Wednesday, 26 June 2024
POLITICS

‘วัชระ’ จี้ ‘ชัชชาติ’ จัดการ ‘หนู-แมลงสาบ’ หลังพบวิ่งว่อนทั่วตลาดสนามหลวง 2

(27 ก.พ. 66) นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส. และผู้สมัคร ส.ส. เขตหนองแขม-ทวีวัฒนา พรรคประชาธิปัตย์ ลงพื้นที่พร้อมกับว่าที่ร้อยตรีบัณฑิต ศุภพิสุทธิ์ ตัวแทนผู้ค้าสนามหลวง 2 พบปะเยี่ยมเยียนพ่อค้าแม่ค้า และประชาชนที่มาจับจ่ายซื้อของ

โดยนายวัชระ กล่าวว่า พบปัญหาหลายอย่างที่ต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไขอย่างเร่งด่วน จึงขอเรียกร้องให้นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชกรุงเทพมหานคร เข้ามาดูแลแก้ปัญหาให้หลังได้รับการร้องเรียนจากพ่อค้าแม่ค้าว่า ตลาดแห่งนี้ยังมีสัตว์ที่เป็นพาหะนำโรคจำนวนมากทั้งหนู แมลงสาบ รวมทั้งไฟส่องสว่างทางเดินที่ดวงเล็กมาก และลูกระบายอากาศที่ติดตั้งอยู่บนหลังคาตลาดมีเสียงดังมาก โดยเฉพาะเวลาที่มีลมพัดแรงเกิดเสียงดังจนพ่อค้าแม่ค้าเปรียบเหมือนเสียงหมาโดนรถทับ ป้ายชื่อตลาดแตกชำรุด เป็นต้น จึงขอให้ผู้ว่าฯ กทม.สั่งการให้เจ้าหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว หรือลงมาดูพื้นที่ด้วยตนเอง

'บิ๊กป้อม' เปิดใจ เหตุผล ที่ยังไม่หยุดเล่นการเมือง และทำไมต้อง ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง’

(27 ก.พ. 66) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เผยแพร่ผ่านเพจ ‘พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ’ เรื่อง ทำไมต้อง ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง’ เนื้อหาระบุ เพราะแม้จะมีเหตุผลมากมายที่หลายคนเห็นว่าผมควรจะหยุด และกลับไปใช้ชีวิตสบาย ๆ ซี่งจะทำให้ผมมีความสุขมากกว่า เนื่องจากชีวิตไม่ได้รู้สึกขาดแคลนอะไรแล้ว

และนั่นทำให้ผมคิดแล้ว คิดอีกอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ในที่สุดแล้ว ผมตัดสินใจที่จะทำงานต่อ แน่นอนว่าเหตุผลหนึ่งคือ ผมผูกพันกับคนที่ร่วมสร้าง ‘พรรคพลังประชารัฐ’ ขึ้นมาจนประสบความสำเร็จ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศมาเกือบครบ 4 ปีเต็ม ๆ

ทุกคนล้วนมีความหวัง ความฝันที่จะทำงานการเมืองต่อไป ทุกคนต่างร่วมทำงานหนักกันมา เมื่อถึงวันที่จะต้องลงเลือกตั้งกันใหม่ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าครั้งนี้จะเป็นการแข่งขันที่เข้มข้น การต่อสู้รุนแรงมาก ใครไม่พร้อมก็ยากที่จะเดินต่อไปได้ ผมจะคิดแค่เอาตัวรอด ทิ้งเพื่อนพ้องน้องพี่ที่ร่วมสร้าง ‘พรรคพลังประชารัฐ’ ที่ยังมีความฝันอยู่เต็มเปี่ยมได้อย่างไร

นั่นเป็นเหตุผลแรก

แต่ลึกไปในใจ ในความรู้สึกนึกคิด ผมมีเหตุผลส่วนตัวที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเหตุผลที่เกิดจากการทบทวนครั้งแล้ว ครั้งเล่า ถึงทางออกของชาติบ้านเมือง ว่าควรจะทำอย่างไรกันดี เป็นการทบทวนที่มองผ่านเข้าไปในประสบการณ์ชีวิตของผมทั้งหมด แล้วหาข้อสรุปว่าเกิดอะไรกับประเทศ

ผมจะค่อย ๆ เล่าให้ฟังว่า อะไรที่ผมพบเจอ รับรู้ และเกิดความคิดอย่างไรในแต่ละช่วงชีวิต จนสุดท้ายตัดสินใจทำงานการเมืองต่อ ด้วยความคิดว่าตัวเองจะทำประโยชน์ด้วยการคลี่คลายปัญหาให้ประเทศเดินหน้าไปสู่ความสดใส ผมจะเริ่มจากการเล่าให้เห็นประสบการณ์รับราชการทหารตั้งแต่ ‘นายทหารผู้น้อย’ ค่อย ๆ เติบโตมาถึง ‘ผู้บัญชาการกองทัพ’ ได้รับการหล่อหลอมให้ ‘จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์’ มาทั้งชีวิต

จนผลึกความคิด ความเชื่อ ความศรัทธา เป็น ‘จิตวิญญาณที่เปี่ยมด้วยความจงรักภักดีของผม’ อย่างมั่นคง ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ในห้วงเวลาเกือบทั้งชีวิตในราชการทหาร ด้วยจิตสำนึกดังกล่าว ผมได้รับรู้ความห่วงใยของคนในวงการต่าง ๆ ที่มีต่อความเป็นไปทางการเมืองของประเทศ อาจจะเป็นเพราะผมเป็น ‘ผู้บังคับบัญชากองทัพ’ เสียงความห่วงใยส่วนใหญ่จึงมีเป้าหมายไปที่ ‘นักการเมือง’

คนกลุ่มหนึ่ง ซี่งมีบทบาทสูงต่อความเป็นไปของประเทศ หรือจะเรียกให้เข้าใจง่ายว่า ‘กลุ่มอิลิท’ ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลต่อการกำหนดความเป็นไปของประเทศ มอง ‘ความเป็นมาและพฤติกรรมของนักการเมือง ด้วยความไม่เชื่อถือ’ และความไม่เชื่อมั่นลามไปสู่ความข้องใจใน ‘ประชาธิปไตย’ และ ‘ความรู้ความสามารถของประชาชน ในการเลือกนักการเมืองเข้ามาครอบครองอำนาจบริหารประเทศ’ ความไม่เชื่อมั่นต่อนักการเมือง และการเลือกของประชาชนนั้น ทำให้ผู้มีบทบาทกำหนดความเป็นไปของประเทศเหล่านี้ เห็นดีเห็นงามกับการ ‘หยุดประชาธิปไตย’ เพื่อ ‘ปฏิรูป’ หรือ ‘ปฏิวัติ’ กันใหม่ หวังแก้ไขให้ดีขึ้น

คนในกลุ่มนี้ล้วนแล้วแต่หวังดี อยากเห็นประเทศพัฒนาไปสู่ความรุ่งเรือง เป็นผู้มีประสบการณ์ที่พิสูจน์แล้วว่ามีความรู้ความสามารถ หากสามารถชักชวนเข้ามาทำงานให้กับประเทศได้จะเป็นประโยชน์  แต่เป็นที่น่าเสียดายยิ่งว่า คนที่ประสบความสำเร็จในการใช้ความรู้ ความสามารถเหล่านี้ ไม่มีโอกาสเข้ามาช่วยประเทศชาติในช่วงที่ ‘ระบบการเมือง’ จัดสรรผู้เข้ามามีอำนาจบริหารตามโควต้าจำนวน ส.ส. ที่ประชาชนเลือกเข้ามา โอกาสที่จะเข้ามาช่วยประเทศชาติ มีเพียงช่วงที่ ‘รัฐบาลมาจากอำนาจพิเศษ’ หรือการปฏิวัติ รัฐประหารเท่านั้น การรับราชการทหารมาเกือบทั้งชีวิต ทำให้ผมรู้จัก เข้าใจ และแทบจะมีความคิดในทางเดียวกับคนที่หวังดีต่อประเทศชาติเหล่านี้

อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นความคิดในช่วงแรก แม้จะครอบคลุมเวลาส่วนใหญ่ของชีวิต แต่หลังจากเข้ามาทำงานร่วมกับนักการเมือง และตั้งพรรคการเมือง ทั้งในช่วงเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และเป็น ‘ผู้ก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ’ จนมาเป็น ‘หัวหน้าพรรค’ ผมได้รับประสบการณ์อีกด้าน อันทำให้เข้าใจถึงความจำเป็นที่จะต้องนำพาประเทศไปด้วย ‘ระบอบประชาธิปไตย’

เพราะในความเป็นจริงทางการเมือง ไม่ว่านักการเมืองส่วนใหญ่จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ที่สุดแล้วอำนาจการบริหารประเทศต้องกลับเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งผู้ที่อำนาจตัดสินว่าจะให้ใครเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ ก็คือ ‘ประชาชน’ มีความจริงอย่างหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ นั่นคือ แม้ในการเลือกตั้งทุกครั้ง ‘ผู้ยึดครองอำนาจด้วยวิธีพิเศษ’ จะตั้ง ‘พรรคการเมือง’ ขึ้นมาสู้ ซึ่งแม้จะหาทางได้เปรียบในกลไกการเลือกตั้ง แต่ผลที่ออกมา ‘ฝ่ายอำนาจนิยม’ จะพ่ายแพ้ต่อ ‘ฝ่ายประชาธิปไตยเสรีนิยม’ ทุกคราว

ความรู้ ความสามารถของ ‘กลุ่มอิลิท’ ทำให้ประชาชนศรัทธาได้ไม่เท่ากับนักการเมือง ที่คลุกคลีกับชาวบ้านจนได้รับความรัก ความเชื่อถือมากกว่า นี่คือต้นตอของปัญหาที่สร้างความขัดแย้ง ขยายเป็นความแตกแยก ระหว่าง ‘ฝ่ายอำนาจนิยม’ กับ ‘ฝ่ายเสรีนิยม’ ที่หาจุดลงตัวร่วมกันไม่ได้ เพราะพยายามหาทางให้ฝ่ายตัวเอง ‘ชนะอย่างเด็ดขาด-ทำลายอีกฝ่ายให้สิ้นสูญ’ กลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ กระทบต่อความเชื่อมั่นของต่างชาติ

'ชวน' กรีด!! ส.ส.ย้ายพรรค 'เอาเปรียบ-คบไม่ได้' เตือนเพื่อน ส.ส. รู้ทัน 'พรรคเฉพาะกิจ' ไม่ยั่งยืน!!

'ลุงชวน' เชื่อประชาธิปัตย์ภาคใต้ไม่สูญพันธุ์ แฉมีการจ่าย 200 ล้านบาท ดึงตัวคนประชาธิปัตย์ หวังกวาด ส.ส.ยกจังหวัด กรีด ส.ส.ย้ายพรรคหวังเป็นรัฐมนตรี เอาเปรียบ-คบไม่ได้

รายการ 'ชั่วโมงข่าวเสาร์อาทิตย์' ทางไทยพีบีเอส ได้สัมภาษณ์พิเศษ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายชวนกล่าวยอมรับว่า "เป็นห่วงความนิยมของพรรค โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้บางจุด แต่มั่นใจว่าไม่น่าจะถึงขั้นสูญพันธุ์ เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์มีชาวบ้านเป็นฐานเสียงสำคัญ ที่ยังศรัทธาในความซื่อสัตย์สุจริตของพรรคประชาธิปัตย์"

เมื่อถามว่า ยุคนี้ถือเป็นยุคตกต่ำของประชาธิปัตย์ และมีปัญหาที่เกิดจากปัญหาภายในของพรรคมากน้อยแค่ไหน นายชวน ยอมรับว่า "ปัญหาภายในพรรคมีบ้าง เช่น มีบางคนในพรรคอยากให้มีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค บางคนมาเจรจาขอให้ทำหน้าที่รักษาการหัวหน้าพรรค ซึ่งได้ปฏิเสธไป เนื่องจากเป็นมติพรรคที่เลือกนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นหัวหน้าพรรค ทุกคนในพรรคก็ต้องช่วยกันทำงาน อีกทั้งการเปลี่ยนม้ากลางทางอาจไม่เหมาะสม ดังนั้น ทางเดียวคือหากต้องการเปลี่ยนแปลง ต้องรอให้ครบวาระและเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่"

ทั้งนี้ นายชวน เชื่อด้วยว่าเหตุผลความไม่พอใจตัวหัวหน้าพรรค ไม่ใช่เหตุผลของการย้ายสังกัดพรรค แต่เหตุผลสำคัญ คือ การกลัวแพ้เลือกตั้ง และการเจรจาทาบทามให้มีการย้ายพรรค

'ชัยวุฒิ' ชี้ช่องดึง 'เว็บพนันออนไลน์-บุหรี่ไฟฟ้า' ขึ้นมาบนดิน แก้กฎหมาย เปลี่ยนส่วยเป็นภาษี พารัฐกระเป๋าตุง

จากคอลัมน์ 'เจ้าพระยา' ในสยามรัฐ ได้พูดถึงกรณีทุนสีเทาที่บานปลาย และแนวทางในการแก้ปัญหา โดยมีการเสนอแนวคิดจาก นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่า...

บานปลายกลายเป็นมหากาพย์กระทบต่อผลการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเร็ววันนี้ สำหรับกรณี 'ทุนจีนสีเทา' หลังนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.ก้าวไกลรับข้อมูลจากนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ไปอภิปรายในศึกซักฟอกรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทว่า ที่เจอแรงกระแทกมากสุด กลับเป็นแกนนำพรรคพลังประชารัฐ และพรรคร่วมฝ่ายค้านไปเสียงั้น 

“ปัญหาเรื่องทุนสีเทาเป็นปัญหาที่มีมานานแล้วหลายสิบปี เป็นปัญหาที่เราก็รู้กันอยู่ว่าธุรกิจที่ผิดกฎหมายในเมืองไทยมันมีเยอะ แล้วก็ทุกคนก็วิ่งเข้าหาผู้มีอํานาจ เพื่อจ่ายส่วย หรือว่าหาคนมาดูแลคุ้มครอง โดยรัฐบาลไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง รัฐบาลพยายามแก้ปัญหานี้อยู่ ทั้งนี้ ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ ก็เห็นตรงกันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่นอกจากแก้ด้วยการให้เจ้าหน้าที่ลงไปเอาจริงเอาจังในการปราบปรามแล้ว บางเรื่องอาจต้องมีการปรับแก้กฎหมายเพื่อเปลี่ยนส่วยเป็นภาษี เพราะต้องยอมรับว่า บางสิ่งบางอย่างในต่างประเทศเขาถูกกฎหมาย เช่น เรื่องธุรกิจบริการ ผับบาร์ที่เปิดตอนกลางคืน ประเทศอื่นเปิดหลังเที่ยงคืนได้ ขายเหล้าหลังเที่ยงคืนได้ เป็นเมืองไทยทําไม่ได้เพราะผิดกฎหมาย ก็ทําให้ชาวต่างชาติที่มาลงทุน มาท่องเที่ยวในเมืองไทย หรือชาวต่างชาติที่ต้องการดื่มหลังเที่ยงคืนจะต้องจ่ายส่วยเพื่อจะได้เปิดบริการกันได้ก็เกิดทุนสีเทา เกิดธุรกิจผิดกฎหมายขึ้นมา เรื่องนี้เป็นตัวอย่างว่า เราควรต้องทบทวน ปรับแก้กฎหมายเพื่ออะไรที่เราคิดว่ารับได้ อะไรคิดว่าเป็นเรื่องสากล"

นิพนธ์ - เดชอิศม์ -ไพเจน นายก อบจ. จับมือ สจ. หนุน ปชป.พร้อมสู้ศึกเลือกตั้งสงขลา

นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้อำนวยการเตรียมการเลือกตั้งพรรคปชป. ประชุมร่วมกับนายเดชอิศม์ ขาวทอง รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ภาคใต้ นายไพเจน มากสุวรรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา และสมาชิกสภาอบจ.สงขลา 28 คน ประกาศจุดยืนเตรียมความพร้อมหนุน พรรคปชป.สู้ทุกเขตเลือกตั้ง ณ บ้านพักเขารูปช้าง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา

ทั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของการเตรียมการเลือกตั้งที่จะมาถึงในเร็ววันนี้ โดยนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคปชป. ผนึกกำลัง 3 ฝ่าย จับมือกับ นายเดชอิศม์ ขาวทอง รองหัวหน้าพรรคปชป.ภาคใต้ ร่วมกับนายไพเจน มากสุวรรณ์ และสมาชิกสภา อบจ.สงขลาทั้ง 28 คน ในการเตรียมความพร้อมติดตามสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ และพร้อมลงช่วยเหลือผู้สมัครของพรรคปชป.ทุกเขตเลือกตั้ง

ซึ่งนายนิพนธ์กล่าวช่วงหนึ่งว่า วันนี้ผมอยากเห็นพวกเราชาวประชาธิปัตย์ทั้งหมด ผนึกกำลังรวมตัวเป็นหนึ่งเดียว เพื่อเตรียมความพร้อมในการสู้ศึกเลือกตั้ง เพื่อเป้าหมายสู่ชัยชนะการเลือกตั้งในพื้นที่จังหวัดสงขลาทั้ง 9 เขต ของพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นจึงอยากให้ท่านสมาชิกสภา อบจ.สงขลาทั้ง 28 คนที่มาร่วมประชุม ได้ติดตามสถานการณ์การเลือกตั้งในพื้นที่ของตนเอง เพื่อทำการประมวลผล อันจะนำมาซึ่งการพิจารณาหาแนวทางการทำงานของผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคในแต่ละเขตเลือกตั้ง ว่าขณะนี้ผู้สมัครแต่ละเขตกำลังเดินไปในทิศทางใด เพื่อจะนำปัญหาทั้งหมดมาร่วมกันแก้ไขต่อไป

'ซูเปอร์โพล' เผย 'ลุงตู่' เด่นด้านความสงบสุข-มั่นคง ฟาก 'ลุงหนู' ผลงานด้าน สธ.-จงรักภักดี เป็นที่ประจักษ์

(25 ก.พ. 66) สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจ เรื่อง ลุงตู่ กับ หมอหนู กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,223 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 20 – 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2566 โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนจากขนาดตัวอย่างบวกลบร้อยละ 5 ในช่วงความเชื่อมั่นร้อยละ 95

เมื่อถามถึง นักการเมืองผู้มีผลงานเด่น ด้านความมั่นคงชาติ ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง พบว่า เกินครึ่งหรือร้อยละ 53.6 ระบุ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รองลงมาหรือร้อยละ 17.3 ระบุ นายอนุทิน ชาญวีรกูล, ร้อยละ 9.5 ระบุ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ, ร้อยละ 6.5 ระบุ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร, ร้อยละ 5.3 ระบุ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ตามลำดับ

นอกจากนี้ เมื่อถามถึง นักการเมืองผู้มีผลงานเด่น ด้านระบบสาธารณสุข นโยบายสุขภาพ แก้ปัญหาคุณภาพชีวิต ลดความเดือดร้อนของประชาชนช่วงวิกฤตโควิด พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 71.1 ระบุ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองลงมาคือร้อยละ 10.4 ระบุ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา, ร้อยละ 6.5 ระบุ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์, ร้อยละ 4.2 ระบุ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร และร้อยละ 2.9 ระบุ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ตามลำดับ

ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามถึง ภาพจำของประชาชน ต่อคุณธรรมการเมืองของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 65.1 คือ ความจงรักภักดีต่อสถาบันสูงสุดของชาติ รองลงมาคือ ร้อยละ 60.6 ระบุ กล้าคิดกล้าตัดสินใจ เป็นผู้นำไทยบนเวทีโลก ด้านสาธารณสุข สุขภาพเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจไทยในอาเซียน ร้อยละ 60.6 ระบุ มีผลงานทั่วโลกยอมรับ รับมือวิกฤตโควิดในประเทศไทย ร้อยละ 60.4 ระบุ ซื่อสัตย์ สุจริต ไม่มีประวัติด่างพร้อย ทุจริตคอรัปชัน ร้อยละ 57.9 ระบุ มีความรู้ ประสบการณ์ ภาคธุรกิจ เคยล้มเหลว ฟื้นฟูตัวเอง กลับมาสำเร็จได้ ร้อยละ 57.6 ระบุ มุ่งมั่น ขยัน ตั้งใจทำงานเพื่อประชาชน

‘ไตรรงค์’ แฉ พรรคการเมือง ฮั้วต่างชาติค้ายา-เปิดพนัน นำเงินสกปรกมาซื้อเสียง วอน หยุดหนุนนักการเมืองชั่ว

(25 ก.พ. 66) เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 66 นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ประธานที่ปรึกษาพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุถึงปัญหาของประเทศไทยในปัจจุบัน ว่า ศัตรูตัวใหม่ของเราไม่ใช่มหาอำนาจนักล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก แต่เป็นยาเสพติด และของผิดกฎหมาย เช่น การพนันออนไลน์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นและคงอยู่ได้ ก็เพราะทั้งคนไทยและต่างชาติร่วมมือกันให้มันเกิดขึ้น ต่างชาติ มีทั้ง จีน, ลาว, พม่า, เขมร, รัสเซีย และไนจีเรีย คำถามคือ ทำไมคนพวกนี้จึงกล้ามาทำชั่ว และทำผิดกฎหมายบั่นทอนความมั่นคงของชาติได้ ก็คงเพราะอย่างที่นายตู้ห่าวเคยพูดว่า “มีเงินเสียอย่าง อะไร ๆ ก็สามารถซื้อได้ทำได้ในประเทศไทย ก็เป็นจริงอย่างที่เขาพูด เพราะประเทศไทยเต็มไปด้วยข้าราชการชั่ว และนักการเมืองเลวที่คอยให้ความสะดวก และคุ้มครองธุรกิจเทาดำเหล่านี้ จึงเจริญกว้างขวางยิ่งขึ้นมาก

“ปัญหาของชาติในปัจจุบัน ก็คือ มีนักการเมืองของบางพรรคได้แอบร่วมกันกับต่างชาติในการค้ายาเสพติดและการพนันออนไลน์ และนักการเมืองเหล่านั้น ก็นำเงินสกปรกที่ได้มาเข้าไปใช้ในพรรค มีการเชื่อมต่อเพื่อนำเงินชั่วเข้าพรรคอยู่หลายวิธี เช่น ผู้ใหญ่เจ้าของพรรคทำหมู่บ้านจัดสรรขายให้พวกค้ายาเสพติดเพื่อฟอกเงิน โดยขายในราคาแพงเกินจริง เพื่อทำกำไรส่วนนี้มาใช้ในการซื้อเสียงในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น หรือบางพรรคก็มีบุคคลสำคัญของพรรคเป็นตัวเชื่อมนำเงินสกปรกเหล่านี้ ส่งให้หัวหน้าพรรคก็จะใช้เงินพวกนี้ในการซื้อความภักดีของ ส.ส.ของพรรค เชื่อหรือไม่ว่า ที่บางคนไม่ยอมย้ายพรรค ไม่ใช่มีอุดมการณ์อะไร แต่เพราะเกิดอาการเสพติดจากเงินค้ายาเสพติด และเงินที่ได้จากรัฐมนตรีของมันโกงกันมา ที่มีการแจกกันเป็นประจำทุก ๆ เดือน”

นายไตรรงค์ ยังระบุต่อว่า “เราคนไทยที่ต้องการตอบแทนบุญคุณต่อวิญญาณของบรรพบุรุษที่เสียสละเลือดเนื้อและชีวิตปกป้องแผ่นดินนี้ไว้ให้ เราก็สามารถจะกระทำได้โดยการร่วมกันไม่สนับสนุนนักการเมืองเลว ข้าราชการชั่ว และพรรคการเมืองอุบาทว์ในคราบของนักบุญ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เราคนไทยต้องร่วมกันลงโทษ ไม่เลือกพรรคมัน เพื่อป้องกันมิให้พวกมันสามารถใช้เงินสกปรกจากธุรกิจเทา-ดำ เช่น การค้าเฮโรอีนและยาบ้า มาซื้ออำนาจรัฐ เพื่อขอเป็นรัฐบาลบริหารประเทศอย่างเด็ดขาด”


ที่มา : https://mgronline.com/politics/detail/9660000018121

‘ชูวิทย์’ เตือน ‘ภท.’ คิดดีๆ หาเสียงกรุงเทพฯ ไม่ง่าย

“ถ้าคิดจะหาเสียงในกรุงเทพฯ คิดให้ดีๆ นะ จะเสียตังค์เปล่า ผมไม่รู้ว่าคุณรวยแค่ไหนนะ แต่ถ้าคุณคิดจะลงกรุงเทพฯ และหาเสียงแบบนี้ ผมจะถล่มคุณเอง นี่เป็นคำเตือนจากผมนะ หาเสียงในกรุงเทพฯ ไม่ง่ายหรอกนะ อย่าคิดว่ามาโปรยแล้วจะได้นะครับ”

'ลุงป้อม' ลงพื้นที่ตรวจโครงการน้ำ 'หนองคาย-เลย' เสริมความเชื่อมั่น 'ไม่ท่วม-ไม่แล้ง-น้ำสะอาดทั่วถึง'

(24 ก.พ. 66) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี/ผอ.กอนช. พร้อมด้วย รมช.คลัง และคณะ ได้ปฏิบัติงานต่อเนื่องจากช่วงเช้า (จ.อุดรธานี) โดยในช่วงบ่ายได้ลงพื้นที่ จ.หนองคาย และ จ.เลย ตามลำดับ เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำและผลการดำเนินงานการบริหารจัดการน้ำ โดยเมื่อเดินทางถึง ลานวัฒนธรรมเทศบาลเมืองท่าบ่อ อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย มี ผวจ.หนองคาย ให้การต้อนรับ และรับฟังการบรรยายสรุปภาพรวมการบริหารจัดการน้ำ จากเลขาฯ สทนช., กรมชลประทาน และตรวจติดตามโครงการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพระบบประปา เทศบาลเมืองท่าบ่อ จากนั้นได้พบปะผู้นำท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ ประมาณ 5,000 คน อย่างใกล้ชิด เป็นกันเอง พร้อมรับเรื่องแก้ปัญหาน้ำประปาเพื่อการอุปโภค บริโภค จากตัวแทนชาวบ้าน

ต่อมา พล.อ.ประวิตร และคณะ ได้เดินทางต่อไปยังโครงการประตูระบายน้ำศรีสองรัก อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.เชียงคาน จ.เลย โดยมี ผวจ.เลยให้การต้อนรับ และรับฟังการบรรยายสรุป สถานการณ์น้ำ และการพัฒนาแหล่งน้ำ อาทิ การดำเนินงาน งบบูรณาการปี 66 จำนวน 20 โครงการ วงเงิน 840 ล้านบาท ซึ่งจะมีพื้นที่ได้รับประโยชน์ 8,180 ไร่  5,411 ครัวเรือน  ได้แก่โครงการประตูระบายน้ำศรีสองรัก อันเนื่องมาจากพระราชดำริ, โครงการก่อสร้างระบบระบายน้ำหลัก เพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วมชุมชนเมืองเลย และโครงการน้ำบาดาล เพื่อการเกษตรด้วยพลังแสงอาทิตย์ เป็นต้น

‘ตรีชฎา’ แซะ สโลแกนใหม่ ‘บิ๊กตู่’ ไม่เหมาะสม แนะใช้ ‘ประยุทธ์พอแล้ว 9 ปีหนี้ท่วม’ คู่ควรกว่า

(24 ก.พ.66) น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงสโลแกนหาเสียง 'ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ' ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า ในฐานะที่ประชาชนที่ต้องทนมา 9 ปี สโลแกนนี้คงไม่เหมาะสม แต่คำที่คู่ควรมากที่สุดตอนนี้ก็คือ 'ประยุทธ์พอแล้ว 9 ปีหนี้ท่วม' มากกว่า เพราะตั้งแต่ปี 2557 ที่ พล.อ.ประยุทธ์ รัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลประชาธิปไตย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เหลืออีก 3 เดือนก็จะครบ 9 ปีเต็ม ถือได้ว่า เป็น 9 ปีที่ประเทศได้รับความเสียหายหลายด้าน โดยเฉพาะหนี้สินของประเทศที่แทบจะท่วมหัว ทั้งหนี้สาธารณะ คงค้าง ณ เดือนธันวาคม 2565 ทั้งสิ้น 9,302,526 ล้านบาท หรือเกือบ 10 ล้านล้านบาท หนี้ครัวเรือนสูงขึ้นอยู่ที่ 14.7 ล้านล้านบาท คิดเป็น 88% ของ GDP และยังขยายเพดานหนี้อีก แม้แต่นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ ได้แถลงชัดเจนว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนยังไว้วางใจไม่ได้ต้องแก้ไปเรื่อย ๆ หนี้ครัวเรือนเป็นเหมือนระเบิดเวลาต้องแก้ไขอย่างต่อเนื่อง

น.ส.ตรีชฎากล่าวต่อว่า พรรค พท.ตระหนักถึงปัญหานี้เป็นอย่างดี จึงมีนโยบายแก้ไขหนี้ด้วยการสร้างรายได้ โดยเฉพาะภาคการเกษตร ราคาสินค้าเกษตรจะปรับขึ้นยกแผง ค่าแรงผู้ใช้แรงงานจะปรับขึ้นเป็นวันละ 600 บาท เงินเดือนปริญญาตรีจะปรับขึ้นเป็น 25,000 บาท ภายใน 4 ปี พักหนี้ 3 ปีทันที ปลอดต้น ปลอดดอกเบี้ย มั่นใจว่าประชาชนจะหลุดพ้นบ่วงกรรมหนี้ที่รัฐบาลได้สร้างเอาไว้แน่นอน

‘โรม’ สวน ‘พีระพันธุ์’ ปมเช่าตึก ‘ส.ว.อุปกิต’ ท้า!! กางหลักฐานชี้แจงแสดงความบริสุทธิ์ใจ

(24 ก.พ.66) รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สืบเนื่องจากประเด็น ‘ส.ว.ทรงเอ’ หรือ อุปกิต ปาจรียางกูร ที่รังสิมันต์อภิปรายในสภาฯ ว่าพรรครวมไทยสร้างชาติซึ่งเช่าที่ดินของ ส.ว. คนดังกล่าวเป็นที่ทำการพรรค ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการกระทำของอุปกิต พร้อมทั้งมอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคพิจารณาว่าจะยื่นฟ้องร้องที่รังสิมันต์พูดพาดพิงถึงพรรคอย่างต่อเนื่องต่อไปหรือไม่

รังสิมันต์กล่าวว่า การที่ตนพูดพาดพิงถึงพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะการอภิปรายทั่วไปต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ปัจจุบันเปิดตัวในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งแม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเพิ่งสมัครสมาชิกพรรคได้ไม่นานและไม่ได้มีตำแหน่งบริหารใดๆ ในพรรค แต่ในทางการเมืองเป็นที่รู้กันอย่างดีว่าพรรครวมไทยสร้างชาติก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นฐานสำหรับการสืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ต่อไป และ พล.อ.ประยุทธ์ก็มีความใกล้ชิดกับผู้บริหารพรรคหลายคน เช่นกับพีระพันธุ์ ที่ พล.อ.ประยุทธ์เคยแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 จนยกระดับมาเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน ดังนั้นเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าสำนักงานพรรครวมไทยสร้างชาติตั้งอยู่บนที่ดินของอุปกิต ตนในฐานะ ส.ส. จึงจำเป็นต้องทำหน้าที่ ใช้เอกสิทธิ์ตั้งคำถามในสภาฯ ว่า พล.อ.ประยุทธ์กำลังร่วมมือกับบุคคลที่ตัว พล.อ.ประยุทธ์ ควรสืบรู้ได้ว่ามีข้อครหาเกี่ยวกับยาเสพติดและการฟอกเงิน หรือไม่

‘บิ๊กป้อม’ ลงพื้นที่ ‘อุดรฯ-หนองคาย-เลย’ เร่งรัดแผนจัดการน้ำ ตั้งเป้าอีสานมีน้ำใช้ตลอดปี

(24 ก.พ. 66) พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.กอนช. พร้อมด้วย รมช.คลัง และคณะ ได้เดินทางไปตรวจราชการในพื้นที่ จ.อุดรราชธานี, จ.หนองคาย และจ.เลย เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำและการดำเนินงานพัฒนาแหล่งน้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม ในพื้นที่ทั้ง 3 จังหวัด

โดยในช่วงเช้า เดินทางไปยัง โรงเรียนภูพานวิทยา ต.ขอนยูง อ.กุดจับ จ.อุดรฯ มีนาย วันชัย คงเกษม ผวจ. ให้การต้อนรับและรับฟังการบรรยายสรุปภาพรวมการบริหารจัดการน้ำ ในพื้นที่ จ.อุดรฯ จากเลขาฯ สทนช. ซึ่ง จ.อุดรฯ มีพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ และลุ่มน้ำชี รัฐบาลได้ให้การสนับสนุนโครงการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง และน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ โครงการปี 61-65 ประชาชนได้รับประโยชน์ 55,586 ครัวเรือน จากงบกลางปี 65 ได้รับประโยชน์ 1,045 ครัวเรือน งบบูรณาการฯ ปี 66 จะได้รับประโยชน์ 6,955 ครัวเรือน งบตามแผนปฏิบัติการปี 67 ประชาชนจะได้รับประโยชน์ 53,175 ครัวเรือน และโครงการสำคัญอีก 6 แห่ง ประชาชนจะได้รับประโยชน์ 43,500 ครัวเรือน

‘จักรพล’ ซัด!! รัฐละเลยปัญหา PM 2.5 ทำติดอันดับฝุ่นโลกซ้ำซาก ชี้!! พท.ช่วยได้

(24 ก.พ. 66) นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินมาตรฐานเป็นปัญหาเรื้อรังในช่วง 4-5 ปี ล่าสุดพบว่า จังหวัดเชียงใหม่เป็นเมืองหลักที่มีมลพิษติดอันดับที่ 6 ของโลก และถูกจัดอันดับต่อเนื่องหลายวัน กระทบต่อการหายใจของประชาชน ลูกหลานเยาวชน ขณะที่รัฐบาลละเลย เมินเฉยต่อปัญหา และยังดอง พ.ร.บ.อากาศสะอาดเป็นระยะเวลาประมาณ 1 ปี 1 เดือน แต่ใช้งบประมาณมากมาย หากมองย้อนหลังไป 2 ปี งบประมาณแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในปี 2565 และ 2566 ประมาณ 406 ล้านบาท และ 410 ล้านบาท รวม 816 ล้านบาท ทั้งหมดคือ การผลาญงบ ผลาญชีวิต ผลาญเวลาของประชาชน

นายจักรพล กล่าวอีกว่า พรรค พท.ได้เคยเสนอแนวทางแก้ฝุ่น PM 2.5 ที่จะผลักดันเป็นนโยบายได้แก่

‘พิชัย’ ท้า ‘มิ่งขวัญ’ ลดราคาน้ำมันตอนนี้เลย ตอก!! อย่าโม้หวังคะแนนเสียง แต่สุดท้ายทำไม่ได้

(24 ก.พ.66) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน และรองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย (พท.) ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ตามที่ได้มีความพยายามใช้ราคาพลังงานมาหาเสียง ประกาศลดราคาโดยปราศจากความรู้ เป็นแค่การขายฝันเพื่อหาเสียงเท่านั้น ล่าสุดมีการเสนอว่าจะลดราคาน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 6 บาท ลดราคาน้ำมันเบนซินลงลิตรละ 18 บาท ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ จึงอยากให้นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ได้ออกมาชี้แจงรายละเอียด อย่าเพียงพูดเหมือนแค่หาเสียง แต่ไม่ได้ทำหรือทำไม่ได้ เหมือนที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หาเสียงหลายนโยบายแต่ไม่ได้ทำเลยมาตลอด เช่น ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 400-425 บาท ปริญญาตรีเดือนละ 20,000 บาท ราคาพืชผลเกษตร ข้าว ยางพารา อ้อยที่ไม่ได้ทำเลย

นายพิชัย กล่าวต่อว่า หากนายมิ่งขวัญทำได้จริง อยากให้นายมิ่งขวัญ ได้สำนึกว่าปัจจุบันพรรคพปชร.เป็นพรรคใหญ่ที่สุดที่ร่วมรัฐบาล ทำได้จริงต้องทำทันที ไม่ต้องหาเสียง ควรให้พรรคพปชร.อยากให้นายมิ่งขวัญไปศึกษารายละเอียดให้ดี ไม่ใช่ดูแค่โครงสร้างราคาแล้วเอาตัวเลขในแต่ละช่องมาคำนวณบวกลบและพูดมั่ว ต้องตอบให้ได้ว่าหนี้กองทุนน้ำมันจำนวนกว่าแสนล้านบาท ที่รัฐบาลและพรรคพปชร.ก่อหนี้นี้ขึ้นมา จะชำระหนี้นี้อย่างไร ยังมีอีกหลายคำถาม ถ้านายมิ่งขวัญมั่นใจว่าคิดครบทุกประเด็น ก็ออกมาชี้แจงให้ประชาชนทราบและทำทันทีเลยโดยไม่ต้องรอ เพราะจะได้คะแนนเสียงทันที ซึ่งตนเชื่อว่าทำไม่ได้อย่างแน่นอน

'บิ๊กตู่' สั่ง วางแผนทำธุรกิจฮาลาล รองรับชาวมุสลิม เพิ่มโอกาสให้ภาคธุรกิจ - ท่องเที่ยว ขยายการลงทุน

(24 ก.พ. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วางแผนแนวทางการทำธุรกิจที่เกี่ยวกับการอุปโภค-บริโภคของประชากรมุสลิม หรือผู้นับถือศาสนาอิสลาม เชื่อมั่นว่าจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ และเป็นการเปิดโอกาสที่ดีให้กับภาคธุรกิจไทยได้ขยายการลงทุนเพิ่มเติมในอนาคต จากกำลังซื้อสินค้าฮาลาลที่เพิ่มมากขึ้น

นายอนุชา กล่าวว่า ผลสำรวจของ Pew Research Center คาดว่า จำนวนชาวมุสลิมทั่วโลกจะเพิ่มเป็น 2,200 ล้านคน ภายในปี 2030 หรือคิดเป็น 26.4% ของประชากรโลก ซึ่งในปัจจุบันมีถึง 49 ประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ประเมิน วางแผนแนวทางการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับประชากรมุสลิม ซึ่งมีพฤติกรรมการบริโภค การจับจ่ายใช้สอย ที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ เนื่องจากระเบียบข้อบังคับของศาสนา สอดคล้องกับการประเมินของ Adroit Market Research ที่คาดว่าตลาดสินค้าฮาลาลทั่วโลกจะเพิ่มจาก 7.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2020 เป็น 11.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2028 หรือขยายตัวเฉลี่ย 5.6% ต่อปี (https://www.adroitmarketresearch.com/industry-reports/halal-market)

นายอนุชา กล่าวว่า ข้อมูลจาก Halal Focus พบว่า ชาวมุสลิมใช้จ่ายในสินค้าประเภทอาหารมากสุด คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 62% ของรายจ่ายทั้งหมดในสินค้าฮาลาล รวมถึงข้อมูลจากศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์ฯ ยังพบว่า ในปี 2564 ตลาดอาหารฮาลาล และการเกษตรฮาลาลมีมูลค่า 183 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี หรือ 14 % ของตลาดอาหารฮาลาล และการเกษตรฮาลาลโลก โดยประเทศไทย ซึ่งพัฒนาศักยภาพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮาลาลอย่างต่อเนื่อง มีส่วนแบ่งตลาดอาหารฮาลาล และการเกษตร 3.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นคิดเป็น 15.8%


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top