Monday, 17 June 2024
POLITICS

'บิ๊กป้อม' กำชับ 'กกท.' บริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ หนุนงบฯ ปี 67 ยกระดับนักกีฬาไทย สู่ความเป็นเลิศในสากล

(22 ก.พ. 66) พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 2/2566 ณ ห้องประชุม มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์

ที่ประชุมได้มีการหารือและรับทราบ รายงานผลการติดตามการใช้จ่ายงบประมาณของ การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ประจำปี 66 ซึ่งได้มีการปฎิบัติตามแผนงาน ภายใต้กฎระเบียบอย่างเคร่งครัด และรับทราบผลการดำเนินงานของคณะกรรมการตรวจสอบ กกท. ประจำปี 66 ไตรมาส 1 พร้อมข้อเสนอแนะ เพื่อการบริหารความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในไตรมาส 2 อาทิ การนำกระบวนการบริหารความเสี่ยง ไปใช้ในการพัฒนาตามเกณฑ์การประเมินสมาคมกีฬา ให้มีประสิทธิภาพและการทบทวนแนวทางการพัฒนากีฬาอาชีพ และกีฬาเป้าหมายให้มีความเหมาะสม เป็นต้น

‘คริส’ ขยี้ ‘พิธา’ เลิกมองคนวิจารณ์เป็นศัตรู เพราะยิ่งตอกย้ำ ‘ลัทธิบูชาผู้นำ-โปลิตบูโร’

(22 ก.พ. 66) นายคริส โปตระนันท์ อดีตว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตจตุจักร พญาไท ราชเทวี พรรคก้าวไกล (ก.ก.) โพสต์เฟซบุ๊ก ‘คริส โปตระนันทน์ - Chris Potranandana’ ภายหลังนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ตอบโต้กับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่า…

วัฒนธรรมการซุกปัญหาไว้ใต้พรมไม่ใช่ส่วนผสมของระบอบประชาธิปไตย การบอกว่ามาทำภารกิจกันก่อน ส่วนข้อวิจารณ์ ขอให้ทำการภายใน เดี๋ยวเราค่อยแก้ไข ไม่ต่างกับ 'การขอเวลาอีกไม่นาน'

การวิพากษ์วิจารณ์ในที่สาธารณะ อาจเป็นเรื่องยากและเรื่องใหม่สำหรับบ้านเรา ที่มักติดกับ 'ลัทธิบูชาผู้นำ'

พรรคก้าวไกลยังดีกว่านี้ได้ ต้องเลิกคิดว่าคนที่วิจารณ์ทั้งหมด เป็นศัตรู คุณมาทำการเมือง ต้องน้อมรับคำวิจารณ์ แก้ไขหรือไม่แก้ไขเป็นเรื่องของทีมบริหาร

‘ปิยบุตร’ โต้กลับ ‘พิธา’ “เอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้ผม” ลั่น!! พฤติกรรมแบบนี้ ปล่อยผ่านไม่ได้

จากกรณีที่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อและอดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) เผยแพร่บทวิเคราะห์ ‘แลนด์สไลด์ ที่พรรคก้าวไกล (ก.ก.) แก้ไม่ออก’ โดยช่วงหนึ่งกล่าวถึง ‘ผู้นำพรรคก้าวไกล’ นำมาสู่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกมาระบุถึงการครบรอบ 3 ปี ยุบพรรคอนาคตใหม่ พร้อมกล่าวถึง ‘ปิยบุตร’ ต้อง ‘เลิกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ’ เลิกทำตัวไม่เป็นมืออาชีพ ทำตามที่ ‘ธนาธร’ เคยขอ กลับมาช่วยกันเท่าที่กฎหมายอนุญาต ทำให้คนที่เคยปรามาสอนาคตใหม่ ก้าวไกล คิดผิด และอนุญาตให้ตนและอีกหลายร้อยชีวิตที่พรรคมีสมาธิในการทำงานโค้งสุดท้ายนั้น

ล่าสุด (22 ก.พ.66) นายปิยบุตรกล่าวถึงโพสต์ของนายพิธา ผ่านเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul โดยระบุว่า เพิ่งได่อ่านที่ ‘คุณพิธา’ เขียน ‘เอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้ผม’ ทั้งหมด Ok ได้ จัดไป

ผมจะเขียนอธิบายให้ฟังทั้งหมดยาว ๆ ทั้ง ๆ ที่ผมไม่อยากพูดเรื่อง ‘คุณพิธา’ เลย พยายามวิจารณ์พรรคอย่างตรงไปตรงมา ไม่พูดถึงตัวบุคคล แต่ ‘คุณพิธา’ ก็ให้เกียรติโพสต์สื่อสารถึงผมโดยตรงขนาดนี้ ก็ถือเสียว่า ‘คุณพิธา’ คงอยากคุยกับผมในที่สาธารณะ ผมจึงจำเป็นต้องตอบโดยละเอียดทุกประเด็น ประชาชน สมาชิก ผู้สนับสนุนพรรค จะได้รู้เสียทีว่า ‘คุณพิธา’ เอารัดเอาเปรียบพวกผม ทีมงาน พนักงาน ทีมจังหวัดทั่วประเทศ ส.ส. และผู้สมัคร ส.ส.เพียงใด ใครกันแน่ ‘มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ’ ใครกันแน่ ‘จับเสือมือเปล่า’

เมื่อวานเย็น ผมนัดกินข้าวกับเพื่อนมิตรและเพื่อน ส.ส. มีทีมงานมาบอกว่า ‘คุณพิธา’ โพสต์ตอบโต้ผม ให้ผมใจเย็น ๆ อย่าตอบโต้ ผมเองก็ไม่อะไร จนเจอธนาธร (ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ) กับชัยธวัช (ชัยธวัช ตุลาธน) ก็รำลึกความหลังครบรอบ 3 ปียุบพรรคอนาคตใหม่ที่เราริเริ่มมาด้วยกัน แล้วก็เคลียร์เรื่องนี้กันไป แต่พอผมกลับบ้านมา เปิดอ่านดู โอ้โฮ ‘คุณพิธา’ เขียนแบบ ‘เอาดีเข้าตัว เอาชั่วเข้าผม’ ไอ้นั่นเรื่องเล็ก

ผมมาเป็นนักการเมืองเจอเรื่องวิจารณ์กันแบบนี้ จะมา ‘ใจเสาะ’ แบบ ‘คุณพิธา’ ไม่ได้ แต่ที่น่ารังเกียจกว่า คือการเขียน ‘ขาวเป็นดำ ดำเป็นขาว’ เสียมากกว่า จนทำให้พนักงาน ทีมงาน ทั่วประเทศคงอึ้งไปตามๆ กันว่า ‘คุณพิธา’ เป็น ‘ผู้นำ’ เพื่อนร่วมงานกว่าร้อยชีวิต แล้วผมเป็นคนที่ ‘ไม่เป็นมืออาชีพ’ มาทำลายพรรคก้าวไกลอย่างที่ ‘คุณพิธา’ พูดจริงหรือ? เขียน ‘ขาวเป็นดำ’ ว่า ‘คุณพิธา’ เป็นพระเมสสิอาห์มากอบกู้พรรค ส่วนผมกลายเป็นพวกทำลายพรรค?

เมื่อไรก็ตามที่สื่อติดต่อผมให้ไปคุยเกี่ยวกับการวิจารณ์พรรคก้าวไกล ผมปฏิเสธทุกครั้ง เพราะไม่ต้องการให้บานปลาย ถือเสียว่าผมเป็น ‘คนนอก’ วิจารณ์เข้าไป (ซึ่งวัฒนธรรมการเมืองในต่างประเทศ ปัญญาชนที่เคยร่วมพรรคกันมา พอออกมา เขาก็วิจารณ์กันเป็นเรื่องปกติ) ก็ใช้เพจของผม เขียนไปเรื่อยๆ ไม่ขยายความดราม่าผ่านสื่อต่างๆ

‘บิ๊กป้อม’ วิดีโอคอลให้กำลังใจกลุ่มผู้พิการ โปรยยิ้มหวาน หลังเจอหยอด “รักจริงๆ ไม่ติงนัง”

(22 ก.พ. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊ก FC ลุงป้อม ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอที่กลุ่ม FC ลุงป้อม ได้เข้าเยี่ยมและให้กำลังใจผู้พิการ ที่มูลนิธิส่งเสริมและพัฒนาคนพิการ จ.นนทบุรี โดยผู้พิการและคุณครูในมูลนิธิ อยากเห็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และอยากพูดคุย

ก่อนที่ พล.อ.ประวิตรจะวิดีโอคอลเข้ามาพูดคุยกับกลุ่มผู้พิการ ท่ามกลางเสียงปรบมือ และแสดงความดีใจที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร โดยตรง โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวทักทาย “สวัสดีทุกคน สบายดีนะครับ ขอบคุณในกำลังใจ และขอให้โชคดีทุกคน”

ทั้งนี้ ตัวแทนผู้พิการในมูลนิธิ ได้กล่าวขอบคุณ พล.อ.ประวิตร ที่เป็นกำลังใจให้กลุ่มผู้พิการมาโดยตลอด รวมทั้งผลักดันนโยบาย และโครงการที่ส่งเสริมสวัสดิการ และคุณภาพชีวิตให้กับผู้พิการทั่วประเทศมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งขอให้ พล.อ.ประวิตร รักษาสุขภาพ และขอเป็นกำลังใจให้กับ พล.อ.ประวิตร ในการทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนต่อไป

'บิ๊กตู่' สั่ง ทุกฝ่ายจัดการอาชญากรรมไซเบอร์เด็ดขาด พร้อมเร่งพัฒนาระบบป้องกันบริการธุรกรรมออนไลน์

(22 ก.พ. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตาม และแก้ไขปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ของไทย ที่สร้างความเสียหายให้ประชาชนคนไทยเพิ่มขึ้นทุกปี เชื่อมั่นว่า เมื่อร่างพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.... มีผลบังคับใช้จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยธนาคารสามารถระงับธุรกรรมที่ผิดปกติ หรือต้องสงสัยได้ทันที

นายอนุชา กล่าวว่า จากสถิติการรับแจ้งความออนไลน์ ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2565 – 6 กุมภาพันธ์ 2566 มีการแจ้งความอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จำนวนทั้งสิ้น 192,031 คดี เท่ากับมีสถิติคดีแจ้งความประมาณ 1,000 รายต่อวัน มูลค่าความเสียหาย 29,546,732,805 บาท สามารถติดตามอายัดบัญชี 65,872 บัญชี อายัดได้ทัน 445,265,908 บาท มีผู้เสียหายสูงสุดมูลค่าถึง 100 ล้านบาท จึงเป็นสถานการณ์ขั้นวิกฤต ส่วนรูปแบบกลโกงของมิจฉาชีพ 5 อันดับแรก ได้แก่

1.) การหลอกลวงซื้อสินค้า
2). การโอนเงินหารายได้พิเศษ
3.) การหลอกให้กู้เงิน
4.) คอลเซ็นเตอร์
5.) การหลอกให้ลงทุน

นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้พิจารณาแนวทางดำเนินการเพื่อแก้ไข ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอออกพระราชกำหนดปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพิ่มอำนาจในการสืบสวนสอบสวนให้มีประสิทธิภาพ พร้อมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้เท่าทัน

ซึ่งการร่วมมือของภาครัฐและภาคเอกชน (Public Private Partnership PPP) เป็นการบูรณาการความร่วมมือเพื่อเป็นเครือข่ายในการยับยั้ง ป้องกัน และสร้างภูมิคุ้มกัน (Cyber Vaccine) แก่ประชาชน เพื่อให้รู้เท่าทันกลโกงของมิจฉาชีพ ล่าสุดได้ร่างพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ... ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้

'ครม.' ไฟเขียวร่าง ครส. 3 ฉบับ ยกระดับการจ้างงาน เพิ่มวันลาคลอด-วันหยุดพิเศษ-การรักษาพยาบาล

(21 ก.พ. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบหลักการร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานวิสาหกิจสัมพันธ์ 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ เพื่อยกระดับมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจบางประเด็นให้เหมาะสมมากขึ้น ตามข้อเรียกร้องของสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ และแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ และอัตราค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยโรคโควิด-19 ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า สาระสำคัญของร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานฯ มีดังนี้

1.) ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่องมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) เพิ่มเติมประเด็นสำคัญ อาทิ กำหนดเพิ่มเติมให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างมีวันหยุดพิเศษตามมติ ครม. ตามความเหมาะสมและจำเป็นของกิจการ, กำหนดเพิ่มสิทธิลาคลอดบุตร จากเดิม 90 วัน เป็น 98 วัน และกำหนดเพิ่มเติมให้เงินทดแทนที่นายจ้างจะต้องจ่ายให้ลูกจ้าง กรณีประสบอันตราย เจ็บป่วย หรือสูญหาย เนื่องจากการทำงาน ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี

‘บิ๊กตู่’ ประกาศยุบสภาต้น มี.ค.เลือกตั้ง พ.ค. เปรย กกต.หวังดี ปมยุบพรรคแบบเร่งด่วน

(21 ก.พ.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนตรงบริเวณทางเชื่อมตึกสันติไมตรีกับตึกไทยคู่ฟ้า ได้ขยับไมโครโฟนออกห่างจุดที่เจ้าหน้าที่ได้จัดไว้ให้ พร้อมกับระบุว่า “ใกล้เกินไปแล้ว ลดรังสีหน่อย เพราะรังสีสื่อค่อนข้างแรง” 

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ผลการประชุม ครม. ว่า ในที่ประชุม ครม. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงไทม์ไลน์การเลือกตั้ง และการเป็นรัฐบาลรักษาการทำอะไรได้ ทำไม่ได้บ้าง และตนได้แจ้งต่อที่ประชุมว่ากำหนดการการยุบสภาจะมีภายในเดือน มี.ค.66 ส่วนกรอบเวลาเลือกตั้งเป็นไปตามที่คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประกาศไว้ คือ 7 พ.ค.66 เพื่อให้เวลาภาคส่วนต่างๆ ได้ดำเนินการให้เกิดความเรียบร้อยมากที่สุด เพื่อให้การเลือกตั้งเกิดความเรียบร้อย และระหว่างนี้ขอให้รัฐมนตรี และส.ส.ช่วยกันพิจารณากฎหมายที่คั่งค้างอยู่หากเป็นไปได้ เพราะเป็นกฎหมายสำคัญที่เสนอไปเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง รวมถึงการปฏิรูปต่างๆ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้จะระบุได้เลยหรือไม่ว่า การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นวันที่ 7 พ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ต้องมีสิ ทำไมจะไม่มี เมื่อถามย้ำว่า หมายความว่าจะเกิดวันที่ 7 พ.ค.ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็เป็นไปตามที่ กกต.กำหนดมาแล้ว วันนี้ต้องให้เวลา กกต.ทำกฎหมาย ทำกรอบกติกาให้เรียบร้อย เขาขอเวลามาถึงเดือน ก.พ.

'ปลอดประสพ' แนะ 'บิ๊กตู่' ประกาศวางมือทางการเมือง อ้าง!! คนเป็นสิบๆ ล้านรอฟัง 3 คำ "ผมพอแล้ว"

(21 ก.พ. 66) นายปลอดประสพ สุรัสวดี แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กว่า...

เพียง 3 คำเท่านั้น
ผมไปงานเลี้ยง วปอ.รุ่นผมซึ่งเก่าแก่มาก ตอนนี้เหลือครึ่งเดียวและก็มีอายุเฉลี่ยเกิน 80 ปี ทุกคนจึงเกือบปลอดการเมือง เราคุยกันและก็สรุปสาระของประเทศไทยจากมุมมองที่ต่างกัน บางคนเคยเป็นรัฐมนตรี เป็นทหารชั้นผู้ใหญ่สูงสุด เป็นตำรวจสูงสุด เป็นนักการธนาคารที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ มาแล้ว ความเห็นตรงกันครับ คือประเทศไทยขณะนี้แย่มากจริง ๆ และจะไม่มีวันฟื้นหากประเทศถูกบริหารแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

เช้านี้อ่าน นสพ.ไทยรัฐ ปรากฏว่า มีถึง 6 คอลัมน์ที่พูดถึงระบบความเลวร้ายที่เกาะกินประเทศไทยอยู่ในขณะนี้ เช่น วงการตำรวจตกต่ำเรื่องบ่อน เรื่องยาเสพติด เรื่องกลุ่มจีนเทาดำมืดทั่วยุทธจักร ตำรวจลาออกเพราะทนอับอายไม่ไหว ผู้กองฟ้องศาลปกครองเพราะการโยกย้ายไม่เป็นธรรม แถมรายการคุณดนัยรายงานว่า มีการประมูลตำแหน่งผู้จัดการการแต่งตั้งโยกย้าย สำหรับกลุ่มทหารเลวกลุ่มหนึ่งก็หากินกับการซ่อมเรือจนจมลงใต้ทะเล ซื้อเรือดำน้ำซึ่งต่อมา 3 ปีแล้วยังหาเครื่องยนตร์ไม่ได้ สวัสดิการบ้านพักทหารก็ดูดกินเลือดลูกน้องจนบ้าคลั่งไล่ยิงคนตายเป็นเบือ

งานวิจัยเพื่อพัฒนาชาติบ้านเมือง กลับมีตลาดจ้างทำและมีการซื้อขายกันได้ การปฎิรูปการเมืองจบที่แต่งตั้งพวกพ้องเพื่อให้มาเลือกตนเป็นผู้นำประเทศ โดยเข้าใจกันว่า แลกเปลี่ยน กับการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ปล่อยให้ทำธุรกิจสีดำปื๋อ แถมมีการตกเบ็ดกันเองเพื่อหาคนเข้าพรรค มีการแจกกล้วยเพื่อขอคะแนน อยู่พรรคหนึ่งไปลงคะแนนให้กับอีกพรรคหนึ่ง โดยเฉพาะนายกประยุทธ์ เปลี่ยนไปเป็นสมาชิกพรรคที่กำลังจะชูตนเป็นนายกรอบ 3 ทั้ง ๆ ที่ขณะนี้ตนเองยังนั่งเป็นนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐอยู่ มารยาทแบบนี้เป็นของแปลกมาก แถม สว.แต่งตั้งยังประกาศเทคะแนนให้โดยไม่ต้องฟังผลการเลือกตั้งของประชาชน

'ปิยบุตร' ฟันธง!! 'ก้าวไกล' ไม่รอดกระแส 'แลนด์สไลด์' กลบ แต่ถ้าไม่คิดอะไรมาก รอบนี้ขอเกาะ พท.เป็นรัฐบาลไว้ก่อน

(21 ก.พ. 66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul – ปิยบุตร แสงกนกกุล หัวข้อ

['แลนด์สไลด์' ที่พรรคก้าวไกลแก้ไม่ออก] โดยมีรายละเอียดดังนี้

ประชาชนจำนวนมากต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี หากสังเกตจากผลการสำรวจความคิดเห็นหรือการรับรู้พูดคุยในกลุ่มแวดวงต่าง ๆ เชื่อได้ว่า ร้อยละ 60 อยากเปลี่ยนรัฐบาล และจะใช้การเลือกตั้งในปี 2566 นี้เป็นเครื่องมือสำคัญ

การรณรงค์ให้ลงคะแนนแบบยุทธศาสตร์ เพื่อให้พรรคเพื่อไทยแลนด์สไลด์ กำลังเป็นที่แพร่หลายและได้การยอมรับไปทั่ว

หากดูผลสำรวจความคิดเห็น ก็จะพบว่า คะแนนของพรรคเพื่อไทยและคุณแพทองธารสูงมาก ทั้งในภาพรวมทั่วประเทศ และในทุกพื้นที่ แม้กระทั่งภาคใต้

สำหรับพรรคก้าวไกลเอง คะแนนนิยมอยู่นิ่งอยู่กับที่มาปีเศษแล้ว ผู้อำนวยการนิด้าโพล ได้วิเคราะห์ไว้ในรายการหนึ่งว่า คะแนนของพรรคก้าวไกล เป็น 'น้ำเต็มแก้ว' ไม่เพิ่ม ไม่ลด ไม่ว่าเกิดเหตุการณ์ใด เวลาผ่านไปนานเท่าไร คะแนนก็จะอยู่เท่านี้ เรียกได้ว่า คะแนนจากผลสำรวจที่พรรคก้าวไกลได้รับนั้น คือ 'แฟนพันธุ์แท้'

หากพรรคก้าวไกลต้องการคะแนนมากกว่านี้ ต้องการมี ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ให้มากกว่านี้ จำเป็นต้องแสวงหาคะแนนจากกลุ่มผู้ที่ไม่ตัดสินใจ หรือกลุ่มที่ตัดสินใจเลือกพรรคอื่น จะได้คะแนนส่วนนี้เพิ่มมาได้ พรรคก้าวไกลต้องแก้ปมปัญหาเรื่อง 'แลนด์สไลด์'

คนจำนวนมากที่เป็น 'แฟนพันธุ์แท้' พรรคเพื่อไทย ย่อมลงคะแนนเลือกพรรคเพื่อไทยทั้งสองใบ แต่มีคนอีกจำนวนมากที่รักเพื่อไทย แต่ก็เห็นประโยชน์ของการมีพรรคแบบก้าวไกล

คนจำนวนมากที่รักทั้งสองพรรค

คนจำนวนมากที่เห็นด้วยกับสิ่งที่พรรคก้าวไกลทำ แต่คิดว่าเป็นการต่อสู้ระยะยาว

หรือคนจำนวนมากชอบพรรคก้าวไกล แต่ไม่คิดว่าจะชนะได้ในเขตเลือกตั้ง ไม่คิดว่าจะชนะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลได้

คนเหล่านี้ อาจเลือก ส.ส.เขตของพรรคเพื่อไทย และแบ่งมาลงคะแนนบัญชีรายชื่อให้พรรคก้าวไกล ทั้งหมดนี้เป็นผลพวงจากความคิดเรื่อง 'แลนด์สไลด์'

ด้วยระบบเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 400 บ้ญชี 100 ทำให้คะแนนแบบแบ่งเขตของผู้ที่ไม่ได้ลำดับที่ 1 ถูกทิ้งน้ำไปหมด ไม่เหมือนตอนปี 62 ที่ยังนำมาคำนวณเป็น ส.ส.ทั่วประเทศ

และด้วยความคิดที่ว่า หากเพื่อไทยกับก้าวไกลแข่งกันเองในเขตเลือกตั้ง อาจทำให้แพ้ทั้งคู่ จนพรรคประยุทธ์ หรือพรรคอื่นที่อยู่อีกขั้ว ชนะไป ดังปรากฏให้เห็นหลายเขตในการเลือกตั้งปี 62 ประกอบกับ 'สวิทช์ สว 250' คนยังทำงานออกฤทธิ์ได้อีก

ทั้งหมดนี้ ทำให้ประชาชนที่ต้องการเปลี่ยนรัฐบาลเลือกที่จะเลือกพรรคเพื่อไทยสองใบ หรือเลือกพรรคเพื่อไทยในแบบเขต เลือกพรรคก้าวไกลแบบบัญชีรายชื่อ

หากสถานการณ์และอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ยังเป็นเช่นนี้ ไปจนถึงวันลงคะแนน พรรคก้าวไกลก็จะได้ ส.ส.เขตน้อยมาก และได้ 'ส่วนแบ่ง' จากบัญชีรายชื่อมา รวมยอด ส.ส. ทั้งหมด คงไปไม่เกิน 30

หากพรรคก้าวไกลไม่คิดอะไรมาก ได้เท่าไร ก็เท่านั้น รอบนี้ ขอ 'เกาะพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล' ไว้ก่อน พรรคก้าวไกลก็ไม่ต้องแก้ไขอะไร ไม่ต้องคิดยุทธวิธีใหม่ ประคองตัวไปจนจบเลือกตั้ง และถ้าไม่มีสัญญาณแปลกๆใดมาขัดขวาง หรือรวมเสียงฝ่ายค้านเดิมเพียงพอ พี่ใหญ่” ก็อาจเมตตาชวน 'น้องเล็ก' ไปร่วมรัฐบาล แบ่ง รมต ให้สัก 2-3 ที่

แต่ถ้าพรรคก้าวไกลยังคงต้องการเสียงมากกว่านี้ จำนวน ส.ส.มากกว่านี้ พิสูจน์ตนเองว่าแนวคิดแนวทางที่ทำกันมาตั้งแต่อนาคตใหม่ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ประชาชนเห็นด้วยมาก พรรคก้าวไกลก็ต้องคิดแก้ปมปัญหา 'แลนด์สไลด์' ให้ได้

หนึ่ง ทำให้คนจำนวนมากเชื่อว่าพรรคก้าวไกลมีโอกาสชนะในเขตเลือกตั้งสูง ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกลจะเข้าที่ 1 ไม่ใช่เข้าที่ 2 หรือที่ 3 หากทำให้คนจำนวนมากเชื่อได้ คนก็จะมาเลือก เพราะ คะแนนนี้ไม่ทิ้งน้ำ ไม่เปล่าประโยชน์ แต่จะทำให้พรรคก้าวไกลชนะ ส.ส.เขต

‘บิ๊กป้อม’ ลุยตราด ติดตามมาตรการรับมือฤดูแล้ง พร้อมสั่งเตรียมแหล่งน้ำสำรอง รองรับพื้นที่ EEC

(20 ก.พ. 66) พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.กอนช. พร้อมด้วย รมว.ดีอีเอส, รมว.ศธ., รมช.คลัง, รมช.กห. และคณะ ได้เดินทางลงพื้นที่ต่อเนื่องจากช่วงเช้า (จ.จันทบุรี) เพื่อไปปฎิบัติราชการพื้นที่ จ.ตราดในช่วงบ่าย โดยเมื่อเดินทางถึง โครงการแก้มลิงหนองฉุงใหญ่ อ.เขาสมิง จ.ตราด มีนายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ ผวจ. ให้การต้อนรับ

จากนั้นได้รับฟังการบรรยายสรุปภาพรวมสถานการณ์น้ำ จาก เลขาฯ สทนช. ต่อด้วยอธิบดีกรมชลประทาน เกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ และอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำได้รายงานผลการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำในพื้นที่ รวมทั้ง นายก อบต.ประณีต ได้รายงานผลการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ในระดับชุมชน ที่สำคัญโดยสรุป จ.ตราด พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก มีลำน้ำสำคัญ คือแม่น้ำตราด และมีฝนตกชุกเกือบตลอดปี มีโครงการสำคัญ ที่รัฐบาลสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำ เพื่อป้องกันน้ำท่วมและแก้ปัญหาภัยแล้ง ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ได้แก่ โครงการแก้มลิงฉุงใหญ่ สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้ 1,000 ไร่ 1,244 ครัวเรือน และยังช่วยชะลอการไหลของน้ำ บรรเทาการเกิดอุทกภัยพื้นที่ตอนล่าง โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูคลอง ทรายขาว-หนองหวีด-คุ้งกะปาง ช่วยพื้นที่เกษตรได้ 6,000 ไร่ รวมถึง โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคุณภาพน้ำบริโภค และโครงการงานปิดกั้นคันดินกั้นน้ำเค็มชั่วคราว คลองเวฬุ-ท่าเสมอ เป็นต้น

‘บิ๊กตู่’ ลุยเมืองคอน ติดตามแผนพัฒนาคุณภาพชีวิต ชาวบ้านแห่ต้อนรับอบอุ่น ตะโกนเชียร์ “รักลุงตู่ๆ”

แน่นทุกจุด ชาวบ้านแห่รับ ‘บิ๊กตู่’ แน่นรพ.มหาราชฯ ตะโกนเชียร์ “รักลุงตู่ๆ” เจ้าตัวอ้อน “รักจังฮู้” ฝากหมอ-พยาบาลช่วยดูแลสุขภาพประชาชนโดยเฉพาะผู้สูงวัย ‘ย้ำ’รัฐบาลและรมว.สาธารณสุขทำงานร่วมกันอย่างดีมาตลอด

(20 ก.พ.66) ที่โรงพยาบาลมหาราช จ.นครศรีธรรมราช พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะเดินทางไปตรวจติดตามการพัฒนาความมั่นคงด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยมี แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนมารอต้อนรับจำนวนนับพันคน

'รฟท.' เร่งจัดหา 'รถไฟ EV ต้นแบบ' เพิ่ม 50 คันในปี 66 ชู ระบบรางไร้มลพิษ ยกระดับการขนส่ง-คมนาคม

รถไฟ EV ต้นแบบของไทยดังไกลถึงอาเซียน 'ชาวเวียดนาม' แห่ชื่นชม รฟท.เดินหน้าทดสอบ เตรียมจัดหาอีก 50 คัน ภายในปี 66 ใช้ลากขบวนโดยสารเข้าสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ลดมลพิษ

(20 ก.พ. 66) นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่การรถไฟฯ ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA จัดทดสอบการใช้งานรถจักรพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ รถต้นแบบคันแรกในการพัฒนารถไฟระบบ EV on Train ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

ปรากฏว่า นอกจากจะได้รับความสนใจ และเสียงตอบรับที่ดีจากประชาชนคนไทยแล้ว รถจักรคันดังกล่าวยังโด่งดังไปไกลถึงประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน โดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม ที่มีการแชร์เรื่องราวของรถจักรพลังงานไฟฟ้าลงในกลุ่มเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศของเวียดนาม ซึ่งมีการแสดงความชื่นชมยินดีกับประเทศไทย และพูดคุยแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นกันอย่างหลากหลาย

นอกจากนี้ ยังมีชาวเวียดนามบางคนมาช่วยเพิ่มเติมข้อมูล และตอบคำถามในบางประเด็นที่มีการตั้งข้อสงสัยกัน เช่น ทำไมถึงต้องใช้รถไฟแบตเตอรี่ ซึ่งประเด็นนี้ นอกจากจะใช้แบตเตอรี่เพื่อทดแทนการใช้น้ำมันแล้ว ยังสามารถนำไปต่อยอด โดยการยกระดับขนส่งโดยสารของเมือง และรองรับการใช้งานในระบบรถไฟฟ้ารางเบา Light Rail Transit (LRT) ได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม มีหลายคนยังเห็นด้วยว่า ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีถือเป็นเรื่องสำคัญมาก และเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะการจะเริ่มต้นจากศูนย์ ทำเพียงคนเดียวอาจเป็นเรื่องที่ยากมาก ซึ่งเมื่อพัฒนาขึ้นมาได้แล้ว เทคโนโลยีนี้ก็จะอยู่กับประเทศไทยตลอดไป

สำหรับรถจักรพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ประเทศไทยสามารถประกอบ ติดตั้งระบบแบตเตอรี่สำหรับรถไฟที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าเองได้ เสร็จเมื่อปี 2565 เป็นแห่งแรกของโลก ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยลดมลพิษ และบรรเทาภาวะโลกร้อน อีกทั้งยังสอดรับกับนโยบายรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มุ่งเน้นส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แทนน้ำมันเชื้อเพลิงในระบบขนส่งของประเทศ โดยเฉพาะการส่งเสริมยานยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV) เพื่อให้ประเทศไทยสามารถลดก๊าซเรือนกระจกลง 20-25% ภายในปี 2573

ปัจจุบัน รถจักรพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ได้ดำเนินการทดสอบเดินรถในเส้นทางต่าง ๆ แล้ว รวมถึงการทดสอบลากจูงขบวนรถโดยสารขึ้นมาบนสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ถือว่าประสบความสำเร็จเรียบร้อยดี ซึ่งหลังจากนี้การรถไฟฯ จะพิจารณานำไปลากจูงรถโดยสาร และรถสินค้าในโอกาสต่อไป

โดยในระยะแรก จะนำรถจักรดังกล่าวมาใช้ลากเป็นรถสับเปลี่ยน (Shunting) ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เพื่อลดมลพิษในอาคารสถานีชั้นที่ 2 ซึ่งจากผลการทดสอบของการรถไฟฯ สามารถลากขบวนรถจากย่านสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ไปที่ชานชาลาสถานีที่ชั้น 2 ได้จำนวน 12 เที่ยว ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ระยะเวลาการชาร์จจนแบตเตอรี่เต็มประมาณ 1 ชั่วโมง

จากนั้น ในระยะต่อไปจะทดลองวิ่งในระยะทางใกล้ เช่น ขบวนรถโดยสารชานเมือง ระยะทางประมาณ 30-50 กิโลเมตร และระยะทางที่ไกลมากขึ้น เช่น ขบวนรถข้ามจังหวัด ระยะทางประมาณ 100-200 กิโลเมตร และขบวนรถขนส่งสินค้า จาก ICD ลาดกระบัง ไปยังท่าเรือแหลมฉบัง เป็นต้น เพื่อทดสอบจนเกิดความมั่นใจและปลอดภัย

‘อนุสรณ์’ อัด ‘ประยุทธ์’ ไม่รับผิดชอบ ‘ทุนจีนสีเทา’ ซ้ำยังพูดตัดตอนความจริง - สร้างวาทกรรมบิดเบือน

(20 ก.พ. 66) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลุยปราบมาเฟีย ดำเนินคดีทุนจีนสีเทา ขอ พท.อย่าละเว้นตรวจสอบปมซุกทรัพย์สินเป็นโครงการบ้านหรูว่า ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว แต่การตอบโต้แบบเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ไม่เกิดประโยชน์ ขว้างงูไม่พ้นคอ จนเหมือนทำให้ไม่เหลือความจริงแม้แต่นิดเดียว ต้องยอมรับว่า พล.อ.ประยุทธ์ล้มละลายทางความน่าเชื่อถือไปตั้งนานแล้ว บอกว่าจะไม่รัฐประหาร ก็รัฐประหาร บอกว่าขอเวลาอยู่ไม่นาน ก็ปาเข้าไป 10 ปี บอกว่าไม่ใช่นักการเมือง แต่ก็มาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองถึง 2 พรรค พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีความน่าเชื่อถือในสภา จึงอาจใช้วิชามารลอกการเมืองแบบเก่า ตัดตอนความจริง สร้างวาทกรรมบิดเบือนว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีขายบ้านแถมสัญชาติ ซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงไปมาก

นายอนุสรณ์กล่าวต่อว่า 1.) รัฐบาลประยุทธ์สารภาพกลางสภาว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้เซ็นอนุมัติในขั้นตอนสุดท้าย พล.อ.อนุพงษ์ไม่ใช่พนักงานส่งเอกสาร หากการดำเนินการในขั้นตอนก่อนหน้าไม่ถูกต้องย่อมสามารถระงับยับยั้งได้ แต่ทำไมรัฐบาลประยุทธ์ไม่ยับยั้ง

'บิ๊กตู่' โชว์ผลงาน 'บัตรทองพรีเมียม' เพิ่มสิทธิประโยชน์ ช่วยประชาชนเข้าถึงการรักษาอย่างเท่าเทียม-ทั่วถึง

(20 ก.พ. 66) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เร่งขับเคลื่อนให้ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐฯ อย่างมีประสิทธิภาพ เท่าเทียมและทั่วถึง หลักประกันสขุภาพไทยได้เปลี่ยนผ่าน 'บัตรทอง' หรือ 'บัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า' ให้กลายเป็น 'บัตรทองพรีเมี่ยม' ยกระดับการบริการ เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ครอบคลุมและทลายข้อจำกัดต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างแท้จริง

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า สำหรับบัตรทองพรีเมียมในยุคของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ให้สิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์มากมาย เช่น เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ มีสิทธิ์เข้ารับการรักษาพยาบาลได้ในหน่วยบริการสาธารณสุขทุกที่ โดยไม่เก็บค่ารักษาพยาบาลภายใน 72 ชั่วโมงหรือพ้นภาวะวิกฤต รักษาโรคติดเชื้อไวรัส-19 โควิดฟรี โดยสามารถเข้ารักษาในหน่วยบริการปฐมภูมิที่ไหนก็ได้ทั่วประเทศ ผู้ป่วยโรคมะเร็งรับบริการที่ไหนก็ได้ ย้ายหน่วยบริการได้ทันที ไม่ต้องรอ 15 วัน

รวมถึงให้สิทธิฟอกไตฟรี เพิ่มบริการสำหรับแม่และเด็ก การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก การเพิ่มวัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูก รักษาโรคมะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและต่อมน้ำเหลือง โรคติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซียาต้านไวรัส HIV เพิ่มสิทธิ์ด้านวัคซีน 5 ชนิด ได้แก่ คอตีบ, บาดทะยัก, ไอกรน, ไวรัสตับอักเสบบี และเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

รวมทั้ง การใช้กัญชาทางการแพทย์ ในผู้ป่วยโรคมะเร็งพาร์กินสัน ไมเกรน ผ่าตัดฝังประสาทหูเทียมสำหรับเด็กหูหนวก การให้บริการแว่นตาเด็ก แจกผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับการขับถ่ายสำหรับผู้สูงอายุ ผู้พิการและผู้มีปัญหากลั้นขับถ่าย การรักษาผู้ป่วยติดบ้านหรือผู้ป่วยติดเตียงในชุมชนทุกสิทธิ์และทุกกลุ่มอายุ และยังลดภาระการเดินทางไปสถานพยาบาลของประชาชน ลดความแออัดในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ สามารถรับยาที่ร้านขายยาแผนปัจจุบันใกล้ เป็นต้น

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนสมัครรับสิทธิบัตรทองพรีเมียม และสมัครให้บุตรหลาน เพื่อเลือกหน่วยบริการ ซึ่งสามารถสมัครได้ตั้งแต่วัยแรกเกิด ซึ่งในปี 2566 ได้มีการเพิ่มสิทธิ์ใหม่ที่ได้มากกว่าเดิม ได้แก่

1.) การดูแลภาวะความดันเลือดในปอดสูงในทารกแรกเกิด (Persistent Pulmonary Hypertension of the Newborn)
2.) บริการทันตกรรม Vital Pulp Therapy หรือการรักษาเนื้อเยื่อในฟันกรามแท้
3.) บริการรากฟันเทียม
4.) บริการห้องฉุกเฉิน คุณภาพภาครัฐฯ
5.) ผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับ
6.) บริการยาป้องกัน การติดเชื้อเอชไอวี
7.) เพิ่มยาจำเป็นแต่มีราคาแพง ในกลุ่มบัญชียา จ (2) จำนวน 14 รายการ
8.) บริการดูแลผู้ป่วยกึ่งเฉียบพลัน
9.) บริการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับพิษ
10.) เพิ่มเติมบริการที่คลินิกการพยาบาลฯ กายภาพบำบัด คลินิกชุมชนอบอุ่น คลินิกเวชกรรมและคลินิกทันตกรรม

‘โรม’ งัดหลักฐาน สู้กลับ ‘ส.ว.อุปกิต’ ชี้!! แสดงทรัพย์สินเท็จ - จ่อยืน ป.ป.ช. เอาผิด

‘โรม’ เปิดหลักฐานเพิ่ม สู้กลับ ‘อุปกิต’ ชี้แสดงบัญชีทรัพย์สินเท็จ ปมขายโรงแรมอัลลัวร์รีสอร์ท จ่อยื่น ป.ป.ช. สัปดาห์นี้ วินิจฉัยฟันพ้น ส.ว. - เพิกถอนรับสมัครเลือกตั้งตลอดชีวิต ตั้งคำถามตำรวจ กล้ายึดอาคารพรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่ จี้ ‘ประยุทธ์’ อย่าหนีความรับผิดชอบ ตอบสังคม ทำไมตำรวจรับผิดชอบคดี ‘ทุนมินลัต’ โดนย้าย

(20 ก.พ.66) ที่รัฐสภา รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล แถลงข่าวเปิดหลักฐานเพิ่มเติมสืบเนื่องจากการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เปิดโปงกรณี ‘ไทยดำ-จีนเทา’ ซึ่งพาดพิง อุปกิต ปาจรียางกูร ส.ว. จนรังสิมันต์ถูกอุปกิตฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท เรียกร้องค่าเสียหาย 100 ล้านบาท

รังสิมันต์กล่าวว่า จากการอภิปรายของตน ระบุว่า อุปกิต เคยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และกรรมการของบริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป จำกัด (Allure Group) ซึ่งถูกเชื่อมโยงว่าเป็นบริษัทเพื่อฟอกเงินที่ได้มาโดยผิดกฎหมายของ ‘ทุนมินลัต’ (Tun Min Latt) นักธุรกิจชาวเมียนมา แต่ต่อมาเมื่อมีการจับกุมทุนมินลัต อุปกิตก็รีบออกมาชี้แจงว่าได้ขายหุ้นและลาออกจากตำแหน่งกรรมการของ Allure Group และ Myanmar Allure แล้วในปี 2562 ก่อนรับตำแหน่ง ส.ว. รวมถึงโรงแรม Allure Resort ก็ขายไปแล้ว และยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรียบร้อย แต่ครั้งนี้ ตนจะมาพูดถึงการขายหุ้นขายโรงแรมที่อุปกิตอ้างว่าทำไปแล้วก่อนมาเป็น ส.ว. ว่าจริงเท็จอย่างไร 

เนื่องจากหนึ่งในเอกสารที่อุปกิตยื่นประกอบบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. คือเอกสารสัญญาซื้อขายอาคารและกิจการโรงแรม ลงวันที่ 9 พฤษภาคม 2562 เนื้อหาสัญญาระบุว่า อุปกิต ซึ่งเป็นผู้ขาย ทำสัญญากับ ชาคริส กาจกำจรเดช ผู้ซื้อ ว่าตกลงซื้อขายอาคารตึกคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 ชั้น จำนวน 1 หลัง ห้องพักจำนวน 78 ห้อง และกิจการโรงแรม Allure Resort และสิทธิการใช้ประโยชน์บนที่ดินอันเป็นที่ตั้งของอาคารดังกล่าว ในราคา 8,150,000 ดอลลาร์สหรัฐ ชำระเงินในเดือนสิงหาคม 2562 และตกลงกันว่าจะส่งมอบและรับมอบการครอบครองอาคารดังกล่าวในวันเดียวกันกับวันที่ทำสัญญา นอกจากนี้ อุปกิตยังแนบสำเนาหนังสือรับรองจากธนาคาร B.I.C. (CAMBODIA) BANK PLC. ลงวันที่ 6 สิงหาคม 2562 รับรองบัญชีธนาคารดังกล่าว ว่ามีเงินฝากจำนวน 8,150,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ

ข้อสังเกตต่อเอกสารสัญญาฉบับนี้ คือสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับโรงแรม Allure Resort ตามสัญญา BOT ที่ทำกับกรมการโรงแรมฯ เมียนมานั้น ต้องเป็นของบริษัท Allure Group หรือ Myanmar Allure ดังนั้นถ้าจะมีการขายโรงแรม Allure Resort ให้ผู้อื่นจริงๆ ก็ควรเป็นการที่อุปกิตขายหุ้นของตัวเองใน Allure Group หรือ Myanmar Allure ที่ถือสิทธิและหน้าที่ในโรงแรม ให้กับชาคริส หรือไม่ถ้าเป็นกรณีที่ Allure Group หรือ Myanmar Allure จะขายสิทธิและหน้าที่ในโรงแรมที่บริษัทถืออยู่ให้กับชาคริส ก็ควรต้องเป็นสัญญาที่ทำขึ้นในนามของบริษัทนั้น ๆ อย่างไรก็ตาม ตนไม่แน่ใจว่ากรณีนี้ทำได้หรือไม่ เพราะสัญญา BOT กำหนดว่ากรมการโรงแรมฯ ต้องยินยอมด้วย 

แต่ปรากฏว่าสัญญาฉบับนี้กลับมีลักษณะเป็นสัญญาในนามบุคคลธรรมดา 2 คน ไม่ใช่นิติบุคคล และไม่ได้เป็นสัญญาเพื่อซื้อขายหุ้นของบริษัทใด ๆ แต่เป็นการซื้อตึกโรงแรม กิจการโรงแรม และสิทธิใช้ประโยชน์บนที่ดินโรงแรม หมายความว่า ตามสัญญานี้สิทธิในโรงแรม Allure Resort จะต้องตกเป็นของบุคคลธรรมดาที่ชื่อชาคริสคนเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ 

ยิ่งกว่านั้น เมื่อไปดูเนื้อหาหนังสือรับรองของ B.I.C. (CAMBODIA) BANK PLC. แม้จะระบุว่าบัญชีธนาคารที่อุปกิตอ้างมีเงินฝาก 8,150,000 ดอลลาร์ฯ จริง แต่ก็ไม่มีตรงไหนระบุว่าเป็นการจ่ายมาจากชาคริสจริงหรือไม่ นี่คือข้อสังเกตถึงความไม่ชอบมาพากลของการขายโรงแรม ที่อุปกิตอ้างต่อ ป.ป.ช.

ที่สำคัญ หลังจากนั้นเมื่อมีการสืบสวนสอบสวนคดียาเสพติดและการฟอกเงินที่เกี่ยวข้องไปถึงพนักงานของ Allure Group มีการเรียกชาคริสไปให้การเมื่อเดือนเมษายน 2565 ตามบันทึกคำให้การช่วงหนึ่ง ชาคริสให้การว่าตนถือหุ้น 15% ของโรงแรมอัลลัวร์ฯ มาตั้งแต่ปี 2558 จนกระทั่งประมาณปลายปี 2562 ตนเคยทำการตกลงซื้อกิจการโรงแรม Allure Resort จากอุปกิตในราคา 8,150,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 251,572,000 บาท แต่ไม่ได้มีการทำสัญญาซื้อขายกันจริงแต่อย่างใด เนื่องจากตนไม่มีเงินซื้อกิจการดังกล่าว ไม่รู้จะไปหามาจากไหนตั้ง 250 กว่าล้าน และยังให้การอีกว่าต่อมาอีก 1 ปีให้หลัง ประมาณเดือนกรกฎาคม 2563 อุปกิตได้ตกลงขายกิจการให้กับบุคคลอื่นในราคาประมาณ 300 ล้านบาท หักค่าใช้จ่ายแล้วคงเหลือ 265 ล้านบาท ตนได้รับส่วนแบ่งตามจำนวนที่ถือหุ้น 15% เป็นเงินจำนวน 39,750,000 บาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top