวิธี

เราจะสู้เพื่อเสรีภาพในการแสดงออกของเยาวชนได้อย่างไรในเมื่อมีตัวอย่างของเด็กที่คิดไม่ได้ ไร้ซึ่งการเคารพกฎเกณฑ์ ไม่มี วิจารณญาณเรื่องความเหมาะสมใด ๆ เช่นนี้

เราจะต่อสู้เพื่อสิทธิ์ของผู้หญิงในการเมืองได้อย่างไร ในเมื่อมีตัวอย่างของผู้หญิงที่คิดไม่ได้​ และเอาเพศสภาพของตัวเองมาเป็นอาวุธอย่างนี้

เราจะต่อสู้เพื่อให้เมืองไทยมีนักการเมืองที่เป็นตัวแทนของประชาชนได้อย่างไร ในเมื่อมีตัวอย่างของประชาชนที่ไม่เคยรับฟังความเห็นต่างอย่างนี้ คนที่อาสาเป็นตัวแทนของพวกคุณเขาจะได้รับความเชื่อถือได้อย่างไร

และเราจะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยได้ยังไง ในเมื่อคนที่บอกว่าต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่เข้าใจ​ ไม่รับฟัง​ ไม่ยอมปรับตัว เพื่อที่จะเข้าร่วมสังคมกับคนอื่นได้เลย

คิดค่ะคิด มีสติ และคิดให้ได้สักที ว่าที่ทำอยู่ทุก ๆ​ วันนี้ คุณกำลังทำลายและทำร้ายอะไร...ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย ไม่ใช่พรรคภูมิใจไทย​ แต่มันคือตัวคุณเอง และกลุ่มเยาวชน กลุ่มสตรีคนอื่น ๆ ทั่วทั้งประเทศ

คิดได้แล้ว...ช่วยหยุดด้วยนะคะ

ชาวเน็ต จับโป๊ะ!! แกนนำแท็กซี่บุกถอดเสื้อแดง แท้จริงเป็น ‘ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ’ พรรคก้าวไกล

(9 ส.ค. 66) กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงในโลกออนไลน์อย่างมาก หลังแกนนำแท็กซี่ทวงคืนความยุติธรรมนัดรวมพลหน้าพรรคเพื่อไทย และถอดเสื้อแดงส่งคืนให้แก่พรรค โดยอ้างว่าพรรคเพื่อไทยทำคนเสื้อแดงอกหักซ้ำสองที่ยอมไปจับมือกับพรรคภูมิใจไทย

ภายหลังจากมีภาพและข่าวหลุดออกไปแล้ว ก็มีชาวเน็ตตาดีสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง โดยผู้ใช้ติ๊กต็อกชื่อ @wn29wn29 ‘เพื่อไทยตลอดไป’ ได้ออกมาโพสต์คลิปพร้อมแคปชันว่า “จ้าาาาา 🤔 #พรรคก้าวไกล #สลิ่ม #ม็อบ” และแคปชันในคลิประบุว่า “บุกไปประท้วงพรรคเพื่อไทย จับโป๊ะสลิ่มเฟส 2 อ้างเป็นแดงเลือกเพื่อไทย”

โดยในคลิปดังกล่าวเป็นภาพของ 1 ในแกนนำแท็กซี่ทวงคืนความยุติธรรมที่กำลังให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ซึ่งเมื่อสืบค้นข้อมูลก็พบว่าเป็น ‘ศดิศ ใจเที่ยง’ ผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์ ลำดับ 64 ของพรรคก้าวไกล

'เพื่อไทย' แถลงจับมือ 6 พรรคจัดตั้งรัฐบาล เดินหน้าแก้วิกฤตประเทศ ดูแลประชาชน

(9 ส.ค. 66) ที่อาคารรัฐสภา พรรคเพื่อไทย (พท.) พร้อมด้วย 6 พรรคการเมือง แถลงข่าวร่วมกันในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคเพื่อไทย โดยมีคำแถลง ดังนี้

วันนี้ พรรคเพื่อไทยได้รวบรวมเสียงเพิ่มเติม และได้รับการสนับสนุนจาก 6 พรรคการเมือง ประกอบด้วย พรรคประชาชาติ พรรคเสรีรวมไทย พรรคชาติพัฒนากล้า พรรคเพื่อไทยรวมพลัง พรรคพลังสังคมใหม่ พรรคท้องที่ไทย และรวมเสียงโหวตได้มากกว่ากึ่งหนึ่งแล้ว

พรรคเพื่อไทยและทุกพรรคการเมืองคาดหวังอย่างยิ่งว่า จะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ สลายขั้วการเมือง ทุกฝ่าย เดินหน้าขอความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากหลายพรรคการเมือง และเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ สามารถบริหารประเทศ และเร่งแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนได้โดยเร็ว ที่ขณะนี้กำลังเผชิญความเดือดร้อนรุนแรง การประวิงเวลาออกไปยิ่งทำให้เกิดความเสียหายยิ่งขึ้น การจัดตั้งรัฐบาลได้เร็วเท่าไรจะยิ่งแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น

เรายืนยันจะทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ โดยเฉพาะในสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความพิเศษ ท่ามกลางวิกฤตรัฐธรรมนูญ วิกฤตเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้องของประชาชน และวิกฤตความขัดแย้งในสังคม แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งสีแบ่งขั้ว

การที่จะแก้วิกฤตครั้งนี้ได้ ต้องสลายขั้วการเมือง ดึงความร่วมมือจากทุกพรรคทุกฝ่าย ทุกกลุ่ม ทุกคน เพื่อร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทย และนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำ เพื่อนำรัฐธรรมนูญออกจากวิกฤต เพื่อนำประชาชนให้พ้นทุกข์ เพื่อสร้างความสามัคคี สมานฉันท์ โดยถือเป็น ‘วาระประเทศ’ ที่สำคัญอย่างสูงสุด

เราอยากขอวิงวอน ให้พี่น้องประชาชนมั่นใจในพรรคเพื่อไทย และพรรคการเมืองที่ให้การสนับสนุนในครั้งนี้ เราจะช่วยกันฝ่าวิฤตเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ และประโยชน์สูงสุดแก่พี่น้องประชาชนทุกคน

เราหวังจะเห็นความสามัคคีของทุกฝ่ายในประเทศ

‘อ.ไชยันต์’ ชี้ ศาสดาทางการเมืองไม่ต่างจากพ่อค้ายา ใช้เด็กเป็นเครื่องมือ ตอบแทนแค่เศษเงิน

(9 ส.ค. 66) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Chaiyan Chaiyaporn’ ระบุว่า…

ผู้ที่ให้การสนับสนุน-อยู่เบื้องหลังเยาวชนที่ออกมาประท้วงด้วยอาการและอารมณ์ที่รุนแรง จนน่าเป็นห่วงสุขภาพจิตของพวกเยาวชนเหล่านั้น คือ ผู้ที่มีจิตใจอำมหิตมาก

ใช้ช่วงชีวิตและอนาคตของเด็กเป็นเครื่องมือไปสู่สิ่งที่พวกตนต้องการ โดยพวกตนเท่านั้น คือ ผู้ได้ประโยชน์ที่แท้จริง

ส่วนเด็กเหล่านั้น ได้แค่เศษ ที่ไม่มีวันคุ้มค่ากับช่วงชีวิตและอนาคตที่จะต้องเสียไป ผู้ที่ให้การสนับสนุน-อยู่เบื้องหลังนี้ ไม่ต่างจากพวกค้ายาเสพติดที่ทำให้เด็กติดยา แล้วใช้เด็กวิ่งยา ขายยาฯ

เด็กเหล่านี้ถูกทำให้ไม่เชื่อว่า จะมีใครที่จะดีหรือหวังดีต่อพวกเขาจริง ๆ นอกจาก ‘ผู้ที่ให้การสนับสนุนเหล่านั้น’

เด็กจะทำทุกอย่างเพื่อได้รับคำชมและค่าขนมจาก ‘ศาสดา’ ผู้ที่ทำตัวเป็นศาสดาทางการเมือง-ผู้นำมาซึ่งแสงอันเจิดจรัส ที่ทำให้เยาวชนได้ตาสว่าง ปลดปล่อยพวกเขาจากการถูกกดทับกดขี่ พวกศาสดาเหล่านี้ไม่ต่างจากพวกค้ายาเสพติด

'พลอย' แฉยับอดีตชีวิตเหมือน 'หยก' ถูก 'บุ้ง' ลากตัวใช้หาผลประโยชน์  ยอมคาย!! 'โดนบังคับบุกวัง-กระทำรุนแรงให้กลัว-ฮุบเงินทุนไว้กับตัว'

กลายเป็นประเด็นร้อนที่สังคมกำลังวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก สำหรับการเคลื่อนไหวของกลุ่มทะลุวังในช่วงเวลานี้ เพื่อต่อต้านการจัดตั้งรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย สังคมวิพากษ์วิจารณ์หนัก หลังล่าสุดบุกไปป่วนพรรคเพื่อไทย ที่แถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคภูมิใจไทย แม้กระทั่งฝ่ายที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของม็อบ 3 นิ้ว ยังรับพฤติกรรมของกลุ่มทะลุวังไม่ได้

การเคลื่อนไหวของกลุ่มทะลุวังในเวลานี้ จะประกอบไปด้วยตัวละครหลัก ๆ ได้แก่ เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้ง, ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ ตะวัน, นภสินธุ์ ตรีรยาภิวัฒน์ หรือ สายน้ำ, ธนลภย์ ผลัญชัย หรือ หยก, บังเอิญ ศุทธวีร์ สร้อยคำ มือพ่นกำแพงวัดพระแก้ว โดยผู้ที่เป็นหัวโจกคือ 'บุ้ง เนติพร'

ต่อมาในโลกออนไลน์ได้มีการแฉข้อมูลจากกลุ่มทะลุวังด้วยว่า สมาชิกในกลุ่มไม่ค่อยมีความลงรอยเช่นกัน และชี้เป้าไปที่ 'บุ้ง เนติพร' ว่ามีพฤติกรรมไม่ต่างจากพวกเผด็จการนั้น

ล่าสุด 'พลอย' บุคคลที่เคยอยู่กับกลุ่มทะลุวัง ออกมาทวีตแฉข้อมูลเกี่ยวกับ 'บุ้ง เนติพร' หรือ 'บุ้ง ทะลุวัง' ระบุว่า...

เราเคยเป็นหนึ่งในเด็กที่บุ้งเอามาดูแลเหมือนหยก รู้จักกันตั้งแต่สมัยอยู่นักเรียนเลว ตอนนั้นที่บ้านเรามีปัญหาทำให้ไม่มีบ้านอยู่+โดนคดีมันต้องมีผู้ปกครอง บุ้งมาเป็นผู้ปกครองแทนพ่อแม่ที่ดูแลเราไม่ได้ บุ้งก็รับปากเรากับแม่เราว่าจะดูแลเราอย่างดี

บุ้งดูแลเราอย่างดีในช่วงแรกที่อยู่ด้วยกัน เรายังคงอยู่กับบุ้งเพราะไม่รู้จะไปอยู่ไหน บ้านก็ไม่มีให้กลับ ตอนนั้นเราเริ่มสัมผัสได้ถึงความรุนแรงในบ้านที่อยู่กับบุ้ง การถูก Child Grooming การโดนมินิพูเลท และการขูดรีดผลประโยชน์จากการเคลื่อนไหวในฐานะเยาวชนเพราะเราอายุแค่ 16

ตัวบุ้งมักจะชอบดูแลเด็กที่มีปัญหากับที่บ้านหรือมีปัญหาในชีวิตและมีแสง บุ้งจะรับเด็กมาดูแล อาสาเป็นผู้ปกครอง และค่อยๆ ใช้ประโยชน์จากเด็กคนนั้น เรากับเพื่อนโดนเอาผลงานการเคลื่อนไหวไปขอทุนเคลื่อนไหว แต่เงินทุนกลับส่งไม่ถึงเรา เพื่อนหลายคน และไม่สามารถตรวจสอบบัญชีของบุ้งได้

เรื่องการใช้ความรุนแรงของบุ้งกับเราและเพื่อนๆ เขาทำเหมือนที่ทำกับยามหน้าเพื่อไทย ตอนโมโห เขาจะใช้อารมณ์ทำให้เรารู้สึกหวาดกลัว ด้อยค่า ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา ตามสไตล์มินิพูเลท ซึ่งตอนนั้นเรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ เราโดนมินิพูเลทจนทุกวันนี้ยังกลับมาใช้ชีวิตยาก

บุ้งชอบให้เด็กออกมาเคลื่อนไหว เทคแอคชั่นแรงๆ โดยบุ้งบอกกับเราว่า เรายังเด็ก ต่อให้โดนคดีก็ยังไม่โดนหนักเพราะยังมีศาลเยาวชน และเด็กถ้าเจอความรุนแรงเช่น ตำรวจจับ บลาๆ จะเป็นข่าวง่าย ขอทุนง่าย ไวรัลง่ายกว่า แล้วบุ้งอ้างว่าจะซัพพอร์ตน้องๆ อยู่ข้างหลังแทน

จนเริ่มทำ #ทะลุวัง เราโดนหนักมากขึ้น บังคับให้เราออกไปทำไรเเรงๆ แรงสุดคือ เคยโดนให้ไปบุกคุกวังทวี แต่ตอนนั้นเราบอบช้ำจากการเคลื่อนไหวมามากแล้ว เหนื่อยโดนคดี เราบอกว่าสภาพจิตใจเราไม่ไหว ไม่อยากทำ ก็โดนปิดประตูใส่หน้า อยากจะหนีก็ไม่ได้ เพราะพอรู้ตัวอีกทีก็ไม่เหลืออะไรในชีวิตแล้ว

เราลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาเคลื่อนไหว เงินก็ไม่มี ครอบครัวก็ทิ้ง ตอนนั้นเราคิดว่าเราต้องพึ่งพาแค่บุ้งเท่านั้น สุดท้ายหลุดออกมาได้ เพราะเพื่อนรอบตัวให้ความช่วยเหลือ เป็นผู้ปกครองให้แทน จนปัจจุบันเราเป็นผู้ลี้ภัย 112 อยู่ ตปท. เราก็ยังโดนเขาโจมตีในขบวนเสียๆ หายๆ อยู่เรื่อยๆ

ทั้งกล่าวหาว่าเรายักยอกเงิน หนีคดี ขโมยของ ตอแหล โดนแช่งให้ตายระหว่างลี้ภัย บางคนก็เกลียดเราจริงๆ ไปแล้วก็มี เรารู้มาเสมอว่าเรามีปัญหากับหลายฝ่ายในขบวน เรื่องหลายๆ เรื่องที่เราอยากคุยเพื่อคลี่คลาย ขอโทษ ก็ไม่มีโอกาสได้ทำเพราะเรายังโดนโจมตีอยู่ตลอดเวลา

ควรมีการถกกันเรื่องนี้สักที เด็กกับการออกมาเคลื่อนไหวเนี่ย เด็กไม่ได้เจอแค่การคุกคามจากรัฐ ครอบครัว สังคม แต่อาจจะโดนขบวน เห้ๆ ทำร้าย โดนขูดรีด ความเป็นเด็กโดนมินิพูเลท คนที่ได้รับผลกระทบก็คือตัวเด็กเอง มันส่งผลกับการใช้ชีวิตของเด็กระยะยาวมาก นี่ยังเป็นซึมเศร้าอยู่เลย

เลิกด่าหยก เด็กเป็นเหยื่อของเรื่องนี้ คนโดนมินิพูเลทมันไม่รู้ตัวหรอก หยกเจอความรุนแรงมามากตั้งแต่ติดคุก ทั้ง Cyber Bullying โดนคดี สังคมเฮงซวย ต้องมาเจอกลุ่ม #ทะลุวัง หยกเหมือนกระจกสะท้อนตัวบุ้ง หยุดโจมตีเด็กได้ หันมาสนใจ Abuser กันเยอะๆ ว่าพวกมันกำลังทำอะไรกันอยู่

ช่วยเหลือและรับฟังความต้องการของหยก หยุดให้แสงหรือโทษคนที่กำลังโดนมินิพูเลทก่อน มันละเอียดอ่อนทั้งตัวของเหยื่อและคนมินิพูเลทเอง เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าแต่ละวันเหยื่อเจอคำพูด ถูกปฏิบัติแบบไหนมาบ้าง อะไรคือความรู้สึกที่แท้จริง หัวมันปั่นป่วนไปหมดเพราะการมินิพูเลท ใช้ความรุนแรงและแก๊สไล้

เราพยายามสรุปเรื่องราวตลอด 2 ปีที่อยู่กับบุ้ง จริงๆมันมีมากกว่านั้น แต่กลัวทวิตยาวเกิน แต่อย่างนึงที่เพื่อนเราเคยถูกมินิพูเลทบอก การที่ผู้ถูกกระทำหรือตัวเด็กยังอยู่ในวังวนความรุนแรง โดนมินิพูเลท แปลว่า Abuser ประสบความสำเร็จ #ทะลุวัง

อุทาหรณ์ 'นักเลงคีย์บอร์ด' หมิ่น 112 'ในหลวง ร.๙-ร.๑๐' ยังรอด!! หลังพ่อแม่ให้ 'ยอมรับผิด' เพราะหวั่น!! ทนายนำ 'ภา' ไปหาคุก

เห็นสภาพการเดินเกมรุกของบรรดาด้อมส้มสามกีบในช่วงนี้ ที่แบ่งระดับตามสายตาเป็น 3 ระดับ ตั้งแต่ ระดับรุกไล่เชิงการภายก่อภัยคุกคามสถานที่สาธารณสุข และที่ส่วนบุคคล (พรรคเพื่อไทย) โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจตึงใส่เรียบร้อย

ระดับอินฟลูเอ็นเซอร์ผู้ดำเนินรายการ ก็เริ่มโนประชาชี หรือคนมีบารมีทางสังคมเริ่มไม่อ่อนข้อ (วันก่อนโดนลุงสนธิประกาศฟ้องรายการแฮชแตก!!) 

และมาถึงลำดับของประชาชน หรือพวกเยาวชนนักเลงคีย์บอร์ดที่ชอบป้ายสีข้อมูลเท็จลงออนไลน์ โดยเฉพาะการบิดเบือนเรื่องของสถาบันฯ ก็ต้องบอกว่า กระบวนการยุติธรรมที่เห็นเงียบ ๆ แต่ฟาดที ฟาดเรียบ...

โดยทั้งหมดทั้งมวล ต้องขอบอกว่า ถ้าเข้าหมวดหมิ่น ให้ร้ายป้ายสี อย่างมีเจตนา ก็ไม่มีหัวเรือด้อมส้มสามกีบคนไหนช่วยได้ แม้แต่สัมมาชีพที่ขึ้นชื่อเป็น 'ทนาย' ก็ตาม

ล่าสุดมีเรื่องสั้นเสียงจากแฟนคลับ ได้ส่งกรณีศึกษาหนึ่งมายังทีมข่าวการเมือง THE STATES TIMES ให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับพวกหมิ่น ม.112 แบบไร้สติและไร้ข้อมูล ฟังเขาเล่ามาแล้วก็มาถ่มถุยหลังคีย์บอร์ด ให้อ่านไปสยองไปสักเรื่อง

เรื่องนี้มาจากคุณญ่า ซึ่งมาทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญในฐานะประชาชนไทย #สืบพยานในคดี ม.112

ตัวละครเคสนี้...

ฝั่งโจทก์ มี 'คุณญ่า' เป็นผู้อยู่ในบัญชีพยานฝั่งโจทก์ลำดับที่ 3 ตามมาด้วย คุณลุงเจ้าของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง (ขอสงวนนาม) เป็นพยานลำดับที่ 1 ในฐานะผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ และมีคุณน้า ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่อีกแห่ง (ขอสงวนนาม) เป็นพยานที่ 2

ส่วนผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลย คือ ผู้สาวอายุเพียง 26 ปี ได้โพสต์และแชร์ข้อความกล่าวหาด้วยความเท็จใส่ร้ายเรื่องการใช้ภาษีของในหลวง ร.9 ว่าด้วยเรื่องโครงการพระราชดำริ และกล่าวหาใส่ร้ายด้วยความเท็จว่า ร.10 ว่าทรงเอาเครื่องบินไปของการบินไทยไปใช้ส่วนพระองค์และเอาไปจอที่วังสวนจิตร 

แน่นอนแหละว่าจำเลย 'ปฏิเสธ' ทุกข้อกล่าวหาในชั้นพนักงานสอบสวน

และเมื่อวาน (8 ส.ค.66) ณ ศาลจังหวัดสมุทรปราการ ก็ได้มีการสืบพยานฝั่งโจทก์นัดแรก ซึ่งฝั่งโจทก์ก็ได้ทนายจำเลยของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน อย่าง 'อานนท์ นำภา' เป็นทนายความให้

ทว่า ตัวจำเลย (สาววัย 26) พ่อแม่จำเลย ทนายจำเลย อัยการ และพยานโจทก์ ได้บังเอิญเจอกันก่อนศาลจะออกพิจารณา

พีก!! ตรงพ่อแม่จำเลย ดันจำพยาน คือ คุณลุงและคุณน้าได้ว่าเป็นเจ้าของตึกอาคารสำนักงาน ที่บริษัทตัวเองได้ทำงานอยู่สิบกว่าปี (สยอง!!)

ว่าแล้วพ่อแม่จำเลย ก็รีบตรงปรี่เข้ามาไหว้สวัสดี และสอบถาม พยานฝั่งโจทก์...

เรียบ ๆ เคียง ๆ แล้ว ก็พอได้ใจความว่า "อยากจะขอคุยกับอัยการและศาล เพื่อเปลี่ยนใจให้ลูกสาวรับสารภาพ เพราะดูจากสำนวนและพยานที่มาให้การแล้ว 'ไม่น่าจะรอด' ถ้าสู้ตามทนายสามกีบแนะนำ"

สรุป!! ยังไม่ทันได้สืบพยาน พ่อแม่จำเลยเห็นพยานแล้วถอดใจไม่เชื่อทนาย ขอปรึกษาอัยการและศาลให้ลูกสาวให้การเป็นขอสารภาพ

เฮ้อ!! ทนายนำภาไปหาคุกเอ๊ย คุณญ่าในฐานะพยานที่ 3 เลยไม่มีโอกาสได้ปล่อยพลังฝีปากกับอานนท์ นำภาเลยอ่ะ ซึ่งเธอบอกมาว่า "เสียดายจัง" 

สุดท้ายศาลให้เบิกค่าพยาน 500 แต่คุณลุงกับคุณน้าใจดี บอก “เอ้า!! ไอ้ญ่าอุตส่าห์มาเป็นพยานปากเอก เอาทริปค่าน้ำมันค่าขนมไป 10,000 บาท” ขุ่นญ่าก็อารมณ์ดีหายเคือง

ขณะที่พ่อแม่จำเลย ก็ถือว่าเป็นบุญไปที่เจอคนคุ้นเคย และถือเป็นผู้ใหญ่ใจดี (สังคมไทยผู้ใหญ่ใจดีเยอะ) โดยบอกให้น้อง 26 กลับไปปรับปรุงตัว (รอดคุก) แต่ยังไงซะ กลับไปแล้ว ก็หมั่นหาความจริง ไม่เฮเอามันส์ตามกีบ แล้วต้องมายืนตัวลีบหน้าศาลแบบนี้อีก

ส่วนทนายนี่!! #กากฉิบหายเลยว่ะ

ใครมั่นใจในสิ่งที่ถูกปลุกปั่นให้เชื่อ และยอมเป็นเครื่องมือด้วยความคะนองใจ โปรดระวังไว้!!

เพราะไม่ใช่คุณที่จะโชคดีแบบกรณีน้อง 26 รายนี้

‘สมศักดิ์’ ร่วมถก ‘ป.ป.ส.-ตร.’ หาแนวทางขจัดยาเสพติด เล็งใช้มาตรการยึด-อายัดทรัพย์ควบคู่แผนปราบปราม

(8 ส.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และอดีตรมว.ยุติธรรม พร้อมด้วยนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานยุทธศาสตร์การเกษตร พรรคเพื่อไทย นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร รองเลขาธิการ ป.ป.ส. พล.ต.ต.บรรพต มุ่งขอบกลาง รองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และ พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผู้บังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 2 ได้หารือกับ สส.พรรคเพื่อไทย เพื่อรับฟังความคิดเห็นถึงแนวทางการปราบปรามยาเสพติดภายใน 1 ปีของพรรคเพื่อไทย

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า จากที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียงนโยบายการปราบปรามยาเสพติดให้หมดไปภายใน 1 ปีนั้น วันนี้ตนจึงเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามยาเสพติด มาอธิบายถึงแนวทางการปราบปรามยาเสพติดที่ผ่านมา เพื่อให้สส.พรรคเพื่อไทยได้ช่วยกันแสดงความคิดเห็น ก่อนจะนำไปปรับเป็นนโยบายที่จะใช้ปราบปรามยาเสพติดภายใน 1 ปี 

ทั้งนี้ สส.พรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่ได้สะท้อนว่าอยากให้พรรคเพื่อไทยมีมาตรการที่เด็ดขาดแบบในสมัยรัฐบาลอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่สามารถปราบปรามยาเสพติดได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงอยากให้ช่วยแก้ปัญหาที่ต้นตอ อย่างผู้มีอิทธิพลในแต่ละพื้นที่ด้วย ขณะเดียวกันก็เห็นด้วยที่จะเดินหน้ามาตรการยึด อายัดทรัพย์เครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด แต่อยากให้ทำควบคู่กับมาตรการปราบปรามด้วย 

ด้านนายปิยะศิริ กล่าวว่า การยึดอายัดทรัพย์เครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญมาก เพราะจะช่วยแก้ปัญหายาเสพติดได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง แต่เราใช้มาตรการยึดทรัพย์ไปกดดันเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด อย่างปี 2562 ยึดอายัดทรัพย์ได้เพียง 956 ล้านบาท แต่หลังมีกฎหมายยาเสพติดใหม่ เพิ่มมาตรการยึดทรัพย์ ทำให้ปี 2564 ยึดอายัดได้ 7,346 ล้าน ปี 2565 ยึดอายัดได้ 11,003 ล้านบาท และปี 2566 ยึดอายัดได้มากกว่า 20,000 ล้านบาทแล้ว จะเห็นได้ว่าแนวทางการยึดอายัดทรัพย์ เห็นผลอย่างชัดเจน จึงควรส่งเสริมแนวทางนี้ ในการปราบปรามยาเสพติดต่อไป 

พล.ต.ต.ธนรัชน์ กล่าวว่า ปัจจุบันขบวนการค้ายาเสพติด ได้หันมาใช้ระบบขนส่งเป็นจำนวนมากขึ้นแล้ว เพราะมีความสะดวก และมีหลากหลายวิธี แต่หลังมีกฎหมายยาเสพติดใหม่ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ทำการจับกุมพร้อมขยายผลไปสู่การยึดทรัพย์ได้เป็นจำนวนมาก โดยจะไม่ใช่ยึดทรัพย์ซึ่งหน้าเท่านั้น แต่จะคำนวณมูลค่าของยาเสพติด ที่ขนส่งในอดีตมาคำนวณยึดทรัพย์ย้อนหลังด้วย ทำให้มาตรการยึดทรัพย์น่ากลัวสำหรับผู้ค้ายาเสพติดเป็นอย่างมาก 

‘วิษณุ’ ชี้!! หาก ‘ก้าวไกล’ จะเป็นผู้นำฝ่ายค้าน ‘หมออ๋อง’ ต้องไขก๊อกรองประธานสภา

(8 ส.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน เนื่องจากรัฐธรรมนูญระบุห้ามไม่ให้ สส.ในพรรคการเมืองที่มีสมาชิกเป็นรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎรและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรดำรงตำแหน่งดังกล่าว ว่า แม้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลจะถูกหยุดปฎิบัติหน้าที่ แต่ยังไม่ถือว่าพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน จึงยังแต่งตั้งไม่ได้ ตอนนี้ต้องรอให้รู้ก่อนว่า พรรคไหนเป็นพรรคร่วมรัฐบาลบ้าง เนื่องจากผู้นำฝ่ายค้านต้องมาจากพรรคที่ไม่ได้ร่วมรัฐบาล และต้องเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดในฝ่ายค้าน

เมื่อถามถึงกรณีของนายปฏิพัทธ์ สันติภาดา สส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ที่เป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ทำให้พรรคก้าวไกลเป็นผู้นำฝ่ายค้านไม่ได้ เนื่องจากแย้งกับรัฐธรรมนูญ นายวิษณุ กล่าวว่า ถ้าจะต้องเป็นผู้นำฝ่ายค้านก็ต้องลาออกจากตำแหน่งรองประธานสภาฯ

เมื่อถามว่า หากนายพิธาต้องหลุดจาก สส. พรรคก้าวไกลต้องเปลี่ยนหัวหน้าพรรคใช่หรือไม่ นายวิษณุ ยอมรับว่าใช่

เมื่อถามว่า การที่ยังไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ทำให้หลายฝ่ายกังวลเรื่องปีงบประมาณที่จะล่าช้าออกไป นายวิษณุ กล่าวว่า ก็น่ากังวล เพราะปกติในช่วงนี้งบประมาณปี 67 จะเข้าสภาฯ จนกระทั่งจวนจะพิจารณาเสร็จอยู่แล้ว แต่การที่ยังไม่มีรัฐบาลใหม่ ทำให้ไม่มีคนมาทำงบประมาณ และกว่าจะมีรัฐบาลใหม่เข้ามา สมมุติได้รัฐบาลใน ก.ย. กว่าจะทำงบประมาณได้ต้องแถลงนโยบายให้เสร็จก่อน อาจจะอยู่ในช่วงปลายก.ย.หรือต้น ต.ค. แล้วต้องใช้เวลาอีก 1 เดือนในการทำงบประมาณ ทำให้งบประมาณ ปี 67 เข้าสภาประมาณ พ.ย. - ธ.ค. แล้วต้องใช้เวลาอยู่ในสภาอีก 3 เดือน จังหวะนั้นจะพอดีกับการทำงบประมาณในปี 68 ทำให้งบประมาณสองปีซ้อนกัน เมื่อถามว่า มีการประเมินหรือไม่ว่าจะทำให้เกิดความเสียหายมากน้อยเพียงใด นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ เพราะไม่ได้ประเมิน ต้องให้ภาคเอกชนเขาประเมินแล้วกัน

‘บิ๊กป้อม’ ชื่นใจ!! คนพปชร. อวยพรวันเกิดครบ 78 ปี ขอคนในพรรครักกัน ผลักดันพรรคเป็นสถาบันการเมือง

(8 ส.ค. 66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พรรคพปชร. จัดประชุมคณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) กรรมการยุทธศาสตร์ และ สส.พรรค พปชร.เพื่อรับทราบรายงานการประชุมพรรค ครั้งที่ 2/2566 เรื่องการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ เมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา และพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 9-10 ส.ค. รวมถึงกำหนดแนวทางการทำกิจกรรมของพรรค

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ ที่พรรคพปชร.ว่าก่อนเริ่มการประชุม พล.อ.ประวิตร ได้เป่าเค้ก ที่สมาชิกพรรคเตรียมไว้อวยพรวันเกิดคล้ายวันเกิดล่วงหน้า อายุครบ 78 ปี วันที่ 11 ส.ค. โดยมีนายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา เลขาธิการพรรค และอดีตผู้สมัครสส.กทม.ร่วมร้องเพลงอวยพรวันเกิด โดยพล.อ.ประวิตร ยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี และกล่าวว่า “ขอให้พรรครักกันทุกคนเป็นหนึ่งเดียว เพื่อทำให้พรรคเป็นสถาบันการเมืองต่อไป” 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการตั้งรัฐบาล พล.อ.ประวิตร กล่าวตัดบทว่า “ไม่ต้องถามแล้วครับ” ก่อนเดินเลี่ยงขึ้นห้องประชุมสส.

ขณะที่บริเวณโถงด้านล่างของอาคารที่ประชุม มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พหลโยธิน มาสังเกตการณ์ดูแลความเรียบร้อย หลังมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มต่าง ๆ ในช่วงเวลานี้

'อ.ไชยันต์' เปรียบการเมืองเนเธอร์แลนด์ แล้วย้อนดูการเมืองไทย พรรคคะแนนสูง แต่ไม่เกินครึ่งสภา อกหักเป็นเรื่องธรรมดา

(8 ส.ค.66) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความในหัวข้อ 'ในเนเธอร์แลนด์ พรรคการเมืองอะไรที่พรรคอื่น ๆ ไม่อยากยุ่งด้วย' ว่า...

"ดูการเมืองเนเธอร์แลนด์ แล้วย้อนดูการเมืองเรา"

โดย Luket Chusorn นักศึกษาชาวเนเธอร์แลนด์ เชื้อสายไทย เผยว่า...

หากการทำนายผลเลือกตั้งถูกต้อง พรรค PVV (พรรคเพื่อเสรีภาพ : Partij voor de Vrijheid) ซึ่งเป็นพรรคขวาจัด จะกลายเป็นพรรคที่ได้ สส. มากที่สุด แต่ไม่เกินครึ่งในสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งที่จะมาถึง 

และนั่นไม่ได้หมายความว่า พรรค PVV จะได้จัดตั้งรัฐบาลโดยอัตโนมัติ 

ตรงกันข้าม โอกาสที่ PPV จะได้จัดตั้งรัฐบาลหรือร่วมรัฐบาลมีน้อยมาก เพราะไม่มีพรรคใหญ่ไหนอยากร่วมงานกับ PVV 

ถึงแม้ ดูเหมือนว่า พรรค VVD (พรรคประชาชนเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตย : Volkspartij voor Vrijheid en Democratie) จะเปิดทางไว้บ้าง เพราะเนื่องจากหลักของพรรค VVD เห็นว่า 'ไม่ควรประกาศล่วงหน้าว่าจะไม่ร่วมมือกับพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง' ก็ตาม

แต่จริง ๆ แล้ว VVD และพรรคการเมืองแนวเสรีนิยมอื่น ๆ ต่างพยายามหาทางกำจัด PVV ให้เร็วที่สุด 

ไม่น่าเป็นไปได้ที่ PVV และ VVD จะได้เสียงข้างมากในรัฐสภาร่วมกัน 

เพราะทันทีที่พรรคของ Geert Wilders หรือ PVV ถูกเขี่ยออกไป การจัดตั้งคณะรัฐมนตรีที่แท้จริงก็จะเริ่มขึ้น

ปรากฏการณ์แบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกในประเทศเนเธอร์แลนด์ 

เพราะในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ผลการเลือกตั้ง พรรค PvdA (พรรคแรงงาน : Partij van de Arbeid) ก็ได้เป็นพรรคที่มี สส. มากที่สุดสองครั้ง แต่ก็ยังต้องลงเอยเป็น 'ฝ่ายค้าน'

แต่กระนั้น พรรค PVV ก็ไม่ได้กังวลอะไรกับการที่ไม่ได้เป็นรัฐบาล

เพราะ Geert Wilders หัวหน้าพรรค PVV เชื่อว่า การที่พรรคของเขาถูกขัดขวางทางการเมือง ก็ยิ่งจะทำให้พรรค PVV ของเขาได้รับความนิยมมากขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top