Thursday, 15 May 2025
POLITICS

‘เพื่อไทย’ ลุยทำการบ้าน!! นัดประชุม สส. 3 ส.ค.นี้ เตรียมความพร้อมโหวต ‘เศรษฐา’ ชิงเก้าอี้นายกฯ

(31 ก.ค. 66) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาลที่พรรค พท. เป็นแกนนำ ที่ผ่านมาพรรค พท. ได้ไปทำการบ้านรับฟังเสียงจากทั้ง สส. และ สว.ในมุมมองเกี่ยวกับการตั้งรัฐบาลตามที่ 8 พรรคร่วมมอบหมาย ซึ่งขณะนี้งานใกล้เสร็จสิ้นแล้วเราจะนัด 8 พรรคพูดคุยกันอีกครั้งแต่ยังไม่กำหนดวันแน่นอนเพราะต้องรอถามความพร้อมของทุกฝ่าย แต่สิ่งที่มีกำหนดแน่นอนแล้ว พรรคเพื่อไทย ที่จะมีการประชุม สส. วันที่ 3 ส.ค. ที่รัฐสภา เตรียมความพร้อม สส. ก่อนการโหวตนายกฯ วันที่ 4 ส.ค.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับรายชื่อที่พรรคเพื่อไทย จะเสนอเพื่อโหวตเป็นนายกฯ ต่อรัฐสภาวันที่ 4 ส.ค. คือ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย

‘เพื่อไทย’ นัดถก ‘8 พรรคร่วม’ 2 ส.ค.นี้ ก่อนโหวตนายกฯ หลังซาวเสียง ‘สส.-สว.’ ลั่นตรงกัน ย้ำ!! ต้องไม่มีก้าวไกล

(31 ก.ค. 66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงความคืบหน้าการนัดประชุม 8 พรรคร่วมภายหลังนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เตรียมออกวาระการประชุมรัฐสภา เพื่อเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกฯ ในวันที่ 4 ส.ค.นี้ ว่า เบื้องต้นจะนัดประชุม 8 พรรคร่วมในวันที่ 2 ส.ค. ที่พรรคเพื่อไทย เนื่องจากวันที่ 1 ส.ค.ยังคงเป็นวันหยุด หลายคนยังอยู่ต่างจังหวัด ยังไม่สะดวกมาร่วมประชุม

อย่างไรก็ตาม จากการพูดคุยกับทั้ง สว.และ สส.จากพรรคการเมืองต่างๆ จนถึงขณะนี้ ทั้ง สส.และ สว. ยังแสดงความเห็นตรงกันว่าพร้อมจะยกมือสนับสนุนแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย แต่ต้องไม่มีพรรคก้าวไกล อยู่ร่วมจัดตั้งรัฐบาล เพราะหากยังมีพรรคก้าวไกลร่วมอยู่ พวกเขาก็ยังยืนยันว่าจะไม่ให้เสียงสนับสนุน

'อานันท์' ชี้!! ตอนนี้ 'สังคมไทย' อยู่ในสภาพที่ไม่ปกติที่สุด ยกกรณี 'สว.' โหวตนายกฯ

(31 ก.ค. 66) จากเพจ ‘Gong Paramet Bhuto’ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า…

คุณอานันท์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี 2 ครั้ง ก็ล้วนแต่มาจากเหตุการณ์ที่ไม่ปกติของสังคมไทย เพราะถ้าเหตุการณ์ปกติ คุณอานันท์ ก็จะไม่มีทางได้เป็นนายกรัฐมนตรี ครั้งแรกปี 2534 ได้เป็นเพราะคณะรัฐประหารไม่กี่คน เห็นว่าท่านภาพลักษณ์ดี ตั้งมาเป็นนายกฯ คงช่วยเรื่องการยอมรับจากสังคม

ครั้งที่ 2 หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ก็มาแบบไม่ปกติอีก เพราะคนจากพรรคเสียงข้างมาก แต่งชุดขาวรอประกาศ แต่สุดท้ายกลายเป็นชื่อ ‘นายอานันท์’ แทน ซึ่งกระแสตอนนั้น ก็ไม่มีใครว่าคุณอานันท์ ออกจะดีใจด้วยซ้ำไป ซึ่งมองอีกมุมคุณอานันท์ก็ได้พิสูจน์ว่า นายกฯ มาจากไหนไม่สำคัญ สำคัญว่ามาแล้วได้ทำประโยชน์อะไรกับบ้านเมืองบ้าง ซึ่งคนแบบคุณอานันท์คงไม่มีทางได้เป็นนายกฯ ในสถานการณ์ที่ปกติได้ เพราะท่านไม่ได้สังกัดพรรคการเมือง

และหากจะว่าไปแล้ว การรัฐประหารเมื่อปี 34 มีเหตุผลและความชอบธรรมน้อยกว่า การรัฐประหารเมื่อปี 57 มาก เพราะปี 34 หยิบยกข้ออ้างเรื่องนักการเมืองคอรัปชั่น เรื่องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นหลัก ไม่ได้มีสถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรง มีการสูญเสียชีวิตประชาชน และมีแนวโน้มสู่สภาวะมิคสัญญี เหมือนปี 57 แม้แต่น้อย

แต่ท่านก็ยินยอมพร้อมใจรับตำแหน่งนายกฯ บนวิถีทางไม่ปกติทั้ง 2 ครั้ง ความจริงแล้วหลายคนคาดหวังว่า ด้วยวัยวุฒิ คุณวุฒิ ประสบการณ์ และการผ่านโลกมาเกือบจะศตวรรษของท่าน น่าจะเข้าใจเหตุปัจจัยและบริบททางการเมืองของไทยที่เป็นจริงมากกว่าพวกนักท่องตำราที่มีอยู่ดาษดื่นในสังคม

'สส.อรรถกร-พปชร.' ยื่นญัตติด่วนขอสภาฯ ตั้ง กมธ.แก้ไขราคากุ้งตกต่ำ  ช่วยเกษตรกรเลี้ยงกุ้ง 'ปัจจัยรุมเร้า-นำเข้าจาก ตปท.พุ่ง'

(31 ก.ค. 66) นายอรรถกร ศิริลัทธยากร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จ.ฉะเชิงเทรา เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า ตนได้เสนอญัตติด่วน เพื่อขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาราคากุ้งตกต่ำ เนื่องจากในขณะนี้ ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทั้งขนาดกลาง และขนาดย่อยกำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เนื่องจากราคากุ้งเลี้ยงตกต่ำอย่างรวดเร็ว โดยมีสาเหตุส่วนหนึ่งหลังจากการที่ คณะกรรมการบริหารจัดการห่วงโซ่การผลิตกุ้งทะเลและผลิตภัณฑ์ (Shrimp Board) หรือบอร์ดกุ้งอนุมัติการนำเข้ากุ้งจากเอกวาดอร์และอินเดียเข้ามา โดยอ้างว่าเกษตรกรไทยมีโครงการประกันราคากุ้งอยู่แล้ว

"ปัญหาการขาดทุนจากการเลี้ยงกุ้งของเกษตรกร เกิดมาจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาสูง และ มีโรคระบาดในกุ้ง ประกอบกับราคาประกันขั้นต่ำที่ห้องเย็นตั้งไว้นั้นเท่ากับราคาต้นทุนการผลิตที่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอย่างอื่น ซึ่งเท่ากับเป็นการบังคับให้เกษตรกรขายในราคาขาดทุน ทำให้เกษตรกรประสบปัญหาหนี้สิน" นายอรรถกร กล่าว

นายอรรถกร กล่าวต่อว่า แม้ราคากุ้งจะถูกกำหนดโดยคณะกรรมการบริหารจัดการห่วงโซ่การผลิตกุ้งทะเลและผลิตภัณฑ์ (Shrimp Board) แต่ราคาของจริงไม่ได้ตามที่คณะกรรมการฯ กำหนด จึงต้องการให้รัฐช่วยลดภาระต้นทุนของเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง เช่น ค่าอาหารกุ้ง ค่าปู่น ค่าไฟฟ้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำไรของเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง หากภาครัฐไม่ดำเนินมาตรการอย่างเป็นรูปธรรม ปัญหาอาจบานปลายได้ 

"ผมจึงขอให้สภาฯ ตั้ง กมธ.ศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาราคากุ้งดังกล่าว เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยโดยเร่งด่วน เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประโยชน์สำคัญของแผ่นดินและประชาชนจึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะรักษาความมั่นคง ของประเทศในทางเศรษฐกิจและสังคม โดยญัตติที่ผมเสนอไปได้ถูกบรรจุในระเบียบวาระการประชุมสภาฯ เรียบร้อยแล้ว ซึ่งผมหวังว่าจะสามารถช่วยแก้ไขความเดือดร้อนของเกษตรกรได้ทันท่วงที" นายอรรถกร กล่าว

‘บิ๊กป้อม’ ควง ‘ธรรมนัส’ ทำบุญพิธียกช่อฟ้าอุโบสถ วัดโพสพผลเจริญ  ด้าน ปชช.ในพื้นที่รอให้กำลังใจ ตะโกนเรียกนายกฯ คนที่ 30

(30 ก.ค. 66) พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นประธานในพิธียกช่อฟ้า อุโบสถวัดโพสพผลเจริญ ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี โดยมีร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า สส.จังหวัดพะเยา ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ, พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ นายทะเบียนพรรคพลังประชารัฐ และนายสุรทิน พิจารณ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ ร่วมพิธีด้วยทั้งนี้ ก่อนที่พลเอกประวิตร จะเดินทางมาถึงที่วัดมีฝนตกโปรยปรายลงมา แต่ทันทีที่พลเอกประวิตร และคณะมาถึงฝนก็ได้หยุด และมีประชาชนมารอให้การต้อนรับจำนวนมาก พร้อมกันนี้ยังขอถ่ายรูป รวมถึงนำผ้าขาวม้ามาผูกที่เอวของพลเอกประวิตร พร้อมส่งเสียงเชียร์บอกให้สู้ๆ และเรียกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 อีกด้วย ซึ่งพลเอกประวิตร มีสีหน้า สดชื่น ยิ้มแย้มแจ่มใส

ต่อมาในเวลา 13.19 น. พลเอกประวิตร พร้อมด้วย ร้อยเอกธรรมนัส และนายสุรทิน ได้ร่วมพิธียกช่อฟ้าอุโบสถฯ จนเสร็จสิ้นพิธี ท่ามกลางคำกล่าว “สาธุ สาธุ สาธุ” จากพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมในพิธีเป็นจำนวนมาก จากนั้นพลเอกประวิตร ได้นำคณะไปปลูกต้นพยุง ไม้มงคล และร่วมพิธีเสริมดวงชะตาเพื่อความเป็นสิริมงคล ซึ่งในช่วงทำพิธีดังกล่าว ทางวัดขอให้สื่อมวลชนออกไปรอภายนอกโบสถ์ ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากสื่อมวลชนเป็นอย่างดี

มีรายงานว่า หลังเสร็จพิธีแล้ว พลเอกประวิตร ยังได้ทักทายประชาชนที่รอให้กำลังใจ ก่อนจะเดินขึ้นรถกลับทันที ไม่ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนแต่อย่างใด
 

‘ทนายบอน’ ชงใช้ กม.ฟอกเงิน ปราบพวกทำลายความมั่นคงชาติ จี้!! สาวไส้คนบงการขบวนการตั๋วปารีส พร้อมเช็กบิลย้อนหลัง

(30 ก.ค. 66) นายณัฐนันท์ กัลยาศิริ หรือ ‘ทนายบอน’ อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อเรื่อง “ความผิดในการบ่อนทำลายความมั่นคงราชอาณาจักร ต้องใช้ ‘กฎหมายฟอกเงิน’ สาวไส้ ทลายรัง แบบ Forex-3D” โดยระบุรายละเอียดว่า

“ทุกวันนี้ในการดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำความผิดที่บ่อนทำลายความมั่นคง บ่อนทำลายสถาบัน มักสาวไปไม่ถึงตัวบงการ ทั้ง ๆ ที่ตามพฤติการณ์ เราเห็นตัวการผู้ยุยง แต่ทำอะไรไม่ได้ พวกนี้จึงยุยงส่งเสริมคนอื่นออกมารับโทษแทน ทำตัวเป็นผู้บงการข้างหลัง อย่างเลือดเย็น ไม่เว้นแม้แต่หลอกใช้เด็ก เรื่องมาเริ่มชัดขึ้นกับไอ้ตั๋วปารีส แต่ก็เห็นว่ายังเฉยๆ และดูท่าว่ายังจะสาวไม่ถึงไอ้ตัวบงการ อีกแล้วหรือ ผมมีข้อเสนอให้บัญญัติฐานความผิด ‘ความมั่นคงของราชอาณาจักร’ ให้เป็นความผิดมูลฐานของ ‘การฟอกเงิน’ เพื่อเพิ่มอาวุธสาวไส้ขบวนการชั่วพวกนี้ทำนองเดียวกับคดียาเสพติด คดีการพนันออนไล์ คดีค้ามนุษย์ และคดีก่อการร้าย ถ้าให้ทันสมัยหน่อยก็แบบคดี Forex-3D ที่สาวได้ทุกธุรกรรม”

ทนายบอน ชี้ว่าเมื่อกำหนดให้เป็น ‘ความผิดมูลฐานของการฟอกเงิน’ ปปง.จะตรวจสอบทะลุทุกธุรกรรม ทุกเครือข่ายความเชื่อมโยง ซึ่งสามารถนำไปสู่การ ‘สาวไส้ ทลายรัง’ ได้ พวกค้ายาเสพติด พวกค้ามนุษย์ โดยเฉพาะพวกพนันออนไลน์ สยองเหลือเกินกับกฎหมายนี้ เพราะโดนตามยึดทรัพย์ทลายรัง ไม่มีเหลือ ถ้ากำหนดให้ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง เช่น มาตรา 112 หรือ มาตรา 120 สมคบกับต่างชาติทำลายความมั่นคงเป็น ‘ความผิดมูลฐานของการฟอกเงิน’ จะสามารถทะลวงได้ถึงทุกธุรกรรม ทุกเครือข่าย สาวไส้ ทลายรัง ได้ทั้งขบวนการ ใครจ่ายเงินให้ใครไปหมิ่นสถาบัน ใครจ่ายเงินให้ใครไปชุมนุมก่อความไม่สงบ รู้หมด ถึงทุกไส้ ทุกรูขุมขน และสาวไส้ได้ ‘ย้อนหลัง’ ตั้งแต่ริเริ่มขบวนการ

ทนายบอน ระบุอีกว่า “นอกจากยึดทรัพย์แล้ว เราจะได้เห็นโครงข่ายเชื่อมโยงของขบวนการทั้งหมด เปิดหน้ากากตัวบงการได้ซะที เราจะรู้ได้ทั้งหมดใครบงการบ่อนทำลายสถาบันฯ ใครอยู่เบื้องหลังตั๋วปารีส ซึ่งการจะทำแบบนั้นได้ ต้องอาศัยการเสนอแก้ไขกฎหมายในสภาฯ แล้วเชื่อไหมระหว่างการแก้ไข เราจะได้เห็นโฉมหน้าตัวบงการ โฉมหน้าขบวนการแนวร่วมได้ง่ายขึ้น ก็คือไอ้พวกที่คัดค้านหัวชนฝาในสภาฯ นั่นล่ะ และหลังจากแก้ไขกฎหมายได้แล้ว จะได้เริ่มสาวไส้ เปิดหน้ากาก ยึดทรัพย์ ดำเนินคดีอาญา ทะลวงรังซะที เห็นด้วยช่วยกันส่งเสียง จะได้เอาไปขับเคลื่อนกันต่อครับ”

‘กกต.’ จ่อฟ้องเรียกค่าเสียหาย ‘นครชัย’ สส.ระยอง ก้าวไกล เหตุต้องจัดเลือกตั้งใหม่ ชี้!! รู้อยู่แล้วไม่มีสิทธิ แต่ยังฝืนลงสมัคร

(30 ก.ค. 66) สืบเนื่องจากกรณีที่ ‘นครชัย ขุนณรงค์’ หรือ ‘ไอซ์ สส.ระยอง’ พรรคก้าวไกล เขต 3 หลังกกต.ระยองส่งข้อมูล ให้กกต.กลาง หลังพบข้อมูลต้องคดีลักทรัพย์ ช่วงปี 42 - 43 โทษศาลสั่งจำคุก 1 ปี 6 เดือน กระทั่งต่อมา ไอซ์ สส.ระยอง ประกาศลาออก

เกี่ยวกับเรื่องนี้ล่าสุดมีรายงานว่า นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยกรณี นายนครชัย ขุนณรงค์ สส.ระยอง เขต 3 พรรคก้าวไกล มีลักษณะต้องห้ามในการเป็น สส. เนื่องจากเคยเป็นต้องโทษจำคุกในคดีลักทรัพย์ว่า กรณีนี้ ถือเป็นกรณีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10) (เคยต้องคำพิพากษาจนถึงที่สุดในคดีเกี่ยวกับทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา) ที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาการพ้นโทษไว้ ดังเช่นมาตรา 98 (7) (ระบุว่าเคยได้รับโทษจำคุกยังไม่พ้น 10 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง) เนื่องจากกฎหมายกำหนดบทความผิดไว้เป็นการเฉพาะว่า ความผิดในฐานใดบ้างที่ต้องห้ามดำรงตำแหน่ง สส. ดังนั้น หากผู้สมัคร สส.เคยกระทำความผิดตามฐานความผิดที่ระบุไว้ จะถือเป็นลักษณะต้องห้ามการสมัครรับเลือกตั้ง สส.

โดยกรณีดังกล่าวหากเห็นว่าผู้สมัครรู้อยู่แล้วว่า ตนเองไม่มีสิทธิสมัคร แต่มาสมัครรับเลือกตั้ง อาจเข้าข่ายต้องรับโทษทางอาญา ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. มาตรา 151 และอาจต้องรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420

พร้อมกันนี้ นายอิทธิพร ยังกล่าวอีกว่า ตามที่ สส. คนดังกล่าวได้ประกาศทางเฟซบุ๊กส่วนตัวแจ้งว่า จะมีการลาออกจากตำแหน่งในสัปดาห์หน้า จึงคาดว่าจะมีการยื่นหนังสือลาออก และมีผลในช่วงสัปดาห์หน้าเลย

ซึ่งกรณีนี้ กกต.รับทราบเรื่องแล้ว และอยู่ในขั้นตอนที่ส่วนกลางกำลังพิจารณาจัดทำความเห็นเพื่อเสนอต่อ กกต.ต่อไป ซึ่งจะมีประเด็นเรื่องความผิดทางอาญา ตามพ.ร.ป.ว่าด้วย สส. มาตรา 151 รวมทั้งอาจมีการพิจารณาฟ้องคดีแพ่ง เพื่อเรียกค่าเสียหายในการจัดเลือกตั้งใหม่ต่อไป

‘เศรษฐา’ วืดนายกฯ ถ้าไม่ยอมเจ็บ พรรคส้มป่วน ‘ไพร่หมื่นล้าน’ ก้าวพลาด!!

ช่วงวันหยุดยาว ‘เล็ก เลียบด่วน’ ใคร่สรุปสถานการณ์ ด้วยการหมายเหตุสถานการณ์น่าสนใจเพียง 3 เรื่องก็พอจะเห็นภาพใหญ่ทางการเมืองเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลและเรื่องที่เกี่ยวเนื่อง ตามมาครับ...

เรื่องแรก – กรณีการเดินทางของไพร่หมื่นล้าน อดีตหัวหน้าพรรคไปพบ ‘คนแดนไกล’ ที่ฮ่องกง เมื่อ 24-25 ก.ค.ที่ผ่านมา สื่อมวลชนงัดหลักฐานเที่ยวบินชัดเจน พร้อมรายงานผลการเจรจาว่าไพร่หมื่นล้าน ผู้นำทางจิตวิญญาณเจรจาสูตรรัฐบาลว่า… พรรคสอง ก. หรือ ก้าวไกลยอมถอยเป็นฝ่ายค้านและจะโหวตให้พรรคเพื่อไทยเป็นนายกฯ แต่มีเงื่อนไขว่าเพื่อไทยต้องไม่เอาพรรคสองลุง เข้าร่วมรัฐบาล…

งานนี้ถูก ส.ว.ตัวตึง ‘สมชาย แสวงการ’ ออกมาดักคอว่าเป็นสูตร ‘ซ่อนปมซ่อนเงื่อน’ วางแผนให้พรรคก้าวไกลเข้าร่วมรัฐบาลในภายหลัง...

ประการสำคัญยิ่ง งานนี้ผู้นำทางจิตวิญญาณเสียหายชนิดประเมินค่ามิได้ เพราะบรรดานักวิชาการ ปัญญาชน ชนชั้นกลาง รวมทั้งมวลมหาประชาชาวด้อมส้มที่ศรัทธาอุดมการณ์พรรคก้าวไกลเห็นว่าวิธีการดังกล่าวเป็นการเมืองแบบเดิมๆ ดังนั้นขอให้ชายชื่อ ‘ธนาธร’ แถลงด่วนว่าอะไรเป็นอะไร...

เรื่องที่สอง – วันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา เกิดการรัฐประหารเงียบในการประชุมใหญ่สามัญพรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ ‘บิ๊กป้อม’ ขอลาออกจากหัวหน้าพรรค ณ เวลา 08.30 น.ทำให้กรรมการบริหารพรรคชุดเก่าสิ้นสภาพ ต้องล้างไพ่เลือกกันใหม่ได้ ‘บิ๊กป้อม’ เป็นหัวหน้าพรรคเหมือนเดิม แต่เลขาธิการพรรคเปลี่ยนจาก ‘สันติ พร้อมพัฒน์’ เป็น ‘ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า’ ...ไม่แต่เท่านั้นหัวหน้าพรรคป้อมมีคำสั่งทันทีแต่งตั้งน้องชาย ‘พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ’ หรือ ‘บิ๊กป๊อด’ เป็นประธานที่ปรึกษาพรรค

เป็นที่รู้กันว่าสำหรับ ‘บิ๊กป๊อด’ อดีต ผบ.ตร.คนดังนั้นเป็น มาสเตอร์ไมด์ ในพรรคพลังประชารัฐมาโดยตลอด งานนี้เปิดตัวมาอยู่เบื้องหน้า เท่ากับว่าพรรคนี้มี ‘พัชรวาท-ธรรมนัส’ เป็นเพลย์เมกเกอร์ เปิดซุปเปอร์ดีลกับพรรคเพื่อไทย… ถึงขนาดมีข่าวลือลอยลมล่วงหน้าว่ามานานแล้วว่า บิ๊กป๊อดขอนั่งมหาดไทย ผู้กองขอคุมเกษตรฯ…

เรื่องที่สาม – เรื่องการกลับบ้านของทักษิณ ชินวัตร ที่ฮือฮากันไม่เสร็จก็คือ ทันทีที่จอมแฉ ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ โพสต์เฟซบุ๊กว่า “เกมพลิก ทักษิณถอย ยกเลิกกลับไทย สถานการณ์เปลี่ยน” ไม่กี่นาทีหลังเพจกรรมการข่าวเอาไปโพสต์ต่อ… ปรากฏว่า ‘อุ๊งอิ๊ง’ ลูกสาวนายห้างโพสต์สวนทันทีว่า “เพ้อเจ้อ” ซึ่งถ้าแปลความตามนี้ก็หมายถึงว่า คุณอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ยืนยันว่าวันที่ 10 ส.ค.นี้ คุณพ่อทักษิณกลับบ้านแน่…

และนั่นก็ต้อง… ขยายความกันต่อว่าดีลการเมืองเกมใหญ่ก็ยังไม่พลิกไปจากเดิมคือ เพื่อไทยเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล โดยเอาพรรคก้าวไกลออกจากสมการ กำหนดวันโหวตนายกรัฐมนตรีวันที่ 4 ส.ค.นี้

การเมืองในช่วงวันหยุดยาวนี้คือ การเจรจาหาความลงตัว… โดยเฉพาะอย่างยิ่งโจทย์ที่ไพร่หมื่นล้านตั้งไว้ว่าต้อง ‘ไม่มีสองลุง’ ถึงแม้จะฟังดูเพ้อเจ้ออยู่บ้าง แต่ก็ทำเอาพรรคเพื่อไทยปวดหัวอยู่ไม่น้อย เพราะหากเศรษฐา ทวีสิน จะเป็นนายกฯ ต้องกลืนคำพูดที่ว่าไม่เอาพรรคสองลุงของตัวเอง… ต้องยอมเจ็บแต่จบ… แต่ถ้างอแงมากๆ หวยนายกฯ คนที่ 30 อาจจะพลิกไปออกที่ ‘ชัยเกษม นิติสิริ’

สรุปสูตรข้ามขั้ว… ไม่มีก้าวไกล แต่มีพรรคภูมิใจไทยและขั้วเดิมไปเติมแทนยังเป็นทิศทางหลัก… และเป็นไปได้โดยที่พรรคเพื่อไทยต้องยอมเจ็บ ไม่ป๊อดมาก แต่ขณะเดียวกันพรรคสองลุงก็ต้องลดการต่อรองหรือต้องสร้างสภาพเงื่อนไขให้การเมืองเดินหน้าไปได้… ไม่อย่างนั้น อาจทำให้มวลมหาประชาชาวด้อมส้มอันบางเบามีลูกฮึดขึ้นมา… ขอบอก!!

‘บิ๊กตู่’ ฝากรัฐบาลหน้า สานต่องานสร้างสันติสุขชายแดนใต้ ยกระดับคุณภาพชีวิต ปชช. ปลื้ม!! ทูตประเทศมุสลิมชื่นชม

(30 ก.ค. 66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ นำคณะเอกอัครราชทูตจากประเทศซาอุดีอาระเบีย มาเลเซีย คูเวต โอมาน อียิปต์ อินโดนีเซีย ตุรกี โมร็อกโก อุปทูตจากสถานเอกอัครราชทูตกาตาร์ และปากีสถาน เดินทางเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระหว่างวันที่ 25 - 27 กรกฎาคม 2566 เพื่อดำเนินการกิจกรรมการทูตเชิงรุก สร้างความเข้าใจ และการรับรู้อันดี เกี่ยวกับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยคณะเอกอัครราชทูตทั้ง 10 ประเทศ ได้รับทราบแนวทางการแก้ปัญหาสถานการณ์ความมั่นคง และการพัฒนาพื้นที่จาก ศอ.บต. ซึ่งได้ดำเนินการยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างสังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง และการสนับสนุนการแสวงหาทางออกโดยสันติวิธี มีเป้าหมายให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี อยู่ร่วมกันได้ในวิถีสังคมพหุวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน พร้อมคำนึงถึงการพัฒนาอย่างเป็นธรรม ไม่แบ่งแยก และเท่าเทียมในทุกศาสนา รวมถึงส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในการดำเนินชีวิตตามอัตลักษณ์ ความเชื่อ สอดคล้องกับวิถีชีวิต ศาสนา วัฒนธรรมและประเพณีต่าง ๆ

น.ส.รัชดา กล่าวว่า คณะเอกอัครราชทูตได้ชมศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจในพื้นที่เขตอุตสาหกรรมปัตตานี โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านอาหารฮาลาล ซึ่งมีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล และปัจจุบันเป็นที่สนใจและต้องการของประเทศภูมิภาคตะวันออกกลาง เป็นอีกหนึ่งความร่วมมือที่มีศักยภาพและสามารถเติบโตได้ในอนาคต ด้านเอกอัครราชทูตจากซาอุดีอาระเบียชื่นชมศักยภาพของธุรกิจในพื้นที่ พร้อมยินดีนำนักธุรกิจมาร่วมแลกเปลี่ยนหารือจับคู่ระหว่างนักธุรกิจไทย-ซาอุดีฯ โดยขอให้ไทยเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการ แรงงาน ซึ่งมีทักษะ และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ศอ.บต. ยังนำคณะเอกอัครราชทูตลงพื้นที่กือดาจีนอ ชุมชนเมืองเก่าปัตตานี ซึ่งเป็นพื้นที่ชุมชน 3 วิถี ที่มีประชาชนชาวไทยเชื้อสายจีน เชื้อสายมลายู และประชาชนนับถือศาสนาพุทธ อาศัยอยู่ร่วมกัน สะท้อนถึงพหุวัฒนธรรมที่หลากหลาย พร้อมเดินทางไปเยี่ยมเยือนมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นศาสนสถานคู่เมืองปัตตานีและศูนย์รวมจิตใจของพี่น้องมุสลิมในพื้นที่ โดยก่อสร้างขึ้น ตามแนวคิดในการสร้างสันติสุข และอำนวยความสะดวกแก่พี่น้องชาวไทยมุสลิมในการประกอบศาสนกิจ ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียรู้สึกประทับใจต่อวิถีของชุมชนที่อยู่ร่วมกันถึง 3 วัฒนธรรม โดยทุกคนมีรอยยิ้มและอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข

น.ส.รัชดา กล่าวว่า รัฐบาลดำเนินการขับเคลื่อนการพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้มาอย่างต่อเนื่อง โดยดูแลประชาชน ยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างงานสร้างรายได้พัฒนาจังหวัดชายแดนใต้อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันแบบพหุวัฒนธรรม ซึ่งนายกรัฐมนตรี ดีใจที่คณะเอกอัครราชทูตมีความเข้าใจอันดีต่อสถานการณ์ และได้ชื่นชมแนวทางการทำงานของรัฐบาล นายกฯหวังว่างานด้านการพัฒนามิติต่างๆ ที่ได้ทำมาจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลใหม่อย่างเต็มที่ และนำไปต่อยอดความร่วมมือระหว่างไทยและกลุ่มประเทศมุสลิม

‘นิด้าโพล’ ชี้!! ‘ก้าวไกล’ เดินเกมพลาด จนชวดตั้งรัฐบาล เพราะไม่ยอมยกเลิกบางนโยบาย-ประมาทเสนอ ‘พิธา’ เป็นนายกฯ

(30 ก.ค. 66) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘ความผิดพลาดของพรรคก้าวไกล’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 24-26 กรกฎาคม 2566 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับข้อผิดพลาดของพรรคก้าวไกลในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อข้อผิดพลาดของพรรคก้าวไกลในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 42.98 ระบุว่า พรรคก้าวไกลไม่ยอมยกเลิกบางนโยบาย เพื่อให้ได้การสนับสนุนเพิ่มขึ้น รองลงมา ร้อยละ 30.46 ระบุว่า พรรคก้าวไกล ไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ ทั้งนั้น ร้อยละ 27.56 ระบุว่า พรรคก้าวไกลสู้เกมการเมืองในสภาไม่ได้ ร้อยละ 11.68 ระบุว่า พรรคก้าวไกลทำตัวปิดกั้นตัวเอง ทำให้ไม่ค่อยมีพันธมิตรทางการเมือง ร้อยละ 10.23 ระบุว่า พรรคก้าวไกลไม่เข้าใจวัฒนธรรมและความเป็นจริงทางการเมืองแบบไทย ๆ

ร้อยละ 9.54 ระบุว่า พรรคก้าวไกลประมาทในการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่พรรคเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี (นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์) ร้อยละ 7.94 ระบุว่า พรรคก้าวไกลสร้างศัตรูทางการเมืองไว้มากในช่วงที่ผ่านมา ร้อยละ 7.86 ระบุว่า ปัญหาจากพฤติกรรมของแฟนคลับ พรรคก้าวไกลทำให้ไม่ได้รับการสนับสนุนในรัฐสภา ร้อยละ 7.56 ระบุว่า พรรคก้าวไกลฟังแฟนคลับของตนเองมากเกินไป ร้อยละ 6.11 ระบุว่า พรรคก้าวไกลหลงไปกับตัวเลข 14 ล้านเสียง และ 151 สส. มากเกินไป ร้อยละ 5.88 ระบุว่า กุนซือ นักวิชาการของพรรคก้าวไกลที่อยู่นอกพรรคฯ ประเมินสถานการณ์ผิดพลาด และร้อยละ 0.53 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ด้านความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง หากพรรคก้าวไกลต้องไปเป็นฝ่ายค้าน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 35.19 ระบุว่า จะมีการชุมนุมใหญ่แต่จะสามารถควบคุมได้ รองลงมา ร้อยละ 24.81 ระบุว่า จะมีการชุมนุมเพียงเล็กน้อยและสามารถควบคุมได้ ร้อยละ 23.66 ระบุว่า จะมีการชุมนุมใหญ่และไม่สามารถควบคุมได้ ร้อยละ 11.99 ระบุว่า จะไม่มีการชุมนุมใด ๆ ร้อยละ 2.90 ระบุว่า จะมีการชุมนุมเพียงเล็กน้อยแต่จะไม่สามารถควบคุมได้ และร้อยละ 1.45 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนถึงความเป็นไปได้ที่การเลือกตั้งครั้งหน้าจะมีพรรคการเมืองใหม่ที่มีลักษณะบุคลากรและวิธีการดำเนินการทางการเมืองคล้ายกับพรรคก้าวไกลเกิดขึ้น แต่มีความประนีประนอมมากกว่า พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 35.88 ระบุว่า ค่อนข้างเป็นไปได้ รองลงมา ร้อยละ 33.89 ระบุว่า เป็นไปได้มาก ร้อยละ 19.54 ระบุว่า เป็นไปไม่ได้เลย ร้อยละ 9.62 ระบุว่า เป็นไปไม่ค่อยได้ และร้อยละ 1.07 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

บิ๊กป้อม’ ลั่น!! ไม่ไปไหน ขออยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร พปชร. แจง ยังไม่ได้เจอใคร หลัง ‘ทักษิณ’ ประกาศกลับไทย

(29 ก.ค. 66) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกระแสข่าวการลาออกจากหัวหน้าพรรค พปชร.ว่า พรรคบอกให้ตนลาออกก่อน เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรคขึ้นมาใหม่ ซึ่งใครจะมาดูตนก็ไม่ทราบ แต่ตนยืนยันว่าจะอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับพรรค พปชร.ต่อไป ไม่ไปไหน

ผู้สื่อข่าวถามถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่พรรคเพื่อไทย (พท.) จะเสนอ นายเศรษฐา ทวีสิน ในวันที่ 4 สิงหาคม พรรค พปชร.จะมีทิศทางการโหวตเป็นอย่างไร พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ยังไม่ทราบ คงรอมติที่ประชุมพรรค

เมื่อถามว่า ได้มีการติดต่อกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังประกาศเดินทางกลับประเทศไทยในวันที่ 10 สิงหาคมนี้หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ผมยังไม่ได้เจอใครทั้งนั้น”

‘บิ๊กป้อม’ ลาออกจากหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ล้างไพ่คณะกรรมการบริหาร แล้วเป็นหัวหน้าใหม่

(29 ก.ค. 66) ที่พรรคพลังประชารัฐ มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคพลังประชารัฐประจำปี ครั้งที่ 3/256 นายไพบูลย์ นิติตะวัน รักษาการหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้ลาออกจากหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

ทำให้คณะกรรมการบริหารพรรคพ้นทั้งคณะ และจะเลือกหัวหน้าพรรคและกรรรมการบริหารพรรคต่อไป และยืนยันว่า พล.อ.ประวิตร จะไม่ทิ้งพรรคและจะดูแลพวกเราตลอดไป

นายไพบูลย์ กล่าวว่า บัดนี้จะมีเลือกหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โดยที่ประชุมเสนอ พล.อ.ประวิตร กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่

‘ราเมศ’ ยัน!! พรรคไม่เคยมีมติดีล ‘ทักษิณ’ เพื่อร่วมรัฐบาล ย้ำ!! ปชป.มีหลักการพรรค คนใดคนหนึ่งจะตัดสินใจเองไม่ได้

(28 ก.ค. 66) นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า นายเดชอิสม์ขาวทอง ได้เดินทางไปฮ่องกง เพื่อพบกับนายทักษิณ ชินวัตร เพื่อเจรจาถึงการร่วมรัฐบาลของประชาธิปัตย์ ว่า…

ในเรื่องนี้ตนยืนยันได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยส่งใครไปเจรจากับนายทักษิณ เพราะตามหลักการของพรรคโดยเฉพาะเรื่องการร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาล ไม่ได้เป็นอำนาจการตัดสินใจของใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพราะการร่วมรัฐบาลถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่จะต้องมีการปรึกษาหารือกันในพรรคอย่างละเอียดรอบคอบ อีกทั้งพรรคมีข้อบังคับที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อมีประเด็นการที่จะร่วมรัฐบาลหรือไม่ จะต้องมีการประชุมร่วมกันระหว่าง กก.บห. และ สส. ของพรรคชุดปัจจุบันที่จะต้องร่วมกันพิจารณา แล้วจึงจะมีมติพรรคออกมาว่าจะเป็นไปในทิศทางใด

ส่วนที่จะมีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคทันต่อการพิจารณาเรื่องร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาลหรือไม่นั้น นายราเมศกล่าวว่ากก.บห. ชุดปัจจุบันซึ่งทำหน้าที่รักษาการอยู่ ก็มีอำนาจในการร่วมพิจารณา ไม่ใช่เฉพาะกรณีร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาลแต่สามารถร่วมพิจารณาได้ในทุกๆ เรื่อง สำหรับการที่มีรายงานข่าวกรณีของนายเดชอิสม์นั้น อยากให้ไปสอบถามเจ้าตัวจะดีกว่า

‘ผู้ช่วยกรณ์’ เปิดข้อกฎหมายเลือกตั้ง เกี่ยวกับคุณสมบัติ สส.ชี้!! หากผู้สมัครไม่ผ่านเกณฑ์ ‘หัวหน้าพรรค’ อาจโดนคุกถึง 5 ปี

‘ผู้ช่วยกรณ์’ เล่าตอนที่นายกรณ์เป็นหัวหน้าพรรค ชพก. ต้องแบกความรับผิดชอบ ตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัคร มีคนอยากลงสมัครหลายคน แต่ไม่ผ่านเกณฑ์คัดสรร ชี้ กฎหมายเลือกตั้งเขียนไว้โหดมาก ‘หัวหน้าพรรค’ อาจโดนคดีได้โดยไม่ต้องมีใครแกล้ง จำคุกถึง 5 ปี

(28 ก.ค. 66) นายพัสณช เหาตะวานิช ผู้ช่วยดำเนินงานนายกรณ์ จาติกวณิช อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก หัวข้อ “สิ่งที่ ‘หัวหน้าพรรค’ ต้องแบก!?” โดยมีเนื้อหาดังนี้

เล่าให้ฟังครับ ตอนที่คุณกรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij ยังเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ เรื่องนึงที่ทีมทุกคนต้องระวังมากที่สุดช่วงเลือกตั้งคือ “การตรวจคุณสมบัติผู้สมัคร”

กฎหมายเขียนไว้โหดมาก และผู้รับผิดชอบหนักสุดคนหนึ่งคือ ‘หัวหน้าพรรค’ โดยเฉพาะหากมีการส่งผู้สมัครที่ ‘ขาดคุณสมบัติ’ หรือมี ‘ลักษณะต้องห้าม’ ลงสนามเลือกตั้ง

เชื่อมั้ยครับว่า มีคนอยากลงสมัครกับเราหลายคน ‘ไม่ผ่านเกณฑ์คัดสรร’ เพราะไม่สามารถนำเอกสารราชการมายืนยันคุณสมบัติของตัวเองได้

ตอนนั้นขั้นตอนพื้นฐานในการตรวจสอบคือ
1.) เช็กกับ กกต.ว่า ผู้สมัครทุกคนใช้สิทธิเลือกตั้งก่อนหน้าครบถ้วนตามเงื่อนไขหรือไม่

2.) เช็คกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่ามีประวัติอาชญากรรม เคยต้องคดีหรือไม่ เคยถูกพิพากษาจำคุกหรือไม่ เคยเข้าไปอยู่ในคุกจริงมั้ย สำคัญสุดคือ ประเภทคดีเป็นคดีอะไร

3.) นอกจากทางกฎหมาย หลายพฤติกรรมเสี่ยงก็ถูกเช็กและประเมินอย่างเป็นระบบเช่นกัน บูโรเป็นยังไง คบคนแบบไหน วุฒิต่างๆ ได้มาจริงตามที่กล่าวอ้างหรือไม่

จำได้เลยว่า ผู้สมัครหลายคนต้องไปคัดสำเนาคำพิจารณาคดีจากศาลมาเป็นหลักฐานให้กับพรรคว่า ‘คดีสิ้นสุดแล้วจริง’ ถึงจะได้ลง!!

บางเคสจำได้ว่า ต้องรอสมัครวันสุดท้ายเลย เพราะความเข้มข้นของการตรวจสอบขั้นสุด

หัวหน้าทีมกฎหมายของพรรคทำงานหนักมาก เพราะนอกจากตรวจเอกสารแล้ว ยังมีการ ‘สอบปากคำ’ โดยตรงกับผู้สมัครอีกด้วย

คุณกรณ์เอง ช่วงนั้นต้องนั่งฟังการสอบปากคำ เพื่อความรัดกุมที่สุดด้วยแทบทุกรอบ

สิ่งที่ “หัวหน้าพรรค” แบกไว้นั้นหนักหนามากนะครับ
เพราะนี่คือสิ่งที่พรรคการเมืองต้องทำหน้าที่คัดสรรตัวแทนประชาชนที่ดีที่สุดในพื้นที่นั้นๆ มาให้ประชาชนเลือก

และยิ่งไปกว่านั้นหัวหน้าพรรคอาจจะโดนคดีได้โดยไม่ต้องมีใครแกล้งเลย ไม่ว่าจะเป็น..

พรป.พรรคการเมือง ม.56 ม.120
= จำคุกหัวหน้าพรรค 5 ปี

พรป.พรรคการเมือง ม.52 + ม.117
= จำคุก หัวหน้าพรรค + กรรมการบริหารพรรค 6 เดือน

พรป.เลือกตั้ง ส.ส. ม.151
= จำคุกตัวผู้สมัครเอง 1-10 ปี

หากพิสูจน์ไม่ได้ว่าตรวจคุณสมบัติมาอย่างดี และเข้มงวดแล้วไปเซ็นรับรองให้ใครต่อใครที่มีคุณสมบัติต้องห้าม ให้ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งล่ะก็ น่าจะรอดยาก…

ทั้งนี้ นายนครชัย ขุนณรงค์ สส.ระยอง เขต 3 พรรคก้าวไกล ได้ประกาศลาออกจาก สส. ภายหลังถูกตรวจสอบพบว่าขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 โดยยอมรับเคยต้องโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน ขณะที่ กกต.อยู่ในขั้นตอนของการตรวจสอบ และรวบรวมพยานหลักฐานและข้อมูลเพิ่มเติม ก่อนส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณา และมีคำสั่งให้นายนครชัย พ้นจากตำแหน่ง สส. คล้ายกระบวนการของนายสิระ เจนจาคะ อดีต สส.กรุงเทพฯ และมีคำสั่งให้ กกต.จัดการเลือกตั้งซ่อม เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างต่อไป

‘ลูกสาวไตรรงค์’ ชำแหละ ‘ก้าวไกล’ แบบหมดเปลือก ปมตั๋วปารีส - แก้ ม.112 - รื้อ รธน.หมวดพระมหากษัตริย์

(28 ก.ค. 66) ‘เนเน่ รัดเกล้า สุวรรณคีรี’ ผู้สมัคร สส.กทม. เขต 33 บางพลัด-บางกอกน้อย พรรครวมไทยสร้างชาติ ลูกสาวไตรรงค์ สุวรรณคีรี โพสต์เฟซบุ๊ก ตั้งหัวข้อ ‘ก้าวไกล… ฉันสงสัยในตัวคุณ I question YOU’ โดยมีรายละเอียดดังนี้

เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ซึ่งคือวันแรกของการโหวตเลือกนายกหลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้นไป และคุณพิธาได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกคนที่ 30 ของประเทศไทย คนทั้งประเทศจับตาดูการอภิปรายจาก สส. หลากหลายพรรคในสภา และเห็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือแทบจะทุกพรรคในสภามีความเห็นตรงกันเกี่ยวกับนโยบายแก้ ม.112 ของพรรคก้าวไกล มีการตั้งคำถามในทิศทางเดียวกันว่าพรรคก้าวไกลสามารถถอนจุดยืนที่จะดำเนินการตามนโยบายนี้ได้ไหม ขณะที่คุณชาดา ไทยเศรษฐ์ ออกปากว่าหากถอนนโยบายแก้ ม.112 จะยกคะแนนของทั้งพรรคภูมิใจไทยให้… แต่สุดท้ายพรรคก้าวไกลก็ยืนกรานในนโยบายหนึ่งข้อนี้ และมติการโหวตในสภาฯ ก็คือ คุณพิธาไม่ได้เป็นนายก

ในนาทีนั้น เนเน่เชื่อว่าหลายคนคิดเหมือนกันว่า “มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ? อะไรมันค้ำคอพรรคก้าวไกลอยู่หรือ ถึงจะถอยออกจากเรื่องนี้ไม่ได้เลย”

จากคำถามในวันนั้น หากเราย้อนมองกลับไป จะสังเกตได้ว่ามีสิ่งที่น่ากังวล (ปนน่าสงสัย) อยู่หลายส่วนค่ะ มาลองตั้งคำถามไปด้วยกันนะคะ

ใครคือคนจุดประกายไฟ
สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน (ที่คุณต๋อม ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล เคยเป็นถึงอดีตบรรณาธิการ) ผลิตหนังสือ เช่น ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ และ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรีย์ เป็นหนังสือที่มีการเผยแพร่ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสถาบันกษัตย์ที่สังคม และนักวิชาการหลายท่านตั้งข้อสงสัยถึงความถูกต้องของข้อมูล ถึงขนาดที่ผู้ที่ถูกอ้างอิงข้อมูล (เช่น นสพ. Bangkok Post และลูกหลานของคนในประวัติศาสตร์ที่ถูกอ้างอิง) ต้องออกมาชี้แจง ฟ้องร้อง ว่าข้อมูลที่หนังสือกล่าวถึงไม่มีจริง (ดูแหล่งข้อมูลจากลิงก์ด้านล่างได้ค่ะ)… แต่อย่างไรก็ตาม หนังสือเหล่านี้กลับเป็นหนังสือที่โปรดปรานประหนึ่งเหมือนกับพระคัมภีร์ให้กับเยาวชนนักต่อสู้ (เช่น รุ้ง เพนกวิน ที่ให้สัมภาษณ์ว่าเป็นหนังสือเล่มโปรด) ที่เป็นฐานเสียงกลุ่มสำคัญของพรรคก้าวไกล

ใครคือคนเติมฟืนใส่ไฟ
คณะก้าวหน้าเดินสายทำกิจกรรมในรั้วมหาลัย เผยแพร่ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสถาบันกษัตย์ที่ ถูกตั้งข้อสงสัยถึงความถูกต้องของข้อมูล ชักชวนเยาวชนต่อสู้เพื่อสิทธิ เสรีภาพ (แต่พูดถึงภราดรภาพบ้างรึเปล่าน้าาา) การแยกตัวของรัฐปาตานี และอีกหลากหลายหัวข้อที่สร้างความโกรธ เกลียด ในสังคมไทย และที่สำคัญคือทำให้คนส่วนหนึ่งมีความรู้สีกไม่ดีต่อสถาบัน… นี่พูดแค่เรื่องเติมฟืนใส่ไฟให้เยาวชนนะคะ… ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องเติมเงินเข้ากระเป๋านะ… ตอนนี้เรื่อง #ตั๋วปารีส ที่มีคนบางกลุ่มตั้งข้อสังเกตและชี้ให้เห็นว่าคุณมี “เงินทุนจากต่างชาติ” มาเป็นน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ หากเป็นจริง แสดงว่าประเทศไทยเรามีมหาอำนาจต่างชาติเข้ามาแทรกแซงจริงๆ สินะ… เอ… คนในที่เปิดประตูให้คนนอกเข้ามาเผาบ้านตัวเองนี่ เขาเรียกว่าอะไรน้าาาาา … ยังไงก็รอดูหลักฐานกันต่อไปนะคะ ว่าจริงแท้แน่เท็จขนาดไหน ความจริงมีหนึ่งเดียว รอดูกันไปๆ

ใครเตรียมการทุกอย่างไว้พร้อม รอโอกาสดำเนินการ
ขอชวนไปลองอ่าน ‘เปิดร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม หมวด 2 พระมหากษัตริย์’ บนเว็บของคณะก้าวหน้าที่นี่ https://progressivemovement.in.th/article/special/5069/ เพื่อเห็นกับตาตนเองว่ามีการเตรียมร่างรัฐธรรมนูญเปลี่ยนโครงสร้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ไว้แล้ว #ใครคือคนสร้างบรรทัดฐานทำชั่วได้ดี คณะ สส. ของพรรคก้าวไกลหลายคนมีคดีติดตัวและมีประวัติพฤติกรรมถูกดำเนินคดีข้อหาหมิ่นสถาบันกษัตย์อย่างโจ่งแจ้ง เปิดเผย ชัดเจน แต่พรรคก้าวไกลกลับส่งเสริมให้คนที่ถูกดำเนินคดีกลุ่มนี้ ได้ดิบ ได้ดี ได้เป็น สส. อันทรงเกียรติ มาทำงานขับเคลื่อนฝั่งนิติบัญญัตในสภาฯ

ใครกลืนน้ำลายเก่ง พลิกลิ้นไปเรื่อย
วันนึงคุณก็ขึ้นเวที ติดสติกเกอร์ในฝั่งยกเลิก ม.112 และมาอีกวันคุณบอกว่าจะแก้เฉยๆ และล่าสุดบอกปรับเพื่อยกระดับให้สถาบันกษัตย์มีมาตรฐานที่ดีขึ้นเทียบเท่ากับประเทศอื่นๆ แต่เมื่อดูในรายละเอียดดีๆ การกำหนดโทษลดลงเยอะ ถ้าหมิ่นประมาทกษัตริย์โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ถ้าหมิ่นประมาทราชินี โทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน (ต่ำกว่าหมิ่นประมาทเดิมที่คนธรรมดาที่จำคุกไม่เกิน 1 ปีอีก) สิ่งที่สังคมสงสัยว่าคุณจะทำให้เกิดขึ้นคือการเลิกการคุ้มครองพระบารมี และคงเหลือไว้แต่การคุ้มครองชื่อเสียงของกษัตริย์ด้วยกฎหมายหมิ่นประมาทเช่นคนทั่วไป โดยมีความพิเศษเล็กๆ น้อยๆ เช่น ให้ในหลวงไม่ต้องร้องทุกข์เอง ให้สำนักพระราชวังร้องทุกข์แทนได้ เป็นต้น …ถ้าจะขนาดนี้ มันก็ไม่ต่างกับการยกเลิกหรอกค่ะ

ใครเร่งจนสร้างปัญหา
ถ้าคุณจะลดความรุนแรงของบทลงโทษ คุณได้ให้เวลาและความสำคัญกับการปรับพฤติกรรมและความเข้าใจคนในประเทศด้วยแล้วหรือยัง ของญี่ปุ่น โทษการหมิ่นประมาทกษัตย์เทียบเท่ากับการหมิ่นประมาทคนทั่วไป แต่ที่สวีเดนการดูหมิ่นกษัตริย์และสมาชิกราชวงศ์ยังเป็นความผิดทางอาญา โดยมีโทษถึง 4 ปี หรือ 6 ปี… ฉะนั้น ขอถามว่ามาตรฐานของโลกคืออะไร เนเน่ว่าคำตอบคือ “หลากหลายและแล้วแต่ความเหมาะสมของแต่ละประเทศ” ไม่ใช่ว่าเราเห็นของเพื่อนดีแล้วต้องซื้อตามเพื่อเสมอใช่ไหมละคะ เราต้องดูความเหมาะสมกับเราด้วย ในเมื่อปัจจุบันนี้สังคมไทยยังแตกแยกกันเพียงแค่หยิบประเด็นนี้มาพูดถึง ก็หมายความว่าเราอาจจะยังไม่พร้อม หรือเราต้องการเวลามากกว่านี้หรือเปล่า …ทำไมคุณต้องเร่งคะ?

ฉะนั้น ก้าวไกลคะ อุดมการณ์อยู่ที่การกระทำไม่ใช่คำพูด ที่คุณพิธาให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างชาติ และล่าสุดกับ CNN ว่าโดนเกมการเมืองเอา ม.112 มากลั่นแกล้ง กีดกันตนเองที่ชนะมาด้วยเสียงของประชาชน จนไม่ได้รับตำแหน่งนายก… ก่อนจะตีหน้าเศร้า เล่านิทานว่าตนเป็นผู้ถูกกลั่นแกล้ง และโดนเข้าใจเจตนารมย์ผิด ที่อยากแก้ ม.112 คืออยากยกระดับสถาบันกษัตย์ไทยให้เท่ามาตรฐานโลกคุณมองย้อนหลังสักนิดนะคะ

ในวันที่ 13 กรกฎาคม ที่ผ่านมาคุณมีโอกาสเข้ามาทำงานตามที่ประชาชน 14 ล้านเสียงได้เลือกคุณมา (ซึ่งไม่ใช่ทั้งหมดแน่นอนที่อย่างแก้ ม.112 หลายคนหวังพึ่งนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาท และเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ 3,000 บาท และอีกหลายๆ นโยบายดีๆ) แต่คุณก็เลือกที่จะทิ้งโอกาสนั้นไป ทิ้ง 299 นโยบาย เพียงเพื่อนโยบายเพียง 1 เดียวของคุณ

การกระทำย้อนหลังไป 20 ปีของพวกคุณ ของกลุ่มที่สังคมสงสัยถึงความเชื่อมโยงกับพวกคุณ สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ของคณะก้าวหน้า หรือแม้แต่ของคนในพรรคก้าวไกล และรายละเอียดในนโยบายของคุณเอง…. ทุกสิ่งมัน #ย้อนแย้ง โดยสิ้นเชิง การกระทำของคุณทำให้เรา ‘สงสัย’ เชื่อไม่ลงจริงๆ ว่าคุณมีความบริสุทธ์ใจ อยากทำเพื่อ ‘ยกระดับมาตรฐานให้สถาบันกษัตย์’ จริงๆ  พวกเราจำต้องยืนกรานพูดว่า “ไม่ใช่แค่เรื่อง ม112 แต่ด้วยแนวทางและอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน เราไม่สามารถทำงานร่วมกับพรรคก้าวไกลได้” 

หรือให้เราพูดตรงๆ ก็คงต้องพูดเลยว่า…

“ที่คุณบอกว่าตั้งใจเข้ามายกระดับสถาบันกษัตย์ไทยให้เท่ามาตรฐานโลกนั้น #อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อค่ะ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top