Friday, 16 May 2025
POLITICS

‘พิธา’ ลั่น!! เป็นฝ่ายค้านก็พร้อม และทำประโยชน์ให้ ปชช. ได้เยอะเหมือนกัน

(18 ก.ค. 66) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ในรายการ Suthichai Live โดยบางช่วงบางตอนได้ระบุว่า…

"ผมได้รับเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 ใจคอจะผลักผมไปเป็นฝ่ายค้านเลยหรือ แต่ถ้าคุณคิดว่าไม่สนใจ ไม่เห็นหัวประชาชนเลย เลือกมาเป็นอันดับ 1 ก็ยังให้เป็นฝ่ายค้าน ผมก็พร้อม ผมเชื่อว่าเป็นฝ่ายค้านก็ทำประโยชน์ให้ประชาชนได้เยอะ"

‘ดร.สุวินัย’ มอง ‘กุนซือก้าวไกล’ เดินเกม ‘ยอมหักไม่ยอมงอ’ เชื่อ!! มี ‘พิมพ์เขียว’ ในใจ ถึงยอมสละ ‘พิธา’ ไม่ได้นั่งนายกฯ

(18 ก.ค. 66) สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Suvinai Pornavalai’ ในหัวข้อ ยุทธศาสตร์การปฏิวัติ : ที่พรรค ‘ปฏิวัติประชาน’ จะหยิบมาใช้ โดยระบุว่า…

ตอนนี้ ผมมองข้ามช็อตไปหลายก้าวแล้ว คือมองว่า ‘กุนซือก้าวไกล’ กำลังวางแผนอะไร กำลังคิดอะไรกันแน่ในอีก 4 ปี 8 ปีข้างหน้า ถึงขนาดเดินหมาก ‘ยอมหักไม่ยอมงอ’ เรื่องการผลักดันแก้ ม.112 โดยยอมสละ ‘เบี้ยพิธา’ ไม่ให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งที่เก้าอี้นี้อยู่ใกล้แค่เอื้อม

การที่ ‘กุนซือก้าวไกล’ วางแผนอย่างลึกซึ้งถึงขั้นเลือดเย็นแบบนี้ ย่อมมีเหตุผลเดียวเท่านั้น คือพวกเขามี ‘พิมพ์เขียว’ ของยุทธศาสตร์การปฏิวัติประชาชน เพื่อล้มล้างการปกครอง ล้มล้างสถาบัน อยู่ในหัวแล้วนั่นเอง

นักยุทธศาสตร์ได้จำแนก ‘ยุทธศาสตร์การปฏิวัติ’ จากมุมมองของนโยบายทางทหาร ออกเป็น 8 วิธี ดังต่อไปนี้

(1) ยุทธศาสตร์การกบฏแบบดั้งเดิม
-ใช้กองกำลังติดอาวุธขนาดเล็กในการกบฏ
-ยุทธวิธีที่ใช้คือเข้าโจมตียึดคลังอาวุธเพื่อแจกจ่ายให้มวลชนที่ต้องการเข้าร่วมการกบฏ
-เข้ายึดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
-ตั้งด่านกีดขวางเพื่อปิดถนนในเมืองใหญ่ ขัดขวางการเคลื่อนตัวของกองกำลังฝ่ายรัฐ

(2) ยุทธศาสตร์การกบฏโดยการประท้วงหยุดงานทั้งประเทศ
- มุ่งทำลายรัฐผ่านการเคลื่อนไหวโดยประชาชนจำนวนมากเพียงครั้งเดียว
- ต้องรอให้เกิดการแตกแยกภายในอำนาจรัฐของชนชั้นปกครองด้วย

(3) ยุทธศาสตร์การก่อการร้ายที่ต้องการให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ
- เน้นการลอบสังหารบุคคลสำคัญโดยองค์กรลับ
- มุ่งสร้างความหวาดกลัวในหมู่ศัตรู และต้องการให้ศัตรูโต้ตอบด้วยกำลังหรือความรุนแรง

(4) ยุทธศาสตร์การกบฏของพวกคอมมิวนิสต์
-ให้ความสำคัญที่สุดกับการจัดตั้ง ‘พรรคแนวหน้า’ (Vanguard Party) เพื่อปลุกระดมมวลชนให้มีจิตสำนึกปฏิวัติที่ต้องการล้มล้างการปกครอง ผ่านการให้การศึกษาทุกช่องทาง
-จัดตั้งองค์กรทางการเมืองและทางการของภาคประชาชน
-ยุยงให้ทหารระดับล่างแปรพักตร์มาอยู่ฝั่งผู้ก่อกบฏ

(5) ยุทธศาสตร์สงครามประชาชนยืดเยื้อ
- ตามแนวทางของเหมาเจ๋อตุง ที่ใช้ชนบทล้อมเมือง
- ต่อสู้ด้วยสงครามจรยุทธ์หรือสงครามกองโจรเป็นหลัก

(6) ยุทธศาสตร์การรัฐประหาร
- การทำรัฐประหารส่วนมากเกิดจากการ ‘ฉกฉวยโอกาส’ มากกว่าเป็นการวางแผนยุทธศาสตร์การปฏิวัติ
- การรัฐประหารเป็นยุทธศาสตร์ที่ต้องอาศัยความสัมพันธ์ที่ดีมากระหว่างคณะปฏิวัติกับกองกำลังอื่น ๆ ในประเทศ มาเป็นตัวกำหนดความสำเร็จ

(7) ยุทธศาสตร์ชนะการเมืองเลือกตั้งแบบติดอาวุธ
- ก่อนอื่นมุ่งยึดอำนาจรัฐส่วนหนึ่ง ผ่านวิธีทางกฎหมายโดยชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายก่อน
- เมื่อมั่นใจว่าได้มวลชนขนาดใหญ่มากพอแล้ว จึงเอาไปรวมกับทรัพยากรของกองกำลังติดอาวุธของฝ่ายตน เพื่อปฏิวัติประชานชน ยึดอำนาจรัฐแบบเบ็ดเสร็จในที่สุด

(8) ยุทธศาสตร์สงครามปฏิวัติแบบผสม (Hybrid Revolutionary Warfare)
- ยุทธศาสตร์นี้ยึดการสู้รบทุกรูปแบบ มาผสมผสานกัน ผ่านการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย, การเคลื่อนไหวประท้วงความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และการเคลื่อนไหวประท้วงเรื่องการศึกษา เป็นต้น
- โดยมีเป้าหมายสุดท้ายอยู่ที่การมี ‘กองกำลังทหาร’ เป็นของตัวเอง โดยพัฒนามาจากการจัดตั้ง ‘กองกำลังกองโจร’ ที่ทำหน้าที่ป่วนเมืองมาก่อน

อ่านแล้ว ท่านผู้อ่านตกผลึกหรือยังว่า ตอนนี้ พรรคปฏิวัติประชาชน อย่างพรรคก้าวไกล กำลังใช้ยุทธศาสตร์การกบฏแบบไหน ในการขับเคลื่อนขบวนการปฏิวัติประชาชนของพวกเขา ?

ผมสรุปให้อีกครั้งก็ได้ว่า…

ยุทธศาสตร์การกบฏของพรรคปฏิวัติประชาชนนั้น จะมีเป้าหมายเพื่อทำให้สถานการณ์บานปลายยิ่งขึ้นจนรัฐบาลคุมไม่อยู่ 

จะได้โค่นล้มเอาชนะรัฐบาล ยึดอำนาจรัฐใน ‘การต่อสู้ครั้งสุดท้าย’ ได้ด้วย ‘กองกำลังกองโจร’ ของฝ่ายตน ที่พัฒนาไปเป็น ‘กองทัพประจำการ’ ของฝ่ายตนได้สำเร็จ

หรือไม่ก็ต้องใช้ ‘กองกำลังต่างชาติ’ ในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย

~ สุวินัย ภรณวลัย 
Suvinai Pornavalai

‘บิ๊กแดง’ ปัดตอบ ปมภาพบินไปลังกาวี พบ ‘ทักษิณ’ หลุดว่อน ยัน!! แค่ไปหารือแนวทางแก้ปัญหากลุ่มก่อความไม่สงบฯ ในภาคใต้

(18 ก.ค. 66) แหล่งข่าวจากกองทัพ ระบุถึง การเดินทาง พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ร่วมคณะของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทบ.ไป เกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย เมื่อ 5-7 พ.ค. 2566 และถูกโยงว่ามีการพบ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ดีลลับการเมืองก่อนเลือกตั้งว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ ทางการเมือง และไม่ได้ไปพบเจอ อดีตนายกฯ ตามที่มีข่าวปรากฏในโซเชียลมีเดียแต่อย่างใด แต่ไปเพื่อพบปะกับ แกนนำกลุ่มก่อความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่มีการนัดหมายไว้ ว่า ต้องการพบเพื่อคลี่คลายปัญหา และสนับสนุนให้การเจรจาเดินหน้าไปได้ด้วยดี

โดยเป็นการประสานในการเปิด ช่องทางการติดต่อสื่อสาร อีกช่องทางหนึ่ง สำหรับการประสานงานในการแก้ปัญหา อีกทั้งในขณะนี้ การดำเนินการของคณะพูดคุยฯ ชะลอ ออกไป เพราะทางกลุ่มเคลื่อนไหว รอมีรัฐบาลใหม่ก่อน

ส่วนกรณีที่ พล.อ.อภิรัชต์ เดินทางไปด้วยนั้นเนื่องจาก พล.อ.อภิรัชต์ สนใจติดตามแก้ปัญหาความไม่สงบในชายแดนใต้ มาเพราะสมัยเป็นพันเอก ก็ลงไปอยู่ชายแดนใต้ และมีสายข่าวอยู่ในฝั่งมาเลเซีย และเมื่อครั้งเป็น ผบ.ทบ. เคยเดินทางไป อาเจะห์ ศึกษาแนวทางการแก้ปัญหา  และยังคงติดตามสถานการณ์ มาตลอด แต่ไม่ได้เปิดเผย เพราะมีหน่วยงานที่มีหน้าที่ทำงานอยู่  แต่มันเป็น คอนเนคชั่นส่วนตัว ที่ทำให้ประสานพูดคุยกันได้ จะได้รู้ความต้องการของเขา และทางออกในการแก้ปัญหา

สำหรับ พล.อ.เฉลิมพล คอยติดตามการแก้ปัญหาชายแดนใต้มาตลอดเช่นกัน ทำงานร่วมกับพล.อ.อภิรัชต์ มา ที่ผ่านมาก็ทั้งการลงพื้นที่ไปตรวจเยี่ยม และสนับสนุนอุปกรณ์พิเศษ ให้กองกำลังชายแดนในการทำงาน

“คาดว่าคงมีคนพยายามที่จะเชื่อมโยง กับการเมือง เพราะที่ผ่านมา มีการปล่อยข่าวลือ พาดพิง พล.อ.อภิรัชต์ มาตลอด แต่ พล.อ.อภิรัชต์ ก็เลือกที่จะนิ่ง ไม่ชี้แจง ตอบโต้ แต่การที่ไม่ได้ชี้แจง ไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องจริง เพราะอยู่ในสถานภาพที่ไม่ได้มายุ่งเกี่ยวใดๆ ทางการเมือง ขออย่าโยง” แหล่งข่าวใกล้ชิดในกองทัพ ระบุ

‘พีระพันธุ์’ ยัน!! ไม่ส่งชื่อแคนดิเดตนายกฯ แข่ง ในรอบ 2 ย้ำจุดยืน!! ไม่หนุนพรรค ‘แก้ ม.112 - แบ่งแยกการปกครอง’

(18 ก.ค. 66) นายพีระพันธุ์​ สาลีรัฐวิภาค​ เลขาธิการ​นายก​รัฐมนตรี​ ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค - Pirapan Salirathavibhaga’ ยันยืน​ แนวทางโหวตนายกรัฐมนตรี​ โดยมีข้อความระบุว่า​

ผมขออนุญาตเรียนยืนยันแนวทางและนโบายของ รทสช. ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่จะมีขึ้นอีกครั้งหนึ่งว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม คือ 1.ไม่เสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของ รทสช. ทั้งสองคน เรายืนยันว่าเราไม่เห็นด้วยกับแนวทางการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่จะทำให้เกิดผลเสียหายต่อบ้านเมือง

2.เราจะไม่โหวตให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่มีนโยบายหรือแนวทางการทำงานที่ขัดรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 การแบ่งแยกการปกครอง การล้มล้างสถาบันครอบครัว ระบบการศึกษา วัฒนธรรมประเพณีที่ดี และสถาบันหลักทั้งสามของชาติ อันมีผลกระทบต่อความมั่นคงของบ้านเมือง

รทสช. มั่นคง ชัดเจน ตรงไปตรงมา เหมือนเดิมครับ

‘สหรัฐฯ’ เผยความกังวลต่อสถานการณ์ระบบ กม.ไทย หลัง ‘พิธา-ก้าวไกล’ ส่อโดนเชือดจนอาจชวดเก้าอี้นายกฯ

(18 ก.ค. 66) สหรัฐฯ มีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในระบบกฎหมายของไทย จากความเห็นของนายแมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ในวันจันทร์ (17 ก.ค.) หลังมีคำร้อง 2 คดีแยกกัน เล่นงานเอาผิดกับหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่คว้าเก้าอี้ได้มากที่สุดในศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า รัฐสภาของไทยกำลังเตรียมการสำหรับลงมติรอบ 2 ในวันพุธ (19 ก.ค.) ว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล หัวก้าวหน้า จะได้ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่

ในการโหวตรอบแรกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ความพยายามของนายพิธา ซึ่งต้องการดึงทหารออกจากการเมืองและขุดรากถอนโคนธุรกิจผูกขาด เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ถูกตีตกโดยวุฒิสภาที่ได้รับการแต่งตั้งจากกองทัพ ตามหลังรัฐประหารปี 2014

ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ แทบไม่ส่งเสียงใดๆ เลย เกี่ยวกับสถานการณ์หลังการเลือกตั้งในไทย พันธมิตรทหารเก่าแก่ในภูมิภาคหนึ่งๆ ซึ่งวอชิงตันมีความกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ของจีน

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด เมื่อถูกถามระหว่างแถลงสรุปประจำวันเกี่ยวกับสถานการณ์ในไทย นายมิลเลอร์ ตอบว่า วอชิงตันไม่มีผลลัพธ์ที่ชอบในศึกเลือกตั้งของไทย แต่สนับสนุนกระบวนการหนึ่งที่สะท้อนเจตนารมณ์ของคนไทย

“เราจับตาสถานการณ์หลังการเลือกตั้งใกล้ชิดอย่างมาก ในนั้นรวมถึงพัฒนาการเมื่อเร็วๆ นี้ในระบบกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวล” มิลเลอร์ กล่าว

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ศาลรัฐธรรมนูญของไทยรับคำร้องวินิจฉัยนายพิธา และพรรคก้าวไกล เกี่ยวกับแผนแก้กฎหมายที่ห้ามหมิ่นพระบรมเดชานุภาพสถาบันเบื้องสูง นอกจากนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งยังยื่นคำร้องต่อศาลเดียวกัน ให้พิจารณาคุณสมบัติของนายพิธา เกี่ยวกับการถือครองหุ้นในบริษัทสื่อมวลชนแห่งหนึ่ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายเลือกตั้ง ทั้ง 2 คดี ก่อความกังวลว่าศาลอาจชี้ว่านายพิธา ขาดคุณสมบัติสำหรับดำรงตำแหน่งหรือยุบพรรคก้าวไกล แบบเดียวกับครั้งที่พรรคอนาคตใหม่โดนในปี 2020

เมื่อสอบถามความเห็นเกี่ยวกับความเป็นไปได้เหล่านี้ นายมิลเลอร์ กล่าวว่า “ผมไม่ขอคาดเดาว่าเราจะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่เน้นย้ำว่าสถานการณ์เมื่อเร็วๆ นี้มีความน่ากังวล” 

‘ส.ส.จุลพันธ์’ ให้กำลังใจ ‘แสนดี’ เผย ไม่ควรตัดสินการเห็นต่างว่าถูกหรือผิด วอนสังคม ‘หยุดใช้คำหยาบคาย-คุกคามสภาพทางกาย’ ชี้!! เป็นสิ่งที่ไม่ควร

(18 ก.ค. 66) จากกรณีที่ ‘แสนดี แสนปิติ สิทธิพันธุ์’ บุตรชายนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ออกมาเขียนวิจารณ์พรรคก้าวไกล และต่อมาได้ขอโทษไปแล้วนั้น

ล่าสุด นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความให้กำลังใจนายแสนดี โดยมีใจความว่า “เป็นกำลังใจให้น้องแสนดีครับ การแสดงความเห็นไม่ควรถูกตัดสินว่าถูกหรือผิด แต่มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างสร้างสรรค์การที่ใครจะแสดงความเห็นแย้งเป็นสิทธิที่ทำได้ แต่การคุกคามด้วยถ้อยคำหยาบคายและกระทบถึงสภาพทางกายน้องเป็นเรื่องไม่ควรอย่างยิ่ง

หากเคยคุยกับ อ.ชัชชาติเรื่องลูก จะทราบว่าครอบครัวนี้ผ่านอะไรมาเยอะมาก กว่าจะมาถึงวันนี้ซึ่งไม่ง่ายเลย อยากให้สังคมให้โอกาสน้องคนนึง หยุดพฤติกรรมทำลายผู้เห็นต่าง เปิดโอกาสให้เสียงในสังคมที่มีความแตกต่างได้พูดได้คิดบ้าง แล้วเราจะเข้าใกล้ ปชต.ที่สมบูรณ์ที่ทุกคนฝันไปอีกนิด อีกนิด”

‘สุวินัย’ เห็นด้วย หลัง ‘แสนดี’ ออกมาวิจารณ์พรรคก้าวไกล

เมื่อวานนี้ (17 ก.ค. 66) สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Suvinai Pornavalai’ ถึงกรณีนายแสนปิติ สิทธิพันธุ์ แสดงความคิดเห็นต่อพรรคก้าวไกล ระบุว่า…

“คุณแสนดีพูดได้ตรงประเด็นมาก ทุกข้อเลย เหมือนตีแสกหน้าพรรคก้าวไกลด้วยไม้หน้าสาม โพสต์นี้ของคุณแสนดี คือการจับพรรคก้าวไกลออกมาเปลือยกลางแจ้ง อย่างล่อนจ้อน ผมดีใจที่คนรุ่นใหม่อย่างคุณแสนดี มีความคิดและเท่าทัน ความคิดไม่ซื่อ และคิดไม่ชอบของก้าวไกล”

อ่านความคิดเห็นของนายแสนปิติ สิทธิพันธุ์ ที่กล่าวถึงพรรคก้าวไกลได้ที่ >> https://thestatestimes.com/post/2023071740

‘แสนดี’ ขอโทษ ‘พรรคก้าวไกล-ผู้สนับสนุน’ จากใจจริง เผย ยังไม่เข้าใจการเมืองไทยมากพอ ย้ำ ต่อไปจะไตร่ตรองให้ดี

(18 ก.ค. 66) นายแสนปิติ สิทธิพันธุ์ หรือ ‘แสนดี’ บุตรชายของนายชัชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ชี้แจงเพิ่มเติม จากกรณีที่โพสต์อินสตาแกรมส่วนตัว วิพากษ์วิจารณ์พรรคก้าวไกล อย่างดุเดือดนั้น ล่าสุดพบว่า นายแสนปิติ ได้ลบภาพออกจากอินสตาแกรมส่วนตัวทั้งหมด และโพสต์ข้อความระบุว่า…

“เพื่อต่อยอดจากคำขอโทษก่อนหน้านี้ของผม

สิ่งที่ผมทำนั้นไม่สามารถให้อภัยได้และไม่เหมาะสม ผมขอโทษสำหรับการใช้ภาษาที่ไม่สุภาพและหยาบคาย เพื่ออธิบายให้กลุ่มคนบางกลุ่ม

ผมยอมรับว่าการกระทำของผมทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างนับไม่ถ้วน และก่อให้เกิดความเกลียดชัง ผมยอมรับว่าสิ่งที่เขียนไปในวันนี้ได้ทำร้ายผู้คนอย่างไม่อาจแก้ไขได้ ในฐานะบุคคลสาธารณะ

ผมตระหนักดีว่าผมได้ทำให้ทุกคนผิดหวังกับสิ่งที่ได้ทำลงไป และมันขึ้นอยู่กับผมที่จะทำให้ดีขึ้นในฐานะปัจเจกบุคคล

ผมเป็นหนี้บุญคุณอย่างเต็มที่ว่าผมได้รับสิทธิพิเศษและชนชั้นนำอย่างมาก ผมไม่มีประสบการณ์และไม่มีการศึกษาเกี่ยวกับการเมืองไทยหรือการเมืองไทยพอ ไม่เหมาะสมและไม่สมควรอย่างยิ่งที่ผมจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเมือง ทั้งๆ ที่ตัวผมเองก็มีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี แต่ผมไม่มีคุณสมบัติ (Qualified)

ผมจะใช้เวลาในการไตร่ตรองการกระทำและความประพฤติของตัวเอง ในช่วงเวลานี้ ผมจะทบทวนตัวเองถึงวิธีที่ผมจะใช้ประสบการณ์นี้เพื่อเติบโต และเป็นผู้ใหญ่ในฐานะคนหนุ่มสาว ประสบการณ์ของผมแตกต่างจากคนอื่นๆ อย่างมาก ผมได้รับผลประโยชน์และสิทธิพิเศษบางอย่างที่ลดทอนและกีดกันผู้คนและคนหลายกลุ่มชุมชน

ผมได้ประโยชน์และใช้ประโยชน์จากภูมิหลังของตัวเอง เพื่อความก้าวหน้าในสังคม สิ่งนี้บ่งบอกถึงระดับความเหลื่อมล้ำและความเหลื่อมล้ำที่แพร่หลายในประเทศไทย ผมรู้ว่า พรรคก้าวไกล และฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยอื่นๆ กำลังทำเพื่อคนเหล่านี้ และแม้ว่าผมจะคิดเห็นต่างกัน แต่ผมก็เคารพความคิดเห็นของพวกเขา

ตลอดวันที่ผ่านมา ผมได้อ่านความคิดเห็นที่ทำร้ายจิตใจเกี่ยวกับรูปร่างภายนอก (Physical Stature) ความฉลาด และภูมิหลังของผม

ในขณะที่ทุกคนมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นของตัวเอง ผมยอมรับว่านี่คือผลของการกระทำของผมเอง และผมก็ยอมรับสิ่งนี้ ผมต้องแสดงความเห็นอกเห็นใจและมีน้ำใจต่อผู้อื่น ผมยอมรับว่าผมไม่ได้เก่งด้านนี้ แต่ในอนาคต หวังว่าจะใช้สิ่งนี้เป็นโอกาสในการพัฒนาทักษะดังกล่าวเพื่อให้เป็นคนที่รอบรู้และเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

มีบางความคิดเห็นที่เกินเลยมากเกินไป จนถึงขั้นเป็นความเกลียดชังและการเลือกปฏิบัติ ผมจะไม่ขอยุ่งกับพวกเขา ผมขอพูดว่า “ความเกลียดรังแต่จะทำให้เกิดความเกลียดชังเพิ่มมากขึ้น ถ้าให้นึกย้อนถึงตัวผมในฐานะคนๆ หนึ่ง หวังว่าทุกคนคงจะคิดเหมือนกันกัน ว่าเราสามารถปฏิบัติต่อคนอื่นให้ได้ดีขึ้นและอดทนต่อความคิดเห็นที่แตกต่างได้อย่างไร”

รักมาก

แสนดี

‘ส.ว.ตวง’ ขอบคุณทุกคนที่อุดหนุนธุรกิจลูกชาย ชี้!! ร้านยังเปิดปกติ เชิญแวะดื่มกาแฟชาวอาข่าได้

(17 ก.ค. 66) นายตวง อันทะไชย สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Tuang Untachai’ ระบุว่า…

ผมและครอบครัว ขอขอบคุณ คุณพ่อ-แม่ พี่-น้อง ลุง ป้า น้า อาและหลานที่ไปให้กำลังใจอุดหนุนธุรกิจลูกชายของพี่กอล์ฟและน้องตาม...ที่บ้านเปลือย ต.รอบเมือง อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด

...มียอดขายเพิ่มขึ้น ร้านของลูกๆ ยังเปิดบริการเหมือนปกติ เชิญแวะไปดื่มกาแฟของชาวอาข่าได้ กำไร 10 เปอร์เซนต์ มอบคืนให้แก่ชาวดอยอาข่าเหมือนเดิมครับ

...ถ้าจะวิพากษ์วิจารณ์ผมสามารถทำได้ ยินดีน้อมรับฟัง แต่สำหรับลูก ๆ และครอบครัว หลาน คนอื่น ๆ อย่าได้ละเมิดเขาเลยครับเพราะพวกเขาไม่เกี่ยว หากมีคนกระทำ ผมจำเป็นต้องปกป้องพวกเขาครับ

ขอบคุณทุกกำลังใจมากครับ

'ศิริกัญญา' ฟันธงโหวตนายกฯ รอบ 2 พิธาได้เสียงเพิ่มจาก ส.ว. ถาม!! ใครคือผู้ที่ให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไปเชิญ 'ชทพ.-ปชป.'

(17 ก.ค. 66) ที่อาคารไทยซัมมิท น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการประชุม 8 พรรคร่วมรัฐบาล คาดว่าการประชุมวันนี้จะผ่านไปได้ด้วยดี และมีการหารือเรื่อง เสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีในครั้งที่สอง รวมถึงเรื่องการยกเลิกม.272 ที่พรรคก้าวไกลได้ยื่นไปก่อนหน้านี้ โดยขอเสียงสนับสนุนจาก 8 พรรคร่วม พร้อมทั้งไม่กังวลกับการเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2

"เราได้ทำตามสิ่งที่ได้ให้สัญญากับประชาชนไว้ หากประชาชนยังไม่ถอยเราก็ยังไม่ถอย และคิดว่าจะมีการเสนอชื่อคุณพิธาอีกรอบนึงตามสมรภูมิที่เราได้แจ้งกับประชาชนไว้"

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ได้เจรจาการดึงพรรคชาติไทยพัฒนาและพรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วมรัฐบาล มีการระบุว่าได้รับการทาบทามจากพรรคก้าวไกล น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่ทราบเรื่องว่าใครคือ ผู้ที่ให้พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไปเชิญ ซึ่งหากได้เสียงจากพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคชาติไทยพัฒนาก็จะได้จำนวนเสียงที่มากขึ้น
.
ส่วนเงื่อนไขที่พรรคประชาธิปัตย์ และชาติไทยพัฒนาระบุว่าไม่สนับสนุนพรรคการเมืองที่แก้ไขมาตรา 112 เป็นเงื่อนไขที่เป็นการเปิดทางให้พรรคเพื่อไทยได้นายกรัฐมนตรีหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า หากเป็นเงื่อนไขมาตรา 112 ก็คงไม่ได้ร่วมรัฐบาลกัน ที่มีก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้ง
.
เมื่อถามว่าการหารือระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยในวันนี้จะราบรื่นหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า จะต้องราบรื่นและเป็นไปตามที่เราได้คาดหวังไว้
.
ซักว่ายังยืนยันในจำนวนเสียงส.ว.หรือไม่เพราะพรรคเพื่อไทยต้องการทราบจำนวน ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า เรื่องนี้เรามีการสื่อสารด้วยกันมาโดยตลอด ว่าทางพรรคก้าวไกลจะติดต่อท่านไหนและพรรคเพื่อไทยจะช่วยติดต่อคือส.ว.ท่านไหน รวมถึงมีการพูดคุยกันมาโดยตลอด ซึ่งการโหวตในรอบนี้จากที่มีการทำงานกันมาได้คะแนนเสียงเพิ่มเติมจากจำนวนส.ว.ที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมในวันนั้น

น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า จริง ๆ แล้วเราไม่มีความกังวลใด ๆ เราสัญญากับประชาชนไว้ว่าจะสู้กับ 2 สมรภูมิ ซึ่งเราจะสู้อย่างเต็มที่เพื่อเสนอนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมคาดหวังว่าจากสิ่งที่เราได้ทำแคมเปญ จะทำให้ส.ว.เปลี่ยนใจมายืนเคียงข้างประชาชนก็คิดว่าเราจะได้คะแนนเสียงเพิ่ม ส่วนเรื่อง 2 สมรภูมิหากส.ว.ที่ต้องการปิดสวิตตัวเอง ในม.272 ซึ่งเป็นไปตามที่เราได้แจ้งกับประชาชนและสื่อมวลชนไว้ หากการต่อสู้ทั้ง 2 สมรภูมิไม่เป็นผลเราก็จะเปิดทางให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ถามว่าได้มีการกำหนดระยะเวลาในการจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า ไทม์ไลน์ต่าง ๆ จริง ๆ แล้วต้องขึ้นอยู่กับประธานสภา ที่จะบรรจุวาระม.272 ซึ่งคาดว่าจะเป็นสัปดาห์หน้า ซึ่งตามระเบียบแล้วต้องเอาเข้าภายใน 15 วันอยู่แล้ว จึงคาดว่าจะจบภายในสัปดาห์และทราบทิศทางต่อไปอย่างแน่นอน

ผู้สื่อข่าวถามว่าพรรคเพื่อไทยไม่พอใจกับการแก้ไขม.272 เหมือนเป็นการมัดมือชกพรรคเพื่อไทย จะมีการหารือในวันนี้ด้วยหรือไม่ ศิริกัญญากล่าวว่า ประเด็นม.272 จะเป็นประเด็นที่หารือกันในวันนี้เป็นการพูดคุยทำความเข้าใจ พร้อมยืนยันว่าการแก้ไขม.272 ไม่ได้เป็นการมัดมือชกใด ๆ และคิดว่าเราน่าจะทำภารกิจนี้ร่วมกันทั้ง 8 พรรค โดยยืนยันว่าหาแก้ไขม.272 ไม่สำเร็จพร้อมเปิดทางให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลตามที่ได้แถลงไว้กับประชาชน

เมื่อถามต่อว่าจะไม่เป็นการยืดเวลาในการจัดตั้งรัฐบาลใช่หรือไม่ น.ส.ศิริกัญญายืนยันว่า ไม่ได้เป็นการยืดเวลาอย่างแน่นอนซึ่งจะทราบผลในอาทิตย์หน้า หากผ่านสามารถดำเนินการวาระที่ 2 วาระที่ 3 แล้วเสร็จภายใน 2-3 สัปดาห์ และไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นการยืดระยะเวลาไปไกล ในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จัดตั้งรัฐบาลและนำคณะรัฐมนตรีถวายสัตย์ปฏิญาณตน จากวันที่มีการเลือกตั้งใช้เวลาทั้งสิ้น 7 สัปดาห์ หากเราต้องการใช้เวลาแก้ไขม.272… 2-3 สัปดาห์ไม่ใช่การยืดเวลาอะไรอย่างใด

ซักว่ามีความมั่นใจ หรือไม่ว่าการแก้ไขม.272 จะเป็นทางออกของพรรคก้าวไกล ศิริกัญยากล่าวว่า เราเห็นใจส.ว.หลายท่านและเราก็ทราบว่า มีกระบวนการที่จะไม่ให้บุคคลเหล่านั้นมาโหวตให้กับนายพิธา ถูกขู่เอาชีวิตและเราเห็นใจและคิดว่านี่คือทางออกที่หลายฝ่ายสบายใจ รวมถึงส.ว.ด้วยที่อยากจะปิดสวิตช์ตัวเอง

ถามอีกว่ามีความเข้าใจในเรื่องสัดส่วนในการแก้ไขม. 272 ต้องใช้เสียงจากฝ่ายค้าน น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า เรื่องนี้เป็นการโหวตที่อยู่ในขั้นที่ 3 ที่จะต้องใช้คะแนนเสียงจากฝ่ายค้าน ซึ่งเราได้มีการคำนวณแล้ว คิดว่าน่าจะผ่าน ถึงวาระที่สาม

เมื่อถามว่าเหตุใดพรรคก้าวไกลจึงไม่ถอยการแก้ไขมาตรา 112 แทนที่จะมาเดินหน้าแก้ไขม. 272 น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เป็นสิ่งที่เราได้สัญญากับประชาชน ผ่านการหาเสียงเลือกตั้ง และแล้วเราก็คิดว่าการแก้ไขม.112 เป็นเพียงข้ออ้าง ที่จะไม่โหวตให้กับพรรคก้าวไกล ถึงแม้ว่าเราจะยอมถอย และเสียสัจจะที่ได้สัญญาไว้กับประชาชน ก็ไม่ได้เป็นข้ออ้างที่ทำให้ส.ว. จะไม่โหวตให้กับเราเพราะเรื่องการแก้ไขม.112 อย่างแน่นอน ดังนั้นเราขอเลือกที่จะไม่เสียสัจจะที่ให้ไว้กับประชาชน

ถามว่าไม่กังวลเรื่องการที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะอยู่ยาวใช่หรือไม่ น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่าไม่ถึงขั้นนั้นและไม่ได้ใช้ระยะเวลาเป็นปีอย่างมากแค่ 3 สัปดาห์และอยู่ในวิสัยที่เราสามารถจัดการได้อย่างแน่นอนซึ่งนิด้าโพลได้มีการเผยแพร่อย่างชัดเจนว่าประชาชนอยากให้ทำการโหวตให้กับนายพิธาไปเรื่อยๆ

‘กัญจนา’ โพสต์เฟซบุ๊ก  ย้ำจุดยืน  กรณี ‘เสรีพิศุทธ์’ โทรหาท็อป ชวนชาติไทยพัฒนา เข้าร่วมรัฐบาล ‘ก้าวไกล’

วันนี้ (17 ก.ค. 66) น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า

"ว่าจะไม่พูดการเมือง แต่จำเป็นต้องชี้แจง … กรณีมีข่าวว่า วราวุธ บอกว่า เสรีพิศุทธิ์ ทาบทามร่วมรัฐบาลก้าวไกล..ข่าวเรื่องนี้ไม่ได้ออกจากเราเป็นต้นทาง และขอยํ้าว่าจุดยืนเราชัดเจนเสมอมา คือ ไม่แตะต้องม.112” น.ส.กัญจนา กล่าว

'หมอตุลย์' ชวนคนรักชาติส่งกำลังใจ ส.ว. นัดรวมพล 18 ก.ค.นี้ ที่อาคารวุฒิสภาฯ

เมื่อวันที่ 16 ก.ค.66 นายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี ได้โพสต์ผ่านสังคมออนไลน์เชิญชวนมวลชน เดินทางไปให้กำลังใจ สมาชิกวุฒิสภา ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2566 โดยมีเนื้อหาดังนี้...

เชิญชวนคนไทยรักชาติที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ร่วมแสดงพลัง! มอบดอกไม้เป็นกำลังใจให้วุฒิสมาชิกที่กำลังทำหน้าที่เพื่อปกป้องชาติและสถาบันกษัตริย์

นัดหมายรวมพล วันอังคารที่ 18 กรกฎาคม 2566 เวลา 11.30 น.ที่อาคารวุฒิสภา บริเวณทางเข้าถนนสามเสน (ใกล้บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่) 

ขอเชิญชวนคนรักชาติมาร่วมแสดงพลัง !! มาพบกันให้ได้นะครับ

‘ภูมิธรรม’ ซัด ‘พิธา’ มัดมือชก ‘เพื่อไทย’ แก้ 272  เหน็บ!! นี่คือ ‘วาระประเทศ’ ไม่ใช่วาระ ‘ก้าวไกล’ 

(17 ก.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค พท. กล่าวถึงกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ระบุว่า จะต่อสู้ใน 2 สมรภูมิ คือ การโหวตนายกฯ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม.272 ว่า ไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะการเปิดสมรภูมิใหม่ของพรรคก้าวไกล เป็นการเสนอประเด็นที่อยู่นอกเหนือเอ็มโอยูที่ 8 พรรคเซนต์ร่วมกัน ส่วนที่จะต่อสู้จนประสบความสำเร็จและไม่สามารถไปได้แล้ว และจะมอบอำนาจให้กับพรรคอันดับ 2 นั้น เป็นการพูดเช่นนี้ฟังดูดี แต่ทั้ง 2 ประเด็น มียากลำบากและไม่มีกรอบเวลาชัดเจน 

นายภูมิธรรม กล่าวว่า การแก้ไข ม.272 เป็นได้เพียงสัญลักษณ์ ไม่ได้รับชัยชนะ แต่การเร่งตั้งรัฐบาลจะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่พรรค พท. ได้เสนอเป็นนโยบายไว้ว่าจะแก้ทั้งระบบ นี่ถือเป็นวาระสำคัญแต่การเปิดวาระใหม่ ของพรรคก้าวไกล เป็นการเสนอนอกเหนือเอ็มโอยู ตนเห็นว่าการที่นายพิธา และพรรคก้าวไกลนำเสนอเรื่องดังกล่าวต่อสาธารณชน จึงคิดว่ามันไม่ใช่วาระของทั้ง 2 พรรค เราตกลงกันว่าจะกลับไปคุยในพรรคตัวเอง แต่ที่นายพิธาออกมาพูดเช่นนี้เหมือนมัดมือชก เราจึงจำเป็นต้องออกมาพูดความจำเป็น และความเป็นจริงให้ทราบ

นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า สิ่งที่ตนกล่าวไม่ใช่ความขัดแย้งหรือโกรธกัน แต่เราจะเสนอความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า วาระประเทศและวาระประชาชนคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่วาระของพรรคก้าวไกล หรือวาระของนายพิธา วันนี้อยากให้เปิดใจให้กว้างแล้วเอาวาระประชาชนเป็นที่ตั้ง วาระประเทศเป็นที่ตั้งถูกต้องหรือไม่ การที่นายพิธา พูดว่าเวลานี้ อนาคตของพรรคก้าวไกล และอนาคตของประชาชนอยู่ในมือของประชาชนแล้ว ตนคิดว่าอย่าเอาประชาชนเป็นตัวประกัน วันนี้ประเทศชาติและปัญหาประชาชนอยู่ในมือพรรคก้าวไกล และนายพิธา จึงต้องหยิบเอาปัญหาและวาระของประชาชนเป็นที่ตั้งแล้วตัดสินใจ ถ้าการตัดสินใจครั้งนี้ผิดพลาด ปัญหาประชาชนจะลำบาก ต้องอยู่กับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ไปอีกนาน และจะรักษาการไปเรื่อยๆ แต่ถ้าตัดสินใจถูกต้องปัญหาจะคลี่คลาย อยากให้นายพิธา และพรรคก้าวไกลนำไปคิด

“พรรค พท. ขอให้เอาวาระประชาชนเป็นที่ตั้ง แล้วหาทางออกร่วมกันอย่างรวดเร็ว เพราะเราห่วงโรคแทรกซ้อน หากรัฐบาลเดิมจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เราจะสู้เขาไม่ได้เพราะเขามี 188 เสียง และส.ว.อีก 250 เสียงสามารถตั้งรัฐบาลได้เลย เราต้องอยู่กับลุงไปอีก 4 ปี ประชาชนยินดีเช่นนั้นหรือไม่ ถ้าไม่ยินดีก็ต้องหาทางออก” นายภูมิธรรม กล่าว

เมื่อถามว่า ได้คิดเรื่องการเปลี่ยนตัวแคนดิเดตนายกฯ ไว้บ้างหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า พรรค พท. ไม่มีแผนสำรอง แผนแรกแผนเดียว เราอยากจับมือกับ 8 พรรคร่วมเดินหน้าไปให้ถึงที่สุด แต่ต้องมีคำตอบที่ชัดเจน ไม่ใช่ปล่อยให้มีการเลือกไปเรื่อยๆ โดยที่ประเทศไม่รู้ว่าทางออกจะเป็นอย่างไร เรารอไปถึงต้นปีหน้าไม่ได้ เพราะปัญหาประเทศตอนนี้รุนแรงมาก ไม่ต้องห่วงเรื่องแคนดิเดตนายกฯพรรค พท. ซึ่งพรรค พท. มีแคนดิเดตอยู่แล้ว 3 คน หากวันไหนชัดเจนให้พรรค พท. เสนอ เราสามารถเสนอได้ แต่ไม่ใช่วาระสำคัญเราไม่คิดเรื่องนี้ก่อน เราคิดถึงการหาทางออกให้กับประเทศ 8 พรรคการเมืองเสนอนายพิธา ถ้าไม่ได้จะมีวิธีไหนที่ 8 พรรค จะดำเนินการร่วมกันให้ชนะ

เมื่อถามว่า การพูดคุยวันนี้จะต้องเตรียมแคนดิเดตนายกฯ สำรองไว้เลยหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง ความเป็นจริง เรารู้อยู่แล้วว่าแคนดิเดตของเราเป็นอย่างไร ถ้าบอกว่าพรรค พท. ไม่ได้คิดเลย ก็เท่ากับโกหก เราคิดทางออกแต่ยังพูดไม่ได้ เพราะอยากให้ชัดเจนถึงความมุ่งหน้าสนับสนุนของความร่วมมือของ 8 พรรค จนถึงเวลาจำเป็นแล้วถึงจะเสนอ และชัดเจนจะไม่มีคนนอก ขอให้สบายใจว่าหากถึงเวลาต้องเสนอ พรรค พท. มีคนเข้าไปทำงานแน่นอน แต่ขณะนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับแคนดิเดตทั้ง 3 คน เพราะเรามุ่งหน้าทำเรื่องการเสนอนายพิธา เป็นเรื่องหลัก

“สิ่งที่ผมพูดอาจทำให้เกิดความไม่สบายใจของใครก็ตาม อาจมีรถทัวร์ลงก็ได้ แต่ผมคิดว่าเรายืนอยู่บนความเป็นจริง และอยากให้ความเป็นจริงประสบความสำเร็จ เราไม่อยากเห็นความเชื่อทำให้เกิดความจริง เราอยากเห็นความจริง เอามาคลี่คลาย และทำให้ความเชื่อประสบความสำเร็จ” นายภูมิธรรม กล่าว

เมื่อถามถึงกระแสข่าว ส.ส.พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ไปพูดคุยกับรัฐบาลเดิมหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า วันนี้มีข่าวลือมาก เราได้ยินข่าวดังกล่าว แต่เมื่อเป็นข่าวลือเราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ สิ่งที่สำคัญคือกลับไปตรวจสอบคนของตัวเอง เพราะประวัติศาสตร์การเมืองไทย เรื่องการแจกกล้วย เรื่องงูเห่าเคยเกิดมาแล้ว เราเสนอให้เกิดการระมัดระวัง เราต้องให้เกียรติ ส.ส.ทั้ง 2 พรรค และในส่วนของพรรค พท. ได้ให้แกนนำแต่ละส่วนไปพูดคุยกับ ส.ส.เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น

เปิดเซฟ 7 ส.ส.ก้าวไกล แต่ละคนมีทรัพย์สินเท่าไร?

(17 ก.ค. 66) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ ส.ส. กรณีพ้นจากตำแหน่ง ระหว่างวันที่ 28 ก.พ. 17 มี.ค. และ 20 มี.ค.66 จำนวน 100 คน โดยมีบุคคลที่น่าสนใจ ดังนี้ 

-นายรังสิมันต์ โรม อดีต ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แจ้งว่า มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 13,380,781 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 6,602,028 บาท แบ่งเป็นทรัพย์สินของนายรังสิมันต์ 8,039,177 บาท ของ Ivana Kurniamati (สัญชาติอินโดนีเซีย) คู่สมรส 5,341,603 บาท นอกจากนี้ ยังแจ้งมีบ้านเดี่ยว 1 หลัง ได้มา 23 ก.ค. 2564 มูลค่า 4,950,000 บาท ครอบครองเหรียญดิจิทัล 15 เหรียญ 13,337 บาท และเหรียญดิจิทัลอีก 10 เหรียญ 12,117 บาท สร้อยคอ 13 เส้น 313,205 บาท ทองคำแท่ง 1.201 กิโลกรัม 2,136,571 บาท เป็นต้น

โดยนายรังสิมันต์ ระบุว่า มีรายได้ต่อปี 1,936,736 บาท มีรายจ่ายต่อปี 1,799,290 บาท ที่น่าสนใจ นายรังสิมันต์ แจ้งมีรายได้จากการขายภาพศิลปะ 84,750 บาท ขายหนังสือ 115,435 บาท รายได้จากงานมงคลสมรส 139,811 บาท นอกจากนี้ นายรังสิมันต์ ยังหมายเหตุไว้ในส่วนของรายจ่ายว่า มีการชำระหนี้ กยศ. 48,699 บาท โดยชำระ กยศ.หมดแล้ว

-นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ อดีต ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล แจ้งสถานะโสด มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 10,485,862 บาท ได้แก่ เงินสด 3.2 แสนบาท เงินฝาก 90,223 บาท เงินลงทุน 391,498 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 8.4 ล้านบาท ยานพาหนะ 936,960 บาท สิทธิและสัมปทาน 161,500 บาท ทรัพย์สินอื่น 185,680 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 4,040,151 บาท มีรายได้รวม 1,362,720 บาท มีรายจ่ายรวม 1,785,149 บาท โดยนายณัฐชา แจ้งถือครองอาวุธปืน 5 กระบอก ได้มาก่อน 20 มี.ค. 2566 มูลค่า 185,680 บาท

-นายณัฐวุฒิ บัวประทุม อดีต ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แจ้งว่า มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 9,265,886 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 513,701 บาท เป็นทรัพย์สินของนายณัฐวุฒิ 7,483,327 บาท ไม่มีหนี้สิน เป็นทรัพย์สินของ น.ส.กรรณิการ์ วงศ์ไชย นักสังคมสงเคราะห์ชำนาญการ คู่สมรส 1,782,558 บาท มีหนี้สิน 513,701 บาท 

-นายวาโย อัศวรุ่งเรือง อดีต ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แจ้งว่า มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 40,542,103 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 15,215,388 บาท เป็นทรัพย์สินของนายวาโย 30,337,958 บาท หนี้สิน 15,215,388 บาท ของ น.ส.เกวลิน พูลภิไกร คู่สมรส 10,204,145 บาท ไม่มีหนี้สิน

-นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แจ้งว่า มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 71,578,345 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 2,944,378 บาท เป็นทรัพย์สินของนางอมรัตน์ 52,348,025 บาท (มีบ้าน 8 หลัง 26.25 ล้านบาท) ไม่มีหนี้สิน เป็นทรัพย์สินของนายวิเชษฐ์ โรจนสุกาญจน ผอ.ฝ่ายบริหารการเงิน สถาบันคุ้มครองเงินฝาก คู่สมรส 19,230,320 บาท มีหนี้สิน 2,944,378 บาท โดยมีบ้าน 3 หลัง 13.8 ล้านบาท

-น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล อดีต ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไก แจ้งสถานะโสด โดยระบุว่า มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 5,294,506 บาท ได้แก่ เงินฝาก 428,834 บาท เงินลงทุน 915,472 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 3,690,000 บาท สิทธิและสัมปทาน 260,200 บาท มีหนี้สิน 2,013,536 บาท มีรายได้รวม 1,767,720 บาท มีรายจ่ายรวม 1,105,000 บาท

-นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ อดีต ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แจ้งว่า มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 261,542,260 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 165,181 บาท เป็นทรัพย์สินของนายพิจารณ์ 190,939,958 บาท มีหนี้สิน 47,416 บาท เป็นของนางอัจฉรียา เชาวพัฒนวงศ์ ที่ปรึกษาฝ่ายทรัพยากรบุคคล บจก.พิมคิน คอร์ปอเรชั่น คู่สมรส 50,495,800 บาท มีหนี้สิน 117,765 บาท ส่วนบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมีทรัพย์สิน 20,106,502 บาท

ทั้งนี้ นายพิจารณ์ แจ้งมีรายได้รวมต่อปีโดยประมาณ 63,010,720 บาท ในจำนวนนี้คือการขายที่ดินในปี 64 มูลค่า 43 ล้านบาท และขายที่ดินในปี 2565 มูลค่า 16,848,000 บาท นอกจากนี้ นายพิจารณ์ยังแจ้งถือครองรถยนต์หรูหลายคัน เช่น Porsche PANAMERA ได้มา 25 ต.ค. 2564 มูลค่า 7 ล้านบาท Porsche 911 ได้มา 1 เม.ย. 2565 มูลค่า 8 ล้านบาท Bentley GT ได้มา 19 ต.ค. 2564 มูลค่า 15 ล้านบาท มอเตอร์ไซค์ Harley V-Rod ได้มา 3 ก.ค. 2560 มูลค่า 6 แสนบาท เป็นต้น

‘ก้าวไกล’ ยืนยัน!! ส.ส.อยู่ครบ ไม่มีใครถูกซื้อเสียงโหวต ‘บิ๊กป้อม’ ชี้!! ได้บทเรียนแล้ว หากเป็นงูเห่าสอบตกยกแผง

(17 ก.ค. 66) ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กรุงเทพฯ รองเลขาธิการพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีกระแสข่าวการซื้อ ส.ส. พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยรวม 50 คน เพื่อเตรียมโหวตให้รัฐบาลเสียงข้างน้อยที่เสนอ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกรัฐมนตรีว่า ขอยืนยันว่า ส.ส. ก้าวไกลอยู่ครบ ไม่มีใครถูกซื้อแน่นอน ครั้งที่แล้วประชาชนลงโทษ ส.ส. งูเห่าทุกคนสอบตกหมด คะแนนต่ำพันก็มี ทุกพรรคเห็นตัวอย่างกันดีอยู่แล้วว่าการทรยศต่อประชาชน ผลออกมาเป็นอย่างไร ส่วนเรื่องการเสนอชื่อ พล.อ.ประวิตรแข่งนั้น ขอพรรคเพื่อไทยอย่ากังวล ประชาชนจะกังวลไปด้วย เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ด้วยเหตุผล 3 ข้อ

ข้อแรก ภายใน ส.ว. เองก็ไม่ได้มีเอกภาพ แม้ส่วนใหญ่จะไม่โหวตให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ แต่ก็ไม่ได้หมายความทุกคนจะโหวตให้ พล.อ.ประวิตร ข้อสอง พรรคฝั่งรัฐบาลเดิมก็ไม่ได้เป็นเอกภาพ ว่าใครจะเป็นนายกฯ ถ้ามีการเสนอแข่ง ยังแย่งชิงกันอยู่ และข้อสาม สำคัญที่สุด แม้ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้ แต่ก็บริหารไม่ได้ ดังนั้น ถ้า 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลในปัจจุบันยังจับมือกันเหนียวแน่น แผนนี้ก็ไม่มีวันสำเร็จ

ส่วนกรณีที่มีการระบุว่าพรรคก้าวไกลสนใจแต่วาระทางการเมือง ไม่สนใจวาระประชาชน ความเดือดร้อนประชาชนต้องมาก่อนวาระการเมือง มัวลากยาวสู้ใน 2 สมรภูมิตามที่ประกาศเพียงจะทำเรื่องเชิงสัญลักษณ์นั้น ณัฐชากล่าวว่า พรรคก้าวไกลออกโรดแมปมาให้ประชาชนเห็นชัดๆ แล้วว่าเรามีแผนการอย่างไร จะสู้ในสองสมรภูมิ ซึ่งมีกรอบเวลาชัดเจนทั้งสองสมรภูมิ สมรภูมิโหวตนายกฯ ถ้าวันที่ 19 กรกฎาคม คะแนนโหวตนายกฯ รอบ 2 ยังห่างจาก 376 ก็เป็นอันจบ รอสมรภูมิต่อไปคือการยกเลิกมาตรา 272 ซึ่งต้องเข้าสภาฯ ภายใน 15 วันหลังยื่นร่าง คือภายในวันที่ 29 กรกฎาคมนี้ และถ้าผลออกมาคือร่างตก ก็จบเช่นกัน เรายอมถอยให้เพื่อไทยตั้งรัฐบาล พิธาเองก็ประกาศไปแล้วว่าถ้าไปต่อไม่ได้จริง ๆ ก็จะถอย เปิดโอกาสให้ประเทศ เพราะเวลาเรามีจำกัด จะลากไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ เราคงไม่สามารถพูดชัดได้กว่านี้อีกแล้ว

ส่วนการที่บอกว่า มัวแต่สู้เชิงสัญลักษณ์ ทั้งที่รู้ว่าแพ้ เรื่องนี้พรรคก้าวไกลยืนยันว่าเรามีภารกิจต้องรับผิดชอบต่อประชาชนในฐานะพรรคอันดับหนึ่ง ถ้าสู้เหยาะ ๆ แหยะ ๆ ก็เท่ากับบอกประชาชนว่าเรายอมรับกฎที่อยุติธรรมและความผิดปกติในประเทศนี้ เราเป็นพรรคการเมือง เป็นผู้แทนราษฎร ต้องพิทักษ์เสียงของประชาชนอย่างดีที่สุด ไม่ใช่ปล่อยให้เขาเอาไปทิ้งน้ำ ต้องสู้ถึงที่สุดก่อน เพื่อให้สมกับความไว้วางใจที่ประชาชนมอบให้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top